sysid
stringlengths 1
6
| title
stringlengths 8
870
| txt
stringlengths 0
257k
|
---|---|---|
568294 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2538 (ฉบับ Update ล่าสุด) | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘
โดยที่เห็นเป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ ๓๔ (พ.ศ. ๒๕๓๑) ว่าด้วยการพัสดุ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ดังนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘
ข้อ ๒[๑]
ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๓๔ (พ.ศ. ๒๕๓๑)
ว่าด้วยการพัสดุ
ข้อ ๔
ให้ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นผู้รักษาการตามข้อบังคับนี้
หมวด
๑
ข้อความทั่วไป
ข้อ ๕ ในข้อบังคับนี้
การพัสดุ หมายความว่า การจัดทำเอง การซื้อ การจ้าง
การจ้างที่ปรึกษา การแลกเปลี่ยน การเช่า การควบคุม การจำหน่ายและการดำเนินการอื่น
ๆ ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
พัสดุ หมายความว่า วัสดุ ครุภัณฑ์ ที่ดิน
และสิ่งก่อสร้างที่กำหนดไว้ในหนังสือการจำแนกประเภทรายจ่ายตามงบประมาณของสำนักงบประมาณหรือการจำแนกประเภทรายจ่ายตามสัญญาเงินกู้จากต่างประเทศ
การซื้อ หมายความว่า
การซื้อพัสดุทุกชนิดทั้งที่มีการติดตั้งทดลอง และบริการที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ
แต่ไม่รวมถึงการจัดหาพัสดุในลักษณะการจ้าง
การจ้าง
ให้หมายความรวมถึงการจ้างทำของและการรับขนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และการจ้างเหมาบริการ
แต่ไม่รวมถึงการจ้างลูกจ้างของ ททท. ตามข้อบังคับว่าด้วยลูกจ้าง
การรับขนในการเดินทางไปปฏิบัติงาน การจ้างที่ปรึกษา
และการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การจ้างที่ปรึกษา หมายความว่า
การจ้างบริการจากที่ปรึกษาซึ่งจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
ที่ปรึกษา หมายความว่า
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจหรือสามารถให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางวิศวกรรม
สถาปัตยกรรม เศรษฐศาสตร์หรือสาขาอื่น รวมทั้งให้บริการด้านศึกษา สำรวจ
ออกแบบและควบคุมงานและการวิจัย
ททท. หมายความว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ ททท. หมายความว่า
คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ประธานกรรมการ ททท. หมายความว่า
ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ผู้ว่าการ หมายความว่า
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
พนักงาน หมายความว่า พนักงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
เจ้าหน้าที่พัสดุ หมายความว่า
พนักงานซึ่งดำรงตำแหน่งที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการพัสดุ
หรือผู้ได้รับแต่งตั้งหรือได้รับมอบหมายจากผู้ว่าการให้มีหน้าที่หรือปฏิบัติงานเกี่ยวกับการพัสดุตามข้อบังคับนี้
ผู้สั่งซื้อ หมายความว่า ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ซื้อ
ผู้สั่งจ้าง หมายความว่า ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้จ้าง
ข้อ ๖
ข้อบังคับนี้ใช้บังคับสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุซึ่งใช้เงินงบประมาณเงินรายได้ตามกฎหมายว่าด้วย
ททท. และเงินกู้
ข้อ ๗
ผู้ว่าการจะมอบอำนาจตามข้อบังคับนี้โดยทำเป็นหนังสือให้แก่พนักงานผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้
แต่ให้คำนึงถึงตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบอำนาจนั้นเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ภายในวงเงินที่ผู้ว่าการมีอำนาจ
ข้อ ๘
ผู้มีอำนาจหรือหน้าที่ดำเนินการตามข้อบังคับนี้หรือผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้
หรือกระทำการโดยมีเจตนาทุจริต
หรือกระทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่รวมทั้งมีพฤติกรรมที่ส่อให้มีการสมยอมกันในการเสนอราคา
ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยภายใต้หลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) ถ้าการกระทำมีเจตนาทุจริตหรือเป็นเหตุให้ ททท.
เสียหายอย่างร้ายแรงให้ดำเนินการ ลงโทษอย่างต่ำให้ออก
(๒) ถ้าการกระทำเป็นเหตุให้ ททท. เสียหายแต่ไม่ร้ายแรง
ให้ลงโทษอย่างต่ำตัดเงินเดือน
(๓) ถ้าการกระทำไม่เป็นเหตุให้ ททท. เสียหาย
ให้ลงโทษภาคทัณฑ์หรือว่ากล่าวตักเตือน โดยทำคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร
การลงโทษตาม (๑) หรือ (๒)
ไม่เป็นเหตุให้ผู้กระทำหลุดพ้นจากความรับผิดในทางแพ่งหรือความรับผิดทางอาญา
ข้อ ๘/๑[๒]
การจัดหาพัสดุของสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
หรือในกรณีที่มีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติในต่างประเทศ
และไม่สามารถดำเนินการตามข้อบังคับนี้ได้ ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายหรือธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศนั้น
ข้อ ๙
การใดที่ไม่ได้กำหนดไว้หรือไม่อาจปฏิบัติได้ตามข้อบังคับนี้
ให้เสนอคณะกรรมการ ททท. พิจารณากำหนดวิธีการซื้อหรือจ้าง หรือยกเว้น
หรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ เป็นกรณี ๆ ไป
หมวด
๒
การจัดหาพัสดุ
ส่วนที่ ๑
การซื้อและการจ้าง
ข้อ ๑๐ การซื้อและการจ้าง ให้ ททท.
ส่งเสริมพัสดุที่ผลิตในประเทศไทยหรือส่งเสริมกิจการของคนไทย แล้วแต่กรณี
วิธีซื้อและวิธีจ้าง
ข้อ ๑๑[๓] การซื้อและการจ้าง กระทำได้ ๖
วิธี คือ
(๑) วิธีตกลงราคา
(๒) วิธีสอบราคา
(๓) วิธีประกวดราคา
(๔) วิธีพิเศษ
(๕) วิธีกรณีพิเศษ
(๖) วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ข้อ ๑๒[๔]
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา ได้แก่
การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๓[๕]
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา ได้แก่
การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๔,๐๐๐,๐๐๐
บาท
ข้อ ๑๔[๖]
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา ได้แก่
การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๕ การซื้อหรือการจ้างตามข้อ ๑๒ และข้อ ๑๓
ถ้าผู้สั่งซื้อหรือผู้สั่งจ้างเห็นสมควรจะสั่งให้กระทำโดยวิธีที่กำหนดไว้สำหรับวงเงินที่สูงกว่าก็ได้
การแบ่งซื้อหรือแบ่งจ้างโดยลดวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งเดียวกันเพื่อให้วงเงินต่ำกว่าที่กำหนดโดยวิธีหนึ่งวิธีใดหรือเพื่อให้อำนาจสั่งซื้อหรือสั่งจ้างเปลี่ยนไปจะกระทำมิได้
การซื้อหรือการจ้างซึ่งดำเนินการด้วยเงินกู้ ผู้สั่งซื้อหรือผู้สั่งจ้างจะสั่งให้กระทำตามวงเงินที่สัญญาเงินกู้กำหนดก็ได้
ข้อ ๑๖[๗] การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่
การซื้อครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๒๐๐,๐๐๐
บาทให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้[๘]
(๑) เป็นพัสดุที่จะขายทอดตลาดโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การระหว่างประเทศ
หรือหน่วยงานของต่างประเทศ
(๒) เป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๓)
เป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ
และหมายความรวมถึงอะไหล่รถประจำตำแหน่ง หรือยารักษาโรค
(๔)
เป็นพัสดุที่มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่จำเป็น หรือเร่งด่วน
หรือเพื่อประโยชน์ของ ททท. และจำเป็นต้องซื้อเพิ่ม
(๕)
เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศหรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ
(๖) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรง
(๗) เป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
(๘)
เป็นพัสดุที่เป็นที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง
ข้อ ๑๗[๙] การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่
การจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำเฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑)
เป็นงานจ้างที่ต้องการช่างผู้มีฝีมือโดยเฉพาะหรือผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษ
(๒)
เป็นงานจ้างซ่อมพัสดุที่จำเป็นต้องถอดตรวจให้ทราบความชำรุดเสียหายเสียก่อนจึงจะประมาณค่าซ่อมได้
(๓) เป็นงานที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๔)
เป็นงานที่จำเป็นต้องการจ้างเพิ่มในสถานการณ์ที่จำเป็นหรือเร่งด่วนหรือจำเป็นต้องจ้างเพิ่มเพื่อประโยชน์แก่
ททท.
(๕) เป็นงานจ้างเหมาเกี่ยวกับการให้บริการนำเที่ยว
(๖) เป็นงานจ้างโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์
(๗) เป็นงานที่ได้ดำเนินการจ้างโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ข้อ ๑๘[๑๐] สำหรับสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
หรือในกรณีที่มีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติในต่างประเทศ
จะซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษก็ได้
ข้อ ๑๙ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
ได้แก่การซื้อหรือการจ้างในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) การซื้อหรือการจ้างจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นผู้ผลิตพัสดุหรือทำงานจ้างนั้นเอง
(๒) การซื้อหรือการจ้างจากบริษัทที่ ททท.
ลงทุนหรือร่วมทุนด้วย
(๓)
การซื้อหรือการจ้างที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ซื้อหรือจ้างจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
และกรณีนี้ให้รวมถึงหน่วยงานอื่นที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดด้วย
ข้อ ๑๙/๑[๑๑]
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การซื้อหรือการจ้าง
ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบของทางราชการที่ให้ดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
รายงานขอซื้อและขอจ้าง
ข้อ ๒๐ ก่อนดำเนินการซื้อหรือจ้างทุกวิธี
นอกจากการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างตามข้อ ๒๑
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อหรือจ้าง
(๒) รายละเอียดของพัสดุที่จะซื้อหรืองานที่จะจ้าง
(๓) ราคามาตรฐานหรือราคากลางของทางราชการหรือราคาที่เคยซื้อหรือจ้างครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา
๑ ปีงบประมาณ
(๔) วงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง โดยให้ระบุวงเงินงบประมาณ
วงเงินตามโครงการเงินกู้ที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งนั้นทั้งหมด
ถ้าไม่มีวงเงินดังกล่าว ให้ระบุวงเงินที่ประมาณว่าจะซื้อหรือจ้างในครั้งนั้น
(๕) กำหนดเวลาที่ต้องการใช้พัสดุนั้นหรือให้งานนั้นแล้วเสร็จ
(๖)
วิธีที่จะซื้อหรือจ้างและเหตุผลที่ต้องซื้อหรือจ้างโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ เช่น การขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่จำเป็นในการซื้อหรือจ้าง การออกประกาศสอบราคาหรือประกาศประกวดราคา
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคาในวงเงินไม่เกิน ๒๐,๐๐๐
บาท และการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษกรณีเร่งด่วน ตามข้อ ๑๖ (๒) หรือข้อ ๑๗ (๓)
ซึ่งไม่อาจทำรายงานตามปกติได้เจ้าหน้าที่พัสดุหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้น
จะทำรายงานตามวรรคหนึ่งเฉพาะรายการที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้[๑๒]
ข้อ ๒๑ ก่อนดำเนินการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อ
(๒) รายละเอียดของที่ดินหรือส่งก่อสร้างที่ต้องการซื้อ
รวมทั้งเนื้อที่และท้องที่ที่ต้องการ
(๓) ราคาประเมินของทางราชการในท้องที่นั้น
(๔)
ราคาซื้อขายของที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงบริเวณที่จะซื้อครั้งหลังสุดประมาณ
๓ ราย
(๕) วงเงินที่จะซื้อ โดยให้ระบุวงเงินงบประมาณ
วงเงินตามโครงการเงินกู้ที่จะซื้อในครั้งนั้นทั้งหมด ถ้าไม่มีวงเงินดังกล่าว
ให้ระบุวงเงินที่ประมาณว่าจะซื้อในครั้งนั้น
(๖) วิธีที่จะซื้อและเหตุผลที่ต้องการซื้อโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ เช่น การขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่จำเป็นในการซื้อ การออกประกาศสอบราคาหรือประกาศประกวดราคา
การซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างให้ติดต่อกับเจ้าของโดยตรง
เว้นแต่การซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศที่จำเป็นต้องติดต่อผ่านนายหน้าหรือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามกฎหมายหรือประเพณีนิยมของท้องถิ่น
ข้อ ๒๒
เมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบตามรายงานที่เสนอตามข้อ ๒๐ หรือข้อ ๒๑ แล้ว
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการตามวิธีการซื้อหรือการจ้างนั้น ๆ ต่อไปได้
กรรมการ
ข้อ ๒๓ ในการดำเนินการซื้อหรือจ้างแต่ละครั้ง
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ แล้วแต่กรณี
คือ
(๑) คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
(๒) คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา
(๓) คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
(๔) คณะกรรมการจัดซื้อหรือจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ
(๕) คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ
(๖) คณะกรรมการตรวจการจ้าง
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษของสำนักงานสาขาจะไม่แต่งตั้งคณะกรรมการตาม
(๔) ก็ได้ และการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๒) และข้อ ๑๗ (๓)
สำหรับส่วนกลางจะไม่แต่งตั้งคณะกรรมการตาม (๔) ก็ได้
ข้อ ๒๔ คณะกรรมการตามข้อ ๒๓ แต่ละคณะ
ให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ ๑ คน และกรรมการอย่างน้อย ๒ คน
โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานตั้งแต่ระดับ ๓ หรือเทียบเท่าขึ้นไป
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท. จะแต่งตั้งบุคคลที่มิใช่พนักงานร่วมเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ถ้าประธานกรรมการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งพนักงานที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการแทน
ในกรณีเมื่อถึงกำหนดเวลาการเปิดซองสอบราคาหรือรับซองประกวดราคาแล้วประธานกรรมการยังไม่มาปฏิบัติหน้าที่
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานกรรมการในเวลานั้น
โดยให้คณะกรรมการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่เฉพาะข้อ ๓๑ (๑) หรือข้อ ๓๘ แล้วแต่กรณี
แล้วรายงานประธานกรรมการซึ่งผู้ว่าการแต่งตั้งเพื่อดำเนินการต่อไป
ในการซื้อหรือการจ้างครั้งเดียวกัน ห้ามแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาเป็นกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
หรือแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการเปิดซองสอบราคาหรือกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเป็นกรรมการตรวจรับพัสดุ
คณะกรรมการทุกคณะ
เว้นแต่คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาควรแต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
ๆ เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย
สำหรับการซื้อหรือการจ้างในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
หรือการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๒) หรือข้อ ๑๗ (๓)
หรือการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษของสำนักงานสาขา จะแต่งตั้งพนักงานเพียงคนเดียวเป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือคณะกรรมการตรวจการจ้างก็ได้[๑๓]
ส่วนการซื้อหรือการจ้างสำหรับกิจกรรมที่ต้องปฏิบัตินอกสถานที่ตั้งสำนักงานตามปกติ
ให้ผู้จ่ายเงินค่าพัสดุหรืองานจ้าง แล้วแต่กรณี
เป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น ๆ โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับ
คณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ข้อ ๒๕ ในการประชุมปรึกษาของคณะกรรมการแต่ละคณะ
ต้องมีกรรมการมาพร้อมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
โดยให้ประธานกรรมการและกรรมการแต่ละคนมีเสียงหนึ่งในการลงมติ
มติของคณะกรรมการให้ถือเสียงข้างมาก
เว้นแต่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุและคณะกรรมการตรวจการจ้างให้ถือมติเอกฉันท์
ในกรณีกรรมการบางคนไม่ยอมรับพัสดุหรืองานจ้างนั้นโดยทำความเห็นแย้งไว้ให้นำข้อ
๔๖ (๗) หรือข้อ ๔๗ (๕) แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ
สำหรับคณะกรรมการคณะอื่นถ้าผู้ใดไม่เห็นด้วยให้ทำบันทึกความเห็นแย้งไว้ด้วย
ข้อ ๒๖
การแต่งตั้งคณะกรรมการตามข้อ ๒๓
สำหรับสำนักงานสาขาถ้ามีพนักงานในสำนักงานนั้นไม่พอที่จะปฏิบัติตามข้อ ๒๔ หรือข้อ
๒๕ ได้ จะแต่งตั้งพนักงานคนหนึ่ง และลูกจ้างของสำนักงานนั้นหรือบุคคลอื่นร่วมเป็นกรรมการคณะหนึ่งคณะใดหรือทุกคณะก็ได้
ข้อ ๒๗
ในการซื้อหรือการจ้างทำพัสดุที่มีเทคนิคพิเศษและจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาเป็นการเฉพาะ
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาว่าจ้างที่ปรึกษาให้ความเห็นประกอบการพิจารณาในการซื้อหรือจ้างในขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดได้ตามความจำเป็น
วิธีตกลงราคา
ข้อ ๒๘ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุติดต่อตกลงราคากับผู้ขายหรือผู้รับจ้างโดยตรง
แล้วจัดซื้อหรือจ้างได้ภายในวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบตามข้อ ๒๒
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคาในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน
และไม่อาจดำเนินการตามปกติได้ทันให้เจ้าหน้าที่พัสดุหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้นดำเนินการไปก่อนแล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อผู้ว่าการ
และเมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบให้ถือว่ารายงานดังกล่าวเป็นหลักฐานการตรวจรับโดยอนุโลม
วิธีสอบราคา
ข้อ ๒๙ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา
ให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ก่อนวันเปิดซองสอบราคาไม่น้อยกว่า ๗ วัน
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุส่งประกาศเผยแพร่การสอบราคาและเอกสารสอบราคาไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
หรือโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้กับให้ปิดประกาศเผยแพร่การสอบราคาไว้โดยเปิดเผย
ณ ที่ทำการของ ททท.
(๒) ในการยื่นซองสอบราคา
ผู้เสนอราคาจะต้องผนึกซองจ่าหน้าถึงประธานกรรมการเปิดซองสอบราคาการซื้อหรือการจ้างครั้งนั้น
และส่งถึง ททท. ก่อนวันเปิดซองสอบราคาโดยยื่นตรงต่อ ททท.
หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนกรณีที่ ททท. กำหนดให้ทำได้
(๓)
ให้เจ้าหน้าที่ลงรับโดยไม่เปิดซองพร้อมระบุวันและเวลาที่รับซอง
ในกรณีที่ผู้เสนอราคามายื่นซองโดยตรงให้ออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซอง
สำหรับกรณีที่เป็นการยื่นซองทางไปรษณีย์ ให้ถือวันและเวลาที่ ททท.
ลงรับจากไปรษณีย์เป็นเวลารับซอง และให้ส่งมอบซองให้แก่เจ้าหน้าที่พัสดุทันที
(๔)
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเก็บรักษาซองเสนอราคาทุกรายโดยไม่เปิดซองและเมื่อถึงกำหนดเวลาเปิดซองสอบราคาให้ส่งมอบซองเสนอราคาพร้อมทั้งรายงานผลการรับซองต่อคณะกรรมการเปิดซองสอบราคาเพื่อดำเนินการต่อไป
ข้อ ๓๐ เอกสารสอบราคา
ให้มีรายการทำนองเดียวกับเอกสารประกวดราคาตามข้อ ๓๕
เว้นแต่ไม่ต้องวางหลักประกันซอง
ข้อ ๓๑ คณะกรรมการเปิดซองสอบราคามีหน้าที่ดังนี้
(๑)
เปิดซองใบเสนอราคาและอ่านแจ้งราคาพร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของ
ผู้เสนอราคาทุกรายโดยเปิดเผยตาม วัน เวลาและสถานที่ที่กำหนด
และตรวจสอบรายการเอกสารตามบัญชีของผู้เสนอราคาทุกรายแล้วให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาและเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
(๒) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา แคตตาล็อคหรือแบบรูปและรายการละเอียด
แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารสอบราคา
(๓)
พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างของผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตาม (๒)
ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อ ททท.
และเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่งเสนอราคาต่ำสุด
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดดังกล่าวไม่ยอมเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงกับ
ททท. ในเวลาที่กำหนดตามเอกสารสอบราคา
ให้คณะกรรมการพิจารณาจากผู้เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคา
ถ้าปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาดำเนินการตามข้อ ๓๒
(๔)
ในกรณีที่มีผู้เสนอราคาถูกต้องตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารสอบราคาเพียงรายเดียว
ให้คณะกรรมการดำเนินการตาม (๓) โดยอนุโลม
(๕)
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๓๒
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคาที่ปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาเห็นสมควรซื้อหรือจ้างยังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการดำเนินการตามลำดับ ดังนี้
(๑)
เรียกผู้เสนอราคารายนั้นมาต่อรองราคาให้ต่ำสุดเท่าที่จะทำได้
หากผู้เสนอราคารายนั้นยอมลดราคาแล้วราคาที่เสนอใหม่ไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือสูงกว่า แต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือต่อรองแล้วไม่ยอมลดราคาลงอีก
แต่ส่วนที่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างนั้นไม่เกินร้อยละ ๑๐
ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสม
ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคารายนั้น
(๒) ถ้าดำเนินการตาม (๑) แล้วไม่ได้ผล
ให้เรียกผู้เสนอราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างทุกรายมาต่อรองราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคาภายในกำหนดระยะเวลาอันสมควร
หากรายใดไม่มายื่นซองให้ถือว่ารายนั้นยืนราคาตามที่เสนอไว้เดิม
หากผู้เสนอราคาต่ำสุดในการต่อรองราคาครั้งนี้เสนอราคาไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือสูงกว่าแต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว
ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคารายนั้น
(๓) ถ้าดำเนินการตาม (๒) แล้วไม่ได้ผล
ให้เสนอความเห็นต่อผู้ว่าการเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจว่าจะสมควรลดรายการ ลดจำนวน
หรือลดเนื้องาน หรือขอเงินเพิ่มเติมหรือยกเลิกการสอบราคาเพื่อดำเนินการสอบราคาใหม่
วิธีประกวดราคา
ข้อ ๓๓ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุปิดประกาศประกวดราคาโดยเปิดเผย ณ ที่ทำการของ ททท.
และส่งไปประกาศทางวิทยุกระจายเสียงและศูนย์รวมข่าวประกวดราคา
โดยจะส่งประกาศไปลงในหนังสือพิมพ์ด้วยก็ได้
หากเห็นสมควรจะส่งประกาศดังกล่าวไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานโดยตรงหรือจะโฆษณาด้วยวิธีอื่นอีกก็ได้
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
จะต้องกระทำก่อนวันรับซองประกวดราคาไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน
ข้อ ๓๔
การให้หรือขายเอกสารประกวดราคาในการประกวดราคาทั้งคุณลักษณะเฉพาะหรือรายละเอียด
ให้กระทำ ณ
สถานที่ที่ผู้ต้องการสามารถติดต่อได้โดยสะดวกและไม่เป็นเขตหวงห้ามกับจะต้องจัดเตรียมไว้ให้มากพอสำหรับความต้องการของผู้มาขอรับหรือขอซื้อที่มีอาชีพขายหรือทำงานจ้างนั้นอย่างน้อยรายละ
๑ ชุด
ในกรณีที่มีการขาย ให้กำหนดราคาพอสมควรกับค่าใช้จ่ายที่
ททท. ต้องเสียไปในการจัดทำสำเนาเอกสารประกวดราคานั้น
ถ้ามีการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้นและมีการประกวดราคาใหม่
ให้ผู้รับหรือซื้อเอกสารประกวดราคาในการประกวดราคาครั้งก่อนมีสิทธิใช้เอกสารประกวดราคานั้นหรือได้รับเอกสารประกวดราคาใหม่
โดยไม่ต้องเสียค่าซื้อเอกสารประกวดราคาอีก
ข้อ ๓๕
เอกสารประกวดราคาให้เป็นไปตามแบบที่ผู้ว่าการกำหนด
ข้อ ๓๖ ก่อนวันเปิดซองประกวดราคา หากมีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงหรือให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แก่
ททท.
หรือมีความจำเป็นต้องแก้ไขคุณลักษณะเฉพาะหรือรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญซึ่งมิได้กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคาตั้งแต่ต้น
ให้จัดทำเป็นเอกสารประกวดราคาเพิ่มเติม และดำเนินการตามข้อ ๓๓ โดยอนุโลม กับแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ที่ขอรับหรือขอซื้อเอกสารประกวดราคาไปแล้วทุกรายด้วย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
หากจะเป็นเหตุให้ผู้เสนอราคาไม่สามารถยื่นซองประกวดราคาได้ทันตามกำหนดเดิม
ให้เลื่อนวันและเวลาการรับซอง การปิดการรับซอง
และการเปิดซองประกวดราคาตามความจำเป็นด้วย
ข้อ ๓๗ นอกจากกรณีที่กำหนดไว้ตามข้อ ๓๖
เมื่อถึงกำหนดวันรับซองประกวดราคาห้ามมิให้ร่นหรือเลื่อน
หรือเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลารับซองและเปิดซองประกวดราคา
ข้อ ๓๘[๑๔]
คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคามีหน้าที่ดังนี้
(๑) รับซองประกวดราคา ลงทะเบียนรับซองไว้เป็นหลักฐาน ลงชื่อกำกับซองและบันทึกไว้ที่หน้าซองว่าเป็นของผู้ใด
(๒)[๑๕]
ตรวจสอบหลักประกันซองร่วมกับเจ้าหน้าที่การเงินและให้เจ้าหน้าที่การเงินออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซองไว้เป็นหลักฐาน
หากไม่ถูกต้องให้หมายเหตุในใบรับและบันทึกในรายงานด้วยกรณีหลักประกันซองเป็นหนังสือค้ำประกัน
ให้ส่งสำเนาหนังสือค้ำประกันให้ธนาคาร
บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผู้ออกหนังสือค้ำประกันทราบโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับด้วย
(๓) รับเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
ตามบัญชีรายการเอกสารของผู้เสนอราคาพร้อมทั้งพัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อค
หรือแบบรูปและรายการละเอียด (ถ้ามี) หากไม่ถูกต้องให้บันทึกในรายงานไว้ด้วย
(๔)
เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองประกวดราคาแล้วห้ามรับซองประกวดราคา หรือเอกสารหลักฐานต่าง
ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาอีก
(๕)
เปิดซองใบเสนอราคาและอ่านแจ้งราคาพร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของผู้เสนอราคาทุกรายโดยเปิดเผยตามเวลาและสถานที่ที่กำหนด
และให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาและเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
ในกรณีที่มีการยื่นซองข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนออื่น ๆ
แยกจากซองข้อเสนอด้านราคาซึ่งต้องพิจารณาทางเทคนิคและอื่น ๆ ก่อน ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามข้อ
๔๒ ทวิ และข้อ ๔๒ จัตวา
คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
โดยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาที่จะต้องดำเนินการต่อไป
(๖) ส่งมอบใบเสนอราคาทั้งหมดและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
พร้อมด้วยบันทึกรายงานการดำเนินการต่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทันทีในวันเดียวกัน
ข้อ ๓๙ คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา
เอกสารหลักฐานต่าง ๆ พัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อค หรือแบบรูปและรายการละเอียด
แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคา
ในกรณีที่ผู้เสนอราคารายใดเสนอรายละเอียดแตกต่างไปจากเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ
และความแตกต่างนั้นไม่มีผลทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบต่อผู้เสนอราคารายอื่น
หรือเป็นการผิดพลาดเล็กน้อย ให้พิจารณาผ่อนปรนให้ผู้เข้าประกวดราคา
โดยไม่ตัดผู้เข้าประกวดราคารายนั้นออก
ในการพิจารณา
คณะกรรมการอาจสอบถามข้อเท็จจริงจากผู้เสนอราคารายใดก็ได้
แต่จะให้ผู้เสนอราคารายใดเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญที่เสนอไว้แล้วมิได้
(๒) พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างหรือคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่ตรวจสอบแล้วตาม
(๑) ซึ่งมีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อ ททท.
แล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่งเสนอราคาต่ำสุด
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดดังกล่าวไม่ยอมเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงกับ
ททท. ในเวลาที่กำหนดตามเอกสารประกวดราคา ให้คณะกรรมการพิจารณาจากผู้เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคา
ถ้าปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาดำเนินการตามข้อ ๓๒ โดยอนุโลม
(๓) ให้คณะกรรมการรายงานผลพิจารณาและความเห็น
พร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๔๐
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาได้ดำเนินการตามข้อ ๓๙ (๑)
แล้วปรากฏว่ามีผู้เสนอราคารายเดียว
หรือมีผู้เสนอราคาหลายรายแต่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคาเพียงรายเดียว
โดยปกติให้เสนอผู้ว่าการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
แต่ถ้าคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่จะดำเนินการต่อไปโดยไม่ต้องยกเลิกการประกวดราคา
ก็ให้ดำเนินการตามข้อ ๓๙ (๒) โดยอนุโลม
ข้อ ๔๑[๑๖]
ในกรณีที่ไม่มีผู้เสนอราคาหรือมีแต่ไม่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนด
ให้เสนอผู้ว่าการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น เพื่อดำเนินการประกวดราคาใหม่
หากผู้ว่าการเห็นว่าการประกวดราคาใหม่จะไม่ได้ผลดี
จะสั่งให้ดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๗) หรือข้อ ๑๗ (๗)
แล้วแต่กรณี ก็ได้
ข้อ ๔๒
หลังจากการประกวดราคาแล้วแต่ยังไม่ได้ทำสัญญาหรือตกลงซื้อหรือจ้างกับผู้เสนอราคา
รายใด ถ้ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท. อันเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในรายการละเอียดหรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคา
ซึ่งทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้เข้าประกวดราคาด้วยกันให้ผู้ว่าการพิจารณายกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
ข้อ ๔๒ ทวิ[๑๗]
การซื้อหรือการจ้างที่มีลักษณะจำเป็นจะต้องคำนึงถึงเทคโนโลยีของพัสดุ
และหรือข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าเสนอราคา
ซึ่งอาจจะมีข้อเสนอที่ไม่อยู่ในฐานเดียวกันเป็นเหตุให้มีปัญหาในการพิจารณาตัดสิน
และเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องให้มีการปรับปรุงข้อเสนอให้ครบถ้วนและเป็นไปตามความต้องการก่อนพิจารณาด้านราคา
ให้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับการประกวดราคาโดยทั่วไปเว้นแต่กำหนดให้ผู้เข้าเสนอราคายื่นซองประกวดราคาโดยแยกเป็น
(๑) ซองข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนออื่น ๆ
(๒) ซองข้อเสนอด้านราคา
ทั้งนี้ ให้กำหนดวิธีการ ขั้นตอน
และหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคาด้วย
ข้อ ๔๒ ตรี[๑๘] เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๔๒ ทวิ
ให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทำหน้าที่เปิดซองเทคนิคของผู้เสนอราคา
แทนคณะกรรมการรับและเปิดซองตามข้อ ๓๘ (๕) และพิจารณาผลการประกวดราคาตามข้อ ๔๒ ทวิ
โดยถือปฏิบัติตามข้อ ๓๙ ในส่วนที่ไม่ขัดกับการดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาข้อเสนอทางเทคนิค
และข้อเสนออื่นของผู้เข้าเสนอราคาทุกราย
และคัดเลือกเฉพาะรายที่เสนอได้ตรงหรือใกล้เคียงตามมาตรฐานความต้องการของ ททท.
ในกรณีจำเป็นสามารถเรียกผู้เสนอราคามาชี้แจงในรายละเอียดข้อเสนอเป็นการเพิ่มเติมข้อหนึ่งข้อใดก็ได้
(๒) เปิดซองราคาเฉพาะรายที่ได้ผ่านการพิจารณาคัดเลือกตาม
(๑) แล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่ประเมินราคาต่ำสุด
สำหรับรายอื่นที่ไม่ผ่านการพิจารณาให้ส่งคืนซองข้อเสนอด้านราคาโดยไม่เปิดซอง
ข้อ ๔๒ จัตวา[๑๙]
การซื้อหรือการจ้างที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าเสนอราคายื่นข้อเสนอทางการเงินมาด้วย
ให้กำหนดให้ผู้เสนอราคายื่นซองข้อเสนอทางการเงินแยกมาต่างหาก
และให้เปิดซองข้อเสนอทางการเงินพร้อมกับการเปิดซองราคาตามข้อ ๔๒ ตรี (๒)
เพื่อทำการประเมินเปรียบเทียบต่อไป
ทั้งนี้ ให้กำหนดวิธีการขั้นตอน และหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคาด้วย
วิธีพิเศษ
ข้อ ๔๓[๒๐] การซื้อโดยวิธีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีเป็นพัสดุจะขายทอดตลาด
ให้ดำเนินการซื้อโดยวิธีเจรจาตกลงราคา
(๒) ในกรณีเป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจเสียหายแก่การปฏิบัติงานให้เชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคาหากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๓)
ในกรณีเป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ
(๒)
(๔) ในกรณีที่เป็นพัสดุที่ได้ซื้อไว้แล้ว
แต่มีความจำเป็นต้องใช้เพิ่มในสถานการณ์ที่จำเป็นหรือเร่งด่วน
หรือเพื่อประโยชน์ของ ททท.
ให้เจรจากับผู้ขายรายเดิมตามสัญญาหรือข้อตกลงซึ่งยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาการส่งมอบเพื่อขอให้มีการขายพัสดุตามรายละเอียด
และราคาที่ต่ำกว่าหรือราคาเดิม
ภายใต้เงื่อนไขที่ดีกว่าหรือเงื่อนไขเดิมโดยคำนึงถึงราคาต่อหน่วยตามสัญญาเดิม
(ถ้ามี) เพื่อให้บังเกิดผลประโยชน์สูงสุดที่ ททท. จะได้รับ
(๕)
ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศให้เสนอผู้ว่าการเพื่อติดต่อสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ
หรือสืบราคาจากต่างประเทศแล้วเปรียบเทียบราคาในประเทศส่วนการซื้อโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศให้ติดต่อกับสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศที่มีอยู่ในประเทศโดยตรง
เว้นแต่กรณีที่ไม่มีสำนักงานในประเทศ ให้ติดต่อกับสำนักงานในต่างประเทศได้
(๖)
ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรงให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ
(๒)
(๗)
ในกรณีเป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดีให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคา หรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป
หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรซื้อเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๘)
ในกรณีพัสดุที่เป็นที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่งให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อ
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้ สำหรับการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศ
ในกรณีจำเป็นจะติดต่อผ่านนายหน้าหรือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามกฎหมายหรือประเพณีนิยมของท้องถิ่นก็ได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๔๔[๒๑] การจ้างโดยวิธีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) (๕) และ (๖)
ให้เชิญผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องถิ่น
หรือราคาที่ประมาณได้หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้าง
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๒) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๔) ให้เจรจากับผู้รับจ้างรายเดิมตามสัญญาหรือข้อตกลงซึ่งยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาการส่งมอบเพื่อขอให้มีการจ้างตามรายละเอียด
และราคาที่ต่ำกว่าหรือราคาเดิม โดยคำนึงถึงราคาต่อหน่วยตามสัญญาเดิม (ถ้ามี)
เพื่อให้บังเกิดผลประโยชน์สูงสุดที่ ททท. จะได้รับ
(๓) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๗)
ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคาหรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป
หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรจ้างเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องถิ่น
หรือราคาที่ประมาณได้ หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้าง
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
วิธีกรณีพิเศษ
ข้อ ๔๕[๒๒]
การดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ ให้ผู้ว่าการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างจากผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามข้อ ๑๙ ได้โดยตรง
เว้นแต่การซื้อหรือการจ้างที่มีราคาไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดซื้อหรือจ้างได้ภายในวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าการตามข้อ
๒๒
ข้อ ๔๕/๑[๒๓]
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์
และวิธีที่กำหนดไว้ในระเบียบของทางราชการที่ให้ดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
การตรวจรับพัสดุ
ข้อ ๔๖ คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจรับพัสดุ ณ ที่ทำการของ ททท. หรือที่ใช้พัสดุนั้น
หรือสถานที่ซึ่งกำหนดไว้ในสัญญาหรือข้อตกลง
การตรวจรับพัสดุ ณ สถานที่อื่น
ในกรณีที่ไม่มีสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการก่อน
(๒)
ตรวจรับพัสดุให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักฐานที่ตกลงกันไว้สำหรับกรณีที่มีการทดลองหรือตรวจสอบในทางเทคนิคหรือทางวิทยาศาสตร์
จะเชิญผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุนั้นมาให้คำปรึกษา
หรือส่งพัสดุนั้นไปทดลองหรือตรวจสอบ ณ สถานที่ของผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒินั้น
ๆ ก็ได้
ในกรณีจำเป็นที่ไม่สามารถตรวจนับเป็นจำนวนหน่วยทั้งหมดได้ให้ตรวจรับตามหลักวิชาการสถิติ
(๓)
โดยปกติให้ตรวจรับพัสดุในวันที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างนำพัสดุมาส่งและให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๔) เมื่อตรวจถูกต้องครบถ้วนแล้ว
ให้รับพัสดุไว้และถือว่าผู้ขายหรือผู้รับจ้างได้ส่งมอบพัสดุถูกต้องครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างนำพัสดุนั้นมาส่ง
แล้วมอบแก่เจ้าหน้าที่พัสดุพร้อมกับทำใบตรวจรับโดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย ๒
ฉบับ มอบแก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้าง ๑ ฉบับ และเจ้าหน้าที่พัสดุ ๑ ฉบับ
เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินและรายงานให้ผู้ว่าการทราบ
ในกรณีที่เห็นว่าพัสดุที่ส่งมอบมีรายละเอียดไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญา
หรือข้อตกลง ให้รายงานผู้ว่าการเพื่อทราบหรือสั่งการ แล้วแต่กรณี
(๕)
ในกรณีที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างส่งมอบพัสดุถูกต้องแต่ไม่ครบจำนวนหรือส่งมอบครบจำนวนแต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด
ถ้าสัญญาหรือข้อตกลงมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ให้ตรวจรับไว้เฉพาะจำนวนที่ถูกต้องโดยถือปฏิบัติตาม (๔)
และโดยปกติให้รีบรายงานผู้ว่าการเพื่อแจ้งให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทราบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันตรวจพบ
แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิ ททท.
ที่จะปรับผู้ขายหรือผู้รับจ้างในจำนวนที่ส่งมอบไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องนั้น
(๖) การตรวจรับพัสดุที่ประกอบกันเป็นชุดหรือเป็นหน่วย
ถ้าขาดส่วนประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้วจะไม่สามารถใช้การได้โดยสมบูรณ์
ให้ถือว่าผู้ขายหรือผู้รับจ้างยังมิได้ส่งมอบพัสดุนั้น
และโดยปกติให้รีบรายงานผู้ว่าการเพื่อแจ้งให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทราบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันที่ตรวจพบ
(๗)
ถ้ากรรมการตรวจรับพัสดุบางคนไม่ยอมรับพัสดุโดยทำความเห็นแย้งไว้ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ถ้าผู้ว่าการสั่งการให้รับพัสดุนั้นไว้ จึงดำเนินการตาม (๔) หรือ (๕) แล้วแต่กรณี
การตรวจการจ้างและการควบคุมงานก่อสร้าง
ข้อ ๔๗ คณะกรรมการตรวจการจ้าง มีหน้าที่ดังนี้
(๑)
ตรวจสอบรายงานการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้อมที่ผู้ควบคุมงานรายงาน
โดยตรวจสอบกับแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาทุกสัปดาห์รวมทั้งรับทราบหรือพิจารณาการสั่งหยุดงานหรือพักงานของผู้ควบคุมงาน
แล้วรายงานผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
(๒) การดำเนินการตาม (๑)
ในกรณีมีข้อสงสัยหรือมีกรณีที่เห็นว่าตามหลักวิชาการช่างไม่น่าจะเป็นไปได้
ให้ออกตรวจงานจ้าง ณ สถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือที่ตกลงให้ทำงานจ้างนั้น ๆ
โดยให้มีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือตัดทอนงานจ้างได้ตามที่เห็นสมควรและตามหลักวิชาการช่าง
เพื่อให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
(๓) โดยปกติให้ตรวจผลงานที่ผู้รับจ้างส่งมอบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันที่ประธานกรรมการได้รับทราบการส่งมอบงาน
และให้ทำการตรวจรับให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๔)
เมื่อตรวจเห็นว่าเป็นการถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแล้ว
ให้ถือว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้รับจ้างส่งงานจ้างนั้น
และให้ทำใบรับรองผลการปฏิบัติงานทั้งหมดหรือเฉพาะงวด แล้วแต่กรณี
โดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย ๒ ฉบับ มอบให้แก่ผู้รับจ้าง ๑ ฉบับ
และเจ้าหน้าที่พัสดุ ๑ ฉบับ เพื่อทำการเบิกจ่ายเงิน และรายงานให้ผู้ว่าการทราบ
ในกรณีที่เห็นว่าผลงานที่ส่งมอบทั้งหมดหรืองวดใดก็ตาม
ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
ให้รายงานผู้ว่าการเพื่อทราบหรือสั่งการ แล้วแต่กรณี
(๕)
ในกรณีที่กรรมการตรวจการจ้างบางคนไม่ยอมรับงานโดยทำความเห็นแย้งไว้
ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อสั่งการ ถ้าผู้ว่าการสั่งการให้ตรวจรับงานจ้างนั้นไว้
จึงจะดำเนินการตาม (๔)
ข้อ ๔๘ ผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจและควบคุมงาน ณ
สถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือที่ตกลงให้ทำงานจ้างนั้น ๆ ทุกวัน
ให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดไว้ในสัญญาทุกประการ โดยสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือตัดทอนงานจ้างได้ตามที่เห็นสมควรและตามหลักวิชาช่างเพื่อให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
ถ้าผู้รับจ้างขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็สั่งให้หยุดงานนั้นเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด
แล้วแต่กรณี ไว้ก่อนจนกว่าผู้รับจ้างจะยอมปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสั่ง
และให้รายงานคณะกรรมการตรวจการจ้างทันที
(๒)
ในกรณีที่ปรากฏว่าแบบรูปรายการละเอียดหรือข้อกำหนดในสัญญามีข้อความขัดกันหรือเป็นที่คาดหมายได้ว่าถึงแม้ว่างานนั้นจะได้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแต่เมื่อสำเร็จแล้วจะไม่มั่นคงแข็งแรงหรือไม่เป็นไปตามหลักวิชาช่างที่ดี
หรือไม่ปลอดภัย ให้สั่งพักงานนั้นไว้ก่อนแล้วรายงานคณะกรรมการตรวจการจ้างโดยเร็ว
(๓)[๒๔]
จดบันทึกสภาพการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง
และเหตุการณ์แวดล้อมเป็นรายวันพร้อมทั้งผลการปฏิบัติงาน
หรือการหยุดงานและสาเหตุที่มีการหยุดงาน อย่างน้อย ๒ ฉบับ
เพื่อรายงานให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบทุกสัปดาห์
และเก็บรักษาไว้เพื่อมอบให้แก่เจ้าหน้าที่พัสดุเมื่อเสร็จงานแต่ละงวดเพื่อประกอบการตรวจสอบของผู้มีหน้าที่
การบันทึกการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างให้ระบุรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติงานและวัสดุที่ใช้ด้วย
(๔)
ในวันกำหนดลงมือทำการของผู้รับจ้างตามสัญญาและในวันถึงกำหนดส่งมอบงานแต่ละงวด
ให้รายงานผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างว่าเป็นไปตามสัญญาหรือไม่
ให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบภายใน ๓ วันทำการ นับแต่วันถึงกำหนดนั้น ๆ
อำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง
ข้อ ๔๙[๒๕] การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างครั้งหนึ่งนอกจากวิธีพิเศษ
และวิธีกรณีพิเศษ ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๕๐[๒๖]
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีพิเศษครั้งหนึ่ง
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่ง และภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๕๑ การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยไม่จำกัดวงเงิน
การจ้างที่ปรึกษา
ข้อ ๕๒[๒๗] การจ้างที่ปรึกษากระทำได้ ๒ วิธี คือ
(๑) วิธีตกลง
(๒) วิธีคัดเลือก
ข้อ ๕๒ ทวิ[๒๘]
ก่อนดำเนินการจ้างที่ปรึกษา ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษา
(๒) ขอบเขตโดยละเอียดของงานที่จะจ้างที่ปรึกษา
(๓) คุณสมบัติของที่ปรึกษาที่จะจ้าง
(๔) วงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาโดยประมาณ
(๕) กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงาน
(๖) วิธีจ้างที่ปรึกษาและเหตุผลที่ต้องจ้างโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ ถ้ามี
เมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบตามรายงานที่เสนอแล้วให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการจ้างตามวิธีจ้างนั้นต่อไปได้
ข้อ ๕๓[๒๙] ในการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาแต่ละครั้ง
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ แล้วแต่กรณี
คือ
(๑) คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
(๒) คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
การแต่งตั้งคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ
๑ คนและกรรมการอย่างน้อย ๔ คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานระดับ ๕
หรือเทียบเท่าขึ้นไป อย่างน้อย ๒ คน ในกรณีจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์แก่ ททท.
ให้แต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิในงานที่จะจ้างที่ปรึกษาเป็นกรรมการด้วย
เว้นแต่สำนักงานสาขาในต่างประเทศ ให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ ๑ คน
และกรรมการอย่างน้อย ๒ คน โดยอาจแต่งตั้งจากลูกจ้างของสำนักงานนั้น
เป็นกรรมการก็ได้[๓๐]
ข้อ ๕๓ ทวิ[๓๑] การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
ได้แก่การจ้างที่ปรึกษาที่ผู้ว่าจ้างตกลงจ้างรายใดรายหนึ่งซึ่งเคยทราบหรือเคยเห็นความสามารถ
และผลงานแล้ว และเป็นผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้
ข้อ ๕๓ ตรี[๓๒] การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นการจ้างเพื่อทำงานต่อเนื่องจากงานที่ได้ทำอยู่แล้ว
(๒)
เป็นการจ้างในกรณีที่ทราบแน่ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญในงานที่จะให้บริการตามที่ต้องการมีจำนวนจำกัด
ไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการด้วยวิธีคัดเลือก
(๓) เป็นการจ้างที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ ททท.
ข้อ ๕๓ จัตวา[๓๓]
คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษา
(๒) พิจารณาอัตราค่าจ้างและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ที่เกี่ยวเนื่องกับบริการที่จะจ้างและเจรจาต่อรอง
(๓) พิจารณารายละเอียดที่จะกำหนดในสัญญา
(๔)
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๕๔ ในการประชุมของคณะกรรมการตามข้อ ๕๓
ให้นำข้อ ๒๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๕๕[๓๔] การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
ได้แก่การจ้างที่ปรึกษาโดยการคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานนั้นให้เหลือน้อยรายและเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้รับการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายดังกล่าวยื่นข้อเสนอเข้ารับงานนั้น
ๆ เพื่อพิจารณาคัดเลือกรายที่ดีที่สุด ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรและผู้ว่าการเห็นชอบให้เชิญที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมยื่นข้อเสนอเข้ารับงาน
โดยไม่ต้องทำการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายก็ได้
การคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลือน้อยราย
ให้คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาพิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลืออย่างมาก ๖
ราย
เมื่อได้ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลือน้อยรายแล้วให้รายงานผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๕๖ ให้ ททท.
ออกหนังสือเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้คัดเลือกไว้ยื่นข้อเสนอเพื่อรับงานตามวิธีหนึ่งวิธีใด
ดังต่อไปนี้
(๑)
ยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านราคาพร้อมกันโดยแยกเป็น ๒ ซอง
(๒) ยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคเพียงซองเดียว
ข้อ ๕๗[๓๕]
คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือกมี หน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก
(๒) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาทุกรายและจัดลำดับ
(๓) ในกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ ๕๖ (๑) ให้เปิดซองเสนอด้านราคาของที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
สำหรับกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ ๕๖ (๒)
ให้เชิญที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดมายื่นข้อเสนอด้านราคาและเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
หากเจรจาไม่ได้ผล ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อพิจารณายกเลิกการเจรจากับที่ปรึกษารายนั้นแล้วเปิดซองข้อเสนอด้านราคาของที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดรายถัดไป
หรือเชิญที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดรายถัดไปให้ยื่นข้อเสนอด้านราคา
แล้วแต่กรณี และเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
(๔) เมื่อเจรจาได้ราคาที่เหมาะสมแล้วให้พิจารณาเงื่อนไขต่าง
ๆ ที่จะกำหนดในสัญญา
(๕) ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณา
และความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการ
ในกรณีที่ใช้วิธีการยื่นข้อเสนอตามข้อ ๕๖ (๑)
หลังจากตัดสินให้ทำสัญญากับที่ปรึกษา ซึ่งได้รับการคัดเลือกแล้ว
ให้ส่งคืนซองข้อเสนอด้านราคาให้แก่ที่ปรึกษารายอื่นที่ได้ยื่นไว้โดยไม่เปิดซอง
ข้อ ๕๘
การจ้างที่ปรึกษาที่เป็นงานที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและมีที่ปรึกษาซึ่งสามารถทำงานนั้นได้เป็นการทั่วไป
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะออกหนังสือเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้คัดเลือกไว้ให้ยื่นข้อเสนอเพื่อรับงาน
โดยให้ดำเนินการตามวิธีดังต่อไปนี้คือ
(๑)
ให้ที่ปรึกษายื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านราคาพร้อมกันโดยแยกเป็น ๒ ซอง
(๒)
ให้คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาทุกราย
และจัดลำดับ
(๓)
เปิดซองข้อเสนอด้านราคาของผู้ที่ได้รับการจัดลำดับไว้อันดับหนึ่งถึงอันดับสามตาม
(๒) พร้อมกัน แล้วเลือกรายที่เสนอราคาต่ำสุดมาเจรจาต่อรองราคาเป็นลำดับแรก
(๔) หากเจรจาตาม (๓) แล้วไม่ได้ผล
ให้ยกเลิกแล้วเจรจากับรายที่เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
เมื่อเจรจาได้ผลประการใด ให้ดำเนินการตามข้อ ๕๗ (๔) และ (๕)
ข้อ ๕๙
การจ้างที่ปรึกษาเป็นรายบุคคลที่ไม่ต้องยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคให้ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามนัยข้อ
๕๕ และพิจารณาจัดลำดับ และเมื่อสามารถจัดลำดับได้แล้วให้เชิญรายที่เหมาะสมที่สุดมาเสนอราคาค่าจ้างเพื่อเจรจาต่อรองราคาตามลำดับ
ข้อ ๖๐[๓๖] การสั่งจ้างที่ปรึกษาครั้งหนึ่ง
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๖๑
อัตราค่าจ้างที่ปรึกษาให้เป็นไปตามความเหมาะสมและประหยัดโดยให้คำนึงถึงองค์ประกอบต่าง
ๆ เช่น ลักษณะของงานที่จะจ้าง อัตราค่าจ้างของงานในลักษณะเดียวกันที่ ททท.
เคยจ้างจำนวนคนต่อเดือน เท่าที่จำเป็น ดัชนีค่าครองชีพ เป็นต้น
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้า
ให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ของค่าจ้างตามสัญญา
และที่ปรึกษาจะต้องจัดให้ธนาคารเป็นผู้ค้ำประกันเงินค่าจ้างที่ได้รับล่วงหน้าไปนั้นและให้ผู้ว่าการคืนหนังสือค้ำประกันดังกล่าวให้แก่ที่ปรึกษาเมื่อ
ททท. ได้หักเงินที่ได้จ่ายล่วงหน้าจากเงินค่าจ้างตามผลงานแต่ละงวดครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้
ให้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วย
ข้อ ๖๒
การจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ที่ปรึกษาที่แบ่งการชำระเงินออกเป็นงวดให้ผู้ว่าการหักเงินที่จะจ่ายแต่ละครั้งในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินค่าจ้าง เพื่อเป็นการประกันผลงาน
หรือจะให้ที่ปรึกษาใช้หนังสือค้ำประกันของธนาคารในประเทศมีอายุการค้ำประกันตามที่ผู้ว่าการจะกำหนดวางค้ำประกันแทนเงินที่หักไว้ก็ได้ ทั้งนี้ ให้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วย
ข้อ ๖๓ กรณีสัญญาจ้างที่ปรึกษาตามโครงการเงินกู้ทีได้รวมเงินค่าภาษีซึ่งที่ปรึกษาจะต้องจ่ายให้แก่รัฐบาลไทยไว้ในราคาจ้าง
ให้แยกเงินส่วนที่กันเป็นค่าภาษีไว้ต่างหากจากราคาจ้างรวม
หลักประกัน
ข้อ ๖๔[๓๗]
หลักประกันซองหรือหลักประกันสัญญาให้ใช้หลักประกันอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
(๑) เงินสด
(๒) เช็คที่ธนาคารเซ็นสั่งจ่าย
ซึ่งเป็นเช็คลงวันที่ที่ใช้เช็คนั้นยื่นต่อเจ้าหน้าที่ หรือก่อนวันนั้นไม่เกิน ๓
วันทำการ
(๓) หนังสือค้ำประกันของธนาคารภายในประเทศ
(๔)[๓๘]
หนังสือค้ำประกันของบริษัทเงินทุน
หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์
และประกอบธุรกิจค้ำประกัน ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามรายชื่อบริษัทเงินทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งเวียนให้ทราบ
โดยอนุโลมให้ใช้ตามตัวอย่างหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่ ททท. กำหนด
(๕) พันธบัตรรัฐบาลไทย
ข้อ ๖๕ หลักประกันซองและหลักประกันสัญญาในข้อ ๖๔
ให้กำหนดมูลค่าเป็นจำนวนเต็มในอัตราร้อยละ ๕
ของวงเงินหรือราคาพัสดุที่จัดหาครั้งนั้น แล้วแต่กรณี
เว้นแต่การจัดหาพัสดุที่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ
จะกำหนดอัตราสูงกว่าร้อยละ ๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ก็ได้
ในการทำสัญญาจัดหาพัสดุที่มีระยะเวลาผูกพันตามสัญญาเกิน ๑
ปี และพัสดุนั้นไม่ต้องมีการประกันเพื่อความชำรุดบกพร่อง เช่น พัสดุใช้สิ้นเปลือง
ให้กำหนดหลักประกันในอัตราร้อยละ ๕ ของราคาพัสดุที่ส่งมอบในแต่ละปีของสัญญา
โดยให้ถือว่าหลักประกันนี้เป็นการค้ำประกันตลอดอายุสัญญา และหากในปีต่อไปราคาพัสดุที่ส่งมอบแตกต่างไปจากราคาในรอบปีก่อน
ให้ปรับปรุงหลักประกันตามอัตราส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก่อนครบรอบปี
ในกรณีที่หลักประกันต้องปรับปรุงในทางที่เพิ่มขึ้น
และคู่สัญญาไม่นำหลักประกันมาเพิ่มให้ครบจำนวนภายใน ๑๕ วัน
ก่อนการส่งมอบพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้น ให้ ททท. หักจากเงินค่าพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้นที่
ททท. จะต้องจ่ายไว้เป็นหลักประกันในส่วนที่เพิ่มขึ้น
การกำหนดหลักประกันตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือเอกสารประกวดราคา และในสัญญาด้วย
แล้วแต่กรณี
ข้อ ๖๖[๓๙] ให้ ททท. คืนหลักประกันให้แก่ผู้เสนอราคา
คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) หลักประกันซอง ให้คืนแก่ผู้เสนอราคา
หรือผู้ค้ำประกันภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้พิจารณาในเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
เว้นแต่ผู้เสนอราคารายที่คัดเลือกไว้ซึ่งเสนอราคาต่ำสุดไม่เกิน ๓ ราย
ให้คืนต่อเมื่อได้ทำสัญญาหรือข้อตกลง หรือผู้เสนอราคาได้พ้นจากข้อผูกพันแล้ว
(๒) หลักประกันสัญญา
ให้คืนให้แก่คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันโดยเร็ว และอย่างช้าต้องไม่เกิน ๑๕ วัน
นับแต่วันที่คู่สัญญาพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญาแล้ว
การซื้อหรือการจ้างที่ไม่ต้องมีหลักประกันเพื่อความชำรุดบกพร่องให้คืนหลักประกันให้แก่คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันตามอัตราส่วนของพัสดุซึ่ง
ททท. ได้รับมอบไว้แล้ว
แต่ทั้งนี้จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือเอกสารประกวดราคา
และในสัญญาด้วย
การคืนหลักประกันที่เป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร
บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาหรือคู่สัญญาไม่มารับภายในกำหนดเวลาข้างต้น
ให้รีบส่งต้นฉบับหนังสือค้ำประกันให้แก่ผู้เสนอราคาหรือคู่สัญญาโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนโดยเร็วพร้อมกับแจ้งให้ธนาคาร
บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผู้ค้ำประกันทราบด้วย[๔๐]
ข้อ ๖๗
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้เสนอราคาหรือเป็นคู่สัญญาไม่ต้องวางหลักประกัน
การจ่ายเงินล่วงหน้า
ข้อ ๖๘
การจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะกระทำมิได้
เว้นแต่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องจ่ายและมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ก่อนการทำสัญญาหรือข้อตกลง
ให้กระทำได้เฉพาะในกรณีและตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การซื้อหรือจ้างจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
หรือบริษัทที่ ททท. ลงทุนหรือร่วมทุนด้วย จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐
ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
(๒) การซื้อพัสดุจากต่างประเทศโดยดำเนินการผ่านองค์การระหว่างประเทศ
ให้จ่ายได้ตามที่ตกลงกับองค์การระหว่างประเทศ
(๓)[๔๑]
การบอกรับวารสารหรือการสั่งจองหนังสือหรือวารสารหรือการจัดซื้อฐานข้อมูลสำเร็จรูป
(CD-ROM) ที่มีลักษณะจะต้องบอกรับเป็นสมาชิกก่อนและมีกำหนดการออกเป็นวาระดังเช่นวารสาร
หรือการบอกรับเป็นสมาชิก INTERNET เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์เรียกค้นหาข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข้อมูลต่าง
ๆ โดยอาศัยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ให้จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง
(๔) การซื้อหรือจ้างโดยวิธีสอบราคาหรือประกวดราคา
จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง แต่ทั้งนี้จะต้องกำหนดอัตราค่าพัสดุหรือค่าจ้างที่จะจ่ายล่วงหน้าไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือประกวดราคาด้วย
(๕) การซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษ ให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ
๑๕ ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
การจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามแบบธรรมเนียมการค้าระหว่างประเทศโดยเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต
หรือโดยวิธีใช้ดร๊าฟท์กรณีที่วงเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท
หรือจ่ายเงินตามความก้าวหน้าในการจัดหาพัสดุที่สั่งซื้อ
ให้กระทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการจ่ายเงินล่วงหน้า
ข้อ ๖๙
การจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตามข้อ ๖๘ (๑) (๒) และ (๓) ไม่ต้องเรียกหลักประกัน
ส่วนการจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตามข้อ ๖๘ (๔)
และ (๕)
ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะต้องจัดให้ธนาคารในประเทศธนาคารหนึ่งหรือหลายธนาคารเป็นผู้ค้ำประกันเงินที่รับล่วงหน้าไปนั้น
การทำสัญญาซื้อขายและสัญญาจ้าง
ข้อ ๗๐[๔๒] การซื้อหรือการจ้าง ให้ทำสัญญาตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้
เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้จะทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการ
(๑) การซื้อ การจ้าง หรือการแลกเปลี่ยน โดยวิธีตกลงราคา
(๒) การซื้อหรือการจ้าง
ที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างสามารถส่งมอบพัสดุได้ครบถ้วน ภายใน ๕ วันทำการ
นับแต่วันถัดจากวันตกลงซื้อขายหรือจ้าง
(๓) การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
และการจัดหาจากส่วนราชการ
(๔) การซื้อโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๑) (๒) (๔) (๕) และข้อ
๑๘
(๕) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖)
และข้อ ๑๘
สำหรับการซื้อที่ผู้ขายสามารถส่งมอบพัสดุได้ทันที
หรือในกรณีการซื้อหรือการจ้างที่ดำเนินการตามข้อ ๒๘ วรรคสอง
หรือการซื้อหรือการจ้างที่มีราคาไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท
จะไม่ทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
ข้อ ๗๑ การทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือ
ให้กำหนดค่าปรับ ดังนี้
(๑) การซื้อหรือการจ้างที่ไม่ต้องการผลสำเร็จของงานพร้อมกัน
ให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันในอัตราตายตัวระหว่างร้อยละ ๐.๐๒ - ๐.๒๐
ของราคาพัสดุที่ยังไม่ได้รับมอบ
(๒) การจ้างที่ต้องการผลสำเร็จของงานพร้อมกัน
ให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันเป็นจำนวนเงินตายตัวในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ - ๐.๑๐
ของราคางานจ้างนั้น แต่จะต้องไม่ต่ำกว่าวันละ ๒๐๐ บาท
(๓) การทำสัญญาจ้างที่ปรึกษา หาก ททท.
เห็นว่าถ้าไม่กำหนดค่าปรับไว้ในสัญญาจะเกิดความเสียหายแก่ ททท. ให้ ททท.
กำหนดค่าปรับเป็นรายวันในอัตราหรือจำนวนเงินตายตัวในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ - ๐.๑๐
ของราคางานจ้างนั้นได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น[๔๓]
การกำหนดค่าปรับตามวรรคหนึ่งในอัตราหรือเป็นจำนวนเงินตายตัวเท่าใดให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการ
ในกรณีการซื้อสิ่งของที่ประกอบกันเป็นชุด
ถ้าขาดส่วนประกอบส่วนหนึ่งส่วนใดไปแล้ว จะไม่สามารถใช้การได้โดยสมบูรณ์
แม้ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของภายในกำหนดตามสัญญาแต่ยังขาดส่วนประกอบบางส่วน
ต่อมาได้ส่งมอบส่วนประกอบที่ยังขาดนั้นเกินกำหนดสัญญา
ให้ถือว่าไม่ได้ส่งมอบสิ่งของนั้นเลย ให้ปรับเต็มราคาของทั้งชุด
ในกรณีการซื้อสิ่งของที่คิดราคารวมทั้งค่าติดตั้งหรือทดลองด้วย
ถ้าติดตั้งหรือทดลองเกินกว่ากำหนดตามสัญญาเป็นจำนวนวันเท่าใดให้ปรับเป็นรายวันในอัตราที่กำหนดของราคาทั้งหมด
เมื่อครบกำหนดส่งมอบพัสดุหรืองานจ้างตามสัญญาหรือข้อตกลงให้
ททท. รีบแจ้งการเรียกค่าปรับตามสัญญาหรือข้อตกลงจากคู่สัญญา
และเมื่อคู่สัญญาได้ส่งมอบพัสดุหรืองานจ้างให้ ททท.บอกสงวนสิทธิการเรียกค่าปรับในขณะที่รับมอบพัสดุนั้นด้วย
ข้อ ๗๒
การทำสัญญารายใดถ้าจำเป็นต้องมีข้อความหรือรายการแตกต่างไปจากตัวอย่างสัญญาท้ายข้อบังคับนี้
โดยมีสาระสำคัญตามที่กำหนดไว้ในตัวอย่างสัญญาและไม่ทำให้ ททท.
เสียเปรียบก็ให้กระทำได้ เว้นแต่ผู้ว่าการเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ
ก็ให้ส่งร่างสัญญานั้นไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน
ในกรณีที่ไม่อาจทำสัญญาตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้ได้
และจำเป็นต้องร่างสัญญาขึ้นใหม่
ต้องส่งร่างสัญญานั้นให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน
เว้นแต่การทำสัญญาตามแบบที่เคยผ่านการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดมาแล้ว
ในกรณีจำเป็นต้องทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นภาษาต่างประเทศ
ให้ทำเป็นภาษาอังกฤษแต่ต้องการมีคำแปลเป็นภาษาไทยไว้ด้วย
การทำสัญญาหรือข้อตกลงของสำนักงานสาขาในต่างประเทศจะทำเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สำนักงานสาขานั้นตั้งอยู่ก็ได้
โดยผ่านการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของประเทศนั้น ๆ หรือของ ททท.[๔๔]
ข้อ ๗๓
สัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือที่ได้ลงนามแล้ว จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้
เว้นแต่การแก้ไขนั้นจะเป็นความจำเป็นโดยไม่ทำให้ ททท.
ต้องเสียประโยชน์หรือเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์แก่ ททท. ให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลงตามวรรคหนึ่ง
หากมีความจำเป็นต้องเพิ่มหรือลดวงเงิน หรือเพิ่มหรือลดระยะเวลาส่งมอบของ
หรือระยะเวลาในการทำงาน ให้ตกลงพร้อมกันไป
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลงที่ได้ลงนามแล้วตามวรรคหนึ่ง
ในกรณีที่ต้องเพิ่มวงเงินหากวงเงินที่เพิ่มขึ้นรวมกับวงเงินค่าพัสดุหรืองานจ้างในสัญญาหรือข้อตกลงเดิม
เป็นวงเงินสั่งซื้อหรือสั่งจ้างซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งตามที่กำหนดไว้ในข้อ
๔๙ และข้อ ๕๐ ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
แต่ทั้งนี้จะต้องขอทำความตกลงกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามระเบียบปฏิบัติด้วย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
สำหรับการซื้อหรือจ้างที่เกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรงของสิ่งก่อสร้างหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่าง
จะต้องได้รับการรับรองจากวิศวกร
สถาปนิกและวิศวกรผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรับผิดชอบหรือสามารถรับรองแบบและรายการของงานก่อสร้างหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่าง
แล้วแต่กรณี ด้วย
ข้อ ๗๔
ให้ผู้ว่าการพิจารณาใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง
ในกรณีที่มีเหตุอันเชื่อได้ว่าผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
การตกลงกับคู่สัญญาที่จะบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง
ให้ผู้ว่าการพิจารณาได้เฉพาะกรณีที่เป็นประโยชน์แก่ ททท. โดยตรง
หรือเพื่อแก้ไขข้อเสียเปรียบของ ททท.
ในการที่จะปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้นต่อไป
ข้อ ๗๕ ในกรณีที่คู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงได้และจะต้องมีการปรับตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้น
หากจำนวนเงินค่าปรับจะเกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างให้ ททท.
พิจารณาดำเนินการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง
เว้นแต่คู่สัญญาจะได้ยินยอมเสียค่าปรับให้แก่ ททท. โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น
ให้ผู้ว่าการพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จำเป็น
ข้อ ๗๖ การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา
หรือการขยายเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลงให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาได้ตามจำนวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริงเฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เหตุเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของ ททท.
(๒) เหตุสุดวิสัย
(๓)
เหตุเกิดจากพฤติการณ์อันหนึ่งอันใดที่คู่สัญญาไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย[๔๕]
ให้ ททท.
ระบุไว้ในสัญญากำหนดให้คู่สัญญาต้องแจ้งเหตุดังกล่าวให้ ททท. ทราบภายใน ๑๕ วัน
นับแต่เหตุนั้นได้สิ้นสุดลง หากมิได้แจ้งภายในเวลาที่กำหนด
คู่สัญญาจะยกมากล่าวอ้างเพื่อขอลดหรืองดค่าปรับหรือขอขยายเวลาในภายหลังมิได้
เว้นแต่กรณีตาม (๑) ซึ่งมีหลักฐานชัดแจ้งหรือ ททท. ทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
ข้อ ๗๗
ให้ผู้ว่าการส่งสำเนาสัญญาซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป
ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันทำสัญญา
การลงโทษผู้ทิ้งงาน
ข้อ ๗๘[๔๖]
ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกแล้วไม่ยอมไปทำสัญญาหรือข้อตกลงภายในเวลาที่ ททท.
กำหนด หรือคู่สัญญาของ ททท.
ไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรหรือผู้เสนอราคาหรือผู้เสนองานกระทำการอันเป็นการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการ หรือกระทำการโดยไม่สุจริต
ให้ผู้ว่าการพิจารณาสั่งให้บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ทิ้งงาน
ในกรณีที่นิติบุคคลใดถูกสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำดังกล่าวเกิดจากหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ
ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของนิติบุคคลนั้น
ให้ผู้ว่าการสั่งบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ทิ้งงาน
และให้มีผลไปถึงนิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งมีหุ้นส่วนผู้จัดการ
กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของนิติบุคคล
ที่ถูกพิจารณาให้เป็นผู้ทิ้งงานด้วย
คำสั่งที่ให้บุคคลธรรมดาเป็นผู้ทิ้งงานตามวรรคหนึ่งให้มีผลไปถึงนิติบุคคลอื่นที่เข้าเสนอราคา
ซึ่งมีบุคคลดังกล่าวเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร
หรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงาน ในกิจการของนิติบุคคลนั้นด้วย
เมื่อผู้ว่าการได้พิจารณาสั่งให้บุคคลใดเป็นผู้ทิ้งงานแล้ว
ให้ผู้ว่าการระบุชื่อผู้ทิ้งงานไว้ในบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงาน
พร้อมทั้งแจ้งชื่อผู้ทิ้งงานให้กระทรวงการคลังทราบ
รวมทั้งแจ้งให้ผู้ทิ้งงานรายนั้นทราบด้วย
ผู้ซึ่งถูกสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของผู้ว่าการต่อคณะกรรมการ
ททท. ได้ โดยยื่นเป็นหนังสือต่อผู้ว่าการภายใน ๑๕ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว
ข้อ
๗๘/๑[๔๗]
ให้ผู้ว่าการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานตามที่ได้กำหนดไว้ในหมวดนี้
ห้าม
ททท. ก่อนิติสัมพันธ์กับผู้ทิ้งงานที่ผู้ว่าการ
หรือผู้รักษาการตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุของส่วนราชการได้ระบุชื่อไว้ในบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานและได้แจ้งเวียนชื่อแล้ว
เว้นแต่ผู้ว่าการหรือผู้รักษาการตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุของส่วนราชการจะสั่งเพิกถอนการเป็นผู้ทิ้งงาน
การห้าม
ททท. ก่อนิติสัมพันธ์กับผู้ทิ้งงานตามวรรคสอง ให้ใช้บังคับกับบุคคลตามข้อ ๗๘
วรรคสาม ด้วย
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลใดที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาให้เป็นผู้ทิ้งงานตามข้อกำหนดในส่วนนี้
ให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิเสนอราคาหรือเสนองานให้แก่ ททท. ได้
แต่ถ้าผลการพิจารณาต่อมาผู้ว่าการได้สั่งให้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลนั้นเป็นผู้ทิ้งงาน
ให้ผู้ว่าการตัดรายชื่อบุคคลดังกล่าวออกจากรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับการคัดเลือก
หรือยกเลิกการเปิดซองสอบราคา ประกวดราคาหรือเสนองาน
หรือยกเลิกการลงนามในสัญญาที่ได้กระทำก่อนการสั่งการของผู้ว่าการ เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ว่าการพิจารณาเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่
ททท. อย่างยิ่ง
ผู้ว่าการจะไม่ตัดรายชื่อบุคคลดังกล่าวออกจากรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับการคัดเลือกหรือจะไม่ยกเลิกการเปิดซองสอบราคา
ประกวดราคา
หรือเสนองานหรือจะไม่ยกเลิกการลงนามในสัญญาซื้อหรือจ้างที่ได้กระทำก่อนมีคำสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานก็ได้
ส่วนที่ ๒
การจัดทำเอง
ข้อ ๗๙ ในการจัดทำเอง
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งผู้ควบคุมรับผิดชอบในการจัดทำเองนั้น และแต่งตั้ง
คณะกรรมการตรวจการปฏิบัติงาน
โดยมีคุณสมบัติและหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ส่วนที่ ๓
การแลกเปลี่ยน
ข้อ ๘๐ การแลกเปลี่ยนพัสดุจะกระทำมิได้
เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความจำเป็นก็ให้กระทำได้
ข้อ ๘๑ ในกรณีต้องมีการแลกเปลี่ยนพัสดุ
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุรายงานผู้ว่าการเพื่อพิจารณาสั่งการ
โดยให้รายงานตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องแลกเปลี่ยน
(๒) รายละเอียดของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยน
(๓) ราคาที่ซื้อหรือได้มาของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยนและราคาที่จะแลกเปลี่ยนได้โดยประมาณ
(๔) พัสดุที่จะรับแลกเปลี่ยน
และให้ระบุว่าจะแลกเปลี่ยนกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน
(๕) ข้อเสนออื่น ๆ
ในกรณีที่จะแลกเปลี่ยนกับเอกชน
ให้ระบุวิธีที่จะแลกเปลี่ยนพร้อมทั้งเหตุผล โดยเสนอให้นำวิธีการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่พัสดุที่จะแลกเปลี่ยนนั้นมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
จะเสนอให้ใช้วิธีตกลงราคาก็ได้
ข้อ ๘๒ การแลกเปลี่ยนพัสดุกับเอกชน ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง
หรือหลายคณะตามความจำเป็น โดยถือปฏิบัติตามข้อ ๒๔ ข้อ ๒๕ หรือข้อ ๒๖ แล้วแต่กรณี
โดยอนุโลม
ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ดังนี้
(๑)
ตรวจสอบและประเมินราคาพัสดุที่ต้องการแลกเปลี่ยนตามสภาพปัจจุบันของพัสดุนั้น
(๒) ตรวจสอบรายละเอียดพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนว่าเป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยใช้งานมาก่อน
เว้นแต่พัสดุเก่าที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนนั้นจะเป็นความจำเป็นโดยไม่ทำให้ ททท.
ต้องเสียประโยชน์หรือเพื่อประโยชน์แก่ ททท.
(๓) เปรียบเทียบราคาพัสดุที่จะแลกเปลี่ยนกัน
โดยพิจารณาจากราคาที่ประเมินตาม (๑)
และราคาพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนซึ่งถือตามราคาในท้องตลาดโดยทั่วไป
(๔)
ต่อรองกับผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรแลกเปลี่ยน
(๕) เสนอความเห็นต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
(๖) ตรวจรับพัสดุโดยปฏิบัติตามข้อ ๔๖ โดยอนุโลม
ข้อ ๘๓ การแลกเปลี่ยนพัสดุกับส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการกับหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานนั้น ๆ
ที่จะตกลงกัน
ส่วนที่ ๔
การเช่า
ข้อ ๘๔[๔๘] การเช่า หมายถึง
การเช่าสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์รวมทั้งบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่า
เพื่อประโยชน์ในกิจการของ ททท. ให้นำข้อกำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้
ไม่รวมถึงการเช่าบริการพื้นที่ชั่วคราว ซึ่งหมายถึงการเช่าอสังหาริมทรัพย์
เพื่อดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่มีระยะเวลาการเช่าไม่เกิน ๑ เดือน ให้ดำเนินการโดยวิธีตกลงราคา
ข้อ ๘๔/๑[๔๙] การอนุมัติและการจ่ายเงินค่าเช่าบริการพื้นที่ชั่วคราวล่วงหน้า
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่ง ดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๘๕ การเช่าอสังหาริมทรัพย์
ให้ดำเนินการโดยวิธีตกลงราคาและให้กระทำได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เช่าที่ดินหรือสถานที่เพื่อประโยชน์ในกิจการของ ททท.
(๒) เช่าสถานที่เพื่อใช้เป็นที่พัก
(๓) การเช่าอื่น ๆ ที่คณะกรรมการ ททท. ให้ความเห็นชอบ
ข้อ ๘๖ การรายงานขอเช่า ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องเช่า และระยะเวลาที่ขอเช่า
(๒) ราคาค่าเช่าโดยประมาณหรือราคาค่าเช่าที่ผู้ให้เช่าเสนอ
(๓) รายละเอียดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะเช่า เช่น
สภาพของสถานที่บริเวณที่ต้องการใช้พร้อมทั้งภาพถ่าย และราคาค่าเช่าครั้งหลังสุด
เป็นต้น
(๔) อัตราค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งมีขนาดและสภาพใกล้เคียงกับที่จะเช่า การเช่าอสังหาริมทรัพย์ในส่วนภูมิภาค
ให้ขอความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของสถานที่และอัตราค่าเช่าจากอำเภอหรือจังหวัดนั้น
ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
ข้อ ๘๗
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าในการเช่าอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์
ให้กระทำได้เฉพาะกรณีการเช่าซึ่งมีระยะเวลาไม่เกิน ๓ ปี ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การเช่าจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของค่าเช่าทั้งสัญญา
(๒) การเช่าจากเอกชนจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๒๐
ของค่าเช่าทั้งสัญญา
การจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้านอกเหนือจากหลักเกณฑ์ข้างต้นต้องได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ
ททท. ก่อน
ข้อ ๘๘[๕๐] อสังหาริมทรัพย์ในประเทศ
ซึ่งมีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาไม่เกินเดือนละ
๔๐๐,๐๐๐ บาท หรืออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ
ซึ่งมีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาไม่เกินเดือนละ
๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้ผู้ว่าการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ
กรณีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าเกินกว่าที่กำหนดตามวรรคหนึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
ททท. ก่อน
ข้อ ๘๙[๕๑]
การเช่าและการเช่าบริการพื้นที่ชั่วคราว
ให้ทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันและให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะดำเนินการในเรื่องเงื่อนไขของสัญญาหรือข้อตกลงได้เอง
เว้นแต่กรณีการเช่าที่ ททท. ต้องเสียเงินอื่นใดนอกจากค่าเช่า
หรือในกรณีที่ผู้ว่การเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ
ให้ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน
และในกรณีที่จะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ดำเนินการตามกฎหมายด้วย
สำหรับร่างสัญญาของสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
ให้ผ่านการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของประเทศนั้น ๆ หรือของ ททท.
หมวด
๓
การควบคุมและการจำหน่ายพัสดุ
ส่วนที่ ๑
การให้ยืม
ข้อ ๙๐
การให้ยืมหรือนำพัสดุไปใช้ในกิจการซึ่งมิใช่เพื่อประโยชน์ของ ททท.
จะกระทำมิได้
ข้อ ๙๑[๕๒]
การให้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูปหรือการให้ยืมใช้สถานที่
ต้องให้ผู้ยืมทำหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงเหตุผลและกำหนดวันส่งคืน
โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การให้หน่วยงานภายนอกยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป
ผู้ยืมต้องเป็นหัวหน้าของหน่วยงานนั้น ๆ
(๒)
การให้บุคคลยืมพัสดุประเภทใช้คงรูปไปใช้ภายในสถานที่ทำการของ ททท.
จะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบพัสดุนั้น
(๓) การให้ยืมใช้สถานที่
ผู้ยืมต้องเป็นหัวหน้าของหน่วยงานนั้น ๆ หรือเป็นพนักงานของ ททท.
ในกรณีให้หน่วยงานภายนอกยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป
หรือให้บุคคลยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป ไปใช้ภายนอกสถานที่ทำการของ ททท.
หรือการให้ยืมใช้สถานที่ จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการ
ข้อ ๙๒
ผู้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูปจะต้องนำพัสดุนั้นมาส่งคืนให้ในสภาพที่ใช้การได้เรียบร้อย
หากเกิดการชำรุดเสียหาย หรือใช้การไม่ได้
หรือสูญหายไปให้ผู้ยืมจัดการแก้ไขซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง
หรือชดใช้เป็นพัสดุประเภท ชนิด ขนาด ลักษณะ
และคุณภาพอย่างเดียวกันหรือชดใช้เป็นเงินตามราคาที่เป็นอยู่ในขณะยืม
ข้อ ๙๓
การยืมพัสดุประเภทใช้สิ้นเปลืองให้กระทำได้เฉพาะเมื่อส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจผู้ยืมมีความจำเป็นต้องใช้พัสดุนั้นเป็นการรีบด่วน
จะดำเนินการจัดหาได้ไม่ทันการ และ ททท. มีพัสดุนั้น ๆ
พอที่จะให้ยืมได้โดยไม่เป็นการเสียหายแก่ ททท.
และให้มีหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร
ทั้งนี้ โดยปกติส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจผู้ยืมจะต้องจัดหาพัสดุเป็นประเภท
ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันส่งคืนให้แก่ ททท.
ข้อ ๙๔ เมื่อครบกำหนดยืม
ผู้ให้ยืมหรือผู้รับหน้าที่แทนมีหน้าที่ติดตามทวงพัสดุที่ให้ยืมไปคืนภายใน ๗
วันนับแต่วันครบกำหนด
ส่วนที่ ๒
การควบคุม
ข้อ ๙๕ พัสดุของ ททท. ไม่ว่าจะได้มาด้วยประการใด
ให้อยู่ในความควบคุมตามข้อบังคับนี้
ข้อ ๙๖ เมื่อเจ้าหน้าที่พัสดุได้รับมอบพัสดุแล้ว
ให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ลงบัญชีหรือทะเบียนเพื่อควบคุมพัสดุ
แยกเป็นชนิดและแสดงรายการโดยให้มีหลักฐานการรับเข้าบัญชีหรือทะเบียนไว้ประกอบรายการด้วย
สำหรับพัสดุประเภทอาหารสด จะลงรายการอาหารสดทุกชนิดในบัญชีเดียวกันก็ได้
(๒) เก็บรักษาพัสดุให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ปลอดภัย
และให้ครบถ้วนถูกต้องตรงตามบัญชีหรือทะเบียน
ข้อ ๙๗ การเบิกพัสดุ
ให้พนักงานผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขึ้นไปที่ต้องใช้พัสดุนั้นเป็นผู้เบิก
และให้หัวหน้างานพัสดุหรือหัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบพัสดุเป็นผู้สั่งจ่าย
ข้อ ๙๘
ผู้จ่ายพัสดุต้องตรวจสอบความถูกต้องของใบเบิกและเอกสารประกอบ
แล้วลงบัญชีหรือทะเบียนทุกครั้งที่มีการจ่าย และเก็บใบเบิกจ่ายไว้เป็นหลักฐานด้วย
ข้อ ๙๙ ก่อนสิ้นเดือนกันยายนทุกปี ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งพนักงานซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่พัสดุคนหนึ่งหรือหลายคนตามความจำเป็น
เพื่อตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุงวดตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ปีก่อน จนถึงวันที่ ๓๐
กันยายน ปีปัจจุบัน และตรวจนับพัสดุคงเหลืออยู่เพียงวันสิ้นงวดนั้น
การตรวจสอบตามวรรคหนึ่ง ให้เริ่มดำเนินการในวันเปิดทำการวันแรกของเดือนตุลาคม
เป็นต้นไป ว่าการรับจ่ายถูกต้องหรือไม่
พัสดุคงเหลือมีตัวอยู่ตรงตามบัญชีหรือทะเบียนหรือไม่ มีพัสดุใดชำรุด เสื่อมคุณภาพ
หรือสูญไป เพราะเหตุใด หรือพัสดุใดไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป
แล้วให้เสนอรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อผู้ว่าการภายใน ๓๐
วันทำการนับแต่วันเริ่มดำเนินการตรวจสอบพัสดุนั้น
ข้อ ๑๐๐[๕๓]
สำหรับสำนักงานสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานสาขาจัดให้มีการตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุของสำนักงานนั้น
โดยให้นำข้อ ๙๙ มาใช้โดยอนุโลม
ในกรณีไม่มีพนักงานหรือมีไม่เพียงพอ ผู้อำนวยการสำนักงานสาขาอาจแต่งตั้งลูกจ้าง
ของสำนักงานคนหนึ่งหรือหลายคนตามความจำเป็น เพื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งก็ได้
ข้อ ๑๐๑ เมื่อผู้ว่าการได้รับรายงานตามข้อ ๙๙
และข้อ ๑๐๐ แล้ว และปรากฏว่ามีพัสดุชำรุด เสื่อมสภาพ หรือสูญไป
หรือไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง
โดยให้นำข้อ ๒๔ และข้อ ๒๕ มาใช้โดยอนุโลม
สำหรับสำนักงานสาขาในประเทศและต่างประเทศให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๒๖ โดยอนุโลม
เว้นแต่กรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการเสื่อมสภาพเนื่องจากการใช้งานตามปกติหรือสูญไปโดยธรรมชาติ
ให้ผู้ว่าการพิจารณาสั่งการให้ดำเนินการจำหน่ายต่อไปได้[๕๔]
ถ้าผลการพิจารณาปรากฏว่าจะต้องหาตัวผู้รับผิดด้วย
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง
ในกรณีที่เห็นสมควรผู้ว่าการจะสั่งให้คณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงทำหน้าที่สอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งด้วยก็ได้
ให้คณะกรรมการเสนอผลการพิจารณาต่อผู้ว่าการภายใน ๖๐
วันนับแต่วันที่ประธานกรรมการทราบคำสั่งแต่งตั้งกรรมการ
แต่ถ้ายังพิจารณาไม่แล้วเสร็จจะขออนุญาตขยายเวลาดำเนินการต่อไปอีกคราวละไม่เกิน ๓๐
วันก็ได้
ข้อ ๑๐๒ เรื่องใดที่ปรากฏตัวผู้ต้องรับผิดโดยชัดแจ้งหรือที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งอยู่ก่อนที่จะมีการตรวจสอบพัสดุไม่ต้องดำเนินการตามข้อ
๑๐๑ เฉพาะเรื่องนั้น
ข้อ ๑๐๓
เมื่อปรากฏตัวผู้ต้องรับผิดให้ผู้ว่าการสั่งการภายใน ๔๕
วันนับแต่วันรู้ตัวผู้ต้องรับผิดโดย ชัดแจ้ง หรือวันได้รับรายงานของคณะกรรมการสอบสวน
แล้วแต่กรณี ตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่สามารถแก้ไขให้คงสภาพเดิมได้
ให้แก้ไขโดยเสียค่าใช้จ่ายของผู้ต้องรับผิดเองภายในกำหนดเวลาอันสมควร
(๒) ในกรณีสูญไปหรือไม่สามารถแก้ไขให้คงสภาพเดิมได้
ให้ชดใช้เป็นพัสดุประเภทชนิด ลักษณะ และขนาดอย่างเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันโดยมีสภาพไม่ด้อยไปกว่าพัสดุที่ได้ทำชำรุดเสื่อมสภาพ
หรือสูญไปนั้น
หรือชดใช้เป็นเงินตามที่ผู้ว่าการกำหนดโดยให้ผู้ต้องรับผิดส่งใช้คืนทั้งหมดภายใน
๓๐ วันนับแต่วันได้รับแจ้ง
ในกรณีชดใช้เป็นเงิน ถ้าผู้ต้องรับผิดไม่สามารถส่งใช้คืนภายใน
๓๐ วัน จะผ่อนผันให้ใช้เป็นรายเดือนก็ได้ แต่จะต้องชดใช้ให้เสร็จสิ้นภายใน ๑ ปี
หรือภายในระยะเวลาที่ผู้ว่าการเห็นสมควร แล้วแต่กรณี
การผ่อนผันดังกล่าวให้ทำสัญญารับสภาพหนี้เป็นหนังสือพร้อมหลักประกันที่เหมาะสมไว้เป็นหลักฐาน
(๓) ถ้าผู้ต้องรับผิดคนใดปฏิเสธไม่ยินยอมปฏิบัติตาม (๑)
หรือ (๒) หรือไม่ยอมทำสัญญารับสภาพหนี้ ให้ดำเนินคดีต่อไป
ส่วนที่ ๓
การจำหน่าย
ข้อ ๑๐๔[๕๕] หลังจากการตรวจสอบแล้ว
พัสดุใดหมดความจำเป็นหรือหากใช้งานต่อไปจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอรายงานต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการตามวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
(๑) ขาย ให้ดำเนินการขายทอดตลาดก่อน
แต่ถ้าขายโดยวิธีนี้แล้วไม่ได้ผลดีให้นำวิธีที่กำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่การขายพัสดุครั้งหนึ่งที่มีราคาซื้อหรือได้มารวมกัน ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท จะขายโดยวิธีตกลงราคาก็ได้ การขายให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
หน่วยงานอื่นของรัฐ หรือองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลของเอกชน
หรือสถานศึกษาของเอกชนตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร ให้ขายโดยวิธีตกลงราคา
(๒) แลกเปลี่ยน
ให้ดำเนินการตามวิธีการแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
(๓) โอน ให้โอนแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
หน่วยงานอื่นของรัฐ หรือองค์การสถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลของเอกชน
หรือสถานศึกษาของเอกชนตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ให้มีหลักฐานการส่งมอบไว้ต่อกัน
(๔) แปรสภาพหรือทำลาย ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้ว่าการกำหนด
การจำหน่ายเป็นสูญ
ข้อ ๑๐๕[๕๖]
ในกรณีที่พัสดุสูญไปโดยไม่ปรากฏตัวผู้รับผิดหรือมีตัวผู้รับผิด
แต่ไม่สามารถชดใช้ตามข้อ ๑๐๓ หรือมีตัวพัสดุอยู่แต่ไม่สามารถดำเนินการตามข้อ ๑๐๔
ได้ ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าการที่จะจำหน่ายพัสดุนั้นเป็นสูญ ทั้งนี้ ต้องมีการบันทึกไว้ในรายงานด้วยว่าได้ผ่านกระบวนการสอบสวนของ
ททท. เสร็จสิ้นแล้ว
การลงจ่ายออกจากบัญชีหรือทะเบียน
ข้อ ๑๐๖ เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ ๑๐๔ หรือข้อ ๑๐๕
แล้ว ให้เจ้าหน้าที่พัสดุลงจ่ายพัสดุนั้นออกจากบัญชีหรือทะเบียนทันที
สำหรับพัสดุซึ่งต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย ให้แจ้งนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย
ข้อ ๑๐๗[๕๗] ในกรณีที่พัสดุชำรุด เสื่อมคุณภาพ สูญไป
ไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป หรือกรณีมีเหตุอันจำเป็นต้องจำหน่ายพัสดุ
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานของ ททท. ก่อนมีการตรวจสอบตามข้อ ๙๙ และข้อ ๑๐๐
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง และให้นำ ข้อ ๑๐๑ ข้อ
๑๐๒ ข้อ ๑๐๓ ข้อ ๑๐๔ ข้อ ๑๐๕ และข้อ ๑๐๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด
๔
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๑๐๘
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการต่อไปตามข้อบังคับ ระเบียบ และคำสั่งเดิม จนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ
ประกาศ ณ วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘
สาวิตต์ โพธิวิหค
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบสัญญาจ้าง
๒.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันซอง)
๓.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันสัญญา)
๔.แบบหนังสือค้ำประกัน
(หลักประกันการรับเงินค่าจ้างล่วงหน้า)
๕.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินประกันผลงาน)
๖.
แบบสัญญาซื้อขาย
๗.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันซอง)
๘.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันสัญญา)
๙.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินค่าพัสดุล่วงหน้า)
๑๐.
แบบสัญญาซื้อขายคอมพิวเตอร์
๑๑.
แบบสัญญาเช่าคอมพิวเตอร์
๑๒.
แบบสัญญาจ้างบริการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขคอมพิวเตอร์
๑๓.
แบบสัญญาจ้างผู้เชี่ยวชาญรายบุคคลหรือจ้างบริษัทที่ปรึกษา
๑๔.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินค่าจ้างที่ปรึกษาล่วงหน้า)
๑๕.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินประกันผลงาน)
๑๖.
แบบสัญญาจ้างที่ปรึกษาออกแบบและควบคุมงาน
๑๗.
แบบสัญญาแลกเปลี่ยน
๑๘.
ตัวอย่างบัญชีวัสดุ
๑๙.
ตัวอย่างทะเบียนครุภัณฑ์
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐[๕๘]
ข้อ ๒๖
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปตามข้อบังคับที่ใช้อยู่เดิมจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จหรือจนกว่าจะดำเนินการตามข้อบังคับนี้ได้
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐[๕๙]
ข้อ ๓๑
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการต่อไปตามข้อบังคับที่ใช้อยู่เดิมจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ
หรือจนกว่าจะดำเนินการตามข้อบังคับนี้ได้
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๐[๖๐]
ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มณฑิตา/ผู้จัดทำ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๑๘
มิถุนายน ๒๕๕๕
ปวันวิทย์/เพิ่มเติม
๗ กันยายน ๒๕๖๐
ปริญสินีย์/ตรวจ
๕ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๒/ตอนพิเศษ ๔๐ ง/หน้า ๑/๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๘
[๒] ข้อ ๘/๑
เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๓] ข้อ ๑๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔] ข้อ ๑๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕] ข้อ ๑๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๖] ข้อ ๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๗] ข้อ ๑๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๘] ข้อ ๑๖ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๙] ข้อ ๑๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๐] ข้อ ๑๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๑] ข้อ ๑๙/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๒] ข้อ ๒๐ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๓] ข้อ ๒๔ วรรคห้า แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๔] ข้อ ๓๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๕] ข้อ ๓๘ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๖] ข้อ ๔๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๗] ข้อ ๔๒ ทวิ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๘] ข้อ ๔๒ ตรี เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๙] ข้อ ๔๒ จัตวา เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๐] ข้อ ๔๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๑] ข้อ ๔๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๒] ข้อ ๔๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๓] ข้อ ๔๕/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๒๔] ข้อ ๔๓ (๓) แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๕] ข้อ ๔๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๖] ข้อ ๕๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๗] ข้อ ๕๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๘] ข้อ ๕๒ ทวิ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๙] ข้อ ๕๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๐] ข้อ ๕๓ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๓๑] ข้อ ๕๓ ทวิ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๒] ข้อ ๕๓ ตรี เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๓] ข้อ ๕๓ จัตวา เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๔] ข้อ ๕๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๕] ข้อ ๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๖] ข้อ ๖๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๗] ข้อ ๖๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๘] ข้อ ๖๔ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๓๙] ข้อ ๖๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๔๐] ข้อ ๖๖ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๑] ข้อ ๖๘ (๓) แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๔๒] ข้อ ๗๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๓] ข้อ ๗๑ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๔] ข้อ ๗๒ วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๕] ข้อ ๗๖ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๔๖] ข้อ ๗๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๗] ข้อ ๗๘/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๘] ข้อ ๘๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๙] ข้อ ๘๔/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๐] ข้อ ๘๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๑] ข้อ ๘๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๒] ข้อ ๙๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๓] ข้อ ๑๐๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๔] ข้อ ๑๐๑ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๕] ข้อ ๑๐๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๐
[๕๖] ข้อ ๑๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๗]ข้อ ๑๐๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๐
[๕๘] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๔/ตอนพิเศษ ๓๔ ง/หน้า ๑/๑๙ พฤษภาคม ๒๕๔๐
[๕๙] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนพิเศษ ๙๗ ง/หน้า ๒๙/๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๐
[๖๐] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๐๑ ง/หน้า ๗๑/๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ |
783212 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2560 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๐
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๖๐ วันที่ ๒๙
มิถุนายน ๒๕๖๐ จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๐
ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐๔
แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๐๔ หลังจากการตรวจสอบแล้ว
พัสดุใดหมดความจำเป็นหรือหากใช้งานต่อไปจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอรายงานต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการตามวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
(๑) ขาย ให้ดำเนินการขายทอดตลาดก่อน
แต่ถ้าขายโดยวิธีนี้แล้วไม่ได้ผลดีให้นำวิธีที่กำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่การขายพัสดุครั้งหนึ่งที่มีราคาซื้อหรือได้มารวมกัน ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท จะขายโดยวิธีตกลงราคาก็ได้ การขายให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ
หรือองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลของเอกชน หรือสถานศึกษาของเอกชนตามมาตรา ๔๗
(๗) แห่งประมวลรัษฎากร ให้ขายโดยวิธีตกลงราคา
(๒) แลกเปลี่ยน
ให้ดำเนินการตามวิธีการแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
(๓) โอน ให้โอนแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
หน่วยงานอื่นของรัฐ หรือองค์การสถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลของเอกชน
หรือสถานศึกษาของเอกชนตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ให้มีหลักฐานการส่งมอบไว้ต่อกัน
(๔) แปรสภาพหรือทำลาย
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้ว่าการกำหนด
ข้อ ๔ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐๗
แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๐๗ ในกรณีที่พัสดุชำรุด เสื่อมคุณภาพ สูญไป
ไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป หรือกรณีมีเหตุอันจำเป็นต้องจำหน่ายพัสดุ
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานของ ททท. ก่อนมีการตรวจสอบตามข้อ ๙๙ และข้อ ๑๐๐
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง และให้นำ ข้อ ๑๐๑ ข้อ
๑๐๒ ข้อ ๑๐๓ ข้อ ๑๐๔ ข้อ ๑๐๕ และข้อ ๑๐๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ให้ไว้
ณ วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
กลินท์
สารสิน
ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ปวันวิทย์/อัญชลี/จัดทำ
๑๐ สิงหาคม
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๐๑ ง/หน้า ๗๑/๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ |
788447 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2538 (ฉบับ Update ณ วันที่ 15/08/2550) | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘
โดยที่เห็นเป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ ๓๔ (พ.ศ. ๒๕๓๑) ว่าด้วยการพัสดุ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ดังนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘
ข้อ ๒[๑]
ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๓๔ (พ.ศ. ๒๕๓๑)
ว่าด้วยการพัสดุ
ข้อ ๔
ให้ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นผู้รักษาการตามข้อบังคับนี้
หมวด
๑
ข้อความทั่วไป
ข้อ ๕ ในข้อบังคับนี้
การพัสดุ หมายความว่า การจัดทำเอง การซื้อ การจ้าง
การจ้างที่ปรึกษา การแลกเปลี่ยน การเช่า การควบคุม การจำหน่ายและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
พัสดุ หมายความว่า วัสดุ ครุภัณฑ์ ที่ดิน
และสิ่งก่อสร้างที่กำหนดไว้ในหนังสือการจำแนกประเภทรายจ่ายตามงบประมาณของสำนักงบประมาณหรือการจำแนกประเภทรายจ่ายตามสัญญาเงินกู้จากต่างประเทศ
การซื้อ หมายความว่า
การซื้อพัสดุทุกชนิดทั้งที่มีการติดตั้งทดลอง และบริการที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ
แต่ไม่รวมถึงการจัดหาพัสดุในลักษณะการจ้าง
การจ้าง ให้หมายความรวมถึงการจ้างทำของและการรับขนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และการจ้างเหมาบริการ
แต่ไม่รวมถึงการจ้างลูกจ้างของ ททท. ตามข้อบังคับว่าด้วยลูกจ้าง
การรับขนในการเดินทางไปปฏิบัติงาน การจ้างที่ปรึกษา และการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การจ้างที่ปรึกษา หมายความว่า การจ้างบริการจากที่ปรึกษาซึ่งจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
ที่ปรึกษา หมายความว่า บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจหรือสามารถให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางวิศวกรรม
สถาปัตยกรรม เศรษฐศาสตร์หรือสาขาอื่น รวมทั้งให้บริการด้านศึกษา สำรวจ
ออกแบบและควบคุมงานและการวิจัย
ททท. หมายความว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ ททท. หมายความว่า คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ประธานกรรมการ ททท. หมายความว่า ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ผู้ว่าการ หมายความว่า
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
พนักงาน หมายความว่า พนักงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
เจ้าหน้าที่พัสดุ หมายความว่า
พนักงานซึ่งดำรงตำแหน่งที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการพัสดุ
หรือผู้ได้รับแต่งตั้งหรือได้รับมอบหมายจากผู้ว่าการให้มีหน้าที่หรือปฏิบัติงานเกี่ยวกับการพัสดุตามข้อบังคับนี้
ผู้สั่งซื้อ หมายความว่า ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ซื้อ
ผู้สั่งจ้าง หมายความว่า ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้จ้าง
ข้อ ๖
ข้อบังคับนี้ใช้บังคับสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุซึ่งใช้เงินงบประมาณเงินรายได้ตามกฎหมายว่าด้วย
ททท. และเงินกู้
ข้อ ๗
ผู้ว่าการจะมอบอำนาจตามข้อบังคับนี้โดยทำเป็นหนังสือให้แก่พนักงานผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้
แต่ให้คำนึงถึงตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบอำนาจนั้นเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ภายในวงเงินที่ผู้ว่าการมีอำนาจ
ข้อ ๘
ผู้มีอำนาจหรือหน้าที่ดำเนินการตามข้อบังคับนี้หรือผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้
หรือกระทำการโดยมีเจตนาทุจริต หรือกระทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่รวมทั้งมีพฤติกรรมที่ส่อให้มีการสมยอมกันในการเสนอราคา
ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยภายใต้หลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) ถ้าการกระทำมีเจตนาทุจริตหรือเป็นเหตุให้ ททท.
เสียหายอย่างร้ายแรงให้ดำเนินการ ลงโทษอย่างต่ำให้ออก
(๒) ถ้าการกระทำเป็นเหตุให้ ททท. เสียหายแต่ไม่ร้ายแรง
ให้ลงโทษอย่างต่ำตัดเงินเดือน
(๓) ถ้าการกระทำไม่เป็นเหตุให้ ททท. เสียหาย
ให้ลงโทษภาคทัณฑ์หรือว่ากล่าวตักเตือน โดยทำคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร
การลงโทษตาม (๑) หรือ (๒) ไม่เป็นเหตุให้ผู้กระทำหลุดพ้นจากความรับผิดในทางแพ่งหรือความรับผิดทางอาญา
ข้อ ๘/๑[๒] การจัดหาพัสดุของสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
หรือในกรณีที่มีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติในต่างประเทศ
และไม่สามารถดำเนินการตามข้อบังคับนี้ได้ ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายหรือธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศนั้น
ข้อ ๙
การใดที่ไม่ได้กำหนดไว้หรือไม่อาจปฏิบัติได้ตามข้อบังคับนี้ ให้เสนอคณะกรรมการ
ททท. พิจารณากำหนดวิธีการซื้อหรือจ้าง หรือยกเว้น หรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้
เป็นกรณี ๆ ไป
หมวด
๒
การจัดหาพัสดุ
ส่วนที่ ๑
การซื้อและการจ้าง
ข้อ ๑๐ การซื้อและการจ้าง ให้ ททท.
ส่งเสริมพัสดุที่ผลิตในประเทศไทยหรือส่งเสริมกิจการของคนไทย แล้วแต่กรณี
วิธีซื้อและวิธีจ้าง
ข้อ ๑๑[๓] การซื้อและการจ้าง กระทำได้ ๖
วิธี คือ
(๑) วิธีตกลงราคา
(๒) วิธีสอบราคา
(๓) วิธีประกวดราคา
(๔) วิธีพิเศษ
(๕) วิธีกรณีพิเศษ
(๖) วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ข้อ ๑๒[๔] การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา ได้แก่
การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๓[๕] การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา ได้แก่
การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๔,๐๐๐,๐๐๐
บาท
ข้อ ๑๔[๖] การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา
ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๕ การซื้อหรือการจ้างตามข้อ ๑๒ และข้อ ๑๓
ถ้าผู้สั่งซื้อหรือผู้สั่งจ้างเห็นสมควรจะสั่งให้กระทำโดยวิธีที่กำหนดไว้สำหรับวงเงินที่สูงกว่าก็ได้
การแบ่งซื้อหรือแบ่งจ้างโดยลดวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งเดียวกันเพื่อให้วงเงินต่ำกว่าที่กำหนดโดยวิธีหนึ่งวิธีใดหรือเพื่อให้อำนาจสั่งซื้อหรือสั่งจ้างเปลี่ยนไปจะกระทำมิได้
การซื้อหรือการจ้างซึ่งดำเนินการด้วยเงินกู้ ผู้สั่งซื้อหรือผู้สั่งจ้างจะสั่งให้กระทำตามวงเงินที่สัญญาเงินกู้กำหนดก็ได้
ข้อ ๑๖[๗] การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่
การซื้อครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๒๐๐,๐๐๐
บาทให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้[๘]
(๑) เป็นพัสดุที่จะขายทอดตลาดโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การระหว่างประเทศ
หรือหน่วยงานของต่างประเทศ
(๒) เป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๓)
เป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ
และหมายความรวมถึงอะไหล่รถประจำตำแหน่ง หรือยารักษาโรค
(๔)
เป็นพัสดุที่มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่จำเป็น หรือเร่งด่วน
หรือเพื่อประโยชน์ของ ททท. และจำเป็นต้องซื้อเพิ่ม
(๕)
เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศหรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ
(๖) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรง
(๗) เป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
(๘)
เป็นพัสดุที่เป็นที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง
ข้อ ๑๗[๙] การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่
การจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำเฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑)
เป็นงานจ้างที่ต้องการช่างผู้มีฝีมือโดยเฉพาะหรือผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษ
(๒)
เป็นงานจ้างซ่อมพัสดุที่จำเป็นต้องถอดตรวจให้ทราบความชำรุดเสียหายเสียก่อนจึงจะประมาณค่าซ่อมได้
(๓) เป็นงานที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๔)
เป็นงานที่จำเป็นต้องการจ้างเพิ่มในสถานการณ์ที่จำเป็นหรือเร่งด่วนหรือจำเป็นต้องจ้างเพิ่มเพื่อประโยชน์แก่
ททท.
(๕) เป็นงานจ้างเหมาเกี่ยวกับการให้บริการนำเที่ยว
(๖) เป็นงานจ้างโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์
(๗) เป็นงานที่ได้ดำเนินการจ้างโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ข้อ ๑๘[๑๐] สำหรับสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
หรือในกรณีที่มีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติในต่างประเทศ
จะซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษก็ได้
ข้อ ๑๙ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
ได้แก่การซื้อหรือการจ้างในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) การซื้อหรือการจ้างจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นผู้ผลิตพัสดุหรือทำงานจ้างนั้นเอง
(๒) การซื้อหรือการจ้างจากบริษัทที่ ททท.
ลงทุนหรือร่วมทุนด้วย
(๓)
การซื้อหรือการจ้างที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ซื้อหรือจ้างจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
และกรณีนี้ให้รวมถึงหน่วยงานอื่นที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดด้วย
ข้อ ๑๙/๑[๑๑] การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
หมายถึง การซื้อหรือการจ้าง
ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบของทางราชการที่ให้ดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
รายงานขอซื้อและขอจ้าง
ข้อ ๒๐ ก่อนดำเนินการซื้อหรือจ้างทุกวิธี
นอกจากการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างตามข้อ ๒๑
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อหรือจ้าง
(๒) รายละเอียดของพัสดุที่จะซื้อหรืองานที่จะจ้าง
(๓) ราคามาตรฐานหรือราคากลางของทางราชการหรือราคาที่เคยซื้อหรือจ้างครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา
๑ ปีงบประมาณ
(๔) วงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง โดยให้ระบุวงเงินงบประมาณ
วงเงินตามโครงการเงินกู้ที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งนั้นทั้งหมด
ถ้าไม่มีวงเงินดังกล่าว ให้ระบุวงเงินที่ประมาณว่าจะซื้อหรือจ้างในครั้งนั้น
(๕) กำหนดเวลาที่ต้องการใช้พัสดุนั้นหรือให้งานนั้นแล้วเสร็จ
(๖)
วิธีที่จะซื้อหรือจ้างและเหตุผลที่ต้องซื้อหรือจ้างโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ เช่น การขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่จำเป็นในการซื้อหรือจ้าง การออกประกาศสอบราคาหรือประกาศประกวดราคา
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคาในวงเงินไม่เกิน ๒๐,๐๐๐
บาท และการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษกรณีเร่งด่วน ตามข้อ ๑๖ (๒) หรือข้อ ๑๗ (๓)
ซึ่งไม่อาจทำรายงานตามปกติได้เจ้าหน้าที่พัสดุหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้น
จะทำรายงานตามวรรคหนึ่งเฉพาะรายการที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้[๑๒]
ข้อ ๒๑ ก่อนดำเนินการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อ
(๒) รายละเอียดของที่ดินหรือส่งก่อสร้างที่ต้องการซื้อ
รวมทั้งเนื้อที่และท้องที่ที่ต้องการ
(๓) ราคาประเมินของทางราชการในท้องที่นั้น
(๔)
ราคาซื้อขายของที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงบริเวณที่จะซื้อครั้งหลังสุดประมาณ
๓ ราย
(๕) วงเงินที่จะซื้อ โดยให้ระบุวงเงินงบประมาณ
วงเงินตามโครงการเงินกู้ที่จะซื้อในครั้งนั้นทั้งหมด ถ้าไม่มีวงเงินดังกล่าว
ให้ระบุวงเงินที่ประมาณว่าจะซื้อในครั้งนั้น
(๖) วิธีที่จะซื้อและเหตุผลที่ต้องการซื้อโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ เช่น การขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่จำเป็นในการซื้อ การออกประกาศสอบราคาหรือประกาศประกวดราคา
การซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างให้ติดต่อกับเจ้าของโดยตรง
เว้นแต่การซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศที่จำเป็นต้องติดต่อผ่านนายหน้าหรือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามกฎหมายหรือประเพณีนิยมของท้องถิ่น
ข้อ ๒๒
เมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบตามรายงานที่เสนอตามข้อ ๒๐ หรือข้อ ๒๑ แล้ว
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการตามวิธีการซื้อหรือการจ้างนั้น ๆ ต่อไปได้
กรรมการ
ข้อ ๒๓ ในการดำเนินการซื้อหรือจ้างแต่ละครั้ง
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ แล้วแต่กรณี
คือ
(๑) คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
(๒) คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา
(๓) คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
(๔) คณะกรรมการจัดซื้อหรือจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ
(๕) คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ
(๖) คณะกรรมการตรวจการจ้าง
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษของสำนักงานสาขาจะไม่แต่งตั้งคณะกรรมการตาม
(๔) ก็ได้ และการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๒) และข้อ ๑๗ (๓) สำหรับส่วนกลางจะไม่แต่งตั้งคณะกรรมการตาม
(๔) ก็ได้
ข้อ ๒๔ คณะกรรมการตามข้อ ๒๓ แต่ละคณะ
ให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ ๑ คน และกรรมการอย่างน้อย ๒ คน
โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานตั้งแต่ระดับ ๓ หรือเทียบเท่าขึ้นไป
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท. จะแต่งตั้งบุคคลที่มิใช่พนักงานร่วมเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ถ้าประธานกรรมการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งพนักงานที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการแทน
ในกรณีเมื่อถึงกำหนดเวลาการเปิดซองสอบราคาหรือรับซองประกวดราคาแล้วประธานกรรมการยังไม่มาปฏิบัติหน้าที่
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานกรรมการในเวลานั้น
โดยให้คณะกรรมการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่เฉพาะข้อ ๓๑ (๑) หรือข้อ ๓๘ แล้วแต่กรณี
แล้วรายงานประธานกรรมการซึ่งผู้ว่าการแต่งตั้งเพื่อดำเนินการต่อไป
ในการซื้อหรือการจ้างครั้งเดียวกัน ห้ามแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาเป็นกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
หรือแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการเปิดซองสอบราคาหรือกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเป็นกรรมการตรวจรับพัสดุ
คณะกรรมการทุกคณะ
เว้นแต่คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาควรแต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
ๆ เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย
สำหรับการซื้อหรือการจ้างในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
หรือการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๒) หรือข้อ ๑๗ (๓)
หรือการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษของสำนักงานสาขา จะแต่งตั้งพนักงานเพียงคนเดียวเป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือคณะกรรมการตรวจการจ้างก็ได้[๑๓]
ส่วนการซื้อหรือการจ้างสำหรับกิจกรรมที่ต้องปฏิบัตินอกสถานที่ตั้งสำนักงานตามปกติ
ให้ผู้จ่ายเงินค่าพัสดุหรืองานจ้าง แล้วแต่กรณี เป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
ๆ โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับ
คณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ข้อ ๒๕ ในการประชุมปรึกษาของคณะกรรมการแต่ละคณะ
ต้องมีกรรมการมาพร้อมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
โดยให้ประธานกรรมการและกรรมการแต่ละคนมีเสียงหนึ่งในการลงมติ
มติของคณะกรรมการให้ถือเสียงข้างมาก
เว้นแต่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุและคณะกรรมการตรวจการจ้างให้ถือมติเอกฉันท์
ในกรณีกรรมการบางคนไม่ยอมรับพัสดุหรืองานจ้างนั้นโดยทำความเห็นแย้งไว้ให้นำข้อ
๔๖ (๗) หรือข้อ ๔๗ (๕) แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ สำหรับคณะกรรมการคณะอื่นถ้าผู้ใดไม่เห็นด้วยให้ทำบันทึกความเห็นแย้งไว้ด้วย
ข้อ ๒๖
การแต่งตั้งคณะกรรมการตามข้อ ๒๓ สำหรับสำนักงานสาขาถ้ามีพนักงานในสำนักงานนั้นไม่พอที่จะปฏิบัติตามข้อ
๒๔ หรือข้อ ๒๕ ได้ จะแต่งตั้งพนักงานคนหนึ่ง และลูกจ้างของสำนักงานนั้นหรือบุคคลอื่นร่วมเป็นกรรมการคณะหนึ่งคณะใดหรือทุกคณะก็ได้
ข้อ ๒๗
ในการซื้อหรือการจ้างทำพัสดุที่มีเทคนิคพิเศษและจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาเป็นการเฉพาะ
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาว่าจ้างที่ปรึกษาให้ความเห็นประกอบการพิจารณาในการซื้อหรือจ้างในขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดได้ตามความจำเป็น
วิธีตกลงราคา
ข้อ ๒๘ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุติดต่อตกลงราคากับผู้ขายหรือผู้รับจ้างโดยตรง
แล้วจัดซื้อหรือจ้างได้ภายในวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบตามข้อ ๒๒
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคาในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน
และไม่อาจดำเนินการตามปกติได้ทันให้เจ้าหน้าที่พัสดุหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้นดำเนินการไปก่อนแล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อผู้ว่าการ
และเมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบให้ถือว่ารายงานดังกล่าวเป็นหลักฐานการตรวจรับโดยอนุโลม
วิธีสอบราคา
ข้อ ๒๙ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา
ให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ก่อนวันเปิดซองสอบราคาไม่น้อยกว่า ๗ วัน
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุส่งประกาศเผยแพร่การสอบราคาและเอกสารสอบราคาไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
หรือโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้กับให้ปิดประกาศเผยแพร่การสอบราคาไว้โดยเปิดเผย
ณ ที่ทำการของ ททท.
(๒) ในการยื่นซองสอบราคา
ผู้เสนอราคาจะต้องผนึกซองจ่าหน้าถึงประธานกรรมการเปิดซองสอบราคาการซื้อหรือการจ้างครั้งนั้น
และส่งถึง ททท. ก่อนวันเปิดซองสอบราคาโดยยื่นตรงต่อ ททท.
หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนกรณีที่ ททท. กำหนดให้ทำได้
(๓)
ให้เจ้าหน้าที่ลงรับโดยไม่เปิดซองพร้อมระบุวันและเวลาที่รับซอง ในกรณีที่ผู้เสนอราคามายื่นซองโดยตรงให้ออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซอง
สำหรับกรณีที่เป็นการยื่นซองทางไปรษณีย์ ให้ถือวันและเวลาที่ ททท.
ลงรับจากไปรษณีย์เป็นเวลารับซอง และให้ส่งมอบซองให้แก่เจ้าหน้าที่พัสดุทันที
(๔)
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเก็บรักษาซองเสนอราคาทุกรายโดยไม่เปิดซองและเมื่อถึงกำหนดเวลาเปิดซองสอบราคาให้ส่งมอบซองเสนอราคาพร้อมทั้งรายงานผลการรับซองต่อคณะกรรมการเปิดซองสอบราคาเพื่อดำเนินการต่อไป
ข้อ ๓๐ เอกสารสอบราคา
ให้มีรายการทำนองเดียวกับเอกสารประกวดราคาตามข้อ ๓๕
เว้นแต่ไม่ต้องวางหลักประกันซอง
ข้อ ๓๑ คณะกรรมการเปิดซองสอบราคามีหน้าที่ดังนี้
(๑) เปิดซองใบเสนอราคาและอ่านแจ้งราคาพร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่าง
ๆ ของ ผู้เสนอราคาทุกรายโดยเปิดเผยตาม วัน เวลาและสถานที่ที่กำหนด และตรวจสอบรายการเอกสารตามบัญชีของผู้เสนอราคาทุกรายแล้วให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาและเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
(๒) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา แคตตาล็อคหรือแบบรูปและรายการละเอียด
แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารสอบราคา
(๓)
พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างของผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตาม (๒)
ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อ ททท.
และเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่งเสนอราคาต่ำสุด
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดดังกล่าวไม่ยอมเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงกับ
ททท. ในเวลาที่กำหนดตามเอกสารสอบราคา
ให้คณะกรรมการพิจารณาจากผู้เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคา
ถ้าปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาดำเนินการตามข้อ ๓๒
(๔)
ในกรณีที่มีผู้เสนอราคาถูกต้องตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารสอบราคาเพียงรายเดียว
ให้คณะกรรมการดำเนินการตาม (๓) โดยอนุโลม
(๕) ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๓๒ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคาที่ปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาเห็นสมควรซื้อหรือจ้างยังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการดำเนินการตามลำดับ ดังนี้
(๑)
เรียกผู้เสนอราคารายนั้นมาต่อรองราคาให้ต่ำสุดเท่าที่จะทำได้ หากผู้เสนอราคารายนั้นยอมลดราคาแล้วราคาที่เสนอใหม่ไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือสูงกว่า แต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือต่อรองแล้วไม่ยอมลดราคาลงอีก
แต่ส่วนที่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างนั้นไม่เกินร้อยละ ๑๐
ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสม
ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคารายนั้น
(๒) ถ้าดำเนินการตาม (๑) แล้วไม่ได้ผล
ให้เรียกผู้เสนอราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างทุกรายมาต่อรองราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคาภายในกำหนดระยะเวลาอันสมควร
หากรายใดไม่มายื่นซองให้ถือว่ารายนั้นยืนราคาตามที่เสนอไว้เดิม
หากผู้เสนอราคาต่ำสุดในการต่อรองราคาครั้งนี้เสนอราคาไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือสูงกว่าแต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว
ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคารายนั้น
(๓) ถ้าดำเนินการตาม (๒) แล้วไม่ได้ผล
ให้เสนอความเห็นต่อผู้ว่าการเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจว่าจะสมควรลดรายการ ลดจำนวน
หรือลดเนื้องาน หรือขอเงินเพิ่มเติมหรือยกเลิกการสอบราคาเพื่อดำเนินการสอบราคาใหม่
วิธีประกวดราคา
ข้อ ๓๓ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุปิดประกาศประกวดราคาโดยเปิดเผย ณ ที่ทำการของ ททท.
และส่งไปประกาศทางวิทยุกระจายเสียงและศูนย์รวมข่าวประกวดราคา
โดยจะส่งประกาศไปลงในหนังสือพิมพ์ด้วยก็ได้ หากเห็นสมควรจะส่งประกาศดังกล่าวไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานโดยตรงหรือจะโฆษณาด้วยวิธีอื่นอีกก็ได้
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
จะต้องกระทำก่อนวันรับซองประกวดราคาไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน
ข้อ ๓๔
การให้หรือขายเอกสารประกวดราคาในการประกวดราคาทั้งคุณลักษณะเฉพาะหรือรายละเอียด
ให้กระทำ ณ สถานที่ที่ผู้ต้องการสามารถติดต่อได้โดยสะดวกและไม่เป็นเขตหวงห้ามกับจะต้องจัดเตรียมไว้ให้มากพอสำหรับความต้องการของผู้มาขอรับหรือขอซื้อที่มีอาชีพขายหรือทำงานจ้างนั้นอย่างน้อยรายละ
๑ ชุด
ในกรณีที่มีการขาย ให้กำหนดราคาพอสมควรกับค่าใช้จ่ายที่
ททท. ต้องเสียไปในการจัดทำสำเนาเอกสารประกวดราคานั้น
ถ้ามีการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้นและมีการประกวดราคาใหม่
ให้ผู้รับหรือซื้อเอกสารประกวดราคาในการประกวดราคาครั้งก่อนมีสิทธิใช้เอกสารประกวดราคานั้นหรือได้รับเอกสารประกวดราคาใหม่
โดยไม่ต้องเสียค่าซื้อเอกสารประกวดราคาอีก
ข้อ ๓๕
เอกสารประกวดราคาให้เป็นไปตามแบบที่ผู้ว่าการกำหนด
ข้อ ๓๖ ก่อนวันเปิดซองประกวดราคา หากมีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงหรือให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แก่
ททท. หรือมีความจำเป็นต้องแก้ไขคุณลักษณะเฉพาะหรือรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญซึ่งมิได้กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคาตั้งแต่ต้น
ให้จัดทำเป็นเอกสารประกวดราคาเพิ่มเติม และดำเนินการตามข้อ ๓๓ โดยอนุโลม กับแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ที่ขอรับหรือขอซื้อเอกสารประกวดราคาไปแล้วทุกรายด้วย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
หากจะเป็นเหตุให้ผู้เสนอราคาไม่สามารถยื่นซองประกวดราคาได้ทันตามกำหนดเดิม
ให้เลื่อนวันและเวลาการรับซอง การปิดการรับซอง
และการเปิดซองประกวดราคาตามความจำเป็นด้วย
ข้อ ๓๗ นอกจากกรณีที่กำหนดไว้ตามข้อ ๓๖
เมื่อถึงกำหนดวันรับซองประกวดราคาห้ามมิให้ร่นหรือเลื่อน
หรือเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลารับซองและเปิดซองประกวดราคา
ข้อ ๓๘[๑๔]
คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคามีหน้าที่ดังนี้
(๑) รับซองประกวดราคา ลงทะเบียนรับซองไว้เป็นหลักฐาน ลงชื่อกำกับซองและบันทึกไว้ที่หน้าซองว่าเป็นของผู้ใด
(๒)[๑๕]
ตรวจสอบหลักประกันซองร่วมกับเจ้าหน้าที่การเงินและให้เจ้าหน้าที่การเงินออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซองไว้เป็นหลักฐาน
หากไม่ถูกต้องให้หมายเหตุในใบรับและบันทึกในรายงานด้วยกรณีหลักประกันซองเป็นหนังสือค้ำประกัน
ให้ส่งสำเนาหนังสือค้ำประกันให้ธนาคาร
บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผู้ออกหนังสือค้ำประกันทราบโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับด้วย
(๓) รับเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
ตามบัญชีรายการเอกสารของผู้เสนอราคาพร้อมทั้งพัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อค
หรือแบบรูปและรายการละเอียด (ถ้ามี) หากไม่ถูกต้องให้บันทึกในรายงานไว้ด้วย
(๔)
เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองประกวดราคาแล้วห้ามรับซองประกวดราคา หรือเอกสารหลักฐานต่าง
ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาอีก
(๕)
เปิดซองใบเสนอราคาและอ่านแจ้งราคาพร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของผู้เสนอราคาทุกรายโดยเปิดเผยตามเวลาและสถานที่ที่กำหนด
และให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาและเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
ในกรณีที่มีการยื่นซองข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนออื่น ๆ
แยกจากซองข้อเสนอด้านราคาซึ่งต้องพิจารณาทางเทคนิคและอื่น ๆ ก่อน ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามข้อ
๔๒ ทวิ และข้อ ๔๒ จัตวา
คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
โดยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาที่จะต้องดำเนินการต่อไป
(๖) ส่งมอบใบเสนอราคาทั้งหมดและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
พร้อมด้วยบันทึกรายงานการดำเนินการต่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทันทีในวันเดียวกัน
ข้อ ๓๙ คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา เอกสารหลักฐานต่าง
ๆ พัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อค หรือแบบรูปและรายการละเอียด แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคา
ในกรณีที่ผู้เสนอราคารายใดเสนอรายละเอียดแตกต่างไปจากเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ
และความแตกต่างนั้นไม่มีผลทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบต่อผู้เสนอราคารายอื่น
หรือเป็นการผิดพลาดเล็กน้อย ให้พิจารณาผ่อนปรนให้ผู้เข้าประกวดราคา
โดยไม่ตัดผู้เข้าประกวดราคารายนั้นออก
ในการพิจารณา
คณะกรรมการอาจสอบถามข้อเท็จจริงจากผู้เสนอราคารายใดก็ได้
แต่จะให้ผู้เสนอราคารายใดเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญที่เสนอไว้แล้วมิได้
(๒) พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างหรือคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่ตรวจสอบแล้วตาม
(๑) ซึ่งมีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อ ททท. แล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่งเสนอราคาต่ำสุด
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดดังกล่าวไม่ยอมเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงกับ
ททท. ในเวลาที่กำหนดตามเอกสารประกวดราคา ให้คณะกรรมการพิจารณาจากผู้เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคา
ถ้าปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาดำเนินการตามข้อ ๓๒ โดยอนุโลม
(๓) ให้คณะกรรมการรายงานผลพิจารณาและความเห็น พร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๔๐
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาได้ดำเนินการตามข้อ ๓๙ (๑) แล้วปรากฏว่ามีผู้เสนอราคารายเดียว
หรือมีผู้เสนอราคาหลายรายแต่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคาเพียงรายเดียว
โดยปกติให้เสนอผู้ว่าการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
แต่ถ้าคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่จะดำเนินการต่อไปโดยไม่ต้องยกเลิกการประกวดราคา
ก็ให้ดำเนินการตามข้อ ๓๙ (๒) โดยอนุโลม
ข้อ ๔๑[๑๖] ในกรณีที่ไม่มีผู้เสนอราคาหรือมีแต่ไม่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนด
ให้เสนอผู้ว่าการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น เพื่อดำเนินการประกวดราคาใหม่ หากผู้ว่าการเห็นว่าการประกวดราคาใหม่จะไม่ได้ผลดี
จะสั่งให้ดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๗) หรือข้อ ๑๗ (๗)
แล้วแต่กรณี ก็ได้
ข้อ ๔๒
หลังจากการประกวดราคาแล้วแต่ยังไม่ได้ทำสัญญาหรือตกลงซื้อหรือจ้างกับผู้เสนอราคา
รายใด ถ้ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท. อันเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในรายการละเอียดหรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคา
ซึ่งทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้เข้าประกวดราคาด้วยกันให้ผู้ว่าการพิจารณายกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
ข้อ ๔๒ ทวิ[๑๗]
การซื้อหรือการจ้างที่มีลักษณะจำเป็นจะต้องคำนึงถึงเทคโนโลยีของพัสดุ
และหรือข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าเสนอราคา
ซึ่งอาจจะมีข้อเสนอที่ไม่อยู่ในฐานเดียวกันเป็นเหตุให้มีปัญหาในการพิจารณาตัดสิน
และเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องให้มีการปรับปรุงข้อเสนอให้ครบถ้วนและเป็นไปตามความต้องการก่อนพิจารณาด้านราคา
ให้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับการประกวดราคาโดยทั่วไปเว้นแต่กำหนดให้ผู้เข้าเสนอราคายื่นซองประกวดราคาโดยแยกเป็น
(๑) ซองข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนออื่น ๆ
(๒) ซองข้อเสนอด้านราคา
ทั้งนี้ ให้กำหนดวิธีการ ขั้นตอน
และหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคาด้วย
ข้อ ๔๒ ตรี[๑๘] เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๔๒ ทวิ
ให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทำหน้าที่เปิดซองเทคนิคของผู้เสนอราคา
แทนคณะกรรมการรับและเปิดซองตามข้อ ๓๘ (๕) และพิจารณาผลการประกวดราคาตามข้อ ๔๒ ทวิ
โดยถือปฏิบัติตามข้อ ๓๙ ในส่วนที่ไม่ขัดกับการดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาข้อเสนอทางเทคนิค
และข้อเสนออื่นของผู้เข้าเสนอราคาทุกราย
และคัดเลือกเฉพาะรายที่เสนอได้ตรงหรือใกล้เคียงตามมาตรฐานความต้องการของ ททท.
ในกรณีจำเป็นสามารถเรียกผู้เสนอราคามาชี้แจงในรายละเอียดข้อเสนอเป็นการเพิ่มเติมข้อหนึ่งข้อใดก็ได้
(๒) เปิดซองราคาเฉพาะรายที่ได้ผ่านการพิจารณาคัดเลือกตาม
(๑) แล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่ประเมินราคาต่ำสุด
สำหรับรายอื่นที่ไม่ผ่านการพิจารณาให้ส่งคืนซองข้อเสนอด้านราคาโดยไม่เปิดซอง
ข้อ ๔๒ จัตวา[๑๙]
การซื้อหรือการจ้างที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าเสนอราคายื่นข้อเสนอทางการเงินมาด้วย
ให้กำหนดให้ผู้เสนอราคายื่นซองข้อเสนอทางการเงินแยกมาต่างหาก
และให้เปิดซองข้อเสนอทางการเงินพร้อมกับการเปิดซองราคาตามข้อ ๔๒ ตรี (๒)
เพื่อทำการประเมินเปรียบเทียบต่อไป ทั้งนี้ ให้กำหนดวิธีการขั้นตอน
และหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคาด้วย
วิธีพิเศษ
ข้อ ๔๓[๒๐] การซื้อโดยวิธีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีเป็นพัสดุจะขายทอดตลาด
ให้ดำเนินการซื้อโดยวิธีเจรจาตกลงราคา
(๒) ในกรณีเป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจเสียหายแก่การปฏิบัติงานให้เชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคาหากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๓)
ในกรณีเป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ
(๒)
(๔) ในกรณีที่เป็นพัสดุที่ได้ซื้อไว้แล้ว
แต่มีความจำเป็นต้องใช้เพิ่มในสถานการณ์ที่จำเป็นหรือเร่งด่วน
หรือเพื่อประโยชน์ของ ททท.
ให้เจรจากับผู้ขายรายเดิมตามสัญญาหรือข้อตกลงซึ่งยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาการส่งมอบเพื่อขอให้มีการขายพัสดุตามรายละเอียด
และราคาที่ต่ำกว่าหรือราคาเดิม
ภายใต้เงื่อนไขที่ดีกว่าหรือเงื่อนไขเดิมโดยคำนึงถึงราคาต่อหน่วยตามสัญญาเดิม
(ถ้ามี) เพื่อให้บังเกิดผลประโยชน์สูงสุดที่ ททท. จะได้รับ
(๕)
ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศให้เสนอผู้ว่าการเพื่อติดต่อสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ
หรือสืบราคาจากต่างประเทศแล้วเปรียบเทียบราคาในประเทศส่วนการซื้อโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศให้ติดต่อกับสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศที่มีอยู่ในประเทศโดยตรง
เว้นแต่กรณีที่ไม่มีสำนักงานในประเทศ ให้ติดต่อกับสำนักงานในต่างประเทศได้
(๖)
ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรงให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ
(๒)
(๗)
ในกรณีเป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดีให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคา หรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป
หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรซื้อเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๘)
ในกรณีพัสดุที่เป็นที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่งให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อ
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้ สำหรับการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศ
ในกรณีจำเป็นจะติดต่อผ่านนายหน้าหรือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามกฎหมายหรือประเพณีนิยมของท้องถิ่นก็ได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๔๔[๒๑] การจ้างโดยวิธีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) (๕) และ (๖)
ให้เชิญผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องถิ่น
หรือราคาที่ประมาณได้หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้าง
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๒) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๔) ให้เจรจากับผู้รับจ้างรายเดิมตามสัญญาหรือข้อตกลงซึ่งยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาการส่งมอบเพื่อขอให้มีการจ้างตามรายละเอียด
และราคาที่ต่ำกว่าหรือราคาเดิม โดยคำนึงถึงราคาต่อหน่วยตามสัญญาเดิม (ถ้ามี)
เพื่อให้บังเกิดผลประโยชน์สูงสุดที่ ททท. จะได้รับ
(๓) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๗)
ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคาหรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป
หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรจ้างเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องถิ่น
หรือราคาที่ประมาณได้ หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้าง
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
วิธีกรณีพิเศษ
ข้อ ๔๕[๒๒]
การดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ ให้ผู้ว่าการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างจากผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามข้อ ๑๙ ได้โดยตรง
เว้นแต่การซื้อหรือการจ้างที่มีราคาไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดซื้อหรือจ้างได้ภายในวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าการตามข้อ
๒๒
ข้อ ๔๕/๑[๒๓] การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ และวิธีที่กำหนดไว้ในระเบียบของทางราชการที่ให้ดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
การตรวจรับพัสดุ
ข้อ ๔๖ คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจรับพัสดุ ณ ที่ทำการของ ททท. หรือที่ใช้พัสดุนั้น
หรือสถานที่ซึ่งกำหนดไว้ในสัญญาหรือข้อตกลง
การตรวจรับพัสดุ ณ สถานที่อื่น
ในกรณีที่ไม่มีสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการก่อน
(๒)
ตรวจรับพัสดุให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักฐานที่ตกลงกันไว้สำหรับกรณีที่มีการทดลองหรือตรวจสอบในทางเทคนิคหรือทางวิทยาศาสตร์
จะเชิญผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุนั้นมาให้คำปรึกษา
หรือส่งพัสดุนั้นไปทดลองหรือตรวจสอบ ณ สถานที่ของผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒินั้น
ๆ ก็ได้
ในกรณีจำเป็นที่ไม่สามารถตรวจนับเป็นจำนวนหน่วยทั้งหมดได้ให้ตรวจรับตามหลักวิชาการสถิติ
(๓)
โดยปกติให้ตรวจรับพัสดุในวันที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างนำพัสดุมาส่งและให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๔) เมื่อตรวจถูกต้องครบถ้วนแล้ว
ให้รับพัสดุไว้และถือว่าผู้ขายหรือผู้รับจ้างได้ส่งมอบพัสดุถูกต้องครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างนำพัสดุนั้นมาส่ง
แล้วมอบแก่เจ้าหน้าที่พัสดุพร้อมกับทำใบตรวจรับโดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย ๒
ฉบับ มอบแก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้าง ๑ ฉบับ และเจ้าหน้าที่พัสดุ ๑ ฉบับ
เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินและรายงานให้ผู้ว่าการทราบ
ในกรณีที่เห็นว่าพัสดุที่ส่งมอบมีรายละเอียดไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญา
หรือข้อตกลง ให้รายงานผู้ว่าการเพื่อทราบหรือสั่งการ แล้วแต่กรณี
(๕)
ในกรณีที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างส่งมอบพัสดุถูกต้องแต่ไม่ครบจำนวนหรือส่งมอบครบจำนวนแต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด
ถ้าสัญญาหรือข้อตกลงมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้ตรวจรับไว้เฉพาะจำนวนที่ถูกต้องโดยถือปฏิบัติตาม
(๔) และโดยปกติให้รีบรายงานผู้ว่าการเพื่อแจ้งให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทราบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันตรวจพบ แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิ
ททท. ที่จะปรับผู้ขายหรือผู้รับจ้างในจำนวนที่ส่งมอบไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องนั้น
(๖) การตรวจรับพัสดุที่ประกอบกันเป็นชุดหรือเป็นหน่วย
ถ้าขาดส่วนประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้วจะไม่สามารถใช้การได้โดยสมบูรณ์
ให้ถือว่าผู้ขายหรือผู้รับจ้างยังมิได้ส่งมอบพัสดุนั้น
และโดยปกติให้รีบรายงานผู้ว่าการเพื่อแจ้งให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทราบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันที่ตรวจพบ
(๗)
ถ้ากรรมการตรวจรับพัสดุบางคนไม่ยอมรับพัสดุโดยทำความเห็นแย้งไว้ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ถ้าผู้ว่าการสั่งการให้รับพัสดุนั้นไว้ จึงดำเนินการตาม (๔) หรือ (๕) แล้วแต่กรณี
การตรวจการจ้างและการควบคุมงานก่อสร้าง
ข้อ ๔๗ คณะกรรมการตรวจการจ้าง มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจสอบรายงานการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้อมที่ผู้ควบคุมงานรายงาน
โดยตรวจสอบกับแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาทุกสัปดาห์รวมทั้งรับทราบหรือพิจารณาการสั่งหยุดงานหรือพักงานของผู้ควบคุมงาน
แล้วรายงานผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
(๒) การดำเนินการตาม (๑)
ในกรณีมีข้อสงสัยหรือมีกรณีที่เห็นว่าตามหลักวิชาการช่างไม่น่าจะเป็นไปได้
ให้ออกตรวจงานจ้าง ณ สถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือที่ตกลงให้ทำงานจ้างนั้น ๆ
โดยให้มีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือตัดทอนงานจ้างได้ตามที่เห็นสมควรและตามหลักวิชาการช่าง
เพื่อให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
(๓) โดยปกติให้ตรวจผลงานที่ผู้รับจ้างส่งมอบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันที่ประธานกรรมการได้รับทราบการส่งมอบงาน
และให้ทำการตรวจรับให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๔)
เมื่อตรวจเห็นว่าเป็นการถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแล้ว
ให้ถือว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้รับจ้างส่งงานจ้างนั้น
และให้ทำใบรับรองผลการปฏิบัติงานทั้งหมดหรือเฉพาะงวด แล้วแต่กรณี โดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย
๒ ฉบับ มอบให้แก่ผู้รับจ้าง ๑ ฉบับ และเจ้าหน้าที่พัสดุ ๑ ฉบับ เพื่อทำการเบิกจ่ายเงิน
และรายงานให้ผู้ว่าการทราบ
ในกรณีที่เห็นว่าผลงานที่ส่งมอบทั้งหมดหรืองวดใดก็ตาม
ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
ให้รายงานผู้ว่าการเพื่อทราบหรือสั่งการ แล้วแต่กรณี
(๕) ในกรณีที่กรรมการตรวจการจ้างบางคนไม่ยอมรับงานโดยทำความเห็นแย้งไว้
ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อสั่งการ ถ้าผู้ว่าการสั่งการให้ตรวจรับงานจ้างนั้นไว้
จึงจะดำเนินการตาม (๔)
ข้อ ๔๘ ผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจและควบคุมงาน ณ
สถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือที่ตกลงให้ทำงานจ้างนั้น ๆ ทุกวัน
ให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดไว้ในสัญญาทุกประการ โดยสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือตัดทอนงานจ้างได้ตามที่เห็นสมควรและตามหลักวิชาช่างเพื่อให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
ถ้าผู้รับจ้างขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็สั่งให้หยุดงานนั้นเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด
แล้วแต่กรณี ไว้ก่อนจนกว่าผู้รับจ้างจะยอมปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสั่ง
และให้รายงานคณะกรรมการตรวจการจ้างทันที
(๒) ในกรณีที่ปรากฏว่าแบบรูปรายการละเอียดหรือข้อกำหนดในสัญญามีข้อความขัดกันหรือเป็นที่คาดหมายได้ว่าถึงแม้ว่างานนั้นจะได้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแต่เมื่อสำเร็จแล้วจะไม่มั่นคงแข็งแรงหรือไม่เป็นไปตามหลักวิชาช่างที่ดี
หรือไม่ปลอดภัย ให้สั่งพักงานนั้นไว้ก่อนแล้วรายงานคณะกรรมการตรวจการจ้างโดยเร็ว
(๓)[๒๔]
จดบันทึกสภาพการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง
และเหตุการณ์แวดล้อมเป็นรายวันพร้อมทั้งผลการปฏิบัติงาน
หรือการหยุดงานและสาเหตุที่มีการหยุดงาน อย่างน้อย ๒ ฉบับ
เพื่อรายงานให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบทุกสัปดาห์
และเก็บรักษาไว้เพื่อมอบให้แก่เจ้าหน้าที่พัสดุเมื่อเสร็จงานแต่ละงวดเพื่อประกอบการตรวจสอบของผู้มีหน้าที่
การบันทึกการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างให้ระบุรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติงานและวัสดุที่ใช้ด้วย
(๔) ในวันกำหนดลงมือทำการของผู้รับจ้างตามสัญญาและในวันถึงกำหนดส่งมอบงานแต่ละงวด
ให้รายงานผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างว่าเป็นไปตามสัญญาหรือไม่
ให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบภายใน ๓ วันทำการ นับแต่วันถึงกำหนดนั้น ๆ
อำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง
ข้อ ๔๙[๒๕] การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างครั้งหนึ่งนอกจากวิธีพิเศษ
และวิธีกรณีพิเศษ ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๕๐[๒๖] การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีพิเศษครั้งหนึ่ง
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่ง และภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๕๑ การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยไม่จำกัดวงเงิน
การจ้างที่ปรึกษา
ข้อ ๕๒[๒๗] การจ้างที่ปรึกษากระทำได้ ๒ วิธี คือ
(๑) วิธีตกลง
(๒) วิธีคัดเลือก
ข้อ ๕๒ ทวิ[๒๘]
ก่อนดำเนินการจ้างที่ปรึกษา ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษา
(๒) ขอบเขตโดยละเอียดของงานที่จะจ้างที่ปรึกษา
(๓) คุณสมบัติของที่ปรึกษาที่จะจ้าง
(๔) วงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาโดยประมาณ
(๕) กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงาน
(๖) วิธีจ้างที่ปรึกษาและเหตุผลที่ต้องจ้างโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ ถ้ามี
เมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบตามรายงานที่เสนอแล้วให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการจ้างตามวิธีจ้างนั้นต่อไปได้
ข้อ ๕๓[๒๙] ในการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาแต่ละครั้ง
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ แล้วแต่กรณี คือ
(๑) คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
(๒) คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
การแต่งตั้งคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ
๑ คนและกรรมการอย่างน้อย ๔ คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานระดับ ๕
หรือเทียบเท่าขึ้นไป อย่างน้อย ๒ คน ในกรณีจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์แก่ ททท.
ให้แต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิในงานที่จะจ้างที่ปรึกษาเป็นกรรมการด้วย
เว้นแต่สำนักงานสาขาในต่างประเทศ ให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ ๑ คน
และกรรมการอย่างน้อย ๒ คน โดยอาจแต่งตั้งจากลูกจ้างของสำนักงานนั้น
เป็นกรรมการก็ได้[๓๐]
ข้อ ๕๓ ทวิ[๓๑] การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
ได้แก่การจ้างที่ปรึกษาที่ผู้ว่าจ้างตกลงจ้างรายใดรายหนึ่งซึ่งเคยทราบหรือเคยเห็นความสามารถ
และผลงานแล้ว และเป็นผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้
ข้อ ๕๓ ตรี[๓๒] การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นการจ้างเพื่อทำงานต่อเนื่องจากงานที่ได้ทำอยู่แล้ว
(๒)
เป็นการจ้างในกรณีที่ทราบแน่ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญในงานที่จะให้บริการตามที่ต้องการมีจำนวนจำกัด
ไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการด้วยวิธีคัดเลือก
(๓) เป็นการจ้างที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ ททท.
ข้อ ๕๓ จัตวา[๓๓] คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษา
(๒) พิจารณาอัตราค่าจ้างและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ที่เกี่ยวเนื่องกับบริการที่จะจ้างและเจรจาต่อรอง
(๓) พิจารณารายละเอียดที่จะกำหนดในสัญญา
(๔)
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๕๔ ในการประชุมของคณะกรรมการตามข้อ ๕๓
ให้นำข้อ ๒๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๕๕[๓๔] การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
ได้แก่การจ้างที่ปรึกษาโดยการคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานนั้นให้เหลือน้อยรายและเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้รับการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายดังกล่าวยื่นข้อเสนอเข้ารับงานนั้น
ๆ เพื่อพิจารณาคัดเลือกรายที่ดีที่สุด ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรและผู้ว่าการเห็นชอบให้เชิญที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมยื่นข้อเสนอเข้ารับงาน
โดยไม่ต้องทำการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายก็ได้
การคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลือน้อยราย
ให้คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาพิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลืออย่างมาก ๖
ราย
เมื่อได้ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลือน้อยรายแล้วให้รายงานผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๕๖ ให้ ททท.
ออกหนังสือเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้คัดเลือกไว้ยื่นข้อเสนอเพื่อรับงานตามวิธีหนึ่งวิธีใด
ดังต่อไปนี้
(๑) ยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านราคาพร้อมกันโดยแยกเป็น
๒ ซอง
(๒) ยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคเพียงซองเดียว
ข้อ ๕๗[๓๕]
คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือกมี หน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก
(๒) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาทุกรายและจัดลำดับ
(๓) ในกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ ๕๖ (๑) ให้เปิดซองเสนอด้านราคาของที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
สำหรับกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ ๕๖ (๒)
ให้เชิญที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดมายื่นข้อเสนอด้านราคาและเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
หากเจรจาไม่ได้ผล ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อพิจารณายกเลิกการเจรจากับที่ปรึกษารายนั้นแล้วเปิดซองข้อเสนอด้านราคาของที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดรายถัดไป
หรือเชิญที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดรายถัดไปให้ยื่นข้อเสนอด้านราคา
แล้วแต่กรณี และเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
(๔) เมื่อเจรจาได้ราคาที่เหมาะสมแล้วให้พิจารณาเงื่อนไขต่าง
ๆ ที่จะกำหนดในสัญญา
(๕) ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณา
และความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการ
ในกรณีที่ใช้วิธีการยื่นข้อเสนอตามข้อ ๕๖ (๑)
หลังจากตัดสินให้ทำสัญญากับที่ปรึกษา ซึ่งได้รับการคัดเลือกแล้ว
ให้ส่งคืนซองข้อเสนอด้านราคาให้แก่ที่ปรึกษารายอื่นที่ได้ยื่นไว้โดยไม่เปิดซอง
ข้อ ๕๘
การจ้างที่ปรึกษาที่เป็นงานที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและมีที่ปรึกษาซึ่งสามารถทำงานนั้นได้เป็นการทั่วไป
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะออกหนังสือเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้คัดเลือกไว้ให้ยื่นข้อเสนอเพื่อรับงาน
โดยให้ดำเนินการตามวิธีดังต่อไปนี้คือ
(๑)
ให้ที่ปรึกษายื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านราคาพร้อมกันโดยแยกเป็น ๒ ซอง
(๒) ให้คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาทุกราย
และจัดลำดับ
(๓) เปิดซองข้อเสนอด้านราคาของผู้ที่ได้รับการจัดลำดับไว้อันดับหนึ่งถึงอันดับสามตาม
(๒) พร้อมกัน แล้วเลือกรายที่เสนอราคาต่ำสุดมาเจรจาต่อรองราคาเป็นลำดับแรก
(๔) หากเจรจาตาม (๓) แล้วไม่ได้ผล
ให้ยกเลิกแล้วเจรจากับรายที่เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
เมื่อเจรจาได้ผลประการใด ให้ดำเนินการตามข้อ ๕๗ (๔) และ (๕)
ข้อ ๕๙
การจ้างที่ปรึกษาเป็นรายบุคคลที่ไม่ต้องยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคให้ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามนัยข้อ
๕๕ และพิจารณาจัดลำดับ และเมื่อสามารถจัดลำดับได้แล้วให้เชิญรายที่เหมาะสมที่สุดมาเสนอราคาค่าจ้างเพื่อเจรจาต่อรองราคาตามลำดับ
ข้อ ๖๐[๓๖] การสั่งจ้างที่ปรึกษาครั้งหนึ่ง
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๖๑
อัตราค่าจ้างที่ปรึกษาให้เป็นไปตามความเหมาะสมและประหยัดโดยให้คำนึงถึงองค์ประกอบต่าง
ๆ เช่น ลักษณะของงานที่จะจ้าง อัตราค่าจ้างของงานในลักษณะเดียวกันที่ ททท.
เคยจ้างจำนวนคนต่อเดือน เท่าที่จำเป็น ดัชนีค่าครองชีพ เป็นต้น
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้า
ให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ของค่าจ้างตามสัญญา
และที่ปรึกษาจะต้องจัดให้ธนาคารเป็นผู้ค้ำประกันเงินค่าจ้างที่ได้รับล่วงหน้าไปนั้นและให้ผู้ว่าการคืนหนังสือค้ำประกันดังกล่าวให้แก่ที่ปรึกษาเมื่อ
ททท. ได้หักเงินที่ได้จ่ายล่วงหน้าจากเงินค่าจ้างตามผลงานแต่ละงวดครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ ให้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วย
ข้อ ๖๒
การจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ที่ปรึกษาที่แบ่งการชำระเงินออกเป็นงวดให้ผู้ว่าการหักเงินที่จะจ่ายแต่ละครั้งในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินค่าจ้าง เพื่อเป็นการประกันผลงาน
หรือจะให้ที่ปรึกษาใช้หนังสือค้ำประกันของธนาคารในประเทศมีอายุการค้ำประกันตามที่ผู้ว่าการจะกำหนดวางค้ำประกันแทนเงินที่หักไว้ก็ได้
ทั้งนี้ ให้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วย
ข้อ ๖๓ กรณีสัญญาจ้างที่ปรึกษาตามโครงการเงินกู้ทีได้รวมเงินค่าภาษีซึ่งที่ปรึกษาจะต้องจ่ายให้แก่รัฐบาลไทยไว้ในราคาจ้าง
ให้แยกเงินส่วนที่กันเป็นค่าภาษีไว้ต่างหากจากราคาจ้างรวม
หลักประกัน
ข้อ ๖๔[๓๗]
หลักประกันซองหรือหลักประกันสัญญาให้ใช้หลักประกันอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
(๑) เงินสด
(๒) เช็คที่ธนาคารเซ็นสั่งจ่าย
ซึ่งเป็นเช็คลงวันที่ที่ใช้เช็คนั้นยื่นต่อเจ้าหน้าที่ หรือก่อนวันนั้นไม่เกิน ๓
วันทำการ
(๓) หนังสือค้ำประกันของธนาคารภายในประเทศ
(๔)[๓๘] หนังสือค้ำประกันของบริษัทเงินทุน
หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์
และประกอบธุรกิจค้ำประกัน ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามรายชื่อบริษัทเงินทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งเวียนให้ทราบ
โดยอนุโลมให้ใช้ตามตัวอย่างหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่ ททท. กำหนด
(๕) พันธบัตรรัฐบาลไทย
ข้อ ๖๕ หลักประกันซองและหลักประกันสัญญาในข้อ ๖๔
ให้กำหนดมูลค่าเป็นจำนวนเต็มในอัตราร้อยละ ๕
ของวงเงินหรือราคาพัสดุที่จัดหาครั้งนั้น แล้วแต่กรณี เว้นแต่การจัดหาพัสดุที่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ
จะกำหนดอัตราสูงกว่าร้อยละ ๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ก็ได้
ในการทำสัญญาจัดหาพัสดุที่มีระยะเวลาผูกพันตามสัญญาเกิน ๑
ปี และพัสดุนั้นไม่ต้องมีการประกันเพื่อความชำรุดบกพร่อง เช่น พัสดุใช้สิ้นเปลือง ให้กำหนดหลักประกันในอัตราร้อยละ
๕ ของราคาพัสดุที่ส่งมอบในแต่ละปีของสัญญา โดยให้ถือว่าหลักประกันนี้เป็นการค้ำประกันตลอดอายุสัญญา
และหากในปีต่อไปราคาพัสดุที่ส่งมอบแตกต่างไปจากราคาในรอบปีก่อน
ให้ปรับปรุงหลักประกันตามอัตราส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก่อนครบรอบปี ในกรณีที่หลักประกันต้องปรับปรุงในทางที่เพิ่มขึ้น
และคู่สัญญาไม่นำหลักประกันมาเพิ่มให้ครบจำนวนภายใน ๑๕ วัน
ก่อนการส่งมอบพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้น ให้ ททท. หักจากเงินค่าพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้นที่
ททท. จะต้องจ่ายไว้เป็นหลักประกันในส่วนที่เพิ่มขึ้น
การกำหนดหลักประกันตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือเอกสารประกวดราคา และในสัญญาด้วย
แล้วแต่กรณี
ข้อ ๖๖[๓๙] ให้ ททท. คืนหลักประกันให้แก่ผู้เสนอราคา
คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) หลักประกันซอง ให้คืนแก่ผู้เสนอราคา
หรือผู้ค้ำประกันภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้พิจารณาในเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
เว้นแต่ผู้เสนอราคารายที่คัดเลือกไว้ซึ่งเสนอราคาต่ำสุดไม่เกิน ๓ ราย
ให้คืนต่อเมื่อได้ทำสัญญาหรือข้อตกลง หรือผู้เสนอราคาได้พ้นจากข้อผูกพันแล้ว
(๒) หลักประกันสัญญา
ให้คืนให้แก่คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันโดยเร็ว และอย่างช้าต้องไม่เกิน ๑๕ วัน
นับแต่วันที่คู่สัญญาพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญาแล้ว
การซื้อหรือการจ้างที่ไม่ต้องมีหลักประกันเพื่อความชำรุดบกพร่องให้คืนหลักประกันให้แก่คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันตามอัตราส่วนของพัสดุซึ่ง
ททท. ได้รับมอบไว้แล้ว แต่ทั้งนี้จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือเอกสารประกวดราคา
และในสัญญาด้วย
การคืนหลักประกันที่เป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร
บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาหรือคู่สัญญาไม่มารับภายในกำหนดเวลาข้างต้น
ให้รีบส่งต้นฉบับหนังสือค้ำประกันให้แก่ผู้เสนอราคาหรือคู่สัญญาโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนโดยเร็วพร้อมกับแจ้งให้ธนาคาร
บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผู้ค้ำประกันทราบด้วย[๔๐]
ข้อ ๖๗
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้เสนอราคาหรือเป็นคู่สัญญาไม่ต้องวางหลักประกัน
การจ่ายเงินล่วงหน้า
ข้อ ๖๘
การจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะกระทำมิได้
เว้นแต่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องจ่ายและมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ก่อนการทำสัญญาหรือข้อตกลง
ให้กระทำได้เฉพาะในกรณีและตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การซื้อหรือจ้างจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
หรือบริษัทที่ ททท. ลงทุนหรือร่วมทุนด้วย จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐
ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
(๒) การซื้อพัสดุจากต่างประเทศโดยดำเนินการผ่านองค์การระหว่างประเทศ
ให้จ่ายได้ตามที่ตกลงกับองค์การระหว่างประเทศ
(๓)[๔๑]
การบอกรับวารสารหรือการสั่งจองหนังสือหรือวารสารหรือการจัดซื้อฐานข้อมูลสำเร็จรูป
(CD-ROM) ที่มีลักษณะจะต้องบอกรับเป็นสมาชิกก่อนและมีกำหนดการออกเป็นวาระดังเช่นวารสาร
หรือการบอกรับเป็นสมาชิก INTERNET เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์เรียกค้นหาข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข้อมูลต่าง
ๆ โดยอาศัยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ให้จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง
(๔) การซื้อหรือจ้างโดยวิธีสอบราคาหรือประกวดราคา
จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง แต่ทั้งนี้จะต้องกำหนดอัตราค่าพัสดุหรือค่าจ้างที่จะจ่ายล่วงหน้าไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือประกวดราคาด้วย
(๕) การซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษ ให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ
๑๕ ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
การจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามแบบธรรมเนียมการค้าระหว่างประเทศโดยเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต
หรือโดยวิธีใช้ดร๊าฟท์กรณีที่วงเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท หรือจ่ายเงินตามความก้าวหน้าในการจัดหาพัสดุที่สั่งซื้อ
ให้กระทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการจ่ายเงินล่วงหน้า
ข้อ ๖๙
การจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตามข้อ ๖๘ (๑) (๒) และ (๓) ไม่ต้องเรียกหลักประกัน
ส่วนการจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตามข้อ ๖๘ (๔)
และ (๕) ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะต้องจัดให้ธนาคารในประเทศธนาคารหนึ่งหรือหลายธนาคารเป็นผู้ค้ำประกันเงินที่รับล่วงหน้าไปนั้น
การทำสัญญาซื้อขายและสัญญาจ้าง
ข้อ ๗๐[๔๒] การซื้อหรือการจ้าง
ให้ทำสัญญาตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้
เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้จะทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการ
(๑) การซื้อ การจ้าง หรือการแลกเปลี่ยน โดยวิธีตกลงราคา
(๒) การซื้อหรือการจ้าง
ที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างสามารถส่งมอบพัสดุได้ครบถ้วน ภายใน ๕ วันทำการ
นับแต่วันถัดจากวันตกลงซื้อขายหรือจ้าง
(๓) การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
และการจัดหาจากส่วนราชการ
(๔) การซื้อโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๑) (๒) (๔) (๕) และข้อ
๑๘
(๕) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖)
และข้อ ๑๘
สำหรับการซื้อที่ผู้ขายสามารถส่งมอบพัสดุได้ทันที
หรือในกรณีการซื้อหรือการจ้างที่ดำเนินการตามข้อ ๒๘ วรรคสอง
หรือการซื้อหรือการจ้างที่มีราคาไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท
จะไม่ทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
ข้อ ๗๑ การทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือ
ให้กำหนดค่าปรับ ดังนี้
(๑) การซื้อหรือการจ้างที่ไม่ต้องการผลสำเร็จของงานพร้อมกัน
ให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันในอัตราตายตัวระหว่างร้อยละ ๐.๐๒ - ๐.๒๐
ของราคาพัสดุที่ยังไม่ได้รับมอบ
(๒) การจ้างที่ต้องการผลสำเร็จของงานพร้อมกัน
ให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันเป็นจำนวนเงินตายตัวในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ - ๐.๑๐
ของราคางานจ้างนั้น แต่จะต้องไม่ต่ำกว่าวันละ ๒๐๐ บาท
(๓) การทำสัญญาจ้างที่ปรึกษา หาก ททท.
เห็นว่าถ้าไม่กำหนดค่าปรับไว้ในสัญญาจะเกิดความเสียหายแก่ ททท. ให้ ททท.
กำหนดค่าปรับเป็นรายวันในอัตราหรือจำนวนเงินตายตัวในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ - ๐.๑๐
ของราคางานจ้างนั้นได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น[๔๓]
การกำหนดค่าปรับตามวรรคหนึ่งในอัตราหรือเป็นจำนวนเงินตายตัวเท่าใดให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการ
ในกรณีการซื้อสิ่งของที่ประกอบกันเป็นชุด
ถ้าขาดส่วนประกอบส่วนหนึ่งส่วนใดไปแล้ว จะไม่สามารถใช้การได้โดยสมบูรณ์
แม้ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของภายในกำหนดตามสัญญาแต่ยังขาดส่วนประกอบบางส่วน
ต่อมาได้ส่งมอบส่วนประกอบที่ยังขาดนั้นเกินกำหนดสัญญา ให้ถือว่าไม่ได้ส่งมอบสิ่งของนั้นเลย
ให้ปรับเต็มราคาของทั้งชุด
ในกรณีการซื้อสิ่งของที่คิดราคารวมทั้งค่าติดตั้งหรือทดลองด้วย
ถ้าติดตั้งหรือทดลองเกินกว่ากำหนดตามสัญญาเป็นจำนวนวันเท่าใดให้ปรับเป็นรายวันในอัตราที่กำหนดของราคาทั้งหมด
เมื่อครบกำหนดส่งมอบพัสดุหรืองานจ้างตามสัญญาหรือข้อตกลงให้
ททท. รีบแจ้งการเรียกค่าปรับตามสัญญาหรือข้อตกลงจากคู่สัญญา
และเมื่อคู่สัญญาได้ส่งมอบพัสดุหรืองานจ้างให้ ททท.บอกสงวนสิทธิการเรียกค่าปรับในขณะที่รับมอบพัสดุนั้นด้วย
ข้อ ๗๒
การทำสัญญารายใดถ้าจำเป็นต้องมีข้อความหรือรายการแตกต่างไปจากตัวอย่างสัญญาท้ายข้อบังคับนี้
โดยมีสาระสำคัญตามที่กำหนดไว้ในตัวอย่างสัญญาและไม่ทำให้ ททท.
เสียเปรียบก็ให้กระทำได้ เว้นแต่ผู้ว่าการเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ
ก็ให้ส่งร่างสัญญานั้นไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน
ในกรณีที่ไม่อาจทำสัญญาตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้ได้
และจำเป็นต้องร่างสัญญาขึ้นใหม่
ต้องส่งร่างสัญญานั้นให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน เว้นแต่การทำสัญญาตามแบบที่เคยผ่านการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดมาแล้ว
ในกรณีจำเป็นต้องทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นภาษาต่างประเทศ
ให้ทำเป็นภาษาอังกฤษแต่ต้องการมีคำแปลเป็นภาษาไทยไว้ด้วย
การทำสัญญาหรือข้อตกลงของสำนักงานสาขาในต่างประเทศจะทำเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สำนักงานสาขานั้นตั้งอยู่ก็ได้
โดยผ่านการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของประเทศนั้น ๆ หรือของ ททท.[๔๔]
ข้อ ๗๓
สัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือที่ได้ลงนามแล้ว จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้
เว้นแต่การแก้ไขนั้นจะเป็นความจำเป็นโดยไม่ทำให้ ททท.
ต้องเสียประโยชน์หรือเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์แก่ ททท. ให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลงตามวรรคหนึ่ง
หากมีความจำเป็นต้องเพิ่มหรือลดวงเงิน หรือเพิ่มหรือลดระยะเวลาส่งมอบของ
หรือระยะเวลาในการทำงาน ให้ตกลงพร้อมกันไป
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลงที่ได้ลงนามแล้วตามวรรคหนึ่ง
ในกรณีที่ต้องเพิ่มวงเงินหากวงเงินที่เพิ่มขึ้นรวมกับวงเงินค่าพัสดุหรืองานจ้างในสัญญาหรือข้อตกลงเดิม
เป็นวงเงินสั่งซื้อหรือสั่งจ้างซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งตามที่กำหนดไว้ในข้อ
๔๙ และข้อ ๕๐ ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
แต่ทั้งนี้จะต้องขอทำความตกลงกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามระเบียบปฏิบัติด้วย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
สำหรับการซื้อหรือจ้างที่เกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรงของสิ่งก่อสร้างหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่าง
จะต้องได้รับการรับรองจากวิศวกร สถาปนิกและวิศวกรผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรับผิดชอบหรือสามารถรับรองแบบและรายการของงานก่อสร้างหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่าง
แล้วแต่กรณี ด้วย
ข้อ ๗๔
ให้ผู้ว่าการพิจารณาใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง ในกรณีที่มีเหตุอันเชื่อได้ว่าผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
การตกลงกับคู่สัญญาที่จะบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง
ให้ผู้ว่าการพิจารณาได้เฉพาะกรณีที่เป็นประโยชน์แก่ ททท. โดยตรง
หรือเพื่อแก้ไขข้อเสียเปรียบของ ททท. ในการที่จะปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้นต่อไป
ข้อ ๗๕ ในกรณีที่คู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงได้และจะต้องมีการปรับตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้น
หากจำนวนเงินค่าปรับจะเกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างให้ ททท.
พิจารณาดำเนินการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง เว้นแต่คู่สัญญาจะได้ยินยอมเสียค่าปรับให้แก่
ททท. โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ให้ผู้ว่าการพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จำเป็น
ข้อ ๗๖ การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา
หรือการขยายเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลงให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาได้ตามจำนวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริงเฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เหตุเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของ ททท.
(๒) เหตุสุดวิสัย
(๓) เหตุเกิดจากพฤติการณ์อันหนึ่งอันใดที่คู่สัญญาไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย[๔๕]
ให้ ททท.
ระบุไว้ในสัญญากำหนดให้คู่สัญญาต้องแจ้งเหตุดังกล่าวให้ ททท. ทราบภายใน ๑๕ วัน
นับแต่เหตุนั้นได้สิ้นสุดลง หากมิได้แจ้งภายในเวลาที่กำหนด คู่สัญญาจะยกมากล่าวอ้างเพื่อขอลดหรืองดค่าปรับหรือขอขยายเวลาในภายหลังมิได้
เว้นแต่กรณีตาม (๑) ซึ่งมีหลักฐานชัดแจ้งหรือ ททท. ทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
ข้อ ๗๗
ให้ผู้ว่าการส่งสำเนาสัญญาซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินภายใน
๓๐ วัน นับแต่วันทำสัญญา
การลงโทษผู้ทิ้งงาน
ข้อ ๗๘[๔๖] ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกแล้วไม่ยอมไปทำสัญญาหรือข้อตกลงภายในเวลาที่
ททท. กำหนด หรือคู่สัญญาของ ททท.
ไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรหรือผู้เสนอราคาหรือผู้เสนองานกระทำการอันเป็นการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการ หรือกระทำการโดยไม่สุจริต
ให้ผู้ว่าการพิจารณาสั่งให้บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ทิ้งงาน
ในกรณีที่นิติบุคคลใดถูกสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำดังกล่าวเกิดจากหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ
ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของนิติบุคคลนั้น
ให้ผู้ว่าการสั่งบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ทิ้งงาน
และให้มีผลไปถึงนิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งมีหุ้นส่วนผู้จัดการ
กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของนิติบุคคล
ที่ถูกพิจารณาให้เป็นผู้ทิ้งงานด้วย
คำสั่งที่ให้บุคคลธรรมดาเป็นผู้ทิ้งงานตามวรรคหนึ่งให้มีผลไปถึงนิติบุคคลอื่นที่เข้าเสนอราคา
ซึ่งมีบุคคลดังกล่าวเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร
หรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงาน ในกิจการของนิติบุคคลนั้นด้วย
เมื่อผู้ว่าการได้พิจารณาสั่งให้บุคคลใดเป็นผู้ทิ้งงานแล้ว
ให้ผู้ว่าการระบุชื่อผู้ทิ้งงานไว้ในบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงาน
พร้อมทั้งแจ้งชื่อผู้ทิ้งงานให้กระทรวงการคลังทราบ
รวมทั้งแจ้งให้ผู้ทิ้งงานรายนั้นทราบด้วย
ผู้ซึ่งถูกสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของผู้ว่าการต่อคณะกรรมการ
ททท. ได้ โดยยื่นเป็นหนังสือต่อผู้ว่าการภายใน ๑๕ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว
ข้อ
๗๘/๑[๔๗] ให้ผู้ว่าการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานตามที่ได้กำหนดไว้ในหมวดนี้
ห้าม
ททท. ก่อนิติสัมพันธ์กับผู้ทิ้งงานที่ผู้ว่าการ
หรือผู้รักษาการตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุของส่วนราชการได้ระบุชื่อไว้ในบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานและได้แจ้งเวียนชื่อแล้ว
เว้นแต่ผู้ว่าการหรือผู้รักษาการตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุของส่วนราชการจะสั่งเพิกถอนการเป็นผู้ทิ้งงาน
การห้าม
ททท. ก่อนิติสัมพันธ์กับผู้ทิ้งงานตามวรรคสอง ให้ใช้บังคับกับบุคคลตามข้อ ๗๘
วรรคสาม ด้วย
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลใดที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาให้เป็นผู้ทิ้งงานตามข้อกำหนดในส่วนนี้
ให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิเสนอราคาหรือเสนองานให้แก่ ททท. ได้
แต่ถ้าผลการพิจารณาต่อมาผู้ว่าการได้สั่งให้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลนั้นเป็นผู้ทิ้งงาน
ให้ผู้ว่าการตัดรายชื่อบุคคลดังกล่าวออกจากรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับการคัดเลือก
หรือยกเลิกการเปิดซองสอบราคา ประกวดราคาหรือเสนองาน
หรือยกเลิกการลงนามในสัญญาที่ได้กระทำก่อนการสั่งการของผู้ว่าการ เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ว่าการพิจารณาเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่
ททท. อย่างยิ่ง
ผู้ว่าการจะไม่ตัดรายชื่อบุคคลดังกล่าวออกจากรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับการคัดเลือกหรือจะไม่ยกเลิกการเปิดซองสอบราคา
ประกวดราคา หรือเสนองานหรือจะไม่ยกเลิกการลงนามในสัญญาซื้อหรือจ้างที่ได้กระทำก่อนมีคำสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานก็ได้
ส่วนที่ ๒
การจัดทำเอง
ข้อ ๗๙ ในการจัดทำเอง
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งผู้ควบคุมรับผิดชอบในการจัดทำเองนั้น และแต่งตั้ง
คณะกรรมการตรวจการปฏิบัติงาน โดยมีคุณสมบัติและหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ส่วนที่ ๓
การแลกเปลี่ยน
ข้อ ๘๐ การแลกเปลี่ยนพัสดุจะกระทำมิได้
เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความจำเป็นก็ให้กระทำได้
ข้อ ๘๑ ในกรณีต้องมีการแลกเปลี่ยนพัสดุ
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุรายงานผู้ว่าการเพื่อพิจารณาสั่งการ
โดยให้รายงานตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องแลกเปลี่ยน
(๒) รายละเอียดของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยน
(๓) ราคาที่ซื้อหรือได้มาของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยนและราคาที่จะแลกเปลี่ยนได้โดยประมาณ
(๔) พัสดุที่จะรับแลกเปลี่ยน
และให้ระบุว่าจะแลกเปลี่ยนกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน
(๕) ข้อเสนออื่น ๆ
ในกรณีที่จะแลกเปลี่ยนกับเอกชน
ให้ระบุวิธีที่จะแลกเปลี่ยนพร้อมทั้งเหตุผล โดยเสนอให้นำวิธีการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่พัสดุที่จะแลกเปลี่ยนนั้นมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
จะเสนอให้ใช้วิธีตกลงราคาก็ได้
ข้อ ๘๒ การแลกเปลี่ยนพัสดุกับเอกชน ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง
หรือหลายคณะตามความจำเป็น โดยถือปฏิบัติตามข้อ ๒๔ ข้อ ๒๕ หรือข้อ ๒๖ แล้วแต่กรณี โดยอนุโลม
ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจสอบและประเมินราคาพัสดุที่ต้องการแลกเปลี่ยนตามสภาพปัจจุบันของพัสดุนั้น
(๒) ตรวจสอบรายละเอียดพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนว่าเป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยใช้งานมาก่อน
เว้นแต่พัสดุเก่าที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนนั้นจะเป็นความจำเป็นโดยไม่ทำให้ ททท.
ต้องเสียประโยชน์หรือเพื่อประโยชน์แก่ ททท.
(๓) เปรียบเทียบราคาพัสดุที่จะแลกเปลี่ยนกัน
โดยพิจารณาจากราคาที่ประเมินตาม (๑)
และราคาพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนซึ่งถือตามราคาในท้องตลาดโดยทั่วไป
(๔)
ต่อรองกับผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรแลกเปลี่ยน
(๕) เสนอความเห็นต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
(๖) ตรวจรับพัสดุโดยปฏิบัติตามข้อ ๔๖ โดยอนุโลม
ข้อ ๘๓ การแลกเปลี่ยนพัสดุกับส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการกับหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานนั้น ๆ
ที่จะตกลงกัน
ส่วนที่ ๔
การเช่า
ข้อ ๘๔[๔๘] การเช่า หมายถึง
การเช่าสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์รวมทั้งบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่า
เพื่อประโยชน์ในกิจการของ ททท. ให้นำข้อกำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้
ไม่รวมถึงการเช่าบริการพื้นที่ชั่วคราว ซึ่งหมายถึงการเช่าอสังหาริมทรัพย์
เพื่อดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่มีระยะเวลาการเช่าไม่เกิน ๑ เดือน
ให้ดำเนินการโดยวิธีตกลงราคา
ข้อ ๘๔/๑[๔๙] การอนุมัติและการจ่ายเงินค่าเช่าบริการพื้นที่ชั่วคราวล่วงหน้า
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่ง ดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๘๕ การเช่าอสังหาริมทรัพย์
ให้ดำเนินการโดยวิธีตกลงราคาและให้กระทำได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เช่าที่ดินหรือสถานที่เพื่อประโยชน์ในกิจการของ ททท.
(๒) เช่าสถานที่เพื่อใช้เป็นที่พัก
(๓) การเช่าอื่น ๆ ที่คณะกรรมการ ททท. ให้ความเห็นชอบ
ข้อ ๘๖ การรายงานขอเช่า ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องเช่า และระยะเวลาที่ขอเช่า
(๒) ราคาค่าเช่าโดยประมาณหรือราคาค่าเช่าที่ผู้ให้เช่าเสนอ
(๓) รายละเอียดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะเช่า เช่น
สภาพของสถานที่บริเวณที่ต้องการใช้พร้อมทั้งภาพถ่าย และราคาค่าเช่าครั้งหลังสุด
เป็นต้น
(๔) อัตราค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งมีขนาดและสภาพใกล้เคียงกับที่จะเช่า การเช่าอสังหาริมทรัพย์ในส่วนภูมิภาค
ให้ขอความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของสถานที่และอัตราค่าเช่าจากอำเภอหรือจังหวัดนั้น
ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
ข้อ ๘๗
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าในการเช่าอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์
ให้กระทำได้เฉพาะกรณีการเช่าซึ่งมีระยะเวลาไม่เกิน ๓ ปี ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การเช่าจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของค่าเช่าทั้งสัญญา
(๒) การเช่าจากเอกชนจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๒๐
ของค่าเช่าทั้งสัญญา
การจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้านอกเหนือจากหลักเกณฑ์ข้างต้นต้องได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ
ททท. ก่อน
ข้อ ๘๘[๕๐] อสังหาริมทรัพย์ในประเทศ
ซึ่งมีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาไม่เกินเดือนละ
๔๐๐,๐๐๐ บาท หรืออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ
ซึ่งมีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาไม่เกินเดือนละ
๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้ผู้ว่าการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ
กรณีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าเกินกว่าที่กำหนดตามวรรคหนึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
ททท. ก่อน
ข้อ ๘๙[๕๑] การเช่าและการเช่าบริการพื้นที่ชั่วคราว
ให้ทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันและให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะดำเนินการในเรื่องเงื่อนไขของสัญญาหรือข้อตกลงได้เอง
เว้นแต่กรณีการเช่าที่ ททท. ต้องเสียเงินอื่นใดนอกจากค่าเช่า
หรือในกรณีที่ผู้ว่การเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ
ให้ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน
และในกรณีที่จะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ดำเนินการตามกฎหมายด้วย
สำหรับร่างสัญญาของสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
ให้ผ่านการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของประเทศนั้น ๆ หรือของ ททท.
หมวด
๓
การควบคุมและการจำหน่ายพัสดุ
ส่วนที่ ๑
การให้ยืม
ข้อ ๙๐
การให้ยืมหรือนำพัสดุไปใช้ในกิจการซึ่งมิใช่เพื่อประโยชน์ของ ททท. จะกระทำมิได้
ข้อ ๙๑[๕๒] การให้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูปหรือการให้ยืมใช้สถานที่
ต้องให้ผู้ยืมทำหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงเหตุผลและกำหนดวันส่งคืน
โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การให้หน่วยงานภายนอกยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป
ผู้ยืมต้องเป็นหัวหน้าของหน่วยงานนั้น ๆ
(๒)
การให้บุคคลยืมพัสดุประเภทใช้คงรูปไปใช้ภายในสถานที่ทำการของ ททท.
จะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบพัสดุนั้น
(๓) การให้ยืมใช้สถานที่
ผู้ยืมต้องเป็นหัวหน้าของหน่วยงานนั้น ๆ หรือเป็นพนักงานของ ททท.
ในกรณีให้หน่วยงานภายนอกยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป
หรือให้บุคคลยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป ไปใช้ภายนอกสถานที่ทำการของ ททท.
หรือการให้ยืมใช้สถานที่ จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการ
ข้อ ๙๒
ผู้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูปจะต้องนำพัสดุนั้นมาส่งคืนให้ในสภาพที่ใช้การได้เรียบร้อย
หากเกิดการชำรุดเสียหาย หรือใช้การไม่ได้ หรือสูญหายไปให้ผู้ยืมจัดการแก้ไขซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง
หรือชดใช้เป็นพัสดุประเภท ชนิด ขนาด ลักษณะ
และคุณภาพอย่างเดียวกันหรือชดใช้เป็นเงินตามราคาที่เป็นอยู่ในขณะยืม
ข้อ ๙๓ การยืมพัสดุประเภทใช้สิ้นเปลืองให้กระทำได้เฉพาะเมื่อส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจผู้ยืมมีความจำเป็นต้องใช้พัสดุนั้นเป็นการรีบด่วน
จะดำเนินการจัดหาได้ไม่ทันการ และ ททท. มีพัสดุนั้น ๆ
พอที่จะให้ยืมได้โดยไม่เป็นการเสียหายแก่ ททท. และให้มีหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร
ทั้งนี้ โดยปกติส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจผู้ยืมจะต้องจัดหาพัสดุเป็นประเภท
ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันส่งคืนให้แก่ ททท.
ข้อ ๙๔ เมื่อครบกำหนดยืม
ผู้ให้ยืมหรือผู้รับหน้าที่แทนมีหน้าที่ติดตามทวงพัสดุที่ให้ยืมไปคืนภายใน ๗
วันนับแต่วันครบกำหนด
ส่วนที่ ๒
การควบคุม
ข้อ ๙๕ พัสดุของ ททท. ไม่ว่าจะได้มาด้วยประการใด
ให้อยู่ในความควบคุมตามข้อบังคับนี้
ข้อ ๙๖ เมื่อเจ้าหน้าที่พัสดุได้รับมอบพัสดุแล้ว
ให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ลงบัญชีหรือทะเบียนเพื่อควบคุมพัสดุ
แยกเป็นชนิดและแสดงรายการโดยให้มีหลักฐานการรับเข้าบัญชีหรือทะเบียนไว้ประกอบรายการด้วย
สำหรับพัสดุประเภทอาหารสด จะลงรายการอาหารสดทุกชนิดในบัญชีเดียวกันก็ได้
(๒) เก็บรักษาพัสดุให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ปลอดภัย
และให้ครบถ้วนถูกต้องตรงตามบัญชีหรือทะเบียน
ข้อ ๙๗ การเบิกพัสดุ
ให้พนักงานผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขึ้นไปที่ต้องใช้พัสดุนั้นเป็นผู้เบิก และให้หัวหน้างานพัสดุหรือหัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบพัสดุเป็นผู้สั่งจ่าย
ข้อ ๙๘
ผู้จ่ายพัสดุต้องตรวจสอบความถูกต้องของใบเบิกและเอกสารประกอบ แล้วลงบัญชีหรือทะเบียนทุกครั้งที่มีการจ่าย
และเก็บใบเบิกจ่ายไว้เป็นหลักฐานด้วย
ข้อ ๙๙ ก่อนสิ้นเดือนกันยายนทุกปี ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งพนักงานซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่พัสดุคนหนึ่งหรือหลายคนตามความจำเป็น
เพื่อตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุงวดตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ปีก่อน จนถึงวันที่ ๓๐
กันยายน ปีปัจจุบัน และตรวจนับพัสดุคงเหลืออยู่เพียงวันสิ้นงวดนั้น
การตรวจสอบตามวรรคหนึ่ง ให้เริ่มดำเนินการในวันเปิดทำการวันแรกของเดือนตุลาคม
เป็นต้นไป ว่าการรับจ่ายถูกต้องหรือไม่
พัสดุคงเหลือมีตัวอยู่ตรงตามบัญชีหรือทะเบียนหรือไม่ มีพัสดุใดชำรุด เสื่อมคุณภาพ
หรือสูญไป เพราะเหตุใด หรือพัสดุใดไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป
แล้วให้เสนอรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อผู้ว่าการภายใน ๓๐
วันทำการนับแต่วันเริ่มดำเนินการตรวจสอบพัสดุนั้น
ข้อ ๑๐๐[๕๓] สำหรับสำนักงานสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานสาขาจัดให้มีการตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุของสำนักงานนั้น
โดยให้นำข้อ ๙๙ มาใช้โดยอนุโลม
ในกรณีไม่มีพนักงานหรือมีไม่เพียงพอ ผู้อำนวยการสำนักงานสาขาอาจแต่งตั้งลูกจ้าง
ของสำนักงานคนหนึ่งหรือหลายคนตามความจำเป็น เพื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งก็ได้
ข้อ ๑๐๑ เมื่อผู้ว่าการได้รับรายงานตามข้อ ๙๙
และข้อ ๑๐๐ แล้ว และปรากฏว่ามีพัสดุชำรุด เสื่อมสภาพ หรือสูญไป
หรือไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง
โดยให้นำข้อ ๒๔ และข้อ ๒๕ มาใช้โดยอนุโลม
สำหรับสำนักงานสาขาในประเทศและต่างประเทศให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๒๖ โดยอนุโลม
เว้นแต่กรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการเสื่อมสภาพเนื่องจากการใช้งานตามปกติหรือสูญไปโดยธรรมชาติ
ให้ผู้ว่าการพิจารณาสั่งการให้ดำเนินการจำหน่ายต่อไปได้[๕๔]
ถ้าผลการพิจารณาปรากฏว่าจะต้องหาตัวผู้รับผิดด้วย
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง
ในกรณีที่เห็นสมควรผู้ว่าการจะสั่งให้คณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงทำหน้าที่สอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งด้วยก็ได้
ให้คณะกรรมการเสนอผลการพิจารณาต่อผู้ว่าการภายใน ๖๐
วันนับแต่วันที่ประธานกรรมการทราบคำสั่งแต่งตั้งกรรมการ
แต่ถ้ายังพิจารณาไม่แล้วเสร็จจะขออนุญาตขยายเวลาดำเนินการต่อไปอีกคราวละไม่เกิน ๓๐
วันก็ได้
ข้อ ๑๐๒ เรื่องใดที่ปรากฏตัวผู้ต้องรับผิดโดยชัดแจ้งหรือที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งอยู่ก่อนที่จะมีการตรวจสอบพัสดุไม่ต้องดำเนินการตามข้อ
๑๐๑ เฉพาะเรื่องนั้น
ข้อ ๑๐๓ เมื่อปรากฏตัวผู้ต้องรับผิดให้ผู้ว่าการสั่งการภายใน
๔๕ วันนับแต่วันรู้ตัวผู้ต้องรับผิดโดย ชัดแจ้ง หรือวันได้รับรายงานของคณะกรรมการสอบสวน
แล้วแต่กรณี ตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่สามารถแก้ไขให้คงสภาพเดิมได้
ให้แก้ไขโดยเสียค่าใช้จ่ายของผู้ต้องรับผิดเองภายในกำหนดเวลาอันสมควร
(๒) ในกรณีสูญไปหรือไม่สามารถแก้ไขให้คงสภาพเดิมได้
ให้ชดใช้เป็นพัสดุประเภทชนิด ลักษณะ
และขนาดอย่างเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันโดยมีสภาพไม่ด้อยไปกว่าพัสดุที่ได้ทำชำรุดเสื่อมสภาพ
หรือสูญไปนั้น หรือชดใช้เป็นเงินตามที่ผู้ว่าการกำหนดโดยให้ผู้ต้องรับผิดส่งใช้คืนทั้งหมดภายใน
๓๐ วันนับแต่วันได้รับแจ้ง
ในกรณีชดใช้เป็นเงิน ถ้าผู้ต้องรับผิดไม่สามารถส่งใช้คืนภายใน
๓๐ วัน จะผ่อนผันให้ใช้เป็นรายเดือนก็ได้ แต่จะต้องชดใช้ให้เสร็จสิ้นภายใน ๑ ปี
หรือภายในระยะเวลาที่ผู้ว่าการเห็นสมควร แล้วแต่กรณี
การผ่อนผันดังกล่าวให้ทำสัญญารับสภาพหนี้เป็นหนังสือพร้อมหลักประกันที่เหมาะสมไว้เป็นหลักฐาน
(๓) ถ้าผู้ต้องรับผิดคนใดปฏิเสธไม่ยินยอมปฏิบัติตาม (๑)
หรือ (๒) หรือไม่ยอมทำสัญญารับสภาพหนี้ ให้ดำเนินคดีต่อไป
ส่วนที่ ๓
การจำหน่าย
ข้อ ๑๐๔ หลังจากการตรวจสอบแล้ว พัสดุใดหมดความจำเป็นหรือหากใช้งานต่อไปจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอรายงานต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการตามวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(๑) ขาย ให้ดำเนินการขายทอดตลาดก่อน
แต่ถ้าขายโดยวิธีนี้แล้วไม่ได้ผลดีให้นำวิธีที่กำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่การขายพัสดุครั้งหนึ่งที่มีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
จะขายโดยวิธีตกลงราคาก็ได้ การขายให้แก่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
หรือองค์การสถานสาธารณกุศลตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร ให้ขายโดยวิธีตกลงราคา
(๒) แลกเปลี่ยนให้ดำเนินการตามวิธีการแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
(๓) โอน ให้โอนแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การสถานสาธารณกุศล
ตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร ที่แจ้งความประสงค์ขอมา โดยได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ
ททท. เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการโอนพัสดุซึ่งหมดความจำเป็นที่จะต้องใช้หรือไม่สามารถใช้งานได้
ให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะเป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้ ให้มีหลักฐานการส่งมอบไว้ต่อกัน
(๔) แปรสภาพหรือทำลาย
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้ว่าการกำหนด
การจำหน่ายเป็นสูญ
ข้อ ๑๐๕[๕๕] ในกรณีที่พัสดุสูญไปโดยไม่ปรากฏตัวผู้รับผิดหรือมีตัวผู้รับผิด
แต่ไม่สามารถชดใช้ตามข้อ ๑๐๓ หรือมีตัวพัสดุอยู่แต่ไม่สามารถดำเนินการตามข้อ ๑๐๔
ได้ ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าการที่จะจำหน่ายพัสดุนั้นเป็นสูญ ทั้งนี้
ต้องมีการบันทึกไว้ในรายงานด้วยว่าได้ผ่านกระบวนการสอบสวนของ ททท. เสร็จสิ้นแล้ว
การลงจ่ายออกจากบัญชีหรือทะเบียน
ข้อ ๑๐๖ เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ ๑๐๔ หรือข้อ ๑๐๕ แล้ว
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุลงจ่ายพัสดุนั้นออกจากบัญชีหรือทะเบียนทันที
สำหรับพัสดุซึ่งต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย
ให้แจ้งนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย
ข้อ ๑๐๗ ในกรณีที่พัสดุชำรุด เสื่อมคุณภาพ สูญไป
หรือไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป ก่อนมีการตรวจสอบตามข้อ ๙๙ และข้อ ๑๐๐
เมื่อผู้ว่าการได้อนุมัติให้จำหน่ายพัสดุนั้นแล้ว ให้ดำเนินการตามข้อ ๑๐๖
โดยอนุโลม
หมวด
๔
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๑๐๘
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการต่อไปตามข้อบังคับ ระเบียบ และคำสั่งเดิม จนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ
ประกาศ ณ วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘
สาวิตต์ โพธิวิหค
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบสัญญาจ้าง
๒. แบบหนังสือค้ำประกัน
(หลักประกันซอง)
๓.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันสัญญา)
๔.แบบหนังสือค้ำประกัน
(หลักประกันการรับเงินค่าจ้างล่วงหน้า)
๕. แบบหนังสือค้ำประกัน
(หลักประกันการรับเงินประกันผลงาน)
๖. แบบสัญญาซื้อขาย
๗. แบบหนังสือค้ำประกัน
(หลักประกันซอง)
๘. แบบหนังสือค้ำประกัน
(หลักประกันสัญญา)
๙. แบบหนังสือค้ำประกัน
(หลักประกันการรับเงินค่าพัสดุล่วงหน้า)
๑๐. แบบสัญญาซื้อขายคอมพิวเตอร์
๑๑.
แบบสัญญาเช่าคอมพิวเตอร์
๑๒.
แบบสัญญาจ้างบริการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขคอมพิวเตอร์
๑๓.
แบบสัญญาจ้างผู้เชี่ยวชาญรายบุคคลหรือจ้างบริษัทที่ปรึกษา
๑๔.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินค่าจ้างที่ปรึกษาล่วงหน้า)
๑๕.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินประกันผลงาน)
๑๖.
แบบสัญญาจ้างที่ปรึกษาออกแบบและควบคุมงาน
๑๗.
แบบสัญญาแลกเปลี่ยน
๑๘.
ตัวอย่างบัญชีวัสดุ
๑๙.
ตัวอย่างทะเบียนครุภัณฑ์
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐[๕๖]
ข้อ ๒๖
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปตามข้อบังคับที่ใช้อยู่เดิมจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จหรือจนกว่าจะดำเนินการตามข้อบังคับนี้ได้
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐[๕๗]
ข้อ ๓๑
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการต่อไปตามข้อบังคับที่ใช้อยู่เดิมจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ
หรือจนกว่าจะดำเนินการตามข้อบังคับนี้ได้
มณฑิตา/ผู้จัดทำ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๑๘
มิถุนายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๒/ตอนพิเศษ ๔๐ ง/หน้า ๑/๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๘
[๒] ข้อ ๘/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๓] ข้อ ๑๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔] ข้อ ๑๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕] ข้อ ๑๓
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๖] ข้อ ๑๔
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๗] ข้อ ๑๖
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๘] ข้อ ๑๖ วรรคหนึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๙] ข้อ ๑๗
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๐] ข้อ ๑๘
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๑] ข้อ ๑๙/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๒] ข้อ ๒๐ วรรคสอง
แก้ไขเพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๓] ข้อ ๒๔ วรรคห้า
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๔] ข้อ ๓๘
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๕] ข้อ ๓๘ (๒)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๖] ข้อ ๔๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๑๗] ข้อ ๔๒ ทวิ
เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๔๐
[๑๘] ข้อ ๔๒ ตรี
เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๔๐
[๑๙] ข้อ ๔๒
จัตวา เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๐] ข้อ ๔๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๑] ข้อ ๔๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๒] ข้อ ๔๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๓] ข้อ ๔๕/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๒๔] ข้อ ๔๓ (๓) แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๕] ข้อ ๔๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๖] ข้อ ๕๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๗] ข้อ ๕๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๘] ข้อ ๕๒ ทวิ
เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๔๐
[๒๙] ข้อ ๕๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๐] ข้อ ๕๓ วรรคสอง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๓๑] ข้อ ๕๓ ทวิ
เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๔๐
[๓๒] ข้อ ๕๓ ตรี เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๓] ข้อ ๕๓ จัตวา เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๔] ข้อ ๕๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๕] ข้อ ๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๖] ข้อ ๖๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๗] ข้อ ๖๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๘] ข้อ ๖๔ (๔)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๓๙] ข้อ ๖๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๔๐] ข้อ ๖๖ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๑] ข้อ ๖๘ (๓) แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๔๒] ข้อ ๗๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๓] ข้อ ๗๑ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๔] ข้อ ๗๒ วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๕] ข้อ ๗๖ วรรคหนึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๔๖] ข้อ ๗๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๗] ข้อ ๗๘/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๘] ข้อ ๘๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๔๙] ข้อ ๘๔/๑ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๐] ข้อ ๘๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๑] ข้อ ๘๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๒] ข้อ ๙๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๓] ข้อ ๑๐๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๔] ข้อ ๑๐๑ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๕] ข้อ ๑๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
[๕๖] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๔/ตอนพิเศษ ๓๔ ง/หน้า ๑/๑๙ พฤษภาคม ๒๕๔๐
[๕๗] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๔/ตอนพิเศษ ๙๗ ง/หน้า ๒๙/๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๐ |
560910 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2550
| ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๕๐
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๒ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
จึงออกข้อบังคับไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๘/๑
ข้อ ๘/๑ การจัดหาพัสดุของสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
หรือในกรณีที่มีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติในต่างประเทศ และไม่สามารถดำเนินการตามข้อบังคับนี้ได้
ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายหรือธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศนั้น
ข้อ ๔
ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๑ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๑ การซื้อและการจ้าง กระทำได้
๖ วิธี คือ
(๑) วิธีตกลงราคา
(๒) วิธีสอบราคา
(๓) วิธีประกวดราคา
(๔) วิธีพิเศษ
(๕) วิธีกรณีพิเศษ
(๖) วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ข้อ ๕ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ และ ข้อ ๑๔ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๒ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา
ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐
บาท
ข้อ
๑๓ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา
ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน
๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ
๑๔ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา
ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๖ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ ๑๖ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๖ การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่
การซื้อครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
ข้อ ๗ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๗ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๗ การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่
การจ้างครั้งหนึ่งที่มีวงเงินเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทให้กระทำเฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นงานจ้างที่ต้องการช่างผู้มีฝีมือโดยเฉพาะหรือผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษ
(๒) เป็นงานจ้างซ่อมพัสดุที่จำเป็นต้องถอดตรวจให้ทราบความชำรุดเสียหายเสียก่อนจึงจะประมาณค่าซ่อมได้
(๓) เป็นงานที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๔) เป็นงานที่จำเป็นต้องการจ้างเพิ่มในสถานการณ์ที่จำเป็นหรือเร่งด่วนหรือจำเป็นต้องจ้างเพิ่มเพื่อประโยชน์แก่
ททท.
(๕) เป็นงานจ้างเหมาเกี่ยวกับการให้บริการนำเที่ยว
(๖) เป็นงานจ้างโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์
(๗) เป็นงานที่ได้ดำเนินการจ้างโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ข้อ ๘ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๘ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๘ สำหรับสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
หรือในกรณีที่มีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติในต่างประเทศ จะซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษก็ได้
ข้อ ๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๑๙/๑
ข้อ ๑๙/๑ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
หมายถึง การซื้อหรือการจ้าง ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบของทางราชการที่ให้ดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ข้อ ๑๐ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของข้อ ๒๐ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคาในวงเงินไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท และการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษกรณีเร่งด่วน ตามข้อ ๑๖ (๒) หรือข้อ
๑๗ (๓) ซึ่งไม่อาจทำรายงานตามปกติได้เจ้าหน้าที่พัสดุหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้น
จะทำรายงานตามวรรคหนึ่งเฉพาะรายการที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้
ข้อ ๑๑ ให้ยกเลิกความในวรรคห้าของข้อ ๒๔ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
สำหรับการซื้อหรือการจ้างในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
หรือการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๒) หรือข้อ ๑๗ (๓) หรือการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษของสำนักงานสาขา
จะแต่งตั้งพนักงานเพียงคนเดียวเป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือคณะกรรมการตรวจการจ้างก็ได้
ข้อ ๑๒ ให้ยกเลิกความใน (๒) ของข้อ ๓๘ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๒) ตรวจสอบหลักประกันซองร่วมกับเจ้าหน้าที่การเงินและให้เจ้าหน้าที่การเงินออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซองไว้เป็นหลักฐาน
หากไม่ถูกต้องให้หมายเหตุในใบรับและบันทึกในรายงานด้วยกรณีหลักประกันซองเป็นหนังสือค้ำประกัน
ให้ส่งสำเนาหนังสือค้ำประกันให้ธนาคาร บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผู้ออกหนังสือค้ำประกันทราบโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับด้วย
ข้อ ๑๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔๑ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๔๑ ในกรณีที่ไม่มีผู้เสนอราคาหรือมีแต่ไม่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนด
ให้เสนอผู้ว่าการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น เพื่อดำเนินการประกวดราคาใหม่หากผู้ว่าการเห็นว่าการประกวดราคาใหม่จะไม่ได้ผลดี
จะสั่งให้ดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๗) หรือข้อ ๑๗ (๗) แล้วแต่กรณีก็ได้
ข้อ ๑๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔๕/๑
ข้อ ๔๕/๑ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ และวิธีที่กำหนดไว้ในระเบียบของทางราชการที่ให้ดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ข้อ ๑๕ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของข้อ ๕๓ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
การแต่งตั้งคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ ๑ คนและกรรมการอย่างน้อย
๔ คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานระดับ ๕ หรือเทียบเท่าขึ้นไป อย่างน้อย ๒ คน ในกรณีจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์แก่
ททท. ให้แต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิในงานที่จะจ้างที่ปรึกษาเป็นกรรมการด้วย
เว้นแต่สำนักงานสาขาในต่างประเทศ ให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ ๑ คน และกรรมการอย่างน้อย
๒ คน โดยอาจแต่งตั้งจากลูกจ้างของสำนักงานนั้น เป็นกรรมการก็ได้
ข้อ ๑๖ ให้ยกเลิกความใน (๔) ของข้อ ๖๔ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ และให้ความต่อไปนี้แทน
(๔) หนังสือค้ำประกันของบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์
และประกอบธุรกิจค้ำประกัน ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามรายชื่อบริษัทเงินทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งเวียนให้ทราบ
โดยอนุโลมให้ใช้ตามตัวอย่างหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่ ททท. กำหนด
ข้อ ๑๗ ให้ยกเลิกความในวรรคสามของข้อ ๖๖ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
การคืนหลักประกันที่เป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาหรือคู่สัญญาไม่มารับภายในกำหนดเวลาข้างต้น ให้รีบส่งต้นฉบับหนังสือค้ำประกันให้แก่ผู้เสนอราคาหรือคู่สัญญาโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนโดยเร็วพร้อมกับแจ้งให้ธนาคาร
บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผู้ค้ำประกันทราบด้วย
ข้อ ๑๘ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗๐ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗๐ การซื้อหรือการจ้าง ให้ทำสัญญาตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้
เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้จะทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้ โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการ
(๑) การซื้อ การจ้าง หรือการแลกเปลี่ยน โดยวิธีตกลงราคา
(๒) การซื้อหรือการจ้าง ที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างสามารถส่งมอบพัสดุได้ครบถ้วน
ภายใน ๕ วันทำการ นับแต่วันถัดจากวันตกลงซื้อขายหรือจ้าง
(๓) การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ และการจัดหาจากส่วนราชการ
(๔) การซื้อโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๑) (๒) (๔) (๕) และข้อ ๑๘
(๕) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) และข้อ ๑๘
สำหรับการซื้อที่ผู้ขายสามารถส่งมอบพัสดุได้ทันที
หรือในกรณีการซื้อหรือการจ้างที่ดำเนินการตามข้อ ๒๘ วรรคสอง หรือการซื้อหรือการจ้างที่มีราคาไม่เกิน
๕๐,๐๐๐ บาท จะไม่ทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
ข้อ ๑๙ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ ๗๑ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗๑ การทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือ
ให้กำหนดค่าปรับ ดังนี้
(๑) การซื้อหรือการจ้างที่ไม่ต้องการผลสำเร็จของงานพร้อมกัน ให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันในอัตราตายตัวระหว่างร้อยละ
๐.๐๒ - ๐.๒๐ ของราคาพัสดุที่ยังไม่ได้รับมอบ
(๒) การจ้างที่ต้องการผลสำเร็จของงานพร้อมกัน ให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันเป็นจำนวนเงินตายตัวในอัตราร้อยละ
๐.๐๑ - ๐.๑๐ ของราคางานจ้างนั้น แต่จะต้องไม่ต่ำกว่าวันละ ๒๐๐ บาท
(๓) การทำสัญญาจ้างที่ปรึกษา หาก ททท. เห็นว่าถ้าไม่กำหนดค่าปรับไว้ในสัญญาจะเกิดความเสียหายแก่
ททท. ให้ ททท. กำหนดค่าปรับเป็นรายวันในอัตราหรือจำนวนเงินตายตัวในอัตราร้อยละ ๐.๐๑
- ๐.๑๐ ของราคางานจ้างนั้นได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น
ข้อ ๒๐ ให้ยกเลิกความในวรรคสี่ของข้อ ๗๒ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
การทำสัญญาหรือข้อตกลงของสำนักงานสาขาในต่างประเทศจะทำเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สำนักงานสาขานั้นตั้งอยู่ก็ได้
โดยผ่านการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของประเทศนั้น ๆ หรือของ ททท.
ข้อ ๒๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗๘ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗๘ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกแล้วไม่ยอมไปทำสัญญาหรือข้อตกลงภายในเวลาที่
ททท. กำหนด หรือคู่สัญญาของ ททท. ไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรหรือผู้เสนอราคาหรือผู้เสนองานกระทำการอันเป็นการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการ หรือกระทำการโดยไม่สุจริต ให้ผู้ว่าการพิจารณาสั่งให้บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ทิ้งงาน
ในกรณีที่นิติบุคคลใดถูกสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานตามวรรคหนึ่ง
ถ้าการกระทำดังกล่าวเกิดจากหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของนิติบุคคลนั้น
ให้ผู้ว่าการสั่งบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ทิ้งงาน และให้มีผลไปถึงนิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจประเภทเดียวกัน
ซึ่งมีหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของนิติบุคคล
ที่ถูกพิจารณาให้เป็นผู้ทิ้งงานด้วย
คำสั่งที่ให้บุคคลธรรมดาเป็นผู้ทิ้งงานตามวรรคหนึ่งให้มีผลไปถึงนิติบุคคลอื่นที่เข้าเสนอราคา
ซึ่งมีบุคคลดังกล่าวเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงาน
ในกิจการของนิติบุคคลนั้นด้วย
เมื่อผู้ว่าการได้พิจารณาสั่งให้บุคคลใดเป็นผู้ทิ้งงานแล้ว
ให้ผู้ว่าการระบุชื่อผู้ทิ้งงานไว้ในบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงาน พร้อมทั้งแจ้งชื่อผู้ทิ้งงานให้กระทรวงการคลังทราบ
รวมทั้งแจ้งให้ผู้ทิ้งงานรายนั้นทราบด้วย
ผู้ซึ่งถูกสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของผู้ว่าการต่อคณะกรรมการ
ททท. ได้ โดยยื่นเป็นหนังสือต่อผู้ว่าการภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว
ข้อ ๒๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๗๘/๑
ข้อ ๗๘/๑ ให้ผู้ว่าการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานตามที่ได้กำหนดไว้ในหมวดนี้
ห้าม
ททท. ก่อนิติสัมพันธ์กับผู้ทิ้งงานที่ผู้ว่าการ หรือผู้รักษาการตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุของส่วนราชการได้ระบุชื่อไว้ในบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานและได้แจ้งเวียนชื่อแล้ว
เว้นแต่ผู้ว่าการหรือผู้รักษาการตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุของส่วนราชการจะสั่งเพิกถอนการเป็นผู้ทิ้งงาน
การห้าม
ททท. ก่อนิติสัมพันธ์กับผู้ทิ้งงานตามวรรคสอง ให้ใช้บังคับกับบุคคลตามข้อ ๗๘ วรรคสาม
ด้วย
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลใดที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาให้เป็นผู้ทิ้งงานตามข้อกำหนดในส่วนนี้
ให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิเสนอราคาหรือเสนองานให้แก่ ททท. ได้ แต่ถ้าผลการพิจารณาต่อมาผู้ว่าการได้สั่งให้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลนั้นเป็นผู้ทิ้งงาน
ให้ผู้ว่าการตัดรายชื่อบุคคลดังกล่าวออกจากรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับการคัดเลือก หรือยกเลิกการเปิดซองสอบราคา
ประกวดราคาหรือเสนองาน หรือยกเลิกการลงนามในสัญญาที่ได้กระทำก่อนการสั่งการของผู้ว่าการ
เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ว่าการพิจารณาเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่ ททท. อย่างยิ่ง ผู้ว่าการจะไม่ตัดรายชื่อบุคคลดังกล่าวออกจากรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับการคัดเลือกหรือจะไม่ยกเลิกการเปิดซองสอบราคา
ประกวดราคา หรือเสนองานหรือจะไม่ยกเลิกการลงนามในสัญญาซื้อหรือจ้างที่ได้กระทำก่อนมีคำสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานก็ได้
ข้อ ๒๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๘๔ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๘๔ การเช่า หมายถึง การเช่าสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์รวมทั้งบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่า
เพื่อประโยชน์ในกิจการของ ททท. ให้นำข้อกำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการเช่าบริการพื้นที่ชั่วคราว
ซึ่งหมายถึงการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่มีระยะเวลาการเช่าไม่เกิน
๑ เดือน ให้ดำเนินการโดยวิธีตกลงราคา
ข้อ ๒๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น ๘๔/๑
ข้อ ๘๔/๑ การอนุมัติและการจ่ายเงินค่าเช่าบริการพื้นที่ชั่วคราวล่วงหน้า
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่ง ดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐
บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๒๕ ให้ยกเลิกความในข้อ ๘๘ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๘๘ อสังหาริมทรัพย์ในประเทศ
ซึ่งมีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาไม่เกินเดือนละ
๔๐๐,๐๐๐ บาท หรืออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ซึ่งมีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาไม่เกินเดือนละ
๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้ผู้ว่าการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ
กรณีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าเกินกว่าที่กำหนดตามวรรคหนึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
ททท. ก่อน
ข้อ ๒๖ ให้ยกเลิกความในข้อ ๘๙ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๘๙ การเช่าและการเช่าบริการพื้นที่ชั่วคราว
ให้ทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันและให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะดำเนินการในเรื่องเงื่อนไขของสัญญาหรือข้อตกลงได้เอง
เว้นแต่กรณีการเช่าที่ ททท. ต้องเสียเงินอื่นใดนอกจากค่าเช่า หรือในกรณีที่ผู้ว่าการเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ
ให้ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน และในกรณีที่จะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้ดำเนินการตามกฎหมายด้วย
สำหรับร่างสัญญาของสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
ให้ผ่านการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของประเทศนั้น ๆ หรือของ ททท.
ข้อ ๒๗ ให้ยกเลิกความในข้อ ๙๑ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๙๑ การให้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูปหรือการให้ยืมใช้สถานที่
ต้องให้ผู้ยืมทำหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงเหตุผลและกำหนดวันส่งคืน โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การให้หน่วยงานภายนอกยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป ผู้ยืมต้องเป็นหัวหน้าของหน่วยงานนั้น
ๆ
(๒) การให้บุคคลยืมพัสดุประเภทใช้คงรูปไปใช้ภายในสถานที่ทำการของ ททท. จะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบพัสดุนั้น
(๓) การให้ยืมใช้สถานที่ ผู้ยืมต้องเป็นหัวหน้าของหน่วยงานนั้น ๆ
หรือเป็นพนักงานของ ททท.
ในกรณีให้หน่วยงานภายนอกยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป
หรือให้บุคคลยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป ไปใช้ภายนอกสถานที่ทำการของ ททท. หรือการให้ยืมใช้สถานที่
จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการ
ข้อ ๒๘ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐๐ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๐๐ สำหรับสำนักงานสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานสาขาจัดให้มีการตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุของสำนักงานนั้น โดยให้นำข้อ
๙๙ มาใช้โดยอนุโลม
ในกรณีไม่มีพนักงานหรือมีไม่เพียงพอ
ผู้อำนวยการสำนักงานสาขาอาจแต่งตั้งลูกจ้าง ของสำนักงานคนหนึ่งหรือหลายคนตามความจำเป็น
เพื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งก็ได้
ข้อ ๒๙ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ ๑๐๑ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๐๑ เมื่อผู้ว่าการได้รับรายงานตามข้อ
๙๙ และข้อ ๑๐๐ แล้ว และปรากฏว่ามีพัสดุชำรุด เสื่อมสภาพ หรือสูญไป หรือไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป
ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง โดยให้นำข้อ ๒๔ และข้อ ๒๕ มาใช้โดยอนุโลม
สำหรับสำนักงานสาขาในประเทศและต่างประเทศให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๒๖ โดยอนุโลม เว้นแต่กรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการเสื่อมสภาพเนื่องจากการใช้งานตามปกติหรือสูญไปโดยธรรมชาติ
ให้ผู้ว่าการพิจารณาสั่งการให้ดำเนินการจำหน่ายต่อไปได้
ข้อ ๓๐ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐๕ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๐๕ ในกรณีที่พัสดุสูญไปโดยไม่ปรากฏตัวผู้รับผิดหรือมีตัวผู้รับผิด
แต่ไม่สามารถชดใช้ตามข้อ ๑๐๓ หรือมีตัวพัสดุอยู่แต่ไม่สามารถดำเนินการตามข้อ ๑๐๔ ได้
ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าการที่จะจำหน่ายพัสดุนั้นเป็นสูญ ทั้งนี้ ต้องมีการบันทึกไว้ในรายงานด้วยว่าได้ผ่านกระบวนการสอบสวนของ
ททท. เสร็จสิ้นแล้ว
ข้อ ๓๑ การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการต่อไปตามข้อบังคับที่ใช้อยู่เดิมจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ หรือจนกว่าจะดำเนินการตามข้อบังคับนี้ได้
ประกาศ ณ วันที่ ๑๘
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐
ร้อยโท สุวิทย์ ยอดมณี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ประธานกรรมการ ททท.
มณฑิตา/ผู้จัดทำ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๑๘
มิถุนายน ๒๕๕๕
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนพิเศษ ๙๗ ง/หน้า ๒๙/๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๐ |
513857 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ พ.ศ. 2549
| ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้
พ.ศ. ๒๕๔๙
โดยที่เป็นการสมควรให้มีข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๒ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ พ.ศ. ๒๕๔๙
ข้อ
๒[๑]
ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ในข้อบังคับนี้
ททท. หมายความว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ประธานกรรมการ หมายความว่า
ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ผู้ว่าการ หมายความว่า
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อ
๔ การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของ ททท.
ให้กระทำการได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
ข้อ
๕ การจำหน่ายหนี้สูญ
ต้องเป็นหนี้ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
(๑) เป็นหนี้ที่เกิดจากการประกอบกิจการหรือเนื่องจากการดำเนินงานหรือหนี้ที่ได้รวมเป็นเงินได้ในการคำนวณกำไรสุทธิที่ไม่อาจเรียกร้องให้ชำระได้
(๒)
เป็นหนี้ที่ยังไม่ขาดอายุความซึ่งมีหลักฐานโดยชัดแจ้งที่สามารถฟ้องลูกหนี้ได้ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน
ข้อ ๖ ข้อ ๗ หรือข้อ ๘
(๓) เป็นหนี้ที่ยังไม่ขาดอายุความแต่ไม่มีหลักฐานหรือมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะฟ้องลูกหนี้ได้
หรือ
(๔) เป็นหนี้ที่ขาดอายุความ
ข้อ
๖ ในกรณีหนี้ของลูกหนี้แต่ละราย
มีจำนวนเกินห้าแสนบาท
และเป็นหนี้ที่ยังไม่ขาดอายุความซึ่งมีหลักฐานโดยชัดแจ้งที่สามารถฟ้องลูกหนี้ได้
หากได้ดำเนินการดังต่อไปนี้แล้ว ให้จำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ได้
(๑) ได้ติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ตามสมควรแก่กรณี
โดยมีหลักฐานการติดตามทวงถามชัดแจ้งแต่ไม่ได้รับชำระหนี้ เพราะ
(๑.๑) ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เป็นคนสาบสูญ
หรือมีหลักฐานว่าหายสาบสูญไปและไม่มีทรัพย์สินใด ๆ จะชำระหนี้ได้
(๑.๒) ลูกหนี้เลิกกิจการ
และมีหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้อยู่ในลำดับก่อนเป็นจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของลูกหนี้
(๒)
ได้ดำเนินการฟ้องลูกหนี้ในคดีแพ่งหรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ของลูกหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีแพ่ง
และได้มีคำบังคับหรือคำสั่งของศาลแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินใด ๆ จะชำระหนี้ได้
หรือ
(๓)
ได้ดำเนินการฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย
และได้มีการประนอมหนี้กับลูกหนี้โดยศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้นั้น
หรือลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
และได้มีการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ครั้งแรกแล้ว
ข้อ
๗ ในกรณีหนี้ของลูกหนี้แต่ละราย
มีจำนวนเกินหนึ่งแสนบาท แต่ไม่เกินห้าแสนบาทและเป็นหนี้ที่ยังไม่ขาดอายุความ
ซึ่งมีหลักฐานโดยชัดแจ้งที่สามารถฟ้องลูกหนี้ได้ หากได้ดำเนินการดังต่อไปนี้แล้ว
ให้จำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ได้
(๑) ได้ดำเนินการตามข้อ ๖ (๑) แล้ว
(๒)
ได้ดำเนินการฟ้องลูกหนี้ในคดีแพ่งและศาลได้มีคำสั่งรับคำฟ้องนั้นแล้วหรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ของลูกหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีแพ่งและศาลได้มีคำสั่งรับคำขอนั้นแล้ว
หรือ
(๓)
ได้ดำเนินการฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายและศาลได้มีคำสั่งรับคำฟ้องนั้นแล้วหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย
และศาลได้มีคำสั่งรับคำขอรับชำระหนี้ นั้นแล้ว
ข้อ
๘ ในกรณีหนี้ของลูกหนี้แต่ละรายมีจำนวนไม่เกินหนึ่งแสนบาท
และเป็นหนี้ที่ยังไม่ขาดอายุความ
ถ้าปรากฏว่าได้มีหลักฐานการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ตามสมควรแก่กรณีแล้ว แต่ยังไม่ได้รับชำระหนี้และหากจะฟ้องลูกหนี้
จะต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่คุ้มกับหนี้ที่จะได้รับชำระ ให้จำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ได้โดยไม่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
ข้อ ๖ หรือ ข้อ ๗
ข้อ
๙ ในกรณีที่เป็นหนี้ที่ขาดอายุความหรือเป็นหนี้ที่ยังไม่ขาดอายุความ
แต่ไม่มีหลักฐานหรือมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะฟ้องลูกหนี้ได้
ถ้าผู้มีอำนาจพิจารณาอนุมัติเห็นว่า การที่หนี้ขาดอายุความ
หรือการที่ไม่มีหลักฐานหรือมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะฟ้องลูกหนี้นั้น
เกิดจากความบกพร่อง จงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าหน้าที่
ให้ดำเนินการหาตัวผู้ต้องรับผิดชดใช้
หรือผู้ร่วมรับผิดชดใช้ตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
และเมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่แล้ว
หากปรากฏว่ามีหนี้คงเหลือ ให้จำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ได้
แต่หากผู้มีอำนาจพิจารณาอนุมัติเห็นว่าการกระทำดังกล่าวมิได้เกิดจากความบกพร่อง
จงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าหน้าที่
ให้จำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ได้
ข้อ
๑๐ อำนาจในการพิจารณาอนุมัติจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้แต่ละรายให้เป็นไปดังนี้
(๑) ผู้ว่าการ หรือผู้ที่ผู้ว่าการมอบหมาย ไม่เกินหนึ่งล้านบาท
(๒) ประธานกรรมการ เกินหนึ่งล้านบาท แต่ไม่เกินห้าล้านบาท
(๓) คณะกรรมการ เกินห้าล้านบาท
ข้อ
๑๑ หนี้ของลูกหนี้รายใดที่ได้ดำเนินการตาม
ข้อ ๖ ข้อ ๗ ข้อ ๘ หรือ ข้อ ๙ครบถ้วนแล้วในรอบระยะเวลาบัญชีใด
ให้จำหน่ายเป็นหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ และถือเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ข้อ
๑๒ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อบังคับนี้
ให้ผู้ว่าการเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ประชา มาลีนนท์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
มณฑิตา/ผู้จัดทำ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๑๘
มิถุนายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๑๔ ง/หน้า ๔๒/๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๙ |
675330 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2538 (ฉบับ Update ณ วันที่ 19/05/2540)
| ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘
โดยที่เห็นเป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ ๓๔ (พ.ศ. ๒๕๓๑) ว่าด้วยการพัสดุ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ดังนี้
ข้อ ๑
ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘
ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๓๐
วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๓๔ (พ.ศ. ๒๕๓๑)
ว่าด้วยการพัสดุ
ข้อ ๔
ให้ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นผู้รักษาการตามข้อบังคับนี้
หมวด ๑
ข้อความทั่วไป
ข้อ ๕
ในข้อบังคับนี้
การพัสดุ หมายความว่า การจัดทำเอง การซื้อ การจ้าง
การจ้างที่ปรึกษา การแลกเปลี่ยน การเช่า การควบคุม การจำหน่ายและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
พัสดุ หมายความว่า วัสดุ ครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้างที่กำหนดไว้ในหนังสือการจำแนกประเภทรายจ่ายตามงบประมาณของสำนักงบประมาณหรือการจำแนกประเภทรายจ่ายตามสัญญาเงินกู้จากต่างประเทศ
การซื้อ หมายความว่า
การซื้อพัสดุทุกชนิดทั้งที่มีการติดตั้งทดลอง และบริการที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ
แต่ไม่รวมถึงการจัดหาพัสดุในลักษณะการจ้าง
การจ้าง ให้หมายความรวมถึงการจ้างทำของและการรับขนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และการจ้างเหมาบริการ
แต่ไม่รวมถึงการจ้างลูกจ้างของ ททท. ตามข้อบังคับว่าด้วยลูกจ้าง
การรับขนในการเดินทางไปปฏิบัติงาน การจ้างที่ปรึกษา และการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การจ้างที่ปรึกษา หมายความว่า การจ้างบริการจากที่ปรึกษาซึ่งจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
ที่ปรึกษา หมายความว่า บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจหรือสามารถให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางวิศวกรรม
สถาปัตยกรรม เศรษฐศาสตร์หรือสาขาอื่น รวมทั้งให้บริการด้านศึกษา สำรวจ
ออกแบบและควบคุมงานและการวิจัย
ททท. หมายความว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ ททท. หมายความว่า คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ประธานกรรมการ ททท. หมายความว่า ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ผู้ว่าการ หมายความว่า
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
พนักงาน หมายความว่า พนักงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
เจ้าหน้าที่พัสดุ หมายความว่า
พนักงานซึ่งดำรงตำแหน่งที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการพัสดุ
หรือผู้ได้รับแต่งตั้งหรือได้รับมอบหมายจากผู้ว่าการให้มีหน้าที่หรือปฏิบัติงานเกี่ยวกับการพัสดุตามข้อบังคับนี้
ผู้สั่งซื้อ หมายความว่า ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ซื้อ
ผู้สั่งจ้าง หมายความว่า ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้จ้าง
ข้อ ๖
ข้อบังคับนี้ใช้บังคับสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุซึ่งใช้เงินงบประมาณเงินรายได้ตามกฎหมายว่าด้วย
ททท. และเงินกู้
ข้อ ๗
ผู้ว่าการจะมอบอำนาจตามข้อบังคับนี้โดยทำเป็นหนังสือให้แก่พนักงานผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้
แต่ให้คำนึงถึงตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบอำนาจนั้นเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ภายในวงเงินที่ผู้ว่าการมีอำนาจ
ข้อ ๘
ผู้มีอำนาจหรือหน้าที่ดำเนินการตามข้อบังคับนี้หรือผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้
หรือกระทำการโดยมีเจตนาทุจริต หรือกระทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่รวมทั้งมีพฤติกรรมที่ส่อให้มีการสมยอมกันในการเสนอราคา
ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยภายใต้หลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) ถ้าการกระทำมีเจตนาทุจริตหรือเป็นเหตุให้ ททท.
เสียหายอย่างร้ายแรงให้ดำเนินการ ลงโทษอย่างต่ำให้ออก
(๒) ถ้าการกระทำเป็นเหตุให้ ททท. เสียหายแต่ไม่ร้ายแรง
ให้ลงโทษอย่างต่ำตัดเงินเดือน
(๓) ถ้าการกระทำไม่เป็นเหตุให้ ททท. เสียหาย
ให้ลงโทษภาคทัณฑ์หรือว่ากล่าวตักเตือน โดยทำคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร
การลงโทษตาม (๑) หรือ (๒) ไม่เป็นเหตุให้ผู้กระทำหลุดพ้นจากความรับผิดในทางแพ่งหรือความรับผิดทางอาญา
ข้อ ๙
การใดที่ไม่ได้กำหนดไว้หรือไม่อาจปฏิบัติได้ตามข้อบังคับนี้ ให้เสนอคณะกรรมการ
ททท. พิจารณากำหนดวิธีการซื้อหรือจ้าง หรือยกเว้น หรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้
เป็นกรณี ๆ ไป
หมวด ๒
การจัดหาพัสดุ
ส่วนที่ ๑
การซื้อและการจ้าง
ข้อ ๑๐
การซื้อและการจ้าง ให้ ททท. ส่งเสริมพัสดุที่ผลิตในประเทศไทยหรือส่งเสริมกิจการของคนไทย
แล้วแต่กรณี
วิธีซื้อและวิธีจ้าง
ข้อ ๑๑
การซื้อและการจ้างกระทำได้ ๕ วิธี คือ
(๑) วิธีตกลงราคา
(๒) วิธีสอบราคา
(๓) วิธีประกวดราคา
(๔) วิธีพิเศษ
(๕) วิธีกรณีพิเศษ
ข้อ ๑๒[๒] การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา
ได้แก่การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๓[๓] การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา
ได้แก่การซื้อหรือจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐
บาท
ข้อ ๑๔[๔] การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา
ได้แก่การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๕
การซื้อหรือการจ้างตามข้อ ๑๒ และข้อ ๑๓ ถ้าผู้สั่งซื้อหรือผู้สั่งจ้างเห็นสมควรจะสั่งให้กระทำโดยวิธีที่กำหนดไว้สำหรับวงเงินที่สูงกว่าก็ได้
การแบ่งซื้อหรือแบ่งจ้างโดยลดวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งเดียวกันเพื่อให้วงเงินต่ำกว่าที่กำหนดโดยวิธีหนึ่งวิธีใดหรือเพื่อให้อำนาจสั่งซื้อหรือสั่งจ้างเปลี่ยนไปจะกระทำมิได้
การซื้อหรือการจ้างซึ่งดำเนินการด้วยเงินกู้
ผู้สั่งซื้อหรือผู้สั่งจ้างจะสั่งให้กระทำตามวงเงินที่สัญญาเงินกู้กำหนดก็ได้
ข้อ ๑๖[๕] การซื้อโดยวิธีพิเศษ
ได้แก่การซื้อครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นพัสดุที่จะขายทอดตลาดโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การระหว่างประเทศ
หรือหน่วยงานของต่างประเทศ
(๒) เป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๓) เป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ
และหมายความรวมถึงอะไหล่รถประจำตำแหน่ง หรือยารักษาโรค
(๔) เป็นพัสดุที่มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่จำเป็น
หรือเร่งด่วน หรือเพื่อประโยชน์ของ ททท. และจำเป็นต้องซื้อเพิ่ม
(๕) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศหรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ
(๖) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรง
(๗) เป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
(๘)
เป็นพัสดุที่เป็นที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง
ข้อ ๑๗[๖] การจ้างโดยวิธีพิเศษ
ได้แก่การจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นงานที่ต้องการช่างผู้มีฝีมือโดยเฉพาะหรือผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษ
(๒) เป็นงานจ้างซ่อมพัสดุที่จำเป็นต้องถอดตรวจให้ทราบความชำรุดเสียหายเสียก่อนจึงจะประมาณค่าซ่อมได้
(๓) เป็นงานที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๔) เป็นงานที่จำเป็นต้องการจ้างเพิ่มในสถานการณ์ที่จำเป็น หรือเร่งด่วน
หรือเพื่อประโยชน์แก่ ททท. และจำเป็นต้องจ้างเพิ่ม
(๕) เป็นงานจ้างเหมาเกี่ยวกับการให้บริการนำเที่ยว
(๖) เป็นงานจ้างโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์
(๗) เป็นงานที่ได้ดำเนินการจ้างโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ข้อ ๑๘
สำหรับสำนักงานสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือในกรณีที่มีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัตินอกสถานที่ตั้งสำนักงานตามปกติ
จะซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษก็ได้
ข้อ ๑๙
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ ได้แก่การซื้อหรือการจ้างในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
การซื้อหรือการจ้างจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นผู้ผลิตพัสดุหรือทำงานจ้างนั้นเอง
(๒) การซื้อหรือการจ้างจากบริษัทที่ ททท.
ลงทุนหรือร่วมทุนด้วย
(๓)
การซื้อหรือการจ้างที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ซื้อหรือจ้างจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
และกรณีนี้ให้รวมถึงหน่วยงานอื่นที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดด้วย
รายงานขอซื้อและขอจ้าง
ข้อ ๒๐
ก่อนดำเนินการซื้อหรือจ้างทุกวิธี นอกจากการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างตามข้อ
๒๑ ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อหรือจ้าง
(๒) รายละเอียดของพัสดุที่จะซื้อหรืองานที่จะจ้าง
(๓) ราคามาตรฐานหรือราคากลางของทางราชการหรือราคาที่เคยซื้อหรือจ้างครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา
๑ ปีงบประมาณ
(๔) วงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง โดยให้ระบุวงเงินงบประมาณ
วงเงินตามโครงการเงินกู้ที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งนั้นทั้งหมด
ถ้าไม่มีวงเงินดังกล่าว ให้ระบุวงเงินที่ประมาณว่าจะซื้อหรือจ้างในครั้งนั้น
(๕)
กำหนดเวลาที่ต้องการใช้พัสดุนั้นหรือให้งานนั้นแล้วเสร็จ
(๖)
วิธีที่จะซื้อหรือจ้างและเหตุผลที่ต้องซื้อหรือจ้างโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ เช่น การขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่จำเป็นในการซื้อหรือจ้าง การออกประกาศสอบราคาหรือประกาศประกวดราคา
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคาในวงเงินไม่เกิน ๑๐,๐๐๐
บาท และการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษกรณีเร่งด่วนตามข้อ ๑๖ (๒) หรือข้อ ๑๗ (๓)
ซึ่งไม่อาจทำรายงานตามปกติได้ เจ้าหน้าที่พัสดุ
หรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้นจะทำรายงานตามวรรคหนึ่งเฉพาะรายการที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้[๗]
ข้อ ๒๑
ก่อนดำเนินการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อ
(๒) รายละเอียดของที่ดินหรือส่งก่อสร้างที่ต้องการซื้อ
รวมทั้งเนื้อที่และท้องที่ที่ต้องการ
(๓) ราคาประเมินของทางราชการในท้องที่นั้น
(๔)
ราคาซื้อขายของที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงบริเวณที่จะซื้อครั้งหลังสุดประมาณ
๓ ราย
(๕) วงเงินที่จะซื้อ โดยให้ระบุวงเงินงบประมาณ
วงเงินตามโครงการเงินกู้ที่จะซื้อในครั้งนั้นทั้งหมด ถ้าไม่มีวงเงินดังกล่าว
ให้ระบุวงเงินที่ประมาณว่าจะซื้อในครั้งนั้น
(๖) วิธีที่จะซื้อและเหตุผลที่ต้องการซื้อโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ เช่น การขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่จำเป็นในการซื้อ การออกประกาศสอบราคาหรือประกาศประกวดราคา
การซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างให้ติดต่อกับเจ้าของโดยตรง
เว้นแต่การซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศที่จำเป็นต้องติดต่อผ่านนายหน้าหรือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามกฎหมายหรือประเพณีนิยมของท้องถิ่น
ข้อ ๒๒
เมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบตามรายงานที่เสนอตามข้อ ๒๐ หรือข้อ ๒๑ แล้ว
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการตามวิธีการซื้อหรือการจ้างนั้น ๆ ต่อไปได้
กรรมการ
ข้อ ๒๓
ในการดำเนินการซื้อหรือจ้างแต่ละครั้ง ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้
แล้วแต่กรณี คือ
(๑) คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
(๒) คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา
(๓) คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
(๔) คณะกรรมการจัดซื้อหรือจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ
(๕) คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ
(๖) คณะกรรมการตรวจการจ้าง
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษของสำนักงานสาขาจะไม่แต่งตั้งคณะกรรมการตาม
(๔) ก็ได้ และการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๒) และข้อ ๑๗ (๓) สำหรับส่วนกลางจะไม่แต่งตั้งคณะกรรมการตาม
(๔) ก็ได้
ข้อ ๒๔
คณะกรรมการตามข้อ ๒๓ แต่ละคณะ ให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ ๑ คน และกรรมการอย่างน้อย
๒ คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานตั้งแต่ระดับ ๓ หรือเทียบเท่าขึ้นไป
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท. จะแต่งตั้งบุคคลที่มิใช่พนักงานร่วมเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ถ้าประธานกรรมการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งพนักงานที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการแทน
ในกรณีเมื่อถึงกำหนดเวลาการเปิดซองสอบราคาหรือรับซองประกวดราคาแล้วประธานกรรมการยังไม่มาปฏิบัติหน้าที่
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานกรรมการในเวลานั้น
โดยให้คณะกรรมการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่เฉพาะข้อ ๓๑ (๑) หรือข้อ ๓๘ แล้วแต่กรณี
แล้วรายงานประธานกรรมการซึ่งผู้ว่าการแต่งตั้งเพื่อดำเนินการต่อไป
ในการซื้อหรือการจ้างครั้งเดียวกัน
ห้ามแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาเป็นกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
หรือแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการเปิดซองสอบราคาหรือกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเป็นกรรมการตรวจรับพัสดุ
คณะกรรมการทุกคณะ
เว้นแต่คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาควรแต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
ๆ เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย
สำหรับการซื้อหรือการจ้างในวงเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท
หรือการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๒) หรือข้อ ๑๗ (๓)
หรือการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษของสำนักงานสาขา
จะแต่งตั้งพนักงานเพียงคนเดียวเป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือคณะกรรมการตรวจการจ้างก็ได้
ส่วนการซื้อหรือการจ้างสำหรับกิจกรรมที่ต้องปฏิบัตินอกสถานที่ตั้งสำนักงานตามปกติ
ให้ผู้จ่ายเงินค่าพัสดุหรืองานจ้าง แล้วแต่กรณี เป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
ๆ โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับ
คณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ข้อ ๒๕
ในการประชุมปรึกษาของคณะกรรมการแต่ละคณะ ต้องมีกรรมการมาพร้อมกันไม่น้อยกว่า
กึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด โดยให้ประธานกรรมการและกรรมการแต่ละคนมีเสียงหนึ่งในการลงมติ
มติของคณะกรรมการให้ถือเสียงข้างมาก
เว้นแต่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุและคณะกรรมการตรวจการจ้างให้ถือมติเอกฉันท์
ในกรณีกรรมการบางคนไม่ยอมรับพัสดุหรืองานจ้างนั้นโดยทำความเห็นแย้งไว้ให้นำข้อ
๔๖ (๗) หรือข้อ ๔๗ (๕) แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ สำหรับคณะกรรมการคณะอื่นถ้าผู้ใดไม่เห็นด้วยให้ทำบันทึกความเห็นแย้งไว้ด้วย
ข้อ ๒๖
การแต่งตั้งคณะกรรมการตามข้อ ๒๓ สำหรับสำนักงานสาขาถ้ามีพนักงานในสำนักงานนั้นไม่พอที่จะปฏิบัติตามข้อ
๒๔ หรือข้อ ๒๕ ได้ จะแต่งตั้งพนักงานคนหนึ่ง และลูกจ้างของสำนักงานนั้นหรือบุคคลอื่นร่วมเป็นกรรมการคณะหนึ่งคณะใดหรือทุกคณะก็ได้
ข้อ ๒๗
ในการซื้อหรือการจ้างทำพัสดุที่มีเทคนิคพิเศษและจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาเป็นการเฉพาะ
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาว่าจ้างที่ปรึกษาให้ความเห็นประกอบการพิจารณาในการซื้อหรือจ้างในขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดได้ตามความจำเป็น
วิธีตกลงราคา
ข้อ ๒๘
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา ให้เจ้าหน้าที่พัสดุติดต่อตกลงราคากับผู้ขายหรือผู้รับจ้างโดยตรง
แล้วจัดซื้อหรือจ้างได้ภายในวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบตามข้อ ๒๒
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคาในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน
และไม่อาจดำเนินการตามปกติได้ทันให้เจ้าหน้าที่พัสดุหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้นดำเนินการไปก่อนแล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อผู้ว่าการ
และเมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบให้ถือว่ารายงานดังกล่าวเป็นหลักฐานการตรวจรับโดยอนุโลม
วิธีสอบราคา
ข้อ ๒๙
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา ให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ก่อนวันเปิดซองสอบราคาไม่น้อยกว่า ๗ วัน
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุส่งประกาศเผยแพร่การสอบราคาและเอกสารสอบราคาไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
หรือโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้กับให้ปิดประกาศเผยแพร่การสอบราคาไว้โดยเปิดเผย
ณ ที่ทำการของ ททท.
(๒) ในการยื่นซองสอบราคา
ผู้เสนอราคาจะต้องผนึกซองจ่าหน้าถึงประธานกรรมการเปิดซองสอบราคาการซื้อหรือการจ้างครั้งนั้น
และส่งถึง ททท. ก่อนวันเปิดซองสอบราคาโดยยื่นตรงต่อ ททท.
หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนกรณีที่ ททท. กำหนดให้ทำได้
(๓) ให้เจ้าหน้าที่ลงรับโดยไม่เปิดซองพร้อมระบุวันและเวลาที่รับซอง
ในกรณีที่ผู้เสนอราคามายื่นซองโดยตรงให้ออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซอง
สำหรับกรณีที่เป็นการยื่นซองทางไปรษณีย์ ให้ถือวันและเวลาที่ ททท.
ลงรับจากไปรษณีย์เป็นเวลารับซอง และให้ส่งมอบซองให้แก่เจ้าหน้าที่พัสดุทันที
(๔) ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเก็บรักษาซองเสนอราคาทุกรายโดยไม่เปิดซองและเมื่อถึงกำหนดเวลาเปิดซองสอบราคาให้ส่งมอบซองเสนอราคาพร้อมทั้งรายงานผลการรับซองต่อคณะกรรมการเปิดซองสอบราคาเพื่อดำเนินการต่อไป
ข้อ ๓๐
เอกสารสอบราคา ให้มีรายการทำนองเดียวกับเอกสารประกวดราคาตามข้อ ๓๕ เว้นแต่ไม่ต้องวางหลักประกันซอง
ข้อ ๓๑ คณะกรรมการเปิดซองสอบราคามีหน้าที่ดังนี้
(๑)
เปิดซองใบเสนอราคาและอ่านแจ้งราคาพร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของ
ผู้เสนอราคาทุกรายโดยเปิดเผยตาม วัน เวลาและสถานที่ที่กำหนด และตรวจสอบรายการเอกสารตามบัญชีของผู้เสนอราคาทุกรายแล้วให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาและเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
(๒) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา แคตตาล็อคหรือแบบรูปและรายการละเอียด
แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารสอบราคา
(๓) พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างของผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตาม
(๒) ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อ ททท.
และเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่งเสนอราคาต่ำสุด
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดดังกล่าวไม่ยอมเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงกับ
ททท. ในเวลาที่กำหนดตามเอกสารสอบราคา ให้คณะกรรมการพิจารณาจากผู้เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคา
ถ้าปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาดำเนินการตามข้อ ๓๒
(๔)
ในกรณีที่มีผู้เสนอราคาถูกต้องตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารสอบราคาเพียงรายเดียว
ให้คณะกรรมการดำเนินการตาม (๓) โดยอนุโลม
(๕) ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๓๒
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคาที่ปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาเห็นสมควรซื้อหรือจ้างยังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการดำเนินการตามลำดับ ดังนี้
(๑) เรียกผู้เสนอราคารายนั้นมาต่อรองราคาให้ต่ำสุดเท่าที่จะทำได้
หากผู้เสนอราคารายนั้นยอมลดราคาแล้วราคาที่เสนอใหม่ไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือสูงกว่า แต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือต่อรองแล้วไม่ยอมลดราคาลงอีก แต่ส่วนที่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างนั้นไม่เกินร้อยละ
๑๐ ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสม
ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคารายนั้น
(๒) ถ้าดำเนินการตาม (๑) แล้วไม่ได้ผล
ให้เรียกผู้เสนอราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างทุกรายมาต่อรองราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคาภายในกำหนดระยะเวลาอันสมควร
หากรายใดไม่มายื่นซองให้ถือว่ารายนั้นยืนราคาตามที่เสนอไว้เดิม
หากผู้เสนอราคาต่ำสุดในการต่อรองราคาครั้งนี้เสนอราคาไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือสูงกว่าแต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว
ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคารายนั้น
(๓) ถ้าดำเนินการตาม (๒) แล้วไม่ได้ผล
ให้เสนอความเห็นต่อผู้ว่าการเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจว่าจะสมควรลดรายการ ลดจำนวน
หรือลดเนื้องาน หรือขอเงินเพิ่มเติมหรือยกเลิกการสอบราคาเพื่อดำเนินการสอบราคาใหม่
วิธีประกวดราคา
ข้อ ๓๓
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา ให้เจ้าหน้าที่พัสดุปิดประกาศประกวดราคาโดยเปิดเผย
ณ ที่ทำการของ ททท. และส่งไปประกาศทางวิทยุกระจายเสียงและศูนย์รวมข่าวประกวดราคา
โดยจะส่งประกาศไปลงในหนังสือพิมพ์ด้วยก็ได้ หากเห็นสมควรจะส่งประกาศดังกล่าวไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานโดยตรงหรือจะโฆษณาด้วยวิธีอื่นอีกก็ได้
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
จะต้องกระทำก่อนวันรับซองประกวดราคาไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน
ข้อ ๓๔
การให้หรือขายเอกสารประกวดราคาในการประกวดราคาทั้งคุณลักษณะเฉพาะหรือรายละเอียด
ให้กระทำ ณ สถานที่ที่ผู้ต้องการสามารถติดต่อได้โดยสะดวกและไม่เป็นเขตหวงห้ามกับจะต้องจัดเตรียมไว้ให้มากพอสำหรับความต้องการของผู้มาขอรับหรือขอซื้อที่มีอาชีพขายหรือทำงานจ้างนั้นอย่างน้อยรายละ
๑ ชุด
ในกรณีที่มีการขาย ให้กำหนดราคาพอสมควรกับค่าใช้จ่ายที่
ททท. ต้องเสียไปในการจัดทำสำเนาเอกสารประกวดราคานั้น
ถ้ามีการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้นและมีการประกวดราคาใหม่
ให้ผู้รับหรือซื้อเอกสารประกวดราคาในการประกวดราคาครั้งก่อนมีสิทธิใช้เอกสารประกวดราคานั้นหรือได้รับเอกสารประกวดราคาใหม่
โดยไม่ต้องเสียค่าซื้อเอกสารประกวดราคาอีก
ข้อ ๓๕
เอกสารประกวดราคาให้เป็นไปตามแบบที่ผู้ว่าการกำหนด
ข้อ ๓๖
ก่อนวันเปิดซองประกวดราคา หากมีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงหรือให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แก่
ททท. หรือมีความจำเป็นต้องแก้ไขคุณลักษณะเฉพาะหรือรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญซึ่งมิได้กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคาตั้งแต่ต้น
ให้จัดทำเป็นเอกสารประกวดราคาเพิ่มเติม และดำเนินการตามข้อ ๓๓ โดยอนุโลม
กับแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ที่ขอรับหรือขอซื้อเอกสารประกวดราคาไปแล้วทุกรายด้วย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง หากจะเป็นเหตุให้ผู้เสนอราคาไม่สามารถยื่นซองประกวดราคาได้ทันตามกำหนดเดิม
ให้เลื่อนวันและเวลาการรับซอง การปิดการรับซอง
และการเปิดซองประกวดราคาตามความจำเป็นด้วย
ข้อ ๓๗
นอกจากกรณีที่กำหนดไว้ตามข้อ ๓๖ เมื่อถึงกำหนดวันรับซองประกวดราคาห้ามมิให้ร่นหรือเลื่อน
หรือเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลารับซองและเปิดซองประกวดราคา
ข้อ ๓๘[๘]
คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคามีหน้าที่ดังนี้
(๑) รับซองประกวดราคา ลงทะเบียนรับซองไว้เป็นหลักฐาน ลงชื่อกำกับซองและบันทึกไว้ที่หน้าซองว่าเป็นของผู้ใด
(๒) ตรวจสอบหลักประกันซองร่วมกับเจ้าหน้าที่การเงินและให้เจ้าหน้าที่การเงินออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซองไว้เป็นหลักฐาน
หากไม่ถูกต้องให้หมายเหตุในใบรับและบันทึกในรายงานด้วย
กรณีหลักประกันซองเป็นหนังสือค้ำประกันให้ส่งสำเนาหนังสือค้ำประกันให้ธนาคาร
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัทเงินทุน
หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผู้ออกหนังสือค้ำประกันทราบโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับด้วย
(๓) รับเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ตามบัญชีรายการเอกสารของผู้เสนอราคาพร้อมทั้งพัสดุตัวอย่าง
แคตตาล็อค หรือแบบรูปและรายการละเอียด (ถ้ามี) หากไม่ถูกต้องให้บันทึกในรายงานไว้ด้วย
(๔) เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองประกวดราคาแล้วห้ามรับซองประกวดราคา
หรือเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาอีก
(๕) เปิดซองใบเสนอราคาและอ่านแจ้งราคาพร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่าง
ๆ ของผู้เสนอราคาทุกรายโดยเปิดเผยตามเวลาและสถานที่ที่กำหนด และให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาและเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
ในกรณีที่มีการยื่นซองข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนออื่น ๆ
แยกจากซองข้อเสนอด้านราคาซึ่งต้องพิจารณาทางเทคนิคและอื่น ๆ ก่อน
ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามข้อ ๔๒ ทวิ และข้อ ๔๒ จัตวา
คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
โดยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาที่จะต้องดำเนินการต่อไป
(๖) ส่งมอบใบเสนอราคาทั้งหมดและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ พร้อมด้วยบันทึกรายงานการดำเนินการต่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทันทีในวันเดียวกัน
ข้อ ๓๙
คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา เอกสารหลักฐานต่าง
ๆ พัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อค หรือแบบรูปและรายการละเอียด แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคา
ในกรณีที่ผู้เสนอราคารายใดเสนอรายละเอียดแตกต่างไปจากเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ
และความแตกต่างนั้นไม่มีผลทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบต่อผู้เสนอราคารายอื่น
หรือเป็นการผิดพลาดเล็กน้อย ให้พิจารณาผ่อนปรนให้ผู้เข้าประกวดราคา
โดยไม่ตัดผู้เข้าประกวดราคารายนั้นออก
ในการพิจารณา
คณะกรรมการอาจสอบถามข้อเท็จจริงจากผู้เสนอราคารายใดก็ได้
แต่จะให้ผู้เสนอราคารายใดเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญที่เสนอไว้แล้วมิได้
(๒)
พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างหรือคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่ตรวจสอบแล้วตาม (๑)
ซึ่งมีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อ ททท. แล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่งเสนอราคาต่ำสุด
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดดังกล่าวไม่ยอมเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงกับ
ททท. ในเวลาที่กำหนดตามเอกสารประกวดราคา
ให้คณะกรรมการพิจารณาจากผู้เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคา
ถ้าปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาดำเนินการตามข้อ ๓๒ โดยอนุโลม
(๓) ให้คณะกรรมการรายงานผลพิจารณาและความเห็น พร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๔๐
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาได้ดำเนินการตามข้อ ๓๙ (๑) แล้วปรากฏว่ามีผู้เสนอราคารายเดียว
หรือมีผู้เสนอราคาหลายรายแต่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคาเพียงรายเดียว
โดยปกติให้เสนอผู้ว่าการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
แต่ถ้าคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่จะดำเนินการต่อไปโดยไม่ต้องยกเลิกการประกวดราคา
ก็ให้ดำเนินการตามข้อ ๓๙ (๒) โดยอนุโลม
ข้อ ๔๑ ในกรณีที่ไม่มีผู้เสนอราคาหรือมีแต่ไม่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนด
ให้เสนอผู้ว่าการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น เพื่อดำเนินการประกวดราคาใหม่
หากผู้ว่าการเห็นว่าการประกวดราคาใหม่จะไม่ได้ผลดีจะสั่งให้ดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ
๑๖ (๖) หรือข้อ ๑๗ (๖) แล้วแต่กรณี ก็ได้
ข้อ ๔๒
หลังจากการประกวดราคาแล้วแต่ยังไม่ได้ทำสัญญาหรือตกลงซื้อหรือจ้างกับผู้เสนอราคา
รายใด ถ้ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท. อันเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในรายการละเอียดหรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคา
ซึ่งทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้เข้าประกวดราคาด้วยกันให้ผู้ว่าการพิจารณายกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
ข้อ ๔๒ ทวิ[๙]
การซื้อหรือการจ้างที่มีลักษณะจำเป็นจะต้องคำนึงถึงเทคโนโลยีของพัสดุ
และหรือข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าเสนอราคา ซึ่งอาจจะมีข้อเสนอที่ไม่อยู่ในฐานเดียวกันเป็นเหตุให้มีปัญหาในการพิจารณาตัดสิน
และเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องให้มีการปรับปรุงข้อเสนอให้ครบถ้วนและเป็นไปตามความต้องการก่อนพิจารณาด้านราคา
ให้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับการประกวดราคาโดยทั่วไปเว้นแต่กำหนดให้ผู้เข้าเสนอราคายื่นซองประกวดราคาโดยแยกเป็น
(๑) ซองข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนออื่น ๆ
(๒) ซองข้อเสนอด้านราคา
ทั้งนี้ ให้กำหนดวิธีการ ขั้นตอน
และหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคาด้วย
ข้อ ๔๒ ตรี[๑๐] เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๔๒ ทวิ
ให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทำหน้าที่เปิดซองเทคนิคของผู้เสนอราคา
แทนคณะกรรมการรับและเปิดซองตามข้อ ๓๘ (๕) และพิจารณาผลการประกวดราคาตามข้อ ๔๒ ทวิ
โดยถือปฏิบัติตามข้อ ๓๙ ในส่วนที่ไม่ขัดกับการดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาข้อเสนอทางเทคนิค และข้อเสนออื่นของผู้เข้าเสนอราคาทุกราย
และคัดเลือกเฉพาะรายที่เสนอได้ตรงหรือใกล้เคียงตามมาตรฐานความต้องการของ ททท.
ในกรณีจำเป็นสามารถเรียกผู้เสนอราคามาชี้แจงในรายละเอียดข้อเสนอเป็นการเพิ่มเติมข้อหนึ่งข้อใดก็ได้
(๒) เปิดซองราคาเฉพาะรายที่ได้ผ่านการพิจารณาคัดเลือกตาม (๑)
แล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่ประเมินราคาต่ำสุด
สำหรับรายอื่นที่ไม่ผ่านการพิจารณาให้ส่งคืนซองข้อเสนอด้านราคาโดยไม่เปิดซอง
ข้อ ๔๒ จัตวา[๑๑]
การซื้อหรือการจ้างที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าเสนอราคายื่นข้อเสนอทางการเงินมาด้วย
ให้กำหนดให้ผู้เสนอราคายื่นซองข้อเสนอทางการเงินแยกมาต่างหาก และให้เปิดซองข้อเสนอทางการเงินพร้อมกับการเปิดซองราคาตามข้อ
๔๒ ตรี (๒) เพื่อทำการประเมินเปรียบเทียบต่อไป ทั้งนี้ ให้กำหนดวิธีการขั้นตอน
และหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคาด้วย
วิธีพิเศษ
ข้อ ๔๓[๑๒] การซื้อโดยวิธีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีเป็นพัสดุจะขายทอดตลาด ให้ดำเนินการซื้อโดยวิธีเจรจาตกลงราคา
(๒) ในกรณีเป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจเสียหายแก่การปฏิบัติงานให้เชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคาหากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๓) ในกรณีเป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ
(๒)
(๔) ในกรณีที่เป็นพัสดุที่ได้ซื้อไว้แล้ว แต่มีความจำเป็นต้องใช้เพิ่มในสถานการณ์ที่จำเป็นหรือเร่งด่วน
หรือเพื่อประโยชน์ของ ททท. ให้เจรจากับผู้ขายรายเดิมตามสัญญาหรือข้อตกลงซึ่งยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาการส่งมอบเพื่อขอให้มีการขายพัสดุตามรายละเอียด
และราคาที่ต่ำกว่าหรือราคาเดิม ภายใต้เงื่อนไขที่ดีกว่าหรือเงื่อนไขเดิมโดยคำนึงถึงราคาต่อหน่วยตามสัญญาเดิม
(ถ้ามี) เพื่อให้บังเกิดผลประโยชน์สูงสุดที่ ททท. จะได้รับ
(๕) ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศให้เสนอผู้ว่าการเพื่อติดต่อสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ
หรือสืบราคาจากต่างประเทศแล้วเปรียบเทียบราคาในประเทศส่วนการซื้อโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศให้ติดต่อกับสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศที่มีอยู่ในประเทศโดยตรง
เว้นแต่กรณีที่ไม่มีสำนักงานในประเทศ ให้ติดต่อกับสำนักงานในต่างประเทศได้
(๖) ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรงให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ
(๒)
(๗)
ในกรณีเป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดีให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคา หรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป
หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรซื้อเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๘)
ในกรณีพัสดุที่เป็นที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่งให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อ
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้ สำหรับการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศ
ในกรณีจำเป็นจะติดต่อผ่านนายหน้าหรือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามกฎหมายหรือประเพณีนิยมของท้องถิ่นก็ได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๔๔[๑๓] การจ้างโดยวิธีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) (๕) และ (๖) ให้เชิญผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องถิ่น
หรือราคาที่ประมาณได้หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้าง ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๒) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๔)
ให้เจรจากับผู้รับจ้างรายเดิมตามสัญญาหรือข้อตกลงซึ่งยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาการส่งมอบเพื่อขอให้มีการจ้างตามรายละเอียด
และราคาที่ต่ำกว่าหรือราคาเดิม โดยคำนึงถึงราคาต่อหน่วยตามสัญญาเดิม (ถ้ามี)
เพื่อให้บังเกิดผลประโยชน์สูงสุดที่ ททท. จะได้รับ
(๓) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๗) ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคาหรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป
หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรจ้างเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องถิ่น หรือราคาที่ประมาณได้
หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้าง ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
วิธีกรณีพิเศษ
ข้อ ๔๕[๑๔] การดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างจากผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามข้อ
๑๙ ได้โดยตรง เว้นแต่การซื้อหรือการจ้างที่มีราคาไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดซื้อหรือจ้างได้ภายในวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าการตามข้อ
๒๒
การตรวจรับพัสดุ
ข้อ ๔๖
คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจรับพัสดุ ณ ที่ทำการของ ททท. หรือที่ใช้พัสดุนั้น
หรือสถานที่ซึ่งกำหนดไว้ในสัญญาหรือข้อตกลง
การตรวจรับพัสดุ ณ สถานที่อื่น
ในกรณีที่ไม่มีสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการก่อน
(๒)
ตรวจรับพัสดุให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักฐานที่ตกลงกันไว้สำหรับกรณีที่มีการทดลองหรือตรวจสอบในทางเทคนิคหรือทางวิทยาศาสตร์
จะเชิญผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุนั้นมาให้คำปรึกษา
หรือส่งพัสดุนั้นไปทดลองหรือตรวจสอบ ณ สถานที่ของผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒินั้น
ๆ ก็ได้
ในกรณีจำเป็นที่ไม่สามารถตรวจนับเป็นจำนวนหน่วยทั้งหมดได้ให้ตรวจรับตามหลักวิชาการสถิติ
(๓)
โดยปกติให้ตรวจรับพัสดุในวันที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างนำพัสดุมาส่งและให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๔) เมื่อตรวจถูกต้องครบถ้วนแล้ว
ให้รับพัสดุไว้และถือว่าผู้ขายหรือผู้รับจ้างได้ส่งมอบพัสดุถูกต้องครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างนำพัสดุนั้นมาส่ง
แล้วมอบแก่เจ้าหน้าที่พัสดุพร้อมกับทำใบตรวจรับโดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย ๒
ฉบับ มอบแก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้าง ๑ ฉบับ และเจ้าหน้าที่พัสดุ ๑ ฉบับ
เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินและรายงานให้ผู้ว่าการทราบ
ในกรณีที่เห็นว่าพัสดุที่ส่งมอบมีรายละเอียดไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญา
หรือข้อตกลง ให้รายงานผู้ว่าการเพื่อทราบหรือสั่งการ แล้วแต่กรณี
(๕)
ในกรณีที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างส่งมอบพัสดุถูกต้องแต่ไม่ครบจำนวนหรือส่งมอบครบจำนวนแต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด
ถ้าสัญญาหรือข้อตกลงมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้ตรวจรับไว้เฉพาะจำนวนที่ถูกต้องโดยถือปฏิบัติตาม
(๔) และโดยปกติให้รีบรายงานผู้ว่าการเพื่อแจ้งให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทราบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันตรวจพบ แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิ ททท.
ที่จะปรับผู้ขายหรือผู้รับจ้างในจำนวนที่ส่งมอบไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องนั้น
(๖) การตรวจรับพัสดุที่ประกอบกันเป็นชุดหรือเป็นหน่วย
ถ้าขาดส่วนประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้วจะไม่สามารถใช้การได้โดยสมบูรณ์
ให้ถือว่าผู้ขายหรือผู้รับจ้างยังมิได้ส่งมอบพัสดุนั้น
และโดยปกติให้รีบรายงานผู้ว่าการเพื่อแจ้งให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทราบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันที่ตรวจพบ
(๗)
ถ้ากรรมการตรวจรับพัสดุบางคนไม่ยอมรับพัสดุโดยทำความเห็นแย้งไว้ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ถ้าผู้ว่าการสั่งการให้รับพัสดุนั้นไว้ จึงดำเนินการตาม (๔) หรือ (๕) แล้วแต่กรณี
การตรวจการจ้างและการควบคุมงานก่อสร้าง
ข้อ ๔๗
คณะกรรมการตรวจการจ้าง มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจสอบรายงานการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้อมที่ผู้ควบคุมงานรายงาน
โดยตรวจสอบกับแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาทุกสัปดาห์รวมทั้งรับทราบหรือพิจารณาการสั่งหยุดงานหรือพักงานของผู้ควบคุมงาน
แล้วรายงานผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
(๒) การดำเนินการตาม (๑)
ในกรณีมีข้อสงสัยหรือมีกรณีที่เห็นว่าตามหลักวิชาการช่างไม่น่าจะเป็นไปได้
ให้ออกตรวจงานจ้าง ณ สถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือที่ตกลงให้ทำงานจ้างนั้น ๆ
โดยให้มีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือตัดทอนงานจ้างได้ตามที่เห็นสมควรและตามหลักวิชาการช่าง
เพื่อให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
(๓) โดยปกติให้ตรวจผลงานที่ผู้รับจ้างส่งมอบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันที่ประธานกรรมการได้รับทราบการส่งมอบงาน
และให้ทำการตรวจรับให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๔)
เมื่อตรวจเห็นว่าเป็นการถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแล้ว
ให้ถือว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้รับจ้างส่งงานจ้างนั้น
และให้ทำใบรับรองผลการปฏิบัติงานทั้งหมดหรือเฉพาะงวด แล้วแต่กรณี โดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย
๒ ฉบับ มอบให้แก่ผู้รับจ้าง ๑ ฉบับ และเจ้าหน้าที่พัสดุ ๑ ฉบับ เพื่อทำการเบิกจ่ายเงิน
และรายงานให้ผู้ว่าการทราบ
ในกรณีที่เห็นว่าผลงานที่ส่งมอบทั้งหมดหรืองวดใดก็ตาม
ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
ให้รายงานผู้ว่าการเพื่อทราบหรือสั่งการ แล้วแต่กรณี
(๕) ในกรณีที่กรรมการตรวจการจ้างบางคนไม่ยอมรับงานโดยทำความเห็นแย้งไว้
ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อสั่งการ ถ้าผู้ว่าการสั่งการให้ตรวจรับงานจ้างนั้นไว้
จึงจะดำเนินการตาม (๔)
ข้อ ๔๘
ผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจและควบคุมงาน ณ
สถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือที่ตกลงให้ทำงานจ้างนั้น ๆ ทุกวัน
ให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดไว้ในสัญญาทุกประการ โดยสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือตัดทอนงานจ้างได้ตามที่เห็นสมควรและตามหลักวิชาช่างเพื่อให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
ถ้าผู้รับจ้างขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็สั่งให้หยุดงานนั้นเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด
แล้วแต่กรณี ไว้ก่อนจนกว่าผู้รับจ้างจะยอมปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสั่ง
และให้รายงานคณะกรรมการตรวจการจ้างทันที
(๒) ในกรณีที่ปรากฏว่าแบบรูปรายการละเอียดหรือข้อกำหนดในสัญญามีข้อความขัดกันหรือเป็นที่คาดหมายได้ว่าถึงแม้ว่างานนั้นจะได้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแต่เมื่อสำเร็จแล้วจะไม่มั่นคงแข็งแรงหรือไม่เป็นไปตามหลักวิชาช่างที่ดี
หรือไม่ปลอดภัย ให้สั่งพักงานนั้นไว้ก่อนแล้วรายงานคณะกรรมการตรวจการจ้างโดยเร็ว
(๓)[๑๕]
จดบันทึกสภาพการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง และเหตุการณ์แวดล้อมเป็นรายวันพร้อมทั้งผลการปฏิบัติงาน
หรือการหยุดงานและสาเหตุที่มีการหยุดงาน อย่างน้อย ๒ ฉบับ
เพื่อรายงานให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบทุกสัปดาห์ และเก็บรักษาไว้เพื่อมอบให้แก่เจ้าหน้าที่พัสดุเมื่อเสร็จงานแต่ละงวดเพื่อประกอบการตรวจสอบของผู้มีหน้าที่
การบันทึกการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างให้ระบุรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติงานและวัสดุที่ใช้ด้วย
(๔) ในวันกำหนดลงมือทำการของผู้รับจ้างตามสัญญาและในวันถึงกำหนดส่งมอบงานแต่ละงวด
ให้รายงานผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างว่าเป็นไปตามสัญญาหรือไม่
ให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบภายใน ๓ วันทำการ นับแต่วันถึงกำหนดนั้น ๆ
อำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง
ข้อ ๔๙[๑๖]
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างครั้งหนึ่งนอกจากวิธีพิเศษ และวิธีกรณีพิเศษ
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๕๐[๑๗]
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีพิเศษครั้งหนึ่ง ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่ง
และภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐
บาท แต่ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๕๑
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยไม่จำกัดวงเงิน
การจ้างที่ปรึกษา
ข้อ ๕๒[๑๘] การจ้างที่ปรึกษากระทำได้ ๒ วิธี คือ
(๑) วิธีตกลง
(๒) วิธีคัดเลือก
ข้อ ๕๒ ทวิ[๑๙]
ก่อนดำเนินการจ้างที่ปรึกษา ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษา
(๒) ขอบเขตโดยละเอียดของงานที่จะจ้างที่ปรึกษา
(๓) คุณสมบัติของที่ปรึกษาที่จะจ้าง
(๔) วงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาโดยประมาณ
(๕) กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงาน
(๖) วิธีจ้างที่ปรึกษาและเหตุผลที่ต้องจ้างโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ ถ้ามี
เมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบตามรายงานที่เสนอแล้วให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการจ้างตามวิธีจ้างนั้นต่อไปได้
ข้อ ๕๓[๒๐] ในการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาแต่ละครั้ง
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ แล้วแต่กรณีคือ
(๑) คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
(๒) คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
การแต่งตั้งคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ
๑ คน และกรรมการอย่างน้อย ๔ คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานระดับ ๕ หรือเทียบเท่าขึ้นไปอย่างน้อย
๒ คน ในกรณีจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์แก่ ททท. ให้แต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิในงานที่จะจ้างที่ปรึกษาเป็นกรรมการด้วย
ข้อ ๕๓ ทวิ[๒๑] การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
ได้แก่การจ้างที่ปรึกษาที่ผู้ว่าจ้างตกลงจ้างรายใดรายหนึ่งซึ่งเคยทราบหรือเคยเห็นความสามารถ
และผลงานแล้ว และเป็นผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้
ข้อ ๕๓ ตรี[๒๒] การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นการจ้างเพื่อทำงานต่อเนื่องจากงานที่ได้ทำอยู่แล้ว
(๒) เป็นการจ้างในกรณีที่ทราบแน่ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญในงานที่จะให้บริการตามที่ต้องการมีจำนวนจำกัด
ไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการด้วยวิธีคัดเลือก
(๓) เป็นการจ้างที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่
ททท.
ข้อ ๕๓ จัตวา[๒๓] คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษา
(๒) พิจารณาอัตราค่าจ้างและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ที่เกี่ยวเนื่องกับบริการที่จะจ้างและเจรจาต่อรอง
(๓) พิจารณารายละเอียดที่จะกำหนดในสัญญา
(๔) ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๕๔
ในการประชุมของคณะกรรมการตามข้อ ๕๓ ให้นำข้อ ๒๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๕๕[๒๔] การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
ได้แก่การจ้างที่ปรึกษาโดยการคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานนั้นให้เหลือน้อยรายและเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้รับการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายดังกล่าวยื่นข้อเสนอเข้ารับงานนั้น
ๆ เพื่อพิจารณาคัดเลือกรายที่ดีที่สุด
ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรและผู้ว่าการเห็นชอบให้เชิญที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมยื่นข้อเสนอเข้ารับงาน
โดยไม่ต้องทำการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายก็ได้
การคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลือน้อยราย
ให้คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาพิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลืออย่างมาก ๖
ราย
เมื่อได้ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลือน้อยรายแล้วให้รายงานผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๕๖ ให้
ททท. ออกหนังสือเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้คัดเลือกไว้ยื่นข้อเสนอเพื่อรับงานตามวิธีหนึ่งวิธีใด
ดังต่อไปนี้
(๑) ยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านราคาพร้อมกันโดยแยกเป็น
๒ ซอง
(๒) ยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคเพียงซองเดียว
ข้อ ๕๗[๒๕]
คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือกมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก
(๒) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาทุกรายและจัดลำดับ
(๓) ในกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ ๕๖ (๑) ให้เปิดซองเสนอด้านราคาของที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
สำหรับกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ ๕๖ (๒) ให้เชิญที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดมายื่นข้อเสนอด้านราคาและเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
หากเจรจาไม่ได้ผล
ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อพิจารณายกเลิกการเจรจากับที่ปรึกษารายนั้นแล้วเปิดซองข้อเสนอด้านราคาของที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดรายถัดไป
หรือเชิญที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดรายถัดไปให้ยื่นข้อเสนอด้านราคา
แล้วแต่กรณี และเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
(๔) เมื่อเจรจาได้ราคาที่เหมาะสมแล้วให้พิจารณาเงื่อนไขต่าง
ๆ ที่จะกำหนดในสัญญา
(๕) ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณา และความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการ
ในกรณีที่ใช้วิธีการยื่นข้อเสนอตามข้อ ๕๖ (๑)
หลังจากตัดสินให้ทำสัญญากับที่ปรึกษา ซึ่งได้รับการคัดเลือกแล้ว
ให้ส่งคืนซองข้อเสนอด้านราคาให้แก่ที่ปรึกษารายอื่นที่ได้ยื่นไว้โดยไม่เปิดซอง
ข้อ ๕๘
การจ้างที่ปรึกษาที่เป็นงานที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและมีที่ปรึกษาซึ่งสามารถทำงานนั้นได้เป็นการทั่วไป
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะออกหนังสือเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้คัดเลือกไว้ให้ยื่นข้อเสนอเพื่อรับงาน
โดยให้ดำเนินการตามวิธีดังต่อไปนี้คือ
(๑) ให้ที่ปรึกษายื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านราคาพร้อมกันโดยแยกเป็น
๒ ซอง
(๒) ให้คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาทุกราย
และจัดลำดับ
(๓)
เปิดซองข้อเสนอด้านราคาของผู้ที่ได้รับการจัดลำดับไว้อันดับหนึ่งถึงอันดับสามตาม
(๒) พร้อมกัน แล้วเลือกรายที่เสนอราคาต่ำสุดมาเจรจาต่อรองราคาเป็นลำดับแรก
(๔) หากเจรจาตาม (๓) แล้วไม่ได้ผล
ให้ยกเลิกแล้วเจรจากับรายที่เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
เมื่อเจรจาได้ผลประการใด ให้ดำเนินการตามข้อ ๕๗ (๔) และ (๕)
ข้อ ๕๙
การจ้างที่ปรึกษาเป็นรายบุคคลที่ไม่ต้องยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคให้ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามนัยข้อ
๕๕ และพิจารณาจัดลำดับ และเมื่อสามารถจัดลำดับได้แล้วให้เชิญรายที่เหมาะสมที่สุดมาเสนอราคาค่าจ้างเพื่อเจรจาต่อรองราคาตามลำดับ
ข้อ ๖๐[๒๖] การสั่งจ้างที่ปรึกษาครั้งหนึ่ง
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๖๑
อัตราค่าจ้างที่ปรึกษาให้เป็นไปตามความเหมาะสมและประหยัดโดยให้คำนึงถึงองค์ประกอบต่าง
ๆ เช่น ลักษณะของงานที่จะจ้าง อัตราค่าจ้างของงานในลักษณะเดียวกันที่ ททท.
เคยจ้างจำนวนคนต่อเดือน เท่าที่จำเป็น ดัชนีค่าครองชีพ เป็นต้น
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้า
ให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ของค่าจ้างตามสัญญา และที่ปรึกษาจะต้องจัดให้ธนาคารเป็นผู้ค้ำประกันเงินค่าจ้างที่ได้รับล่วงหน้าไปนั้นและให้ผู้ว่าการคืนหนังสือค้ำประกันดังกล่าวให้แก่ที่ปรึกษาเมื่อ
ททท. ได้หักเงินที่ได้จ่ายล่วงหน้าจากเงินค่าจ้างตามผลงานแต่ละงวดครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ ให้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วย
ข้อ ๖๒
การจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ที่ปรึกษาที่แบ่งการชำระเงินออกเป็นงวดให้ผู้ว่าการหักเงินที่จะจ่ายแต่ละครั้งในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินค่าจ้าง เพื่อเป็นการประกันผลงาน
หรือจะให้ที่ปรึกษาใช้หนังสือค้ำประกันของธนาคารในประเทศมีอายุการค้ำประกันตามที่ผู้ว่าการจะกำหนดวางค้ำประกันแทนเงินที่หักไว้ก็ได้
ทั้งนี้ ให้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วย
ข้อ ๖๓
กรณีสัญญาจ้างที่ปรึกษาตามโครงการเงินกู้ทีได้รวมเงินค่าภาษีซึ่งที่ปรึกษาจะต้องจ่ายให้แก่รัฐบาลไทยไว้ในราคาจ้าง
ให้แยกเงินส่วนที่กันเป็นค่าภาษีไว้ต่างหากจากราคาจ้างรวม
หลักประกัน
ข้อ ๖๔[๒๗]
หลักประกันซองหรือหลักประกันสัญญาให้ใช้หลักประกันอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
(๑) เงินสด
(๒) เช็คที่ธนาคารเซ็นสั่งจ่าย
ซึ่งเป็นเช็คลงวันที่ที่ใช้เช็คนั้นยื่นต่อเจ้าหน้าที่ หรือก่อนวันนั้นไม่เกิน ๓
วันทำการ
(๓) หนังสือค้ำประกันของธนาคารภายในประเทศ
(๔) หนังสือค้ำประกันของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์
และประกอบธุรกิจค้ำประกัน ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยตามรายชื่อบริษัทเงินทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งเวียนให้ทราบ
โดยอนุโลมให้ใช้ตามตัวอย่างหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่ ททท. กำหนด
(๕) พันธบัตรรัฐบาลไทย
ข้อ ๖๕
หลักประกันซองและหลักประกันสัญญาในข้อ ๖๔ ให้กำหนดมูลค่าเป็นจำนวนเต็มในอัตราร้อยละ
๕ ของวงเงินหรือราคาพัสดุที่จัดหาครั้งนั้น แล้วแต่กรณี เว้นแต่การจัดหาพัสดุที่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ
จะกำหนดอัตราสูงกว่าร้อยละ ๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ก็ได้
ในการทำสัญญาจัดหาพัสดุที่มีระยะเวลาผูกพันตามสัญญาเกิน ๑
ปี และพัสดุนั้นไม่ต้องมีการประกันเพื่อความชำรุดบกพร่อง เช่น พัสดุใช้สิ้นเปลือง ให้กำหนดหลักประกันในอัตราร้อยละ
๕ ของราคาพัสดุที่ส่งมอบในแต่ละปีของสัญญา โดยให้ถือว่าหลักประกันนี้เป็นการค้ำประกันตลอดอายุสัญญา
และหากในปีต่อไปราคาพัสดุที่ส่งมอบแตกต่างไปจากราคาในรอบปีก่อน
ให้ปรับปรุงหลักประกันตามอัตราส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก่อนครบรอบปี ในกรณีที่หลักประกันต้องปรับปรุงในทางที่เพิ่มขึ้น
และคู่สัญญาไม่นำหลักประกันมาเพิ่มให้ครบจำนวนภายใน ๑๕ วัน
ก่อนการส่งมอบพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้น ให้ ททท. หักจากเงินค่าพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้นที่
ททท. จะต้องจ่ายไว้เป็นหลักประกันในส่วนที่เพิ่มขึ้น
การกำหนดหลักประกันตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือเอกสารประกวดราคา และในสัญญาด้วย
แล้วแต่กรณี
ข้อ ๖๖[๒๘] ให้ ททท. คืนหลักประกันให้แก่ผู้เสนอราคา
คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) หลักประกันซอง ให้คืนแก่ผู้เสนอราคา หรือผู้ค้ำประกันภายใน
๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้พิจารณาในเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
เว้นแต่ผู้เสนอราคารายที่คัดเลือกไว้ซึ่งเสนอราคาต่ำสุดไม่เกิน ๓ ราย
ให้คืนต่อเมื่อได้ทำสัญญาหรือข้อตกลง หรือผู้เสนอราคาได้พ้นจากข้อผูกพันแล้ว
(๒) หลักประกันสัญญา ให้คืนให้แก่คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันโดยเร็ว
และอย่างช้าต้องไม่เกิน ๑๕ วัน นับแต่วันที่คู่สัญญาพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญาแล้ว
การซื้อหรือจ้างที่ไม่ต้องมีหลักประกันเพื่อความชำรุดบกพร่อง
ให้คืนหลักประกันให้แก่คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันตามอัตราส่วนของพัสดุซึ่ง ททท.
ได้รับมอบไว้แล้ว แต่ทั้งนี้จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขเอกสารสอบราคาหรือเอกสารประกวดราคา
และในสัญญาด้วย
การคืนหลักประกันที่เป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัทเงินทุน
หรือบริษัทเงินหลักทรัพย์ในกรณีที่ผู้เสนอราคาหรือคู่สัญญาไม่มารับภายในกำหนดเวลาข้างต้น
ให้รีบส่งต้นฉบับหนังสือค้ำประกันให้แก่ผู้เสนอราคาหรือคู่สัญญาโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนโดยเร็วพร้อมกับแจ้งให้ธนาคาร
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผู้ค้ำประกันทราบด้วย
ข้อ ๖๗
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้เสนอราคาหรือเป็นคู่สัญญาไม่ต้องวางหลักประกัน
การจ่ายเงินล่วงหน้า
ข้อ ๖๘
การจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะกระทำมิได้
เว้นแต่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องจ่ายและมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ก่อนการทำสัญญาหรือข้อตกลง
ให้กระทำได้เฉพาะในกรณีและตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การซื้อหรือจ้างจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
หรือบริษัทที่ ททท. ลงทุนหรือร่วมทุนด้วย จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐
ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
(๒)
การซื้อพัสดุจากต่างประเทศโดยดำเนินการผ่านองค์การระหว่างประเทศ ให้จ่ายได้ตามที่ตกลงกับองค์การระหว่างประเทศ
(๓)[๒๙]
การบอกรับวารสารหรือการสั่งจองหนังสือหรือวารสารหรือการจัดซื้อฐานข้อมูลสำเร็จรูป
(CD-ROM) ที่มีลักษณะจะต้องบอกรับเป็นสมาชิกก่อนและมีกำหนดการออกเป็นวาระดังเช่นวารสาร
หรือการบอกรับเป็นสมาชิก INTERNET เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์เรียกค้นหาข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข้อมูลต่าง
ๆ โดยอาศัยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ให้จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง
(๔) การซื้อหรือจ้างโดยวิธีสอบราคาหรือประกวดราคา
จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง แต่ทั้งนี้จะต้องกำหนดอัตราค่าพัสดุหรือค่าจ้างที่จะจ่ายล่วงหน้าไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือประกวดราคาด้วย
(๕) การซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษ ให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ
๑๕ ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
การจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามแบบธรรมเนียมการค้าระหว่างประเทศโดยเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต
หรือโดยวิธีใช้ดร๊าฟท์กรณีที่วงเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท หรือจ่ายเงินตามความก้าวหน้าในการจัดหาพัสดุที่สั่งซื้อ
ให้กระทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการจ่ายเงินล่วงหน้า
ข้อ ๖๙
การจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตามข้อ ๖๘ (๑) (๒) และ (๓) ไม่ต้องเรียกหลักประกัน
ส่วนการจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตามข้อ ๖๘ (๔)
และ (๕) ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะต้องจัดให้ธนาคารในประเทศธนาคารหนึ่งหรือหลายธนาคารเป็นผู้ค้ำประกันเงินที่รับล่วงหน้าไปนั้น
การทำสัญญาซื้อขายและสัญญาจ้าง
ข้อ ๗๐[๓๐]
การซื้อหรือการจ้างให้ทำสัญญาตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้ เว้นแต่ในกรณี
ดังต่อไปนี้จะทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการ
(๑) การซื้อ การจ้าง หรือการแลกเปลี่ยนโดยวิธีตกลงราคา
(๒) การซื้อหรือการจ้างที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างสามารถส่งมอบพัสดุได้ครบถ้วนภายใน
๕ วันทำการ นับแต่วันถัดจากวันตกลงซื้อขายหรือจ้าง
(๓) การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ และการจัดหาจากส่วนราชการ
(๔) การซื้อโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๑) (๒) (๔) และ (๕)
(๕) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ
(๖)
(๖) การเช่าซึ่ง ททท. ไม่ต้องเสียเงินอื่นใดนอกจากค่าเช่า
สำหรับการซื้อที่ผู้ขายสามารถส่งมอบพัสดุได้ทันที
หรือการซื้อ หรือการจ้างที่มีราคาไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท
จะไม่ทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
ข้อ ๗๑
การทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือสำหรับการซื้อ ให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันในอัตราตายตัวระหว่างร้อยละ
๐.๐๑-๐.๒๐ ของราคาพัสดุที่ยังไม่ได้รับมอบ
ส่วนการจ้างให้กำหนดอัตราค่าปรับเป็นรายวันเป็นจำนวนตายตัวในอัตราระหว่างร้อยละ ๐.๐๑-๐.๑๐
ของราคางานจ้างนั้น แต่จะต้องไม่ต่ำกว่าวันละ ๒๐๐ บาท[๓๑]
การกำหนดค่าปรับตามวรรคหนึ่งในอัตราหรือเป็นจำนวนเงินตายตัวเท่าใดให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการ
ในกรณีการซื้อสิ่งของที่ประกอบกันเป็นชุด
ถ้าขาดส่วนประกอบส่วนหนึ่งส่วนใดไปแล้ว จะไม่สามารถใช้การได้โดยสมบูรณ์
แม้ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของภายในกำหนดตามสัญญาแต่ยังขาดส่วนประกอบบางส่วน
ต่อมาได้ส่งมอบส่วนประกอบที่ยังขาดนั้นเกินกำหนดสัญญา ให้ถือว่าไม่ได้ส่งมอบสิ่งของนั้นเลย
ให้ปรับเต็มราคาของทั้งชุด
ในกรณีการซื้อสิ่งของที่คิดราคารวมทั้งค่าติดตั้งหรือทดลองด้วย
ถ้าติดตั้งหรือทดลองเกินกว่ากำหนดตามสัญญาเป็นจำนวนวันเท่าใดให้ปรับเป็นรายวันในอัตราที่กำหนดของราคาทั้งหมด
เมื่อครบกำหนดส่งมอบพัสดุหรืองานจ้างตามสัญญาหรือข้อตกลงให้
ททท. รีบแจ้งการเรียกค่าปรับตามสัญญาหรือข้อตกลงจากคู่สัญญา
และเมื่อคู่สัญญาได้ส่งมอบพัสดุหรืองานจ้างให้
ททท.บอกสงวนสิทธิการเรียกค่าปรับในขณะที่รับมอบพัสดุนั้นด้วย
ข้อ ๗๒
การทำสัญญารายใดถ้าจำเป็นต้องมีข้อความหรือรายการแตกต่างไปจากตัวอย่างสัญญาท้ายข้อบังคับนี้
โดยมีสาระสำคัญตามที่กำหนดไว้ในตัวอย่างสัญญาและไม่ทำให้ ททท.
เสียเปรียบก็ให้กระทำได้
เว้นแต่ผู้ว่าการเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ
ก็ให้ส่งร่างสัญญานั้นไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน
ในกรณีที่ไม่อาจทำสัญญาตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้ได้
และจำเป็นต้องร่างสัญญาขึ้นใหม่
ต้องส่งร่างสัญญานั้นให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน เว้นแต่การทำสัญญาตามแบบที่เคยผ่านการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดมาแล้ว
ในกรณีจำเป็นต้องทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นภาษาต่างประเทศ
ให้ทำเป็นภาษาอังกฤษแต่ต้องการมีคำแปลเป็นภาษาไทยไว้ด้วย
การทำสัญญาหรือข้อตกลงของสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
จะทำเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สำนักงานสาขานั้นตั้งอยู่ก็ได้
ข้อ ๗๓
สัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือที่ได้ลงนามแล้ว จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้
เว้นแต่การแก้ไขนั้นจะเป็นความจำเป็นโดยไม่ทำให้ ททท.
ต้องเสียประโยชน์หรือเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์แก่ ททท.
ให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลงตามวรรคหนึ่ง
หากมีความจำเป็นต้องเพิ่มหรือลดวงเงิน หรือเพิ่มหรือลดระยะเวลาส่งมอบของ
หรือระยะเวลาในการทำงาน ให้ตกลงพร้อมกันไป
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลงที่ได้ลงนามแล้วตามวรรคหนึ่ง
ในกรณีที่ต้องเพิ่มวงเงินหากวงเงินที่เพิ่มขึ้นรวมกับวงเงินค่าพัสดุหรืองานจ้างในสัญญาหรือข้อตกลงเดิม
เป็นวงเงินสั่งซื้อหรือสั่งจ้างซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งตามที่กำหนดไว้ในข้อ
๔๙ และข้อ ๕๐
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่ทั้งนี้จะต้องขอทำความตกลงกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามระเบียบปฏิบัติด้วย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
สำหรับการซื้อหรือจ้างที่เกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรงของสิ่งก่อสร้างหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่าง
จะต้องได้รับการรับรองจากวิศวกร สถาปนิกและวิศวกรผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรับผิดชอบหรือสามารถรับรองแบบและรายการของงานก่อสร้างหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่าง
แล้วแต่กรณี ด้วย
ข้อ ๗๔
ให้ผู้ว่าการพิจารณาใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง ในกรณีที่มีเหตุอันเชื่อได้ว่าผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
การตกลงกับคู่สัญญาที่จะบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง
ให้ผู้ว่าการพิจารณาได้เฉพาะกรณีที่เป็นประโยชน์แก่ ททท. โดยตรง
หรือเพื่อแก้ไขข้อเสียเปรียบของ ททท. ในการที่จะปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้นต่อไป
ข้อ ๗๕
ในกรณีที่คู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงได้และจะต้องมีการปรับตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้น
หากจำนวนเงินค่าปรับจะเกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างให้ ททท.
พิจารณาดำเนินการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง เว้นแต่คู่สัญญาจะได้ยินยอมเสียค่าปรับให้แก่
ททท. โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ให้ผู้ว่าการพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จำเป็น
ข้อ ๗๖
การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลงให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาได้ตามจำนวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริงเฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เหตุเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของ ททท.
(๒) เหตุสุดวิสัย
(๓) เหตุเกิดจากพฤติการณ์อันหนึ่งอันใดที่คู่สัญญาไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย[๓๒]
ให้ ททท. ระบุไว้ในสัญญากำหนดให้คู่สัญญาต้องแจ้งเหตุดังกล่าวให้
ททท. ทราบภายใน ๑๕ วัน นับแต่เหตุนั้นได้สิ้นสุดลง
หากมิได้แจ้งภายในเวลาที่กำหนดคู่สัญญาจะยกมากล่าวอ้างเพื่อขอลดหรืองดค่าปรับหรือขอขยายเวลาในภายหลังมิได้
เว้นแต่กรณีตาม (๑) ซึ่งมีหลักฐานชัดแจ้งหรือ ททท. ทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
ข้อ ๗๗
ให้ผู้ว่าการส่งสำเนาสัญญาซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินภายใน
๓๐ วัน นับแต่วันทำสัญญา
การลงโทษผู้ทิ้งงาน
ข้อ ๗๘
ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกแล้วไม่ยอมมาทำสัญญาหรือข้อตกลงภายในเวลาที่ ททท.
กำหนด หรือผู้ขายหรือผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ให้ผู้ว่าการเสนอ คณะกรรมการ ททท. เพื่อพิจารณา เมื่อคณะกรรมการ ททท.
พิจารณาชี้ขาดว่าผู้ใดไม่ปฏิบัติตามข้อผูกพันของ ททท. แล้ว
ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ทิ้งงานขายหรืองานจ้าง แล้วแต่กรณี
ให้ผู้ว่าการส่งชื่อผู้ทิ้งงานไปให้สำนักนายกรัฐมนตรี
และหน่วยงานต่าง ๆ ของ ททท. ทราบโดยเร็ว
ห้ามซื้อหรือจ้างผู้ทิ้งงานของ ททท.
หรือผู้ทิ้งงานของทางราชการ เว้นแต่ผู้รักษาการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ
จะสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำโดยไม่สุจริตหรือมีการสมยอมกันในการเข้าเสนอราคากับ
ททท. ให้พิจารณาลงโทษผู้เสนอราคาที่มีการกระทำดังกล่าวเสมือนเป็นผู้ทิ้งงานและดำเนินการตามขั้นตอนในวรรคหนึ่งและวรรคสองโดยอนุโลม
ส่วนที่ ๒
การจัดทำเอง
ข้อ ๗๙
ในการจัดทำเอง ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งผู้ควบคุมรับผิดชอบในการจัดทำเองนั้น
และแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจการปฏิบัติงาน โดยมีคุณสมบัติและหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ส่วนที่ ๓
การแลกเปลี่ยน
ข้อ ๘๐
การแลกเปลี่ยนพัสดุจะกระทำมิได้ เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความจำเป็นก็ให้กระทำได้
ข้อ ๘๑ ในกรณีต้องมีการแลกเปลี่ยนพัสดุ
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุรายงานผู้ว่าการเพื่อพิจารณาสั่งการ
โดยให้รายงานตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องแลกเปลี่ยน
(๒) รายละเอียดของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยน
(๓)
ราคาที่ซื้อหรือได้มาของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยนและราคาที่จะแลกเปลี่ยนได้โดยประมาณ
(๔) พัสดุที่จะรับแลกเปลี่ยน
และให้ระบุว่าจะแลกเปลี่ยนกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน
(๕) ข้อเสนออื่น ๆ
ในกรณีที่จะแลกเปลี่ยนกับเอกชน
ให้ระบุวิธีที่จะแลกเปลี่ยนพร้อมทั้งเหตุผล โดยเสนอให้นำวิธีการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่พัสดุที่จะแลกเปลี่ยนนั้นมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
จะเสนอให้ใช้วิธีตกลงราคาก็ได้
ข้อ ๘๒
การแลกเปลี่ยนพัสดุกับเอกชน ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง
หรือหลายคณะตามความจำเป็น โดยถือปฏิบัติตามข้อ ๒๔ ข้อ ๒๕ หรือข้อ ๒๖ แล้วแต่กรณี โดยอนุโลม
ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจสอบและประเมินราคาพัสดุที่ต้องการแลกเปลี่ยนตามสภาพปัจจุบันของพัสดุนั้น
(๒)
ตรวจสอบรายละเอียดพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนว่าเป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยใช้งานมาก่อน
เว้นแต่พัสดุเก่าที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนนั้นจะเป็นความจำเป็นโดยไม่ทำให้ ททท.
ต้องเสียประโยชน์หรือเพื่อประโยชน์แก่ ททท.
(๓) เปรียบเทียบราคาพัสดุที่จะแลกเปลี่ยนกัน
โดยพิจารณาจากราคาที่ประเมินตาม (๑)
และราคาพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนซึ่งถือตามราคาในท้องตลาดโดยทั่วไป
(๔) ต่อรองกับผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรแลกเปลี่ยน
(๕) เสนอความเห็นต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
(๖) ตรวจรับพัสดุโดยปฏิบัติตามข้อ ๔๖ โดยอนุโลม
ข้อ ๘๓
การแลกเปลี่ยนพัสดุกับส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการกับหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานนั้น
ๆ ที่จะตกลงกัน
ส่วนที่ ๔
การเช่า
ข้อ ๘๔
การเช่า หมายถึง การเช่าสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์รวมทั้งบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่า
เพื่อประโยชน์ในกิจการของ ททท. โดยให้นำข้อกำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
ข้อ ๘๕
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ ให้ดำเนินการโดยวิธีตกลงราคาและให้กระทำได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เช่าที่ดินหรือสถานที่เพื่อประโยชน์ในกิจการของ ททท.
(๒) เช่าสถานที่เพื่อใช้เป็นที่พัก
(๓) การเช่าอื่น ๆ ที่คณะกรรมการ ททท. ให้ความเห็นชอบ
ข้อ ๘๖
การรายงานขอเช่า ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องเช่า และระยะเวลาที่ขอเช่า
(๒) ราคาค่าเช่าโดยประมาณหรือราคาค่าเช่าที่ผู้ให้เช่าเสนอ
(๓) รายละเอียดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะเช่า เช่น
สภาพของสถานที่บริเวณที่ต้องการใช้พร้อมทั้งภาพถ่าย และราคาค่าเช่าครั้งหลังสุด
เป็นต้น
(๔) อัตราค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งมีขนาดและสภาพใกล้เคียงกับที่จะเช่า การเช่าอสังหาริมทรัพย์ในส่วนภูมิภาค
ให้ขอความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของสถานที่และอัตราค่าเช่าจากอำเภอหรือจังหวัดนั้น
ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
ข้อ ๘๗
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าในการเช่าอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์
ให้กระทำได้เฉพาะกรณีการเช่าซึ่งมีระยะเวลาไม่เกิน ๓ ปี ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การเช่าจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของค่าเช่าทั้งสัญญา
(๒) การเช่าจากเอกชนจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๒๐
ของค่าเช่าทั้งสัญญา
การจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้านอกเหนือจากหลักเกณฑ์ข้างต้นต้องได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ
ททท. ก่อน
ข้อ ๘๘
อสังหาริมทรัพย์ในประเทศซึ่งมีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาไม่เกินเดือนละ
๔๐๐,๐๐๐ บาท หรืออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศซึ่งมีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาไม่เกินเดือนละ
๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ผู้ว่าการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ ถ้าเกินต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
ททท. ก่อน
ข้อ ๘๙
การเช่าให้ทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันและให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะดำเนินการในเรื่องเงื่อนไขของสัญญาหรือข้อตกลงได้เอง
เว้นแต่กรณีการเช่าที่ ททท. ต้องเสียเงินอื่นใดนอกจากค่าเช่า
หรือในกรณีที่ผู้ว่าการเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ ให้ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน
และในกรณีที่จะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการตามกฎหมายด้วย
หมวด ๓
การควบคุมและการจำหน่ายพัสดุ
ส่วนที่ ๑
การให้ยืม
ข้อ ๙๐
การให้ยืมหรือนำพัสดุไปใช้ในกิจการซึ่งมิใช่เพื่อประโยชน์ของ ททท. จะกระทำมิได้
ข้อ ๙๑
การให้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป ต้องให้ผู้ยืมทำหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร
แสดงเหตุผล และกำหนดวันส่งคืน โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การให้หน่วยงานอื่นยืม
ผู้ยืมต้องเป็นหัวหน้าของหน่วยงานนั้น ๆ
(๒) การให้บุคคลยืมใช้ภายในสถานที่ทำการของ ททท. จะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบพัสดุนั้น
แต่ถ้ายืมไปใช้นอกสถานที่ทำการของ ททท. จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการ
ข้อ ๙๒
ผู้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูปจะต้องนำพัสดุนั้นมาส่งคืนให้ในสภาพที่ใช้การได้เรียบร้อย
หากเกิดการชำรุดเสียหาย หรือใช้การไม่ได้ หรือสูญหายไปให้ผู้ยืมจัดการแก้ไขซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง
หรือชดใช้เป็นพัสดุประเภท ชนิด ขนาด ลักษณะ
และคุณภาพอย่างเดียวกันหรือชดใช้เป็นเงินตามราคาที่เป็นอยู่ในขณะยืม
ข้อ ๙๓
การยืมพัสดุประเภทใช้สิ้นเปลืองให้กระทำได้เฉพาะเมื่อส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจผู้ยืมมีความจำเป็นต้องใช้พัสดุนั้นเป็นการรีบด่วน
จะดำเนินการจัดหาได้ไม่ทันการ และ ททท. มีพัสดุนั้น ๆ
พอที่จะให้ยืมได้โดยไม่เป็นการเสียหายแก่ ททท. และให้มีหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร
ทั้งนี้
โดยปกติส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจผู้ยืมจะต้องจัดหาพัสดุเป็นประเภท ชนิด
และปริมาณเช่นเดียวกันส่งคืนให้แก่ ททท.
ข้อ ๙๔
เมื่อครบกำหนดยืม ผู้ให้ยืมหรือผู้รับหน้าที่แทนมีหน้าที่ติดตามทวงพัสดุที่ให้ยืมไปคืนภายใน
๗ วันนับแต่วันครบกำหนด
ส่วนที่ ๒
การควบคุม
ข้อ ๙๕
พัสดุของ ททท. ไม่ว่าจะได้มาด้วยประการใด ให้อยู่ในความควบคุมตามข้อบังคับนี้
ข้อ ๙๖
เมื่อเจ้าหน้าที่พัสดุได้รับมอบพัสดุแล้ว ให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ลงบัญชีหรือทะเบียนเพื่อควบคุมพัสดุ
แยกเป็นชนิดและแสดงรายการโดยให้มีหลักฐานการรับเข้าบัญชีหรือทะเบียนไว้ประกอบรายการด้วย
สำหรับพัสดุประเภทอาหารสด จะลงรายการอาหารสดทุกชนิดในบัญชีเดียวกันก็ได้
(๒) เก็บรักษาพัสดุให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ปลอดภัย
และให้ครบถ้วนถูกต้องตรงตามบัญชีหรือทะเบียน
ข้อ ๙๗
การเบิกพัสดุ ให้พนักงานผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขึ้นไปที่ต้องใช้พัสดุนั้นเป็นผู้เบิก
และให้หัวหน้างานพัสดุหรือหัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบพัสดุเป็นผู้สั่งจ่าย
ข้อ ๙๘
ผู้จ่ายพัสดุต้องตรวจสอบความถูกต้องของใบเบิกและเอกสารประกอบ แล้วลงบัญชีหรือทะเบียนทุกครั้งที่มีการจ่าย
และเก็บใบเบิกจ่ายไว้เป็นหลักฐานด้วย
ข้อ ๙๙
ก่อนสิ้นเดือนกันยายนทุกปี ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งพนักงานซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่พัสดุคนหนึ่งหรือหลายคนตามความจำเป็น
เพื่อตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุงวดตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ปีก่อน จนถึงวันที่ ๓๐
กันยายน ปีปัจจุบัน และตรวจนับพัสดุคงเหลืออยู่เพียงวันสิ้นงวดนั้น
การตรวจสอบตามวรรคหนึ่ง ให้เริ่มดำเนินการในวันเปิดทำการวันแรกของเดือนตุลาคม
เป็นต้นไป ว่าการรับจ่ายถูกต้องหรือไม่
พัสดุคงเหลือมีตัวอยู่ตรงตามบัญชีหรือทะเบียนหรือไม่ มีพัสดุใดชำรุด เสื่อมคุณภาพ
หรือสูญไป เพราะเหตุใด หรือพัสดุใดไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป
แล้วให้เสนอรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อผู้ว่าการภายใน ๓๐ วันทำการนับแต่วันเริ่มดำเนินการตรวจสอบพัสดุนั้น
ข้อ ๑๐๐
สำหรับสำนักงานสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานสาขาจัดให้มีการตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุของสำนักงานนั้น
โดยให้นำข้อ ๙๙ มาใช้โดยอนุโลม
ข้อ ๑๐๑
เมื่อผู้ว่าการได้รับรายงานตามข้อ ๙๙ และข้อ ๑๐๐ แล้ว และปรากฏว่ามีพัสดุชำรุด
เสื่อมสภาพ หรือสูญไป หรือไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง
โดยให้นำข้อ ๒๔ และข้อ ๒๕ มาใช้โดยอนุโลม สำหรับสำนักงานสาขาในประเทศให้ถือปฏิบัติตามข้อ
๒๖ โดยอนุโลม เว้นแต่กรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการเสื่อมสภาพเนื่องจากการใช้งานตามปกติหรือสูญไปโดยธรรมชาติ
ให้ผู้ว่าการพิจารณาสั่งการให้ดำเนินการจำหน่ายต่อไปได้[๓๓]
ถ้าผลการพิจารณาปรากฏว่าจะต้องหาตัวผู้รับผิดด้วย
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง ในกรณีที่เห็นสมควรผู้ว่าการจะสั่งให้คณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงทำหน้าที่สอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งด้วยก็ได้
ให้คณะกรรมการเสนอผลการพิจารณาต่อผู้ว่าการภายใน ๖๐
วันนับแต่วันที่ประธานกรรมการทราบคำสั่งแต่งตั้งกรรมการ
แต่ถ้ายังพิจารณาไม่แล้วเสร็จจะขออนุญาตขยายเวลาดำเนินการต่อไปอีกคราวละไม่เกิน ๓๐
วันก็ได้
ข้อ ๑๐๒
เรื่องใดที่ปรากฏตัวผู้ต้องรับผิดโดยชัดแจ้งหรือที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งอยู่ก่อนที่จะมีการตรวจสอบพัสดุไม่ต้องดำเนินการตามข้อ
๑๐๑ เฉพาะเรื่องนั้น
ข้อ ๑๐๓
เมื่อปรากฏตัวผู้ต้องรับผิดให้ผู้ว่าการสั่งการภายใน ๔๕ วันนับแต่วันรู้ตัวผู้ต้องรับผิดโดย
ชัดแจ้ง หรือวันได้รับรายงานของคณะกรรมการสอบสวน แล้วแต่กรณี ตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่สามารถแก้ไขให้คงสภาพเดิมได้
ให้แก้ไขโดยเสียค่าใช้จ่ายของผู้ต้องรับผิดเองภายในกำหนดเวลาอันสมควร
(๒) ในกรณีสูญไปหรือไม่สามารถแก้ไขให้คงสภาพเดิมได้
ให้ชดใช้เป็นพัสดุประเภทชนิด ลักษณะ
และขนาดอย่างเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันโดยมีสภาพไม่ด้อยไปกว่าพัสดุที่ได้ทำชำรุดเสื่อมสภาพ
หรือสูญไปนั้น หรือชดใช้เป็นเงินตามที่ผู้ว่าการกำหนดโดยให้ผู้ต้องรับผิดส่งใช้คืนทั้งหมดภายใน
๓๐ วันนับแต่วันได้รับแจ้ง
ในกรณีชดใช้เป็นเงิน
ถ้าผู้ต้องรับผิดไม่สามารถส่งใช้คืนภายใน ๓๐ วัน จะผ่อนผันให้ใช้เป็นรายเดือนก็ได้
แต่จะต้องชดใช้ให้เสร็จสิ้นภายใน ๑ ปี หรือภายในระยะเวลาที่ผู้ว่าการเห็นสมควร แล้วแต่กรณี
การผ่อนผันดังกล่าวให้ทำสัญญารับสภาพหนี้เป็นหนังสือพร้อมหลักประกันที่เหมาะสมไว้เป็นหลักฐาน
(๓) ถ้าผู้ต้องรับผิดคนใดปฏิเสธไม่ยินยอมปฏิบัติตาม (๑)
หรือ (๒) หรือไม่ยอมทำสัญญารับสภาพหนี้ ให้ดำเนินคดีต่อไป
ส่วนที่ ๓
การจำหน่าย
ข้อ ๑๐๔ หลังจากการตรวจสอบแล้ว
พัสดุใดหมดความจำเป็นหรือหากใช้งานต่อไปจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอรายงานต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการตามวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(๑) ขาย ให้ดำเนินการขายทอดตลาดก่อน
แต่ถ้าขายโดยวิธีนี้แล้วไม่ได้ผลดีให้นำวิธีที่กำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่การขายพัสดุครั้งหนึ่งที่มีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
จะขายโดยวิธีตกลงราคาก็ได้ การขายให้แก่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
หรือองค์การสถานสาธารณกุศลตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร ให้ขายโดยวิธีตกลงราคา
(๒)
แลกเปลี่ยนให้ดำเนินการตามวิธีการแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
(๓) โอน ให้โอนแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การสถานสาธารณกุศล
ตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร ที่แจ้งความประสงค์ขอมา โดยได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ
ททท. เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการโอนพัสดุซึ่งหมดความจำเป็นที่จะต้องใช้หรือไม่สามารถใช้งานได้
ให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะเป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้ ให้มีหลักฐานการส่งมอบไว้ต่อกัน
(๔) แปรสภาพหรือทำลาย ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้ว่าการ
การจำหน่ายเป็นสูญ
ข้อ ๑๐๕
ในกรณีที่พัสดุสูญไปโดยไม่ปรากฏตัวผู้รับผิด หรือมีตัวผู้รับผิดแต่ไม่สามารถชดใช้ตามข้อ
๑๐๓ หรือมีตัวพัสดุอยู่แต่ไม่สามารถดำเนินการตามข้อ ๑๐๔ ได้ ให้จำหน่ายพัสดุนั้นเป็นสูญ
ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ถ้าพัสดุนั้นมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐
บาท ให้ผู้ว่าการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ
(๒) ถ้าพัสดุนั้นมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันเกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ให้อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ททท. เป็นผู้พิจารณาอนุมัติตามที่เห็นสมควร
การลงจ่ายออกจากบัญชีหรือทะเบียน
ข้อ ๑๐๖
เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ ๑๐๔ หรือข้อ ๑๐๕ แล้ว ให้เจ้าหน้าที่พัสดุลงจ่ายพัสดุนั้นออกจากบัญชีหรือทะเบียนทันที
สำหรับพัสดุซึ่งต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย
ให้แจ้งนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย
ข้อ ๑๐๗
ในกรณีที่พัสดุชำรุด เสื่อมคุณภาพ สูญไป หรือไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป
ก่อนมีการตรวจสอบตามข้อ ๙๙ และข้อ ๑๐๐
เมื่อผู้ว่าการได้อนุมัติให้จำหน่ายพัสดุนั้นแล้ว ให้ดำเนินการตามข้อ ๑๐๖
โดยอนุโลม
หมวด ๔
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๑๐๘
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการต่อไปตามข้อบังคับ ระเบียบ และคำสั่งเดิม จนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ
ประกาศ ณ วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘
สาวิตต์ โพธิวิหค
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบสัญญาจ้าง
๒.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันซอง)
๓.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันสัญญา)
๔.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินค่าจ้างล่วงหน้า)
๕.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินประกันผลงาน)
๖.
แบบสัญญาซื้อขาย
๗.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันซอง)
๘.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันสัญญา)
๙.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินค่าพัสดุล่วงหน้า)
๑๐.
แบบสัญญาซื้อขายคอมพิวเตอร์
๑๑.
แบบสัญญาเช่าคอมพิวเตอร์
๑๒.
แบบสัญญาจ้างบริการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขคอมพิวเตอร์
๑๓.
แบบสัญญาจ้างผู้เชี่ยวชาญรายบุคคลหรือจ้างบริษัทที่ปรึกษา
๑๔.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินค่าจ้างที่ปรึกษาล่วงหน้า)
๑๕.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินประกันผลงาน)
๑๖.
แบบสัญญาจ้างที่ปรึกษาออกแบบและควบคุมงาน
๑๗.
แบบสัญญาแลกเปลี่ยน
๑๘.
ตัวอย่างบัญชีวัสดุ
๑๙.
ตัวอย่างทะเบียนครุภัณฑ์
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐[๓๔]
ข้อ ๒๖
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปตามข้อบังคับที่ใช้อยู่เดิมจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จหรือจนกว่าจะดำเนินการตามข้อบังคับนี้ได้
มณฑิตา/ผู้จัดทำ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๑๘
มิถุนายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๒/ตอนพิเศษ ๔๐ ง/หน้า ๑/๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๘
[๒] ข้อ ๑๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓] ข้อ ๑๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๔] ข้อ ๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๕] ข้อ ๑๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๖] ข้อ ๑๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๗] ข้อ ๒๐ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๘] ข้อ ๓๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๙] ข้อ ๔๒ ทวิ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๐] ข้อ ๔๒ ตรี เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๑] ข้อ ๔๒ จัตวา เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๒] ข้อ ๔๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๓] ข้อ ๔๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๔] ข้อ ๔๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๕] ข้อ ๔๘ (๓) แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๖] ข้อ ๔๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๗] ข้อ ๕๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๘] ข้อ ๕๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๙] ข้อ ๕๒ ทวิ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๐] ข้อ ๕๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๑] ข้อ ๕๓ ทวิ เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๒] ข้อ ๕๓ ตรี เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๓] ข้อ ๕๓ จัตวา เพิ่มโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๔] ข้อ ๕๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๕] ข้อ ๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๖] ข้อ ๖๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๗] ข้อ ๖๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๘] ข้อ ๖๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๒๙] ข้อ ๖๘ (๓) แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๐] ข้อ ๗๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๑] ข้อ ๗๑ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๒] ข้อ ๗๖ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๓] ข้อ ๑๐๑ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๓๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๔/ตอนพิเศษ ๓๔ ง/หน้า ๑/๑๙ พฤษภาคม ๒๕๔๐ |
302145 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2540 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
โดยที่เห็นเป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงออกข้อบังคับไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
ข้อ ๒[๑]
ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ ข้อ ๑๔ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๒
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา ได้แก่การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาไม่เกิน
๑๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๓
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา ได้แก่การซื้อหรือจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน
๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๔
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา ได้แก่การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน
๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๔
ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๖ และข้อ ๑๗ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๖
การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่การซื้อครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นพัสดุที่จะขายทอดตลาดโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การระหว่างประเทศ
หรือหน่วยงานของต่างประเทศ
(๒) เป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๓) เป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ
และหมายความรวมถึงอะไหล่รถประจำตำแหน่ง หรือยารักษาโรค
(๔) เป็นพัสดุที่มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่จำเป็น
หรือเร่งด่วน หรือเพื่อประโยชน์ของ ททท. และจำเป็นต้องซื้อเพิ่ม
(๕) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศหรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ
(๖) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรง
(๗) เป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
(๘)
เป็นพัสดุที่เป็นที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง
ข้อ ๑๗
การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่การจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นงานที่ต้องการช่างผู้มีฝีมือโดยเฉพาะหรือผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษ
(๒) เป็นงานจ้างซ่อมพัสดุที่จำเป็นต้องถอดตรวจให้ทราบความชำรุดเสียหายเสียก่อนจึงจะประมาณค่าซ่อมได้
(๓) เป็นงานที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๔) เป็นงานที่จำเป็นต้องการจ้างเพิ่มในสถานการณ์ที่จำเป็น หรือเร่งด่วน
หรือเพื่อประโยชน์แก่ ททท. และจำเป็นต้องจ้างเพิ่ม
(๕) เป็นงานจ้างเหมาเกี่ยวกับการให้บริการนำเที่ยว
(๖) เป็นงานจ้างโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์
(๗) เป็นงานที่ได้ดำเนินการจ้างโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ข้อ ๕
ให้ยกเลิกความในวรรคสองของข้อ ๒๐ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคาในวงเงินไม่เกิน ๑๐,๐๐๐
บาท และการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษกรณีเร่งด่วนตามข้อ ๑๖ (๒) หรือข้อ ๑๗ (๓)
ซึ่งไม่อาจทำรายงานตามปกติได้ เจ้าหน้าที่พัสดุ
หรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้นจะทำรายงานตามวรรคหนึ่งเฉพาะรายการที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้
ข้อ ๖
ให้ยกเลิกความในข้อ ๓๘ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๓๘
คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคามีหน้าที่ดังนี้
(๑) รับซองประกวดราคา ลงทะเบียนรับซองไว้เป็นหลักฐาน ลงชื่อกำกับซองและบันทึกไว้ที่หน้าซองว่าเป็นของผู้ใด
(๒) ตรวจสอบหลักประกันซองร่วมกับเจ้าหน้าที่การเงินและให้เจ้าหน้าที่การเงินออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซองไว้เป็นหลักฐาน
หากไม่ถูกต้องให้หมายเหตุในใบรับและบันทึกในรายงานด้วย
กรณีหลักประกันซองเป็นหนังสือค้ำประกันให้ส่งสำเนาหนังสือค้ำประกันให้ธนาคาร
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัทเงินทุน
หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผู้ออกหนังสือค้ำประกันทราบโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับด้วย
(๓) รับเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ตามบัญชีรายการเอกสารของผู้เสนอราคาพร้อมทั้งพัสดุตัวอย่าง
แคตตาล็อค หรือแบบรูปและรายการละเอียด (ถ้ามี) หากไม่ถูกต้องให้บันทึกในรายงานไว้ด้วย
(๔) เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองประกวดราคาแล้วห้ามรับซองประกวดราคา
หรือเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาอีก
(๕) เปิดซองใบเสนอราคาและอ่านแจ้งราคาพร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่าง
ๆ ของผู้เสนอราคาทุกรายโดยเปิดเผยตามเวลาและสถานที่ที่กำหนด และให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาและเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
ในกรณีที่มีการยื่นซองข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนออื่น ๆ
แยกจากซองข้อเสนอด้านราคาซึ่งต้องพิจารณาทางเทคนิคและอื่น ๆ ก่อน
ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามข้อ ๔๒ ทวิ และข้อ ๔๒ จัตวา คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
โดยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาที่จะต้องดำเนินการต่อไป
(๖) ส่งมอบใบเสนอราคาทั้งหมดและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ พร้อมด้วยบันทึกรายงานการดำเนินการต่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทันทีในวันเดียวกัน
ข้อ ๗
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔๒ ทวิ ข้อ ๔๒ ตรี และข้อ ๔๒ จัตวา
ข้อ ๔๒ ทวิ
การซื้อหรือการจ้างที่มีลักษณะจำเป็นจะต้องคำนึงถึงเทคโนโลยีของพัสดุ
และหรือข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าเสนอราคา ซึ่งอาจจะมีข้อเสนอที่ไม่อยู่ในฐานเดียวกันเป็นเหตุให้มีปัญหาในการพิจารณาตัดสิน
และเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องให้มีการปรับปรุงข้อเสนอให้ครบถ้วนและเป็นไปตามความต้องการก่อนพิจารณาด้านราคา
ให้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับการประกวดราคาโดยทั่วไปเว้นแต่กำหนดให้ผู้เข้าเสนอราคายื่นซองประกวดราคาโดยแยกเป็น
(๑) ซองข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนออื่น ๆ
(๒) ซองข้อเสนอด้านราคา
ทั้งนี้ ให้กำหนดวิธีการ ขั้นตอน
และหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคาด้วย
ข้อ ๔๒ ตรี
เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๔๒ ทวิ ให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทำหน้าที่เปิดซองเทคนิคของผู้เสนอราคา
แทนคณะกรรมการรับและเปิดซองตามข้อ ๓๘ (๕) และพิจารณาผลการประกวดราคาตามข้อ ๔๒ ทวิ
โดยถือปฏิบัติตามข้อ ๓๙ ในส่วนที่ไม่ขัดกับการดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาข้อเสนอทางเทคนิค และข้อเสนออื่นของผู้เข้าเสนอราคาทุกราย
และคัดเลือกเฉพาะรายที่เสนอได้ตรงหรือใกล้เคียงตามมาตรฐานความต้องการของ ททท.
ในกรณีจำเป็นสามารถเรียกผู้เสนอราคามาชี้แจงในรายละเอียดข้อเสนอเป็นการเพิ่มเติมข้อหนึ่งข้อใดก็ได้
(๒) เปิดซองราคาเฉพาะรายที่ได้ผ่านการพิจารณาคัดเลือกตาม (๑)
แล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่ประเมินราคาต่ำสุด สำหรับรายอื่นที่ไม่ผ่านการพิจารณาให้ส่งคืนซองข้อเสนอด้านราคาโดยไม่เปิดซอง
ข้อ ๔๒ จัตวา
การซื้อหรือการจ้างที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าเสนอราคายื่นข้อเสนอทางการเงินมาด้วย
ให้กำหนดให้ผู้เสนอราคายื่นซองข้อเสนอทางการเงินแยกมาต่างหาก และให้เปิดซองข้อเสนอทางการเงินพร้อมกับการเปิดซองราคาตามข้อ
๔๒ ตรี (๒) เพื่อทำการประเมินเปรียบเทียบต่อไป ทั้งนี้ ให้กำหนดวิธีการ ขั้นตอน
และหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคาด้วย
ข้อ ๘
ให้ยกเลิกความในข้อ ๔๓ และ ๔๔ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๔๓
การซื้อโดยวิธีพิเศษ ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีเป็นพัสดุจะขายทอดตลาด ให้ดำเนินการซื้อโดยวิธีเจรจาตกลงราคา
(๒) ในกรณีเป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน หากล่าช้าอาจเสียหายแก่การปฏิบัติงานให้เชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคาหากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๓) ในกรณีเป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ
(๒)
(๔) ในกรณีที่เป็นพัสดุที่ได้ซื้อไว้แล้ว
แต่มีความจำเป็นต้องใช้เพิ่มในสถานการณ์ที่จำเป็นหรือเร่งด่วน
หรือเพื่อประโยชน์ของ ททท. ให้เจรจากับผู้ขายรายเดิมตามสัญญาหรือข้อตกลงซึ่งยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาการส่งมอบเพื่อขอให้มีการขายพัสดุตามรายละเอียด
และราคาที่ต่ำกว่าหรือราคาเดิม
ภายใต้เงื่อนไขที่ดีกว่าหรือเงื่อนไขเดิมโดยคำนึงถึงราคาต่อหน่วยตามสัญญาเดิม
(ถ้ามี) เพื่อให้บังเกิดผลประโยชน์สูงสุดที่ ททท. จะได้รับ
(๕) ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศให้เสนอผู้ว่าการเพื่อติดต่อสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ
หรือสืบราคาจากต่างประเทศแล้วเปรียบเทียบราคาในประเทศส่วนการซื้อโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศให้ติดต่อกับสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศที่มีอยู่ในประเทศโดยตรง
เว้นแต่กรณีที่ไม่มีสำนักงานในประเทศ ให้ติดต่อกับสำนักงานในต่างประเทศได้
(๖) ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรงให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ
(๒)
(๗)
ในกรณีเป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดีให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคา หรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป
หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรซื้อเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๘)
ในกรณีพัสดุที่เป็นที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่งให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อ
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้ สำหรับการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศ
ในกรณีจำเป็นจะติดต่อผ่านนายหน้าหรือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามกฎหมายหรือประเพณีนิยมของท้องถิ่นก็ได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๔๔
การจ้างโดยวิธีพิเศษ ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) (๕) และ (๖) ให้เชิญผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องถิ่น
หรือราคาที่ประมาณได้หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้าง ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๒) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๔)
ให้เจรจากับผู้รับจ้างรายเดิมตามสัญญาหรือข้อตกลงซึ่งยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาการส่งมอบเพื่อขอให้มีการจ้างตามรายละเอียด
และราคาที่ต่ำกว่าหรือราคาเดิม โดยคำนึงถึงราคาต่อหน่วยตามสัญญาเดิม (ถ้ามี)
เพื่อให้บังเกิดผลประโยชน์สูงสุดที่ ททท. จะได้รับ
(๓) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๗) ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคาหรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป
หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรจ้างเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องถิ่น หรือราคาที่ประมาณได้
หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้าง ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๙
ให้ยกเลิกความในข้อ ๔๕ ของข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๔๕
การดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ ให้ผู้ว่าการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างจากผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามข้อ ๑๙ ได้โดยตรง
เว้นแต่การซื้อหรือการจ้างที่มีราคาไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดซื้อหรือจ้างได้ภายในวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าการตามข้อ
๒๒
ข้อ ๑๐
ให้ยกเลิกความใน (๓) ของข้อ ๔๘ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๓) จดบันทึกสภาพการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง และเหตุการณ์แวดล้อมเป็นรายวันพร้อมทั้งผลการปฏิบัติงาน
หรือการหยุดงานและสาเหตุที่มีการหยุดงาน อย่างน้อย ๒ ฉบับ
เพื่อรายงานให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบทุกสัปดาห์ และเก็บรักษาไว้เพื่อมอบให้แก่เจ้าหน้าที่พัสดุเมื่อเสร็จงานแต่ละงวดเพื่อประกอบการตรวจสอบของผู้มีหน้าที่
การบันทึกการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างให้ระบุรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติงานและวัสดุที่ใช้ด้วย
ข้อ ๑๑
ให้ยกเลิกความในข้อ ๔๙ และข้อ ๕๐ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๔๙
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างครั้งหนึ่งนอกจากวิธีพิเศษ และวิธีกรณีพิเศษ
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๕๐
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีพิเศษครั้งหนึ่ง ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่ง
และภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐
บาท แต่ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๒
ให้ยกเลิกความในข้อ ๕๒ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๕๒
การจ้างที่ปรึกษากระทำได้ ๒ วิธี คือ
(๑) วิธีตกลง
(๒) วิธีคัดเลือก
ข้อ ๑๓
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๕๒ ทวิ
ข้อ ๕๒ ทวิ ก่อนดำเนินการจ้างที่ปรึกษา
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษา
(๒) ขอบเขตโดยละเอียดของงานที่จะจ้างที่ปรึกษา
(๓) คุณสมบัติของที่ปรึกษาที่จะจ้าง
(๔) วงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาโดยประมาณ
(๕) กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงาน
(๖) วิธีจ้างที่ปรึกษาและเหตุผลที่ต้องจ้างโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ ถ้ามี
เมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบตามรายงานที่เสนอแล้วให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการจ้างตามวิธีจ้างนั้นต่อไปได้
ข้อ ๑๔
ให้ยกเลิกความในข้อ ๕๓ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๕๓
ในการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาแต่ละครั้ง ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้
แล้วแต่กรณีคือ
(๑) คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
(๒) คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
การแต่งตั้งคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ
๑ คน และกรรมการอย่างน้อย ๔ คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานระดับ ๕ หรือเทียบเท่าขึ้นไปอย่างน้อย
๒ คน ในกรณีจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์แก่ ททท. ให้แต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิในงานที่จะจ้างที่ปรึกษาเป็นกรรมการด้วย
ข้อ ๑๕
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๕๓ ทวิ ข้อ ๕๓ ตรี และข้อ ๕๓ จัตวา
ข้อ ๕๓ ทวิ การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
ได้แก่การจ้างที่ปรึกษาที่ผู้ว่าจ้างตกลงจ้างรายใดรายหนึ่งซึ่งเคยทราบหรือเคยเห็นความสามารถ
และผลงานแล้ว และเป็นผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้
ข้อ ๕๓ ตรี การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นการจ้างเพื่อทำงานต่อเนื่องจากงานที่ได้ทำอยู่แล้ว
(๒) เป็นการจ้างในกรณีที่ทราบแน่ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญในงานที่จะให้บริการตามที่ต้องการมีจำนวนจำกัด
ไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการด้วยวิธีคัดเลือก
(๓) เป็นการจ้างที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่
ททท.
ข้อ ๕๓ จัตวา คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษา
(๒) พิจารณาอัตราค่าจ้างและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ที่เกี่ยวเนื่องกับบริการที่จะจ้างและเจรจาต่อรอง
(๓) พิจารณารายละเอียดที่จะกำหนดในสัญญา
(๔) ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๑๖ ให้ยกเลิกความในข้อ
๕๕ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๕๕
การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก ได้แก่การจ้างที่ปรึกษาโดยการคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานนั้นให้เหลือน้อยรายและเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้รับการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายดังกล่าวยื่นข้อเสนอเข้ารับงานนั้น
ๆ เพื่อพิจารณาคัดเลือกรายที่ดีที่สุด
ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรและผู้ว่าการเห็นชอบให้เชิญที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมยื่นข้อเสนอเข้ารับงาน
โดยไม่ต้องทำการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายก็ได้
การคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลือน้อยราย
ให้คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาพิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลืออย่างมาก ๖
ราย
เมื่อได้ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลือน้อยรายแล้วให้รายงานผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๑๗
ให้ยกเลิกความในข้อ ๕๗ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๕๗
คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือกมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก
(๒) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาทุกรายและจัดลำดับ
(๓) ในกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ ๕๖ (๑) ให้เปิดซองเสนอด้านราคาของที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
สำหรับกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ ๕๖ (๒)
ให้เชิญที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดมายื่นข้อเสนอด้านราคาและเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
หากเจรจาไม่ได้ผล
ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อพิจารณายกเลิกการเจรจากับที่ปรึกษารายนั้นแล้วเปิดซองข้อเสนอด้านราคาของที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดรายถัดไป
หรือเชิญที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดรายถัดไปให้ยื่นข้อเสนอด้านราคา
แล้วแต่กรณี และเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
(๔) เมื่อเจรจาได้ราคาที่เหมาะสมแล้วให้พิจารณาเงื่อนไขต่าง
ๆ ที่จะกำหนดในสัญญา
(๕) ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณา และความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการ
ในกรณีที่ใช้วิธีการยื่นข้อเสนอตามข้อ ๕๖ (๑) หลังจากตัดสินให้ทำสัญญากับที่ปรึกษา
ซึ่งได้รับการคัดเลือกแล้ว ให้ส่งคืนซองข้อเสนอด้านราคาให้แก่ที่ปรึกษารายอื่นที่ได้ยื่นไว้โดยไม่เปิดซอง
ข้อ ๑๘
ให้ยกเลิกความในข้อ ๖๐ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖๐
การสั่งจ้างที่ปรึกษาครั้งหนึ่ง ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๙ ให้ยกเลิกความในข้อ
๖๔ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖๔
หลักประกันซองหรือหลักประกันสัญญาให้ใช้หลักประกันอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
(๑) เงินสด
(๒) เช็คที่ธนาคารเซ็นสั่งจ่าย ซึ่งเป็นเช็คลงวันที่ที่ใช้เช็คนั้นยื่นต่อเจ้าหน้าที่
หรือก่อนวันนั้นไม่เกิน ๓ วันทำการ
(๓) หนังสือค้ำประกันของธนาคารภายในประเทศ
(๔) หนังสือค้ำประกันของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์
และประกอบธุรกิจค้ำประกัน ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยตามรายชื่อบริษัทเงินทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งเวียนให้ทราบ
โดยอนุโลมให้ใช้ตามตัวอย่างหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่ ททท. กำหนด
(๕) พันธบัตรรัฐบาลไทย
ข้อ ๒๐
ให้ยกเลิกความในข้อ ๖๖ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖๖ ให้
ททท. คืนหลักประกันให้แก่ผู้เสนอราคา คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) หลักประกันซอง ให้คืนแก่ผู้เสนอราคา หรือผู้ค้ำประกันภายใน
๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้พิจารณาในเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
เว้นแต่ผู้เสนอราคารายที่คัดเลือกไว้ซึ่งเสนอราคาต่ำสุดไม่เกิน ๓ ราย
ให้คืนต่อเมื่อได้ทำสัญญาหรือข้อตกลง หรือผู้เสนอราคาได้พ้นจากข้อผูกพันแล้ว
(๒) หลักประกันสัญญา ให้คืนให้แก่คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันโดยเร็ว
และอย่างช้าต้องไม่เกิน ๑๕ วัน นับแต่วันที่คู่สัญญาพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญาแล้ว
การซื้อหรือการจ้างที่ไม่ต้องมีหลักประกันเพื่อความชำรุดบกพร่องให้คืนหลักประกันให้แก่คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันตามอัตราส่วนของพัสดุซึ่ง
ททท. ได้รับมอบไว้แล้ว แต่ทั้งนี้จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือเอกสารประกวดราคา
และในสัญญาด้วย
การคืนหลักประกันที่เป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคาร
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัทเงินทุน
หรือบริษัทเงินหลักทรัพย์ในกรณีที่ผู้เสนอราคาหรือคู่สัญญาไม่มารับภายในกำหนดเวลาข้างต้น
ให้รีบส่งต้นฉบับหนังสือค้ำประกันให้แก่ผู้เสนอราคาหรือคู่สัญญาโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนโดยเร็วพร้อมกับแจ้งให้ธนาคาร
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผู้ค้ำประกันทราบด้วย
ข้อ ๒๑
ให้ยกเลิกความใน (๓) ของข้อ ๖๘ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๓)
การบอกรับวารสารหรือการสั่งจองหนังสือหรือวารสารหรือการจัดซื้อฐานข้อมูลสำเร็จรูป
(CD-ROM) ที่มีลักษณะจะต้องบอกรับเป็นสมาชิกก่อนและมีกำหนดการออกเป็นวาระดังเช่นวารสาร
หรือการบอกรับเป็นสมาชิก INTERNET เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์เรียกค้นหาข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข้อมูลต่าง
ๆ โดยอาศัยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ให้จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง
ข้อ ๒๒
ให้ยกเลิกความในข้อ ๗๐ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗๐
การซื้อหรือการจ้างให้ทำสัญญาตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้เว้นแต่ในกรณี
ดังต่อไปนี้จะทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการ
(๑) การซื้อ การจ้าง หรือการแลกเปลี่ยนโดยวิธีตกลงราคา
(๒) การซื้อหรือการจ้างที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างสามารถส่งมอบพัสดุได้ครบถ้วนภายใน
๕ วันทำการ นับแต่วันถัดจากวันตกลงซื้อขายหรือจ้าง
(๓) การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ และการจัดหาจากส่วนราชการ
(๔) การซื้อโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๑) (๒) (๔) และ (๕)
(๕) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ
(๖)
(๖) การเช่าซึ่ง ททท. ไม่ต้องเสียเงินอื่นใดนอกจากค่าเช่า
สำหรับการซื้อที่ผู้ขายสามารถส่งมอบพัสดุได้ทันที
หรือการซื้อ หรือการจ้างที่มีราคาไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท
จะไม่ทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
ข้อ ๒๓
ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ ๗๑ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗๑
การทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือสำหรับการซื้อให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันในอัตราตายตัวระหว่างร้อยละ
๐.๐๑-๐.๒๐ ของราคาพัสดุที่ยังไม่ได้รับมอบ ส่วนการจ้างให้กำหนดอัตราค่าปรับเป็นรายวันเป็นจำนวนตายตัวในอัตราระหว่างร้อยละ
๐.๐๑-๐.๑๐ ของราคางานจ้างนั้น แต่จะต้องไม่ต่ำกว่าวันละ ๒๐๐ บาท
ข้อ ๒๔
ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ ๗๖ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗๖ การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา
หรือการขยายเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลงให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาได้ตามจำนวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริงเฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เหตุเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของ ททท.
(๒) เหตุสุดวิสัย
(๓) เหตุเกิดจากพฤติการณ์อันหนึ่งอันใดที่คู่สัญญาไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย
ข้อ ๒๕
ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่ง ของข้อ ๑๐๑ แห่งข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๐๑
เมื่อผู้ว่าการได้รับรายงานตามข้อ ๙๙ และข้อ ๑๐๐ แล้ว และปรากฏว่ามีพัสดุชำรุด
เสื่อมสภาพ หรือสูญไป หรือไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง
โดยให้นำข้อ ๒๔ และข้อ ๒๕ มาใช้โดยอนุโลม สำหรับสำนักงานสาขาในประเทศให้ถือปฏิบัติตามข้อ
๒๖ โดยอนุโลม เว้นแต่กรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการเสื่อมสภาพเนื่องจากการใช้งานตามปกติหรือสูญไปโดยธรรมชาติ
ให้ผู้ว่าการพิจารณาสั่งการให้ดำเนินการจำหน่ายต่อไปได้
ข้อ ๒๖
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปตามข้อบังคับที่ใช้อยู่เดิมจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จหรือจนกว่าจะดำเนินการตามข้อบังคับนี้ได้
ประกาศ ณ วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๐
ปิยะณัฐ วัชราภรณ์
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ประธานกรรมการ ททท.
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบสัญญาจ้าง
๒. แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันซอง)
๓. แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันสัญญา)
๔. แบบหนังสือค้ำประกัน
(หลักประกันการรับเงินค่าจ้างล่วงหน้า)
๕. แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินประกันผลงาน)
๖.
แบบสัญญาซื้อขาย
๗. แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันซอง)
๘. แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันสัญญา)
๙. แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินค่าพัสดุล่วงหน้า)
๑๐. แบบสัญญาซื้อขายคอมพิวเตอร์
๑๑. แบบสัญญาเช่าคอมพิวเตอร์
๑๒.
แบบสัญญาจ้างบริการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขคอมพิวเตอร์
๑๓.
แบบสัญญาซื้อขายและอนุญาตให้ใช้สิทธิในโปรแกรมคอมพิวเตอร์
๑๔. แบบสัญญาจ้างผู้เชี่ยวชาญรายบุคคลหรือจ้างบริษัทที่ปรึกษา
๑๕.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินค่าจ้างที่ปรึกษาล่วงหน้า)
๑๖.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินประกันผลงาน)
๑๗. แบบหนังสือจ้างที่ปรึกษาออกแบบและควบคุมงาน
๑๘. แบบสัญญาแลกเปลี่ยน
๑๙. ตัวอย่างบัญชีวัสดุ
๒๐. ตัวอย่างทะเบียนครุภัณฑ์
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
มณฑิตา/ผู้จัดทำ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๔/ตอนพิเศษ ๓๔ ง/หน้า ๑/๑๙ พฤษภาคม ๒๕๔๐ |
302144 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2538 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘
โดยที่เห็นเป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ ๓๔ (พ.ศ. ๒๕๓๑) ว่าด้วยการพัสดุ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงออกข้อบังคับไว้ดังนี้
ข้อ ๑
ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๓๘
ข้อ ๒[๑] ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๓๐
วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๓๔ (พ.ศ. ๒๕๓๑)
ว่าด้วยการพัสดุ
ข้อ ๔
ให้ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นผู้รักษาการตามข้อบังคับนี้
หมวด ๑
ข้อความทั่วไป
ข้อ ๕
ในข้อบังคับนี้
การพัสดุ หมายความว่า การจัดทำเอง การซื้อ การจ้าง
การจ้างที่ปรึกษา การแลกเปลี่ยน การเช่า การควบคุม การจำหน่ายและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
พัสดุ หมายความว่า วัสดุ ครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้างที่กำหนดไว้ในหนังสือการจำแนกประเภทรายจ่ายตามงบประมาณของสำนักงบประมาณหรือการจำแนกประเภทรายจ่ายตามสัญญาเงินกู้จากต่างประเทศ
การซื้อ หมายความว่า
การซื้อพัสดุทุกชนิดทั้งที่มีการติดตั้งทดลอง และบริการที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ
แต่ไม่รวมถึงการจัดหาพัสดุในลักษณะการจ้าง
การจ้าง ให้หมายความรวมถึงการจ้างทำของและการรับขนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และการจ้างเหมาบริการ
แต่ไม่รวมถึงการจ้างลูกจ้างของ ททท. ตามข้อบังคับว่าด้วยลูกจ้าง
การรับขนในการเดินทางไปปฏิบัติงาน การจ้างที่ปรึกษา และการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การจ้างที่ปรึกษา หมายความว่า การจ้างบริการจากที่ปรึกษาซึ่งจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
ที่ปรึกษา หมายความว่า บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจหรือสามารถให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางวิศวกรรม
สถาปัตยกรรม เศรษฐศาสตร์หรือสาขาอื่น รวมทั้งให้บริการด้านศึกษา สำรวจ
ออกแบบและควบคุมงานและการวิจัย
ททท. หมายความว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ ททท. หมายความว่า คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ประธานกรรมการ ททท. หมายความว่า ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ผู้ว่าการ หมายความว่า
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
พนักงาน หมายความว่า พนักงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
เจ้าหน้าที่พัสดุ หมายความว่า
พนักงานซึ่งดำรงตำแหน่งที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการพัสดุ
หรือผู้ได้รับแต่งตั้งหรือได้รับมอบหมายจากผู้ว่าการให้มีหน้าที่หรือปฏิบัติงานเกี่ยวกับการพัสดุตามข้อบังคับนี้
ผู้สั่งซื้อ หมายความว่า ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ซื้อ
ผู้สั่งจ้าง หมายความว่า ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้จ้าง
ข้อ ๖
ข้อบังคับนี้ใช้บังคับสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุซึ่งใช้เงินงบประมาณเงินรายได้ตามกฎหมายว่าด้วย
ททท. และเงินกู้
ข้อ ๗
ผู้ว่าการจะมอบอำนาจตามข้อบังคับนี้โดยทำเป็นหนังสือให้แก่พนักงานผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้
แต่ให้คำนึงถึงตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบอำนาจนั้นเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ภายในวงเงินที่ผู้ว่าการมีอำนาจ
ข้อ ๘
ผู้มีอำนาจหรือหน้าที่ดำเนินการตามข้อบังคับนี้หรือผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้
หรือกระทำการโดยมีเจตนาทุจริต หรือกระทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่รวมทั้งมีพฤติกรรมที่ส่อให้มีการสมยอมกันในการเสนอราคา
ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยภายใต้หลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) ถ้าการกระทำมีเจตนาทุจริตหรือเป็นเหตุให้ ททท.
เสียหายอย่างร้ายแรงให้ดำเนินการ ลงโทษอย่างต่ำให้ออก
(๒) ถ้าการกระทำเป็นเหตุให้ ททท. เสียหายแต่ไม่ร้ายแรง
ให้ลงโทษอย่างต่ำตัดเงินเดือน
(๓) ถ้าการกระทำไม่เป็นเหตุให้ ททท. เสียหาย
ให้ลงโทษภาคทัณฑ์หรือว่ากล่าวตักเตือน โดยทำคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร
การลงโทษตาม (๑) หรือ (๒) ไม่เป็นเหตุให้ผู้กระทำหลุดพ้นจากความรับผิดในทางแพ่งหรือความรับผิดทางอาญา
ข้อ ๙
การใดที่ไม่ได้กำหนดไว้หรือไม่อาจปฏิบัติได้ตามข้อบังคับนี้ ให้เสนอคณะกรรมการ
ททท. พิจารณากำหนดวิธีการซื้อหรือจ้าง หรือยกเว้น หรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้
เป็นกรณี ๆ ไป
หมวด ๒
การจัดหาพัสดุ
ส่วนที่ ๑
การซื้อและการจ้าง
ข้อ ๑๐
การซื้อและการจ้าง ให้ ททท. ส่งเสริมพัสดุที่ผลิตในประเทศไทยหรือส่งเสริมกิจการของคนไทย
แล้วแต่กรณี
วิธีซื้อและวิธีจ้าง
ข้อ ๑๑
การซื้อและการจ้างกระทำได้ ๕ วิธี คือ
(๑) วิธีตกลงราคา
(๒) วิธีสอบราคา
(๓) วิธีประกวดราคา
(๔) วิธีพิเศษ
(๕) วิธีกรณีพิเศษ
ข้อ ๑๒
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา ได้แก่การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาไม่เกิน
๕๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๓
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา ได้แก่การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน
๕๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๔
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา ได้แก่การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน
๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๕
การซื้อหรือการจ้างตามข้อ ๑๒ และข้อ ๑๓ ถ้าผู้สั่งซื้อหรือผู้สั่งจ้างเห็นสมควรจะสั่งให้กระทำโดยวิธีที่กำหนดไว้สำหรับวงเงินที่สูงกว่าก็ได้
การแบ่งซื้อหรือแบ่งจ้างโดยลดวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งเดียวกันเพื่อให้วงเงินต่ำกว่าที่กำหนดโดยวิธีหนึ่งวิธีใดหรือเพื่อให้อำนาจสั่งซื้อหรือสั่งจ้างเปลี่ยนไปจะกระทำมิได้
การซื้อหรือการจ้างซึ่งดำเนินการด้วยเงินกู้
ผู้สั่งซื้อหรือผู้สั่งจ้างจะสั่งให้กระทำตามวงเงินที่สัญญาเงินกู้กำหนดก็ได้
ข้อ ๑๖
การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่การซื้อครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นพัสดุที่จะขายทอดตลาดโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การระหว่างประเทศ
หรือหน่วยงานของต่างประเทศ
(๒) เป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๓)
เป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ
และหมายความรวมถึงอะไหล่ รถประจำตำแหน่งหรือยารักษาโรค
(๔) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ
หรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ
(๕)
เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรง
(๖) เป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
(๗) เป็นพัสดุที่เป็นที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง
ข้อ ๑๗
การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่การจ้างครั้งหนึ่งที่มีราคาเกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นงานที่ต้องการช่างผู้มีฝีมือจริง ๆ
หรือผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษ
(๒) เป็นงานจ้างซ่อมพัสดุที่จำเป็นต้องถอดตรวจให้ทราบความชำรุดเสียหายเสียก่อนจึงจะประมาณค่าซ่อมได้
(๓) เป็นงานที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๔) เป็นงานจ้างเหมาเกี่ยวกับการให้บริการนำเที่ยว
(๕) เป็นงานจ้างโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์
(๖) เป็นงานที่ได้ดำเนินการจ้างโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ข้อ ๑๘
สำหรับสำนักงานสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือในกรณีที่มีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัตินอกสถานที่ตั้งสำนักงานตามปกติ
จะซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษก็ได้
ข้อ ๑๙
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ ได้แก่การซื้อหรือการจ้างในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
การซื้อหรือการจ้างจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นผู้ผลิตพัสดุหรือทำงานจ้างนั้นเอง
(๒) การซื้อหรือการจ้างจากบริษัทที่ ททท.
ลงทุนหรือร่วมทุนด้วย
(๓)
การซื้อหรือการจ้างที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ซื้อหรือจ้างจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
และกรณีนี้ให้รวมถึงหน่วยงานอื่นที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดด้วย
รายงานขอซื้อและขอจ้าง
ข้อ ๒๐
ก่อนดำเนินการซื้อหรือจ้างทุกวิธี นอกจากการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างตามข้อ
๒๑ ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อหรือจ้าง
(๒) รายละเอียดของพัสดุที่จะซื้อหรืองานที่จะจ้าง
(๓) ราคามาตรฐานหรือราคากลางของทางราชการหรือราคาที่เคยซื้อหรือจ้างครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา
๑ ปีงบประมาณ
(๔) วงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง โดยให้ระบุวงเงินงบประมาณ
วงเงินตามโครงการเงินกู้ที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งนั้นทั้งหมด
ถ้าไม่มีวงเงินดังกล่าว ให้ระบุวงเงินที่ประมาณว่าจะซื้อหรือจ้างในครั้งนั้น
(๕)
กำหนดเวลาที่ต้องการใช้พัสดุนั้นหรือให้งานนั้นแล้วเสร็จ
(๖)
วิธีที่จะซื้อหรือจ้างและเหตุผลที่ต้องซื้อหรือจ้างโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ เช่น การขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่จำเป็นในการซื้อหรือจ้าง การออกประกาศสอบราคาหรือประกาศประกวดราคา
ในกรณีเร่งด่วนที่จะต้องการดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ
๑๖ (๒) หรือข้อ ๑๗ (๓) ซึ่งไม่อาจทำรายงานตามปกติได้ เจ้าหน้าที่พัสดุหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้นจะทำรายางานตามวรรคหนึ่งเฉพาะรายการที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้
ข้อ ๒๑
ก่อนดำเนินการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อ
(๒) รายละเอียดของที่ดินหรือส่งก่อสร้างที่ต้องการซื้อ
รวมทั้งเนื้อที่และท้องที่ที่ต้องการ
(๓) ราคาประเมินของทางราชการในท้องที่นั้น
(๔)
ราคาซื้อขายของที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงบริเวณที่จะซื้อครั้งหลังสุดประมาณ
๓ ราย
(๕) วงเงินที่จะซื้อ โดยให้ระบุวงเงินงบประมาณ วงเงินตามโครงการเงินกู้ที่จะซื้อในครั้งนั้นทั้งหมด
ถ้าไม่มีวงเงินดังกล่าว ให้ระบุวงเงินที่ประมาณว่าจะซื้อในครั้งนั้น
(๖) วิธีที่จะซื้อและเหตุผลที่ต้องการซื้อโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ เช่น การขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่จำเป็นในการซื้อ การออกประกาศสอบราคาหรือประกาศประกวดราคา
การซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างให้ติดต่อกับเจ้าของโดยตรง
เว้นแต่การซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศที่จำเป็นต้องติดต่อผ่านนายหน้าหรือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามกฎหมายหรือประเพณีนิยมของท้องถิ่น
ข้อ ๒๒
เมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบตามรายงานที่เสนอตามข้อ ๒๐ หรือข้อ ๒๑ แล้ว
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการตามวิธีการซื้อหรือการจ้างนั้น ๆ ต่อไปได้
กรรมการ
ข้อ ๒๓
ในการดำเนินการซื้อหรือจ้างแต่ละครั้ง ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้
แล้วแต่กรณี คือ
(๑) คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
(๒) คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา
(๓) คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
(๔) คณะกรรมการจัดซื้อหรือจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ
(๕) คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ
(๖) คณะกรรมการตรวจการจ้าง
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษของสำนักงานสาขาจะไม่แต่งตั้งคณะกรรมการตาม
(๔) ก็ได้ และการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๒) และข้อ ๑๗ (๓) สำหรับส่วนกลางจะไม่แต่งตั้งคณะกรรมการตาม
(๔) ก็ได้
ข้อ ๒๔
คณะกรรมการตามข้อ ๒๓ แต่ละคณะ ให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ ๑ คน
และกรรมการอย่างน้อย ๒ คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานตั้งแต่ระดับ ๓ หรือเทียบเท่าขึ้นไป
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท. จะแต่งตั้งบุคคลที่มิใช่พนักงานร่วมเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ถ้าประธานกรรมการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งพนักงานที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการแทน
ในกรณีเมื่อถึงกำหนดเวลาการเปิดซองสอบราคาหรือรับซองประกวดราคาแล้วประธานกรรมการยังไม่มาปฏิบัติหน้าที่
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานกรรมการในเวลานั้น
โดยให้คณะกรรมการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่เฉพาะข้อ ๓๑ (๑) หรือข้อ ๓๘ แล้วแต่กรณี
แล้วรายงานประธานกรรมการซึ่งผู้ว่าการแต่งตั้งเพื่อดำเนินการต่อไป
ในการซื้อหรือการจ้างครั้งเดียวกัน
ห้ามแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาเป็นกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
หรือแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการเปิดซองสอบราคาหรือกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเป็นกรรมการตรวจรับพัสดุ
คณะกรรมการทุกคณะ
เว้นแต่คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาควรแต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
ๆ เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย
สำหรับการซื้อหรือการจ้างในวงเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท
หรือการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๒) หรือข้อ ๑๗ (๓)
หรือการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษของสำนักงานสาขา
จะแต่งตั้งพนักงานเพียงคนเดียวเป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือคณะกรรมการตรวจการจ้างก็ได้
ส่วนการซื้อหรือการจ้างสำหรับกิจกรรมที่ต้องปฏิบัตินอกสถานที่ตั้งสำนักงานตามปกติ
ให้ผู้จ่ายเงินค่าพัสดุหรืองานจ้าง แล้วแต่กรณี เป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
ๆ โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับ
คณะกรรมการตรวจรับพัสดุหรือคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ข้อ ๒๕
ในการประชุมปรึกษาของคณะกรรมการแต่ละคณะ ต้องมีกรรมการมาพร้อมกันไม่น้อยกว่า
กึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด โดยให้ประธานกรรมการและกรรมการแต่ละคนมีเสียงหนึ่งในการลงมติ
มติของคณะกรรมการให้ถือเสียงข้างมาก
เว้นแต่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุและคณะกรรมการตรวจการจ้างให้ถือมติเอกฉันท์
ในกรณีกรรมการบางคนไม่ยอมรับพัสดุหรืองานจ้างนั้นโดยทำความเห็นแย้งไว้ให้นำข้อ
๔๖ (๗) หรือข้อ ๔๗ (๕) แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ สำหรับคณะกรรมการคณะอื่นถ้าผู้ใดไม่เห็นด้วยให้ทำบันทึกความเห็นแย้งไว้ด้วย
ข้อ ๒๖
การแต่งตั้งคณะกรรมการตามข้อ ๒๓ สำหรับสำนักงานสาขาถ้ามีพนักงานในสำนักงานนั้นไม่พอที่จะปฏิบัติตามข้อ
๒๔ หรือข้อ ๒๕ ได้ จะแต่งตั้งพนักงานคนหนึ่ง และลูกจ้างของสำนักงานนั้นหรือบุคคลอื่นร่วมเป็นกรรมการคณะหนึ่งคณะใดหรือทุกคณะก็ได้
ข้อ ๒๗
ในการซื้อหรือการจ้างทำพัสดุที่มีเทคนิคพิเศษและจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาเป็นการเฉพาะ
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาว่าจ้างที่ปรึกษาให้ความเห็นประกอบการพิจารณาในการซื้อหรือจ้างในขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดได้ตามความจำเป็น
วิธีตกลงราคา
ข้อ ๒๘
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา ให้เจ้าหน้าที่พัสดุติดต่อตกลงราคากับผู้ขายหรือผู้รับจ้างโดยตรง
แล้วจัดซื้อหรือจ้างได้ภายในวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบตามข้อ ๒๒
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคาในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน
และไม่อาจดำเนินการตามปกติได้ทันให้เจ้าหน้าที่พัสดุหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้นดำเนินการไปก่อนแล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อผู้ว่าการ
และเมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบให้ถือว่ารายงานดังกล่าวเป็นหลักฐานการตรวจรับโดยอนุโลม
วิธีสอบราคา
ข้อ ๒๙
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา ให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ก่อนวันเปิดซองสอบราคาไม่น้อยกว่า ๗ วัน
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุส่งประกาศเผยแพร่การสอบราคาและเอกสารสอบราคาไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
หรือโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้กับให้ปิดประกาศเผยแพร่การสอบราคาไว้โดยเปิดเผย
ณ ที่ทำการของ ททท.
(๒) ในการยื่นซองสอบราคา ผู้เสนอราคาจะต้องผนึกซองจ่าหน้าถึงประธานกรรมการเปิดซองสอบราคาการซื้อหรือการจ้างครั้งนั้น
และส่งถึง ททท. ก่อนวันเปิดซองสอบราคาโดยยื่นตรงต่อ ททท.
หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนกรณีที่ ททท. กำหนดให้ทำได้
(๓)
ให้เจ้าหน้าที่ลงรับโดยไม่เปิดซองพร้อมระบุวันและเวลาที่รับซอง ในกรณีที่ผู้เสนอราคามายื่นซองโดยตรงให้ออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซอง
สำหรับกรณีที่เป็นการยื่นซองทางไปรษณีย์ ให้ถือวันและเวลาที่ ททท.
ลงรับจากไปรษณีย์เป็นเวลารับซอง และให้ส่งมอบซองให้แก่เจ้าหน้าที่พัสดุทันที
(๔) ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเก็บรักษาซองเสนอราคาทุกรายโดยไม่เปิดซองและเมื่อถึงกำหนดเวลาเปิดซองสอบราคาให้ส่งมอบซองเสนอราคาพร้อมทั้งรายงานผลการรับซองต่อคณะกรรมการเปิดซองสอบราคาเพื่อดำเนินการต่อไป
ข้อ ๓๐
เอกสารสอบราคา ให้มีรายการทำนองเดียวกับเอกสารประกวดราคาตามข้อ ๓๕
เว้นแต่ไม่ต้องวางหลักประกันซอง
ข้อ ๓๑ คณะกรรมการเปิดซองสอบราคามีหน้าที่ดังนี้
(๑)
เปิดซองใบเสนอราคาและอ่านแจ้งราคาพร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของ
ผู้เสนอราคาทุกรายโดยเปิดเผยตาม วัน เวลาและสถานที่ที่กำหนด และตรวจสอบรายการเอกสารตามบัญชีของผู้เสนอราคาทุกรายแล้วให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาและเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
(๒) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา แคตตาล็อคหรือแบบรูปและรายการละเอียด
แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารสอบราคา
(๓)
พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างของผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตาม (๒) ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อ
ททท. และเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่งเสนอราคาต่ำสุด
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดดังกล่าวไม่ยอมเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงกับ
ททท. ในเวลาที่กำหนดตามเอกสารสอบราคา
ให้คณะกรรมการพิจารณาจากผู้เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคา
ถ้าปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาดำเนินการตามข้อ ๓๒
(๔)
ในกรณีที่มีผู้เสนอราคาถูกต้องตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารสอบราคาเพียงรายเดียว
ให้คณะกรรมการดำเนินการตาม (๓) โดยอนุโลม
(๕) ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๓๒ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคาที่ปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาเห็นสมควรซื้อหรือจ้างยังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการดำเนินการตามลำดับ ดังนี้
(๑)
เรียกผู้เสนอราคารายนั้นมาต่อรองราคาให้ต่ำสุดเท่าที่จะทำได้ หากผู้เสนอราคารายนั้นยอมลดราคาแล้วราคาที่เสนอใหม่ไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือสูงกว่า แต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือต่อรองแล้วไม่ยอมลดราคาลงอีก
แต่ส่วนที่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างนั้นไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสม
ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคารายนั้น
(๒) ถ้าดำเนินการตาม (๑) แล้วไม่ได้ผล
ให้เรียกผู้เสนอราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างทุกรายมาต่อรองราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคาภายในกำหนดระยะเวลาอันสมควร
หากรายใดไม่มายื่นซองให้ถือว่ารายนั้นยืนราคาตามที่เสนอไว้เดิม
หากผู้เสนอราคาต่ำสุดในการต่อรองราคาครั้งนี้เสนอราคาไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
หรือสูงกว่าแต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว
ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคารายนั้น
(๓) ถ้าดำเนินการตาม (๒) แล้วไม่ได้ผล
ให้เสนอความเห็นต่อผู้ว่าการเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจว่าจะสมควรลดรายการ ลดจำนวน
หรือลดเนื้องาน หรือขอเงินเพิ่มเติมหรือยกเลิกการสอบราคาเพื่อดำเนินการสอบราคาใหม่
วิธีประกวดราคา
ข้อ ๓๓
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา ให้เจ้าหน้าที่พัสดุปิดประกาศประกวดราคาโดยเปิดเผย
ณ ที่ทำการของ ททท. และส่งไปประกาศทางวิทยุกระจายเสียงและศูนย์รวมข่าวประกวดราคา
โดยจะส่งประกาศไปลงในหนังสือพิมพ์ด้วยก็ได้ หากเห็นสมควรจะส่งประกาศดังกล่าวไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานโดยตรงหรือจะโฆษณาด้วยวิธีอื่นอีกก็ได้
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
จะต้องกระทำก่อนวันรับซองประกวดราคาไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน
ข้อ ๓๔
การให้หรือขายเอกสารประกวดราคาในการประกวดราคาทั้งคุณลักษณะเฉพาะหรือรายละเอียด
ให้กระทำ ณ สถานที่ที่ผู้ต้องการสามารถติดต่อได้โดยสะดวกและไม่เป็นเขตหวงห้ามกับจะต้องจัดเตรียมไว้ให้มากพอสำหรับความต้องการของผู้มาขอรับหรือขอซื้อที่มีอาชีพขายหรือทำงานจ้างนั้นอย่างน้อยรายละ
๑ ชุด
ในกรณีที่มีการขาย ให้กำหนดราคาพอสมควรกับค่าใช้จ่ายที่
ททท. ต้องเสียไปในการจัดทำสำเนาเอกสารประกวดราคานั้น
ถ้ามีการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้นและมีการประกวดราคาใหม่
ให้ผู้รับหรือซื้อเอกสารประกวดราคาในการประกวดราคาครั้งก่อนมีสิทธิใช้เอกสารประกวดราคานั้นหรือได้รับเอกสารประกวดราคาใหม่
โดยไม่ต้องเสียค่าซื้อเอกสารประกวดราคาอีก
ข้อ ๓๕
เอกสารประกวดราคาให้เป็นไปตามแบบที่ผู้ว่าการกำหนด
ข้อ ๓๖
ก่อนวันเปิดซองประกวดราคา หากมีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงหรือให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แก่
ททท. หรือมีความจำเป็นต้องแก้ไขคุณลักษณะเฉพาะหรือรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญซึ่งมิได้กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคาตั้งแต่ต้น
ให้จัดทำเป็นเอกสารประกวดราคาเพิ่มเติม และดำเนินการตามข้อ ๓๓ โดยอนุโลม
กับแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ที่ขอรับหรือขอซื้อเอกสารประกวดราคาไปแล้วทุกรายด้วย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
หากจะเป็นเหตุให้ผู้เสนอราคาไม่สามารถยื่นซองประกวดราคาได้ทันตามกำหนดเดิม
ให้เลื่อนวันและเวลาการรับซอง การปิดการรับซอง
และการเปิดซองประกวดราคาตามความจำเป็นด้วย
ข้อ ๓๗
นอกจากกรณีที่กำหนดไว้ตามข้อ ๓๖ เมื่อถึงกำหนดวันรับซองประกวดราคาห้ามมิให้ร่นหรือเลื่อน
หรือเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลารับซองและเปิดซองประกวดราคา
ข้อ ๓๘ คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา
มีหน้าที่ดังนี้
(๑) รับซองประกวดราคา ลงทะเบียนรับซองไว้เป็นหลักฐาน ลงชื่อกำกับซอง
และบันทึกไว้ที่หน้าซองว่าเป็นของผู้ใด
(๒) ตรวจสอบหลักประกันซองร่วมกับเจ้าหน้าที่การเงิน
และให้เจ้าหน้าที่การเงินออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซองไว้เป็นหลักฐาน หากไม่ถูกต้อง
ให้หมายเหตุในใบรับและบันทึกในรายงานด้วย กรณีหลักประกันซองเป็นหนังสือค้ำประกัน
ให้ส่งสำเนาหนังสือค้ำประกันให้ธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันทราบโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับด้วย
(๓) รับเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ตามบัญชีรายการเอกสารของผู้เสนอราคา
พร้อมทั้งพัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อค หรือแบบรูปและรายการละเอียด หากไม่ถูกต้องให้บันทึกในรายงานไว้ด้วย
(๔) เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองประกวดราคาแล้ว
ห้ามรับซองประกวดราคา หรือเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
ตามเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาอีก
(๕) เปิดซองใบเสนอราคาและอ่านแจ้งราคาพร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่าง
ๆ
ของผู้เสนอราคาทุกรายโดยเปิดเผยตามเวลาและสถานที่ที่กำหนดและให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาและเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
(๖) ส่งมอบใบเสนอราคาทั้งหมดและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ พร้อมด้วยบันทึกรายงานการดำเนินการต่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทันทีในวันเดียวกัน
ข้อ ๓๙
คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา เอกสารหลักฐานต่าง
ๆ พัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อค หรือแบบรูปและรายการละเอียด แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคา
ในกรณีที่ผู้เสนอราคารายใดเสนอรายละเอียดแตกต่างไปจากเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ
และความแตกต่างนั้นไม่มีผลทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบต่อผู้เสนอราคารายอื่น
หรือเป็นการผิดพลาดเล็กน้อย ให้พิจารณาผ่อนปรนให้ผู้เข้าประกวดราคา
โดยไม่ตัดผู้เข้าประกวดราคารายนั้นออก
ในการพิจารณา
คณะกรรมการอาจสอบถามข้อเท็จจริงจากผู้เสนอราคารายใดก็ได้
แต่จะให้ผู้เสนอราคารายใดเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญที่เสนอไว้แล้วมิได้
(๒) พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างหรือคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่ตรวจสอบแล้วตาม
(๑) ซึ่งมีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อ ททท. แล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่งเสนอราคาต่ำสุด
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดดังกล่าวไม่ยอมเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงกับ
ททท. ในเวลาที่กำหนดตามเอกสารประกวดราคา ให้คณะกรรมการพิจารณาจากผู้เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคา
ถ้าปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาดำเนินการตามข้อ ๓๒ โดยอนุโลม
(๓) ให้คณะกรรมการรายงานผลพิจารณาและความเห็น พร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๔๐
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาได้ดำเนินการตามข้อ ๓๙ (๑) แล้วปรากฏว่ามีผู้เสนอราคารายเดียว
หรือมีผู้เสนอราคาหลายรายแต่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคาเพียงรายเดียว
โดยปกติให้เสนอผู้ว่าการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
แต่ถ้าคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่จะดำเนินการต่อไปโดยไม่ต้องยกเลิกการประกวดราคา
ก็ให้ดำเนินการตามข้อ ๓๙ (๒) โดยอนุโลม
ข้อ ๔๑
ในกรณีที่ไม่มีผู้เสนอราคาหรือมีแต่ไม่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนด
ให้เสนอผู้ว่าการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น เพื่อดำเนินการประกวดราคาใหม่
หากผู้ว่าการเห็นว่าการประกวดราคาใหม่จะไม่ได้ผลดีจะสั่งให้ดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ
๑๖ (๖) หรือข้อ ๑๗ (๖) แล้วแต่กรณี ก็ได้
ข้อ ๔๒
หลังจากการประกวดราคาแล้วแต่ยังไม่ได้ทำสัญญาหรือตกลงซื้อหรือจ้างกับผู้เสนอราคา
รายใด ถ้ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท. อันเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในรายการละเอียดหรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคา
ซึ่งทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้เข้าประกวดราคาด้วยกันให้ผู้ว่าการพิจารณายกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
วิธีพิเศษ
ข้อ ๔๓
การซื้อโดยวิธีพิเศษ ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษขึ้น
เพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีเป็นพัสดุจะขายทอดตลาด
ให้ดำเนินการซื้อโดยวิธีเจรจาตกลงราคา
(๒) ในกรณีเป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจเสียหายแก่การปฏิบัติงานให้เชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๓)
ในกรณีเป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ
ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ (๒)
(๔) ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ
ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อติดต่อสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ
หรือสืบราคาจากต่างประเทศแล้วเปรียบเทียบราคาในประเทศ
ส่วนการซื้อโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ ให้ติดต่อกับสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศที่มีอยู่ในประเทศโดยตรง
เว้นแต่กรณีที่ไม่มีสำนักงานในประเทศ ให้ติดต่อกับสำนักงานในต่างประเทศได้
(๕)
ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรง
ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ (๒)
(๖)
ในกรณีเป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคาหรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป
หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรซื้อเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๗) ในกรณีพัสดุที่เป็นที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่งให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อ
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้ สำหรับการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศ
ในกรณีจำเป็นจะติดต่อผ่านนายหน้าหรือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามกฎหมายหรือประเพณีนิยมของท้องถิ่นก็ได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๔๔
การจ้างโดยวิธีพิเศษ ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕)
ให้เชิญผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องถิ่นหรือราคาที่ประมาณได้หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้าง
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๒) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๖)
ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคาหรือประกวดราคา ซึ่งถูกยกเลิกไป
หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรจ้างเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องถิ่นหรือราคาที่ประมาณได้หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้าง
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
วิธีกรณีพิเศษ
ข้อ ๔๕
การดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ ให้ผู้ว่าการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างจากผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามข้อ
๑๙ ได้โดยตรง เว้นแต่การซื้อหรือการจ้างที่มีราคาไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดซื้อหรือจ้างได้ภายในวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าการตามข้อ
๒๒
การตรวจรับพัสดุ
ข้อ ๔๖
คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจรับพัสดุ ณ ที่ทำการของ ททท. หรือที่ใช้พัสดุนั้น
หรือสถานที่ซึ่งกำหนดไว้ในสัญญาหรือข้อตกลง
การตรวจรับพัสดุ ณ สถานที่อื่น
ในกรณีที่ไม่มีสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการก่อน
(๒) ตรวจรับพัสดุให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักฐานที่ตกลงกันไว้สำหรับกรณีที่มีการทดลองหรือตรวจสอบในทางเทคนิคหรือทางวิทยาศาสตร์
จะเชิญผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุนั้นมาให้คำปรึกษา
หรือส่งพัสดุนั้นไปทดลองหรือตรวจสอบ ณ สถานที่ของผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒินั้น
ๆ ก็ได้
ในกรณีจำเป็นที่ไม่สามารถตรวจนับเป็นจำนวนหน่วยทั้งหมดได้ให้ตรวจรับตามหลักวิชาการสถิติ
(๓)
โดยปกติให้ตรวจรับพัสดุในวันที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างนำพัสดุมาส่งและให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๔) เมื่อตรวจถูกต้องครบถ้วนแล้ว
ให้รับพัสดุไว้และถือว่าผู้ขายหรือผู้รับจ้างได้ส่งมอบพัสดุถูกต้องครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างนำพัสดุนั้นมาส่ง
แล้วมอบแก่เจ้าหน้าที่พัสดุพร้อมกับทำใบตรวจรับโดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย ๒
ฉบับ มอบแก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้าง ๑ ฉบับ และเจ้าหน้าที่พัสดุ ๑ ฉบับ
เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินและรายงานให้ผู้ว่าการทราบ
ในกรณีที่เห็นว่าพัสดุที่ส่งมอบมีรายละเอียดไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญา
หรือข้อตกลง ให้รายงานผู้ว่าการเพื่อทราบหรือสั่งการ แล้วแต่กรณี
(๕)
ในกรณีที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างส่งมอบพัสดุถูกต้องแต่ไม่ครบจำนวนหรือส่งมอบครบจำนวนแต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด
ถ้าสัญญาหรือข้อตกลงมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้ตรวจรับไว้เฉพาะจำนวนที่ถูกต้องโดยถือปฏิบัติตาม
(๔) และโดยปกติให้รีบรายงานผู้ว่าการเพื่อแจ้งให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทราบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันตรวจพบ แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิ ททท.
ที่จะปรับผู้ขายหรือผู้รับจ้างในจำนวนที่ส่งมอบไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องนั้น
(๖) การตรวจรับพัสดุที่ประกอบกันเป็นชุดหรือเป็นหน่วย
ถ้าขาดส่วนประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้วจะไม่สามารถใช้การได้โดยสมบูรณ์
ให้ถือว่าผู้ขายหรือผู้รับจ้างยังมิได้ส่งมอบพัสดุนั้น
และโดยปกติให้รีบรายงานผู้ว่าการเพื่อแจ้งให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทราบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันที่ตรวจพบ
(๗)
ถ้ากรรมการตรวจรับพัสดุบางคนไม่ยอมรับพัสดุโดยทำความเห็นแย้งไว้ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ถ้าผู้ว่าการสั่งการให้รับพัสดุนั้นไว้ จึงดำเนินการตาม (๔) หรือ (๕) แล้วแต่กรณี
การตรวจการจ้างและการควบคุมงานก่อสร้าง
ข้อ ๔๗
คณะกรรมการตรวจการจ้าง มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจสอบรายงานการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้อมที่ผู้ควบคุมงานรายงาน
โดยตรวจสอบกับแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาทุกสัปดาห์รวมทั้งรับทราบหรือพิจารณาการสั่งหยุดงานหรือพักงานของผู้ควบคุมงาน
แล้วรายงานผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
(๒) การดำเนินการตาม (๑)
ในกรณีมีข้อสงสัยหรือมีกรณีที่เห็นว่าตามหลักวิชาการช่างไม่น่าจะเป็นไปได้
ให้ออกตรวจงานจ้าง ณ สถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือที่ตกลงให้ทำงานจ้างนั้น ๆ
โดยให้มีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือตัดทอนงานจ้างได้ตามที่เห็นสมควรและตามหลักวิชาการช่าง
เพื่อให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
(๓) โดยปกติให้ตรวจผลงานที่ผู้รับจ้างส่งมอบภายใน ๓
วันทำการนับแต่วันที่ประธานกรรมการได้รับทราบการส่งมอบงาน
และให้ทำการตรวจรับให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๔) เมื่อตรวจเห็นว่าเป็นการถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแล้ว
ให้ถือว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้รับจ้างส่งงานจ้างนั้น
และให้ทำใบรับรองผลการปฏิบัติงานทั้งหมดหรือเฉพาะงวด แล้วแต่กรณี โดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย
๒ ฉบับ มอบให้แก่ผู้รับจ้าง ๑ ฉบับ และเจ้าหน้าที่พัสดุ ๑ ฉบับ เพื่อทำการเบิกจ่ายเงิน
และรายงานให้ผู้ว่าการทราบ
ในกรณีที่เห็นว่าผลงานที่ส่งมอบทั้งหมดหรืองวดใดก็ตาม
ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
ให้รายงานผู้ว่าการเพื่อทราบหรือสั่งการ แล้วแต่กรณี
(๕) ในกรณีที่กรรมการตรวจการจ้างบางคนไม่ยอมรับงานโดยทำความเห็นแย้งไว้
ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อสั่งการ ถ้าผู้ว่าการสั่งการให้ตรวจรับงานจ้างนั้นไว้
จึงจะดำเนินการตาม (๔)
ข้อ ๔๘
ผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจและควบคุมงาน ณ สถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือที่ตกลงให้ทำงานจ้างนั้น
ๆ ทุกวัน ให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดไว้ในสัญญาทุกประการ
โดยสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือตัดทอนงานจ้างได้ตามที่เห็นสมควรและตามหลักวิชาช่างเพื่อให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
ถ้าผู้รับจ้างขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็สั่งให้หยุดงานนั้นเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด
แล้วแต่กรณี ไว้ก่อนจนกว่าผู้รับจ้างจะยอมปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสั่ง
และให้รายงานคณะกรรมการตรวจการจ้างทันที
(๒) ในกรณีที่ปรากฏว่าแบบรูปรายการละเอียดหรือข้อกำหนดในสัญญามีข้อความขัดกันหรือเป็นที่คาดหมายได้ว่าถึงแม้ว่างานนั้นจะได้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแต่เมื่อสำเร็จแล้วจะไม่มั่นคงแข็งแรงหรือไม่เป็นไปตามหลักวิชาช่างที่ดี
หรือไม่ปลอดภัย ให้สั่งพักงานนั้นไว้ก่อนแล้วรายงานคณะกรรมการตรวจการจ้างโดยเร็ว
(๓) จดบันทึกการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้อมเป็นรายวันพร้อมทั้งผลการปฏิบัติงานอย่างน้อย
๒ ฉบับ เพื่อรายงานให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบทุกสัปดาห์
และเก็บรักษาไว้เพื่อมอบให้แก่เจ้าหน้าที่พัสดุเมื่อเสร็จงานแต่ละงวด เพื่อประกอบการตรวจสอบของผู้มีหน้าที่
การบันทึกการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างให้ระบุรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติงานและวัสดุที่ใช้ด้วย
(๔) ในวันกำหนดลงมือทำการของผู้รับจ้างตามสัญญาและในวันถึงกำหนดส่งมอบงานแต่ละงวด
ให้รายงานผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างว่าเป็นไปตามสัญญาหรือไม่
ให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบภายใน ๓ วันทำการ นับแต่วันถึงกำหนดนั้น ๆ
อำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง
ข้อ ๔๙
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างครั้งหนึ่งนอกจากวิธีพิเศษและวิธีกรณีพิเศษให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐
บาท แต่ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๕๐
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีพิเศษครั้งหนึ่ง ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท.
เกิน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๕๑
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยไม่จำกัดวงเงิน
การจ้างที่ปรึกษา
ข้อ ๕๒
ก่อนดำเนินการจ้างที่ปรึกษา ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษา
(๒) ขอบเขตโดยละเอียดของงานที่จะจ้างที่ปรึกษา
(๓) คุณสมบัติของที่ปรึกษาที่จะจ้าง
(๔) วงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาโดยประมาณ
(๕) กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงาน
(๖) ข้อเสนออื่น ๆ
เมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบตามรายงานที่เสนอแล้ว
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการต่อไปได้
ข้อ ๕๓
ในการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาแต่ละครั้ง ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาขึ้นประกอบด้วยประธานกรรมการ
๑ คน และกรรมการอย่างน้อย ๔ คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานตั้งแต่ระดับ ๕
หรือเทียบเท่าขึ้นไปอย่างน้อย ๒ คน ในกรณีจำเป็น หรือเพื่อประโยชน์แก่ ททท.
ให้แต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิในงานที่จะจ้างที่ปรึกษาเป็นกรรมการด้วย
และในกรณีการจ้างที่ปรึกษาที่ดำเนินการด้วยเงินกู้ให้มีผู้แทนจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
๑ คน
ข้อ ๕๔
ในการประชุมของคณะกรรมการตามข้อ ๕๓ ให้นำข้อ ๒๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๕๕
การจ้างที่ปรึกษาให้กระทำโดยวิธีคัดเลือก โดยการคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานนั้นให้เหลือน้อยราย
และเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้รับการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายดังกล่าวยื่นข้อเสนอเข้ารับงานนั้น ๆ เพื่อพิจารณาคัดเลือกรายที่ดีที่สุด ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรและผู้ว่าการเห็นชอบ
ให้เชิญที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมยื่นข้อเสนอเข้ารับงาน โดยไม่ต้องทำการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายก่อนก็ได้
การคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลือน้อยราย
ให้คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาพิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลืออย่างมาก ๖
ราย
เมื่อได้ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลือน้อยรายแล้ว
ให้รายงานผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๕๖ ให้
ททท. ออกหนังสือเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้คัดเลือกไว้ยื่นข้อเสนอเพื่อรับงานตามวิธีหนึ่งวิธีใด
ดังต่อไปนี้
(๑) ยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านราคาพร้อมกันโดยแยกเป็น
๒ ซอง
(๒) ยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคเพียงซองเดียว
ข้อ ๕๗
คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษา มีหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก
(๒) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาทุกราย
และจัดลำดับ
(๓) ในกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ ๕๖ (๑)
ให้เปิดซองเสนอด้านราคาของที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสมสำหรับกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ
๕๖ (๒) ให้เชิญที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดมายื่นข้อเสนอด้านราคาและเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
หากเจรจาไม่ได้ผล
ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อพิจารณายกเลิกการเจรจากับที่ปรึกษารายนั้นแล้วเปิดซองข้อเสนอด้านราคาของที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดรายถัดไป
หรือเชิญที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคที่ดีที่สุดรายถัดไปให้ยื่นข้อเสนอด้านราคา
แล้วแต่กรณี และเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
(๔) เมื่อเจรจาได้ราคาที่เหมาะสมแล้วให้พิจารณาเงื่อนไขต่าง
ๆ ที่จะกำหนดในสัญญา
(๕) ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณา และความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการ
ในกรณีที่ใช้วิธีการยื่นข้อเสนอตามข้อ ๕๖ (๑)
หลังจากตัดสินให้ทำสัญญากับที่ปรึกษาซึ่งได้รับการคัดเลือกแล้ว
ให้ส่งคืนซองข้อเสนอด้านราคาให้แก่ที่ปรึกษารายอื่นที่ได้ยื่นไว้โดยไม่เปิดซอง
ข้อ ๕๘
การจ้างที่ปรึกษาที่เป็นงานที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและมีที่ปรึกษาซึ่งสามารถทำงานนั้นได้เป็นการทั่วไป
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะออกหนังสือเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้คัดเลือกไว้ให้ยื่นข้อเสนอเพื่อรับงาน
โดยให้ดำเนินการตามวิธีดังต่อไปนี้คือ
(๑)
ให้ที่ปรึกษายื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านราคาพร้อมกันโดยแยกเป็น ๒ ซอง
(๒) ให้คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาทุกราย
และจัดลำดับ
(๓)
เปิดซองข้อเสนอด้านราคาของผู้ที่ได้รับการจัดลำดับไว้อันดับหนึ่งถึงอันดับสามตาม
(๒) พร้อมกัน แล้วเลือกรายที่เสนอราคาต่ำสุดมาเจรจาต่อรองราคาเป็นลำดับแรก
(๔) หากเจรจาตาม (๓) แล้วไม่ได้ผล
ให้ยกเลิกแล้วเจรจากับรายที่เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
เมื่อเจรจาได้ผลประการใด ให้ดำเนินการตามข้อ ๕๗ (๔) และ (๕)
ข้อ ๕๙
การจ้างที่ปรึกษาเป็นรายบุคคลที่ไม่ต้องยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคให้ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามนัยข้อ
๕๕ และพิจารณาจัดลำดับ และเมื่อสามารถจัดลำดับได้แล้วให้เชิญรายที่เหมาะสมที่สุดมาเสนอราคาค่าจ้างเพื่อเจรจาต่อรองราคาตามลำดับ
ข้อ ๖๐
การสั่งจ้างที่ปรึกษาครั้งหนึ่ง ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกิน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐
บาท แต่ไม่เกิน ๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกิน ๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๖๑
อัตราค่าจ้างที่ปรึกษาให้เป็นไปตามความเหมาะสมและประหยัดโดยให้คำนึงถึงองค์ประกอบต่าง
ๆ เช่น ลักษณะของงานที่จะจ้าง อัตราค่าจ้างของงานในลักษณะเดียวกันที่ ททท.
เคยจ้างจำนวนคนต่อเดือน เท่าที่จำเป็น ดัชนีค่าครองชีพ เป็นต้น
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้า
ให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ของค่าจ้างตามสัญญา
และที่ปรึกษาจะต้องจัดให้ธนาคารเป็นผู้ค้ำประกันเงินค่าจ้างที่ได้รับล่วงหน้าไปนั้นและให้ผู้ว่าการคืนหนังสือค้ำประกันดังกล่าวให้แก่ที่ปรึกษาเมื่อ
ททท. ได้หักเงินที่ได้จ่ายล่วงหน้าจากเงินค่าจ้างตามผลงานแต่ละงวดครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ ให้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วย
ข้อ ๖๒
การจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ที่ปรึกษาที่แบ่งการชำระเงินออกเป็นงวดให้ผู้ว่าการหักเงินที่จะจ่ายแต่ละครั้งในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินค่าจ้าง เพื่อเป็นการประกันผลงาน
หรือจะให้ที่ปรึกษาใช้หนังสือค้ำประกันของธนาคารในประเทศมีอายุการค้ำประกันตามที่ผู้ว่าการจะกำหนดวางค้ำประกันแทนเงินที่หักไว้ก็ได้
ทั้งนี้ ให้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วย
ข้อ ๖๓
กรณีสัญญาจ้างที่ปรึกษาตามโครงการเงินกู้ทีได้รวมเงินค่าภาษีซึ่งที่ปรึกษาจะต้องจ่ายให้แก่รัฐบาลไทยไว้ในราคาจ้าง
ให้แยกเงินส่วนที่กันเป็นค่าภาษีไว้ต่างหากจากราคาจ้างรวม
หลักประกัน
ข้อ ๖๔ หลักประกันซองหรือหลักประกันสัญญา
ให้ใช้หลักประกันอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(๑) เงินสด
(๒) เช็คที่ธนาคารเซ็นสั่งจ่าย
ซึ่งเป็นเช็คลงวันที่ที่ใช้เช็คนั้นยื่นต่อเจ้าหน้าที่หรือก่อนวันนั้นไม่เกิน ๓
วันทำการ
(๓) หนังสือค้ำประกันของธนาคารภายในประเทศ
(๔) พันธบัตรรัฐบาลไทย
ข้อ ๖๕
หลักประกันซองและหลักประกันสัญญาในข้อ ๖๔ ให้กำหนดมูลค่าเป็นจำนวนเต็มในอัตราร้อยละ
๕ ของวงเงินหรือราคาพัสดุที่จัดหาครั้งนั้น แล้วแต่กรณี เว้นแต่การจัดหาพัสดุที่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ
จะกำหนดอัตราสูงกว่าร้อยละ ๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ก็ได้
ในการทำสัญญาจัดหาพัสดุที่มีระยะเวลาผูกพันตามสัญญาเกิน ๑
ปี และพัสดุนั้นไม่ต้องมีการประกันเพื่อความชำรุดบกพร่อง เช่น พัสดุใช้สิ้นเปลือง ให้กำหนดหลักประกันในอัตราร้อยละ
๕ ของราคาพัสดุที่ส่งมอบในแต่ละปีของสัญญา โดยให้ถือว่าหลักประกันนี้เป็นการค้ำประกันตลอดอายุสัญญา
และหากในปีต่อไปราคาพัสดุที่ส่งมอบแตกต่างไปจากราคาในรอบปีก่อน
ให้ปรับปรุงหลักประกันตามอัตราส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก่อนครบรอบปี ในกรณีที่หลักประกันต้องปรับปรุงในทางที่เพิ่มขึ้น
และคู่สัญญาไม่นำหลักประกันมาเพิ่มให้ครบจำนวนภายใน ๑๕ วัน ก่อนการส่งมอบพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้น
ให้ ททท. หักจากเงินค่าพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้นที่ ททท.
จะต้องจ่ายไว้เป็นหลักประกันในส่วนที่เพิ่มขึ้น
การกำหนดหลักประกันตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือเอกสารประกวดราคา และในสัญญาด้วย
แล้วแต่กรณี
ข้อ ๖๖ ให้ ททท. คืนหลักประกันให้แก่ผู้เสนอราคา คู่สัญญา
หรือผู้ค้ำประกันตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) หลักประกันซอง
ให้คืนให้แก่ผู้เสนอราคาหรือผู้ค้ำประกันภายใน ๑๕
วันนับแต่วันที่ได้พิจารณาในเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
เว้นแต่ผู้เสนอราคารายที่คัดเลือกไว้ซึ่งเสนอราคาต่ำสุดไม่เกิน ๓
รายให้คืนต่อเมื่อได้ทำสัญญาหรือข้อตกลง หรือผู้เสนอราคาได้พ้นจากข้อผูกพันแล้ว
(๒) หลักประกันสัญญา
ให้คืนให้แก่คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันโดยเร็ว และอย่างช้าต้องไม่เกิน ๑๕ วัน
นับแต่วันที่คู่สัญญาพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญาแล้ว
การซื้อหรือจ้างที่ไม่ต้องมีหลักประกันเพื่อความชำรุดบกพร่อง
ให้คืนหลักประกันให้แก่คู่สัญญาหรือผู้ค้ำประกันตามอัตราส่วนของพัสดุซึ่ง ททท.
ได้รับมอบไว้แล้ว แต่ทั้งนี้จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขเอกสารสอบราคาหรือเอกสารประกวดราคา
และในสัญญาด้วย
ข้อ ๖๗
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้เสนอราคาหรือเป็นคู่สัญญาไม่ต้องวางหลักประกัน
การจ่ายเงินล่วงหน้า
ข้อ ๖๘
การจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะกระทำมิได้
เว้นแต่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องจ่ายและมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ก่อนการทำสัญญาหรือข้อตกลง
ให้กระทำได้เฉพาะในกรณีและตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การซื้อหรือจ้างจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
หรือบริษัทที่ ททท. ลงทุนหรือร่วมทุนด้วย จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐
ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
(๒)
การซื้อพัสดุจากต่างประเทศโดยดำเนินการผ่านองค์การระหว่างประเทศ ให้จ่ายได้ตามที่ตกลงกับองค์การระหว่างประเทศ
(๓) การบอกรับวารสาร
หรือการสั่งจองหนังสือหรือวารสารหรือการบอกรับเป็นสมาชิกเพื่อรับสัญญาณหรือข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบการสื่อสาร
จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง
(๔) การซื้อหรือจ้างโดยวิธีสอบราคาหรือประกวดราคา จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ
๑๕ ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง แต่ทั้งนี้จะต้องกำหนดอัตราค่าพัสดุหรือค่าจ้างที่จะจ่ายล่วงหน้าไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือประกวดราคาด้วย
(๕) การซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษ ให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ
๑๕ ของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
การจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามแบบธรรมเนียมการค้าระหว่างประเทศโดยเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต
หรือโดยวิธีใช้ดร๊าฟท์กรณีที่วงเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท หรือจ่ายเงินตามความก้าวหน้าในการจัดหาพัสดุที่สั่งซื้อ
ให้กระทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการจ่ายเงินล่วงหน้า
ข้อ ๖๙
การจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตามข้อ ๖๘ (๑) (๒) และ (๓) ไม่ต้องเรียกหลักประกัน
ส่วนการจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตามข้อ ๖๘ (๔)
และ (๕) ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะต้องจัดให้ธนาคารในประเทศธนาคารหนึ่งหรือหลายธนาคารเป็นผู้ค้ำประกันเงินที่รับล่วงหน้าไปนั้น
การทำสัญญาซื้อขายและสัญญาจ้าง
ข้อ ๗๐
การซื้อหรือการจ้างให้ทำสัญญาตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้ เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้จะทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการ
(๑)
การซื้อหรือการจ้างที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างสามารถส่งมอบพัสดุได้ครบถ้วนภายใน ๕
วันทำการนับแต่วันถัดจากวันตกลงซื้อขายหรือจ้าง
(๒) การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
(๓) การซื้อโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๖ (๑) (๒) และ (๔)
(๔) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕)
สำหรับการซื้อที่ผู้ขายสามารถส่งมอบพัสดุได้ทันทีหรือการซื้อหรือการจ้างที่มีราคาไม่เกิน
๕๐,๐๐๐ บาท จะไม่ทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
ข้อ ๗๑
การทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือสำหรับการซื้อ ให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวัน
ในอัตราตายตัวระหว่างร้อยละ ๐.๑ - ๐.๒ ของราคาพัสดุที่ยังไม่ได้รับมอบ ส่วนการจ้างให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันเป็นจำนวนตายตัวในอัตราระหว่างร้อยละ
๐.๐๑ - ๐.๑๐ ของราคางานจ้างนั้น แต่จะต้องไม่ต่ำกว่าวันละ ๑๐๐ บาท
การกำหนดค่าปรับตามวรรคหนึ่งในอัตราหรือเป็นจำนวนเงินตายตัวเท่าใดให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการ
ในกรณีการซื้อสิ่งของที่ประกอบกันเป็นชุด
ถ้าขาดส่วนประกอบส่วนหนึ่งส่วนใดไปแล้ว จะไม่สามารถใช้การได้โดยสมบูรณ์
แม้ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของภายในกำหนดตามสัญญาแต่ยังขาดส่วนประกอบบางส่วน
ต่อมาได้ส่งมอบส่วนประกอบที่ยังขาดนั้นเกินกำหนดสัญญา ให้ถือว่าไม่ได้ส่งมอบสิ่งของนั้นเลย
ให้ปรับเต็มราคาของทั้งชุด
ในกรณีการซื้อสิ่งของที่คิดราคารวมทั้งค่าติดตั้งหรือทดลองด้วย
ถ้าติดตั้งหรือทดลองเกินกว่ากำหนดตามสัญญาเป็นจำนวนวันเท่าใดให้ปรับเป็นรายวันในอัตราที่กำหนดของราคาทั้งหมด
เมื่อครบกำหนดส่งมอบพัสดุหรืองานจ้างตามสัญญาหรือข้อตกลงให้
ททท. รีบแจ้งการเรียกค่าปรับตามสัญญาหรือข้อตกลงจากคู่สัญญา
และเมื่อคู่สัญญาได้ส่งมอบพัสดุหรืองานจ้างให้
ททท.บอกสงวนสิทธิการเรียกค่าปรับในขณะที่รับมอบพัสดุนั้นด้วย
ข้อ ๗๒
การทำสัญญารายใดถ้าจำเป็นต้องมีข้อความหรือรายการแตกต่างไปจากตัวอย่างสัญญาท้ายข้อบังคับนี้
โดยมีสาระสำคัญตามที่กำหนดไว้ในตัวอย่างสัญญาและไม่ทำให้ ททท.
เสียเปรียบก็ให้กระทำได้
เว้นแต่ผู้ว่าการเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ
ก็ให้ส่งร่างสัญญานั้นไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน
ในกรณีที่ไม่อาจทำสัญญาตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้ได้
และจำเป็นต้องร่างสัญญาขึ้นใหม่ ต้องส่งร่างสัญญานั้นให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน
เว้นแต่การทำสัญญาตามแบบที่เคยผ่านการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดมาแล้ว
ในกรณีจำเป็นต้องทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นภาษาต่างประเทศ
ให้ทำเป็นภาษาอังกฤษแต่ต้องการมีคำแปลเป็นภาษาไทยไว้ด้วย
การทำสัญญาหรือข้อตกลงของสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
จะทำเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สำนักงานสาขานั้นตั้งอยู่ก็ได้
ข้อ ๗๓
สัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือที่ได้ลงนามแล้ว จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้
เว้นแต่การแก้ไขนั้นจะเป็นความจำเป็นโดยไม่ทำให้ ททท.
ต้องเสียประโยชน์หรือเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์แก่ ททท. ให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลงตามวรรคหนึ่ง
หากมีความจำเป็นต้องเพิ่มหรือลดวงเงิน หรือเพิ่มหรือลดระยะเวลาส่งมอบของ
หรือระยะเวลาในการทำงาน ให้ตกลงพร้อมกันไป
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลงที่ได้ลงนามแล้วตามวรรคหนึ่ง
ในกรณีที่ต้องเพิ่มวงเงินหากวงเงินที่เพิ่มขึ้นรวมกับวงเงินค่าพัสดุหรืองานจ้างในสัญญาหรือข้อตกลงเดิม
เป็นวงเงินสั่งซื้อหรือสั่งจ้างซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งตามที่กำหนดไว้ในข้อ
๔๙ และข้อ ๕๐ ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
แต่ทั้งนี้จะต้องขอทำความตกลงกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามระเบียบปฏิบัติด้วย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
สำหรับการซื้อหรือจ้างที่เกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรงของสิ่งก่อสร้างหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่าง
จะต้องได้รับการรับรองจากวิศวกร สถาปนิกและวิศวกรผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรับผิดชอบหรือสามารถรับรองแบบและรายการของงานก่อสร้างหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่าง
แล้วแต่กรณี ด้วย
ข้อ ๗๔
ให้ผู้ว่าการพิจารณาใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง ในกรณีที่มีเหตุอันเชื่อได้ว่าผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
การตกลงกับคู่สัญญาที่จะบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง
ให้ผู้ว่าการพิจารณาได้เฉพาะกรณีที่เป็นประโยชน์แก่ ททท. โดยตรง
หรือเพื่อแก้ไขข้อเสียเปรียบของ ททท. ในการที่จะปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้นต่อไป
ข้อ ๗๕
ในกรณีที่คู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงได้และจะต้องมีการปรับตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้น
หากจำนวนเงินค่าปรับจะเกินร้อยละ ๑๐ ของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างให้ ททท.
พิจารณาดำเนินการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง เว้นแต่คู่สัญญาจะได้ยินยอมเสียค่าปรับให้แก่
ททท. โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ให้ผู้ว่าการพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จำเป็น
ข้อ ๗๖
การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลง
ให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะพิจารณา แต่ถ้าวงเงินในการสั่งการให้จัดหาครั้งนั้นเกินอำนาจของผู้ว่าการ
ให้เสนอประธานกรรมการ ททท. พิจารณา และให้พิจารณาได้ตามจำนวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริงเฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เหตุเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของ ททท.
(๒) เหตุสุดวิสัย
(๓)
เหตุเกิดจากพฤติการณ์อันหนึ่งอันใดที่คู่สัญญาไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย
ให้ ททท.
ระบุไว้ในสัญญากำหนดให้คู่สัญญาต้องแจ้งเหตุดังกล่าวให้ ททท. ทราบภายใน ๑๕ วัน
นับแต่เหตุนั้นได้สิ้นสุดลง หากมิได้แจ้งภายในเวลาที่กำหนดคู่สัญญาจะยกมากล่าวอ้างเพื่อขอลดหรืองดค่าปรับหรือขอขยายเวลาในภายหลังมิได้
เว้นแต่กรณีตาม (๑) ซึ่งมีหลักฐานชัดแจ้งหรือ ททท. ทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
ข้อ ๗๗
ให้ผู้ว่าการส่งสำเนาสัญญาซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินภายใน
๓๐ วัน นับแต่วันทำสัญญา
การลงโทษผู้ทิ้งงาน
ข้อ ๗๘
ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกแล้วไม่ยอมมาทำสัญญาหรือข้อตกลงภายในเวลาที่ ททท.
กำหนด
หรือผู้ขายหรือผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ให้ผู้ว่าการเสนอ คณะกรรมการ ททท. เพื่อพิจารณา เมื่อคณะกรรมการ ททท.
พิจารณาชี้ขาดว่าผู้ใดไม่ปฏิบัติตามข้อผูกพันของ ททท. แล้ว
ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ทิ้งงานขายหรืองานจ้าง แล้วแต่กรณี
ให้ผู้ว่าการส่งชื่อผู้ทิ้งงานไปให้สำนักนายกรัฐมนตรี
และหน่วยงานต่าง ๆ ของ ททท. ทราบโดยเร็ว
ห้ามซื้อหรือจ้างผู้ทิ้งงานของ ททท.
หรือผู้ทิ้งงานของทางราชการ เว้นแต่ผู้รักษาการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ
จะสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำโดยไม่สุจริตหรือมีการสมยอมกันในการเข้าเสนอราคากับ
ททท. ให้พิจารณาลงโทษผู้เสนอราคาที่มีการกระทำดังกล่าวเสมือนเป็นผู้ทิ้งงานและดำเนินการตามขั้นตอนในวรรคหนึ่งและวรรคสองโดยอนุโลม
ส่วนที่ ๒
การจัดทำเอง
ข้อ ๗๙ ในการจัดทำเอง
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งผู้ควบคุมรับผิดชอบในการจัดทำเองนั้น และแต่งตั้ง
คณะกรรมการตรวจการปฏิบัติงาน โดยมีคุณสมบัติและหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ส่วนที่ ๓
การแลกเปลี่ยน
ข้อ ๘๐
การแลกเปลี่ยนพัสดุจะกระทำมิได้ เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความจำเป็นก็ให้กระทำได้
ข้อ ๘๑
ในกรณีต้องมีการแลกเปลี่ยนพัสดุ ให้เจ้าหน้าที่พัสดุรายงานผู้ว่าการเพื่อพิจารณาสั่งการ
โดยให้รายงานตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องแลกเปลี่ยน
(๒) รายละเอียดของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยน
(๓) ราคาที่ซื้อหรือได้มาของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยนและราคาที่จะแลกเปลี่ยนได้โดยประมาณ
(๔) พัสดุที่จะรับแลกเปลี่ยน
และให้ระบุว่าจะแลกเปลี่ยนกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน
(๕) ข้อเสนออื่น ๆ
ในกรณีที่จะแลกเปลี่ยนกับเอกชน
ให้ระบุวิธีที่จะแลกเปลี่ยนพร้อมทั้งเหตุผล โดยเสนอให้นำวิธีการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่พัสดุที่จะแลกเปลี่ยนนั้นมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
จะเสนอให้ใช้วิธีตกลงราคาก็ได้
ข้อ ๘๒
การแลกเปลี่ยนพัสดุกับเอกชน ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง
หรือหลายคณะตามความจำเป็น โดยถือปฏิบัติตามข้อ ๒๔ ข้อ ๒๕ หรือข้อ ๒๖ แล้วแต่กรณี โดยอนุโลม
ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจสอบและประเมินราคาพัสดุที่ต้องการแลกเปลี่ยนตามสภาพปัจจุบันของพัสดุนั้น
(๒)
ตรวจสอบรายละเอียดพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนว่าเป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยใช้งานมาก่อน
เว้นแต่พัสดุเก่าที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนนั้นจะเป็นความจำเป็นโดยไม่ทำให้ ททท.
ต้องเสียประโยชน์หรือเพื่อประโยชน์แก่ ททท.
(๓) เปรียบเทียบราคาพัสดุที่จะแลกเปลี่ยนกัน
โดยพิจารณาจากราคาที่ประเมินตาม (๑)
และราคาพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนซึ่งถือตามราคาในท้องตลาดโดยทั่วไป
(๔)
ต่อรองกับผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรแลกเปลี่ยน
(๕) เสนอความเห็นต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
(๖) ตรวจรับพัสดุโดยปฏิบัติตามข้อ ๔๖ โดยอนุโลม
ข้อ ๘๓
การแลกเปลี่ยนพัสดุกับส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการกับหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานนั้น
ๆ ที่จะตกลงกัน
ส่วนที่ ๔
การเช่า
ข้อ ๘๔
การเช่า หมายถึง การเช่าสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์รวมทั้งบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่า
เพื่อประโยชน์ในกิจการของ ททท. โดยให้นำข้อกำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
ข้อ ๘๕ การเช่าอสังหาริมทรัพย์
ให้ดำเนินการโดยวิธีตกลงราคาและให้กระทำได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เช่าที่ดินหรือสถานที่เพื่อประโยชน์ในกิจการของ ททท.
(๒) เช่าสถานที่เพื่อใช้เป็นที่พัก
(๓) การเช่าอื่น ๆ ที่คณะกรรมการ ททท. ให้ความเห็นชอบ
ข้อ ๘๖
การรายงานขอเช่า ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องเช่า และระยะเวลาที่ขอเช่า
(๒) ราคาค่าเช่าโดยประมาณหรือราคาค่าเช่าที่ผู้ให้เช่าเสนอ
(๓) รายละเอียดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะเช่า เช่น
สภาพของสถานที่บริเวณที่ต้องการใช้พร้อมทั้งภาพถ่าย และราคาค่าเช่าครั้งหลังสุด
เป็นต้น
(๔) อัตราค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งมีขนาดและสภาพใกล้เคียงกับที่จะเช่า การเช่าอสังหาริมทรัพย์ในส่วนภูมิภาค
ให้ขอความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของสถานที่และอัตราค่าเช่าจากอำเภอหรือจังหวัดนั้น
ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
ข้อ ๘๗
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าในการเช่าอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์
ให้กระทำได้เฉพาะกรณีการเช่าซึ่งมีระยะเวลาไม่เกิน ๓ ปี ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การเช่าจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของค่าเช่าทั้งสัญญา
(๒) การเช่าจากเอกชนจ่ายได้ไม่เกินร้อยละ ๒๐
ของค่าเช่าทั้งสัญญา
การจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้านอกเหนือจากหลักเกณฑ์ข้างต้นต้องได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ
ททท. ก่อน
ข้อ ๘๘
อสังหาริมทรัพย์ในประเทศซึ่งมีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาไม่เกินเดือนละ
๔๐๐,๐๐๐ บาท หรืออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศซึ่งมีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาไม่เกินเดือนละ
๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ผู้ว่าการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ ถ้าเกินต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
ททท. ก่อน
ข้อ ๘๙
การเช่าให้ทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันและให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะดำเนินการในเรื่องเงื่อนไขของสัญญาหรือข้อตกลงได้เอง
เว้นแต่กรณีการเช่าที่ ททท. ต้องเสียเงินอื่นใดนอกจากค่าเช่า
หรือในกรณีที่ผู้ว่าการเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ
ให้ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน และในกรณีที่จะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการตามกฎหมายด้วย
หมวด ๓
การควบคุมและการจำหน่ายพัสดุ
ส่วนที่ ๑
การให้ยืม
ข้อ ๙๐
การให้ยืมหรือนำพัสดุไปใช้ในกิจการซึ่งมิใช่เพื่อประโยชน์ของ ททท. จะกระทำมิได้
ข้อ ๙๑
การให้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป ต้องให้ผู้ยืมทำหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร
แสดงเหตุผล และกำหนดวันส่งคืน โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การให้หน่วยงานอื่นยืม
ผู้ยืมต้องเป็นหัวหน้าของหน่วยงานนั้น ๆ
(๒) การให้บุคคลยืมใช้ภายในสถานที่ทำการของ ททท. จะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบพัสดุนั้น
แต่ถ้ายืมไปใช้นอกสถานที่ทำการของ ททท. จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการ
ข้อ ๙๒
ผู้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูปจะต้องนำพัสดุนั้นมาส่งคืนให้ในสภาพที่ใช้การได้เรียบร้อย
หากเกิดการชำรุดเสียหาย หรือใช้การไม่ได้ หรือสูญหายไปให้ผู้ยืมจัดการแก้ไขซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง
หรือชดใช้เป็นพัสดุประเภท ชนิด ขนาด ลักษณะ
และคุณภาพอย่างเดียวกันหรือชดใช้เป็นเงินตามราคาที่เป็นอยู่ในขณะยืม
ข้อ ๙๓
การยืมพัสดุประเภทใช้สิ้นเปลืองให้กระทำได้เฉพาะเมื่อส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจผู้ยืมมีความจำเป็นต้องใช้พัสดุนั้นเป็นการรีบด่วน
จะดำเนินการจัดหาได้ไม่ทันการ และ ททท. มีพัสดุนั้น ๆ
พอที่จะให้ยืมได้โดยไม่เป็นการเสียหายแก่ ททท. และให้มีหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร
ทั้งนี้
โดยปกติส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจผู้ยืมจะต้องจัดหาพัสดุเป็นประเภท ชนิด
และปริมาณเช่นเดียวกันส่งคืนให้แก่ ททท.
ข้อ ๙๔
เมื่อครบกำหนดยืม ผู้ให้ยืมหรือผู้รับหน้าที่แทนมีหน้าที่ติดตามทวงพัสดุที่ให้ยืมไปคืนภายใน
๗ วันนับแต่วันครบกำหนด
ส่วนที่ ๒
การควบคุม
ข้อ ๙๕
พัสดุของ ททท. ไม่ว่าจะได้มาด้วยประการใด ให้อยู่ในความควบคุมตามข้อบังคับนี้
ข้อ ๙๖
เมื่อเจ้าหน้าที่พัสดุได้รับมอบพัสดุแล้ว ให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ลงบัญชีหรือทะเบียนเพื่อควบคุมพัสดุ
แยกเป็นชนิดและแสดงรายการโดยให้มีหลักฐานการรับเข้าบัญชีหรือทะเบียนไว้ประกอบรายการด้วย
สำหรับพัสดุประเภทอาหารสด จะลงรายการอาหารสดทุกชนิดในบัญชีเดียวกันก็ได้
(๒) เก็บรักษาพัสดุให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ปลอดภัย
และให้ครบถ้วนถูกต้องตรงตามบัญชีหรือทะเบียน
ข้อ ๙๗
การเบิกพัสดุ ให้พนักงานผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขึ้นไปที่ต้องใช้พัสดุนั้นเป็นผู้เบิก
และให้หัวหน้างานพัสดุหรือหัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบพัสดุเป็นผู้สั่งจ่าย
ข้อ ๙๘
ผู้จ่ายพัสดุต้องตรวจสอบความถูกต้องของใบเบิกและเอกสารประกอบ แล้วลงบัญชีหรือทะเบียนทุกครั้งที่มีการจ่าย
และเก็บใบเบิกจ่ายไว้เป็นหลักฐานด้วย
ข้อ ๙๙ ก่อนสิ้นเดือนกันยายนทุกปี
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งพนักงานซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่พัสดุคนหนึ่งหรือหลายคนตามความจำเป็น
เพื่อตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุงวดตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ปีก่อน จนถึงวันที่ ๓๐
กันยายน ปีปัจจุบัน และตรวจนับพัสดุคงเหลืออยู่เพียงวันสิ้นงวดนั้น
การตรวจสอบตามวรรคหนึ่ง
ให้เริ่มดำเนินการในวันเปิดทำการวันแรกของเดือนตุลาคม เป็นต้นไป
ว่าการรับจ่ายถูกต้องหรือไม่ พัสดุคงเหลือมีตัวอยู่ตรงตามบัญชีหรือทะเบียนหรือไม่
มีพัสดุใดชำรุด เสื่อมคุณภาพ หรือสูญไป เพราะเหตุใด หรือพัสดุใดไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป
แล้วให้เสนอรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อผู้ว่าการภายใน ๓๐
วันทำการนับแต่วันเริ่มดำเนินการตรวจสอบพัสดุนั้น
ข้อ ๑๐๐
สำหรับสำนักงานสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานสาขาจัดให้มีการตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุของสำนักงานนั้น
โดยให้นำข้อ ๙๙ มาใช้โดยอนุโลม
ข้อ ๑๐๑
เมื่อผู้ว่าการได้รับรายงานาตามข้อ ๙๙ และข้อ ๑๐๐ แล้ว และปรากฏว่ามีพัสดุชำรุดเสื่อมคุณภาพ
หรือสูญไป หรือไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง
โดยให้นำข้อ ๒๔ และข้อ ๒๕ มาใช้โดยอนุโลม เว้นแต่สำนักงานสาขาในต่างประเทศ
ให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๒๖ โดยอนุโลม
ถ้าผลการพิจารณาปรากฏว่าจะต้องหาตัวผู้รับผิดด้วย
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง
ในกรณีที่เห็นสมควรผู้ว่าการจะสั่งให้คณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงทำหน้าที่สอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งด้วยก็ได้
ให้คณะกรรมการเสนอผลการพิจารณาต่อผู้ว่าการภายใน ๖๐
วันนับแต่วันที่ประธานกรรมการทราบคำสั่งแต่งตั้งกรรมการ
แต่ถ้ายังพิจารณาไม่แล้วเสร็จจะขออนุญาตขยายเวลาดำเนินการต่อไปอีกคราวละไม่เกิน ๓๐
วันก็ได้
ข้อ ๑๐๒
เรื่องใดที่ปรากฏตัวผู้ต้องรับผิดโดยชัดแจ้งหรือที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งอยู่ก่อนที่จะมีการตรวจสอบพัสดุไม่ต้องดำเนินการตามข้อ
๑๐๑ เฉพาะเรื่องนั้น
ข้อ ๑๐๓
เมื่อปรากฏตัวผู้ต้องรับผิดให้ผู้ว่าการสั่งการภายใน ๔๕ วันนับแต่วันรู้ตัวผู้ต้องรับผิดโดย
ชัดแจ้ง หรือวันได้รับรายงานของคณะกรรมการสอบสวน แล้วแต่กรณี ตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่สามารถแก้ไขให้คงสภาพเดิมได้
ให้แก้ไขโดยเสียค่าใช้จ่ายของผู้ต้องรับผิดเองภายในกำหนดเวลาอันสมควร
(๒) ในกรณีสูญไปหรือไม่สามารถแก้ไขให้คงสภาพเดิมได้
ให้ชดใช้เป็นพัสดุประเภทชนิด ลักษณะ และขนาดอย่างเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันโดยมีสภาพไม่ด้อยไปกว่าพัสดุที่ได้ทำชำรุดเสื่อมสภาพ
หรือสูญไปนั้น หรือชดใช้เป็นเงินตามที่ผู้ว่าการกำหนดโดยให้ผู้ต้องรับผิดส่งใช้คืนทั้งหมดภายใน
๓๐ วันนับแต่วันได้รับแจ้ง
ในกรณีชดใช้เป็นเงิน
ถ้าผู้ต้องรับผิดไม่สามารถส่งใช้คืนภายใน ๓๐ วัน จะผ่อนผันให้ใช้เป็นรายเดือนก็ได้
แต่จะต้องชดใช้ให้เสร็จสิ้นภายใน ๑ ปี หรือภายในระยะเวลาที่ผู้ว่าการเห็นสมควร แล้วแต่กรณี
การผ่อนผันดังกล่าวให้ทำสัญญารับสภาพหนี้เป็นหนังสือพร้อมหลักประกันที่เหมาะสมไว้เป็นหลักฐาน
(๓) ถ้าผู้ต้องรับผิดคนใดปฏิเสธไม่ยินยอมปฏิบัติตาม (๑)
หรือ (๒) หรือไม่ยอมทำสัญญารับสภาพหนี้ ให้ดำเนินคดีต่อไป
ส่วนที่ ๓
การจำหน่าย
ข้อ ๑๐๔ หลังจากการตรวจสอบแล้ว
พัสดุใดหมดความจำเป็นหรือหากใช้งานต่อไปจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอรายงานต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการตามวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(๑) ขาย ให้ดำเนินการขายทอดตลาดก่อน
แต่ถ้าขายโดยวิธีนี้แล้วไม่ได้ผลดีให้นำวิธีที่กำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่การขายพัสดุครั้งหนึ่งที่มีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
จะขายโดยวิธีตกลงราคาก็ได้ การขายให้แก่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
หรือองค์การสถานสาธารณกุศลตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร ให้ขายโดยวิธีตกลงราคา
(๒)
แลกเปลี่ยนให้ดำเนินการตามวิธีการแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
(๓) โอน ให้โอนแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การสถานสาธารณกุศล
ตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร ที่แจ้งความประสงค์ขอมา โดยได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ
ททท. เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการโอนพัสดุซึ่งหมดความจำเป็นที่จะต้องใช้หรือไม่สามารถใช้งานได้
ให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะเป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้ ให้มีหลักฐานการส่งมอบไว้ต่อกัน
(๔) แปรสภาพหรือทำลาย
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้ว่าการกำหนด
การจำหน่ายเป็นสูญ
ข้อ ๑๐๕
ในกรณีที่พัสดุสูญไปโดยไม่ปรากฏตัวผู้รับผิด หรือมีตัวผู้รับผิดแต่ไม่สามารถชดใช้ตามข้อ
๑๐๓ หรือมีตัวพัสดุอยู่แต่ไม่สามารถดำเนินการตามข้อ ๑๐๔ ได้ ให้จำหน่ายพัสดุนั้นเป็นสูญ
ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ถ้าพัสดุนั้นมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐
บาท ให้ผู้ว่าการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ
(๒) ถ้าพัสดุนั้นมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันเกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ให้อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ททท. เป็นผู้พิจารณาอนุมัติตามที่เห็นสมควร
การลงจ่ายออกจากบัญชีหรือทะเบียน
ข้อ ๑๐๖
เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ ๑๐๔ หรือข้อ ๑๐๕ แล้ว ให้เจ้าหน้าที่พัสดุลงจ่ายพัสดุนั้นออกจากบัญชีหรือทะเบียนทันที
สำหรับพัสดุซึ่งต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย
ให้แจ้งนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย
ข้อ ๑๐๗
ในกรณีที่พัสดุชำรุด เสื่อมคุณภาพ สูญไป หรือไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป
ก่อนมีการตรวจสอบตามข้อ ๙๙ และข้อ ๑๐๐
เมื่อผู้ว่าการได้อนุมัติให้จำหน่ายพัสดุนั้นแล้ว ให้ดำเนินการตามข้อ ๑๐๖
โดยอนุโลม
หมวด ๔
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๑๐๘
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการต่อไปตามข้อบังคับ ระเบียบ และคำสั่งเดิม จนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ
ประกาศ ณ วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘
สาวิตต์ โพธิวิหค
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบสัญญาจ้าง
๒.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันซอง)
๓.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันสัญญา)
๔.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินค่าจ้างล่วงหน้า)
๕.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินประกันผลงาน)
๖.
แบบสัญญาซื้อขาย
๗.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันซอง)
๘.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันสัญญา)
๙.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินค่าพัสดุล่วงหน้า)
๑๐.
แบบสัญญาซื้อขายคอมพิวเตอร์
๑๑.
แบบสัญญาเช่าคอมพิวเตอร์
๑๒.
แบบสัญญาจ้างบริการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขคอมพิวเตอร์
๑๓.
แบบสัญญาจ้างผู้เชี่ยวชาญรายบุคคลหรือจ้างบริษัทที่ปรึกษา
๑๔.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินค่าจ้างที่ปรึกษาล่วงหน้า)
๑๕.
แบบหนังสือค้ำประกัน (หลักประกันการรับเงินประกันผลงาน)
๑๖.
แบบสัญญาจ้างที่ปรึกษาออกแบบและควบคุมงาน
๑๗.
แบบสัญญาแลกเปลี่ยน
๑๘.
ตัวอย่างบัญชีวัสดุ
๑๙. ตัวอย่างทะเบียนครุภัณฑ์
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
มณฑิตา/ผู้จัดทำ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๑๘
มิถุนายน ๒๕๕๕
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๒/ตอนพิเศษ ๔๐ ง/หน้า ๑/๑๓ ตุลาคม ๒๕๓๘ |
318828 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 34 (พ.ศ. 2531) ว่าด้วยการพัสดุ | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ ๓๔
(พ.ศ. ๒๕๓๑)
ว่าด้วยการพัสดุ
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจัดซื้อทรัพย์สิน พ.ศ. ๒๕๒๐
และข้อบังคับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการจ้าง พ.ศ. ๒๕๒๑
ให้เป็นข้อบังคับเดียวกัน เพื่อสะดวกในการปฏิบัติยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๔)
ของพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
จึงวางข้อบังคับไว้ดังนี้
ข้อ ๑
ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๓๔
พ.ศ. ๒๕๒๐ ว่าด้วยพัสดุ
ข้อ ๒
ให้ยกเลิก
(๑) ข้อบังคับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจัดซื้อทรัพย์สิน พ.ศ. ๒๕๒๐
(๒) ข้อบังคับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจ้าง พ.ศ. ๒๕๒๑
บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่งอื่นใด
ที่กำหนดไว้แล้วในข้อบังคับนี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้
ให้ใช้ข้อบังคับนี้แทน
หมวด ๑
ข้อความทั่วไป
ข้อ ๓
ในข้อบังคับนี้
พัสดุ หมายความว่า วัสดุ ครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง
ที่กำหนดไว้ในหนังสือการจำแนกประเภทรายจ่ายตามงบประมาณของสำนักงบประมาณ
การพัสดุ หมายความว่า การซื้อ การจ้าง การซ่อม
และบำรุงรักษา การจัดทำเองการแลกเปลี่ยน การเช่า การควบคุมและการดำเนินการอื่น ๆ
ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
ททท. หมายความว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ ททท. หมายความว่า คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ประธานกรรมการ ททท. หมายความว่า
ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ผู้ว่าการ หมายความว่า ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
พนักงาน หมายความว่า พนักงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และหมายความรวมถึงรองผู้ว่าการด้วย
เจ้าหน้าที่พัสดุ หมายความว่า พนักงานซึ่งดำรงตำแหน่งที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการพัสดุ
หรือผู้ได้รับแต่งตั้งหรือได้รับมอบหมายจากผู้ว่าการให้มีหน้าที่หรือปฏิบัติงานเกี่ยวกับการพัสดุตามข้อบังคับนี้
การซื้อ หมายความว่า การซื้อพัสดุทุกชนิด
แต่ไม่รวมถึงการจัดหาพัสดุในลักษณะการจ้าง
การจ้าง ให้หมายความรวมถึงการจ้างทำของและการรับขนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และการจ้างเหมาบริการแต่ไม่รวมถึงการจ้างลูกจ้างของ ททท.
และการรับขนในการเดินทางไปปฏิบัติงาน
ผู้สั่งซื้อ หมายความว่า ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ซื้อ
ผู้สั่งจ้าง หมายความว่า ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้จ้าง
ผู้ซื้อ หมายความว่า ผู้ว่าการซึ่งดำเนินการซื้อในนามของ
ททท.
ผู้ว่าจ้าง หมายความว่า
ผู้ว่าการซึ่งดำเนินการจ้างในนามของ ททท.
ข้อ ๔
ข้อบังคับนี้ใช้บังคับสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุซึ่งใช้เงินงบประมาณ
เงินรายได้ตามมาตรา ๑๑ ของพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
และเงินกู้
ข้อ ๕
ผู้ว่าการจะมอบอำนาจตามข้อบังคับนี้
โดยทำเป็นหนังสือให้แก่พนักงานผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้ โดยคำนึงถึงตำแหน่งและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบอำนาจนั้นเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ภายในวงเงินที่ผู้ว่าการมีอำนาจ
ข้อ ๖
เจ้าหน้าที่พัสดุ ผู้ว่าการหรือผู้มีอำนาจสั่งการตามระเบียบนี้
ผู้ใดกระทำการโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้หรือกระทำการโดยมีเจตนาทุจริตหรือปราศจากอำนาจ
หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่
ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยตามข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพนักงานที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นภายใต้หลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) ถ้าการกระทำเป็นเหตุให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสียหายอย่างร้างแรง
ให้ดำเนินการลงโทษอย่างต่ำให้ออก หรือเลิกจ้าง
(๒) ถ้าการกระทำเป็นเหตุให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสียหาย
แต่ไม่ร้ายแรง ให้ลงโทษอย่างต่ำตัดเงินเดือน
(๓) ถ้าการกระทำไม่เป็นเหตุให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสียหาย
ให้ลงโทษภาคทัณฑ์ หรือว่ากล่าวตักเตือน โดยทำคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร
การลงโทษตาม (๑) หรือ (๒)
ไม่เป็นเหตุให้ผู้กระทำหลุดพ้นจากความผิดทางอาญาหรือความรับผิดในทางแพ่ง
หมวด ๒
การจัดหาพัสดุ
ส่วนที่ ๑
การซื้อและการจ้าง
ข้อ ๗
การซื้อให้ส่งเสริมพัสดุที่ผลิตในประเทศไทย
โดยให้ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการเกี่ยวกับการใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศไทยโดยอนุโลม
การจ้างให้ส่งเสริมกิจการของคนไทย
โดยให้ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการเกี่ยวกับการใช้กิจการของคนไทยโดยอนุโลม
วิธีซื้อและวิธีจ้าง
ข้อ ๘
การซื้อและการจ้างกระทำได้ ๕ วิธี คือ
(๑) วิธีตกลงราคา
(๒) วิธีสอบราคา
(๓) วิธีประกวดราคา
(๔) วิธีพิเศษ
(๕) วิธีกรณีพิเศษ
ข้อ ๙
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา ได้แก่
การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๐
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา ได้แก่ การซื้อหรือการจ้าง
ครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกินกว่า ๒๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๑
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีการประกวดราคา ได้แก่
การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกินกว่า ๔๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๑๒
การซื้อหรือการจ้างตามข้อ ๙ และข้อ ๑๐
ถ้าผู้สั่งซื้อหรือผู้สั่งจ้างเห็นสมควรจะสั่งให้กระทำโดยวิธีที่กำหนดไว้สำหรับวงเงินที่สูงกว่าก็ได้
การแบ่งซื้อหรือแบ่งจ้างเพื่อให้วงเงินต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในวิธีหนึ่งวิธีใด
จะกระทำมิได้
ข้อ ๑๓
การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การซื้อครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกินกว่า ๒๐,๐๐๐
บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใด ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นพัสดุขายทอดตลาด
(๒) เป็นพัสดุที่จะขายทอดตลาดโดยส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ
องค์การระหว่างประเทศ หรือหน่วยงานของต่างประเทศ
(๓) เป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๔) เป็นพัสดุเพื่อใช้ในกิจการลับ
(๕) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศหรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ
(๖) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรง
(๗) เป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
(๘) เป็นพัสดุที่เป็นที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง
ข้อ ๑๔
การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกินกว่า ๒๐,๐๐๐
บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(๑) เป็นงานที่ต้องการช่างผู้มีฝีมือจริง ๆ
หรือผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษ
(๒) เป็นงานจ้างซ่อมพัสดุที่จำเป็นต้องถอดตรวจให้ทราบความชำรุดเสียหายเสียก่อน
จึงจะประมาณค่าซ่อมได้
(๓) เป็นงานที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การปฏิบัติงาน
(๔) เป็นงานที่ต้องปกปิดเป็นความลับ
(๕) เป็นงานที่ได้ดำเนินการจ้างโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ข้อ ๑๕
สำหรับสำนักงานสาขา
หรือมีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัตินอกสถานที่ตั้งสำนักงานตามปกติทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จะซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษก็ได้
ข้อ ๑๖
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) การซื้อหรือการจ้างจากส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
หรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นผู้ทำหรือผลิตพัสดุนั้น ๆ ขึ้นเอง
(๒) การซื้อหรือการจ้างที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรี
กำหนดให้ ต้องซื้อหรือจ้างจากส่วนราชการ หน่วยงานตามกฎหมาย
ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
หรือรัฐวิสาหกิจ
รายงานขอซื้อและขอจ้าง
ข้อ ๑๗
ก่อนดำเนินการซื้อหรือจ้างทุกวิธี
นอกจากการซื้อที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างตามข้อ ๑๘ ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการดังนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อหรือจ้าง
(๒) รายละเอียดของพัสดุที่จะซื้อหรืองานที่จะจ้าง
(๓) ราคาพัสดุหรือค่าจ้างในท้องตลาดขณะนั้นที่สืบทราบหรือประมาณได้
(๔) วงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
(๕) ประมาณเวลาที่ต้องการใช้พัสดุนั้น หรือให้งานนั้นเสร็จ
(๖) วิธีที่จะซื้อหรือจ้าง
และเหตุผลที่ต้องซื้อหรือจ้างโดยวิธีนั้น
(๗) ข้อเสนออื่น ๆ (ถ้ามี)
ในกรณีที่จะต้องดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๓
(๓) หรือ ข้อ ๑๔ (๓) ซึ่งไม่อาจทำรายงานตามปกติได้เจ้าหน้าที่พัสดุหรือผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้น
จะทำรายงานเฉพาะรายการที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้
ข้อ ๑๘
ก่อนดำเนินการซื้อที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้าง
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อ
(๒) รายละเอียดของที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างที่ต้องการซื้อ
รวมทั้งเนื้อที่และท้องที่ที่ต้องการ
(๓) ราคาประเมินของทางราชการในท้องที่นั้น
(๔) วงเงินที่จะซื้อ
(๕) วิธีที่จะซื้อและเหตุผลที่ต้องซื้อโดยวิธีนั้น
(๖) ข้อเสนออื่น ๆ (ถ้ามี)
การดำเนินการซื้อที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างให้ติดต่อกับเจ้าของโดยตรง
เว้นแต่ การซื้อที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศหากจำเป็นต้องติดต่อผ่านนายหน้าหรือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามกฎหมายหรือประเพณีนิยมของท้องถิ่นก็ให้กระทำได้
ข้อ ๑๙ เมื่อผู้ว่าการให้ความเห็นชอบตามรายงานที่เสนอตามข้อ
๑๗ หรือ ข้อ ๑๘ แล้ว ให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการตามวิธีการซื้อหรือวิธีการจ้างนั้น
ๆ ต่อไปได้
กรรมการ
ข้อ ๒๐
ในการดำเนินการซื้อหรือจ้างแต่ละครั้ง
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อปฏิบัติการตามข้อบังคับนี้ แล้วแต่กรณี
คือ
(๑) คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
(๒) คณะกรรมการรับซองประกวดราคา
(๓) คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคา
(๔) คณะกรรมการจัดซื้อหรือจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ
(๕) คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ
(๖) คณะกรรมการตรวจการจ้าง
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษของสำนักงานสาขา
จะไม่แต่งตั้งคณะกรรมการตาม (๔) ก็ได้ และการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๓
(๓) และข้อ ๑๔ (๓) สำหรับส่วนกลางจะไม่แต่งตั้งคณะกรรมการตาม (๔) ก็ได้
ข้อ ๒๑
คณะกรรมการตามข้อ ๒๐ แต่ละคณะ ให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ ๑ คน และกรรมการอย่างน้อย
๒ คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานตั้งแต่ระดับ ๓ หรือเทียบเท่าขึ้นไป
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท.
จะแต่งตั้งบุคคลที่มิใช่พนักงานร่วมเป็นกรรมการด้วยก็ได้ ถ้าประธานกรรมการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งพนักงานที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นทำหน้าที่ประธานกรรมการแทน
ในกรณีเมื่อถึงกำหนดเวลารับซองประกวดราคา หรือเปิดซองสอบราคา
หรือเปิดซองประกวดราคาแล้ว ประธานกรรมการยังไม่มาปฏิบัติหน้าที่
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานกรรมการในเวลานั้น
โดยให้คณะกรรมการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่เฉพาะข้อ ๒๗ (๑) ข้อ ๓๔ หรือข้อ ๓๖ (๑)
แล้วแต่กรณี แล้วรายงานประธานกรรมการซึ่งผู้ว่าการแต่งตั้งเพื่อดำเนินการต่อไปในการซื้อหรือจ้างครั้งเดียวกัน
ห้ามแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการรับซองประกวดราคาเป็นกรรมการเปิดซองประกวดราคา
หรือแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการเปิดซองสอบราคา หรือกรรมการเปิดซองประกวดราคา
เป็นกรรมการตรวจรับพัสดุ
คณะกรรมการทุกคณะ เว้นแต่คณะกรรมการรับซองประกวดราคา
ควรแต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุหรืองานจ้างนั้น ๆ
เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย
สำหรับการซื้อหรือการจ้างในวงเงินไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท
หรือการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๓ (๓) หรือข้อ ๑๔ (๓)
และการซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษของสำนักงานสาขา จะแต่งตั้งพนักงานเพียงคนเดียวเป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรืองานจ้างนั้นโดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ
หรือคณะกรรมการตรวจการจ้างก็ได้
ส่วนการซื้อหรือการจ้างสำหรับกิจกรรมที่ต้องปฏิบัตินอกสถานที่ตั้งสำนักงานตามปกติ
ให้ผู้จ่ายเงินค่าพัสดุหรืองานจ้าง แล้วแต่กรณี เป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
ๆ โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ
หรือคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ข้อ ๒๒
ในการประชุมปรึกษาของคณะกรรมการแต่ละคณะต้องมีกรรมการมาพร้อมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดโดยให้ประธานกรรมการและกรรมการแต่ละคนมีเสียงหนึ่งในการลงมติ
มติของคณะกรรมการให้ถือเสียงข้างมาก
เว้นแต่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ และคณะกรรมการตรวจการจ้าง ให้ถือมติเอกฉันท์
ในกรณีกรรมการบางคนไม่ยอมรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
โดยทำความเห็นแย้งไว้ ให้นำความในข้อ ๔๒ (๗) หรือ ข้อ ๔๓ (๖) แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ
สำหรับคณะกรรมการคณะอื่นถ้าผู้ใดไม่เห็นด้วยให้ทำบันทึกความเห็นแย้งไว้ด้วย
ข้อ ๒๓
การแต่งตั้งคณะกรรมการตามข้อ ๒๐ สำหรับสำนักงานสาขาถ้ามีพนักงานในสำนักงานนั้นไม่พอที่จะปฏิบัติตามความในข้อ
๒๑ หรือข้อ ๒๒ ได้ จะแต่งตั้งพนักงานคนหนึ่งและลูกจ้างของสำนักงานนั้นหรือบุคคลอื่นร่วมเป็นกรรมการคณะหนึ่งคณะใดหรือทุกคณะก็ได้
วิธีตกลงราคา
ข้อ ๒๔
การซื้อหรือจ้างโดยวิธีตกลงราคา ให้เจ้าหน้าที่พัสดุต่อรองและตกลงราคากับผู้ขายหรือผู้รับจ้าง
แล้วจัดซื้อหรือจ้างได้ภายในวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบตามข้อ ๑๙
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคาในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน
และไม่อาจดำเนินการตามปกติได้ ให้เจ้าหน้าที่พัสดุหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้นดำเนินการไปก่อน
แล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อผู้มีอำนาจสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง
วิธีสอบราคา
ข้อ ๒๕
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา ให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ก่อนวันเปิดซองไม่น้อยกว่า ๗ วัน ให้ผู้ว่าการปิดใบแจ้งความสอบราคาไว้โดยเปิดเผย
ณ ที่ทำการของ ททท.
กับให้ส่งใบแจ้งความดังกล่าวไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานนั้นโดยตรงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อให้เสนอราคาเป็นหนังสือผนึกซองยื่นต่อเจ้าหน้าที่พัสดุด้วยตนเอง หรือโดยผู้แทนซึ่งได้รับมอบหมายเป็นหนังสือภายในวัน
เวลา และสถานที่ที่กำหนด
(๒) ให้เจ้าหน้าที่พัสดุรับซองใบเสนอราคาที่ยื่นมาทุกรายโดยไม่เปิดซองเมื่อครบกำหนดเวลาตาม
(๑) แล้ว ให้ส่งมอบซองใบเสนอราคาพร้อมทั้งรายงานผลการรับซองต่อคณะกรรมการเปิดซองสอบราคาเพื่อดำเนินการต่อไป
เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองแล้ว ห้ามรับซองใบเสนอราคาจากผู้หนึ่งผู้ใดอีก
ข้อ ๒๖
ใบแจ้งความสอบราคา ให้มีรายการทำนองเดียวกับใบแจ้งความประกวดราคาตามข้อ ๓๑ เว้นแต่ไม่ต้องวางหลักประกันซอง
ข้อ ๒๗
คณะกรรมการเปิดซองสอบราคามีหน้าที่ดังนี้
(๑) เปิดซองใบเสนอราคาโดยเปิดเผยต่อหน้าผู้ยื่นซองหรือผู้แทนซึ่งมีอยู่ในขณะถึงเวลาเปิดซอง
แล้วจดราคาจากใบเสนอราคาทุกฉบับลงไว้ในบัญชีเปรียบเทียบราคา
และให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคา บัญชีเปรียบเทียบราคา
และเอกสารประกอบใบเสนอราคาที่เป็นเอกสารสำคัญ
(๒) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา แคตตาล็อค
หรือแบบรูปและรายการละเอียด แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในแจ้งความสอบราคา
(๓) พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างของผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตาม
(๒) ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อ ททท.
แล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่งเสนอราคาต่ำสุดและอยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการที่จะต่อรองราคาหรือไม่ก็ได้
โดยคำนึงถึงราคาที่เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอตามข้อ ๑๗ หรือข้อ ๑๘
เป็นเครื่องประกอบการพิจารณา
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกัน ด้วยวิธียื่นซองเสนอราคาหรือโดยวาจา
ถ้าปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้าง
สูงกว่าเงินที่จะซื้อหรือจ้าง ให้คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาดำเนินการตามข้อ ๒๘
(๔) ในกรณีที่มีผู้เสนอราคาถูกต้องตรงตามรายการละเอียด และเงื่อนไข ที่กำหนดไว้ในแจ้งความสอบราคาเพียงรายเดียว
ให้คณะกรรมการดำเนินการตาม (๓) โดยอนุโลม
(๕) เมื่อได้ดำเนินการไปแล้วได้ผลประการใด ให้เสนอความเห็น พร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๒๘
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคาที่ปรากฏว่า
ราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้าง
สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง ให้คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาดำเนินการตามลำดับดังนี้
(๑) เรียกผู้เสนอราคารายนั้นมาต่อรองราคาให้ต่ำสุดเท่าที่จะทำได้
หากผู้เสนอราคารายนั้นยอมลดราคาลงอยู่ภายในวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคารายนั้น
(๒) ถ้าผู้เสนอราคาตาม (๑) ไม่ยอมลดราคาหรือลดราคาแล้ว
แต่ยังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้เรียกผู้เสนอราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้าง
ทุกรายมาต่อรองราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคาภายในกำหนดระยะเวลาอันสมควร
หากรายใดไม่มายื่นซองให้ถือว่ารายนั้นยื่นตามราคาที่เสนอไว้เดิม ทั้งนี้ ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้ที่ลดราคาลงต่ำสุดอยู่ภายในวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
(๓) ถ้าปรากฏว่าราคาต่ำสุดของรายที่ได้ต่อรองราคาใหม่
ยังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง หรือไม่มีผู้ใดยินยอมลดราคาเลยให้เสนอความเห็นต่อผู้ว่าการว่าจะสมควรเปลี่ยนแปลงรายการ
หรือยกเลิกการสอบราคาเพื่อดำเนินการสอบราคาใหม่
หรือดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีอื่น
วิธีประกวดราคา
ข้อ ๒๙
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา
ให้ผู้ว่าการปิดประกาศหรือใบแจ้งความประกวดราคาโดยเปิดเผย ณ ที่ทำการของ ททท.
หรือประกาศทางวิทยุกระจายเสียง หรือลงประกาศในหนังสือพิมพ์
หากเห็นสมควรจะส่งประกาศหรือใบแจ้งความดังกล่าวไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
หรือจะโฆษณาด้วยวิธีอื่นอีกก็ได้
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
จะต้องกระทำก่อนวันรับซองประกวดราคาไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
ข้อ ๓๐
การให้หรือขายแบบรูปและรายการละเอียดในการประกวดราคาให้กระทำ ณ
สถานที่ที่ผู้ต้องการสามารถติดต่อได้โดยสะดวกและไม่เป็นเขตห้วงห้ามกับจะต้องจัดเตรียมไว้ให้มากพอสำหรับความต้องการของผู้มาขอรับหรือขอซื้อ
ที่มีอาชีพขายหรือทำงานจ้างนั้นรายละ ๑ ชุด
ในกรณีที่มีการขาย ให้กำหนดราคาพอสมควรกับค่าใช้จ่ายที่
ททท. ต้องเสียไปในการจัดทำแบบรูปและรายการละเอียดนั้น
ข้อ ๓๑
ใบแจ้งความประกวดราคาอย่างน้อยให้แสดงรายการดังต่อไปนี้
(๑) รายละเอียดและคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุที่ต้องการซื้อหรืองานที่ต้องการจ้าง
และจำนวนที่ต้องการ
(๒) คุณสมบัติของผู้เข้าประกวดราคาซึ่งจะต้องมีอาชีพขายหรือรับจ้างตาม
(๑) และไม่เป็นผู้ได้รับเอกสิทธิ์หรือความคุ้มกันซึ่งอาจปฏิเสธไม่ยอมขึ้นศาล
เว้นแต่รัฐบาลของผู้เข้าประกวดราคาจะได้มีคำสั่งให้สละเอกสิทธิ์และความคุ้มกันเช่นว่านั้น
(๓) ในกรณีจำเป็น ให้ระบุให้ผู้เข้าประกวดราคาส่งตัวอย่างแคตตาล็อค
หรือแบบรูป และรายการละเอียดไปพร้อมกับใบเสนอราคา
(๔) ถ้าจำเป็นต้องทำการตรวจทดลอง
ให้กำหนดจำนวนตัวอย่างให้พอแก่การตรวจทดลองและให้มีเหลือไว้สำหรับทำสัญญาด้วย ทั้งนี้ ให้มีข้อกำหนดไว้ด้วยว่า ททท.
ไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตัวอย่างที่ส่งมาให้ตรวจทดลอง
(๕) ข้อกำหนดให้ผู้เข้าประกวดราคารวมทั้งสิ้น
และราคาต่อหน่วยหรือต่อรายการ(ถ้าทำได้)
พร้อมทั้งแจ้งหลักเกณฑ์ว่าจะพิจารณาราคารวมหรือราคาต่อหน่วยหรือต่อรายการไว้ด้วย
(๖) กำหนดระยะเวลายื่นราคาเท่าที่จำเป็นต่อ ททท.
(๗) กำหนดสถานที่ วัน เวลารับซอง
ปิดการรับซองและเปิดซองประกวดราคา
(๘) กำหนดสถานที่ส่งมอบพัสดุและวันส่งมอบโดยประมาณ
(สำหรับการซื้อ) หรือกำหนดวันที่จะเริ่มทำงานและวันแล้วเสร็จโดยประมาณ
(สำหรับการจ้าง)
(๙) จำนวนเงินที่กำหนดเป็นหลักประกันซอง สถานที่รับหลักประกันซองและให้มีเงื่อนไขว่าถ้าผู้เข้าประกวดราคาถอนการเสนอราคา
หรือไม่ไปทำสัญญาหรือข้อตกลงกับ ททท. ภายในกำหนด ททท. จะริบหลักประกันซอง
หรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ค้ำประกัน
และสงวนสิทธิ์ที่จะถือว่าผู้ที่ไม่ไปทำสัญญากับททท. เป็นผู้ทิ้งงานด้วย
(๑๐) อัตราการจ่ายเงินล่วงหน้า (ถ้ามี)
(๑๑) ข้อกำหนดว่าผู้ประกวดราคาได้
จะต้องวางหลักประกันสัญญาตามอัตราที่กำหนดในข้อ ๕๐
(๑๒) ใบเสนอราคาให้ลงราคารวมทั้งสิ้นเป็นตัวเลขและต้องมีตัวหนังสือกำกับ
ถ้าตัวเลขและตัวหนังสือไม่ตรงกัน ให้ถือตัวหนังสือเป็นสำคัญ
(๑๓) ซองประกวดราคาต้องผนึกให้เรียบร้อยก่อนยื่นต่อเจ้าหน้าที่หรือคณะกรรมการรับซองประกวดราคา
(๑๔) สถานที่ติดต่อกับแบบรูปและรายการละเอียดพร้อมทั้งแบบสัญญาในกรณีที่มีการขายให้ระบุราคาขายไว้ด้วย
(๑๕) อัตราค่าปรับ
(๑๖) ข้อสงวนสิทธิ์ว่า ททท.
ทรงไว้ซึ่งสิทธิ์ที่จะงดซื้อหรือจ้าง หรือเลือกซื้อหรือจ้างโดยไม่จำต้องซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคาต่ำสุดเสมอไป
ข้อ ๓๒
การรับซองประกวดราคาให้กระทำได้ ๒ วิธี คือ
(๑) จัดตู้ทึบหรือหีบทึบ มีช่องสำหรับสอดซองประกวดราคาไว้ ณ
ที่ทำการของ ททท.
(๒) ตั้งคณะกรรมการรับซองประกวดราคาตามข้อ ๒๐
ข้อ ๓๓
วิธีรับซองประกวดราคาตามข้อ ๓๒ (๑) ให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการดังนี้
(๑) ใส่กุญแจตู้หรือหีบนั้น
พร้อมทั้งประทับตราก่อนเวลารับซองประกวดราคา แล้วมอบกุญแจให้หัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุเป็นผู้ถือไว้
(๒) รับซองประกวดราคา ลงทะเบียนซองไว้เป็นหลักฐาน
ลงชื่อกำกับบันทึกไว้ที่หน้าซองว่าเป็นของผู้ใด
(๓) ตรวจสอบหลักประกันซองร่วมกับเจ้าหน้าที่การเงิน เมื่อถูกต้องแล้วให้เจ้าหน้าที่การเงินออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซองไว้เป็นหลักฐาน
(๔) แนะนำให้ผู้ยื่นซองนำซองไปใส่ตู้หรือหีบที่จัดไว้
(๕) รับเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
ตามเงื่อนไขที่กำหนดในแจ้งความประกวดราคา พร้อมทั้งพัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อค
หรือแบบรูปและรายการละเอียด (ถ้ามี)
(๖) เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองประกวดราคาแล้วให้ส่งมอบตู้หรือหีบบรรจุซองประกวดราคาและเอกสารหลักฐานต่าง
ๆ ตาม (๕) พร้อมด้วยบันทึกรายงานรับซองประกวดราคาต่อคณะกรรมการเปิดซองประกวดราคา
ข้อ ๓๔
คณะกรรมการรับซองประกวดราคา มีหน้าที่ดังนี้
(๑) รับซองประกวดราคา ลงทะเบียนรับซองไว้เป็นหลักฐาน
ลงชื่อกำกับซอง กับบันทึกไว้ที่หน้าซองว่าเป็นของผู้ใด
(๒) ตรวจสอบหลักประกันซองร่วมกับเจ้าหน้าที่การเงินเมื่อถูกต้องแล้วให้เจ้าหน้าที่การเงินออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซองไว้เป็นหลักฐาน
(๓) รับเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
ตามเงื่อนไขที่กำหนดในแจ้งความประกวดราคา พร้อมทั้งพัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อค
หรือแบบรูปและรายการละเอียด (ถ้ามี)
(๔) เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองประกวดราคาแล้วให้ส่งมอบซองประกวดราคาทั้งหมดและเอกสารหลักฐานต่าง
ๆ ตาม (๓) พร้อมด้วยบันทึกรายงานการรับซองประกวดราคาต่อคณะกรรมการเปิดซองประกวดราคา
ข้อ ๓๕
เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองประกวดราคาแล้ว ห้ามรับซองประกวดราคา และหรือเอกสารหลักฐานต่าง
ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในแจ้งความประกวดราคาอีก การรับซองประกวดราคาที่ส่งมาทางไปรษณีย์จะกระทำมิได้
ข้อ ๓๖
คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคา มีหน้าที่ดังนี้
(๑) เปิดซองประกวดราคาโดยเปิดเผยต่อหน้าผู้เข้าประกวดราคาหรือผู้แทนซึ่งมีอยู่ในขณะถึงเวลาเปิดซอง
แล้วจดราคาจากใบเสนอราคาทุกฉบับลงไว้ในบัญชีเปรียบเทียบราคา และให้กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคา
บัญชีเปรียบเทียบราคาและเอกสารประกอบใบเสนอราคาที่เป็นเอกสารสำคัญ
(๒) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคาใบเสนอราคา แคตตาล็อค
หรือแบบรูปและรายการละเอียด
แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในแจ้งความประกวดราคา
(๓) พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างของผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตาม
(๒) ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อ ททท.
แล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่งเสนอราคาต่ำสุด และอยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการที่จะต่อรองราคาหรือไม่ก็ได้
โดยคำนึงถึงราคาที่เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอตามข้อ ๑๗ หรือข้อ ๑๘ เป็นเครื่องประกอบการพิจารณา
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกัน
ด้วยวิธียื่นซองเสนอราคาหรือโดยวาจา
ถ้าปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้าง
สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง ให้คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาดำเนินการตามข้อ ๒๘
โดยอนุโลม
(๔) เมื่อได้ดำเนินการไปแล้วได้ผลประการใด
ให้เสนอความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการ
ข้อ ๓๗
เมื่อคณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาได้ดำเนินการตามข้อ ๓๖ (๑) และ (๒) แล้ว ปรากฏว่ามีผู้เสนอราคาถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในแจ้งความประกวดราคาเพียงรายเดียว
ถ้าคณะกรรมการเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่จะดำเนินการต่อไปโดยไม่ต้องยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
ให้ดำเนินการตามข้อ ๓๖ (๓) โดยอนุโลม
กรณีไม่มีผู้เสนอราคา หรือมีผู้เสนอราคาแต่ไม่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนด
หรือกรณีที่คณะกรรมการเห็นว่าไม่มีเหตุผลสมควรที่จะดำเนินการตามผลการประกวดราคา
ให้เสนอผู้ว่าการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น หรือดำเนินการประกวดราคาใหม่
หากผู้ว่าการเห็นว่าจะประกวดราคาใหม่ไม่ได้ผลดีจะสั่งให้ดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ
๑๓ (๗) หรือข้อ ๑๔ (๕) แล้วแต่กรณี ก็ได้
ข้อ ๓๘
หลังจากการประกวดราคาแล้วแต่ยังไม่ได้ทำสัญญาหรือตกลงซื้อหรือจ้างกับผู้ประกวดราคารายใด
ถ้ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท.
เป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในรายการละเอียดหรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในแจ้งความประกวดราคา
ให้ผู้ว่าการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
เมื่อจะมีการประกวดราคาใหม่
ผู้เข้าประกวดราคาครั้งก่อนมีสิทธิ์ได้รับแบบรูปและรายการใหม่ โดยไม่ต้องเสียค่าซื้อแบบรูปและรายการ
(ถ้ามี) อีก
วิธีพิเศษ
ข้อ ๓๙
การซื้อโดยวิธีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษขึ้น เพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีเป็นพัสดุขายทอดตลาด
ให้ดำเนินการซื้อโดยวิธีการขายทอดตลาด ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(๒) ในกรณีเป็นพัสดุจะขายทอดตลาด ให้ดำเนินการซื้อโดยวิธีตกลงราคา
(๓) ในกรณีเป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจเสียหายแก่การปฏิบัติงาน ให้เชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาด หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๔) ในกรณีเป็นพัสดุเพื่อใช้ในกิจการลับ
ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ (๓)
(๕) ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ
ให้เสนอผู้ว่าการเพื่อติดต่อสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศหรือสืบราคาจากต่างประเทศ
แล้วเปรียบเทียบราคาในประเทศ (ถ้ามี) ส่วนการซื้อโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศให้ติดต่อกับสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศที่มีอยู่ในประเทศโดยตรง
เว้นแต่กรณีที่ไม่มีสำนักงานในประเทศ ให้ติดต่อกับสำนักงานในต่างประเทศได้
(๖) ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรง
ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ (๓)
(๗) ในกรณีเป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคาหรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป
(ถ้ามี) หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรซื้อเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาด
หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๘) ในกรณีพัสดุที่เป็นที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้าง
ซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่งให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาด หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อ
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้ สำหรับการซื้อที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศ
ในกรณีจำเป็นจะติดต่อกับนายหน้าแทนเจ้าของที่ดินก็ได้
เมื่อได้ดำเนินการไปแล้วได้ผลประการใด
ให้คณะกรรมการเสนอรายงานพร้อมด้วยความเห็นต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการต่อไป
ข้อ ๔๐
การจ้างโดยวิธีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๔ (๑) (๒) (๓) และ (๔)
ให้เชิญผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องถิ่นหรือราคาที่ประมาณได้หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้างให้ต่อรองราคาเท่าที่จะทำได้
(๒) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๔ (๕)
ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
เปรียบเทียบกับราคาของรายที่เสนอในการสอบราคาหรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป
(ถ้ามี) หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรจ้าง เสนอราคาสูงกว่าในท้องถิ่น
หรือราคาที่ประมาณได้ หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรจ้างให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
เมื่อได้ดำเนินการไปแล้วได้ผลประการใด
ให้คณะกรรมการเสนอรายงานพร้อมด้วยความเห็นต่อผู้ว่าการเพื่อสั่งการต่อไป
วิธีกรณีพิเศษ
ข้อ ๔๑ การดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างจากส่วนราชการ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
หรือรัฐวิสาหกิจตามข้อ ๑๖ ได้โดยตรง เว้นแต่การซื้อหรือจ้างซึ่งมีราคาไม่เกิน ๒๐,๐๐๐
บาท
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดซื้อหรือจ้างได้ภายในวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าการตามข้อ
๑๙
การตรวจรับพัสดุ
ข้อ ๔๒
คณะกรรมการตรวจรับพัสดุที่ซื้อมีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจรับพัสดุ ณ ที่ทำการของ ททท. หรือที่ใช้พัสดุนั้น
หรือสถานที่ซึ่งกำหนดไว้ในสัญญา
การตรวจรับพัสดุ ณ สถานที่อื่น
ในกรณีที่ไม่มีสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ซื้อก่อน
(๒) ตรวจนับพัสดุที่ซื้อว่าถูกต้องครบถ้วนตามหลักฐานที่ตกลงกันไว้หรือไม่
ในกรณีที่มีการทดลองหรือตรวจสอบในทางเทคนิคหรือทางวิทยาศาสตร์
จะเชิญผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุนั้นมาให้คำปรึกษา
หรือส่งพัสดุนั้นไปทดลองหรือตรวจสอบ ณ สถานที่ของผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒินั้น
ๆ ก็ได้
(๓) โดยปกติให้ตรวจรับพัสดุในวันที่ผู้ขายนำพัสดุมาส่ง
และให้ทำการตรวจรับให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๔) เมื่อตรวจถูกต้องครบถ้วนแล้ว
ให้รับพัสดุไว้และถือว่าผู้ขายได้ส่งมอบพัสดุถูกต้องครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้ขายนำพัสดุนั้นมาส่งแล้วมอบแก่เจ้าหน้าที่พัสดุพร้อมกับทำใบตรวจรับ
โดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อยสองฉบับ มอบแก่ผู้ขาย ๑ ฉบับ และเจ้าหน้าที่พัสดุ
๑ ฉบับ เพื่อทำการเบิกจ่ายเงินและรายงานให้ผู้ซื้อทราบ
(๕) ในกรณีที่ผู้ขายส่งมอบพัสดุถูกต้องแต่ไม่ครบจำนวน
หรือส่งมอบครบจำนวนแต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด ถ้าสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ให้ตรวจรับไว้เฉพาะจำนวนที่ถูกต้อง โดยถือปฏิบัติตาม (๔) และให้รีบรายงานผู้ซื้อเพื่อแจ้งให้ผู้ขายทราบภายใน
๓ วันทำการ นับแต่วันที่ตรวจพบ แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิ์ของ
ททท. ที่จะปรับผู้ขายในจำนวนที่ส่งมอบไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องนั้น
(๖) การตรวจรับพัสดุที่ประกอบกันเป็นชุดหรือเป็นหน่วย
ถ้าขาดส่วนประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้วจะไม่สามารถใช้การได้โดยสมบูรณ์ให้ถือว่าผู้ขายมิได้ส่งมอบพัสดุนั้น
และให้รีบรายงานผู้ซื้อเพื่อแจ้งให้ผู้ขายทรายภายใน ๓ วันทำการ นับแต่วันที่ตรวจพบ
(๗)
ถ้ากรรมการตรวจรับพัสดุบางคนไม่ยอมรับพัสดุโดยทำความเห็นแย้งไว้ให้เสนอผู้ซื้อเพื่อพิจารณาสั่งการ
ถ้าผู้ซื้อสั่งการให้รับพัสดุนั้นได้ จึงดำเนินการตาม (๔) หรือ ๕ แล้วแต่กรณี
การตรวจการจ้าง
ข้อ ๔๓
คณะกรรมการตรวจการจ้างมีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจและควบคุมงานให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
ถ้าผู้รับจ้างขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็สั่งให้หยุดงานนั้นเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด
แล้วแต่กรณี ไว้ก่อนจนกว่าผู้รับจ้างจะยอมปฏิบัติให้ถูกต้อง
หากมีปัญหาเกิดขึ้นในกรณีที่แบบรูปรายการละเอียดหรือข้อกำหนดในสัญญามีข้อความขัดกันหรือเป็นที่คาดหมายได้ว่า
ถึงแม้งานนั้นจะได้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดหรือข้อกำหนดในสัญญา แต่เมื่อสำเร็จลงแล้วจะไม่มั่นคงแข็งแรง
จะสั่งให้พักงานนั้นไว้ก่อน แล้วรายงานผู้ว่าจ้างเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ให้จดบันทึกการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้อมเป็นรายวัน
บันทึกดังกล่าวต้องเก็บรักษาไว้เพื่อมอบให้แก่ผู้ว่าจ้างเมื่อเสร็จงานแต่ละงวด
โดยถือว่าเป็นเอกสารสำคัญเพื่อประกอบการตรวจสอบของผู้มีหน้าที่
(๒) ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของผู้ควบคุมงาน
(๓) ตรวจผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างตามสัญญา
เช่นวันกำหนดลงมือทำงาน วันถึงกำหนดส่งมอบงานแต่ละงวด แล้วรายงานให้ผู้ว่าจ้างทราบ
(๔) โดยปกติให้ตรวจผลงานที่ผู้รับจ้างส่งมอบภายใน ๓
วันทำการ นับแต่วันที่ประธานกรรมการตรวจการจ้างได้รับทราบการส่งมอบงาน
และให้ทำการตรวจรับให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๕) เมื่อตรวจเห็นเป็นการถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแล้ว
ให้ถือว่าผู้รับจ้างได้ส่งมอบงานครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้รับจ้างส่งงานจ้างนั้น
และให้ทำใบรับรองผลการปฏิบัติงานทั้งหมดหรือเฉพาะงวด แล้วแต่กรณี
โดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย ๒ ฉบับ มอบให้แก่ผู้รับจ้าง ๑ ฉบับ
และเจ้าหน้าที่พัสดุ ๑ ฉบับ แล้วรายงานให้ผู้ว่าจ้างทราบ
ในกรณีที่เห็นว่าผลงานที่ส่งมอบทั้งหมดหรืองวดใดก็ตามไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
ให้รายงานผู้ว่าจ้างเพื่อทราบหรือสั่งการ แล้วแต่กรณี
(๖) ในกรณีที่กรรมการตรวจการจ้างบางคนไม่ยอมรับงานโดยทำความเห็นแย้งไว้
ให้เสนอผู้ว่าจ้างเพื่อพิจารณาสั่งการ
ข้อ ๔๔
งานจ้างใดที่ผู้ว่าการเห็นความจำเป็นต้องมีผู้ควบคุมงานโดยเฉพาะ
หรือในกรณีที่คณะกรรมการตรวจการจ้างรายงานว่า ไม่สามารถจะไปควบคุมงานโดยใกล้ชิดได้
ให้แต่งตั้งผู้ควบคุมงานขึ้นจากพนักงานซึ่งผู้ว่าการเห็นสมควร
หรือจะแต่งตั้งจากข้าราชการของหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบนั้น
ตามที่ได้รับความยินยอมจากหัวหน้าส่วนราชการของข้าราชการผู้นั้นแล้วก็ได้
การจ้างเอกชนเป็นผู้ควบคุมงาน
จะต้องถือปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้องด้วย
ข้อ ๔๕
ให้ผู้ควบคุมงานรับหน้าที่แทนคณะกรรมการตรวจการจ้างตามข้อ ๔๓ (๑)
และให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการตรวจการจ้างทุกสัปดาห์
อำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง
ข้อ ๔๖
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างครั้งหนึ่ง นอกจากวิธีพิเศษและวิธีกรณีพิเศษ
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกินกว่า ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๓๒,๐๐๐,๐๐๐
บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกินกว่า ๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๔๗
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีพิเศษครั้งหนึ่ง ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ว่าการ ไม่เกิน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการ ททท. เกินกว่า ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐
บาท
(๓) คณะกรรมการ ททท. เกินกว่า ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ ๔๘ การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
ให้ผู้ว่าการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยไม่จำกัดวงเงิน
หลักประกัน
ข้อ ๔๙
หลักประกันซองหรือหลักประกันสัญญา
ให้ใช้หลักประกันอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(๑) เงินสด
(๒) เช็คที่ธนาคารรับรอง หรือเช็คที่ธนาคารเซ็นสั่งจ่าย
ซึ่งเป็นเช็คลงวันที่ที่ใช้เช็คนั้นชำระต่อเจ้าหน้าที่หรือก่อนวันนั้นไม่เกิน ๓
วันทำการ
(๓) หนังสือค้ำประกันของธนาคารภายในประเทศ
(๔) พันธบัตรรัฐบาลไทย
ข้อ ๕๐
หลักประกันดังกล่าวในข้อ ๔๙ ให้เรียกไว้ตามอัตราดังนี้
(๑) หลักประกันซอง ให้กำหนดมูลค่าเป็นจำนวนเงินตายตัว
ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า แต่ไม่เกินร้อยละสิบของวงเงินค่าพัสดุที่จะซื้อหรือจ้าง
(๒) หลักประกันสัญญา
ให้กำหนดมูลค่าในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า แต่ไม่เกินร้อยละสิบของราคาพัสดุที่ตกลงซื้อหรือจ้าง
ในการทำสัญญาจัดหาพัสดุที่มีระยะเวลาผูกพันตามสัญญาเกินกว่า
๑ ปี และพัสดุนั้นไม่ต้องมีการประกันเพื่อความชำรุดบกพร่อง เช่น
พัสดุใช้สิ้นเปลือง ให้กำหนดหลักประกันได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า แต่ไม่เกินร้อยละสิบของราคาพัสดุที่ส่งมอบ
ในแต่ละปีของสัญญา โดยให้ถือว่าหลักประกันนี้เป็นการค้ำประกันตลอดอายุสัญญาและหากในปีต่อไปราคาพัสดุที่ส่งมอบแตกต่างไปจากราคาในรอบปีก่อน
ให้ปรับปรุงหลักประกันตามอัตราส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก่อนครบรอบปี
ในกรณีที่หลักประกันต้องปรับปรุงในทางที่เพิ่มขึ้น
และผู้ขายไม่นำหลักประกันมาเพิ่มให้ครบจำนวนภายใน ๑๕ วัน ก่อนการส่งมอบพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้น
ให้ ททท. หักจากเงินค่าพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้นที่ ททท. จะต้องจ่ายให้เป็นหลักประกันส่วนที่เพิ่มขึ้น
การกำหนดหลักประกันตามความในวรรคสอง
จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขในแจ้งความและในสัญญาด้วย
ข้อ ๕๑ ให้
ททท. คืนหลักประกันให้แก่ผู้เสนอราคา หรือผู้ขายหรือผู้รับจ้าง แล้วแต่กรณีโดยเร็ว
อย่างช้าไม่เกิน ๓๐ วัน นับแต่วันที่บุคคลดังกล่าวพ้นจากข้อผูกพันแล้ว
การซื้อหรือจ้างที่ไม่ต้องมีหลักประกันเพื่อความชำรุดบกพร่อง
ให้คืนหลักประกันให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามอัตราส่วนของพัสดุซึ่ง ททท.
ได้รับมอบไว้แล้ว แต่ทั้งนี้จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขในแจ้งความและในสัญญาด้วย
ข้อ ๕๒ ในกรณีที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้เสนอราคาหรือเป็นผู้ขาย
หรือเป็นผู้รับจ้าง ไม่ต้องวางหลักประกัน
การจ่ายเงินล่างหน้า
ข้อ ๕๓
การจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะกระทำมิได้
เว้นแต่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องจ่ายให้กระทำได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) การซื้อหรือจ้างจากส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
หรือรัฐวิสาหกิจจ่ายได้ไม่เกินร้อยละห้าสิบของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
(๒) การซื้อพัสดุจากต่างประเทศ
โดยดำเนินการผ่านองค์การระหว่างประเทศ ให้จ่ายได้ตามที่ตกลงกับองค์การระหว่างประเทศ
(๓) การบอกรับวารสารไม่เกินหนึ่งปีและราคาไม่เกินวารสารละ ๑๐,๐๐๐
บาท จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง
กรณีนอกเหนือจากนี้ให้ขอรับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ ททท.
(๔) การซื้อหรือจ้างโดยวิธีสอบราคาหรือประกวดราคาจ่ายได้ไม่เกินร้อยละยี่สิบห้าของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
แต่ทั้งนี้ต้องกำหนดอัตราค่าพัสดุหรือค่าจ้างที่จะจ่ายล่วงหน้าไว้เป็นเงื่อนไขในแจ้งความด้วย
(๕) การซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษ
ให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละยี่สิบห้าของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
การจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามแบบธรรมเนียมการค้าระหว่างประเทศ
โดยเปิดเลตเตอร์ออฟเครคิต หรือโดยวิธีใช้ดร๊าฟท์กรณีที่วงเงินไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท
ให้กระทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการจ่ายเงินล่วงหน้า
ข้อ ๕๔
การจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตามข้อ ๕๓ (๑) (๒) และ (๓)
ไม่ต้องเรียกหลักประกัน
ส่วนการจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตามข้อ ๕๓ (๔)
และ (๕) ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะต้องจัดให้ธนาคารในประเทศธนาคารหนึ่งหรือหลายธนาคารเป็นผู้ค้ำประกันเงินที่รับล่วงหน้าไปนั้น
การทำสัญญาซื้อขายและสัญญาจ้าง
ข้อ ๕๕
การซื้อหรือการจ้างให้ทำสัญญาเป็นหนังสือตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้
เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้ จะทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ซื้อหรือผู้ว่าจ้าง
(๑) การซื้อหรือจ้างที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างสามารถส่งมอบพัสดุได้ครบถ้วนภายในห้าวันทำการ
นับตั้งแต่วันถัดจากวันตกลงซื้อขายหรือจ้าง
(๒) การซื้อหรือจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
(๓) การซื้อโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๓ (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕)
(๔) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๔ (๑) (๒) (๓) และ (๔)
สำหรับการซื้อที่ผู้ขายสามารถส่งมอบพัสดุได้ทันที
หรือการซื้อหรือการจ้างซึ่งมีราคาไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท
จะไม่ทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
ข้อ ๕๖
การทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือสำหรับการซื้อให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวัน
ในอัตราตายตัวระหว่างร้อยละ ๐.๑๐ - ๐.๒๐ ของราคาพัสดุที่ยังไม่ได้รับมอบ
ส่วนการจ้างให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวัน เป็นจำนวนตายตัวในอัตราระหว่างร้อยละ ๐.๐๑ -
๐.๑๐ ของราคางานจ้างนั้น แต่จะต้องไม่ต่ำกว่าวันละ ๑๐๐ บาท
การกำหนดค่าปรับตามวรรคหนึ่งในอัตราหรือเป็นจำนวนเงินตายตัวเท่าใดให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการ
ในกรณีการซื้อสิ่งของที่ประกอบกันเป็นชุด
ถ้าขาดส่วนประกอบส่วนหนึ่งส่วนใดไปแล้ว จะไม่สามารถใช้การได้โดยสมบูรณ์แม้ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของภายในกำหนดตามสัญญา
แต่ยังขาดส่วนประกอบบางส่วน
ต่อมาได้ส่งมอบส่วนประกอบที่ยังขาดนั้นเกินกำหนดสัญญาให้ถือว่าไม่ได้ส่งมอบสิ่งของนั้นเลย
ให้ปรับเต็มราคาของทั้งชุด
ในกรณีการซื้อสิ่งของที่คิดราคารวมทั้งค่าติดตั้งหรือทดลองด้วย
ถ้าติดตั้งหรือทดลองเกินกว่ากำหนดตามสัญญาเป็นจำนวนวันเท่าใด
ให้ปรับเป็นรายวันในอัตราที่กำหนดของราคาทั้งหมด
เมื่อครบกำหนดส่งมอบพัสดุหรืองานจ้างตามสัญญา
ให้รีบแจ้งสงวนสิทธิ์การเรียกค่าปรับตามสัญญาให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทราบ
ข้อ ๕๗
การทำสัญญารายใดถ้าจำเป็นต้องมีข้อความหรือรายการแตกต่างไปจากตัวอย่างสัญญาท้ายข้อบังคับนี้
โดยมีสาระสำคัญตามที่กำหนดไว้ในตัวอย่างสัญญาและไม่ทำให้ ททท.
เสียเปรียบก็ให้กระทำได้ เว้นแต่ผู้ซื้อหรือผู้ว่าจ้างเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ
ก็ให้ส่งร่างสัญญานั้นไปให้กรมอัยการพิจารณาก่อน
ในกรณีที่ไม่อาจทำสัญญาตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้ได้และจำเป็นต้องร่างสัญญาขึ้นใหม่
ต้องส่งร่างสัญญานั้นให้กรมอัยการพิจารณาก่อน
เว้นแต่การทำสัญญาตามแบบที่เคยผ่านการพิจารณาของกรมอัยการมาแล้ว
ในกรณีจำเป็นต้องทำสัญญาเป็นภาษาต่างประเทศ
ให้ทำเป็นภาษาอังกฤษแต่ต้องมีคำแปลเป็นภาษาไทยไว้ด้วย
การทำสัญญาของสำนักงานสาขาในต่างประเทศ
จะทำเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สำนักงานสาขานั้นตั้งอยู่โดยผ่านการพิจารณาของกองนิติการก็ได้
ข้อ ๕๘
สัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือที่ได้ลงนามแล้ว
จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้เว้นแต่การแก้ไขนั้นจะเป็นความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท.
หรือไม่ทำให้ ททท. ต้องเสียประโยชน์ ให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลงที่ได้ลงนามแล้วตามวรรคหนึ่งในกรณีที่ต้องเพิ่มวงเงิน
ให้อยู่ในอำนาจของประธานกรรมการ ททท. ที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
แต่ทั้งนี้จะต้องขอทำความตกลงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามระเบียบปฏิบัติด้วย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
สำหรับการซื้อหรือจ้างที่เกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรงของสิ่งก่อสร้างหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่าง
จะต้องได้รับการรับรองจากวิศวกร สถาปนิก และวิศวกรผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ
ซึ่งรับผิดชอบหรือสามารถรับรองในแบบและรายการของงานก่อสร้างหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่าง
แล้วแต่กรณี ด้วย
ข้อ ๕๙
การต่ออายุสัญญาสำหรับวงเงินสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง
ซึ่งอยู่ในอำนาจของผู้ว่าการ ให้ผู้ว่าการเป็นผู้อนุญาต
ส่วนที่เกินจากนั้นให้ประธานกรรมการ ททท. เป็นผู้อนุญาต
การต่ออายุสัญญาโดยงดหรือลดค่าปรับให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้าง
จะกระทำได้เฉพาะกรณีเป็นเหตุสุดวิสัย หรือเป็นเพราะความผิดหรือความบกพร่องของฝ่าย
ททท.
ข้อ ๖๐
ให้ผู้ว่าการส่งสำเนาสัญญาซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ห้าแสนบาทขึ้นไปให้สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันทำสัญญา
การลงโทษผู้ทิ้งงาน
ข้อ ๖๑
ผู้ที่เสนอราคาในการสอบราคาหรือประกวดราคา ซึ่งได้รับการคัดเลือกแล้ว
ไม่ยอมมาทำสัญญาหรือข้อตกลงภายในเวลาที่ ททท. กำหนด
หรือผู้ขายหรือผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงนั้นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ให้ผู้ว่าการเสนอประธานกรรมการ ททท. เพื่อพิจารณา เมื่อประธานกรรมการ ททท.
พิจารณาชี้ขาดว่าผู้ใดไม่ปฏิบัติตามข้อผูกพันของ ททท. แล้ว
ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ทิ้งงานขายหรืองานจ้าง แล้วแต่กรณี
ให้ผู้ว่าการส่งชื่อผู้ทิ้งงานไปให้สำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานต่าง
ๆ ของ ททท. ทราบโดยเร็ว
ห้ามซื้อหรือจ้างผู้ทิ้งงานของ ททท.
หรือผู้ทิ้งงานของทางราชการ เว้นแต่ประธานกรรมการ ททท. หรือผู้รักษาการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๒๑ จะสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น แล้วแต่กรณี
ส่วนที่ ๒
การจัดทำเอง
ข้อ ๖๒
ในการจัดทำเอง ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งผู้ควบคุมรับผิดชอบในการจัดทำเองนั้น
และแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจการปฏิบัติงาน โดยมีคุณสมบัติและหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ส่วนที่ ๓
การแลกเปลี่ยน
ข้อ ๖๓
การแลกเปลี่ยนพัสดุจะกระทำมิได้
เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ว่าการเห็นว่ามีความจำเป็น และให้กระทำได้เฉพาะการแลกเปลี่ยนครุภัณฑ์กับครุภัณฑ์
วัสดุกับวัสดุ ตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(๑) การแลกเปลี่ยนครุภัณฑ์กับครุภัณฑ์ประเภทและชนิดเดียวกัน
ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าการ
(๒) การแลกเปลี่ยนครุภัณฑ์กับครุภัณฑ์ต่างประเภทหรือต่างชนิดกัน
ต้องได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ ททท. ก่อน
(๓) การแลกเปลี่ยนวัสดุกับวัสดุ ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าการ
ข้อ ๖๔
ในกรณีต้องมีการแลกเปลี่ยนพัสดุ
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุรายงานผู้ว่าการเพื่อพิจารณาสั่งการ โดยให้รายงานตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องแลกเปลี่ยน
(๒) รายละเอียดของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยน
(๓) ราคาที่ซื้อหรือได้มาของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยนและราคาที่จะแลกเปลี่ยนได้โดยประมาณ
(๔) พัสดุที่จะรับแลกเปลี่ยน
และให้ระบุว่าจะแลกเปลี่ยนกับส่วนราชการ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน
(๕) ข้อเสนออื่น
ๆ (ถ้ามี)
ในกรณีที่จะแลกเปลี่ยนกับเอกชน
ให้ระบุวิธีที่จะแลกเปลี่ยนพร้อมทั้งเหตุผล โดยเสนอให้นำวิธีการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่การแลกเปลี่ยนพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน
๑๐๐,๐๐๐ บาท จะเสนอให้ใช้วิธีการลงราคาก็ได้
ข้อ ๖๕ การแลกเปลี่ยนพัสดุกับเอกชน
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งหรือหลายคณะตามความจำเป็น
โดยถือปฏิบัติตามข้อ ๒๑ ข้อ ๒๒ หรือข้อ ๒๓ แล้วแต่กรณี โดยอนุโลม
ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ดังนี้
(๑) ตรวจสอบและประเมินราคาพัสดุที่ต้องการแลกเปลี่ยนตามสภาพปัจจุบันของพัสดุนั้น
(๒) ตรวจสอบรายละเอียดพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนว่าเป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยใช้งานมาก่อน
เว้นแต่พัสดุเก่าที่จะได้รับจากการเปลี่ยนแปลงนั้น
จะเป็นความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ ททท. หรือไม่ทำให้ ททท. ต้องเสียประโยชน์
(๓) เปรียบเทียบราคาพัสดุที่จะแลกเปลี่ยนกัน
โดยพิจารณาจากราคาที่ประเมินตาม (๑) และราคาพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนซึ่งถือตามราคาในท้องตลาดโดยทั่วไป
(๔) ต่อรองกับผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรแลกเปลี่ยน
(๕) เสนอความเห็นต่อผู้ว่าการเพื่อพิจารณาสั่งการ
(๖) เมื่อผู้ว่าการสั่งการให้มีการแลกเปลี่ยนแล้ว
ให้จัดทำสัญญาแลกเปลี่ยนตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้
ในกรณีที่ไม่อาทำสัญญาแลกเปลี่ยนตามตัวอย่างท้ายข้อบังคับได้
ให้นำความในข้อ ๕๗ มาใช้โดยอนุโลม
(๗) ตรวจรับพัสดุโดยปฏิบัติตามข้อ ๔๒ โดยอนุโลม
ข้อ ๖๖
ในกรณีได้รับเงินจากการแลกเปลี่ยนพัสดุ ให้ปฏิบัติตาม
(๑) ถ้าพัสดุนั้นจัดหาโดยเงินงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้นำส่งเข้าบัญชีเงินงบประมาณ
(๒) ถ้าพัสดุนั้นจัดหาโดยเงินรายได้
ให้นำส่งเข้าบัญชีเงินรายได้
ข้อ ๖๗ การแลกเปลี่ยนพัสดุกับส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจ
อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการกับหัวหน้าหน่วยงานนั้น ๆ ที่จะตกลงกัน
ส่วนที่ ๔
การเช่า
ข้อ ๖๘
การเช่าพัสดุ นอกจากการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหมวดนี้
ให้นำข้อกำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าในการเช่าอสังหาริมทรัพย์
และสังหาริมทรัพย์ ให้กระทำได้เฉพาะกรณีการเช่าซึ่งมีระยะเวลาไม่เกิน ๓ ปี
ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การเช่าจากหน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
หรือรัฐวิสาหกิจ จ่ายได้ไม่เกินร้อยละห้าสิบของค่าเช่าทั้งสัญญา
(๒) การเช่าจากเอกชนจ่ายได้ไม่เกินร้อยละยี่สิบของค่าเช่าทั้งสัญญา
การจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้านอกเหนือจากหลักเกณฑ์ข้างต้น
ต้องได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ ททท. ก่อน
การเช่าอสังหาริมทรัพย์
ข้อ ๖๙
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ ให้กระทำได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เช่าที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการของ ททท.
(๒) เช่าสถานที่เพื่อใช้เป็นที่ทำการ
(๓) เช่าสถานที่เพื่อใช้เป็นที่พัก
(๔) เช่าสถานที่เพื่อใช้เป็นที่เก็บพัสดุ
การเช่าให้ดำเนินการโดยวิธีตกลงราคา
ข้อ ๗๐
ก่อนดำเนินการเช่า
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอผู้ว่าการตามรายการดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลความจำเป็นที่จะต้องเช่า
(๒) ราคาค่าเช่าที่ผู้ให้เช่าเสนอ
(๓) รายละเอียดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะเช่า เช่น สภาพของสถานที่บริเวณที่ต้องการใช้
พร้อมทั้งภาพถ่าย (ถ้ามี) และราคาค่าเช่าครั้งหลังสุด เป็นต้น
(๔) อัตราค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งมีขนาดและสภาพใกล้เคียงกับที่จะเช่า (ถ้ามี)
ข้อ ๗๑
อสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีอัตราค่าเช่ารวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาไม่เกินเดือนละ
๕๐,๐๐๐ บาท ให้ผู้ว่าการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ ถ้าเกินกว่าเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
ททท. ก่อน
การทำสัญญาเช่า
ข้อ ๗๒
การเช่าให้ทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันและให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าการที่จะดำเนินการในเรื่องเงื่อนไขของสัญญาหรือข้อตกลงได้เอง
เว้นแต่กรณีการเช่าที่ ททท. ต้องเสียเงินอื่นใดนอกจากค่าเช่า
หรือในกรณีที่ผู้ว่าการเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ
ให้ส่งร่างสัญญาให้กรมอัยการพิจารณาก่อน
และในกรณีที่จะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ดำเนินการตามกฎหมายด้วย
หมวด ๓
การควบคุมและการจำหน่ายพัสดุ
ส่วนที่ ๑
การให้ยืม
ข้อ ๗๓
การให้ยืมหรือนำพัสดุไปใช้ในกิจการซึ่งมิใช่เพื่อประโยชน์ของ ททท.
จะกระทำมิได้
ข้อ ๗๔ การให้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป
ต้องให้ผู้ยืมทำหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงเหตุผล และกำหนดวันส่งคืน
โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) การให้หน่วยงานอื่นยืม
ผู้ยืมต้องเป็นหัวหน้าของหน่วยงานนั้น ๆ
(๒) การให้บุคคลยืมใช้ภายในสถานที่ทำการของ ททท.
จะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบพัสดุนั้น
แต่ถ้ายืมไปใช้นอกสถานที่ทำการของ
ททท. จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการหรือผู้ที่ผู้ว่าการมอบหมาย
ข้อ ๗๕
ผู้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูปจะต้องนำพัสดุนั้นมาส่งคืนให้ในสภาพที่ใช้การได้เรียบร้อย
หากเกิดการชำรุดเสียหาย หรือใช้การไม่ได้
หรือสูญหายไปให้ผู้ยืมจัดการแก้ไขซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง
หรือชดใช้เป็นพัสดุประเภท ชนิด ขนาด ลักษณะ และคุณภาพอย่างเดียวกัน หรือชดใช้เป็นเงินตามราคาที่เป็นอยู่ในขณะยืม
ข้อ ๗๖
การให้หน่วยงานอื่นยืมพัสดุประเภทใช้สิ้นเปลือง
ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อหน่วยงานนั้นมีความจำเป็นต้องใช้พัสดุนั้นเป็นการรีบด่วน
จะดำเนินการจัดหาได้ไม่ทันการและให้มีหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร
ข้อ ๗๗
เมื่อครบกำหนดยืม ผู้ให้ยืมหรือผู้รับหน้าที่แทน มีหน้าที่ติดตามทวงพัสดุที่ให้ยืมไปคืนภายใน
๗ วัน นับแต่วันครบกำหนด
ส่วนที่ ๒
การควบคุม
ข้อ ๗๘
พัสดุของ ททท. ไม่ว่าจะได้มาด้วยประการใด
ให้อยู่ในความควบคุมตามข้อบังคับนี้
ข้อ ๗๙
เมื่อเจ้าหน้าที่พัสดุได้รับมอบพัสดุแล้ว ให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ลงบัญชีหรือทะเบียนเพื่อควบคุมพัสดุ
แยกเป็นชนิดและแสดงรายการตามแบบตัวอย่างท้ายข้อบังคับนี้
โดยให้มีหลักฐานการรับเข้าบัญชีหรือทะเบียนไว้ประกอบรายการด้วย
(๒) เก็บรักษาพัสดุให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
ปลอดภัยและให้ครบถ้วนถูกต้องตรงตามบัญชีหรือทะเบียน
ข้อ ๘๐
การเบิกพัสดุ ให้พนักงานผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขึ้นไปที่ต้องใช้พัสดุนั้นเป็นผู้เบิก
และให้หัวหน้างานพัสดุหรือหัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบพัสดุเป็นผู้สั่งจ่าย
ข้อ ๘๑
ผู้จ่ายพัสดุต้องตรวจสอบความถูกต้องของใบเบิกและเอกสารประกอบ (ถ้ามี)
แล้วลงบัญชีหรือทะเบียนทุกครั้งที่มีการจ่าย และเก็บใบเบิกจ่ายไว้เป็นหลักฐานด้วย
ข้อ ๘๒ ก่อนสิ้นเดือนกันยายนทุกปี
ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งพนักงานซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่พัสดุคนหนึ่งหรือหลายคนตามความจำเป็น
เพื่อตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุงวดตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ปีก่อน จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน
ปีปัจจุบัน และตรวจนับพัสดุคงเหลืออยู่เพียงวันสิ้นงวดนั้น
การตรวจสอบตามวรรคหนึ่ง
ให้เริ่มดำเนินการในวันเปิดทำการวันแรกของเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ว่าการรับจ่ายถูกต้องหรือไม่
พัสดุคงเหลือมีตัวอยู่ตรงตามบัญชีหรือทะเบียนหรือไม่ มีพัสดุใดชำรุดเสื่อมคุณภาพ
หรือสูญไป เพราะเหตุใด หรือพัสดุใดไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป แล้วให้เสนอรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อผู้ว่าการภายใน
๓๐ วันทำการ นับแต่วันเริ่มดำเนินการตรวจสอบพัสดุนั้น
ข้อ ๘๓
เมื่อผู้ว่าการได้รับรายงานตามข้อ ๘๒ แล้ว
และปรากฏว่ามีพัสดุชำรุดเสื่อมคุณภาพหรือสูญไป
หรือไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไปก็ให้แต่งตั้งกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง
โดยให้นำความในข้อ ๒๑ และข้อ ๒๒ มาใช้โดยอนุโลม เว้นแต่สำนักงานสาขาในต่างประเทศ
ให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๒๓ โดยอนุโลม
ถ้าผลการพิจารณาปรากฏว่าจะต้องหาตัวผู้รับผิดด้วย ให้ผู้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง
ในกรณีที่เห็นสมควรผู้ว่าการจะสั่งให้คณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงทำหน้าที่สอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งด้วยก็ได้
ให้คณะกรรมการเสนอผลการพิจารณาต่อผู้ว่าการภายในกำหนด ๖๐
วัน นับแต่วันที่ประธานกรรมการทราบคำสั่งแต่งตั้งกรรมการแต่ถ้ายังพิจารณาไม่แล้วเสร็จจะขออนุญาตขยายเวลาดำเนินการต่อไปอีกคราวละไม่เกิน
๓๐ วันก็ได้
ข้อ ๘๔
เรื่องใดที่ปรากฏตัวผู้ต้องรับผิดโดยชัดแจ้ง
หรือที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งอยู่ก่อนที่จะมีการตรวจสอบพัสดุ
ไม่ต้องดำเนินการตามข้อ ๘๓ เฉพาะเรื่องนั้น
ข้อ ๘๕
เมื่อปรากฏตัวผู้ต้องรับผิด ให้ผู้ว่าการพิจารณาสั่งการภายใน ๔๕ วัน
นับแต่วันรู้ตัวผู้ต้องรับผิดโดยชัดแจ้ง หรือวันได้รับรายงานของคณะกรรมการสอบสวน แล้วแต่กรณี
ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีที่สามารถแก้ไขให้คงสภาพเดิมได้
ให้แก้ไขโดยเสียค่าใช้จ่ายของผู้ต้องรับผิดเอง ภายในกำหนดเวลาอันสมควร
(๒) ในกรณีสูญไปหรือไม่สามารถแก้ไขให้คงสภาพเดิมได้
ให้ชดใช้เป็นพัสดุประเภท ชนิด ลักษณะ และขนาดอย่างเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน
โดยมีสภาพไม่เลวไปกว่าพัสดุที่ได้ทำชำรุด เสื่อมสภาพหรือสูญไปนั้น
หรือชดใช้เป็นเงินตามที่ผู้ว่าการกำหนดโดยให้ผู้ต้องรับผิดส่งใช้คืนทั้งหมดภายใน ๓๐
วัน นับแต่วันได้รับแจ้ง
ในกรณีชดใช้เป็นเงิน
ถ้าผู้ต้องรับผิดไม่สามารถส่งใช้คืนภายใน ๓๐ วันจะผ่อนผันให้ใช้เป็นรายเดือนก็ได้
แต่จะต้องชดใช้ให้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่เกินหนึ่งปี
การผ่อนผันระยะเวลาเกินหนึ่งปีจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ ททท. ก่อน
การผ่อนผันตามวรรคสองให้ทำสัญญารับสภาพหนี้เป็นหนังสือ
พร้อมหลักประกันที่เหมาะสมไว้เป็นหลักฐาน และให้มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย
(๓) ถ้าผู้ต้องรับผิดคนใดปฏิเสธไม่ยินยอมปฏิบัติตาม (๑)
หรือ (๒) หรือไม่ยอมทำสัญญาสภาพหนี้ ให้ดำเนินคดีต่อไป
ส่วนที่ ๓
การจำหน่าย
ข้อ ๘๖
ถ้าผลการพิจารณาปรากฏว่า ไม่มีตัวผู้ต้องรับผิดและยังมีตัวพัสดุอยู่
หรือว่าพัสดุใดหากใช้งานต่อไปจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอรายงานต่อผู้ว่าการเพื่อพิจารณาสั่งให้ดำเนินการตามวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(๑) ขาย ให้ดำเนินการขายโดยวิธีทอดตลาดก่อน
แต่ถ้าขายโดยวิธีทอดตลอดแล้วไม่ได้ผลดี
ให้นำวิธีที่กำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่การขายพัสดุครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
จะขายโดยวิธีตกลงราคาโดยไม่ต้องทอดตลาดก่อนก็ได้
การขายให้แก่ส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
หรือรัฐวิสาหกิจ ให้ขายโดยวิธีตกลงราคา
(๒) แลกเปลี่ยน
ให้ดำเนินการตามวิธีการแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
(๓) โอน ให้โอนแก่ส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
หรือรัฐวิสาหกิจที่แจ้งความประสงค์ขอมา โดยได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการ ททท.
เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการโอนพัสดุซึ่งหมดความจำเป็นที่จะต้องใช้หรือไม่สามารถใช้งานได้
ให้อยู่ในอำนาจของผู้ว่าการที่จะเป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้ ให้มีหลักฐานการส่งมอบไว้ต่อกัน
(๔) แปรสภาพหรือทำลาย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ผู้ว่ากำหนด
การจำหน่ายเป็นสูญ
ข้อ ๘๗
ในกรณีที่พัสดุสูญไปโดยไม่ปรากฏตัวผู้รับผิด
หรือมีตัวผู้รับผิดแต่ไม่สามารถชดใช้ตามข้อ ๘๕ หรือมีตัวพัสดุอยู่แต่ไม่สามารถดำเนินการตามข้อ
๘๖ ได้ ให้จำหน่ายพัสดุนั้น เป็นสูญ ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ถ้าพัสดุนั้นมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐
บาท ให้ผู้ว่าการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ
(๒) ถ้าพัสดุนั้นมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันเกินกว่า ๑๐๐,๐๐๐
บาท แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ททท.
เป็นผู้พิจารณาอนุมัติ
การลงจ่ายออกจากบัญชี
ข้อ ๘๘
เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ ๘๖ หรือข้อ ๘๗ แล้ว ให้เจ้าหน้าที่พัสดุลงจ่ายพัสดุนั้นออกจากบัญชีหรือทะเบียนทันที
สำหรับพัสดุซึ่งต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย
ให้แจ้งแก่นายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย
ข้อ ๘๙
ในกรณีที่พัสดุเกิดการชำรุดเสื่อมคุณภาพหรือสูญไปก่อนมีการตรวจสอบตามข้อ ๘๒
และได้ดำเนินการตามระเบียบความรับผิดในทางแพ่งเสร็จสิ้นแล้ว
ถ้าระเบียบความรับผิดในทางแพ่งมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้ดำเนินการตามข้อ ๘๖
ข้อ ๗๘ และข้อ ๘๘ โดยอนุโลม
หมวด ๔
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๙๐
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการต่อไปตามระเบียบ ข้อบังคับและคำสั่งเดิมจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ
หรือจนกว่าจะสามารถดำเนินการตามข้อบังคับนี้ได้
ข้อ ๙๑
กรณีที่มีปัญหาในการตีความและวินิจฉัย หรือไม่อาจปฏิบัติได้ตามข้อบังคับนี้
ให้เสนอคณะกรรมการ ททท. พิจารณาตีความและวินิจฉัย หรืออนุมัติการขอยกเว้นหรือผ่อนผันเป็นกรณี
ๆ ไป
ข้อ ๙๒
ให้ผู้ว่าการเป็นผู้รักษาการตามข้อบังคับนี้
ข้อ ๙๓[๑]
ให้ใช้บังคับนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๑
อรุณ ภาณุพงศ์
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. ตัวอย่างสัญญาแลกเปลี่ยน
๒. ตัวอย่างสัญญาจ้าง
๓. ตัวอย่างสัญญาซื้อขาย
๔. แบบตัวอย่างทะเบียนครุภัณฑ์
๕. แบบตัวอย่างบัญชีวัสดุ
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
มณฑิตา/ผู้จัดทำ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๕/ตอนที่ ๕๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๑ |
302141 | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2523) ว่าด้วยการมอบอำนาจแก่ผู้ว่าการในการอนุมัติสั่งจ่ายเงินของ ททท. | ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ ๔
(พ.ศ. ๒๕๒๓)
ว่าด้วยการมอบอำนาจแก่ผู้ว่าการในการอนุมัติสั่งจ่ายเงินของ
ททท.[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพ.ศ. ๒๕๒๒
คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ออกข้อบังคับไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า
ข้อบังคับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ว่าด้วยการมอบอำนาจแก่ผู้ว่าการในการอนุมัติสั่งจ่ายเงินของ
ททท.
ข้อ ๒
ให้ใช้บังคับนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกข้อบังคับของ อสท.
ว่าด้วยอำนาจการก่อหนี้ผูกพันและการสั่งจ่ายเงิน พ.ศ. ๒๕๑๖
ข้อ ๔
ในข้อบังคับนี้
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ผู้ว่าการ หมายความว่า
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
รองผู้ว่าการ หมายความว่า รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
พนักงาน หมายความว่า พนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ข้อ ๕ ให้ผู้ว่าการมีอำนาจอนุมัติสั่งจ่ายเงินเพื่อดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ของ
ททท. ได้ครั้งหนึ่งไม่เกินวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท (ห้าแสนบาทถ้วน)
การอนุมัติสั่งจ่ายเงินครั้งหนึ่งเกินวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
(ห้าแสนบาทถ้วน) แต่ไม่เกินวงเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองล้านบาทถ้วน) ต้องได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
แต่ถ้าการอนุมัติสั่งจ่ายเงินครั้งหนึ่งเกินวงเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สองล้านบาทถ้วน)
ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ เว้นแต่ข้อบังคับว่าด้วยการจัดซื้อทรัพย์สิน
และข้อบังคับว่าด้วยการจ้างจะกำหนดให้ผู้ว่าการมีอำนาจอนุมัติสั่งจ่ายเงินได้
ข้อ ๖
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ของ ททท.
ผู้ว่าการอาจพิจารณามอบหมายโดยกำหนดเป็นระเบียบหรือคำสั่งให้รองผู้ว่าการหรือพนักงานผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้อนุมัติสั่งจ่ายเงินแทนก็ได้ ทั้งนี้
ภายในวงเงินที่ผู้ว่าการกำหนดซึ่งต้องไม่เกินวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท (ห้าแสนบาทถ้วน)
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๓
สมศักดิ์ ชูโต
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
มณฑิตา/ผู้จัดทำ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
วิชพงษ์/ผู้ตรวจ
๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๗/ตอนที่ ๑๓๗/ฉบับพิเศษ หน้า ๓/๑๓ กันยายน
๒๕๒๓ |
301949 | พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 (ฉบับ Update ล่าสุด ) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
ท่าอากาศยาน หมายความว่า สนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานที่อยู่ในอำนาจดำเนินการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
กิจการท่าอากาศยาน หมายความว่า กิจการจัดตั้งสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยาน การจัดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวกในการเดินอากาศ การให้บริการในลานจอดอากาศยาน การให้บริการช่างอากาศ และการให้บริการต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศยาน ผู้ประจำหน้าที่ สินค้า พัสดุภัณฑ์
ผู้โดยสาร และลูกจ้างของผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศ รวมตลอดถึงการให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอันเกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการดังกล่าว
คณะกรรมการ หมายความว่า คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
กรรมการ หมายความว่า กรรมการในคณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ผู้ว่าการ หมายความว่า ผู้ว่าการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พนักงาน หมายความว่า พนักงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยรวมทั้งผู้ว่าการ
ลูกจ้าง หมายความว่า ลูกจ้างของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
เจ้าพนักงาน หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย
(๑) ออกกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าอากาศยานโดยให้มีแผนที่แสดงเขตท่าอากาศยานแนบท้ายกฎกระทรวงนั้นด้วย
(๒) ออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับการควบคุม การปรับปรุง และการให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานในเขตท่าอากาศยาน กฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงนั้นอีกชั้นหนึ่งก็ได้
(๓) แต่งตั้งเจ้าพนักงานเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้กฎกระทรวงนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
การจัดตั้ง ทุน และทุนสำรอง
------
มาตรา ๕ ให้จัดตั้งการท่าอากาศยานขึ้นเรียกว่า การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เรียกโดยย่อว่า ทอท. และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Airports Authority of Thailand เรียกโดยย่อว่า AAT
ให้ ทอท. เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบและส่งเสริมกิจการท่าอากาศยาน รวมทั้งการดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการท่าอากาศยาน
มาตรา ๖ ให้กิจการของ ทอท. ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แต่พนักงานและลูกจ้างของ ทอท. ต้องได้รับการคุ้มครองแรงงานไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
มาตรา ๗ ทอท. มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดในและนอกราชอาณาจักรก็ได้ แต่การตั้งสำนักงานสาขานอกราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก่อน
มาตรา ๘ ให้ ทอท. มีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๕ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑) ถือกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองหรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆสร้าง ซื้อ จัดหา ขาย จำหน่าย
เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ยืม ให้ยืม
รับจำนำ รับจำนอง แลกเปลี่ยน โอน รับโอน
หรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ตลอดจนรับทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้
(๒) จัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ หรือบริการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกและปลอดภัยอันเกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการท่าอากาศยาน
(๓) กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าอากาศยาน ทรัพย์สิน บริการ และความสะดวกต่าง ๆ ในกิจการของ ทอท. ตลอดจนวิธีชำระค่าภาระดังกล่าว
(๔) กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการใช้และรักษาท่าอากาศยาน ทรัพย์สิน บริการและความสะดวกต่าง ๆ ในกิจการท่าอากาศยาน
(๕) สำรวจ วางแผน
ออกแบบ สร้างและปรับปรุงท่าอากาศยาน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกิจการท่าอากาศยาน
(๖) ควบคุม ปรับปรุงและให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานภายในเขตท่าอากาศยาน
(๗) ให้บริการและความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศในการใช้ท่าอากาศยาน
(๘) กู้หรือยืมเงินภายในและภายนอกราชอาณาจักร
(๙) ให้กู้หรือให้ยืมเงินโดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ ทอท.
(๑๐) ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๑๐ ทวิ)[๒] จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกิจการท่าอากาศยาน และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการของท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
(๑๑) ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ ทอท.
(๑๒) ว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการส่วนหนึ่งส่วนใดของ ทอท. แต่ถ้ากิจการนั้นมีรัฐวิสาหกิจใดมีอำนาจดำเนินการและคณะกรรมการเห็นว่ารัฐวิสาหกิจนั้นสามารถจะดำเนินการให้บังเกิดผลและมีประสิทธิภาพได้ ก็ให้ว่าจ้างหรือมอบให้รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นผู้ประกอบกิจการก่อนผู้อื่น
(๑๓) ตั้งหรือรับเป็นตัวแทน ตัวแทนค้าต่าง และนายหน้าในกิจการตามวัตถุประสงค์ของ ทอท.
(๑๔) กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของ ทอท.
ในกรณีที่ ทอท. ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการท่าอากาศยานในสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานของส่วนราชการใดและต้องใช้ทรัพย์สินในกิจการท่าอากาศยานร่วมกันกับส่วนราชการนั้น การใช้อำนาจตามมาตรานี้ที่มีผลกระทบต่อทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกันดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากส่วนราชการนั้นก่อน
มาตรา ๙ ให้ ทอท. มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานที่ประกาศกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายและกำหนดโดยกฎกระทรวง และให้ ทอท. มีสิทธิและหน้าที่เสมือนผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ แต่ในการนี้ ทอท. จะว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการดังกล่าวส่วนหนึ่งส่วนใดแทนก็ได้
มาตรา ๑๐ ทุนของ ทอท. ประกอบด้วย
(๑) เงินและทรัพย์สินที่โอนมาตามมาตรา ๕๐ และมาตรา
๕๒ เมื่อได้หักหนี้สินออกแล้ว
(๒) เงินที่ได้รับจากงบประมาณโดยรัฐบาลจ่ายเป็นทุนประเดิมห้าสิบล้านบาท และจัดสรรเพิ่มเติมเป็นคราว ๆ ตามจำนวนที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควร
(๓) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้
มาตรา ๑๑ เงินสำรองของ ทอท. ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อการไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่น ๆ ตามความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร
เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
มาตรา ๑๒ ทรัพย์สินของ ทอท. ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
หมวด ๒
คณะกรรมการและผู้ว่าการ
มาตรา ๑๓[๓] ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลังหนึ่งคน ผู้แทนกระทรวงคมนาคมหนึ่งคน ผู้แทนกองทัพบกหนึ่งคนผู้แทนกองทัพเรือหนึ่งคน ผู้แทนกองทัพอากาศหนึ่งคน ผู้แทนกรมตำรวจหนึ่งคนกรรมการอื่นอีกไม่เกินเจ็ดคนและผู้ว่าการเป็นกรรมการ
มาตรา ๑๔ เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ ทอท. ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ ทอท. แล้วรายงานต่อคณะกรรมการ
มาตรา ๑๕ ประธานกรรมการหรือกรรมการต้องไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับ ทอท. หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของ ทอท. ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม เว้นแต่เป็นเพียงประธานกรรมการหรือกรรมการของรัฐวิสาหกิจซึ่งกระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ต้องไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้าง และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจด้วย
มาตรา ๑๖ ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี
ในกรณีที่ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ หรือในกรณีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งให้ผู้ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มขึ้น อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งประธานกรรมการหรือกรรมการขึ้นใหม่ ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่
ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้ แต่ไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
มาตรา ๑๗ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๖ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่หรือหย่อนความสามารถ
(๔) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕) ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสามครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๖) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๑๕
มาตรา ๑๘ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ ทอท. อำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑) ออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๔ (๒)
(๒) ออกข้อบังคับหรือระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา ๕ และมาตรา ๘
(๓) ออกข้อบังคับว่าด้วยการประชุม และการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ
(๔) ออกข้อบังคับว่าด้วยการจัดแบ่งส่วนงานของ ทอท. และออกข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานต่าง ๆ ของ ทอท.
(๕) ออกข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานของผู้ว่าการ และการมอบให้ผู้อื่นปฏิบัติงานแทนผู้ว่าการ
(๖) ออกข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และเงินอื่น ๆ ของพนักงานและลูกจ้าง
(๗) ออกข้อบังคับว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง การถอดถอน ระเบียบวินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษพนักงานและลูกจ้าง
(๘) ออกระเบียบว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง
(๙) ออกข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่น เพื่อสวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างและครอบครัว โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
(๑๐) ออกข้อบังคับว่าด้วยการจ่ายค่าพาหนะ เบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่าที่พัก ค่าทำงานล่วงเวลา เบี้ยประชุม และการจ่ายเงินอื่น ๆ
(๑๑) ออกระเบียบว่าด้วยเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง
มาตรา ๑๙ ในข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา ๑๘ ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจของผู้ว่าการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด ให้รัฐมนตรีประกาศข้อความเช่นว่านั้นในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๐ ให้คณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ผู้ว่าการมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี แต่อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา ๒๑ ผู้ว่าการต้อง
(๑) มีความรู้ความสามารถในการบริหารธุรกิจการบินและการท่าอากาศยาน
(๒) ไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับ ทอท. หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของ ทอท. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
(๓) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
มาตรา ๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๒๐ วรรคสอง
ผู้ว่าการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) คณะกรรมการให้ออก เพราะบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือหย่อนความสามารถ
(๔) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕) ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสองครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๖) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๑
มติของคณะกรรมการให้ผู้ว่าการออกจากตำแหน่งตาม (๓) ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่อยู่ในตำแหน่ง นอกจากผู้ว่าการ และต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
มาตรา ๒๓ ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ ทอท. ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของ ทอท. และตามนโยบาย ข้อบังคับ และระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดกับมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างทุกตำแหน่ง
ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการบริหารกิจการของ ทอท.
มาตรา ๒๔ ผู้ว่าการมีอำนาจ
(๑) บรรจุ แต่งตั้ง
ถอดถอน เลื่อน ลด ตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ลงโทษทางวินัยพนักงานและลูกจ้าง ตลอดจนให้พนักงานและลูกจ้างออกจากตำแหน่งตามระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด แต่ถ้าเป็นพนักงานหรือลูกจ้างชั้นที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ ผู้อำนวยการฝ่ายหรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไป จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน
(๒) กำหนดเงื่อนไขในการทำงานของพนักงานและลูกจ้าง และออกระเบียบว่าด้วยการปฏิบัติงานของ ทอท. โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๒๕ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้ว่าการเป็นผู้แทนของ ทอท. และเพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใด ๆ ปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา ๑๙ ย่อมไม่ผูกพัน ทอท. เว้นแต่คณะกรรมการจะให้สัตยาบัน
มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือตำแหน่งผู้ว่าการว่างลงและยังมิได้แต่งตั้งผู้ว่าการ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทนผู้ว่าการ
ให้ผู้รักษาการแทนผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกันกับผู้ว่าการ เว้นแต่อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการในฐานะกรรมการ
มาตรา ๒๗ ให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๘ ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับเงินรางวัลตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ประธานกรรมการ กรรมการและพนักงานเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้เจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นในเขตท่าอากาศยาน
หมวด ๓
การสร้างและบำรุงรักษาท่าอากาศยาน
มาตรา ๓๐ เพื่อประโยชน์ในการสร้างหรือบำรุงรักษาท่าอากาศยาน ให้ ทอท. มีอำนาจมอบหมายให้พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานเข้าใช้สอยหรือเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมิใช่ที่อยู่อาศัยของบุคคลใด ๆ เป็นการชั่วคราวภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑) การใช้สอยหรือเข้าครอบครองนั้นเป็นการจำเป็นสำหรับการสำรวจเพื่อสร้างหรือบำรุงรักษาท่าอากาศยาน หรือเป็นการจำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดแก่ท่าอากาศยาน
(๒) ทอท. ได้บอกกล่าวโดยแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ทราบภายในเวลาอันสมควร แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามวัน ถ้าไม่อาจติดต่อกับเจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้ ให้ประกาศให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวัน การประกาศให้ทำเป็นหนังสือปิดไว้ ณ ที่ซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ และ ณ ที่ทำการเขต หรืออำเภอ ที่ทำการกำนัน และที่ทำการผู้ใหญ่บ้านซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ ทั้งนี้ ให้แจ้งกำหนดระยะเวลาทำการและการที่จะกระทำนั้นไว้ด้วย
ในการปฏิบัติตามมาตรานี้ พนักงานต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ในกรณีที่การปฏิบัติของพนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานตามมาตรานี้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิอื่น บุคคลนั้นมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจาก ทอท. ได้ และถ้าไม่สามารถตกลงกันในจำนวนค่าทดแทน ให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย และให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม[๔]
มาตรา ๓๑ ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่เกิดแก่ท่าอากาศยาน อากาศยาน หรือผู้ใช้บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของ ทอท. พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานอาจเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ของบุคคลใด ๆ เพื่อปฏิบัติการป้องกันได้ แต่ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ก็ให้พนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานแจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทราบก่อน
มาตรา ๓๒ เมื่อ ทอท. มีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อจัดสร้างท่าอากาศยาน เมื่อมิได้ตกลงในเรื่องการโอนไว้เป็นอย่างอื่น ให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
หมวด ๔
การร้องทุกข์ และการสงเคราะห์
มาตรา ๓๓ พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิร้องทุกข์ได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๓๔ ให้ทอท.จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างและครอบครัวในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์
การจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามวรรคหนึ่ง การออกเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ การกำหนดประเภทของผู้ซึ่งพึงได้รับการสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ การจ่ายเงินสงเคราะห์ และการจัดการกองทุนสงเคราะห์ ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
หมวด ๕
การเงิน การบัญชี และการตรวจสอบ
มาตรา ๓๕ ทอท. ต้องจัดทำงบประมาณประจำปี โดยให้แยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ สำหรับงบลงทุนนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา ๓๖ รายได้ที่ ทอท. ได้รับจากการดำเนินงานในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ ทอท. สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเมื่อได้หักรายจ่ายสำหรับการดำเนินงานค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคาเงินสำรองตามมาตรา ๑๑ และเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา ๓๔ และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
ถ้ารายได้มีไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่ง นอกจากเงินสำรองตามมาตรา ๑๑ และ ทอท. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ ทอท. เท่าจำนวนที่จำเป็น
มาตรา ๓๗ ทอท. ต้องเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธนาคารอื่นตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด
มาตรา ๓๘ ทอท. ต้องวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีที่เหมาะสมแก่กิจการแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ มีสมุดบัญชีลงรายการรับและจ่ายเงิน สินทรัพย์และหนี้สินที่แสดงกิจการที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามที่ควร ตามประเภทงานพร้อมด้วยข้อความอันเป็นที่มาของรายการนั้น ๆ และให้มีการตรวจสอบบัญชีภายในเป็นประจำ
มาตรา ๓๙ ทอท. ต้องจัดทำงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุนส่งผู้สอบบัญชีภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
มาตรา ๔๐ ทุกปีให้สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีทำการตรวจสอบรับรองบัญชีและการเงินทุกประเภทของ ทอท.
มาตรา ๔๑ ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรพสมุด บัญชีและเอกสารหลักฐานของ ทอท. เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการ ผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของ ทอท.
มาตรา ๔๒ ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานผลการสอบบัญชีและการเงินเสนอต่อคณะกรรมการภายในหนึ่งร้อยหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี เพื่อคณะกรรมการเสนอต่อรัฐมนตรี
มาตรา ๔๓ ให้คณะกรรมการทำรายงานปีละครั้งเสนอรัฐมนตรี รายงานนี้ให้กล่าวถึงผลงานของ ทอท. ในปีที่ล่วงมาแล้ว พร้อมทั้งคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ โครงการและแผนงานที่จะจัดทำในภายหน้า
ให้ ทอท. โฆษณารายงานประจำปีที่สิ้นไป โดยแสดงงบดุล บัญชีทำการและบัญชีกำไรขาดทุนที่ผู้สอบบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว รวมทั้งรายงานสรุปผลงานในปีที่ล่วงมา ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันสิ้นปีของ ทอท.
หมวด ๖
การกำกับ และควบคุม
มาตรา ๔๔ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ ทอท. เพื่อการนี้จะสั่งให้ ทอท. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำของ ทอท. ที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาล หรือมติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาล หรือมติของคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการได้
มาตรา ๔๕ ในกรณีที่ ทอท. จะต้องเสนอเรื่องใด ๆ ไปยังคณะรัฐมนตรี ให้ ทอท. นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๔๖[๕] ทอท. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการดังต่อไปนี้ได้
(๑) ลงทุนเพื่อขยายโครงการเดิมหรือริเริ่มโครงการใหม่ซึ่งมีวงเงินเกินสิบล้านบาท
(๒) การกู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงินมีจำนวนเกินคราวละสิบล้านบาท
(๓) ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๔) จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์อันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาท
(๔ ทวิ)[๖] จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามมาตรา ๘ (๑๐ ทวิ)
(๕) จำหน่ายทรัพย์สินอันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาทจากบัญชีเป็นสูญ
หมวด ๗
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๔๗ ผู้ใดขัดขวางการกระทำของ ทอท. หรือพนักงานหรือลูกจ้างซึ่งกระทำการตามมาตรา ๓๐ หรือมาตรา
๓๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๘ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงซึ่งออกตามมาตรา ๔ (๒) หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของคณะกรรมการซึ่งออกตามกฎกระทรวงดังกล่าว ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าสิบบาทถึงสองพันบาท
ความผิดตามมาตรานี้ ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ แต่ถ้าผู้นั้นไม่ยอมให้เปรียบเทียบปรับ เจ้าพนักงานผู้ทำการจับต้องนำตัวผู้ถูกจับส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจโดยทันที ซึ่งต้องไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่ได้จับกุม
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๔๙ ในระยะเริ่มแรกให้ ทอท. มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในสนามบินดอนเมืองของกองทัพอากาศ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา กิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศไม่ต้องใช้อีกต่อไปให้ดำเนินการโอนตามมาตรา ๕๐ ส่วนกิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศจะสงวนไว้ใช้หรือต้องใช้ร่วมกับ ทอท. ก็ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้าเป็นที่ราชพัสดุให้ดำเนินการตามมาตรา ๕๑
มาตรา ๕๐ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของกองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมืองของกรมการบินพลเรือน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนด ไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๕๑ บรรดาที่ราชพัสดุที่อยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของกองทัพอากาศอันเกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้ การใช้ที่ราชพัสดุ การปลูกสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างในที่ราชพัสดุ ตลอดจนการเรียกค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ และการดำเนินการเกี่ยวกับค่าตอบแทนดังกล่าว ให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงการคลังและกองทัพอากาศร่วมกันกำหนด ค่าตอบแทนที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาที่ราชพัสดุนั้น ให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
มาตรา ๕๒ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ตามที่รัฐมนตรีกำหนดไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๕๓ ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดของกองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม และของกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับกิจการที่โอนไปตามมาตรา ๕๐ หรือมาตรา
๕๒ แล้วแต่กรณี ถ้าสมัครใจจะโอนไปปฏิบัติงานกับ ทอท. และได้แจ้งความจำนงเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนเงินเดือนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้โอนข้าราชการหรือลูกจ้างผู้นั้นไปเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของ ทอท. แต่ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีเจ้าสังกัดและ ทอท. จะได้ตกลงกัน
ให้ข้าราชการหรือลูกจ้างที่โอนไปเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของ ทอท. แล้วแต่กรณี ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ เท่ากับที่เคยได้รับอยู่เดิมไปพลางก่อน จนกว่าผู้ว่าการจะได้บรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง แต่จะแต่งตั้งให้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างต่ำกว่าเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ได้รับอยู่เดิมไม่ได้
มาตรา ๕๔ การโอนข้าราชการตามมาตรา ๕๓ ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากประจำการเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการการโอนลูกจ้างตามมาตรา ๕๓ ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากงาน เพราะทางราชการยุบตำแหน่งหรือทางราชการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด และให้ได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง
เพื่อประโยชน์ในการนับเวลาการทำงานสำหรับคำนวณบำเหน็จหรือบำนาญตามข้อบังคับของ ทอท. (ถ้ามี) ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดที่โอนไปตามมาตรา ๕๓ ประสงค์จะให้นับเวลาราชการหรือเวลาทำงานในขณะที่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างก่อนที่มีการโอนเป็นเวลาการทำงานของพนักงานหรือลูกจ้างของ ทอท. แล้วแต่กรณี ก็ให้มีสิทธิกระทำได้โดยการบอกเลิกรับบำเหน็จบำนาญ
การบอกเลิกรับบำเหน็จบำนาญตามวรรคสาม จะต้องกระทำภายในสามสิบวันนับแต่วันที่โอน สำหรับกรณีของข้าราชการ ให้ดำเนินการบอกเลิกตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการสำหรับกรณีของลูกจ้างให้ดำเนินการบอกเลิกโดยกระทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานยื่นต่อผู้ว่าจ้างเพื่อส่งต่อไปให้กระทรวงการคลังทราบ
มาตรา ๕๕ ถ้าต่อไป ทอท. ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการในสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานของส่วนราชการใดเพิ่มขึ้น ให้ส่วนราชการนั้นยินยอมให้ ทอท. เข้าดำเนินกิจการและต้องส่งมอบกิจการให้แก่ ทอท. ตามระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และถ้ามีกรณีที่จะต้องใช้ทรัพย์สินอันเป็นที่ราชพัสดุ และอยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของส่วนราชการนั้นด้วย ก็ให้ส่วนราชการนั้นมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้ และให้นำมาตรา ๕๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ เนื่องจากการประกอบกิจการท่าอากาศยานเป็นกิจการด้านสาธารณูปโภคที่มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ แต่การดำเนินงานในด้านนี้ขึ้นอยู่กับส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งแยกกันอยู่ ทำให้ขาดความคล่องตัว สมควรจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้น เพื่อให้การดำเนินกิจการท่าอากาศยานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
สุนันทา/แก้ไข
๔/๑๒/๔๔
A+B (C)
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๐ [๗]
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ มีบทบัญญัติให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย และให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวได้ยกเลิกบทบัญญัติว่าด้วยอนุญาโตตุลาการไปแล้ว สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สุนันทา/แก้ไข
๓/ก.ย./๔๔
A+B (C)
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๔ [๘]
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปัจจุบันการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอันมาก ประกอบกับรัฐบาลมีโครงการที่สำคัญและได้มอบให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยรับไปเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และนโยบายของประเทศ สมควรเพิ่มจำนวนกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยจากไม่เกินสิบเอ็ดคนเป็นไม่เกินสิบห้าคน เพื่อจะได้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ครอบคลุมทุกด้าน อันจะส่งผลให้การดำเนินกิจการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สุนันทา/แก้ไข
๐๓/๐๙/๔๔
A+B (C)
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ [๙]
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๒ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติบางมาตราไม่เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาวะเศรษฐกิจ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินออกจากบัญชีเป็นสูญได้ทุกกรณีโดยไม่จำกัดวงเงินโดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน ซึ่งจะยังผลให้การบริหารงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สุนันทา/แก้ไข
๔/๑๒/๔๔
A+B (C)
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๘ [๑๐]
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ประสงค์จะให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยสามารถจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกิจการท่าอากาศยานและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สุนันทา/แก้ไข
๐๓/๐๙/๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์ จัดทำ
เนติมา จัดทำ
ฐาปนี พิมพ์
๔ มี.ค. ๔๖
[๑] รก.๒๕๒๒/๒๙/๑พ/๒ มีนาคม ๒๕๒๒
[๒] มาตรา ๘ (๑๐ ทวิ) เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๕) พ.ศ.
๒๕๓๘
[๓] มาตรา ๑๓ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๔
[๔] มาตรา ๓๐ วรรคสาม
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๓๐
[๕] มาตรา ๔๖
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่
๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
[๖] มาตรา ๔๖ (๔ ทวิ) เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๕) พ.ศ.
๒๕๓๘
[๗] รก.๒๕๓๐/๑๖๔/๕๓พ/๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๐
[๘] รก.๒๕๓๔/๑๙๖/๓๐พ/๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๔
[๙] รก.๒๕๓๕/๑๖/๑๒/๔ มีนาคม ๒๕๓๕
[๑๐] รก.๒๕๓๘/๕๐ก/๑/๖ ธันวาคม ๒๕๓๘ |
301948 | พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2538 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕)
พ.ศ. ๒๕๓๘
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๘
เป็นปีที่ ๕๐ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ
และยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๘
มาตรา ๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๓๘/๕๐ก/๑/๖
ธันวาคม ๒๕๓๘]
มาตรา ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑๐ ทวิ)
ของมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
(๑๐ ทวิ)
จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกิจการท่าอากาศยาน
และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการของท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๔ ทวิ)
ของมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
(๔ ทวิ)
จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามมาตรา ๘ (๑๐ ทวิ)
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
บรรหาร
ศิลปอาชา
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ประสงค์จะให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยสามารถจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกิจการท่าอากาศยานและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจาก
คณะรัฐมนตรี จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สุนันทา/แก้ไข
๐๓/๐๙/๔๔
A+B (C) |
327203 | พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 (Update ณ วันที่ 04/03/2535 ) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๒๒/๒๙/๑พ/๒
มีนาคม ๒๕๒๒]
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
ท่าอากาศยาน หมายความว่า
สนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของ
อากาศยานที่อยู่ในอำนาจดำเนินการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
กิจการท่าอากาศยาน หมายความว่า
กิจการจัดตั้งสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยาน
การจัดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวกในการเดินอากาศ การให้บริการในลานจอดอากาศยาน
การให้บริการช่างอากาศ และการให้บริการต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศยาน ผู้ประจำหน้าที่สินค้า
พัสดุภัณฑ์ ผู้โดยสาร และลูกจ้างของผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศ รวมตลอดถึงการให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอันเกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการดังกล่าว
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
กรรมการ หมายความว่า
กรรมการในคณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย
ผู้ว่าการ หมายความว่า
ผู้ว่าการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พนักงาน หมายความว่า
พนักงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยรวมทั้งผู้ว่าการ
ลูกจ้าง หมายความว่า
ลูกจ้างของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
เจ้าพนักงาน หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราช
บัญญัตินี้
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย
(๑)
ออกกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าอากาศยานโดยให้มีแผนที่แสดงเขต
ท่าอากาศยานแนบท้ายกฎกระทรวงนั้นด้วย
(๒)
ออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับการควบคุม การปรับปรุง และการให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานในเขตท่าอากาศยาน กฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนด
ให้คณะกรรมการมีอำนาจออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงนั้นอีก
ชั้นหนึ่งก็ได้
(๓)
แต่งตั้งเจ้าพนักงานเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
การจัดตั้ง ทุน และทุนสำรอง
มาตรา ๕ ให้จัดตั้งการท่าอากาศยานขึ้นเรียกว่า การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เรียกโดยย่อว่า ทอท.
และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Airports Authority of Thailand เรียกโดยย่อว่า AAT
ให้ ทอท.
เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบและส่งเสริมกิจการ
ท่าอากาศยาน รวมทั้งการดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการ
ท่าอากาศยาน
มาตรา ๖ ให้กิจการของ
ทอท.ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
และกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แต่พนักงานและลูกจ้างของ ทอท. ต้องได้รับการคุ้มครองแรงงานไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
มาตรา ๗ ทอท. มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร
และจะตั้งสำนักงานสาขา
หรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดในและนอกราชอาณาจักรก็ได้
แต่การตั้งสำนักงานสาขานอกราชอาณา
จักร ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก่อน
มาตรา ๘ ให้ ทอท. มีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ
ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์
ตามมาตรา ๕ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
ถือกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองหรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ สร้าง ซื้อ จัดหา
ขาย จำหน่าย เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ยืม ให้ยืม รับจำนำ รับจำนอง
แลกเปลี่ยน โอน รับโอน
หรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ทั้งในและนอกราชอาณาจักร
ตลอดจนรับทรัพย์สินที่มีผู้
อุทิศให้
(๒)
จัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ หรือบริการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกและ
ปลอดภัยอันเกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการท่าอากาศยาน
(๓)
กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าอากาศยาน ทรัพย์สิน บริการ และความสะดวกต่าง ๆ
ในกิจการของ ทอท. ตลอดจนวิธีชำระค่าภาระดังกล่าว
(๔)
กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการใช้และรักษาท่าอากาศยาน
ทรัพย์สิน บริการและความสะดวกต่าง ๆ ในกิจการท่าอากาศยาน
(๕) สำรวจ วางแผน
ออกแบบ สร้างและปรับปรุงท่าอากาศยาน และอุปกรณ์
ที่เกี่ยวข้องกับกิจการท่าอากาศยาน
(๖) ควบคุม
ปรับปรุงและให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานภายในเขตท่าอากาศยาน
(๗)
ให้บริการและความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศในการใช้ท่าอากาศยาน
(๘) กู้หรือยืมเงินภายในและภายนอกราชอาณาจักร
(๙)
ให้กู้หรือให้ยืมเงินโดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สินเพื่อประโยชน์
แก่กิจการของ ทอท.
(๑๐)
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๑๑)
ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่
กิจการของ ทอท.
(๑๒)
ว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการส่วนหนึ่งส่วนใดของ ทอท.
แต่ถ้ากิจการนั้นมีรัฐวิสาหกิจใดมีอำนาจดำเนินการและคณะกรรมการเห็นว่ารัฐวิสาหกิจนั้น
สามารถจะดำเนินการให้บังเกิดผลและมีประสิทธิภาพได้
ก็ให้ว่าจ้างหรือมอบให้รัฐวิสาหกิจนั้น
เป็นผู้ประกอบกิจการก่อนผู้อื่น
(๑๓)
ตั้งหรือรับเป็นตัวแทน ตัวแทนค้าต่าง และนายหน้าในกิจการตามวัตถุประสงค์ของ ทอท.
(๑๔)
กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตาม
วัตถุประสงค์ของ ทอท.
ในกรณีที่ ทอท.
ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการท่าอากาศยานในสนามบินหรือ
ที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานของส่วนราชการใดและต้องใช้ทรัพย์สินในกิจการท่าอากาศยาน
ร่วมกันกับส่วนราชการนั้น
การใช้อำนาจตามมาตรานี้ที่มีผลกระทบต่อทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกัน
ดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากส่วนราชการนั้นก่อน
มาตรา ๙ ให้ ทอท. มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานที่ประกาศกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายและกำหนดโดยกฎกระทรวง และให้ ทอท.
มีสิทธิและหน้าที่เสมือนผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
แต่ในการนี้ ทอท. จะว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการดังกล่าวส่วนหนึ่งส่วนใดแทนก็ได้
มาตรา ๑๐ ทุนของ ทอท. ประกอบด้วย
(๑)
เงินและทรัพย์สินที่โอนมาตามมาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๒ เมื่อได้หักหนี้สิน
ออกแล้ว
(๒)
เงินที่ได้รับจากงบประมาณโดยรัฐบาลจ่ายเป็นทุนประเดิมห้าสิบล้านบาท และจัดสรรเพิ่มเติมเป็นคราว
ๆ ตามจำนวนที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควร
(๓)
เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้
มาตรา ๑๑ เงินสำรองของ ทอท.
ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้
เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อการไถ่ถอนหนี้
และเงินสำรองอื่น ๆ ตามความ
ประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร
เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
มาตรา ๑๒ ทรัพย์สินของ ทอท.
ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
หมวด ๒
คณะกรรมการและผู้ว่าการ
มาตรา ๑๓*
ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลังหนึ่งคน ผู้แทนกระทรวงคมนาคมหนึ่งคน
ผู้แทนกองทัพบกหนึ่งคน ผู้แทนกองทัพเรือหนึ่งคน ผู้แทนกองทัพอากาศหนึ่งคน
ผู้แทนกรมตำรวจหนึ่งคน กรรมการอื่นอีกไม่เกินเจ็ดคนและผู้ว่าการเป็นกรรมการ
ให้ผู้ว่าการเป็นเลขานุการคณะกรรมการ
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่น
*[มาตรา ๑๓
วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๔]
มาตรา ๑๔ เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ ทอท.
ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ
ทอท. แล้วรายงานต่อคณะกรรมการ
มาตรา ๑๕
ประธานกรรมการหรือกรรมการต้องไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่
กระทำกับ ทอท. หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของ ทอท.
ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
เว้นแต่เป็นเพียงประธานกรรมการหรือกรรมการของรัฐวิสาหกิจซึ่งกระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง
ต้องไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้าง และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจด้วย
มาตรา ๑๖
ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ใน
ตำแหน่งคราวละสามปี
ในกรณีที่ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
หรือในกรณีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งให้ผู้ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มขึ้น
อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง
หากยังมิได้มีการแต่งตั้งประธาน
กรรมการหรือกรรมการขึ้นใหม่
ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
นั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่
เข้ารับหน้าที่
ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้
แต่ไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
มาตรา ๑๗ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๖
ประธาน
กรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่หรือหย่อน
ความสามารถ
(๔)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕)
ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสามครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๖)
ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๑๕
มาตรา ๑๘
ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดย
ทั่วไปซึ่งกิจการของ ทอท. อำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
ออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๔ (๒)
(๒)
ออกข้อบังคับหรือระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา ๕ และมาตรา ๘
(๓)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการประชุม และการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ
(๔)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการจัดแบ่งส่วนงานของ ทอท. และออกข้อบังคับ ว่าด้วยการบริหารงานต่าง
ๆ ของ ทอท.
(๕)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานของผู้ว่าการ และการมอบให้ผู้อื่นปฏิบัติ
งานแทนผู้ว่าการ
(๖)
ออกข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และเงินอื่น ๆ ของ
พนักงานและลูกจ้าง
(๗)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง
การถอดถอน ระเบียบวินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษพนักงานและลูกจ้าง
(๘)
ออกระเบียบว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง
(๙)
ออกข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการ
ของพนักงานและลูกจ้างและครอบครัว โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
(๑๐) ออกข้อบังคับว่าด้วยการจ่ายค่าพาหนะ
เบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่าที่พัก ค่าทำงานล่วงเวลา เบี้ยประชุม
และการจ่ายเงินอื่น ๆ
(๑๑)
ออกระเบียบว่าด้วยเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง
มาตรา ๑๙ ในข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา ๑๘
ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจ
ของผู้ว่าการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด
ให้รัฐมนตรีประกาศข้อความเช่นว่านั้นใน
ราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๐
ให้คณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของ ผู้ว่าการด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ผู้ว่าการมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี
แต่อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา ๒๑ ผู้ว่าการต้อง
(๑)
มีความรู้ความสามารถในการบริหารธุรกิจการบินและการท่าอากาศยาน
(๒)
ไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับ ทอท. หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็น
การแข่งขันกับกิจการของ ทอท. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
(๓) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
มาตรา ๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๒๐
วรรคสอง ผู้ว่าการพ้น
จากตำแหน่ง เมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓)
คณะกรรมการให้ออก เพราะบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีความประพฤติ เสื่อมเสียหรือหย่อนความสามารถ
(๔)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕)
ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสองครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๖)
ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๑
มติของคณะกรรมการให้ผู้ว่าการออกจากตำแหน่งตาม
(๓) ต้องประกอบด้วย
คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่อยู่ในตำแหน่ง
นอกจากผู้ว่าการ
และต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
มาตรา ๒๓ ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ ทอท.
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของ ทอท. และตามนโยบาย ข้อบังคับ
และระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดกับมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างทุกตำแหน่ง
ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการบริหารกิจการของ
ทอท.
มาตรา ๒๔ ผู้ว่าการมีอำนาจ
(๑) บรรจุ แต่งตั้ง
ถอดถอน เลื่อน ลด ตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ลงโทษทางวินัย
พนักงานและลูกจ้าง
ตลอดจนให้พนักงานและลูกจ้างออกจากตำแหน่งตามระเบียบหรือข้อบังคับ
ที่คณะกรรมการกำหนด แต่ถ้าเป็นพนักงานหรือลูกจ้างชั้นที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ
ผู้อำนวยการฝ่าย
หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไป จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน
(๒) กำหนดเงื่อนไขในการทำงานของพนักงานและลูกจ้าง
และออกระเบียบ ว่าด้วยการปฏิบัติงานของ
ทอท. โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๒๕ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
ให้ผู้ว่าการเป็นผู้แทนของ ทอท.
และเพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใด ๆ ปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนก็ได้
แต่ต้องเป็น
ไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา
๑๙ ย่อม
ไม่ผูกพัน ทอท. เว้นแต่คณะกรรมการจะให้สัตยาบัน
มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
หรือตำแหน่งผู้ว่าการว่างลง
และยังมิได้แต่งตั้งผู้ว่าการ
ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทน
ผู้ว่าการ
ให้ผู้รักษาการแทนผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกันกับผู้ว่าการ
เว้นแต่อำนาจ
หน้าที่ของผู้ว่าการในฐานะกรรมการ
มาตรา ๒๗ ให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนตาม
ระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๘ ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้ว่าการ
พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับ
เงินรางวัลตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ประธานกรรมการ
กรรมการและพนักงานเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้เจ้าพนักงานตาม
พระราชบัญญัตินี้ เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา
เพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นในเขตท่าอากาศยาน
หมวด ๓
การสร้างและบำรุงรักษาท่าอากาศยาน
มาตรา ๓๐
เพื่อประโยชน์ในการสร้างหรือบำรุงรักษาท่าอากาศยานให้ ทอท.
มีอำนาจมอบหมายให้พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานเข้าใช้สอยหรือเข้าครอบครอง
อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมิใช่ที่อยู่อาศัยของบุคคลใด ๆ เป็นการชั่วคราวภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑)
การใช้สอยหรือเข้าครอบครองนั้นเป็นการจำเป็นสำหรับการสำรวจเพื่อสร้าง
หรือบำรุงรักษาท่าอากาศยาน
หรือเป็นการจำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายหรือความเสียหาย
ที่จะเกิดแก่ท่าอากาศยาน
(๒) ทอท.
ได้บอกกล่าวโดยแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหา
ริมทรัพย์ทราบภายในเวลาอันสมควร แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามวัน
ถ้าไม่อาจติดต่อกับเจ้าของหรือ
ผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้
ให้ประกาศให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทราบ
ล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวัน การประกาศให้ทำเป็นหนังสือปิดไว้ ณ ที่ซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น
ตั้งอยู่ และ ณ ที่ทำการเขต หรืออำเภอ ที่ทำการกำนัน
และที่ทำการผู้ใหญ่บ้านซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ ทั้งนี้
ให้แจ้งกำหนดระยะเวลาทำการและการที่จะกระทำนั้นไว้ด้วย
ในการปฏิบัติตามมาตรานี้
พนักงานต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
*ในกรณีที่การปฏิบัติของพนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานตามมาตรานี้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิอื่น
บุคคลนั้นมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจาก ทอท. ได้ และถ้าไม่สามารถตกลงกันในจำนวนค่าทดแทน
ให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
โดยให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ
*[มาตรา ๓๐ วรรคสาม
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๐]
มาตรา ๓๑
ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่เกิดแก่ท่าอากาศยาน
อากาศยาน หรือผู้ใช้บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของ ทอท. พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานอาจเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ของบุคคลใด
ๆ เพื่อปฏิบัติการป้องกันได้ แต่ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่นั้นด้วย
ก็ให้พนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานแจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทราบก่อน
มาตรา ๓๒ เมื่อ ทอท.
มีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อจัดสร้างท่าอากาศยาน
เมื่อมิได้ตกลงในเรื่องการโอนไว้เป็นอย่างอื่น ให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
หมวด ๔
การร้องทุกข์ และการสงเคราะห์
มาตรา ๓๓
พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิร้องทุกข์ได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการ
กำหนด
มาตรา ๓๔ ให้ ทอท.
จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างและครอบครัวในกรณีพ้นจากตำแหน่ง
ประสบอุบัติเหตุเจ็บป่วย ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์
การจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามวรรคหนึ่ง
การออกเงิน
สมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ การกำหนดประเภทของผู้ซึ่งพึงได้รับการสงเคราะห์จากกองทุน
สงเคราะห์ การจ่ายเงินสงเคราะห์
และการจัดการกองทุนสงเคราะห์ ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่
คณะกรรมการกำหนด
หมวด ๕
การเงิน การบัญชี และการตรวจสอบ
มาตรา ๓๕ ทอท. ต้องจัดทำงบประมาณประจำปี
โดยให้แยกเป็นงบลงทุนและ
งบทำการ สำหรับงบลงทุนนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ
ส่วน
งบทำการนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา ๓๖ รายได้ที่ ทอท.
ได้รับจากการดำเนินงานในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ
ทอท. สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
และเมื่อได้หักรายจ่ายสำหรับการดำเนินงานค่าภาระ
ต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา เงินสำรองตามมาตรา ๑๑
และเงินสมทบ
กองทุนสงเคราะห์ หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา ๓๔
และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบ
จากคณะรัฐมนตรีแล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
ถ้ารายได้มีไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่ง
นอกจากเงินสำรองตาม
มาตรา ๑๑ และ ทอท. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ ทอท.
เท่าจำนวนที่จำเป็น
มาตรา ๓๗ ทอท.
ต้องเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ
ธนาคารอื่นตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด
มาตรา ๓๘ ทอท.
ต้องวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีที่เหมาะสมแก่กิจการแยก
ตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ มีสมุดบัญชีลงรายการรับและจ่ายเงิน
สินทรัพย์และหนี้สินที่แสดง
กิจการที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามที่ควร ตามประเภทงาน
พร้อมด้วยข้อความอันเป็นที่มา
ของรายการนั้น ๆ และให้มีการตรวจสอบบัญชีภายในเป็นประจำ
มาตรา ๓๙ ทอท. ต้องจัดทำงบดุล บัญชีทำการ
และบัญชีกำไรขาดทุนส่งผู้สอบ
บัญชีภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
มาตรา ๔๐
ทุกปีให้สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชี
ทำการตรวจสอบรับรองบัญชีและการเงินทุกประเภทของ ทอท.
มาตรา ๔๑ ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรพสมุด
บัญชีและเอกสารหลักฐาน
ของ ทอท. เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการ ผู้ว่าการ
พนักงานและลูกจ้างของ ทอท.
มาตรา ๔๒
ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานผลการสอบบัญชีและการเงินเสนอต่อ
คณะกรรมการภายในหนึ่งร้อยหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
เพื่อคณะกรรมการเสนอต่อรัฐมนตรี
มาตรา ๔๓
ให้คณะกรรมการทำรายงานปีละครั้งเสนอรัฐมนตรี รายงานนี้ให้
กล่าวถึงผลงานของ ทอท. ในปีที่ล่วงมาแล้ว
พร้อมทั้งคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ
โครงการและแผนงานที่จะจัดทำในภายหน้า
ให้ ทอท.
โฆษณารายงานประจำปีที่สิ้นไป โดยแสดงงบดุล บัญชีทำการและบัญชี
กำไรขาดทุนที่ผู้สอบบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว
รวมทั้งรายงานสรุปผลงานในปีที่ล่วงมา ภายใน
หนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีของ ทอท.
หมวด ๖
การกำกับ และควบคุม
มาตรา ๔๔ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ
ทอท. เพื่อ
การนี้จะสั่งให้ ทอท. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน
หรือยับยั้งการกระทำของ
ทอท. ที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาล หรือมติคณะรัฐมนตรี
ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาล หรือมติของคณะรัฐมนตรี
และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการได้
มาตรา ๔๕ ในกรณีที่ ทอท.จะต้องเสนอเรื่องใด ๆ
ไปยังคณะรัฐมนตรี ให้ ทอท.นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๔๖* ทอท.
ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการดังต่อไปนี้ได้
(๑)
ลงทุนเพื่อขยายโครงการเดิมหรือริเริ่มโครงการใหม่ซึ่งมีวงเงินเกินสิบล้านบาท
(๒)
การกู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงินมีจำนวนเกินคราวละสิบล้านบาท
(๓)
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๔)
จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์อันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาท
(๕)
ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่
กิจการของ ทอท.
*[มาตรา ๔๖
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕]
หมวด ๗
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๔๗ ผู้ใดขัดขวางการกระทำของ ทอท. หรือพนักงานหรือลูกจ้างซึ่งกระทำการตามมาตรา
๓๐ หรือมาตรา ๓๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๘
ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงซึ่งออกตามมาตรา ๔ (๒)
หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของคณะกรรมการซึ่งออกตามกฎกระทรวงดังกล่าว
ต้อง
ระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าสิบบาทถึงสองพันบาท
ความผิดตามมาตรานี้
ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ แต่ถ้าผู้นั้น
ไม่ยอมให้เปรียบเทียบปรับ
เจ้าพนักงานผู้ทำการจับต้องนำตัวผู้ถูกจับส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงาน
ตำรวจโดยทันที ซึ่งต้องไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่ได้จับกุม
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๔๙ ในระยะเริ่มแรกให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานใน
สนามบินดอนเมืองของกองทัพอากาศ ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศ
กำหนดในราชกิจจานุเบกษา กิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศไม่ต้องใช้อีกต่อไปให้
ดำเนินการโอนตามมาตรา ๕๐
ส่วนกิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศจะสงวนไว้ใช้หรือ
ต้องใช้ร่วมกับ ทอท. ก็ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้
แต่ถ้าเป็นที่
ราชพัสดุให้ดำเนินการตามมาตรา ๕๑
มาตรา ๕๐ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้
ตลอดจนงบประมาณของ
กองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม
ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง
ของกรมการบินพลเรือนตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนด ไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๕๑
บรรดาที่ราชพัสดุที่อยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของ
กองทัพอากาศอันเกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท.
ใช้
ประโยชน์ได้ การใช้ที่ราชพัสดุ การปลูกสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน
หรือเคลื่อนย้ายอาคารหรือสิ่ง
ปลูกสร้างในที่ราชพัสดุ ตลอดจนการเรียกค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์
และการดำเนินการเกี่ยวกับค่าตอบแทนดังกล่าว
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงการคลังและกองทัพอากาศร่วมกันกำหนดค่าตอบแทนที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาที่ราชพัสดุนั้น
ให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
มาตรา ๕๒ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้
ตลอดจนงบประมาณของ
กรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ตามที่รัฐมนตรี
กำหนดไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๕๓ ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดของกองทัพอากาศ
กองบัญชาการทหาร
สูงสุด กระทรวงกลาโหม และของกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม
ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับ
กิจการที่โอนไปตามมาตรา ๕๐ หรือมาตรา ๕๒ แล้วแต่กรณี
ถ้าสมัครใจจะโอนไปปฏิบัติงานกับ
ทอท. และได้แจ้งความจำนงเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนเงินเดือนภายใน
สามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้โอนข้าราชการหรือลูกจ้างผู้นั้นไปเป็น
พนักงานหรือลูกจ้างของ ทอท. แต่ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีเจ้าสังกัดและ ทอท.
จะได้ตกลงกัน
ให้ข้าราชการหรือลูกจ้างที่โอนไปเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของ
ทอท. แล้วแต่กรณี
ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ
เท่ากับที่เคยได้รับอยู่เดิมไปพลางก่อน
จนกว่าผู้ว่าการจะได้บรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
แต่จะแต่งตั้งให้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้าง
ต่ำกว่าเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ได้รับอยู่เดิมไม่ได้
มาตรา ๕๔ การโอนข้าราชการตามมาตรา ๕๓
ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากประจำการเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
การโอนลูกจ้างตามมาตรา
๕๓ ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากงาน เพราะทางราชการยุบตำแหน่งหรือทางราชการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด
และให้ได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง
เพื่อประโยชน์ในการนับเวลาการทำงานสำหรับคำนวณบำเหน็จหรือบำนาญตาม
ข้อบังคับของ ทอท. (ถ้ามี) ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดที่โอนไปตามมาตรา ๕๓
ประสงค์จะให้นับ
เวลาราชการหรือเวลาทำงานในขณะที่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างก่อนที่มีการโอนเป็นเวลาการ
ทำงานของพนักงานหรือลูกจ้างของ ทอท. แล้วแต่กรณี
ก็ให้มีสิทธิกระทำได้โดยการบอกเลิกรับ
บำเหน็จบำนาญ
การบอกเลิกรับบำเหน็จบำนาญตามวรรคสาม
จะต้องกระทำภายในสามสิบวันนับ
แต่วันที่โอน สำหรับกรณีของข้าราชการ ให้ดำเนินการบอกเลิกตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จ
บำนาญข้าราชการ
สำหรับกรณีของลูกจ้างให้ดำเนินการบอกเลิกโดยกระทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานยื่นต่อผู้ว่าจ้างเพื่อส่งต่อไปให้กระทรวงการคลังทราบ
มาตรา ๕๕ ถ้าต่อไป ทอท.
ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการในสนามบินหรือที่
ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานของส่วนราชการใดเพิ่มขึ้น
ให้ส่วนราชการนั้นยินยอมให้ ทอท. เข้า
ดำเนินกิจการและต้องส่งมอบกิจการให้แก่ ทอท. ตามระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
และถ้ามี
กรณีที่จะต้องใช้ทรัพย์สินอันเป็นที่ราชพัสดุและอยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของ
ส่วนราชการนั้นด้วย ก็ให้ส่วนราชการนั้นมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้
และให้นำ
มาตรา ๕๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ
เนื่องจากการประกอบกิจการ
ท่าอากาศยานเป็นกิจการด้านสาธารณูปโภคที่มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของ
ประเทศ แต่การดำเนินงานในด้านนี้ขึ้นอยู่กับส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งแยกกันอยู่
ทำให้ขาดความ
คล่องตัว สมควรจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้น เพื่อให้การดำเนินกิจการท่าอากาศยานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๐
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการท่า
อากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ มีบทบัญญัติให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
และให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม
แต่เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวได้ยกเลิกบทบัญญัติว่าด้วยอนุญาโตตุลาการไปแล้ว
สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๓๐/๑๖๔/๕๓พ/๑๙
สิงหาคม ๒๕๓๐]
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๔
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากปัจจุบันการท่า
อากาศยานแห่งประเทศไทยมีภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอันมาก
ประกอบกับรัฐบาลมีโครงการที่สำคัญและได้มอบให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยรับไปเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และนโยบายของประเทศ
สมควรเพิ่มจำนวนกรรมการการท่า อากาศยานแห่งประเทศไทยจากไม่เกินสิบเอ็ดคนเป็นไม่เกินสิบห้าคน
เพื่อจะได้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ครอบคลุมทุกด้าน
อันจะส่งผลให้การดำเนินกิจการของการท่า
อากาศยานแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๓๔/๑๙๖/๓๐พ/๑๑
พฤศจิกายน ๒๕๓๔]
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากพระราชบัญญัติการท่า
อากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติบางมาตราไม่เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาวะเศรษฐกิจ
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินออกจากบัญชีเป็นสูญได้ทุกกรณีโดยไม่จำกัดวงเงินโดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
ซึ่งจะยังผลให้การบริหารงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๓๕/๑๖/๑๒/๔
มีนาคม ๒๕๓๕]
ดวงใจ/แก้ไข
๒๔ ม.ค. ๔๕ |
318749 | พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2535 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔)
พ.ศ. ๒๕๓๕
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๕
เป็นปีที่ ๔๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๓๕
มาตรา ๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๓๕/๑๖/๑๒/๔
มีนาคม ๒๕๓๕]
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๖
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๒ และให้ใช้ความนี้แทน
มาตรา ๔๖ ทอท.
ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะ
ดำเนินการดังต่อไปนี้ได้
(๑)
ลงทุนเพื่อขยายโครงการเดิมหรือริเริ่มโครงการใหม่ซึ่งมีวงเงินเกิน สิบล้านบาท
(๒)
การกู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงินมีจำนวนเกินคราวละสิบล้านบาท
(๓) ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๔)
จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์อันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาท
(๕)
ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อ
ประโยชน์แก่กิจการของ ทอท.
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
อานันท์ ปันยารชุน
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้
คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๒
ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติบางมาตรา
ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาวะเศรษฐกิจ
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าว
เพื่อให้คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินออกจาก
บัญชีเป็นสูญได้ทุกกรณีโดยไม่จำกัดวงเงินโดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ก่อน ซึ่งจะยังผลให้การบริหารงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีความคล่องตัว
และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สุนันทา/แก้ไข
๔/๑๒/๔๔
A+B (C) |
313516 | พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 (Update ณ วันที่ 11/11/2534) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๒๒/๒๙/๑พ/๒
มีนาคม ๒๕๒๒ ]
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
ท่าอากาศยาน หมายความว่า
สนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานที่อยู่ในอำนาจดำเนินการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
กิจการท่าอากาศยาน หมายความว่า
กิจการจัดตั้งสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยาน
การจัดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวกในการเดินอากาศ การให้บริการ ในลานจอดอากาศยาน
การให้บริการช่างอากาศ และการให้บริการต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศยาน
ผู้ประจำหน้าที่สินค้า พัสดุภัณฑ์ ผู้โดยสาร
และลูกจ้างของผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศ
รวมตลอดถึงการให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอันเกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการดังกล่าว
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
กรรมการ หมายความว่า
กรรมการในคณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย
ผู้ว่าการ หมายความว่า
ผู้ว่าการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พนักงาน หมายความว่า
พนักงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
รวมทั้งผู้ว่าการ
ลูกจ้าง หมายความว่า
ลูกจ้างของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
เจ้าพนักงาน หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราช
บัญญัตินี้
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย
(๑)
ออกกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าอากาศยานโดยให้มีแผนที่แสดงเขต
ท่าอากาศยานแนบท้ายกฎกระทรวงนั้นด้วย
(๒)
ออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับการควบคุม การปรับปรุง และการให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานในเขตท่าอากาศยาน กฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนด
ให้คณะกรรมการมีอำนาจออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงนั้นอีก
ชั้นหนึ่งก็ได้
(๓)
แต่งตั้งเจ้าพนักงานเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
การจัดตั้ง ทุน และทุนสำรอง
มาตรา ๕ ให้จัดตั้งการท่าอากาศยานขึ้นเรียกว่า การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เรียกโดยย่อว่า ทอท.
และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Airports Authority of Thailand เรียกโดยย่อว่า AAT
ให้ ทอท.
เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบและส่งเสริมกิจการ
ท่าอากาศยาน รวมทั้งการดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการ
ท่าอากาศยาน
มาตรา ๖ ให้กิจการของ ทอท.
ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
และกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แต่พนักงานและลูกจ้างของ ทอท. ต้องได้รับการคุ้มครองแรงงานไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
มาตรา ๗ ทอท. มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร
และจะตั้งสำนักงานสาขา
หรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดในและนอกราชอาณาจักรก็ได้
แต่การตั้งสำนักงานสาขานอก
ราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก่อน
มาตรา ๘ ให้ ทอท. มีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ
ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์
ตามมาตรา ๕ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
ถือกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองหรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ สร้าง ซื้อ จัดหา
ขาย จำหน่าย เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ยืม ให้ยืม รับจำนำ รับจำนอง
แลกเปลี่ยน โอน รับโอน
หรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ทั้งในและนอกราชอาณาจักร
ตลอดจนรับทรัพย์สินที่มีผู้
อุทิศให้
(๒)
จัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ หรือบริการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกและ
ปลอดภัยอันเกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการท่าอากาศยาน
(๓)
กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าอากาศยาน ทรัพย์สิน บริการ และความสะดวกต่าง ๆ
ในกิจการของ ทอท. ตลอดจนวิธีชำระค่าภาระดังกล่าว
(๔)
กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการใช้และรักษาท่าอากาศยาน
ทรัพย์สิน บริการและความสะดวกต่าง ๆ ในกิจการท่าอากาศยาน
(๕) สำรวจ วางแผน ออกแบบ
สร้างและปรับปรุงท่าอากาศยาน และอุปกรณ์
ที่เกี่ยวข้องกับกิจการท่าอากาศยาน
(๖) ควบคุม
ปรับปรุงและให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการ
ท่าอากาศยานภายในเขตท่าอากาศยาน
(๗)
ให้บริการและความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศในการใช้ท่าอากาศยาน
(๘)
กู้หรือยืมเงินภายในและภายนอกราชอาณาจักร
(๙)
ให้กู้หรือให้ยืมเงินโดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สินเพื่อประโยชน์
แก่กิจการของ ทอท.
(๑๐)
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๑๑)
ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่
กิจการของ ทอท.
(๑๒)
ว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการส่วนหนึ่งส่วนใดของ ทอท.
แต่ถ้ากิจการนั้นมีรัฐวิสาหกิจใดมีอำนาจดำเนินการและคณะกรรมการเห็นว่ารัฐวิสาหกิจนั้น
สามารถจะดำเนินการให้บังเกิดผลและมีประสิทธิภาพได้ ก็ให้ว่าจ้างหรือมอบให้รัฐวิสาหกิจนั้น
เป็นผู้ประกอบกิจการก่อนผู้อื่น
(๑๓)
ตั้งหรือรับเป็นตัวแทน ตัวแทนค้าต่าง และนายหน้าในกิจการตาม
วัตถุประสงค์ของ ทอท.
(๑๔)
กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตาม
วัตถุประสงค์ของ ทอท.
ในกรณีที่ ทอท.
ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการท่าอากาศยานในสนามบินหรือ
ที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานของส่วนราชการใดและต้องใช้ทรัพย์สินในกิจการท่าอากาศยาน
ร่วมกันกับส่วนราชการนั้น
การใช้อำนาจตามมาตรานี้ที่มีผลกระทบต่อทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกัน
ดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากส่วนราชการนั้นก่อน
มาตรา ๙ ให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานที่ประกาศกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายและกำหนดโดยกฎกระทรวง และให้ ทอท.
มีสิทธิและหน้าที่เสมือนผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
แต่ในการนี้ ทอท. จะว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการดังกล่าวส่วนหนึ่งส่วนใดแทนก็ได้
มาตรา ๑๐ ทุนของ ทอท. ประกอบด้วย
(๑)
เงินและทรัพย์สินที่โอนมาตามมาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๒ เมื่อได้หักหนี้สิน
ออกแล้ว
(๒)
เงินที่ได้รับจากงบประมาณโดยรัฐบาลจ่ายเป็นทุนประเดิมห้าสิบล้านบาท และจัดสรรเพิ่มเติมเป็นคราว
ๆ ตามจำนวนที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควร
(๓)
เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้
มาตรา ๑๑ เงินสำรองของ ทอท.
ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้
เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อการไถ่ถอนหนี้
และเงินสำรองอื่น ๆ ตามความ
ประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร
เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
มาตรา ๑๒ ทรัพย์สินของ ทอท.
ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
หมวด ๒
คณะกรรมการและผู้ว่าการ
มาตรา ๑๓*
ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลังหนึ่งคน ผู้แทนกระทรวงคมนาคมหนึ่งคน
ผู้แทนกองทัพบกหนึ่งคน ผู้แทนกองทัพเรือหนึ่งคน ผู้แทนกองทัพอากาศหนึ่งคน
ผู้แทนกรมตำรวจหนึ่งคน กรรมการอื่นอีกไม่เกินเจ็ดคนและ ผู้ว่าการเป็นกรรมการ
ให้ผู้ว่าการเป็นเลขานุการคณะกรรมการ
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่น
*[มาตรา ๑๓
วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๔]
มาตรา ๑๔ เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ ทอท.
ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ
ทอท. แล้วรายงานต่อคณะกรรมการ
มาตรา ๑๕
ประธานกรรมการหรือกรรมการต้องไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่
กระทำกับ ทอท. หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของ ทอท.
ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
เว้นแต่เป็นเพียงประธานกรรมการหรือกรรมการของรัฐวิสาหกิจซึ่งกระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง
ต้องไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้าง
และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจด้วย
มาตรา ๑๖
ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ใน
ตำแหน่งคราวละสามปี
ในกรณีที่ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
หรือในกรณีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งให้ผู้ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มขึ้น
อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง
หากยังมิได้มีการแต่งตั้งประธาน
กรรมการหรือกรรมการขึ้นใหม่
ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
นั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่
เข้ารับหน้าที่
ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้
แต่ไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
มาตรา ๑๗ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๖
ประธาน
กรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่หรือหย่อนความสามารถ
(๔)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕)
ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสามครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๖) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา
๑๕
มาตรา ๑๘
ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดย
ทั่วไปซึ่งกิจการของ ทอท. อำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
ออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตาม
มาตรา ๔ (๒)
(๒)
ออกข้อบังคับหรือระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา ๕ และมาตรา ๘
(๓)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการประชุม และการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ
(๔)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการจัดแบ่งส่วนงานของ ทอท. และออกข้อบังคับ ว่าด้วยการบริหารงานต่าง
ๆ ของ ทอท.
(๕)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานของผู้ว่าการ และการมอบให้ผู้อื่นปฏิบัติ
งานแทนผู้ว่าการ
(๖)
ออกข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และเงินอื่น ๆ ของ
พนักงานและลูกจ้าง
(๗)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง
การถอดถอน ระเบียบวินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษพนักงานและลูกจ้าง
(๘)
ออกระเบียบว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง
(๙)
ออกข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการ
ของพนักงานและลูกจ้างและครอบครัว โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
(๑๐)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการจ่ายค่าพาหนะ เบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่าที่พัก ค่าทำงานล่วงเวลา
เบี้ยประชุม และการจ่ายเงินอื่น ๆ
(๑๑)
ออกระเบียบว่าด้วยเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง
มาตรา ๑๙ ในข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา ๑๘ ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจของผู้ว่าการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด
ให้รัฐมนตรีประกาศข้อความเช่นว่านั้นใน
ราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๐
ให้คณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของ ผู้ว่าการด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ผู้ว่าการมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี
แต่อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา ๒๑ ผู้ว่าการต้อง
(๑)
มีความรู้ความสามารถในการบริหารธุรกิจการบินและการท่าอากาศยาน
(๒)
ไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับ ทอท. หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็น
การแข่งขันกับกิจการของ ทอท. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
(๓)
มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
มาตรา ๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๒๐
วรรคสอง ผู้ว่าการพ้น
จากตำแหน่ง เมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) คณะกรรมการให้ออก
เพราะบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีความประพฤติ เสื่อมเสียหรือหย่อนความสามารถ
(๔)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕)
ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสองครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๖)
ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๑
มติของคณะกรรมการให้ผู้ว่าการออกจากตำแหน่งตาม
(๓) ต้องประกอบด้วย
คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่อยู่ในตำแหน่ง
นอกจากผู้ว่าการ
และต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
มาตรา ๒๓ ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ ทอท.
ให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของ ทอท. และตามนโยบาย ข้อบังคับ
และระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดกับมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างทุกตำแหน่ง
ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการบริหารกิจการของ
ทอท.
มาตรา ๒๔ ผู้ว่าการมีอำนาจ
(๑) บรรจุ แต่งตั้ง
ถอดถอน เลื่อน ลด ตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ลงโทษทางวินัย
พนักงานและลูกจ้าง
ตลอดจนให้พนักงานและลูกจ้างออกจากตำแหน่งตามระเบียบหรือข้อบังคับ
ที่คณะกรรมการกำหนด แต่ถ้าเป็นพนักงานหรือลูกจ้างชั้นที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ
ผู้อำนวยการฝ่าย
หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไป จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน
(๒)
กำหนดเงื่อนไขในการทำงานของพนักงานและลูกจ้าง และออกระเบียบ ว่าด้วยการปฏิบัติงานของ ทอท.
โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๒๕ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
ให้ผู้ว่าการเป็นผู้แทนของ ทอท.
และเพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใด ๆ ปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนก็ได้
แต่ต้องเป็น
ไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา
๑๙ ย่อม
ไม่ผูกพัน ทอท. เว้นแต่คณะกรรมการจะให้สัตยาบัน
มาตรา ๒๖
ในกรณีที่ผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือตำแหน่งผู้ว่าการว่างลง
และยังมิได้แต่งตั้งผู้ว่าการ
ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทน
ผู้ว่าการ
ให้ผู้รักษาการแทนผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกันกับผู้ว่าการ
เว้นแต่อำนาจ
หน้าที่ของผู้ว่าการในฐานะกรรมการ
มาตรา ๒๗
ให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนตาม
ระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๘ ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้ว่าการ
พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับ
เงินรางวัลตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ประธานกรรมการ
กรรมการและพนักงานเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้เจ้าพนักงานตาม
พระราชบัญญัตินี้ เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา
เพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นในเขตท่าอากาศยาน
หมวด ๓
การสร้างและบำรุงรักษาท่าอากาศยาน
มาตรา ๓๐
เพื่อประโยชน์ในการสร้างหรือบำรุงรักษาท่าอากาศยานให้ ทอท.
มีอำนาจมอบหมายให้พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานเข้าใช้สอยหรือเข้าครอบครอง
อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมิใช่ที่อยู่อาศัยของบุคคลใด ๆ
เป็นการชั่วคราวภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑)
การใช้สอยหรือเข้าครอบครองนั้นเป็นการจำเป็นสำหรับการสำรวจเพื่อสร้าง
หรือบำรุงรักษาท่าอากาศยาน
หรือเป็นการจำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่
จะเกิดแก่ท่าอากาศยาน
(๒) ทอท. ได้บอกกล่าวโดยแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหา
ริมทรัพย์ทราบภายในเวลาอันสมควร แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามวัน
ถ้าไม่อาจติดต่อกับเจ้าของหรือ
ผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้
ให้ประกาศให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทราบ
ล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวัน การประกาศให้ทำเป็นหนังสือปิดไว้ ณ
ที่ซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น
ตั้งอยู่ และ ณ ที่ทำการเขต หรืออำเภอ ที่ทำการกำนัน
และที่ทำการผู้ใหญ่บ้านซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ ทั้งนี้
ให้แจ้งกำหนดระยะเวลาทำการและการที่จะกระทำนั้นไว้ด้วย
ในการปฏิบัติตามมาตรานี้
พนักงานต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
*ในกรณีที่การปฏิบัติของพนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานตามมาตรานี้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิอื่น
บุคคลนั้นมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจาก ทอท. ได้ และถ้าไม่สามารถตกลงกันในจำนวนค่าทดแทน
ให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
โดยให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ
*[มาตรา ๓๐ วรรคสาม
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๐]
มาตรา ๓๑
ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่เกิดแก่ท่าอากาศยาน
อากาศยาน หรือผู้ใช้บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของ ทอท. พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานอาจเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ของบุคคลใด
ๆ เพื่อปฏิบัติการป้องกันได้ แต่ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่นั้นด้วย
ก็ให้พนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานแจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทราบก่อน
มาตรา ๓๒ เมื่อ ทอท.
มีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อจัดสร้างท่าอากาศยาน
เมื่อมิได้ตกลงในเรื่องการโอนไว้เป็นอย่างอื่น ให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
หมวด ๔
การร้องทุกข์ และการสงเคราะห์
มาตรา ๓๓
พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิร้องทุกข์ได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการ
กำหนด
มาตรา ๓๔ ให้ ทอท.
จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อ
สวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างและครอบครัวในกรณีพ้นจากตำแหน่ง
ประสบอุบัติเหตุเจ็บป่วย
ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์
การจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามวรรคหนึ่ง
การออกเงิน
สมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ การกำหนดประเภทของผู้ซึ่งพึงได้รับการสงเคราะห์จากกองทุน
สงเคราะห์ การจ่ายเงินสงเคราะห์
และการจัดการกองทุนสงเคราะห์ ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่
คณะกรรมการกำหนด
หมวด ๕
การเงิน การบัญชี และการตรวจสอบ
มาตรา ๓๕ ทอท. ต้องจัดทำงบประมาณประจำปี
โดยให้แยกเป็นงบลงทุนและ
งบทำการ สำหรับงบลงทุนนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ
ส่วน
งบทำการนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา ๓๖ รายได้ที่ ทอท.
ได้รับจากการดำเนินงานในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ
ทอท. สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
และเมื่อได้หักรายจ่ายสำหรับการดำเนินงานค่าภาระ
ต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา เงินสำรองตามมาตรา ๑๑
และเงินสมทบ
กองทุนสงเคราะห์ หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา ๓๔
และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบ
จากคณะรัฐมนตรีแล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
ถ้ารายได้มีไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่ง
นอกจากเงินสำรองตาม
มาตรา ๑๑ และ ทอท. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ ทอท.
เท่าจำนวนที่จำเป็น
มาตรา ๓๗ ทอท.
ต้องเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ
ธนาคารอื่นตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด
มาตรา ๓๘ ทอท. ต้องวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีที่เหมาะสมแก่กิจการแยก
ตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ มีสมุดบัญชีลงรายการรับและจ่ายเงิน
สินทรัพย์และหนี้สินที่แสดง
กิจการที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามที่ควร ตามประเภทงาน
พร้อมด้วยข้อความอันเป็นที่มา
ของรายการนั้น ๆ และให้มีการตรวจสอบบัญชีภายในเป็นประจำ
มาตรา ๓๙ ทอท. ต้องจัดทำงบดุล บัญชีทำการ
และบัญชีกำไรขาดทุนส่งผู้สอบ
บัญชีภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
มาตรา ๔๐
ทุกปีให้สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชี
ทำการตรวจสอบรับรองบัญชีและการเงินทุกประเภทของ ทอท.
มาตรา ๔๑ ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรพสมุด
บัญชีและเอกสารหลักฐาน
ของ ทอท. เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการ ผู้ว่าการ
พนักงานและลูกจ้างของ ทอท.
มาตรา ๔๒
ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานผลการสอบบัญชีและการเงินเสนอต่อ
คณะกรรมการภายในหนึ่งร้อยหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
เพื่อคณะกรรมการเสนอต่อรัฐมนตรี
มาตรา ๔๓
ให้คณะกรรมการทำรายงานปีละครั้งเสนอรัฐมนตรี รายงานนี้ให้
กล่าวถึงผลงานของ ทอท. ในปีที่ล่วงมาแล้ว
พร้อมทั้งคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ
โครงการและแผนงานที่จะจัดทำในภายหน้า
ให้ ทอท.
โฆษณารายงานประจำปีที่สิ้นไป โดยแสดงงบดุล บัญชีทำการและบัญชี
กำไรขาดทุนที่ผู้สอบบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว
รวมทั้งรายงานสรุปผลงานในปีที่ล่วงมา ภายใน
หนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีของ ทอท.
หมวด ๖
การกำกับ และควบคุม
มาตรา ๔๔ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ
ทอท. เพื่อ
การนี้จะสั่งให้ ทอท. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน
หรือยับยั้งการกระทำของ
ทอท. ที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาล หรือมติคณะรัฐมนตรี
ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาล หรือมติของคณะรัฐมนตรี
และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการได้
มาตรา ๔๕ ในกรณีที่ ทอท. จะต้องเสนอเรื่องใด ๆ
ไปยังคณะรัฐมนตรี ให้ ทอท.นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๔๖ ทอท.
ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการดังต่อไปนี้ได้
(๑)
ลงทุนเพื่อขยายโครงการเดิมหรือริเริ่มโครงการใหม่ซึ่งมีวงเงินเกิน
สิบล้านบาท
(๒)
การกู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงินมีจำนวนเกินคราวละสิบล้านบาท
(๓)
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๔)
จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์อันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาท
(๕)
จำหน่ายทรัพย์สินอันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาทจากบัญชีเป็นสูญ
(๖)
ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่
กิจการของ ทอท.
หมวด ๗
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๔๗ ผู้ใดขัดขวางการกระทำของ ทอท.
หรือพนักงานหรือลูกจ้างซึ่งกระทำการตามมาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๘
ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงซึ่งออกตามมาตรา ๔ (๒)
หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของคณะกรรมการซึ่งออกตามกฎกระทรวงดังกล่าว
ต้อง
ระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าสิบบาทถึงสองพันบาท
ความผิดตามมาตรานี้
ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ แต่ถ้าผู้นั้น
ไม่ยอมให้เปรียบเทียบปรับ
เจ้าพนักงานผู้ทำการจับต้องนำตัวผู้ถูกจับส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงาน
ตำรวจโดยทันที ซึ่งต้องไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่ได้จับกุม
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๔๙ ในระยะเริ่มแรกให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานใน
สนามบินดอนเมืองของกองทัพอากาศ ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศ
กำหนดในราชกิจจานุเบกษา กิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศไม่ต้องใช้อีกต่อไปให้
ดำเนินการโอนตามมาตรา ๕๐
ส่วนกิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศจะสงวนไว้ใช้หรือ
ต้องใช้ร่วมกับ ทอท. ก็ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้
แต่ถ้าเป็นที่
ราชพัสดุให้ดำเนินการตามมาตรา ๕๑
มาตรา ๕๐ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้
ตลอดจนงบประมาณของ
กองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม
ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง
ของกรมการบินพลเรือนตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนด ไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๕๑
บรรดาที่ราชพัสดุที่อยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของ
กองทัพอากาศอันเกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท.
ใช้
ประโยชน์ได้ การใช้ที่ราชพัสดุ การปลูกสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน
หรือเคลื่อนย้ายอาคารหรือสิ่ง
ปลูกสร้างในที่ราชพัสดุ ตลอดจนการเรียกค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์
และการดำเนินการเกี่ยวกับค่าตอบแทนดังกล่าว
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงการคลังและกองทัพอากาศร่วมกันกำหนดค่าตอบแทนที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาที่ราชพัสดุนั้น
ให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
มาตรา ๕๒ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้
ตลอดจนงบประมาณของ
กรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ตามที่รัฐมนตรี
กำหนดไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๕๓ ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดของกองทัพอากาศ
กองบัญชาการทหาร
สูงสุด กระทรวงกลาโหม และของกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม
ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับ
กิจการที่โอนไปตามมาตรา ๕๐ หรือมาตรา ๕๒ แล้วแต่กรณี
ถ้าสมัครใจจะโอนไปปฏิบัติงานกับ
ทอท. และได้แจ้งความจำนงเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนเงินเดือนภายใน
สามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้โอนข้าราชการหรือลูกจ้างผู้นั้นไปเป็นพนักงาน
หรือลูกจ้างของ ทอท. แต่ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีเจ้าสังกัดและ ทอท.จะได้ตกลงกัน
ให้ข้าราชการหรือลูกจ้างที่โอนไปเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของ
ทอท. แล้วแต่กรณี
ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ
เท่ากับที่เคยได้รับอยู่เดิมไปพลางก่อน
จนกว่าผู้ว่าการจะได้บรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
แต่จะแต่งตั้งให้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้าง
ต่ำกว่าเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ได้รับอยู่เดิมไม่ได้
มาตรา ๕๔ การโอนข้าราชการตามมาตรา ๕๓
ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากประจำการเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
การโอนลูกจ้างตามมาตรา
๕๓ ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากงาน เพราะทางราชการยุบตำแหน่งหรือทางราชการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด
และให้ได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง
เพื่อประโยชน์ในการนับเวลาการทำงานสำหรับคำนวณบำเหน็จหรือบำนาญตาม
ข้อบังคับของ ทอท. (ถ้ามี) ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดที่โอนไปตามมาตรา ๕๓
ประสงค์จะให้นับ
เวลาราชการหรือเวลาทำงานในขณะที่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างก่อนที่มีการโอนเป็นเวลาการ
ทำงานของพนักงานหรือลูกจ้างของ ทอท. แล้วแต่กรณี
ก็ให้มีสิทธิกระทำได้โดยการบอกเลิกรับ
บำเหน็จบำนาญ
การบอกเลิกรับบำเหน็จบำนาญตามวรรคสาม
จะต้องกระทำภายในสามสิบวันนับ
แต่วันที่โอน สำหรับกรณีของข้าราชการ ให้ดำเนินการบอกเลิกตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการสำหรับกรณีของลูกจ้างให้ดำเนินการบอกเลิกโดยกระทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานยื่นต่อผู้ว่าจ้างเพื่อส่งต่อไปให้กระทรวงการคลังทราบ
มาตรา ๕๕ ถ้าต่อไป ทอท.
ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการในสนามบินหรือที่
ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานของส่วนราชการใดเพิ่มขึ้น
ให้ส่วนราชการนั้นยินยอมให้ ทอท. เข้า
ดำเนินกิจการและต้องส่งมอบกิจการให้แก่ ทอท. ตามระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
และถ้ามี
กรณีที่จะต้องใช้ทรัพย์สินอันเป็นที่ราชพัสดุและอยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของ
ส่วนราชการนั้นด้วย ก็ให้ส่วนราชการนั้นมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้
และให้นำ
มาตรา ๕๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ เนื่องจากการประกอบกิจการ
ท่าอากาศยานเป็นกิจการด้านสาธารณูปโภคที่มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของ
ประเทศ แต่การดำเนินงานในด้านนี้ขึ้นอยู่กับส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งแยกกันอยู่
ทำให้ขาดความ
คล่องตัว สมควรจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้น เพื่อให้การดำเนินกิจการท่าอากาศยานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๐
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการท่า
อากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ มีบทบัญญัติให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
และให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม
แต่เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวได้ยกเลิกบทบัญญัติว่าด้วยอนุญาโตตุลาการไปแล้ว
สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
ให้สอดคล้องกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๓๐/๑๖๔/๕๓พ/๑๙
สิงหาคม ๒๕๓๐]
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๔
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากปัจจุบันการท่า อากาศยานแห่งประเทศไทยมีภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอันมาก
ประกอบกับรัฐบาลมีโครงการที่สำคัญและได้มอบให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยรับไป เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และนโยบายของประเทศ
สมควรเพิ่มจำนวนกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยจากไม่เกินสิบเอ็ดคนเป็นไม่เกินสิบห้าคน
เพื่อจะได้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ครอบคลุมทุกด้าน
อันจะส่งผลให้การดำเนินกิจการของการท่า อากาศยานแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๓๔/๑๙๖/๓๐พ/๑๑
พฤศจิกายน ๒๕๓๔]
สุนันทา/แก้ไข
๐๓/๐๙/๒๕๔๔ |
301947 | พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2534 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๔
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
เป็นปีที่ ๔๖ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ
และยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๓๔/๑๙๖/๓๐พ/๑๑
พฤศจิกายน ๒๕๓๔]
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๓ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลังหนึ่งคน
ผู้แทนกระทรวงคมนาคมหนึ่งคน ผู้แทนกองทัพบกหนึ่งคน ผู้แทนกองทัพเรือหนึ่งคน
ผู้แทนกองทัพอากาศหนึ่งคน ผู้แทนกรมตำรวจหนึ่งคน กรรมการอื่นอีกไม่เกินเจ็ดคนและ ผู้ว่าการเป็นกรรมการ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
อานันท์ ปันยารชุน
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปัจจุบันการท่า อากาศยานแห่งประเทศไทยมีภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอันมาก
ประกอบกับรัฐบาลมีโครงการที่สำคัญและได้มอบให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยรับไป เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์
และนโยบายของประเทศ สมควรเพิ่มจำนวนกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยจากไม่เกินสิบเอ็ดคนเป็นไม่เกินสิบห้าคน
เพื่อจะ ได้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง
ๆ ครอบคลุมทุกด้าน อันจะส่งผลให้การดำเนินกิจการ
ของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สุนันทา/แก้ไข
๐๓/๐๙/๔๔
A+B (C) |
313515 | พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 (Update ณ วันที่ 19/08/2530) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นปีที่ ๓๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและ
ยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา
๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๒๒/๒๙/๑พ/๒
มีนาคม ๒๕๒๒]
มาตรา
๓ ในพระราชบัญญัตินี้
ท่าอากาศยาน
หมายความว่า สนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของ
อากาศยานที่อยู่ในอำนาจดำเนินการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
กิจการท่าอากาศยาน หมายความว่า
กิจการจัดตั้งสนามบินหรือที่ขึ้นลง
ชั่วคราวของอากาศยาน
การจัดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวกในการเดินอากาศ การให้บริการ
ในลานจอดอากาศยาน การให้บริการช่างอากาศ
และการให้บริการต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศยาน
ผู้ประจำหน้าที่สินค้า พัสดุภัณฑ์ ผู้โดยสาร
และลูกจ้างของผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศ
รวมตลอดถึงการให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอันเกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการดังกล่าว
คณะกรรมการ หมายความว่า คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
กรรมการ หมายความว่า กรรมการในคณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย
ผู้ว่าการ หมายความว่า ผู้ว่าการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พนักงาน หมายความว่า พนักงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยรวมทั้งผู้ว่าการ
ลูกจ้าง หมายความว่า ลูกจ้างของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
เจ้าพนักงาน หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราช
บัญญัตินี้
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา
๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย
(๑)
ออกกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าอากาศยานโดยให้มีแผนที่แสดงเขต
ท่าอากาศยานแนบท้ายกฎกระทรวงนั้นด้วย
(๒)
ออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับการควบคุม การปรับปรุง และการให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานในเขตท่าอากาศยาน
กฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนด
ให้คณะกรรมการมีอำนาจออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงนั้นอีก
ชั้นหนึ่งก็ได้
(๓)
แต่งตั้งเจ้าพนักงานเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
การจัดตั้ง ทุน และทุนสำรอง
มาตรา
๕ ให้จัดตั้งการท่าอากาศยานขึ้นเรียกว่า
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เรียกโดยย่อว่า ทอท. และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Airports Authority of
Thailand
เรียกโดยย่อว่า AAT
ให้
ทอท. เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบและส่งเสริมกิจการ
ท่าอากาศยาน รวมทั้งการดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการ
ท่าอากาศยาน
มาตรา
๖ ให้กิจการของ ทอท.
ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
และกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แต่พนักงานและลูกจ้างของ ทอท. ต้องได้รับการคุ้มครองแรงงานไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
มาตรา
๗ ทอท.
มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ
ที่อื่นใดในและนอกราชอาณาจักรก็ได้ แต่การตั้งสำนักงานสาขานอก
ราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก่อน
มาตรา
๘ ให้ ทอท. มีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ
ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์
ตามมาตรา ๕ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
ถือกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองหรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ สร้าง ซื้อ จัดหา
ขาย จำหน่าย เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ยืม ให้ยืม
รับจำนำ รับจำนอง แลกเปลี่ยน โอน รับโอน
หรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน
ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ตลอดจนรับทรัพย์สินที่มีผู้
อุทิศให้
(๒)
จัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ หรือบริการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกและ
ปลอดภัยอันเกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการท่าอากาศยาน
(๓)
กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าอากาศยาน ทรัพย์สิน บริการ และความสะดวกต่าง ๆ
ในกิจการของ ทอท. ตลอดจนวิธีชำระค่าภาระดังกล่าว
(๔)
กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการใช้และรักษาท่าอากาศยานทรัพย์สิน
บริการและความสะดวกต่าง ๆ ในกิจการท่าอากาศยาน
(๕)
สำรวจ วางแผน ออกแบบ สร้างและปรับปรุงท่าอากาศยาน และอุปกรณ์
ที่เกี่ยวข้องกับกิจการท่าอากาศยาน
(๖)
ควบคุม ปรับปรุงและให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการ
ท่าอากาศยานภายในเขตท่าอากาศยาน
(๗)
ให้บริการและความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศ ในการใช้ท่าอากาศยาน
(๘)
กู้หรือยืมเงินภายในและภายนอกราชอาณาจักร
(๙)
ให้กู้หรือให้ยืมเงินโดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สินเพื่อประโยชน์
แก่กิจการของ ทอท.
(๑๐)
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๑๑)
ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่
กิจการของ ทอท.
(๑๒)
ว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการส่วนหนึ่งส่วนใดของ ทอท.
แต่ถ้ากิจการนั้นมีรัฐวิสาหกิจใดมีอำนาจดำเนินการและคณะกรรมการเห็นว่ารัฐวิสาหกิจนั้น
สามารถจะดำเนินการให้บังเกิดผลและมีประสิทธิภาพได้
ก็ให้ว่าจ้างหรือมอบให้รัฐวิสาหกิจนั้น
เป็นผู้ประกอบกิจการก่อนผู้อื่น
(๑๓)
ตั้งหรือรับเป็นตัวแทน ตัวแทนค้าต่าง และนายหน้าในกิจการตามวัตถุประสงค์ของ ทอท.
(๑๔)
กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตาม
วัตถุประสงค์ของ ทอท.
ในกรณีที่
ทอท. ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการท่าอากาศยานในสนามบินหรือ
ที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานของส่วนราชการใดและต้องใช้ทรัพย์สินในกิจการท่าอากาศยาน
ร่วมกันกับส่วนราชการนั้น
การใช้อำนาจตามมาตรานี้ที่มีผลกระทบต่อทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกัน
ดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากส่วนราชการนั้นก่อน
มาตรา
๙ ให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบิน อนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานที่ประกาศกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายและกำหนดโดยกฎกระทรวง และให้ ทอท.
มีสิทธิและหน้าที่เสมือนผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
แต่ในการนี้ ทอท. จะว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการดังกล่าวส่วนหนึ่งส่วนใดแทนก็ได้
มาตรา
๑๐ ทุนของ ทอท. ประกอบด้วย
(๑)
เงินและทรัพย์สินที่โอนมาตามมาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๒ เมื่อได้หักหนี้สิน
ออกแล้ว
(๒)
เงินที่ได้รับจากงบประมาณโดยรัฐบาลจ่ายเป็นทุนประเดิมห้าสิบล้านบาท และจัดสรรเพิ่มเติมเป็นคราว
ๆ ตามจำนวนที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควร
(๓)
เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้
มาตรา
๑๑ เงินสำรองของ ทอท.
ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้
เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ
เงินสำรองเพื่อการไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่น ๆ ตามความ
ประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร
เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
มาตรา
๑๒ ทรัพย์สินของ ทอท.
ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
หมวด ๒
คณะกรรมการและผู้ว่าการ
มาตรา
๑๓ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง
หนึ่งคน ผู้แทนกระทรวงคมนาคมหนึ่งคน ผู้แทนกองทัพอากาศหนึ่งคน กรรมการอื่นอีกไม่เกินหกคน
และผู้ว่าการเป็นกรรมการ
ให้ผู้ว่าการเป็นเลขานุการคณะกรรมการ
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่น
มาตรา
๑๔ เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ ทอท.
ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ
ทอท. แล้วรายงานต่อคณะกรรมการ
มาตรา
๑๕
ประธานกรรมการหรือกรรมการต้องไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่
กระทำกับ ทอท.
หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของ ทอท. ทั้งนี้ไม่ว่าโดย
ทางตรงหรือโดยทางอ้อม
เว้นแต่เป็นเพียงประธานกรรมการหรือกรรมการของรัฐวิสาหกิจ
ซึ่งกระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง
ต้องไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้าง
และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจด้วย
มาตรา
๑๖
ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ใน
ตำแหน่งคราวละสามปี
ในกรณีที่ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
หรือในกรณีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งให้ผู้ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มขึ้น
อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้แต่งตั้ง ไว้แล้ว
เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง
หากยังมิได้มีการแต่งตั้งประธาน
กรรมการหรือกรรมการขึ้นใหม่
ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
นั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่
เข้ารับหน้าที่
ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้
แต่ไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
มาตรา
๑๗
นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๖ ประธาน
กรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง
เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่หรือหย่อนความสามารถ
(๔)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕)
ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสามครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๖)
ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๑๕
มาตรา
๑๘
ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดย
ทั่วไปซึ่งกิจการของ ทอท. อำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
ออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตาม
มาตรา ๔ (๒)
(๒)
ออกข้อบังคับหรือระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา ๕ และมาตรา ๘
(๓)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการประชุม และการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ
(๔)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการจัดแบ่งส่วนงานของ ทอท. และออกข้อบังคับ ว่าด้วยการบริหารงานต่าง
ๆ ของ ทอท.
(๕)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานของผู้ว่าการ และการมอบให้ผู้อื่นปฏิบัติ
งานแทนผู้ว่าการ
(๖)
ออกข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และเงินอื่น ๆ ของ
พนักงานและลูกจ้าง
(๗)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง
การถอดถอน ระเบียบวินัย การลงโทษ
และการอุทธรณ์การลงโทษพนักงานและลูกจ้าง
(๘)
ออกระเบียบว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง
(๙)
ออกข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการ
ของพนักงานและลูกจ้างและครอบครัว
โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
(๑๐)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการจ่ายค่าพาหนะ เบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่าที่พัก ค่างานล่วงเวลา
เบี้ยประชุม และการจ่ายเงินอื่น ๆ
(๑๑)
ออกระเบียบว่าด้วยเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง
มาตรา
๑๙ ในข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา
๑๘ ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจ
ของผู้ว่าการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด
ให้รัฐมนตรีประกาศข้อความเช่นว่านั้นใน
ราชกิจจานุเบกษา
มาตรา
๒๐ ให้คณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของ ผู้ว่าการด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ผู้ว่าการมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี
แต่อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา
๒๑ ผู้ว่าการต้อง
(๑)
มีความรู้ความสามารถในการบริหารธุรกิจการบินและการท่าอากาศยาน
(๒)
ไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับ ทอท. หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็น
การแข่งขันกับกิจการของ ทอท. ทั้งนี้
ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
(๓)
มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
มาตรา
๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา
๒๐ วรรคสอง ผู้ว่าการ
พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะกรรมการให้ออก เพราะบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีความประพฤติ เสื่อมเสียหรือหย่อนความสามารถ
(๔)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕)
ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสองครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๖)
ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๑
มติของคณะกรรมการให้ผู้ว่าการออกจากตำแหน่งตาม
(๓) ต้องประกอบด้วย
คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่อยู่ในตำแหน่ง
นอกจากผู้ว่าการ
และต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
มาตรา
๒๓
ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ ทอท. ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของ
ทอท. และตามนโยบาย ข้อบังคับ และระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดกับมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างทุกตำแหน่ง
ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการบริหารกิจการของ
ทอท.
มาตรา
๒๔ ผู้ว่าการมีอำนาจ
(๑)
บรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อน ลด ตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ลงโทษทางวินัย
พนักงานและลูกจ้าง
ตลอดจนให้พนักงานและลูกจ้างออกจากตำแหน่งตามระเบียบหรือข้อบังคับ
ที่คณะกรรมการกำหนด แต่ถ้าเป็นพนักงานหรือลูกจ้างชั้นที่ปรึกษา
ผู้เชี่ยวชาญ ผู้อำนวยการฝ่าย
หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไปจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน
(๒)
กำหนดเงื่อนไขในการทำงานของพนักงานและลูกจ้าง และออกระเบียบ ว่าด้วยการปฏิบัติงานของ
ทอท. โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา
๒๕ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
ให้ผู้ว่าการเป็นผู้แทนของ ทอท.
และเพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใด ๆ
ปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนก็ได้ แต่ต้องเป็น
ไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา
๑๙ ย่อมไม่ผูกพัน
ทอท. เว้นแต่คณะกรรมการจะให้สัตยาบัน
มาตรา
๒๖
ในกรณีที่ผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือตำแหน่งผู้ว่าการว่างลง
และยังมิได้แต่งตั้งผู้ว่าการ
ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทน
ผู้ว่าการ
ให้ผู้รักษาการแทนผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกันกับผู้ว่าการ
เว้นแต่อำนาจ
หน้าที่ของผู้ว่าการในฐานะกรรมการ
มาตรา
๒๗
ให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนตาม
ระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา
๒๘ ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้ว่าการ
พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับ
เงินรางวัลตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา
๒๙
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ประธานกรรมการ
กรรมการและพนักงานเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
และให้เจ้าพนักงานตาม
พระราชบัญญัตินี้ เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา
เพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นในเขตท่าอากาศยาน
หมวด ๓
การสร้างและบำรุงรักษาท่าอากาศยาน
มาตรา
๓๐
เพื่อประโยชน์ในการสร้างหรือบำรุงรักษาท่าอากาศยานให้ ทอท.
มีอำนาจมอบหมายให้พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานเข้าใช้สอยหรือเข้าครอบครอง
อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมิใช่ที่อยู่อาศัยของบุคคลใด ๆ
เป็นการชั่วคราวภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑)
การใช้สอยหรือเข้าครอบครองนั้นเป็นการจำเป็นสำหรับการสำรวจเพื่อสร้าง
หรือบำรุงรักษาท่าอากาศยาน
หรือเป็นการจำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดแก่ท่าอากาศยาน
(๒)
ทอท. ได้บอกกล่าวโดยแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครอง
อสังหาริมทรัพย์ทราบภายในเวลาอันสมควร แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามวัน
ถ้าไม่อาจติดต่อกับเจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้
ให้ประกาศให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวัน
การประกาศให้ทำเป็นหนังสือปิดไว้ ณ
ที่ซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ และ ณ ที่ทำการเขต หรืออำเภอ ที่ทำการกำนัน
และที่ทำการผู้ใหญ่บ้านซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ ทั้งนี้
ให้แจ้งกำหนดระยะเวลาทำการและการที่จะกระทำนั้นไว้ด้วย
ในการปฏิบัติตามมาตรานี้
พนักงานต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
*ในกรณีที่การปฏิบัติของพนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานตามมาตรานี้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิอื่น
บุคคลนั้นมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจาก ทอท. ได้ และถ้าไม่สามารถตกลงกันในจำนวนค่าทดแทน
ให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
โดยให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ
*[มาตรา
๓๐ วรรคสาม แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่ง ประเทศไทย (ฉบับที่ ๒)พ.ศ.
๒๕๓๐]
มาตรา
๓๑
ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่เกิดแก่ท่าอากาศยาน
อากาศยาน หรือผู้ใช้บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของ ทอท. พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานอาจเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ของบุคคลใด
ๆ เพื่อปฏิบัติการป้องกันได้ แต่ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่นั้นด้วย
ก็ให้พนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานแจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทราบก่อน
มาตรา
๓๒ เมื่อ ทอท.
มีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อจัดสร้างท่าอากาศยาน
เมื่อมิได้ตกลงในเรื่องการโอนไว้เป็นอย่างอื่น ให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
หมวด ๔
การร้องทุกข์
และการสงเคราะห์
มาตรา
๓๓ พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิร้องทุกข์ได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการ
กำหนด
มาตรา
๓๔ ให้ ทอท.
จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อ
สวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างและครอบครัวในกรณีพ้นจากตำแหน่ง
ประสบอุบัติเหตุเจ็บป่วย
ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์
การจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามวรรคหนึ่ง
การออกเงิน
สมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์
การกำหนดประเภทของผู้ซึ่งพึงได้รับการสงเคราะห์จากกองทุน
สงเคราะห์
การจ่ายเงินสงเคราะห์ และการจัดการกองทุนสงเคราะห์
ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่
คณะกรรมการกำหนด
หมวด ๕
การเงิน การบัญชี
และการตรวจสอบ
มาตรา
๓๕ ทอท. ต้องจัดทำงบประมาณประจำปี
โดยให้แยกเป็นงบลงทุนและ
งบทำการ
สำหรับงบลงทุนนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วน
งบทำการนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา
๓๖ รายได้ที่ ทอท.
ได้รับจากการดำเนินงานในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ
ทอท. สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
และเมื่อได้หักรายจ่ายสำหรับการดำเนินงานค่าภาระ
ต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา
เงินสำรองตามมาตรา ๑๑ และเงินสมทบ
กองทุนสงเคราะห์ หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา ๓๔
และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบ
จากคณะรัฐมนตรีแล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
ถ้ารายได้มีไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่ง
นอกจากเงินสำรองตาม
มาตรา ๑๑ และ ทอท. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้
รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ ทอท. เท่าจำนวนที่จำเป็น
มาตรา
๓๗ ทอท.
ต้องเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ
ธนาคารอื่นตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด
มาตรา
๓๘ ทอท.
ต้องวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีที่เหมาะสมแก่กิจการแยก
ตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ
มีสมุดบัญชีลงรายการรับและจ่ายเงิน สินทรัพย์และหนี้สินที่แสดง
กิจการที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามที่ควร ตามประเภทงาน
พร้อมด้วยข้อความอันเป็นที่มา
ของรายการนั้น ๆ และให้มีการตรวจสอบบัญชีภายในเป็นประจำ
มาตรา
๓๙ ทอท. ต้องจัดทำงบดุล บัญชีทำการ
และบัญชีกำไรขาดทุนส่งผู้สอบ
บัญชีภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
มาตรา
๔๐
ทุกปีให้สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชี
ทำการตรวจสอบรับรองบัญชีและการเงินทุกประเภทของ ทอท.
มาตรา
๔๑
ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรพสมุด บัญชีและเอกสารหลักฐาน
ของ ทอท. เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการ
ผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของ ทอท.
มาตรา
๔๒
ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานผลการสอบบัญชีและการเงินเสนอต่อ
คณะกรรมการภายในหนึ่งร้อยหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
เพื่อคณะกรรมการเสนอต่อรัฐมนตรี
มาตรา
๔๓
ให้คณะกรรมการทำรายงานปีละครั้งเสนอรัฐมนตรี รายงานนี้ให้
กล่าวถึงผลงานของ ทอท. ในปีที่ล่วงมาแล้ว
พร้อมทั้งคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ
โครงการและแผนงานที่จะจัดทำในภายหน้า
ให้
ทอท. โฆษณารายงานประจำปีที่สิ้นไป โดยแสดงงบดุล บัญชีทำการและบัญชี
กำไรขาดทุนที่ผู้สอบบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว
รวมทั้งรายงานสรุปผลงานในปีที่ล่วงมา ภายใน
หนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีของ ทอท.
หมวด ๖
การกำกับ และควบคุม
มาตรา
๔๔
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ ทอท. เพื่อ
การนี้จะสั่งให้ ทอท. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น
ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำของ
ทอท. ที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาล หรือมติคณะรัฐมนตรี
ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาล หรือมติของคณะรัฐมนตรี
และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ
การดำเนินการได้
มาตรา
๔๕ ในกรณีที่ ทอท.
จะต้องเสนอเรื่องใด ๆ ไปยังคณะรัฐมนตรี ให้ ทอท. นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา
๔๖ ทอท.
ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการดังต่อไปนี้ได้
(๑)
ลงทุนเพื่อขยายโครงการเดิมหรือริเริ่มโครงการใหม่ซึ่งมีวงเงินเกินสิบล้านบาท
(๒)
การกู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงินมีจำนวนเกินคราวละสิบล้านบาท
(๓)
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๔)
จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์อันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาท
(๕)
จำหน่ายทรัพย์สินอันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาทจากบัญชีเป็นสูญ
(๖)
ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่
กิจการของ ทอท.
หมวด ๗
บทกำหนดโทษ
มาตรา
๔๗ ผู้ใดขัดขวางการกระทำของ ทอท.
หรือพนักงานหรือลูกจ้างซึ่งกระทำการตามมาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา
๔๘ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงซึ่งออกตามมาตรา
๔ (๒)
หรือฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของคณะกรรมการซึ่งออกตามกฎกระทรวงดังกล่าว ต้อง
ระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าสิบบาทถึงสองพันบาท
ความผิดตามมาตรานี้
ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ แต่ถ้าผู้นั้น
ไม่ยอมให้เปรียบเทียบปรับ
เจ้าพนักงานผู้ทำการจับต้องนำตัวผู้ถูกจับส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงาน
ตำรวจโดยทันที
ซึ่งต้องไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่ได้จับกุม
บทเฉพาะกาล
มาตรา
๔๙ ในระยะเริ่มแรกให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานใน
สนามบินดอนเมืองของกองทัพอากาศ ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศ
กำหนดในราชกิจจานุเบกษา
กิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศไม่ต้องใช้อีกต่อไปให้
ดำเนินการโอนตามมาตรา ๕๐
ส่วนกิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศจะสงวนไว้ใช้หรือ
ต้องใช้ร่วมกับ ทอท. ก็ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท.
ใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้าเป็น ที่ราชพัสดุให้ดำเนินการตามมาตรา
๕๑
มาตรา
๕๐ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน
สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของ
กองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม
ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง
ของกรมการบินพลเรือนตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนด ไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา
๕๑
บรรดาที่ราชพัสดุที่อยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของ
กองทัพอากาศอันเกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้
ทอท. ใช้
ประโยชน์ได้ การใช้ที่ราชพัสดุ การปลูกสร้าง ดัดแปลง
รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารหรือ สิ่งปลูกสร้างในที่ราชพัสดุ
ตลอดจนการเรียกค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ และการดำเนินการเกี่ยวกับค่าตอบแทนดังกล่าว
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงการคลังและกองทัพอากาศร่วมกันกำหนดค่าตอบแทนที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาที่ราชพัสดุนั้น
ให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
มาตรา
๕๒ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน
สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของ
กรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม
ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ตามที่รัฐมนตรี
กำหนดไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา
๕๓
ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดของกองทัพอากาศ กองบัญชาการทหาร
สูงสุด กระทรวงกลาโหม และของกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม
ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับ
กิจการที่โอนไปตามมาตรา ๕๐ หรือมาตรา ๕๒ แล้วแต่กรณี
ถ้าสมัครใจจะโอนไปปฏิบัติงานกับ
ทอท.
และได้แจ้งความจำนงเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนเงินเดือนภายใน
สามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้โอนข้าราชการหรือลูกจ้างผู้นั้นไปเป็น
พนักงานหรือลูกจ้างของ ทอท. แต่ทั้งนี้
ตามที่รัฐมนตรีเจ้าสังกัดและ ทอท. จะได้ตกลงกัน
ให้ข้าราชการหรือลูกจ้างที่โอนไปเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของ
ทอท. แล้วแต่กรณี
ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ
เท่ากับที่เคยได้รับอยู่เดิมไปพลางก่อน
จนกว่าผู้ว่าการจะได้บรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
แต่จะแต่งตั้งให้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้าง
ต่ำกว่าเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ได้รับอยู่เดิมไม่ได้
มาตรา
๕๔ การโอนข้าราชการตามมาตรา ๕๓
ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจาก ประจำการเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
การโอนลูกจ้างตามมาตรา
๕๓ ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากงาน เพราะทางราชการยุบตำแหน่งหรือทางราชการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด
และให้ได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง
เพื่อประโยชน์ในการนับเวลาการทำงานสำหรับคำนวณบำเหน็จหรือบำนาญตาม
ข้อบังคับของ ทอท. (ถ้ามี)
ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดที่โอนไปตามมาตรา ๕๓ ประสงค์จะให้นับ
เวลาราชการหรือเวลาทำงานในขณะที่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างก่อนที่มีการโอนเป็นเวลาการ
ทำงานของพนักงานหรือลูกจ้างของ ทอท. แล้วแต่กรณี
ก็ให้มีสิทธิกระทำได้โดยการบอกเลิกรับ
บำเหน็จบำนาญ
การบอกเลิกรับบำเหน็จบำนาญตามวรรคสาม
จะต้องกระทำภายในสามสิบวันนับ
แต่วันที่โอน สำหรับกรณีของข้าราชการ
ให้ดำเนินการบอกเลิกตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการสำหรับกรณีของลูกจ้างให้ดำเนินการบอกเลิกโดยกระทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานยื่นต่อผู้ว่าจ้างเพื่อส่งต่อไปให้กระทรวงการคลังทราบ
มาตรา
๕๕ ถ้าต่อไป ทอท.
ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการในสนามบินหรือที่
ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานของส่วนราชการใดเพิ่มขึ้น
ให้ส่วนราชการนั้นยินยอมให้ ทอท. เข้า
ดำเนินกิจการและต้องส่งมอบกิจการให้แก่ ทอท. ตามระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
และถ้ามี
กรณีที่จะต้องใช้ทรัพย์สินอันเป็นที่ราชพัสดุและอยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของ
ส่วนราชการนั้นด้วย ก็ให้ส่วนราชการนั้นมีอำนาจอนุญาตให้
ทอท. ใช้ประโยชน์ได้ และให้นำ
มาตรา ๕๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ
เนื่องจากการประกอบกิจการ
ท่าอากาศยานเป็นกิจการด้านสาธารณูปโภคที่มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของ
ประเทศ แต่การดำเนินงานในด้านนี้ขึ้นอยู่กับส่วนราชการต่าง
ๆ ซึ่งแยกกันอยู่ ทำให้ขาดความ
คล่องตัว
สมควรจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นเพื่อให้การดำเนินกิจการท่าอากาศยานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๓๐
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ มีบทบัญญัติให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโต ตุลาการวินิจฉัย และให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม
แต่เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวได้ยกเลิกบทบัญญัติว่าด้วยอนุญาโตตุลาการไปแล้ว
สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
ให้สอดคล้องกัน
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๓๐/๑๖๔/๕๓พ/๑๙
สิงหาคม ๒๕๓๐]
สุนันทา/แก้ไข
๔/๑๒/๔๔ |
328376 | พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2530 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๓๐
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๔ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๓๐
เป็นปีที่ ๔๒
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ
และยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๐
มาตรา
๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๓๐/๑๖๔/๕๓พ/๑๙
สิงหาคม ๒๕๓๐]
มาตรา
๓ ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา ๓๐
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ในกรณีที่การปฏิบัติของพนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานตาม
มาตรานี้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิอื่น
บุคคลนั้นมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจาก ทอท. ได้และถ้าไม่สามารถตกลงกันในจำนวนค่าทดแทน ให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
โดยให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ป.
ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒ มีบทบัญญัติให้มอบข้อพิพาทให้นุญาโตตุลาการวินิจฉัย
และให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม
แต่เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวได้ยกเลิกบทบัญญัติว่าด้วยอนุญาโตตุลาการไปแล้ว
สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
ให้สอดคล้องกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สุนันทา/แก้ไข
๓/ก.ย./๔๔
A+B (C) |
301946 | พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นปีที่ ๓๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำ
และยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา
๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๒๒/๒๙/๑พ/๒
มีนาคม ๒๕๒๒]
มาตรา
๓ ในพระราชบัญญัตินี้
ท่าอากาศยาน
หมายความว่า
สนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานที่อยู่ในอำนาจดำเนินการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
กิจการท่าอากาศยาน
หมายความว่า
กิจการจัดตั้งสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยาน
การจัดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวกในการเดินอากาศ การให้บริการในลานจอดอากาศยาน
การให้บริการช่างอากาศ และการให้บริการต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศยาน ผู้ประจำหน้าที่
สินค้า พัสดุภัณฑ์ ผู้โดยสาร และลูกจ้างของผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศ รวมตลอดถึงการให้บริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอันเกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการดังกล่าว
คณะกรรมการ
หมายความว่า คณะกรรมการการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย
กรรมการ
หมายความว่า
กรรมการในคณะกรรมการการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย
ผู้ว่าการ
หมายความว่า
ผู้ว่าการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พนักงาน
หมายความว่า
พนักงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยรวมทั้งผู้ว่าการ
ลูกจ้าง
หมายความว่า
ลูกจ้างของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
เจ้าพนักงาน
หมายความว่า
ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตาม
พระราชบัญญัตินี้
รัฐมนตรี
หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา
๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย
(๑)
ออกกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าอากาศยานโดยให้มีแผนที่แสดงเขต ท่าอากาศยานแนบท้ายกฎกระทรวงนั้นด้วย
(๒)
ออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับการควบคุม การปรับปรุง และการให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานในเขตท่าอากาศยานกฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงนั้น อีกชั้นหนึ่งก็ได้
(๓)
แต่งตั้งเจ้าพนักงานเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
การจัดตั้ง ทุน และทุนสำรอง
มาตรา
๕
ให้จัดตั้งการท่าอากาศยานขึ้นเรียกว่า การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เรียกโดยย่อว่า ทอท. และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Airports Authority of Thailand
เรียกโดยย่อว่า AAT
ให้
ทอท. เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบและส่งเสริมกิจการ ท่าอากาศยาน
รวมทั้งการดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการ
ท่าอากาศยาน
มาตรา
๖ ให้กิจการของ ทอท. ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย
ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์
แต่พนักงานและลูกจ้างของ ทอท.
ต้องได้รับการคุ้มครองแรงงานไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
มาตรา
๗ ทอท.
มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และจะตั้งสำนักงาน
สาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดในและนอกราชอาณาจักรก็ได้
แต่การตั้งสำนักงานสาขา นอกราชอาณาจักร
ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก่อน
มาตรา
๘ ให้ ทอท. มีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ
ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๕ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
ถือกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองหรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ สร้าง ซื้อ จัดหา ขาย
จำหน่าย เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ยืม ให้ยืม รับจำนำ รับจำนอง
แลกเปลี่ยน โอน รับโอน หรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน
ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ตลอดจนรับทรัพย์สินที่มี ผู้อุทิศให้
(๒)
จัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ หรือบริการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกและปลอดภัยอันเกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการท่าอากาศยาน
(๓)
กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าอากาศยาน ทรัพย์สิน บริการ และ ความสะดวกต่าง
ๆ ในกิจการของ ทอท. ตลอดจนวิธีชำระค่าภาระดังกล่าว
(๔)
กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการใช้และรักษาท่าอากาศยาน
ทรัพย์สิน บริการและความสะดวกต่าง ๆ ในกิจการท่าอากาศยาน
(๕)
สำรวจ วางแผน ออกแบบ สร้างและปรับปรุงท่าอากาศยาน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกิจการท่าอากาศยาน
(๖)
ควบคุม ปรับปรุงและให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการ
ท่าอากาศยานภายในเขตท่าอากาศยาน
(๗)
ให้บริการและความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศ ในการใช้ท่าอากาศยาน
(๘)
กู้หรือยืมเงินภายในและภายนอกราชอาณาจักร
(๙)
ให้กู้หรือให้ยืมเงินโดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สินเพื่อประโยชน์
แก่กิจการของ ทอท.
(๑๐)
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๑๑)
ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ
ทอท.
(๑๒)
ว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการส่วนหนึ่งส่วนใดของ ทอท.
แต่ถ้ากิจการนั้นมีรัฐวิสาหกิจใดมีอำนาจดำเนินการและคณะกรรมการเห็นว่ารัฐวิสาหกิจนั้นสามารถจะดำเนินการให้บังเกิดผลและมีประสิทธิภาพได้
ก็ให้ว่าจ้างหรือมอบให้รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นผู้ประกอบกิจการก่อนผู้อื่น
(๑๓)
ตั้งหรือรับเป็นตัวแทน ตัวแทนค้าต่าง และนายหน้าในกิจการตาม วัตถุประสงค์ของ
ทอท.
(๑๔)
กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของ
ทอท.
ในกรณีที่
ทอท. ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการท่าอากาศยานในสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานของส่วนราชการใดและต้องใช้ทรัพย์สินในกิจการท่าอากาศยานร่วมกันกับส่วนราชการนั้น
การใช้อำนาจตามมาตรานี้ที่มีผลกระทบต่อทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกันดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากส่วนราชการนั้นก่อน
มาตรา
๙ ให้ ทอท. มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานที่ประกาศกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายและกำหนดโดยกฎกระทรวง และให้ ทอท.
มีสิทธิและหน้าที่เสมือนผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
แต่ในการนี้ ทอท. จะว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการดังกล่าวส่วนหนึ่งส่วนใดแทนก็ได้
มาตรา
๑๐ ทุนของ ทอท. ประกอบด้วย
(๑)
เงินและทรัพย์สินที่โอนมาตามมาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๒ เมื่อได้หัก
หนี้สินออกแล้ว
(๒)
เงินที่ได้รับจากงบประมาณโดยรัฐบาลจ่ายเป็นทุนประเดิมห้าสิบล้านบาท
และจัดสรรเพิ่มเติมเป็นคราว ๆ
ตามจำนวนที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควร
(๓)
เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้
มาตรา
๑๑ เงินสำรองของ ทอท.
ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้ เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ
เงินสำรองเพื่อการไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่น ๆ ตาม ความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร
เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
มาตรา
๑๒ ทรัพย์สินของ ทอท.
ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
หมวด ๒
คณะกรรมการและผู้ว่าการ
มาตรา
๑๓ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง
หนึ่งคน ผู้แทนกระทรวงคมนาคมหนึ่งคน ผู้แทนกองทัพอากาศหนึ่งคน กรรมการอื่นอีกไม่เกินหกคนและผู้ว่าการเป็นกรรมการ
ให้ผู้ว่าการเป็นเลขานุการคณะกรรมการ
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่น
มาตรา
๑๔ เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ ทอท.
ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ
ทอท. แล้วรายงานต่อคณะกรรมการ
มาตรา
๑๕
ประธานกรรมการหรือกรรมการต้องไม่มีส่วนได้เสียในกิจการ
ที่กระทำกับ ทอท.
หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของ ทอท. ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
เว้นแต่เป็นเพียงประธานกรรมการหรือกรรมการของรัฐวิสาหกิจซึ่งกระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง
ต้องไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้าง และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจด้วย
มาตรา
๑๖
ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง
อยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี
ในกรณีที่ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
หรือในกรณีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งให้ผู้ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มขึ้น
อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้แต่งตั้ง ไว้แล้ว
เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง
หากยังมิได้มีการแต่งตั้ง
ประธานกรรมการหรือกรรมการขึ้นใหม่
ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่
ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับ
การแต่งตั้งอีกได้ แต่ไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
มาตรา
๑๗
นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๖ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง
เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่หรือหย่อนความสามารถ
(๔)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕)
ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสามครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุ
อันสมควร
(๖)
ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๑๕
มาตรา
๑๘ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแล
โดยทั่วไปซึ่งกิจการของ ทอท.
อำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
ออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออก
ตามมาตรา ๔ (๒)
(๒)
ออกข้อบังคับหรือระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา ๕ และ
มาตรา ๘
(๓)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการประชุม และการดำเนินกิจการของคณะกรรมการ
และคณะอนุกรรมการ
(๔)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการจัดแบ่งส่วนงานของ ทอท. และออกข้อบังคับ
ว่าด้วยการบริหารงานต่าง ๆ ของ ทอท.
(๕)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานของผู้ว่าการ และการมอบให้ผู้อื่น
ปฏิบัติงานแทนผู้ว่าการ
(๖)
ออกข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และเงินอื่น ๆ
ของพนักงานและลูกจ้าง
(๗)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง การถอดถอน
ระเบียบวินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษพนักงานและลูกจ้าง
(๘)
ออกระเบียบว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง
(๙)
ออกข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่น เพื่อสวัสดิการ
ของพนักงานและลูกจ้างและครอบครัว
โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
(๑๐)
ออกข้อบังคับว่าด้วยการจ่ายค่าพาหนะ เบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่า
ที่พัก ค่าทำงานล่วงเวลา เบี้ยประชุม และการจ่ายเงินอื่น ๆ
(๑๑)
ออกระเบียบว่าด้วยเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง
มาตรา
๑๙ ในข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา
๑๘ ถ้ามีข้อความจำกัด
อำนาจของผู้ว่าการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด
ให้รัฐมนตรีประกาศข้อความเช่นว่านั้นใน ราชกิจจานุเบกษา
มาตรา
๒๐
ให้คณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของ
ผู้ว่าการด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ผู้ว่าการมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี
แต่อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา
๒๑ ผู้ว่าการต้อง
(๑)
มีความรู้ความสามารถในการบริหารธุรกิจการบินและการท่าอากาศยาน
(๒)
ไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับ ทอท. หรือในกิจการที่มีลักษณะ
เป็นการแข่งขันกับกิจการของ ทอท. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
(๓)
มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติ
มาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
มาตรา
๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา
๒๐ วรรคสอง ผู้ว่าการ
พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะกรรมการให้ออก เพราะบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีความประพฤติ
เสื่อมเสียหรือหย่อนความสามารถ
(๔)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕)
ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสองครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๖)
ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๑
มติของคณะกรรมการให้ผู้ว่าการออกจากตำแหน่งตาม
(๓) ต้องประกอบด้วย
คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่อยู่ในตำแหน่ง
นอกจากผู้ว่าการ และต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
มาตรา
๒๓ ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ
ทอท. ให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของ ทอท. และตามนโยบาย ข้อบังคับ
และระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดกับมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างทุกตำแหน่ง
ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการบริหารกิจการของ
ทอท.
มาตรา
๒๔ ผู้ว่าการมีอำนาจ
(๑)
บรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อน ลด ตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ลงโทษ
ทางวินัยพนักงานและลูกจ้าง
ตลอดจนให้พนักงานและลูกจ้างออกจากตำแหน่งตามระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
แต่ถ้าเป็นพนักงานหรือลูกจ้างชั้นที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ ผู้อำนวยการฝ่ายหรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไป
จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน
(๒)
กำหนดเงื่อนไขในการทำงานของพนักงานและลูกจ้าง และออกระเบียบ
ว่าด้วยการปฏิบัติงานของ ทอท.
โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา
๒๕ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
ให้ผู้ว่าการเป็นผู้แทนของ
ทอท. และเพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใด ๆ
ปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา
๑๙
ย่อมไม่ผูกพัน ทอท. เว้นแต่คณะกรรมการจะให้สัตยาบัน
มาตรา
๒๖
ในกรณีที่ผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือตำแหน่งผู้ว่าการ
ว่างลงและยังมิได้แต่งตั้งผู้ว่าการ
ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนใดคนหนึ่ง เป็นผู้รักษาการแทนผู้ว่าการ
ให้ผู้รักษาการแทนผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกันกับผู้ว่าการ
เว้นแต่
อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการในฐานะกรรมการ
มาตรา
๒๗
ให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทน
ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา
๒๘ ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้ว่าการ
พนักงานและลูกจ้าง
อาจได้รับเงินรางวัลตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา
๒๙
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ประธานกรรมการ
กรรมการและพนักงานเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
และให้เจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา เพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นในเขตท่าอากาศยาน
หมวด ๓
การสร้างและบำรุงรักษาท่าอากาศยาน
มาตรา
๓๐
เพื่อประโยชน์ในการสร้างหรือบำรุงรักษาท่าอากาศยาน ให้ ทอท. มีอำนาจมอบหมายให้พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานเข้าใช้สอยหรือเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งมิใช่ที่อยู่อาศัยของบุคคลใด ๆ เป็นการชั่วคราวภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑)
การใช้สอยหรือเข้าครอบครองนั้นเป็นการจำเป็นสำหรับการสำรวจเพื่อสร้างหรือบำรุงรักษาท่าอากาศยาน
หรือเป็นการจำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายหรือความเสียหาย ที่จะเกิดแก่ท่าอากาศยาน
(๒)
ทอท. ได้บอกกล่าวโดยแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครอง
อสังหาริมทรัพย์ทราบภายในเวลาอันสมควร
แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามวัน ถ้าไม่อาจติดต่อกับเจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้
ให้ประกาศให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวัน
การประกาศให้ทำเป็นหนังสือปิดไว้ ณ
ที่ซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ และ ณ ที่ทำการเขต หรืออำเภอ ที่ทำการกำนัน และที่ทำการผู้ใหญ่บ้านซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ ทั้งนี้
ให้แจ้งกำหนดระยะเวลาทำการและการที่จะกระทำนั้นไว้ด้วย
ในการปฏิบัติตามมาตรานี้
พนักงานต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่
เกี่ยวข้อง
ในกรณีที่การปฏิบัติของพนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานตามมาตรานี้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิอื่น
บุคคลนั้นมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจาก ทอท. ได้ และถ้าไม่สามารถตกลงกันในจำนวนค่าทดแทน
ให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย และให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มา ใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา
๓๑
ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่เกิดแก่ท่าอากาศยาน
อากาศยาน หรือผู้ใช้บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของ ทอท.
พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานอาจเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ของบุคคลใด
ๆ เพื่อปฏิบัติการป้องกันได้ แต่ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่นั้นด้วย
ก็ให้พนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานแจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทราบก่อน
มาตรา
๓๒ เมื่อ ทอท.
มีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อจัดสร้างท่าอากาศยาน
เมื่อมิได้ตกลงในเรื่องการโอนไว้เป็นอย่างอื่น ให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
หมวด ๔
การร้องทุกข์
และการสงเคราะห์
มาตรา
๓๓
พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิร้องทุกข์ได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา
๓๔
ให้ทอท.จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของพนักงานและลูกจ้างและครอบครัวในกรณีพ้นจากตำแหน่ง
ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์
การจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามวรรคหนึ่ง
การออกเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ การกำหนดประเภทของผู้ซึ่งพึงได้รับการสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ การจ่ายเงินสงเคราะห์ และการจัดการกองทุนสงเคราะห์
ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
หมวด ๕
การเงิน การบัญชี
และการตรวจสอบ
มาตรา
๓๕ ทอท. ต้องจัดทำงบประมาณประจำปี
โดยให้แยกเป็นงบลงทุน
และงบทำการ
สำหรับงบลงทุนนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ
ส่วนงบทำการนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา
๓๖ รายได้ที่ ทอท.
ได้รับจากการดำเนินงานในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ ทอท. สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
และเมื่อได้หักรายจ่ายสำหรับการดำเนินงานค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น
ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา เงินสำรองตามมาตรา ๑๑ และเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์
หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา ๓๔
และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
ถ้ารายได้มีไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่ง
นอกจากเงินสำรองตามมาตรา ๑๑ และ ทอท. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้
รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ ทอท. เท่าจำนวนที่จำเป็น
มาตรา
๓๗ ทอท.
ต้องเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือธนาคารอื่นตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด
มาตรา
๓๘ ทอท.
ต้องวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีที่เหมาะสมแก่กิจการ
แยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ
มีสมุดบัญชีลงรายการรับและจ่ายเงิน สินทรัพย์และหนี้สินที่แสดงกิจการที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามที่ควร
ตามประเภทงานพร้อมด้วยข้อความ อันเป็นที่มาของรายการนั้น
ๆ และให้มีการตรวจสอบบัญชีภายในเป็นประจำ
มาตรา
๓๙ ทอท. ต้องจัดทำงบดุล บัญชีทำการ
และบัญชีกำไรขาดทุน
ส่งผู้สอบบัญชีภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
มาตรา
๔๐ ทุกปีให้สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชี
ทำการตรวจสอบรับรองบัญชีและการเงินทุกประเภทของ ทอท.
มาตรา
๔๑
ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรพสมุด บัญชีและเอกสาร
หลักฐานของ ทอท. เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ
กรรมการผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของ ทอท.
มาตรา
๔๒
ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานผลการสอบบัญชีและการเงินเสนอ
ต่อคณะกรรมการภายในหนึ่งร้อยหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
เพื่อคณะกรรมการเสนอต่อรัฐมนตรี
มาตรา
๔๓
ให้คณะกรรมการทำรายงานปีละครั้งเสนอรัฐมนตรี รายงานนี้
ให้กล่าวถึงผลงานของ ทอท. ในปีที่ล่วงมาแล้ว
พร้อมทั้งคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ
โครงการและแผนงานที่จะจัดทำในภายหน้า
ให้
ทอท. โฆษณารายงานประจำปีที่สิ้นไป โดยแสดงงบดุล บัญชีทำการ
และบัญชีกำไรขาดทุนที่ผู้สอบบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว
รวมทั้งรายงานสรุปผลงานในปีที่ล่วงมา ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันสิ้นปีของ
ทอท.
หมวด ๖
การกำกับ และควบคุม
มาตรา
๔๔
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ ทอท.
เพื่อการนี้จะสั่งให้ ทอท. ชี้แจงข้อเท็จจริง
แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำของ ทอท. ที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาล
หรือมติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาล
หรือมติของคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการได้
มาตรา
๔๕ ในกรณีที่ ทอท.
จะต้องเสนอเรื่องใด ๆ ไปยังคณะรัฐมนตรี
ให้ ทอท. นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา
๔๖ ทอท.
ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะ
ดำเนินการดังต่อไปนี้ได้
(๑)
ลงทุนเพื่อขยายโครงการเดิมหรือริเริ่มโครงการใหม่ซึ่งมีวงเงินเกิน
สิบล้านบาท
(๒)
การกู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงินมีจำนวนเกินคราวละสิบล้านบาท
(๓)
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๔)
จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์อันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาท
(๕)
จำหน่ายทรัพย์สินอันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาทจากบัญชีเป็นสูญ
(๖)
ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่
กิจการของ ทอท.
หมวด ๗
บทกำหนดโทษ
มาตรา
๔๗ ผู้ใดขัดขวางการกระทำของ ทอท.
หรือพนักงานหรือลูกจ้าง
ซึ่งกระทำการตามมาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับ ไม่เกินห้าพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา
๔๘
ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงซึ่งออกตามมาตรา ๔ (๒)
หรือฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของคณะกรรมการซึ่งออกตามกฎกระทรวงดังกล่าว ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าสิบบาทถึงสองพันบาท
ความผิดตามมาตรานี้
ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ แต่ถ้าผู้นั้น ไม่ยอมให้เปรียบเทียบปรับ
เจ้าพนักงานผู้ทำการจับต้องนำตัวผู้ถูกจับส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจโดยทันที
ซึ่งต้องไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่ได้จับกุม
บทเฉพาะกาล
มาตรา
๔๙ ในระยะเริ่มแรกให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยาน
ในสนามบินดอนเมืองของกองทัพอากาศ ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
กิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศไม่ต้องใช้อีกต่อไปให้ดำเนินการโอนตามมาตรา
๕๐ ส่วนกิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศจะสงวนไว้ใช้หรือต้องใช้ร่วมกับ
ทอท. ก็ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้
แต่ถ้าเป็นที่ราชพัสดุให้ดำเนินการตามมาตรา ๕๑
มาตรา
๕๐ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน
สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของกองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม
ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมืองของกรมการบินพลเรือน
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนด ไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา
๕๑
บรรดาที่ราชพัสดุที่อยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของกองทัพอากาศอันเกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง
ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้ การใช้ที่ราชพัสดุ
การปลูกสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารหรือ สิ่งปลูกสร้างในที่ราชพัสดุ
ตลอดจนการเรียกค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ และการดำเนินการเกี่ยวกับค่าตอบแทนดังกล่าว
ให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงการคลังและกองทัพอากาศร่วมกันกำหนด
ค่าตอบแทนที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาที่ราชพัสดุนั้น
ให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
มาตรา
๕๒ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน
สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณ
ของกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม
ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมืองตามที่รัฐมนตรีกำหนดไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา
๕๓
ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดของกองทัพอากาศ กองบัญชาการ
ทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม และของกรมการบินพาณิชย์
กระทรวงคมนาคม ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับกิจการที่โอนไปตามมาตรา ๕๐ หรือมาตรา ๕๒
แล้วแต่กรณี ถ้าสมัครใจจะโอนไปปฏิบัติงานกับ ทอท.
และได้แจ้งความจำนงเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนเงินเดือนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้โอนข้าราชการหรือลูกจ้างผู้นั้นไปเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของ ทอท. แต่ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีเจ้าสังกัดและ
ทอท. จะได้ตกลงกัน
ให้ข้าราชการหรือลูกจ้างที่โอนไปเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของ
ทอท. แล้วแต่กรณี ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ
เท่ากับที่เคยได้รับอยู่เดิมไปพลางก่อน
จนกว่าผู้ว่าการจะได้บรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
แต่จะแต่งตั้งให้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างต่ำกว่าเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ได้รับอยู่เดิมไม่ได้
มาตรา
๕๔ การโอนข้าราชการตามมาตรา ๕๓ ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากประจำการเพราะเลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
การโอนลูกจ้างตามมาตรา
๕๓ ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากงาน เพราะ
ทางราชการยุบตำแหน่งหรือทางราชการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด และให้ได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง
เพื่อประโยชน์ในการนับเวลาการทำงานสำหรับคำนวณบำเหน็จหรือบำนาญตามข้อบังคับของ
ทอท. (ถ้ามี) ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดที่โอนไปตามมาตรา ๕๓ ประสงค์จะให้ นับเวลาราชการหรือเวลาทำงานในขณะที่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างก่อนที่มีการโอนเป็นเวลา การทำงานของพนักงานหรือลูกจ้างของ
ทอท. แล้วแต่กรณี ก็ให้มีสิทธิกระทำได้โดยการบอกเลิกรับบำเหน็จบำนาญ
การบอกเลิกรับบำเหน็จบำนาญตามวรรคสาม
จะต้องกระทำภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่โอน สำหรับกรณีของข้าราชการ
ให้ดำเนินการบอกเลิกตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการสำหรับกรณีของลูกจ้างให้ดำเนินการบอกเลิกโดยกระทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานยื่นต่อผู้ว่าจ้างเพื่อส่งต่อไปให้กระทรวงการคลังทราบ
มาตรา
๕๕ ถ้าต่อไป ทอท.
ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการในสนามบิน
หรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานของส่วนราชการใดเพิ่มขึ้น
ให้ส่วนราชการนั้นยินยอมให้ ทอท. เข้าดำเนินกิจการและต้องส่งมอบกิจการให้แก่ ทอท.
ตามระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
และถ้ามีกรณีที่จะต้องใช้ทรัพย์สินอันเป็นที่ราชพัสดุและอยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของส่วนราชการนั้นด้วย
ก็ให้ส่วนราชการนั้นมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้ และให้นำมาตรา ๕๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ เนื่องจากการประกอบกิจการ
ท่าอากาศยานเป็นกิจการด้านสาธารณูปโภคที่มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ
แต่การดำเนินงานในด้านนี้ขึ้นอยู่กับส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งแยกกันอยู่ ทำให้ขาด ความคล่องตัว
สมควรจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้น เพื่อให้การดำเนินกิจการท่าอากาศยานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
สุนันทา/แก้ไข
๔/๑๒/๔๔
A+B (C) |
311709 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 | กฎกระทรวง
ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2543)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2522
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
4 (2) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522
อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิ
และเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 31 มาตรา
35 มาตรา 49 และมาตรา 50 ของ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น
(5 ทวิ) (5 ตรี) (5 จัตวา) ของข้อ 8 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 2
(พ.ศ. 2528)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522
"(5
ทวิ) สูบบุหรี่นอกสถานที่ที่จัดไว้
(5
ตรี)
ใช้วิธีการชักชวนผู้โดยสารอากาศยานหรือผู้อื่นเพื่อให้ใช้บริการยานพาหนะ
หรือบริการอื่นใดที่มิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
(5
จัตวา)
กระทำการอันเป็นเหตุให้ยานพาหนะใด ๆ เกิดกลิ่น แสง รังสี เสียง
ความร้อน สิ่งที่มีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่นละออง เขม่า
เถ้า หรือสิ่งอื่นใด จนอาจเป็นอันตรายหรือ
ทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัย"
ให้ไว้
ณ วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2543
ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หมายเหตุ : - เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดให้การ
สูบบุหรี่นอกสถานที่ที่จัดไว้
การใช้วิธีการชักชวนผู้โดยสารอากาศยานหรือผู้อื่นเพื่อให้ใช้บริการ
ยานพาหนะหรือบริการอื่นใดที่มิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
และการกระทำอันเป็นเหตุให้
ยานพาหนะใด ๆ เกิดกลิ่น แสง รังสี เสียง ความร้อน
สิ่งที่มีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่นละออง เขม่า เถ้า
หรือสิ่งอื่นใด
จนอาจเป็นอันตรายหรือทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัย เป็นข้อห้ามมิให้กระทำในเขต
ท่าอากาศยานควบคุม เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญหรือเกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของ
ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการท่าอากาศยานในเขตท่าอากาศยานควบคุม
รวมทั้งให้เหมาะสมและสอดคล้อง
กับสภาพการณ์ในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้ |
322894 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๑๓ (พ.ศ. ๒๕๔๒)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๒๒
-------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ให้กำหนดเขตท่าอากาศยานเชียงราย
ในพื้นที่สนามบินเชียงรายของกรมการบิน
พาณิชย์ ให้ท้องที่ตำบลดู่ และตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย
จังหวัดเชียงราย ดังต่อไปนี้
ด้านเหนือ
ตั้งแต่หลักเขตที่ ๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๐๐ ห่างจากศูนย์กลางถนนรอบสนามบิน ระยะ ๘๕
และห่างจากศูนย์กลางถนนสาธารณ
ประโยชน์ระยะ ๖.๗๐ เมตร
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านหลักเขตที่ดินหมายเลข
ช ๓ ๔๘๐๑ ระยะ ๒๕๔.๔๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๑๕ ห่างจากศูนย์กลางถนนรอบสนามบินระยะ ๔๐ เมตร
และห่างจากศูนย์กลางถนน
สาธารณประโยชน์ระยะ ๖.๗๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๙๒.๗๔ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๓ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๐๙๑
จากหลักเขตที่
๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านหลักเขตที่ดิน
หมายเลข ณ๓ ๓๖๒๔ ระยะ ๑๙๘.๕๗ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๔
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุ
หมายเลข กค ๐๐๑๐๓
จากหลักเขตที่
๔ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านหลักเขตที่ดินหมายเลข ณ๓
๔๗๑๙ หมายเลข ฎ๓ ๐๖๕๙ หมายเลข ช๓ ๑๖๕๐ ระยะ ๒๔๙.๗๕ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๕
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๙๙
จากหลักเขตที่
๕ ไปเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๕๖ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๖ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๒๗
จากหลักเขตที่
๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ผ่านหลักเขตที่ดินหมายเลข
ณ๓ ๑๘๖๘ ระยะ ๒๐๙.๖๗ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๗
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๑๑
จากหลักเขตที่
๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๑๑๑.๘๗
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๘
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๙๓
ด้านตะวันออก
จากหลักเขตที่ ๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ
๖๘.๘๔ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๙
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๐๒
จากหลักเขตที่
๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๖๒ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๑๐ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๑๐
จากหลักเขตที่
๑๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๔๓.๓๙ เมตร ถึงหลักเขตที่
๑๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๐๔
จากหลักเขตที่
๑๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๒๒.๒๑ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๒ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๓๗
จากหลักเขตที่
๑๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๙๗.๘๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๓
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๙๑ ห่างจากศูนย์กลาง
ถนนรอบสนามบิน ระยะ ๒๕ เมตรา
จากหลักเขตที่
๑๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๘๑.๙๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๔
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๖๘
จากหลักเขตที่
๑๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๘๖ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๑๕ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๐๙
จากหลักเขตที่
๑๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๙.๑๒ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๓๐
จากหลักเขตที่
๑๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๗๐.๕๕ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๗
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๑๘
จากหลักเขตที่ ๑๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ
๑๙๒.๒๔
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๘
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๓๓
จากหลักเขตที่
๑๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๑๒.๗๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๑๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๔๗
จากหลักเขตที่
๑๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๒.๗๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๐
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๓๑
จากหลักเขตที่
๒๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๑๐.๐๙ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๒๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๐๖๘
จากหลักเขตที่
๒๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๐๗.๙๒
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๒ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๐๓๒
จากหลักเขตที่
๒๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๖๖.๕๙ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๓
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๖๒
จากหลักเขตที่
๒๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๒๕.๔๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๒๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๐๖๖
จากหลักเขตที่
๒๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๓๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๒๕ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๐๕๕
จากหลักเขตที่
๒๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๒๖ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๐๕๑
จากหลักเขตที่
๒๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๒๗ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๐๘๕
จากหลักเขตที่
๒๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๒๘ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๐๕๗
จากหลักเขตที่
๒๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๒๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๐๗๗
จากหลักเขตที่
๒๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๓๐ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๐๓๐
จากหลักเขตที่
๓๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๓๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๐๗๘
จากหลักเขตที่
๓๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๕๑.๗๑
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๓๒
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๐๔
จากหลักเขตที่
๓๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๒๙.๒๒ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๓๓ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๐๖๐
จากหลักเขตที่
๓๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๒๙.๖๒
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๓๔
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๙๗
จากหลักเขตที่
๓๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๓๐.๗๓ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๕ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๐๘
จากหลักเขตที่
๓๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๑๕.๐๓ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๓๖ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๐๙๒
จากหลักเขตที่
๓๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๑๖.๕๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๗
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๙๖
จากหลักเขตที่
๓๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๘๗.๖๒ เมตร ถึงหลักเขตที่
๓๘ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๐๙
จากหลักเขตที่
๓๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๓๐.๗๓ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๓๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๐๖๙
จากหลักเขตที่
๓๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๘๒.๒๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๔๐
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๑๗
จากหลักเขตที่
๔๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๖ เมตร ถึงหลักเขตที่
๔๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๙๗
จากหลักเขตที่
๔๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๔๑.๒๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๔๒
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๙๙
จากหลักเขตที่
๔๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๖๐.๑๑ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๔๓
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๑๙
จากหลักเขตที่
๔๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๒๐.๓๘ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๔๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๗๕
จากหลักเขตที่
๔๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๖๕ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๔๕ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๐๐๒
จากหลักเขตที่
๔๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๑๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๔๖ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค๐๐๑๘๕ ห่างจากศูนย์กลางถนน
รอบสนามบิน ระยะ ๒๖ เมตร
จากหลักเขตที่
๔๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๔๗ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๕๖
จากหลักเขตที่
๔๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๔๘ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๕๘
จากหลักเขตที่
๔๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๒๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๔๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๒๐๑
จากหลักเขตที่ ๔๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ
๑๙๗.๗๔
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๕๐
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๓๒
จากหลักเขตที่
๕๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๔๘.๖๑.เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๕๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๒๖ ห่างจากศูนย์กลาง
ถนนรอบสนามบินระยะ ๑๗ เมตร และห่างจากศูนย์กลางถนน ร.พ.ช.
ระยะ ๒๕ .๔๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๕๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๑๗๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๕๓ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๑๒
จากหลักเขตที่
๕๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๑๘๕.๓๗ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๕๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๔๕
จากหลักเขตที่
๕๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๒๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๕๕
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๔๑
จากหลักเขตที่
๕๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านหลักเขตที่ดิน
หมายเลข ญ๓ ๐๐๐๓ ระยะ ๑๙๒.๑๔ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๕๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราช
พัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๘๙
จากหลักเขตที่
๕๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๒๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๕๗ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๘๗
จากหลักเขตที่
๕๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๙๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๕๘ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๗๙ ห่างจากศูนย์กลางถนน
รอบสนามบิน ระยะ ๕๐.๔๕ เมตร และห่างจากศูนย์กลางถนน ร.พ.ช.
๒๐ เมตร
จากหลักเขตที่ ๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศเหนือ ระยะ ๒๗.๒๐ เมตร
ถึง
หลักเขตที่ ๕๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๒๒
ด้านตะวันตก จากหลักเขตที่ ๕๙
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ระยะ ๑๑๓.๕๙เมตร ถึงหลักเขตที่ ๖๐
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๖๙
จากหลักเขตที่
๖๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๐๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๖๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๑๓
จากหลักเขตที่
๖๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๖๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๖๒ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๗๘
จากหลักเขตที่
๖๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๙๕
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๖๓
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๘๓
จากหลักเขตที่
๖๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศเหนือ ระยะ ๒๕.๒๑ เมตร ถึงหลักเขต
ที่ ๖๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๐๗
จากหลักเขตที่
๖๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๕.๕๖
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๖๕
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๗๐
จากหลักเขตที่
๖๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๒๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๖๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๒๐๐
จากหลักเขตที่ ๖๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ระยะ ๑๗๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๖๗
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๘๘
จากหลักเขตที่ ๖๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ระยะ ๑๙๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๖๘
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๒๐๓
จากหลักเขตที่
๖๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๑๔.๔๓ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๖๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๒๐๒
จากหลักเขตที่
๖๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศเหนือ ระยะ ๕๙.๘๕ เมตร ถึงหลักเขต
ที่ ๗๐ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๔๒
จากหลักเขตที่
๗๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๕๖.๓๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๗๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๒๙
จากหลักเขตที่
๗๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๗๗.๙๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๗๒
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๙๘
จากหลักเขตที่
๗๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศเหนือ ระยะ ๗๖.๑๖ เมตร ถึงหลักเขต
ที่ ๗๓ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๑๖
จากหลักเขตที่
๗๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๔๔.๗๒ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๗๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๖๑
จากหลักเขตที่
๗๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๒๕
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๗๕
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๘๑
จากหลักเขตที่
๗๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๒๒
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๗๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๙๐
จากหลักเขตที่
๗๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๒๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๗๗
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๔๖
จากหลักเขตที่
๗๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๒๕
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๗๘
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๖๓
จากหลักเขตที่
๗๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๒๕
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๗๙
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๓๙
จากหลักเขตที่
๗๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๐๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๘๐
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๒๒
จากหลักเขตที่
๘๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๘๕ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๘๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๑๘
จากหลักเขตที่
๘๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๔๘.๗๖
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๘๒ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๖๐
จากหลักเขตที่
๘๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๐๘.๘๙
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๘๓
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๓๘
จากหลักเขตที่
๘๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๓๔.๙
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๘๔
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๒๙ ห่างจากศูนย์
กลางถนนทางเข้าสนามบิน ระยะ ๒๒ เมตร
จากหลักเขตที่
๘๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึงหลักเขต
ที่ ๘๕ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๙๕ ห่างจากศูนย์กลางถนนทางเข้า
สนามบิน ระยะ ๒๔ เมตร
จากหลักเขตที่
๘๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึงหลักเขต
ที่ ๘๖ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๐๗๙
จากหลักเขตที่
๘๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึงหลักเขต
ที่ ๘๗ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๕๑
จากหลักเขตที่
๘๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๘๘ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๕๗
จากหลักเขตที่
๘๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๑๕๕ เมตร ถึงหลักเขต
ที่ ๘๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๒๐๕
จากหลักเขตที่
๘๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๔๔.๒๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๙๐ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข จ๓
๑๔๗๒
จากหลักเขตที่
๙๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๑๖๖.๒๑ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๙๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๔๔
จากหลักเขตที่
๙๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๒๑๐.๗๕ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๙๒ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๔๘
จากหลักเขตที่
๙๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๙๓ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๐๘
จากหลักเขตที่
๙๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๑๙๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๙๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๓๖
จากหลักเขตที่
๙๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๔๕ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๙๕
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๓๘
จากหลักเขตที่
๙๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๙๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๙๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๘๖
จากหลักเขตที่
๙๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๐๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๙๗
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๘๘
จากหลักเขตที่
๙๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๔๕
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๙๘
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๖๒ ห่างจากศูนย์
กลางทางทลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ ระยะ ๒๐.๖๐ เมตร
และห่างจากศูนย์กลางถนนทางเข้าสนาม
บิน ระยะ ๒๕.๗๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๙๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๕๗.๙๘
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๙๙
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๗๒ ห่างจากศูนย์
กลางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ ระยะ ๒๑.๗๐ เมตร
และห่างจากศูนย์กลางถนนทางเข้าสนาม
บิน ระยะ ๓๑.๘๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๙๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๐๐
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๗๗
จากหลักเขตที่
๑๐๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๒๐๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๐๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๔๐
จากหลักเขตที่
๑๐๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๑๙๕.๔๕
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๐๒
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๖๗
จากหลักเขตที่
๑๐๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๖๐.๔๑
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๐๓
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๙๒
จากหลักเขตที่
๑๐๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๐๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๕๔
จากหลักเขตที่
๑๐๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๐๕ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๗๔
จากหลักเขตที่
๑๐๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๐๖ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๗๖
จากหลักเขตที่
๑๐๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกระยะ ๒๐๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๐๗ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๖๖
จากหลักเขตที่
๑๐๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๐๘ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๘๒
จากหลักเขตที่
๑๐๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๒๐๐
เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๐๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๘๔
จากหลักเขตที่
๑๐๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๒๐๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๑๐ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๗๑
จากหลักเขตที่
๑๑๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๑๖๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๑๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๘๐
จากหลักเขตที่
๑๑๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๑๘๕ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๑๒ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๙๔
จากหลักเขตที่
๑๑๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๑.๗๘
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๑๓
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๕๒
จากหลักเขตที่
๑๑๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๑๔.๙๑
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๑๔
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๕๕
จากหลักเขตที่
๑๑๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๑๗๑.๘๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๑๕
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๕๔
จากหลักเขตที่
๑๑๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๖๐.๕๔
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๑๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๒๓
จากหลักเขตที่
๑๑๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๔๓.๐๖
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๑๗ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๐๐๓
จากหลักเขตที่
๑๑๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๔๙.๕๔
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๑๘
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๒๐
จากหลักเขตที่
๑๑๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๙๖.๕๔
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๑๙
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๑๙
จากหลักเขตที่
๑๑๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศเหนือ ระยะ ๓๘.๓๔
เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๒๐ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๐๒๗
จากหลักเขตที่
๑๒๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๗.๕๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๒๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๗๓
จากหลักเขตที่
๑๒๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ
๑๓๔.๒๘ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๒๒
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๐๕
จากหลักเขตที่
๑๒๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๙๔.๕๖
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๒๓
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๙๕ ห่างจากศูนย์
กลางถนนรอบสนามบิน ระยะ ๒๕ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๒๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๔๖.๐๓
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๒๔
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๒๓ ห่างจากศูนย์
กลางถนนรอบสนามบิน ระยะ ๗๑.๘๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๒๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๔๓.๓๔
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๒๕
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๙๘
จากหลักเขตที่
๑๒๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๓๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๒๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๒๕
จากหลักเขตที่
๑๒๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๐๕
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๒๗ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๒๐๔
จากหลักเขตที่
๑๒๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศเหนือ ระยะ ๑๑๖.๖๖ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๒๘ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๐๑๑๔ ห่างจากศูนย์กลางถนน
รอบสนามบินระยะ ๘๓.๖๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๒๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๒.๕๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๒๙
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๓๑ ห่างจากศูนย์
กลางถนนรอบสนามบินระยะ ๙๕ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๒๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๓๙.๕๓
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๓๐ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๐๐๑ ห่างจากศูนย์
กลางถนนสนามบินระยะ ๙๕.๘๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๓๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๖๙.๑๖
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๓๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๙๔ ห่างจากศูนย์
กลางถนนสนามบินระยะ ๒๖.๖๕ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๓๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ
๑๔๒.๙๘ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๓๒
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๐๑๐
จากหลักเขตที่
๑๓๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๘๗
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๓๓ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค ๐๐๑๙๖
จากหลักเขตที่
๑๓๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านหลักเขตที่
ดินหมายเลข ณ๓ ๕๓๙๐ ระยะ ๑๙๕.๕๐ เมตร ถึงหลักเขตที่
๑๓๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่
ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๒๐
จากหลักเขตที่
๑๓๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๗๓.๒๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๓๕
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๖๕
จากหลักเขตที่
๑๓๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ
๑๑๒.๓๑ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๓๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค ๐๐๑๐๒
จากหลักเขตที่
๑๓๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๙๒
เมตร บรรจบกับหลักเขตที่ ๑
ดังปรากฏในแผนที่ท้ายกฎกระทรวงนี้
ตามเส้นแนวเขตที่กล่าวไว้
ให้มีหลักย่อยปักไว้เพื่อแสดงแนวเขตตามสมควร
ให้ไว้
ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒
ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
+--------------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่มีกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒
(พ.ศ. ๒๕๔๑)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
กำหนดให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินเชียงราย สมควรกำหนด
เขตท่าอากาศยานเชียงราย เพื่อประโยชน์ในการควบคุม
การปรับปรุง และการให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยาน และเนื่องจากมาตรา ๔
(๑) แห่งพระราชบัญญัติการ
ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวง
กำหนดเขตท่าอากาศยานได้ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๔๒/๑๒๖ก/๑/๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๒] |
309479 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๒๒
------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการ
ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินสนามบิน
เชียงราย เว้นแต่กิจการบริการโทรคมนาคมการบิน
บริการวิทยุเครื่องช่วยการเดินอากาศ และบริการ
ควบคุมจราจรทางอากาศ
ข้อ
๒ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นต้นไป
ให้ใช้
ณ วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑
ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
+----------------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
เนื่องจากในปัจจุบันสนามบินเชียงราย
เป็นท่าอากาศยานพาณิชย์ในส่วนภูมิภาคที่มีความสำคัญและมีขีดความสามารถในการรองรับ
การจราจรทางอากาศระหว่างประเทศได้
คณะรัฐมนตรีจึงเห็นสมควรมอบหมายให้ ทอท. เข้าดำเนิน
กิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินเชียงรายของกรมการบินพาณิชย์
เว้นแต่กิจการบริการ
โทรคมนาคมการบิน บริการวิทยุเครื่องช่วยการเดินอากาศ
และบริการควบคุมจราจรทางอากาศเพื่อ
ให้การดำเนินกิจการท่าอากาศยานมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
และเนื่องจากมาตรา ๙
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
บัญญัติให้ ทอท. มีอำนาจ
ดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินอนุญาต
ที่ประกาศกำหนดตามกฎหมายว่าด่วยการ
เดินอากาศได้ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายและกำหนดโดยกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้อง
ออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๔๑/๖๘ก/๑/๑ ตุลาคม ๒๕๔๑] |
301956 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2536) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๖)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๒๒
------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการท่า
อากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบิน ณ อำเภอ
บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
ข้อ
๒
กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นต้นไป
ให้ใช้
ณ วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๖
พันเอก วินัย สมพงษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
+---------------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ
โครงการท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งที่สอง ณ
บริเวณท้องที่ตำบลบางโฉลง ตำบลราชาเทวะ
และตำบลหนองปรือ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
ซึ่งเป็นพื้นที่ภายในบริเวณเขตสนามบิน
อนุญาตที่อยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของกรมการบินพาณิชย์
เพื่อรับช่วงหรือเสริมการ
ให้บริการของท่าอากาศยานกรุงเทพซึ่งมีขีดความสามารถจำกัด
โดยให้ ทอท. เป็นผู้ลงทุนสมควร
มอบหมายให้ ทอท.
เข้าดำเนินกิจการท่าอากาศยานแห่งนี้เพื่อให้การดำเนินกิจการท่าอากาศยานมี
ความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งสามารถรองรับการให้บริการขนส่งทางอากาศที่กำลังเจริญ
เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย และเนื่องจากมาตรา ๙
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบิน
อนุญาตที่ประกาศกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศได้ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายและ
กำหนดโดยกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๓๖/๘๖/๑/๑ กรกฎาคม ๒๕๓๖] |
301955 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2536) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๑๐ (พ.ศ. ๒๕๓๖)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๒๒
-----------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศ
ยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ให้ยกเลิกความในข้อ
๑๒ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๘) ออกตาม
ความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้
แทน
"ข้อ
๑๒
เมื่อปรากฏว่ามีการขับขี่ยานพาหนะที่มีลักษณะตามข้อ ๙ เข้าไปในเขต
ท่าอากาศยานควบคุม
หรือผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามข้อ ๑๐ หรือฝ่าฝืนข้อ ๑๑ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่
่มีอำนาจตักเตือนให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติเสียให้ถูกต้อง
ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตักเตือนแล้วผู้ขับขี่ยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง
พนักงาน
เจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้ขับขี่เคลื่อนย้ายยานพาหนะนั้น
หรือสั่งให้นำยานพาหนะนั้นออกไปจาก
เขตท่าอากาศยานควบคุมได้
ถ้าผู้นั้นไม่อยู่หรืออยู่แต่ไม่ปฏิบัติตาม ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ
เคลื่อนย้ายยานพาหนะหรือนำยานพาหนะไปเก็บไว้ในสถานที่ที่พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นสมควร
หรือใช้เครื่องมือบังคับยานพาหนะมิให้เคลื่อนย้ายได้
การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตักเตือนตามวรรคหนึ่ง
หรือเคลื่อนย้ายหรือใช้
เครื่องมือบังคับยานพาหนะมิให้เคลื่อนย้ายตามวรรคสอง ไม่เป็นเหตุให้ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม
พ้นจากความผิดตามมาตรา ๔๘"
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๖
พันเอก
วินัย สมพงษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
+------------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ ตามที่กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒
(พ.ศ. ๒๕๒๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
ได้กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเคลื่อนย้ายยานพาหนะที่หยุดหรือจอดโดยฝ่าฝืนเครื่อง
หมายจราจร
หรือคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ในเขตท่าอากาศยานควบคุม หรือให้นำยานพาหนะ
ไปเก็บไว้ในที่ซึ่งเห็นสมควรได้นั้นเนื่องจากมาตรการดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะควบคุมการจราจร
ในเขตท่าอากาศยานควบคุม
สมควรเพิ่มเติมมาตรการให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถใช้เครื่องมือ
บังคับยานพาหนะที่หยุดหรือจอดโดยฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจรหรือคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่มิ
ให้เคลื่อนย้ายได้ด้วย จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๓๖/๒๙/๑๖พ./๑๒ มีนาคม ๒๕๓๖] |
318753 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2533) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๙ (พ.ศ. ๒๕๓๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๒๒
------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ให้กำหนดเขตท่าอากาศยานภูเก็ต
ในพื้นที่สนามบินภูเก็ตของกรมการบินพาณิชย์
ในท้องที่ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ดังต่อไปนี้
ด้านเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ ๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค.
๐๐๖๗๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๐๓ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒ ซึ่งตั้ง
อยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๖๘๓
จากหลักเขตที่
๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๑๘๗
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๓
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๘๒
จากหลักเขตที่
๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ระยะ ๑๕๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๔
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๑๕๒
จากหลักเขตที่
๔
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๘๑ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๕
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๖๖๘
จากหลักเขตที่
๕
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๕๔
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๑๕
จากหลักเขตที่
๖
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๒๔๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๗ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๗๘๙
จากหลักเขตที่
๗
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๓๘ เมตร
ถึงหลักเขตที่๘
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๐๓
จากหลักเขตที่
๘
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๑๗๒ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักไม้ (ล.ม.)
จากหลักเขตที่
๙
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๕๖ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๐
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๕๐
จากหลักเขตที่
๑๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ระยะ ๓๒๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๑๘
จากหลักเขตที่
๑๑
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๓๗๘
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๒
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๗๗
จากหลักเขตที่
๑๒
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๓๓๔
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๓
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๖๙๒
จากหลักเขตที่
๑๓
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะ ๑๒๖ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๗๘๕
จากหลักเขตที่
๑๔
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๗๗๔
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๕
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๖๗๔
จากหลักเขตที่
๑๕
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๖๗
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๙๐
จากหลักเขตที่
๑๖
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๒๓๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๗
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๕๔
จากหลักเขตที่
๑๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ระยะ ๓๕๙
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๘
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๔๙
ด้านตะวันออก จากหลักเขตที่ ๑๘
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ระยะ ๕๐๓ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๙
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๗๙
ด้านใต้ จากหลักเขตที่ ๑๙
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ
๑,๑๕๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๐
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๓๘
จากหลักเขตที่
๒๐
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๙๑ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๗๑
จากหลักเขตที่
๒๑
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๐๘ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๒
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๒๑
จากหลักเขตที่
๒๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ระยะ ๑๕๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๓
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๙๕
จากหลักเขตที่
๒๓
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๗๘ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๔
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๓๘
จากหลักเขตที่
๒๔
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๓ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๕
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๙๗๗
จากหลักเขตที่
๒๕
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๕๑ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๖ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๗๗๕
จากหลักเขตที่
๒๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศเหนือ ระยะ
๑๕ เมตร ถึงหลักเขตที่
๒๗ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๖๘๔
จากหลักเขตที่
๒๗
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๓๒
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๘
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๖๖๓
จากหลักเขตที่
๒๘
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๗๕๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๙
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๔๘
จากหลักเขตที่
๒๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ระยะ ๓๑๘ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๐
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๖๗๓
จากหลักเขตที่
๓๐
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๓๕ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๗๖
จากหลักเขตที่
๓๑
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๔๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๒
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๑๖
จากหลักเขตที่
๓๒
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๔๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๓ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๘๖๘
จากหลักเขตที่
๓๓
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๔๑๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๔
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๕๒ ระยะ ๕ เมตร
จากหลักเขตที่
๓๔
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๒๙ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๕
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๖๘๐ ระยะ ๔๖๕ เมตร
จากหลักเขตที่
๓๕
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๓๐๐.๕๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๓๖
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๖๘๐ ระยะ
๑๖๕.๐๕ เมตร
จากหลักเขตที่
๓๖
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือระยะ ๑๗๖ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๗
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๐๑ ระยะ ๒๔๖.๕๘ เมตร
จากหลักเขตที่
๓๗
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๘๗.๒๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๘
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๐๑ ระยะ ๑๙๕.๕๐
เมตร
จากหลักเขตที่
๓๘
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๕๐๘ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๙
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๖๖๕ ระยะ ๑๒๐.๔๐
เมตร
ด้านตะวันตก จากหลักเขตที่ ๓๙
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ระยะ ๓๖๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๔๐
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๑๔
จากหลักเขตที่
๔๐
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๔๑๖.๓๖
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๔๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๖๔๓
จากหลักเขตที่
๔๑
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๓๙๓
เมตร บรรจบกับหลักเขตที่ ๑
ดังปรากฏในแผนที่ท้ายกฎกระทรวงนี้
ตามเส้นแนวเขตที่กล่าวไว้ ให้มีหลักย่อยปักไว้เพื่อแสดงแนวเขตตามสมควร
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๓
ประทวน รมยานนท์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงคมนาคม
+-------------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕
(พ.ศ. ๒๕๓๑)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
กำหนดให้ ทอท. มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินภูเก็ต
สมควรกำหนดเขต
ท่าอากาศยานภูเก็ต เพื่อประโยชน์ในการควบคุม การปรับปรุง
และการให้ความสะดวกและความ
ปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานและเนื่องจากมาตรา ๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศ
ยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดเขต
ท่าอากาศยานได้ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๓๓/๑๓๖/๒๕๕/๒ สิงหาคม ๒๕๓๓] |
301954 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2533) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๘ (พ.ศ. ๒๕๓๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๒๒
------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔(๑) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ให้กำหนดเขตท่าอากาศยานหาดใหญ่
ในพื้นที่สนามบินหาดใหญ่ของกรมการบิน
พาณิชย์ ในท้องที่ตำบลทุ่งตำเสา ตำบลควนลัง
และตำบลคลองหอยโข่ง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัด
สงขลา ดังต่อไปนี้
ด้านเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ ๑
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ
๗๒๓๗
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือผ่านหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ ๗๓๑๒
หมายเลข ญ ๗๙๐๑ หมายเลข ญ ๘๙๙๖ หมายเลข ญ ๗๕๕๓ หมายเลข เก่า
ญ ๓๑๖๒ และ
หมายเลขเก่า ญ ๓๒๕๘ ระยะ ๑,๕๕๑ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดิน
หมายเลข ญ ๗๔๓๑
จากหลักเขตที่
๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๑๐๒ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ดินหมายเลข
เก่า ญ ๓๒๕๘ ระยะ ๑๒๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือผ่านหลักเขตที่ดิน
หมายเลข ๗๕๐๙ หมายเลข ญ ๗๔๔๙ หมายเลข ญ ๗๙๐๐
หลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๑๘๕๗ หมายเลข เก่า จ ๑๕๔๖ และหมายเลข เก่า จ ๐๑๕๒ ระยะ ๑,๒๕๑
เมตร ถึงหลักเขตที่
๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ ๗๑๘๖
จากหลักเขตที่
๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะ ๕๐๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๕ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข
เก่า ข ๓๔๔๑
จากหลักเขตที่
๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือระยะ ๑,๖๗๘
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ ๗๘๖๑
ด้านตะวันออก จากหลักเขตที่ ๖
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ระยะ ๗๒๕ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๗
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ ๖๘๓๖
ด้านใต้ จากหลักเขตที่ ๗
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ
๒๑๒๑ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๘
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข เก่า ฉ ๕๙๘๖
จากหลักเขตที่
๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะ ๑๔๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข
เก่า ฉ ๒๑๗๙
จากหลักเขตที่
๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๗๑ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๐ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข
เก่า ฉ ๐๗๕๕
จากหลักเขตที่
๑๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะ ๑๖ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข
เก่า ฉ ๓๕๙๑
จากหลักเขตที่
๑๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๘๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๒ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข
เก่า ฉ ๔๐๕๕
จากหลักเขตที่
๑๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๖ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๓ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข
เก่า ฉ ๐๙๐๘
จากหลักเขตที่
๑๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ระยะ ๑๓๕ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข
เก่า ฉ ๐๗๙๑
จากหลักเขตที่
๑๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๔๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๕ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข เก่า
ฉ ๐๖๐๖
จากหลักเขตที่
๑๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒,๐๕๑ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๖ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข จ
๒๑๗๔
ด้านตะวันตก จากหลักเขตที่ ๑๖
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ระยะ ๗๕๑ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๗
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ ๗๔๖๙
จากหลักเขตที่
๑๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๔๙
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๘
ซึ่งตั้งอยู่ตรงกับหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ ๗๔๑๗
จากหลักเขตที่
๑๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๖๐๘ เมตร
บรรจบกับหลักเขตที่ ๑
ทั้งนี้
ยกเว้น (ก) บริเวณสถานีส่งกรมการบินพาณิชย์ และ (ข) บริเวณบ้านพัก
เจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยา
(ก)
บริเวณสถานีส่งกรมการบินพาณิชย์ มีเขตดังนี้
ด้านเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ ๑๙
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ
๗๙๐๑ ระยะ ๒๐๕ เมตร และห่างจากหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ ๘๙๙๖
ระยะ ๑๗๐ เมตร เป้น
เส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๙๐๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๐ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจาก
หลักเขตที่ดินหมายเลข เก่า ญ ๓๒๕๘ ระยะ ๒๒๐ เมตร
ด้านตะวันออก จากหลักเขตที่ ๒๐
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ระยะ ๔๕๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๑
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ดินหมายเลข เก่า ญ ๓๒๕๘
ระยะ ๖๓๒ เมตร
ด้านใต้ จากหลักเขตที่ ๒๑
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๙๐๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๒
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ ๗๙๐๑ ระยะ ๖๒๖ เมตร
ด้านตะวันตก
จากหลักเขตที่ ๒๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ระยะ ๔๕๐ เมตร บรรจบกับหลักเขตที่ ๑๙
(ข)
บริเวณบ้านพักเจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยา มีเขตดังนี้
ด้านเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ ๒๓
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ
๗๙๐๐ ระยะ ๗๖ เมตร และห่างจากหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค
๐๑๘๕๗ ระยะ ๘๕ เมตร เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๕๒ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๔ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจาก
หลักเขตที่ดินหมายเลข จ ๑๕๔๖ ระยะ ๑๐๐ เมตร
ด้านตะวันออก จากหลักเขตที่ ๒๔
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ระยะ ๑๑๔ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๕
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ดินหมายเลข เก่า จ ๑๕๔๖ ระยะ
๑๙๖ เมตร
ด้านใต้ จากหลักเขตที่ ๒๕
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๕๒
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๖
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหลักเขตที่ดินหมายเลข ญ ๗๙๐๐ ระยะ ๑๘๘ เมตร
ด้านตะวันตก
จากหลักเขตที่ ๒๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ระยะ ๑๑๔ เมตร บรรจบกับหลักเขตที่ ๒๓
ดังปรากฏในแผนที่ท้ายกฎกระทรวงนี้
ตามเส้นแนวเขตที่กล่าวไว้
ให้มีหลักย่อยปักไว้เพื่อแสดงแนวเขตตามสมควร
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๓
ประทวน รมยานนท์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
+------------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่ได้มีกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔
(พ.ศ. ๒๕๓๑)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
กำหนดให้
ทอท.มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินหาดใหญ่ สมควรกำหนด
เขตท่าอากาศยานหาดใหญ่ เพื่อประโยชน์ในการควบคุม
การปรับปรุง และการให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานและเนื่องจากมาตรา ๔ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการ
ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวง
กำหนดเขตท่าอากาศยานได้ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๓๓/๑๓๖/๒๔๘/๒ สิงหาคม ๒๕๓๓] |
301953 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2533) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๗ (พ.ศ. ๒๕๓๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๒๒
----------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ให้กำหนดเขตท่าอากาศยานเชียงใหม่ ในพื้นที่บางส่วนของสนามบินเชียงใหม่
ของกรมการบินพาณิชย์และกองทัพอากาศ ในท้องที่ตำบลแม่เหียะ
และตำบลสุเทพ อำเภอเมือง
เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ดังต่อไปนี้
ด้านเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ ๑
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือ
ไปทางทิศเหนือระยะ ๓๕๐ เมตร
และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันตก ระยะ ๑๕๐ เมตร
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๓๐๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่ง
สนามบินด้านทิศเหนือไปทางทิศเหนือ ระยะ ๓๕๐
เมตรและห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศ
ตะวันออก ระยะ ๑๕๐ เมตร
ด้านตะวันออก
จากหลักเขตที่ ๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ระยะ ๓๒๒.๕๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือ
ไปทางทิศเหนือ ระยะ ๒๗.๕๐
เมตร และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ ๑๕๐
เมตร
จากหลักเขตที่
๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ
๑๓๖.๕๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๔ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือ
ไปทางทิศเหนือ ระยะ ๒๗.๕๐
เมตร และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ
๒๘๖.๕๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๙๖๔ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๕ ซึ่ง
ตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือไปทางทิศใต้
ระยะ ๙๓๖.๕๐ เมตร และห่างจาก
ศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ ๒๘๖.๕๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๙๒ เมตร ถึงหลักเขตที่
๖ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือ
ไปทางทิศใต้ ระยะ ๙๓๖.๕๐ เมตร และห่าง
จากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ ๓๗๘.๕๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๙๔.๕๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๗
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือไปทางทิศใต้
ระยะ๑,๐๓๑ เมตร และห่างจาก
ศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ ๓๗๘.๕๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะ ๕๒ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๘
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือ ไปทางทิศใต้ ระยะ ๑,๐๗๖ เมตร
และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ ๔๐๔ เมตร
จากหลักเขตที่
๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ
๗๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๙
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือ ไปทางทิศใต้ ระยะ
๑,๐๔๑ เมตร และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ
๔๖๔.๕๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๓๘ เมตร ถึงหลักเขตที่
๑๐ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือ
ไปทางทิศใต้ ระยะ ๑,๐๔๑ เมตร และห่าง
จากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ ๕๐๒.๕๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศเหนือ ระยะ ๖๒ เมตรถึงหลักเขตที่ ๑๑
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือไปทางทิศใต้
ระยะ ๙๗๙ เมตร และห่างจาก
ศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ ๕๐๒.๕๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๑๖๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๒
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือ ไปทางทิศใต้ ระยะ ๙๗๙ เมตร และ
ห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ ๖๖๒.๕๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๒๓๗
เมตรถึงหลักเขตที่
๑๓
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือไปทางทิศใต้ ระยะ ๑,๒๑๖
เมตร และห่าง
จากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ ๖๖๒.๕๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๗๒.๕๐ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๑๔
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือ ไปทางทิศใต้ ระยะ ๑,๒๑๖
เมตร และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ ๗๓๕
เมตร
จากหลักเขตที่
๑๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๑๘๔ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๕
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือไปทางทิศใต้
ระยะ ๑,๔๐๐ เมตร และห่างจาก
ศูนย์กลางทางวิ่งด้านตะวันออก ระยะ ๗๓๕ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๒๕๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๖
ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองส่งน้ำชลประทานห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือ ไปทาง
ทิศใต้ ระยะ ๑,๔๐๐ เมตร
และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออก ระยะ ๙๘๕ เมตร
จากหลักเขตที่ ๑๖
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ขนานตามแนวคลองส่งน้ำชลประทาน
ระยะ ๑,๐๙๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๗
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศเหนือ ไปทาง
ทิศใต้ระยะ ๒,๒๗๐ เมตร
และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันออกระยะ ๓๖๕ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๑๕๙ เมตร ถึงหลักเขตที่
๑๘ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๗๐๖๓
จากหลักเขตที่
๑๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๔๑.๑๑ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๑๙ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๗๐๑๙
จากหลักเขตที่
๑๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะ ๖๗.๗๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๐ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๙๓๘๗
จากหลักเขตที่
๒๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๔๐.๙๘ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๙๓๘๕
จากหลักเขตที่
๒๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะ ๒๘.๕๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๒ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๑๐๖๑๔
จากหลักเขตที่
๒๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะ ๑๔๘.๒๘
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๓ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๙๓๔๓
จากหลักเขตที่
๒๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะ ๑๗.๖๖ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๑๐๖๑๔
จากหลักเขตที่
๒๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือระยะ ๑๒๐.๑๔
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๕ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๘๑๑๔๐
จากหลักเขตที่
๒๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๗๗.๖๙ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๖ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๑๐๑๐
จากหลักเขตที่
๒๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๓๘.๘๐ เมตร ถึงหลักเขตที่
๒๗ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๑๐๖๕๓
จากหลักเขตที่
๒๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๓.๖๙ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๘ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๘๕๗๖
จากหลักเขตที่
๒๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะ ๔๐.๔๘ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๙๘๗๖
จากหลักเขตที่
๒๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๕.๓๒ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๓๐ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค.
๐๑๐๗๑๑
จากหลักเขตที่
๓๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๓๖.๕๔ เมตรถึงหลักเขตที่
๓๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๑๐๓๖๗
จากหลักเขตที่
๓๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๔.๔๗ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๓๒ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค.
๐๐๖๗๒๙
จากหลักเขตที่
๓๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๙๘.๔๙ เมตร ถึงหลักเขตที่
๓๓ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๖๑๙
จากหลักเขตที่
๓๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๑๑.๔๘ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๑๐๑๗๔
จากหลักเขตที่
๓๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๒๓.๙๐ เมตร ถึงหลักเขตที่
๓๕ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๖๓๙
จากหลักเขตที่
๓๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๓๙.๔๑ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๓๖ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค.
๐๐๘๕๙๔
จากหลักเขตที่
๓๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๒๖.๘๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๓๗
ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๕๘๔
จากหลักเขตที่
๓๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๓๐.๑๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๘ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๑๐๗๔๒
จากหลักเขตที่
๓๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๗๔.๖๗ เมตร ถึงหลักเขตที่
๓๙ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๖๒๖
จากหลักเขตที่
๓๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ๓๒.๖๘ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๔๐ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๙๔๐๔
จากหลักเขตที่
๔๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๓๙.๒๒ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๔๑ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๑๐๗๓๔
จากหลักเขตที่
๔๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ๑๖๐.๖๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๔๒ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๙๓๑๘
จากหลักเขตที่
๔๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๔๑.๕๑ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๔๓ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค.
๐๐๘๖๑๗
จากหลักเขตที่
๔๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศใต้ ระยะ ๔๐.๒๘ เมตร ถึงหลักเขตที่
๔๔ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๐๘๕๘๓
จากหลักเขตที่
๔๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๑๒.๒๔ เมตร ถึง
หลักเขตที่ ๔๕ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๐๘๖๒๗
จากหลักเขตที่
๔๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ขนานกับแนวทาง
หลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๘ ระยะ ๕๙๖.๘๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๔๖
ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราช
พัสดุหมายเลข กค. ๐๑๐๖๙๒
ด้านใต้
จากหลักเขตที่
๔๖ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ขนานกับแนวถนน
สาธารณะ ระยะ
๒๒.๔๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๔๗ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค.๐๑๐๖๘๒
จากหลักเขตที่
๔๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๖.๖๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๔๘ ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข
กค. ๐๑๐๑๔๘
จากหลักเขตที่
๔๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๑๐๓.๐๒
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๔๙
ซึ่งตั้งอยู่ตรงหลักเขตที่ราชพัสดุหมายเลข กค. ๐๑๐๗๒๒
ด้านตะวันตก
จากหลักเขตที่
๔๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศเหนือขนานกับถนนรอบสนามบินด้าน
ตะวันตก ระยะ
๑,๔๔๔.๖๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๕๐ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศ
ใต้ ไปทางทิศเหนือ ระยะ ๘๐๔.๖๑ เมตร
และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันตก ระยะ
๒๔๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๕๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๔๐ เมตร ถึงหลักเขต
ที่ ๕๑ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศใต้ไปทางทิศเหนือ
ระยะ ๘๐๔.๖๐ เมตร และ
ห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งสนามบินด้านทิศตะวันตก ระยะ ๒๐๐
เมตร
จากหลักเขตที่
๕๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศเหนือ ขนานกับถนนรอบสนามบินด้าน
ทิศตะวันตก ระยะ ๙๔๕ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๕๒
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศใต้
ไปทางทิศเหนือ ระยะ ๑,๗๔๙.๖๐ เมตร
และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทางทิศตะวันตก ระยะ
๒๐๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๕๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือขนานกับถนน
รอบสนามบินด้านทิศตะวันตก ระยะ ๒๘๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๕๓
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่ง
สนามบินด้านทิศใต้ ไปทางทิศเหนือ ระยะ ๒,๐๒๘.๕๐ เมตร
และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้าน
ทิศตะวันตก ระยะ ๑๗๕ เมตร
จากหลักเขตที่
๕๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศเหนือ ขนานกับถนนรอบสนามบินด้าน
ทิศตะวันตก ระยะ ๑,๓๕๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๕๔ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหัวทางวิ่งสนามบินด้านทิศ
เหนือ ไปทางทิศใต้ ระยะ ๓๒๘.๕๐ เมตร
และห่างจากศูนย์กลางทางวิ่งด้านทิศตะวันตก ระยะ
๑๗๕ เมตร
จากหลักเขตที่
๕๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือขนานกับถนน
รอบสนามบินด้านทิศตะวันตก ระยะ ๗๐ เมตร บรรจบกับหลักเขตที่
๑ ดังปรากฏในแผนที่ท้าย
กฎกระทรวงนี้
ตามเส้นแนวเขตที่กล่าวไว้
ให้มีหลักย่อยปักไว้เพื่อแสดงแนวเขตตามสมควร
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๓
ประทวน รมยานนท์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงคมนาคม
+-------------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓
(พ.ศ. ๒๕๓๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติการทาอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒
กำหนดให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินเชียงใหม่ สมควรกำหนด
เขตท่าอากาศยานเชียงใหม่เพื่อประโยชน์ในการควบคุม
การปรับปรุง และการให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานและเนื่องจากมาตรา ๔ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการ
ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวง
กำหนดเขตท่าอากาศยานได้ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๓๓/๑๓๖/๒๓๖/๒ สิงหาคม ๒๕๓๓] |
318752 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2533) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๖ (พ.ศ. ๒๕๓๓)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๒๒
------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ให้ยกเลิกความใน
(๕) ของข้อ ๗ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๒๒ และให้
ใช้ความต่อไปนี้แทน
"(๕)
นำดอกไม้เพลิง อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน อาวุธโดยสภาพสิ่ง
เทียมอาวุธซึ่งมีรูปและลักษณะอันน่าจะทำให้หลงเชื่อว่าเป็นอาวุธโดยสภาพ
วัตถุระเบิด วัตถุ
กัดกร่อน ก๊าซอัด วัตถุไวไฟ วัตถุที่เป็นพิษ
วัตถุออกซิไดส์หรือวัตถุกัมมันตรังสี เข้าไปในเขต
ท่าอากาศยานควบคุมเว้นแต่พนักงานของ ทอท. ทหาร หรือตำรวจ
ซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบ
เรียบร้อยและความปลอดภัยในเขตท่าอากาศยานควบคุม หรือพนักงานของ ทอท. ทหาร หรือ
ตำรวจ
ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในเขตท่าอากาศยานควบคุมเพื่อป้องกัน
อันตรายหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นในเขตท่าอากาศยานควบคุม
เป็นผู้ติดตัวเข้าไปเพื่อประโยชน์
์ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน"
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๓
ประทวน รมยานนท์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
+----------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒
(พ.ศ. ๒๕๒๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนดว่าผู้ใดนำดอกไม้เพลิง อาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืน อาวุธโดยสภาพ สิ่งเทียม
อาวุธซึ่งมีรูปและลักษณะอันน่าจะทำให้หลงเชื่อว่าเป็นอาวุธโดยสภาพ
วัตถุระเบิด วัตถุกัดกร่อน
ก๊าซอัด วัตถุไวไฟ วัตถุที่เป็นพิษ วัตถุออกซิไดส์
หรือวัตถุกัมมันตรังสี เข้าไปในเขตท่าอากาศยาน
ควบคุม จะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน
ดังนั้น
เพื่อเป็นการยกเว้นให้พนักงาน
ของ ทอท. ทหาร หรือตำรวจ
ซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในเขต
ท่าอากาศยานควบคุม หรือพนักงานของ ทอท. ทหารหรือตำรวจ
ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องเข้า
ไปปฏิบัติหน้าที่ในเขตท่าอากาศยานควบคุมเพื่อป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นในเขต
ท่าอากาศยานควบคุมสามารถนำวัตถุดังกล่าวเข้าไปในเขตท่าอากาศยานควบคุม
เพื่อประโยชน์
ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน
จึงจำเป็นต้อง
ออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๓๓/๘๖/๑๙๕/๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๓] |
301952 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2531) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๕ (พ.ศ.๒๔๓๑)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.๒๔๒๒
-----------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๔๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ ทอท. มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินภูเก็ต
เว้นแต่กิจการบริการโทรคมนาคมการบิน บริการวิทยุเครื่องช่วยการเดินอากาศและบริการ
ควบคุมจราจรทางอากาศ
ข้อ
๒ กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๑ เป็นต้นไป
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ.๒๔๓๑
มนตรี พงษ์พานิช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
+-----------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่ในปัจจุบันสนามบินภูเก็ตเป็น
ท่าอากาศยานพาณิชย์ระหว่างประเทศ
ในส่วนภูมิภาคที่มีความสำคัญ คณะรัฐมนตรีจึงเห็นสมควร
มอบหมายให้
ทอท.เข้าดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินภูเก็ตของกรมการบินพาณิชย์
เว้นแต่กิจการบริการโทรคมนาคมการบิน
บริการวิทยุเครื่องช่วยการเดินอากาศและบริการควบคุม
จราจรทางอากาศ
เพื่อให้การดำเนินกิจการท่าอากาศยานมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
และเนื่องจากมาตรา ๙
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๔๒๒
บัญญัติให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินอนุญาตที่ประกาศกำหนด
ตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศได้ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายและกำหนดโดยกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๓๑/๑๕๘/๒๙๕/๒๙ กันยายน ๒๕๓๑] |
318751 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2531) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๔ (พ.ศ. ๒๕๓๑)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๒๒
------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการ
ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกกฎกระทรวง
ไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินหาดใหญ่
เว้นแต่กิจการบริการโทรคมนาคมการบิน
บริการวิทยุเครื่องช่วยการเดินอากาศและบริการ
ควบคุมจราจรทางอากาศ
ข้อ
๒
กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑
เป็นต้นไป
ให้ไว้
ณ วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑
บรรหาร ศิลปอาชา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
+-------------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่ในปัจจุบันสนามบินหาด
ใหญ่เป็นท่าอากาศยานพาณิชย์ระหว่างประเทศในส่วนภูมิภาคที่มีความสำคัญ คณะรัฐมนตรี
จึงเห็นสมควรมอบหมายให้ ทอท.
เข้าดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินหาดใหญ่ของ
กรมการบินพาณิชย์
เว้นแต่กิจการบริการโทรคมนาคมการบิน
บริการวิทยุเครื่องช่วยการเดิน
อากาศและบริการควบคุมจราจรทางอากาศ
เพื่อให้การดำเนินกิจการท่าอากาศยานมีความ
คล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเนื่องจากมาตรา ๙
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติให้ ทอท. มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขต
สนามบินอนุญาตที่ประกาศกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศได้ตามที่คณะรัฐมนตรี
มอบหมายและกำหนดโดยกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๓๑/๑๓๐/๘พ/๓ สิงหาคม ๒๕๓๑] |
301951 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2531) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๓ (พ.ศ.๑๕๓๑)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๑๕๑๑
-------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการ
ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๑๕๑๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวง
ไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ ทอท. มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินเชียงใหม่
เว้นแต่กิจการบริการโทรคมนาคมการบิน
บริการวิทยุเครื่องช่วยการเดินอากาศและบริการควบคุม
จราจรทางอากาศ
ข้อ
๒
กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๑๕๓๑ เป็นต้น
ให้ไว้
ณ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๑๕๓๑
บรรหาญ ศิลปอาชา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
+---------------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่ในปัจจุบันสนามบินเชียงใหม่
เป็นท่าอากาศยานพาณิชย์ระหว่างประเทศในส่วนภูมิภาคที่มีความสำคัญ
คณะรัฐมนตรีจึงเห็นสมควร
มอบหมายให้ ทอท.
เข้าดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินเชียงใหม่ของกรมการบินพาณิชย์
เว้นแต่กิจการบริการโทรคมนาคมการบิน
บริการวิทยุเครื่องช่วยการเดินอากาศ และบริการควบคุม
จราจรทางอากาศ
เพื่อให้การดำเนินการกิจการท่าอากาศยานมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
และเนื่องจากมาตรา ๙
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๑๕๑๑ บัญญัติ
ให้ ทอท.
มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินอนุญาตที่ประกาศกำหนดตามกฎหมาย
ว่าด้วยการเดินอากาศได้ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายและกำหนดโดยกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้อง
ออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๓๑/๓๒/๑พ/๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑] |
301950 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2528) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่
๒ (พ.ศ.๒๕๒๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.๒๕๒๒
--------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศ
ยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ในกฎกระทรวงนี้
"เขตท่าอากาศยานควบคุม" หมายความว่า บริเวณที่กำหนดให้เป็นเขต
ท่าอากาศยานควบคุมที่เป็นเขตหวงห้ามเฉพาะและเขตหวงห้ามเด็ดขาด
"พื้นที่หวงห้าม" หมายความว่า บริเวณในเขตท่าอากาศยานควบคุมที่เป็น
เขตหวงห้ามเฉพาะและเขตหวงห้ามเด็ดขาด
"เขตหวงห้ามเฉพาะ" หมายความว่า บริเวณที่กำหนดให้เป็นเขตหวงห้าม
เฉพาะตามข้อ ๑๓
"เขตหวงห้ามเด็ดขาด" หมายความว่า บริเวณที่กำหนดให้เป็นเขตหวงห้าม
เด็ดขาดตามข้อ ๑๓
"ลานจอด"
หมายความว่า บริเวณที่ผู้ว่าการกำหนดให้เป็นลานจอดตามข้อ ๑๗
"ทางขับ"
หมายความว่า บริเวณที่ผู้ว่าการกำหนดให้เป็นทางขับตามข้อ ๒๔
"ทางวิ่ง"
หมายความว่า บริเวณที่ผู้ว่าการกำหนดให้เป็นทางวิ่งตามข้อ ๒๔
"ยานพาหนะ" หมายความว่า รถและล้อเลื่อนทุกชนิด เว้นแต่รถไฟ รถราง
รถลากเข็นสำหรับทารก คนป่วย
หรือคนพิการ
และล้อเลื่อนขนาดเล็กที่ถือติดตัวไปได้สำหรับ
ขนสัมภาระส่วนตัว
"ทาง" หมายความว่า ทางที่ผู้ว่าการกำหนดให้เป็นทางสำหรับยานพาหนะและ
คนเดินเท้าใช้ เพื่อการสัญจรในเขตท่าอากาศยานควบคุม
"ผู้ขับขี่"
หมายความว่า ผู้ขับขี่หรือลากเข็นยานพาหนะ
"เครื่องหมาย" หมายความว่า เครื่องหมายจราจรตามกฎหมายว่าด้วยการ
จราจรทางบก
หรือเครื่องหมายอื่นใดตามที่ผู้ว่าการจะได้ประกาศกำหนด และได้ติดตั้งไว้หรือทำ
ให้ปรากฏสำหรับให้ผู้ขับขี่หรือคนเดินเท้าปฏิบัติตามเครื่องหมายนั้นในเขตท่าอากาศยานควบคุม
"สัญญาณ" หมายความว่า สัญญาณใด ๆ ไม่ว่าจะแสดงด้วยธงไฟ ไฟฟ้า มือ
แขนเสียง
หรือด้วยวิธีอื่นใดสำหรับให้ผู้ขับขี่หรือคนเดินเท้าปฏิบัติตามสัญญาณนั้นในเขตท่า
อากาศยานควบคุม
"พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า พนักงานของ ทอท.
หรือเจ้าหน้าที่ของ
ส่วนราชการ
ซึ่งผู้ว่าการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎกระทรวงนี้
หมวด
๑
บททั่วไป
ข้อ ๒
ภายใต้บังคับข้อกำหนดของกฎกระทรวงนี้ ให้คณะกรรมการมีอำนาจ
ออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ได้ ในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑)
การเข้าออกหรืออยู่ในพื้นที่หวงห้าม
(๒)
กิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามกฎกระทรวงนี้
ข้อ ๓ ห้ามมิให้ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เปลี่ยนแปลง เคลื่อนย้าย
ขีดเขียน
หรือทำให้ไร้ประโยชน์
ซึ่งเครื่องหมายหรือสัญญาณที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ติดตั้งไว้หรือ
ทำให้ปรากฏในเขตท่าอากาศยานควบคุม
ข้อ ๔
ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำ ติดตั้ง หรือทำให้ปรากฏ
ซึ่งเครื่องหมายหรือสัญญาณในเขตท่าอากาศยานควบคุม
เครื่องหมายหรือสัญญาณที่ทำ
ติดตั้ง หรือทำให้ปรากฏในเขตท่าอากาศยาน
ควบคุมโดยฝ่าฝืนกฎกระทรวงนี้
พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจรื้อถอนหรือทำให้สิ้นไปซึ่งเครื่อง
หมายหรือสัญญาณนั้นได้
หมวด ๒
เขตท่าอากาศยานควบคุม
ข้อ ๕
เขตท่าอากาศยานควบคุม ได้แก่ เขตที่กำหนดให้เป็นบริเวณสนามบิน
ของเขตท่าอากาศยานต่าง ๆ
ตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา
๔ (๑) แห่งพระราช
บัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๒
ข้อ
๖
ผู้ใดเข้าไปในเขตท่าอากาศยานควบคุมจะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
ปฏิบัติตามเครื่องหมายหรือสัญญาณที่พนักงานเจ้าหน้าที่ติดตั้งไว้
หรือทำให้ปรากฏ
(๒)
วางสิ่งของที่ตนนำเข้าไปไว้ใกล้ตัว หรือในที่ที่จัดไว้เพื่อการนั้น
(๓)
เทหรือทิ้งสิ่งของ
หรือเศษของสิ่งของ หรือของเสียอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงในที่ที่จัดไว้เพื่อการนั้น
(๔)
ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะในห้องสุขาให้สะอาดเรียบร้อย
ข้อ ๗
ผู้ใดเข้าไปในเขตท่าอากาศยานควบคุมจะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงาน
เจ้าหน้าที่ก่อน จึงจะปฏิบัติดังต่อไปนี้ได้
(๑)
นำอาหารหรือสิ่งของใด ๆ เข้าไปจำหน่ายหรือจ่ายแจก
(๒)
ถ่ายภาพ ถ่ายทำภาพยนตร์ หรือถ่ายทำเทปบันทึกภาพ ซึ่งมิใช่เพื่อ
การส่วนตัว
(๓)
ติดตั้ง ต่อเติม แก้ไข ปรับแต่ง
หรือโยกย้ายเครื่องมือสื่อสาร
โทรคมนาคม สายสื่อสาร สายส่งกำลัง หรือสายอากาศชนิดใด ๆ
(๔)
ต่อเติม แก้ไข ปรับแต่ง โยกย้าย หรือกระทำด้วยประการใด
ๆ
ต่อหรือเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม สายสื่อสาร สายส่งกำลัง สายอากาศอุปกรณ์หรือ
สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นใดของ ทอท.
(๕)
นำดอกไม้เพลิง อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน
อาวุธโดยสภาพสิ่งเทียมอาวุธ
ซึ่งมีรูปและลักษณะอันน่าจะทำให้หลงเชื่อว่าเป็นอาวุธโดยสภาพ วัตถุระเบิด วัตถุกัดกร่อน
ก๊าซอัด
วัตถุไวไฟ
วัตถุที่เป็นพิษ
วัตถุอ๊อกซิไดส์
หรือวัตถุกัมมันตภาพรังสีเข้าไปในเขต
ท่าอากาศยานควบคุม
(๖)
นำสัตว์ใด ๆ
เข้าไปในเขตท่าอากาศยานควบคุม เว้นแต่เขตที่กำหนดไว้
สำหรับสัตว์ หรือเขตที่อนุญาตให้นำสัตว์เข้าไปได้
(๗)
เล่นกีฬา จัดงานเลี้ยง งานออกร้าน หรืองานพิธีอื่นใด
(๘)
เด็ดใบ ดอก หรือผลของต้นไม้ซึ่งปลูกไว้
หรือกระทำด้วยประการใด ๆ
ให้เกิดความเสียหายแก่ต้นไม้นั้น ๆ
การขออนุญาตและการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้ว่าการ
กำหนด
ข้อ
๘
ในเขตท่าอากาศยานควบคุมห้ามมิให้ผู้ใดปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
ขีด เขียน หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใด ๆ
ซึ่งข้อความ ภาพ
หรือรูปรอยใด
ๆ ลงบนทาง รั้ว กำแพง ผนังอาคาร ต้นไม้ หรือทรัพย์สินอื่นของ ทอท. เว้นแต่
เป็นการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่
(๒)
ติดแผ่นป้ายโฆษณานอกที่ที่จัดไว้
(๓)
ประกาศหรือโฆษณาด้วยเสียง
แผ่นป้าย
หรือด้วยวิธีอื่นใดอันเป็นการ
แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
(๔)
ใช้สถานที่ที่จัดไว้สำหรับบริการแก่ผู้โดยสารอากาศยานและผู้มารับ
มาส่งผู้โดยสารอากาศยานเป็นที่หลับนอนโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
(๕)
นำสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เข้าไปดื่มนอกสถานที่ที่จัดไว้
(๖)
กระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนผู้โดยสารอากาศยานหรือผู้อื่น
ให้ได้รับความเดือดร้อนรำคาญ
หรือทำให้ผู้โดยสารเกิดความสับสนเกี่ยวกับเรื่องเที่ยวบิน
ข้อ
๙
ห้ามมิให้ผู้ใดขับขี่ยานพาหนะที่มีลักษณะดังต่อไปนี้เข้าไปในเขต
ท่าอากาศยานควบคุม
(๑)
ยานพาหนะที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง หรืออาจเกิดอันตราย หรืออาจทำให้
เสื่อมเสียสุขภาพอนามัย
(๒)
ยานพาหนะที่ผู้ขับขี่ไม่อาจแลเห็นทางได้เพียงพอแก่ความปลอดภัย
(๓)
ยานพาหนะที่มีหรือทำให้เกิดเสียงอื้ออึง หรือมีสิ่งลากถูไปบนทาง
(๔)
ยานพาหนะรับจ้างที่ไม่มีผู้โดยสารหรือไม่ได้ขนส่งสิ่งของ เว้นแต่จะได้รับ
อนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ข้อ
๑๐ ในเขตท่าอากาศยานควบคุม
ผู้ขับขี่จะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่
(๒)
ขับขี่ยานพาหนะด้วยความระมัดระวัง และด้วยความเร็วไม่เกินอัตราที่
กำหนด
(๓)
ใช้เสียงสัญญาณเฉพาะเท่าที่จำเป็น
(๔)
จัดให้มีสิ่งป้องกันมิให้คนโดยสาร
สัตว์
หรือสิ่งของที่บรรทุกมาใน
ยานพาหนะนั้นตกหล่น รั่วไหล
ส่งกลิ่นหรือเสียง ส่องแสงสะท้อน
หรือปลิวไปจากยานพาหนะ
อันอาจก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญ ทำให้เขตท่าอากาศยานควบคุมสกปรกเปรอะเปื้อน ทำให้เสื่อม
เสียสุขภาพอนามัยแก่ประชาชน
หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สิน
(๕)
หยุดหรือจอดยานพาหนะในที่ที่กำหนดไว้
และไม่หยุดหรือจอดในลักษณะ
ที่กีดขวางทางหรือในที่ห้ามหยุดหรือจอด
(๖)
นำยานพาหนะที่รับขนคนโดยสารหรือสิ่งของออกจากเขตท่าอากาศยาน
ควบคุมในทันทีที่ได้ส่งคนโดยสารหรือสิ่งของแล้ว
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้จอดรอได้
(๗)
รีบแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบโดยทันทีที่ยานพาหนะของตนชำรุดหรือ
ขัดข้องทำให้ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้
หรือเกิดอุบัติเหตุในเขตท่าอากาศยานควบคุม
(๘)
เคลื่อนย้ายยานพาหนะที่ชำรุดหรือหักพัง
หรือเครื่องยนต์หรืออุปกรณ์
ขัดข้อง ให้พ้นจากทางโดยเร็ว และจัดการเก็บสิ่งของที่ตกหล่นอยู่ออกจากทางหากไม่สามารถ
เคลื่อนย้ายได้ให้รีบแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบทันที
ข้อ
๑๑ ในเขตท่าอากาศยานควบคุม
ห้ามมิให้ผู้ใดขับขี่ยานพาหนะ
(๑)
ในลักษณะกีดขวางทาง
(๒)
ในลักษณะน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินหรือ
โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น
(๓)
ในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับขี่ยานพาหนะ
(๔)
ในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น
(๕)
ในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยของการขับขี่ยานพาหนะชนิดนั้น
(๖)
ในลักษณะที่ไม่อาจแลเห็นทางด้านหน้าหรือด้านหลัง ด้านใดด้านหนึ่งหรือ
ทั้งสองด้านได้พอแก่ความปลอดภัย
ข้อ
๑๒
เมื่อปรากฏว่ามีการขับขี่ยานพาหนะที่มีลักษณะตามข้อ ๙ เข้าไปในเขต
ท่าอากาศยานควบคุม
หรือผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามข้อ
๑๐ หรือฝ่าฝืนข้อ ๑๑
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่
มีอำนาจตักเตือนให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติเสียให้ถูกต้อง
ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตักเตือนแล้วผู้ขับขี่ยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง
พนักงาน
เจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้ขับขี่เคลื่อนย้ายยานพาหนะนั้น หรือสั่งให้นำยานพาหนะนั้นออกไปจาก
เขตท่าอากาศยานควบคุมได้ ถ้าผู้นั้นไม่อยู่ หรืออยู่แต่ไม่ปฏิบัติตามให้พนักงานเจ้าหน้าที่มี
อำนาจเคลื่อนย้ายยานพาหนะ
หรือนำยานพาหนะไปเก็บไว้ในสถานที่ที่พนักงานเจ้าหน้าที่เห็น
สมควรได้
การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตักเตือนตามวรรคหนึ่ง หรือเคลื่อนย้ายยานพาหนะ
ตามวรรคสอง
ไม่เป็นเหตุให้ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพ้นจากความผิดตามมาตรา ๔๘
หมวด
๓
พื้นที่หวงห้าม
ข้อ ๑๓ บริเวณใดในพื้นที่หวงห้ามจะเป็นเขตหวงห้ามเฉพาะหรือเขตหวงห้าม
เด็ดขาด
ให้เป็นไปตามข้อบังคับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยว่าด้วยการเข้าออกหรืออยู่ใน
พื้นที่หวงห้าม
โดยจะต้องจัดให้มีเครื่องหมายแสดงเขตหวงห้ามเฉพาะหรือเขตหวงห้ามเด็ดขาด
ไว้โดยชัดแจ้ง
ข้อ ๑๔ ภายใต้บังคับข้อ ๑๕ และข้อ ๑๖
ห้ามมิให้ผู้ใดหรือยานพาหนะใดเข้า
ออกหรืออยู่ในพื้นที่หวงห้าม
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
การขออนุญาตและการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่
คณะกรรมการกำหนด
ข้อ
๑๕
ผู้โดยสารอากาศยานหรือเจ้าหน้าที่ประจำอากาศยานซึ่งเดินทางเข้ามา
หรือจะเดินทางออกไปกับอากาศยาน และได้แสดงหนังสือเดินทางของตนหรือเอกสารอื่นตาม
กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง แล้วแต่กรณี
ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว
ให้ได้รับอนุญาตเข้าออก
ตามช่องทางเข้าออกที่ได้กำหนดไว้
หรืออยู่ในเขตหวงห้ามเฉพาะได้เป็นการชั่วคราว
ช่องทางเข้าออกตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามข้อบังคับการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทยว่าด้วยการเข้าออกหรืออยู่ในพื้นที่หวงห้าม
ข้อ
๑๖
ยานพาหนะที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าออกหรืออยู่ในพื้นที่หวงห้ามได้จะ
ต้องเป็นยานพาหนะของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
หรือนิติบุคคลที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือยาน
พาหนะที่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการเป็นการเฉพาะราย
ส่วนที่ ๑
ลานจอด
ข้อ
๑๗ ลานจอดได้แก่
บริเวณในเขตหวงห้ามเฉพาะที่ผู้ว่าการกำหนดให้เป็น
เขตลานจอดของอากาศยาน
ข้อ
๑๘ ผู้ใดเข้าไปในลานจอด
เมื่อปฏิบัติหน้าที่เสร็จแล้วจะต้องออกจากลาน
จอดทันที
ข้อ
๑๙
ในลานจอดห้ามมิให้ผู้ใดปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
สูบบุหรี่หรือทำให้เกิดประกายไฟ
(๒)
วางหรือติดตั้งวัตถุหรือสิ่งของอันอาจกีดขวางต่อการสัญจร หรืออาจก่อให้
เกิดอันตรายแก่อากาศยาน หากมีความจำเป็นจะต้องวางหรือติดตั้งวัตถุหรือสิ่งของใด ๆ
จะต้อง
ขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน
และจะต้องจัดหาสัญญาณไฟและธงตามที่พนักงาน
เจ้าหน้าที่กำหนดติดไว้โดยรอบให้เห็นเด่นชัด
เมื่อหมดความจำเป็นแล้วให้รีบนำวัตถุหรือสิ่งของ
ดังกล่าวและสัญญาณไฟและธงนั้นออกไปจากลานจอดโดยเร็วที่สุด
(๓)
กีดขวางการสัญจรของอากาศยานที่กำลังเข้าลานจอด หรือกำลังจะออกจาก
ลานจอด
(๔)
เข้าใกล้อากาศยานที่จอดอยู่ในระยะน้อยกว่าที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
เว้นแต่เป็นการเข้าไปเพื่อเดินทางไปกับอากาศยานนั้น
(๕)
ผ่านด้านหลังของอากาศยานในระยะน้อยกว่าที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดใน
ขณะที่อากาศยานเริ่มติดเครื่องยนต์ หรือกำลังเข้าลานจอด
(๖)
เข้าไปในบริเวณที่ ทอท. กำหนดขอบเขตไว้เพื่อปฏิบัติการทางด้านการ
รักษาความปลอดภัยข้อห้ามตาม (๔) (๕) และ (๖)
ให้ยกเว้นได้เฉพาะผู้ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้อง
เท่านั้น
ข้อ
๒๐
ผู้ใดจะขับขี่ยานพาหนะในลานจอดได้จะต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตเป็น
หนังสือจากพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ขับขี่ยานพาหนะในลานจอดได้เท่านั้น และจะต้องมีหนังสือ
อนุญาตดังกล่าวไว้กับตนตลอดเวลาที่ขับขี่ยานพาหนะในลานจอด
การขออนุญาต การอนุญาต และแบบของหนังสืออนุญาตตามวรรคหนึ่งให้เป็น
ไปตามระเบียบที่ผู้ว่าการกำหนด
ข้อ
๒๑
ยานพาหนะที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในลานจอดได้ จะต้องมีสภาพ
เครื่องอุปกรณ์
ส่วนควบ
รวมทั้งระบบต่าง ๆ
ของยานพาหนะเรียบร้อยสมบูรณ์ล้อและส่วน
ประกอบต่าง ๆจะต้องไม่สกปรก หรือมีเศษดิน เศษหิน
หรือเศษวัตถุอื่นใดติดเข้าไปในลานจอด
ในกรณีบรรทุกคนโดยสารอากาศยาน สัตว์ หรือสิ่งของ
จะต้องบรรทุกให้คน
โดยสารอากาศยานได้รับความสะดวกและปลอดภัย และบรรทุกสัตว์หรือสิ่งของไว้อย่างมั่นคง
แข็งแรง
ไม่ตกหล่น รั่วไหล ส่งกลิ่นหรือเสียง ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจากยานพาหนะ
จนอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
ข้อ
๒๒
ผู้ใดขับขี่ยานพาหนะในลานจอดจะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
หยุดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประจำช่องทางเข้าออกตรวจสอบความเรียบร้อย
พร้อมทั้งลงหลักฐานการเข้าออกให้ถูกต้องทุกครั้งที่นำยานพาหนะผ่านเข้าลานจอดหรือออกจาก
ลานจอด
(๒)
หยุดรอโดยไม่ให้กีดขวางทาง เพื่อให้ผู้โดยสารอากาศยานพนักงาน
เจ้าหน้าที่ หรือยานพาหนะอื่น ซึ่งกำลังข้ามลานจอดผ่านพ้นไปก่อน
(๓)
รีบนำยานพาหนะออกนอกเส้นทางทันทีที่ยานพาหนะเกิดขัดข้องจนไม่อาจ
ขัดข้องจนไม่อาจขับเคลื่อนต่อไปได้
ถ้าไม่สามารถดำเนินการได้ให้รีบแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่
ทราบโดยเร็วที่สุด
(๔)
นำยานพาหนะเข้าจอดทันทีที่ปฏิบัติงานเสร็จและต้องจอดยานพาหนะ
ภายในเขตที่กำหนดไว้ให้เป็นที่จอดเท่านั้น
(๕)
เปิดไฟจอดไว้ตลอดเวลาที่ต้องจอดยานพาหนะพักรอขณะปฏิบัติงานใน
เวลากลางคืน
(๖)
เปิดไฟต่ำไว้ตลอดเวลาในเมื่อทัศนวิสัยไม่ดี มีหมอก หรือฝนตกหนัก ทั้งนี้
ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางคืนหรือกลางวัน
ข้อ
๒๓ ในลานจอดห้ามมิให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
ลากจูงยานพาหนะเกินจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
(๒)
ขับขี่ยานพาหนะออกนอกเส้นทาง หรือเข้าใกล้อากาศยานที่จอดอยู่ในระยะ
น้อยกว่าที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
เว้นแต่เป็นการจำเป็นเพื่อเข้าไปให้บริการกับอากาศยานนั้น
(๓)
แซงยานพาหนะคันอื่นที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ข้างหน้า เว้นแต่กรณีจำเป็น
(๔)
ขับขี่ยานพาหนะตามยานพาหนะคันหน้าในระยะกระชั้นชิดจนน่าจะเกิด
อันตราย
(๕)
ตัดหน้าอากาศยานที่กำลังเคลื่อนที่ในระยะน้อยกว่าที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
(๖)
ขับขี่ยานพาหนะผ่านอากาศยานที่จอดอยู่และเริ่มติดเครื่องยนต์ โดยผ่าน
ด้านหน้าและด้านหลังในระยะน้อยกว่าที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
เว้นแต่ผู้ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้อง
(๗)
ถอยหลังหรือกลับยานพาหนะโดยไม่จำเป็น
ส่วนที่
๒
ทางขับ
ทางวิ่ง
ข้อ
๒๔
ทางขับและทางวิ่งได้แก่บริเวณในเขตหวงห้ามเฉพาะที่ผู้ว่าการกำหนด
ให้เป็นเขตทางขับเคลื่อนของอากาศยานหรือเขตทางขึ้นลงของอากาศยาน
แล้วแต่กรณี
ข้อ
๒๕ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกหรืออยู่ในทางขับหรือทางวิ่ง เว้นแต่บุคคลดังต่อไปนี้
(๑)
ผู้ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องหรืออำนวยความสะดวกในการขับเคลื่อนหรือการขึ้น
ลงของอากาศยาน
(๒)
ผู้ซึ่งมีหน้าที่บำรุงรักษาหรือซ่อมแซมทางขับทางวิ่ง อุปกรณ์หรือสิ่งอำนวย
ความสะดวกต่าง ๆ
ในการขับเคลื่อนหรือขึ้นลงของอากาศยานที่อยู่ในทางขับหรือทางวิ่ง
(๓)
ผู้ซึ่งมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในทางขับหรือทางวิ่ง
(๔)
ผู้ซึ่งมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดเหตุ หรืออุบัติเหตุในทางขับ
หรือทางวิ่ง
(๕)
ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการเป็นการเฉพาะราย
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๒๖ ให้บรรดามติของคณะกรรมการ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง หรือ
ประกาศเกี่ยวกับการควบคุม การปรับปรุง
และการให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่
กิจการท่าอากาศยานในเขตท่าอากาศยานที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
คงใช้บังคับ
ได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวงนี้
จนกว่าจะได้มีข้อบังคับหรือระเบียบตาม
กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
ให้ไว้
ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๘
บุญเทียม
เขมาภิรัตน์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
+------------------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
เนื่องจากเป็นการสมควรกำหนด
ให้มีการควบคุม การปรับปรุง
และการให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศ
ยานในเขตท่าอากาศยาน และโดยที่มาตรา ๔ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติให้การควบคุม การปรับปรุง
และการให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานในเขตท่าอากาศยาน
ต้องออกเป็นกฎกระทรวง
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๒๘/๙๐/๑พ./๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘] |
318750 | กฎกระทรวง (พ.ศ.2524) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 | กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
(พ.ศ.
๒๕๒๔)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๒๒
------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยาน
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ให้กำหนดเขตท่าอากาศยานกรุงเทพ
ในพื้นที่สนามบินดอนเมืองของกองทัพอากาศ
และบริเวณใกล้เคียง ในท้องที่แขวงตลาดบางเขน เขตบางเขน
กรุงเทพมหานคร ดังต่อไปนี้
(๑)
บริเวณสนามบินดอนเมือง มีเขตดังนี้
ด้านเหนือ
ตั้งแต่หลักเขตที่ ๑ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออกตรง กม. ๒๕.๔๖๓ ตามแนวเส้นตั้งฉากระยะ ๓๐ เมตร
เป็นเส้นตรงไปทาง
ทิศตะวันออก ระยะ ๓๔๕ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๕.๕๖๕ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๓๖๐
เมตร
จากหลักเขตที่
๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๔๖๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๖.๐๒๙
ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๓๕๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๓ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ระยะ ๖๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๔
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๖.๐๓๑
ตามแนวเส้นตั้งฉากระยะ ๔๑๒ เมตร
จากหลักเขตที่
๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๓๔๘ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๕ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๕.๖๘๓
ตามแนวเส้นตั้งฉากระยะ ๔๔๘ เมตร
จากหลักเขตที่
๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ระยะ ๒๘๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๖ ซึ่งตั้งอยู่ฟากเหนือของถนนจันทรุเบกษา ตรง
กม. ๐.๕๒๐
จากหลักเขตที่
๖ เลียบถนนจันทรุเบกษา ฟากเหนือ ไปทางทิศตะวันออก
ถึงหลักเขตที่ ๗ ซึ่งตั้งอยู่ฟากเหนือของถนนจันทรุเบกษา ตรง
กม. ๐.๗๙๒
จากหลักเขตที่
๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๒๒๘ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๘ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๕.๕๒๕ ตาม
แนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๙๙๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๘ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๒๕๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๙
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๕.๗๒๑
ตามแนวเส้นตั้งฉากระยะ ๘๓๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ระยะ ๔๙๐ เมตร ถึงหลัก
เขตที่ ๑๐ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๕.๘๑๙
ตามแนวเส้นตั้งฉากระยะ ๑๒๖๘ เมตร
ด้านตะวันออก
จากหลักเขตที่ ๑๐ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ระยะ ๔๘๓๐ เมตรถึงหลักเขตที่ ๑๑
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันออก
ตรง กม. ๒๑.๑๖๔ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๑๒๑๘ เมตร
ด้านใต้
จากหลักเขตที่ ๑๑ เป็นเส้นตรงเลียบแนวเขตรั้วกองทัพอากาศด้านใต้
ไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๗๒ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๒
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาว
ดีรังสิต ฟากตะวันออก ตรงกม. ๒๑.๑๓๑ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ
๑๑๔๘ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๒ เป็นเส้นตรงเลียบแนวเขตรั้วกองทัพอากาศด้านใต้ ไปทาง
ทิศเหนือ ระยะ ๖๔ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๓
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออก ตรง กม.๒๑.๑๙๔ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๑๑๓๖
เมตร
จากหลักเขตที่
๑๓ เป็นเส้นตรงเลียบแนวเขตรั้วกองทัพอากาศด้านใต้ ไปทาง
ทิศตะวันตก ระยะ ๒๑๕ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๔
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๑.๑๕๕ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๙๒๕
เมตร
จากหลักเขตที่
๑๔ เป็นเส้นตรงเลียบแนวเขตรั้วกองทัพอากาศด้านใต้ ไปทาง
ทิศใต้ ระยะ ๙๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๕
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๑.๐๖๖ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๙๓๖
เมตร
จากหลักเขตที่
๑๕ เป็นเส้นตรงเลียบแนวเขตรั้วกองทัพอากาศด้านใต้ ไปทาง
ทิศตะวันตก ระยะ ๒๗๔ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๖
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๐.๙๙๒ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๖๗๔
เมตร
จากหลักเขตที่
๑๖ เป็นเส้นตรงเลียบแนวเขตรั้วกองทัพอากาศด้านใต้ ไปทาง
ทิศเหนือระยะ ๓๙ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๗
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๑.๐๒๙ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๖๖๘
เมตร
จากหลักเขตที่
๑๗ เป็นเส้นตรงเลียบแนวเขตรั้วกองทัพอากาศด้านใต้ ไปทาง
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะ ๓๑๘ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๘
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนน
วิภาวดีรังสิต ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๑.๐๐๗
ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๓๕๑ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๘ เป็นเส้นตรงเลียบแนวเขตรั้วกองทัพอากาศด้านใต้ ไปทาง
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๘๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๑๙
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนน
วิภาวดีรังสิต ฟากตะวันออกตรง กม. ๒๑.๐๘๘ ตามแนวเส้นตั้งฉาก
ระยะ ๓๔๘ เมตร
จากหลักเขตที่
๑๙ เป็นเส้นตรงเลียบแนวเขตรั้วกองทัพอากาศด้านใต้ ไปทาง
ทิศตะวันตก ระยะ ๓๐๐ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๐
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๑.๐๗๒ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๔๘ เมตร
ด้านตะวันตก
จากหลักเขตที่ ๒๐ เป็นเส้นขนาน ระยะ ๔๘ เมตร กับศูนย์กลาง
ถนนวิภาวดีรังสิต ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๓๘๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๑ ซึ่งตั้งอยู่
่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันออก ตรง กม.
๒๑.๔๕๘ ตามแนวเส้นตั้งฉาก
ระยะ ๔๘ เมตร
จากหลักเขตที่
๒๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๑๕ เมตร ถึงหลักเขตที่
๒๒ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๑.๔๕๘ ตามแนวเส้น
ตั้งฉาก ระยะ ๓๓ เมตร
จากหลักเขตที่
๒๒ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๕๐๐
เมตร ถึงหลักเขตที่ ๒๓
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันออก ตรง กม.
๒๑.๙๖๒ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๕๐ เมตร
จากหลักเขตที่
๒๓ เป็นเส้นตรงตามแนวเส้นตั้งฉากกับศูนย์กลางถนนวิภาวดี
รังสิต ฟากตะวันออก ไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๒๙ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๒๔ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจาก
ศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันออก ตรง กม. ๒๑.๙๖๒
ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๒๑
เมตร
จากหลักเขตที่
๒๔ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะ ๓๕๐๑
เมตร บรรจบกับหลักเขตที่ ๑
(๒)
บริเวณสถานีกำจัดน้ำโสโครก มีเขตดังนี้
ด้านเหนือ
ตั้งแต่หลักเขตที่ ๒๕ ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเปรมประชากร ฝั่งตะวันออก
ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันตก ตรง กม.
๒๕.๙๓๘ ตามแนวเส้นตั้งฉาก
ระยะ ๕๐๙ เมตร เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ถึงหลักเขตที่
๒๖ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลาง
ถนนวิภาวดีรังสิตฟากตะวันตก ตรง กม. ๒๖.๐๐๐
ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๓๙๐ เมตร
ด้านตะวันออก
จากหลักเขตที่ ๒๖ เป็นเส้นขนาน ระยะ ๗๑๗ เมตร กับทาง
รถไฟสายเหนือไปทางทิศใต้ ถึงหลักเขตที่ ๒๗
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟาก
ตะวันตก ตรง กม. ๒๕.๓๕๖ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๑๐๙ เมตร
ด้านใต้
จากหลักเขตที่ ๒๗ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ถึงหลักเขตที่ ๒๘
ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเปรมประชากร ฝั่งตะวันออก
ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันตก
ตรง กม. ๒๕.๓๔๕ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๒๒๔ เมตร
ด้านตะวันตก
จากหลักเขตที่ ๒๘ เลียบริมคลองเปรมประชากร ฝั่งตะวันออกไป
ทางทิศเหนือ บรรจบกับหลักเขตที่ ๒๕
(๓)
บริเวณโรงไฟฟ้า มีเขตดังนี้
ด้านเหนือ
ตั้งแต่หลักเขตที่ ๒๙ ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเปรมประชากร ฝั่งตะวันออก
ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันตก ตรง กม.
๒๔.๘๒๕ ตามแนวเส้นตั้งฉาก
ระยะ ๒๓๔ เมตร เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ถึงหลักเขตที่
๓๐ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลาง
ถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันตก ตรง กม. ๒๔.๘๓๖ ตามแนวเส้นตั้งฉาก
ระยะ ๑๐๙ เมตร
ด้านตะวันออก
จากหลักเขตที่ ๓๐ เป็นเส้นขนาน ระยะ ๑๐๙ เมตร กับถนน
วิภาวดีรังสิต ไปทางทิศใต้ ระยะ ๕๕๑ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๓๑
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนน
วิภาวดีรังสิต ตรง กม. ๒๔.๒๗๔ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๑๐๙
เมตร
ด้านใต้
จากหลักเขตที่ ๓๑ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ถึงหลักเขตที่ ๓๒
ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเปรมประชากร ฝั่งตะวันออก
ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันตก
ตรง กม. ๒๔.๒๗๔ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๒๓๔ เมตร
ด้านตะวันตก
จากหลักเขตที่ ๓๒ เลียบริมคลองเปรมประชากร ฝั่งตะวันออกไป
ทางทิศเหนือ บรรจบกับหลักเขตที่ ๒๙
(๔)
บริเวณที่ทำการฝ่ายประปา มีเขตดังนี้
ด้านเหนือ
ตั้งแต่หลักเขตที่ ๓๓ ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเปรมประชากร ฝั่งตะวันออก
ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันตก ตรง กม.
๒๓.๙๑๐ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ
๓๔ เมตร
เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออก ถึงหลักเขตที่ ๓๔ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนน
วิภาวดีรังสิต ฟากตะวันตก ตรง กม. ๒๓.๙๑๐ ตามแนวเส้นตั้งฉาก
ระยะ ๘๘ เมตร
ด้านตะวันออก
จากหลักเขตที่ ๓๔ เป็นเส้นขนาน ระยะ ๘๘ เมตร กับถนน
วิภาวดีรังสิต ฟากตะวันตก ไปทางทิศใต้ ระยะ ๑๑๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๕ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจาก
ศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันตก ตรง กม. ๒๓.๘๐๖
ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๘๘
เมตร
ด้านใต้
จากหลักเขตที่ ๓๕ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๑๖๐ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๓๖ ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเปรมประชากร
ฝั่งตะวันออก ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดี
รังสิต ฟากตะวันตกตรง กม. ๒๓.๘๓๘ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ
๒๓๔ เมตร
ด้านตะวันตก
จากหลักเขตที่ ๓๖ เลียบริมคลองเปรมประชากร ฝั่งตะวันออกไปทาง
ทิศเหนือระยะ ๙๐ เมตร บรรจบกับหลักเขตที่ ๓๓
(๕)
บริเวณคลังเชื้อเพลิง มีเขตดังนี้
ด้านเหนือ
ตั้งแต่หลักเขตที่ ๓๗ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันตกตรง กม. ๒๒.๒๐๑ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๑๘๒ เมตร
เป็นเส้นตรงไปทาง
ทิศตะวันออก ระยะ ๑๐๔ เมตร ถึงหลักเขตที่ ๓๘
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต
ฟากตะวันตก ตรง กม. ๒๒.๒๐๑ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๘๐ เมตร
ด้านตะวันออก
จากหลักเขตที่ ๓๘ เป็นเส้นขนานระยะ ๘๐ เมตร กับถนนวิภาวดี
รังสิต ฟากตะวันตก ระยะ ๒๓๐ เมตร ไปทางทิศใต้ ถึงหลักเขตที่
๓๙ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลาง
ถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันตก ตรง กม. ๒๑.๙๗๐
ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๘๐ เมตร
ด้านใต้
จากหลักเขตที่ ๓๙ เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตก ระยะ ๑๐๔ เมตร
ถึงหลักเขตที่ ๔๐
ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางถนนวิภาวดีรังสิต ฟากตะวันตก ตรงหลัก กม.
๒๑.๙๗๐ ตามแนวเส้นตั้งฉาก ระยะ ๑๘๒ เมตร
ด้านตะวันตก
จากหลักเขตที่ ๔๐ เป็นเส้นขนาน ระยะ ๑๘๒ เมตร กับถนน
วิภาวดีรังสิต ไปทางทิศเหนือ ระยะ ๒๓๐ เมตร
บรรจบกับหลักเขตที่ ๓๗
ดังปรากฏในแผนที่ท้ายกฎกระทรวงนี้
ตามเส้นแนวเขตที่กล่าวไว้
ให้มีหลักย่อยปักไว้เพื่อแสดงแนวเขตตามสมควร
ให้ไว้
ณ วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๔
ชุมพล ศิลปอาชา
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
+---------------------------------------------------------------------------------------------+
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
โดยที่สมควรกำหนดเขต
ท่าอากาศยานกรุงเทพเพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการท่าอากาศยาน
ซึ่งตามมาตรา ๔ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒
กำหนดให้รัฐมนตรี
ีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าอากาศยานได้
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
[รก.๒๕๒๔/๑๓๕/๑พ./๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๔] |
320594 | ประกาศบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด เรื่อง อำนาจหน้าที่ที่สำคัญและวิธีดำเนินการของบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด | ประกาศ
ประกาศ
บริษัท
ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด
เรื่อง
อำนาจหน้าที่ที่สำคัญและวิธีการดำเนินการของ
บริษัท
ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด
------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของ
ทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
จึงขอประกาศอำนาจหน้าที่ที่สำคัญและวิธีการดำเนินการของบริษัท
ท่ากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด ดังต่อไปนี้
บริษัท
ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) เป็นรัฐวิสาหกิจใน
สังกัดกระทรวงคมนาคม
จัดตั้งขึ้นตามมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๘
มีอำนาจหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการดำเนินการก่อสร้างและบริหารโครงการท่าอากาศยานสากล
กรุงเทพแห่งที่สอง ณ อำเภอบางพลี
จังหวัดสมุทรปราการมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัด
กระทรวงคมนาคม โดย บทม. ได้จดทะเบียนเลขที่ (๑) ๕๓๑/๒๕๓๙
เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๕๓๙ มีทุนจดทะเบียน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
กระทรวงการคลังถือหุ้น ร้อยละ
๔๘.๖๑ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยถือหุ้นร้อยละ ๕๑.๓๙
วิธีการดำเนินงานของ
บทม. ไม่ต้องนำคำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะ
รัฐมนตรีที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจทั้งไปมาใช้บังคับ ยกเว้น
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีต่อไปนี้
๑.
มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่องหลักเกณฑ์การกำหนดผลประโยชน์ตอบแทน
คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และเรื่องหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำของรัฐ
วิสาหกิจ
๒.
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการ
หรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. ๒๕๐๔
เพื่อให้มีหน่วยงานหลายฝ่ายเข้ามาดูแลในเรื่องวิธีการ
จำหน่ายและราคาหุ้นที่เหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นที่แน่ใจว่า
บริษัทฯ ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์
แก่รัฐสูงสูด
๓.
ระเบียบการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้
บริษัท ฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ
กู้เงินต่างประเทศภายใต้กฎเกณฑ์และวินัยทางการคลังของ
ประเทศในขณะที่ยังมีสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ
๔.
ต้องมีผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นกรรมการในบริษัท ฯ อย่างน้อย ๑ คน
ตามระเบียบว่าด้วยการบัญชีและการเงินของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.
๒๕๓๐ ข้อ ๒๘
๕.
มีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบบัญชี ตามพระราชบัญญัติการตรวจ
เงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๒๒
และตามระเบียบว่าด้วยการบัญชีและการเงินของรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๒๐ ข้อ ๑๙
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๑
ปรีติ เหตระกูล
กรรมการผู้จัดการใหญ่
[รก.๒๕๔๑/พ๗๔ง/๑๑๒/๒๖ สิงหาคม ๒๕๔๑] |
318756 | ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหมในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมืองของกรมการบินพลเรือนไปเป็นของการท่าอากาศยานฯ | ประกาศกระทรวงกลาโหม
ประกาศกระทรวงกลาโหม
เรื่อง
ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณ
ของกองทัพอากาศ
กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม
ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมืองของกรมการบินพลเรือน
ไปเป็นของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ครั้งที่ 2
----------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
50
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
2522
จึงให้โอนบรรดากิจการทรัพย์สิน
สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของกองทัพอากาศ กอง
บัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม
ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมืองของกรมการบินพลเรือน
ตามรายการแนบท้ายประกาศกระทรวงกลาโหมฉบับนี้
ไปเป็นของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ประกาศ ณ วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2523
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม |
301958 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ไปเป็นของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2 | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของ
กรมการบินพาณิชย์
กระทรวงคมนาคม ในส่วนที่เกี่ยวกับ
สนามบินดอนเมือง
ไปเป็นของการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย
ครั้งที่ 2
---------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
2522
จึงให้โอนบรรดากิจการทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของกรมการบินพาณิชย์
กระทรวง
คมนาคม
ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง
ตามรายการแนบท้ายประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับนี้ ไป
เป็นของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่
1 กรกฎาคม พ.ศ. 2522
เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2522
พลอากาศเอก ประสงค์ คุณะดิลก
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
รายการกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของกรมการบินพาณิชย์ กระทรวง
คมนาคม ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง
ที่โอนไปเป็นของการท่าอากาศยานแห่งประเทศ
ไทย ครั้งที่ 2 |
318755 | ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้และงบประมาณของกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ไปเป็นของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย | ประกาศกระทรวงคมนาคม
ประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง
ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณ
ของกรมการบินพาณิชย์
กระทรวงคมนาคม ในส่วนที่เกี่ยวกับ
สนามบินดอนเมือง
ไปเป็นของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
----------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2522 จึงให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้
ตลอดจนงบประมาณของกรมการบินพาณิชย์
กระทรวงคมนาคม ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง
ตามรายการแนบท้ายประกาศกระทรวงคมนาคม
ฉบับนี้ ไปเป็นของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2522 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2522
ส. บุณยคุปต์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม |
301957 | ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของกองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหมในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมืองของกรมการบินพลเรือนไปเป็นของการท่าอากาศยานฯ | ประกาศกระทรวงกลาโหม
ประกาศกระทรวงกลาโหม
เรื่อง
ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณ
ของกองทัพอากาศ
กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม
ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมืองของกรมการบินพลเรือน
ไปเป็นของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
----------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2522 จึงให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้
ตลอดจนงบประมาณของกองทัพอากาศ
กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม
ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมืองของกรมการบิน
พลเรือน ตามรายการแนบท้ายประกาศกระทรวงกลาโหมฉบับนี้
ไปเป็นของการท่าอากาศยานแห่ง
ประเทศไทย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2522
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม |
318754 | ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง ให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในสนามบินดอนเมืองของกองทัพอากาศ | ประกาศกระทรวงกลาโหม
ประกาศกระทรวงกลาโหม
เรื่อง
ให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีอำนาจดำเนินกิจการ
ท่าอากาศยานในสนามบินดอนเมืองของกองทัพอากาศ
----------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2522
จึงให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในสนามบิน
ดอนเมืองของกองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด
กระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2522 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2522
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม |
301960 | ระเบียบการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ว่าด้วย เครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง พ.ศ.2531 | ระเบียบการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ระเบียบการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ว่าด้วย
เครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง
พ.ศ.
2531
----------
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้างของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ให้เป็นระเบียบและเหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 18 (11)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2522 คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า `ระเบียบการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยเครื่องแบบพนักงาน
และลูกจ้าง พ.ศ. 2531'
ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 1 มีนาคม 2532 เป็นต้นไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิกระเบียบการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ว่าด้วย
เครื่องแบบพนักงานและลูก
จ้าง พ.ศ. 2530
ข้อ 4 ในระเบียบนี้
`ผู้ว่าการ' หมายความว่า ผู้ว่าการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
`พนักงาน' หมายความว่า พนักงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
`ลูกจ้าง' หมายความว่า ลูกจ้างประจำของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
`เครื่องแบบ' หมายความว่า
เครื่องแบบที่การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยกำหนดให้พนักงาน
และลูกจ้างแต่งตามโอกาสที่กำหนด
ข้อ 5 เครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง กำหนดไว้ 4 ประเภท ดังนี้
(1)
เครื่องแบบทั่วไป
(2)
เครื่องแบบปกติขาว
(3)
เครื่องแบบชุดปฏิบัติงาน
(4)
เครื่องแบบชุดกันหนาว
ข้อ 6 เครื่องแบบทั่วไปของพนักงานและลูกจ้างชาย ประกอบด้วย
(1) หมวก
ตัวหมวกทรงหม้อตาลสีน้ำเงินดำ ประกอบด้วย
ก. กะบังหมวก ทำด้วยหนังหรือวัสดุเทียมหนังสีดำ พื้นกะบังด้านล่างสีดำ
สำหรับ
พนักงานระดับ 6 ขึ้นไป
ที่ขอบโค้งของกะบังด้านบนปักด้วยดิ้นเงิน หรือโลหะสีเงินรูปช่อชัยพฤกษ์ ข้างละ 1
ช่อ เว้นช่วงกลางบนพื้นสักหลาดสีดำ และสำหรับพนักงานระดับ 9
ขึ้นไป ที่ขอบโค้งของกะบังด้านบนปัก
ด้วยดิ้นเงิน หรือโลหะสีเงินรูปช่อชัยพฤกษ์ ข้างละ 2 ช่อ
เว้นช่วงกลางบนพื้นสักหลาดสีดำ
ข. สายรัดคาง เป็นแถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 1.2 เซนติเมตร
ค. ดุมตรึงปลายสายรัดคาง ข้างละ 1 ดุม ใช้ดุมโลหะสีเงิน เครื่องหมาย ทอท.
ขนาดเล็ก
ง. ผ้าพันหมวกสีดำลายถัก
จ. ตราหน้าหมวก ใช้ตราหน้าหมวกขนาดใหญ่
(2) เสื้อ
ใช้เสื้อคอพับสีฟ้าอ่อน
แขนยาวหรือแขนสั้นมีกระเป๋าซึ่งไม่มีสาบปะติดที่อกเสื้อข้าง
ละ 1 กระเป๋า ปกกระเป๋าเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
มุมกระเป๋าและมุมปกกระเป๋าตัดมุมพองาม ที่ปกกระเป๋า
ขัดดุมพลาสติกสีเดียวกับเสื้อ ข้างละ 1 ดุม
ตัวเสื้อผ่าอกตลอด สาบในติดดุมตามแนวอกเสื้อ 5 ดุม เว้น
ระยะพองาม
บนบ่าเสื้อทั้งสองข้างมีอินทรธนูอ่อนสีเดียวกับเสื้อยาวตามความยาวของบ่า
ตอนปลายขัดดุม
ติดกับตัวเสื้อเพื่อใช้สอดเครื่องหมายระดับตำแหน่ง
สำหรับเสื้อแขนยาวให้ขัดดุมรัดข้อมือข้างละ 1 ดุม
ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ให้ประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ที่อกเสื้อเหนือกระเป๋าซ้าย
และประดับเครื่องหมายแสดงความสามารถตามระเบียบของเครื่องหมาย
นั้น ๆ
(3) กางเกง
ใช้กางเกงสีน้ำเงินดำ ไม่พับปลายขา ความยาวระดับตาตุ่ม ที่ขอบเอวมีหูทำ
ด้วยผ้าสีเดียวกับกางเกง สำหรับสอดเข็มขัด ด้านหน้า 2 หู
ด้านหลัง 3 หู ด้านข้างด้านละ 1 หู มี
กระเป๋าเจาะที่ด้านข้างด้านละ 1 กระเป๋า และที่ด้านหลังมีกระเป๋าเจาะไม่มีปกกระเป๋าข้างละ
1 กระเป๋า
(4) เข็มขัด
สายเข็มขัดทำด้วยด้ายถักสีน้ำเงินดำ กว้าง 3.2 เซนติเมตร หัวเข็มขัดทำ
ด้วยโลหะสีเงิน เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทางนอน ขนาดกว้าง
3.5 เซนติเมตร ยาว 5.6 เซนติเมตร
มีเครื่องหมาย ทอท. ติดฝังอยู่ที่กึ่งกลางหัวเข็มขัด
ปลายสายหุ้มด้วยโลหะสีเงิน กว้างเท่าสายเข็มขัด
(5) ถุงเท้า
สีดำไม่มีลวดลาย
(6) รองเท้า
หุ้มส้นหรือหุ้มข้อ ทำด้วยหนังหรือวัสดุเทียมหนังสีดำ
ข้อ 7 เครื่องแบบทั่วไปของพนักงานและลูกจ้างหญิง ประกอบด้วย
(1) หมวก
ตัวหมวกทรงอ่อนพับปีก สีน้ำเงินดำ ติดตราหน้าหมวกขนาดเล็ก
(2) เสื้อ
ใช้เสื้อคอแบะสีฟ้าอ่อน แขนยาวหรือแขนสั้น มีสาบใน ด้านหลังไม่มีสาบไหล่ ตัว
เสื้อผ่าอกตลอด สาบในติดดุมตามแนวอกเสื้อ 5 ดุม
เว้นระยะพองาม บนบ่าเสื้อทั้งสองข้างมีอินทรธนูอ่อน
สีเดียวกับเสื้อ ยาวตามความยาวของบ่า
ตอนปลายขัดดุมติดกับตัวเสื้อเพื่อใช้สอดเครื่องหมายระดับ
ตำแหน่ง สำหรับเสื้อแขนยาวให้ขัดดุมรัดข้อมือข้างละ 1 ดุม
ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ให้ประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่อกเสื้อ
ด้านซ้าย และประดับเครื่องหมายแสดงความสามารถตามระเบียบของเครื่องหมายนั้น
ๆ
(3) กระโปรง
ใช้กระโปรงสีน้ำเงินดำ ทรงตรงหรือเข้ารูป ยาวปิดเข่าป้ายทบด้านหลัง
(4) เข็มขัด
ใช้สายและหัวเข็มขัดลักษณะเช่นเดียวกับเครื่องแบบทั่วไปของพนักงานและลูก
จ้างชาย
(5) รองเท้า
ใช้รองเท้าหุ้มส้นหนังหรือวัสดุเทียมหนังสีดำ แบบปิดปลายเท้า
ข้อ 8 เครื่องแบบปกติขาวของพนักงานและลูกจ้างชาย ประกอบด้วย
(1) หมวก
ตัวหมวกทรงหม้อตาลสีขาว มีส่วนประกอบเช่นเดียวกับหมวกเครื่องแบบทั่วไป
ของพนักงานและลูกจ้างชาย โดยให้ติดตราหน้าหมวกบนหมอนสักหลาดสีดำ
(2)
เสื้อชั้นนอก คอปิดสีขาว มีตะเข็บหลัง 4 ตะเข็บ ที่แนวสาบอกเสื้อมีดุมโลหะสีเงิน
เครื่องหมาย ทอท. ขนาดใหญ่ 5 ดุม มีกระเป๋าบน 2 กระเป๋า
กระเป๋าล่าง 2 กระเป๋า ลักษณะเป็น
กระเป๋าเจาะ กระเป๋าบนมีรูปมนชายกลางแหลมไม่ขัดรังดุม
กระเป๋าล่างไม่มีปกบนบ่าเสื้อทั้งสองข้างติด
เครื่องหมายระดับตำแหน่ง ใช้สวมทับเสื้อคอพับแขนยาวสีขาว
(3) กางเกง
ขายาวสีขาว มีลักษณะเช่นเดียวกับกางเกงเครื่องแบบทั่วไปของพนักงานและ
ลูกจ้างชาย
(4) เข็มขัด
ใช้สายและหัวเข็มขัดเช่นเดียวกับเครื่องแบบทั่วไป
(5) ถุงเท้า
สีดำไม่มีลวดลาย
(6) รองเท้า
แบบหุ้มส้น ทำด้วยหนังหรือวัสดุเทียมหนังสีดำ ไม่มีลวดลาย
ข้อ 9 เครื่องแบบปกติขาวของพนักงานและลูกจ้างหญิง ประกอบด้วย
(1) หมวก
ตัวหมวกทรงอ่อนพับปีกสีขาว ประกอบด้วย
ก. สายรัดคาง เป็นแถบดิ้นเงินหรือแถบโลหะสีเงิน กว้าง 1.2 เซนติเมตร
ข. ดุมตรึงปลายสายรัดคาง ข้างละ 1 ดุม ใช้ดุมโลหะสีเงินเครื่องหมาย ทอท.
ขนาดเล็ก
ค. ผ้าพันหมวกสีดำลายถัก
ง. ตราหน้าหมวก ลักษณะเช่นเดียวกับตราหน้าหมวกเครื่องแบบทั่วไปโดยให้ติดบน
หมอนสักหลาดสีดำ
(2)
เสื้อชั้นนอก คอแบะแบบคอแหลมสีขาว แขนยาวถึงข้อมือมีตะเข็บหลัง 4 ตะเข็บ ที่แนว
สาบอกเสื้อมีดุมโลหะสีเงินเครื่องหมาย ทอท. ขนาดเล็ก 3 ดุม
มีกระเป๋าล่างข้างละ 1 กระเป๋า
ลักษณะเป็นกระเป๋าเจาะเฉียงเล็กน้อย ไม่มีปกกระเป๋าสวมทับเสื้อคอพับแขนยาวสีขาว
ผูกผ้าพันคอ
( NECKTIE ) สีดำ
(3) กระโปรง
สีขาวมีลักษณะเช่นเดียวกับกระโปรงเครื่องแบบทั่วไปของพนักงานและลูก
จ้างหญิง
(4) ถุงเท้า
ใช้ถุงเท้ายาว ( STOCKINGS ) สีเนื้อ
(5) รองเท้า
มีลักษณะเช่นเดียวกับรองเท้าเครื่องแบบทั่วไปของพนักงานและลูกจ้างหญิง
ข้อ 10 เครื่องแบบชุดปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประกอบด้วย
(1) หมวก
กำหนดไว้ 2 แบบ ดังนี้
ก. หมวกทรงหม้อตาล สำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการ
รักษาการณ์ และหน้าที่เกี่ยวกับการจราจร ตัวหมวกสีน้ำเงินดำ
มีส่วนประกอบเช่นเดียวกับหมวกเครื่อง
แบบทั่วไปของพนักงานและลูกจ้างชาย
ข. หมวกทรงแบเร่ต์
สำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการ
ตระเวนระงับเหตุ ตัวหมวกสีดำ ตราหน้าหมวกลักษณะเช่นเดียวกับตราหน้าหมวกเครื่องแบบทั่วไป
(2) เสื้อ
ใช้ผ้าสีน้ำเงินดำ มีลักษณะเช่นเดียวกับเสื้อเครื่องแบบทั่วไปของพนักงานและลูก
จ้างชาย
(3) กางเกง
ลักษณะเช่นเดียวกับกางเกงเครื่องแบบทั่วไปของพนักงานและลูกจ้างชาย
(4) เข็มขัด
ใช้หนังสีดำ ขนาดกว้าง 5 เซนติเมตร หัวเข็มขัดทำด้วยโลหะสีเงินเป็นรูป
สี่เหลี่ยมผืนผ้าทางนอน มีรูสำหรับกลัดเข็มกลัด 2 รู
(5) ถุงเท้า
สีดำไม่มีลวดลาย
(6) รองเท้า
ใช้รองเท้าหุ้มส้นหรือหุ้มข้อ ทำด้วยหนังหรือวัสดุเทียมหนังสีดำไม่มีลวดลาย
(7)
สายนกหวีด ใช้คล้องที่ไหล่ซ้าย กำหนดไว้ 2 สี ตามลักษณะการปฏิบัติหน้าที่ ดังนี้
ก. สีน้ำเงินดำ สำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการรักษา
การณ์ และตระเวนระงับเหตุ
ข. สีขาว สำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจร
(8)
เครื่องหมายระบุหน้าที่ ใช้แถบผ้าสีดำลักษณะครึ่งวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
11.5 เซนติเมตร ปักเครื่องหมาย ทอท.
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 เซนติเมตร ไว้กึ่งกลางแถบ
ผ้าโดยใช้ด้ายปักตามสีมาตรฐานของเครื่องหมาย ทอท.
และปักตัวอักษรภาษาอังกฤษตามลักษณะการ
ปฏิบัติหน้าที่ด้วยด้ายสีเหลือง ขนาดตัวอักษรสูงประมาณ 1.5
เซนติเมตร เรียงโค้งตามแนวครึ่งวงกลม
ดังนี้
ก. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาการณ์
ปักตัวอักษร
ภาษาอังกฤษความว่า SECURITY GUARD
ข. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรปักตัวอักษรภาษา
อังกฤษความว่า SECURITY TRAFFIC
ค. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการตระเวนระงับเหตุ ปัก
ตัวอักษรภาษาอังกฤษความว่า SECURITY TPAROL
ให้ติดเครื่องหมายระบุหน้าที่ที่ไหล่เสื้อด้านซ้าย
โดยเย็บซิกแซ็กรอบแถบผ้าด้วยด้ายสีเหลือง
โค้งไปตามแนวตะเข็บไหล่เสื้อ
(9) ถุงมือ
ทำด้วยผ้าฝ้ายผสมใยเคมีสีขาว สำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งทำหน้า
ที่เกี่ยวกับการจราจร ใช้สวมขณะปฏิบัติหน้าที่
ข้อ 11 เครื่องแบบชุดกันหนาว กำหนดไว้ 2 แบบ ดังนี้
(1)
เครื่องแบบชุดกันหนาว แบบ ก. ประกอบด้วย
ก. เสื้อ
ลักษณะเป็นเสื้อนอกคอเปิดพับธรรมดาสีน้ำเงินดำแขนยาวทรงกระบอกมีซับใน
สีใกล้เคียงกับเสื้อ ตามแนวอกเสื้อติดดุมจำนวน 3 ดุม
เว้นระยะพองาม ดุมมีลักษณะเป็นดุมโลหะสีเงิน
ผิวหน้าเรียบไม่มีลวดลาย ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร
เหนือชายเสื้อด้านล่างมีกระเป๋าเจาะ
แบบธรรมดา ข้างละ 1 กระเป๋า ไม่มีปกกระเป๋า
ตัวเสื้อเป็นผ้าสี่ชิ้น ต่อกลางหลัง ชายล่างของเสื้อด้าน
หลังผ่ากลางสูงประมาณ 6 - 8 นิ้วฟุต ชายหน้าเจียนมน
ปลายแขนเสื้อครึ่งรอบด้านนอกทั้งสองข้างประดับ
แถบดิ้นเงินแสดงระดับตำแหน่ง
เหนือแถบดิ้นเงินติดเครื่องหมาย ทอท. ปักด้วยดิ้นเงินขนาดเส้นผ่า
ศูนย์กลาง 2.5 เซนติเมตร ที่อกเสื้อด้านซ้ายมีกระเป๋าเจาะแบบธรรมดา
1 กระเป๋า ใช้สวมทับเครื่อง
แบบทั่วไป
สำหรับพนักงานและลูกจ้างชาย เมื่อสวมเครื่องแบบชุดกันหนาวแบบ ก. นี้
ให้ผูกผ้า
ผูกคอสีน้ำเงินดำแบบธรรมดาที่เสื้อเครื่องแบบทั่วไป
ที่สวมอยู่ข้างในด้วย
ข. รายละเอียดส่วนประกอบเครื่องแบบอื่น ๆ
กำหนดเช่นเดียวกับเครื่องแบบทั่วไป
(2)
เครื่องแบบชุดกันหนาวแบบ ข. ประกอบด้วย
ก. เสื้อ ลักษณะเป็นเสื้อตัวสั้น
ใช้ผ้าสีน้ำเงินดำผ่าอกติดซิบตลอดถึงชายเสื้อด้านล่าง
มีผ้าซับในสีเดียวกับเสื้อ คอบัวแหลม แขนยาวทรงกระบอก
ปลายแขนมีดุมพลาสติกสีเดียวกับเสื้อติดเรียง
ขวางตามแนวแขนเสื้อ 2 ดุม ห่างกันประมาณ 1.5 เซนติเมตร
บนบ่าเสื้อทั้งสองข้างมีอินทรธนูอ่อนสี
เดียวกับเสื้อ ยาวตามความยาวของบ่า
ตอนปลายขัดดุมติดกับตัวเสื้อ เพื่อใช้สอดเครื่องหมายระดับ
ตำแหน่ง ที่อกเสื้อด้านซ้ายมีกระเป๋าเจาะแบบธรรมดา 1
กระเป๋า มีกระเป๋าเจาะเฉียงที่ระดับเอวเสื้อด้าน
หน้า ข้างละ 1 กระเป๋า
โดยส่วนบนของกระเป๋าเฉียงเข้าชายเสื้อยาวต่ำกว่าระดับเอวประมาณ
6 - 7 นิ้วฟุต เหนือชายเสื้อด้านหลังประมาณ 1 นิ้วฟุต
มีสายรัดขัดดุมยาวประมาณ 2 นิ้วฟุต เย็บต่อออก
จากแนวตะเข็บเสื้อด้านข้าง ด้านละ 1 เส้น
ใช้สวมทับเครื่องแบบทั่วไป หรือเครื่องแบบชุดปฏิบัติงาน
ข. รายละเอียดส่วนประกอบเครื่องแบบอื่น ๆ
กำหนดเช่นเดียวกับเครื่องแบบทั่วไป
หรือเครื่องแบบชุดปฏิบัติงาน
ข้อ 12 กำหนดเครื่องหมายระดับตำแหน่ง สำหรับเครื่องแบบทั่วไป
เครื่องแบบชุดปฏิบัติงาน และ
เครื่องแบบชุดกันหนาว
เป็นปลอกสักหลาดหรือผ้าสีน้ำเงินดำติดแถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินแสดงระดับ
ตำแหน่งเหนือแถบแสดงระดับตำแหน่ง 0.5 เซนติเมตร
ประดับเครื่องหมาย ทอท. ทำด้วยโลหะสีเงิน
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร
แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินแสดงระดับตำแหน่ง กำหนดดังนี้
(1) ลูกจ้าง
ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 0.5 เซนติเมตร 1 แถบ
(2)
พนักงานระดับ 1 และพนักงานระดับ 2 ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงิน กว้าง 0.5
เซนติเมตร 2 แถบ ระยะห่างระหว่างแถบ 0.5 เซนติเมตร
(3)
พนักงานระดับ 3 ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 1 เซนติเมตร 1 แถบ
(4)
พนักงานระดับ 4 ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 1 เซนติเมตร 2 แถบ ระยะ
ห่างระหว่างแถบ 0.5 เซนติเมตร
(5)
พนักงานระดับ 5 ให้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 1 เซนติเมตร 3 แถบ ระยะ
ห่างระหว่างแถบ 0.5 เซนติเมตร
(6)
พนักงานระดับ 6 ให้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 1 เซนติเมตร 4 แถบ ระยะ
ห่างระหว่างแถบ 0.5 เซนติเมตร
(7)
พนักงานระดับ 7 และพนักงานระดับ 8 ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 1 เซนติเมตร
4 แถบ โดยวางชิดติดกัน 2 แถบ
(8)
พนักงานระดับ 9 ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 1 เซนติเมตร 4 แถบ โดยวาง
ชิดติดกัน 3 แถบ
(9)
พนักงานระดับ 10 พนักงานระดับ 11 และพนักงานระดับ 12 ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะ
สีเงินกว้าง 1 เซนติเมตร 5 แถบ โดยวางชิดติดกัน 4 แถบ
ข้อ 13 กำหนดเครื่องหมายระดับตำแหน่ง สำหรับเครื่องแบบปกติขาว
เป็นอินทรธนูแข็ง ทำด้วย
สักหลาดหรือผ้าสีน้ำเงินดำ
ลักษณะเป็นแผ่นสีเหลี่ยมเรียวจากทางด้านไหล่ไปคอ ปลายด้านคอมน มีแถบ
ดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินแสดงระดับตำแหน่งเช่นเดียวกับ ข้อ 12
ที่ปลายด้านคอมีดุมโลหะสีเงินเครื่องหมาย
ทอท. ขนาดเล็ก 1 ดุม
อินทรธนูสำหรับพนักงานและลูกจ้างชาย มีขนาดยาว 13 เซนติเมตร ด้านไหล่กว้าง
5
เซนติเมตร
อินทรธนูสำหรับพนักงานและลูกจ้างหญิง มีขนาดยาว 11 เซนติเมตร ด้านไหล่กว้าง
4
เซนติเมตร ด้านคอกว้าง 3 เซนติเมตร
ข้อ 14 กำหนดลักษณะตราหน้าหมวก
สำหรับประดับหมวกเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้างเป็นเครื่อง
หมาย ทอท. ประกอบปีก วางทับอยู่บนวงช่อชัยพฤกษ์ มี 2 ขนาด
ดังนี้
(1) ขนาดใหญ่
กว้าง 6 เซนติเมตร สูง 7 เซนติเมตร
(2) ขนาดเล็ก
กว้าง 4 เซนติเมตร สูง 5 เซนติเมตร
สำหรับลูกจ้างและพนักงานระดับ 1 และระดับ 2
ให้ใช้ตราหน้าหมวกทำด้วยโลหะสีเงิน
พนักงานตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป
ให้ใช้ตราหน้าหมวกทำด้วยดิ้นเงิน
ข้อ 15 กำหนดลักษณะดุมโลหะสีเงิน สำหรับใช้ประกอบเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้างตามกำหนด
แห่งระเบียบนี้ เป็นดุมมีลายดุนนูนเครื่องหมาย ทอท. มี 2
ขนาด ดังนี้
(1) ขนาดใหญ่
เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 เซนติเมตร
(2) ขนาดเล็ก
เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 เซนติเมตร
ข้อ 16 ให้มีป้ายชื่อทำด้วยโลหะพื้นสีดำ ขนาดกว้างไม่เกิน 2.5 เซนติเมตร
ยาวไม่เกิน 7.5
เซนติเมตร แสดงชื่อตัว ชื่อสกุล
เป็นตัวอักษรภาษาไทยสีขาวอยู่แถวบนและภาษาอังกฤษอยู่แถวล่าง
ประดับที่อกเสื้อด้านขวา สำหรับเครื่องแบบทั่วไป
เครื่องแบบชุดปฏิบัติงาน และเครื่องแบบชุดกันหนาว
ให้พนักงานและลูกจ้างตั้งแต่ระดับ 6 ลงมาติดป้ายชื่อตามวรรคหนึ่ง
ข้อ 17 ในการปฏิบัติหน้าที่งานเวรหรืองานกะ
ให้พนักงานและลูกจ้างแต่งเครื่องแบบทั่วไปหรือ
เครื่องแบบชุดปฏิบัติงาน หรือเครื่องแต่งกายชุดทำงาน
ตามแต่กรณีส่วนการแต่งเครื่องแบบในโอกาสอื่น
ให้ปฏิบัติตามที่ผู้ว่าการกำหนด
ข้อ 18 เครื่องแต่งกายชุดทำงานของส่วนงานต่าง ๆ
ให้ผู้ว่าการเป็นผู้กำหนดตามความเหมาะสม
ข้อ 19 ให้ผู้ว่าการเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2531
พลอากาศเอก วรนาถ อภิจารี
ประธานกรรมการ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย |
301959 | ระเบียบการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ว่าด้วย เครื่องแบบพนักงาน พ.ศ.2524 | ระเบียบการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ระเบียบการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ว่าด้วย
เครื่องแบบพนักงาน พ.ศ. 2524
----------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
18 (11) แห่งพระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศ
ไทย พุทธศักราช 2522 คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ออกระเบียบไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า `ระเบียบการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยเครื่องแบบพนัก
งาน พ.ศ.
2524'
ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2524 เป็นต้นไป
ข้อ 3 เครื่องแบบทั่วไปของพนักงานชาย ประกอบด้วย
ก. หมวก
ข. เสื้อ
ค. กางเกง
ง. เข็มขัด
จ. รองเท้า
ส่วนของเครื่องแบบแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังนี้
ก. หมวก ตัวหมวกทรงหม้อตาลสีน้ำเงินดำ ประกอบด้วย
(1) กะบังหมวก
ทำด้วยหนังหรือวัสดุเทียมหนังสีดำพื้นกะบังด้านล่างสีดำ สำหรับระดับหัว
หน้ากองหรือเทียบเท่าขึ้นไป ที่ขอบโค้งของกะบังด้านบนปักด้วยดิ้นเงินหรือโลหะสีเงิน รูปช่อชัยพฤกษ์
ข้างละ
1 ช่อ เว้นช่วงกลางบนพื้นสักหลาดสีดำ และสำหรับผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป
ที่
ขอบโค้งของกะบังด้านบนปักด้วยดิ้นสีเงินหรือโลหะสีเงิน รูปช่อชัยพฤกษ์ข้างละ 2 ช่อ
เว้นช่วง
กลางบนพื้นสักหลาดสีดำ
(2) สายรัดคาง
เป็นแถบดิ้นเงินหรือแถบโลหะสีเงินกว้าง 1.2 เซนติเมตร
(3)
ดุมตรึงปลายสายรัดคาง ข้างละ 1 ดุม ใช้ดุมโลหะสีเงินตรา ทอท. ขนาดเล็ก
(4)
ผ้าพันหมวกสีดำลายถัก
(5)
ตราหน้าหมวก ใช้ตรา ทอท. ประกอบปีก ทำด้วยโลหะสีเงิน
ข. เสื้อ ใช้เสื้อคอพับสีฟ้าอ่อน
แขนยาวหรือแขนสั้นมีกระเป๋าซึ่งไม่มีสาบ เย็บติดที่อกเสื้อข้างละ
1 กระเป๋า ใบปกกระเป๋าเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มุมกระเป๋าและมุมปกกระเป๋าเป็นรูปตัดพองามที่
ปากกระเป๋าทั้งสองข้างติดกระดุมข้างละ 1
ดุม
สำหรับขัดใบปกกระเป๋าตัวเสื้อผ่าอกตลอด สาบใน
ติดดุมตามแนวอกเสื้อ 5
ดุม ระยะห่างกันพอสมควร บนบ่าเสื้อมีอินทรธนูอ่อนสีเดียวกับเสื้อ ยาว
ตามความยาวของบ่า
ตอนปลายขัดดุมติดกับตัวเสื้อ
เพื่อใช้สอดเครื่องหมายระดับตำแหน่ง สำหรับเสื้อ
แขนยาวให้ติดดุมรัดข้อมือข้างละ 1 ดุม
ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ให้ประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่อกเสื้อ
เหนือกระเป๋าซ้าย
และประดับเครื่องหมายแสดงความสามารถตามระเบียบของเครื่องหมายนั้น ๆ
ค. กางเกง ใช้กางเกงสีน้ำเงินดำ ไม่พับปลายขา
ปลายขายาวชิดตาตุ่ม ที่ขอบกางเกงมีหูทำ
ด้วยผ้าสีเดียวกับกางเกง ด้านหน้า 2 หู ด้านข้าง 2 หู และด้านหลัง 3 หู
สำหรับสอดเข็มขัดที่แนวตะเข็บ
กางเกงด้านข้างมีกระเป๋าเจาะข้างละ 1
กระเป๋า ที่ด้านหลังมีกระเป๋าเจาะข้างละ 1 กระเป๋า
ไม่มีปกกระเป๋า
ง. เข็มขัด สายเข็มขัดทำด้วยด้ายถักสีน้ำเงินดำ
กว้าง 3.2 เซนติเมตร หัวเข็มขัดทำด้วย
โลหะสีเงินด้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทางนอน ขนาดกว้าง 3.5
เซนติเมตร ยาว 5.6 เซนติเมตร
มี
ตรา ทอท. ติดฝังอยู่กึ่งกลางหัวเข็มขัด
ปลายสายหุ้มด้วยโลหะสีเงินกว้างเท่าสายเข็มขัด
จ. รองเท้า รองเท้าหุ้มส้นหรือหุ้มข้อ หนังหรือวัสดุเทียมหนังสีดำ
ถุงเท้าสีดำไม่มีลวดลาย
ข้อ 4 เครื่องแบบทั่วไปของพนักงานหญิง ประกอบด้วย
ก. หมวก
ข. เสื้อ
ค. กระโปรง
ง. เข็มขัด
จ. รองเท้า
ส่วนของเครื่องแบบแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังนี้
ก.
หมวก ตัวหมวกทรงอ่อนพับปีก
สีน้ำเงินดำ ที่หน้าหมวกติดตรา ทอท. ประกอบปีกทำ
ด้วยโลหะสีเงิน
ข. เสื้อ ใช้เสื้อคอแบะสีฟ้าอ่อน แขนยาวหรือแขนสั้นมีสาบใน
ด้านหลังมีสาบไหล่ บนบ่า
มีอินทรธนูอ่อนสำหรับสอดเครื่องหมายระดับตำแหน่งสีเดียวกับเสื้อ ยาวตามความยาวของบ่า
ตอนปลายขัดดุมติดกับตัวเสื้อ
สำหรับเสื้อแขนยาวมีดุมรัดข้อมือข้างละ 1 ดุม
ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ให้ประดับแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่อกเสื้อ
ด้านซ้ายและประดับเครื่องหมายแสดงความสามารถตามระเบียบของเครื่องหมายนั้น
ๆ
ค. กระโปรง
ใช้กระโปรงสีน้ำเงินดำทรงตรง หรือเข้ารูปยาวปิดเข่าป้ายทบด้านหลัง
ง. เข็มขัด
อนุโลมตามแบบพนักงานชาย
จ. รองเท้า
ใช้รองเท้าหุ้มส้นหรือหนังวัสดุเทียมหนังสีดำแบบปิดปลายเท้า
ข้อ 5 เครื่องแบบชุดปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่รักษาความปลอดภัยประกอบด้วย
ก. หมวก
ข. เสื้อ
ค. กางเกง
ง. เข็มขัด
จ. รองเท้า
ฉ. สายนกหวีด
ช.
เครื่องหมายระบุหน้าที่
1)
ส่วนของเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาการณ์
แต่ละส่วน มีรายละเอียดดังนี้
(1) หมวก
รายละเอียดเช่นเดียวกับข้อ 3 ก.
(2) เสื้อ
ใช้ผ้าสีน้ำเงินดำ โดยมีรายละเอียดเช่นเดียวกับข้อ 3 ข.
(3) กางเกง
รายละเอียดเช่นเดียวกับข้อ 3 ค.
(4) เข็มขัด ใช้หนังสีดำ
ขนาดกว้าง 5 เซนติเมตร
หัวเข็มขัดทำด้วยโลหะเป็นรูปสี่
เหลี่ยมผืนผ้าทางนอน มีรูสำหรับกลัดเข็มกลัด 2 รู
(5) รองเท้า ใช้รองเท้าหุ้มส้นหรือหุ้มข้อ
ทำด้วยหนังหรือวัสดุหนังสีดำ ไม่มีลวดลายและ
ถุงเท้าสีดำไม่มีลวดลาย
(6) สายนกหวีดสีน้ำเงินคล้องไหล่ซ้าย
(7) เครื่องหมายระบุหน้าที่ ใช้แถบผ้าสีน้ำเงินกว้าง 2.4 เซนติเมตร ยาวพอเหมาะ
กับตัวอักษรภาษาไทยและภาษาอังกฤษปักด้วยด้ายสีเหลือง ขนาด 0.6 เซนติเมตร
ความว่า `รปภ.'
ไว้ข้างบน
`SECURITY GUARD' ไว้ข้างล่าง
รอบแถบเย็บซิกแซ็กด้วยด้ายสีเหลืองโค้งไปตามแนว
ตะเข็บไหล่เสื้อด้านซ้าย
2)
ส่วนของเครื่องหมายของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรแต่ละ
ส่วน มีรายละเอียดดังนี้
(1) หมวก
เสื้อ กางเกง เข็มขัด รองเท้า ถุงเท้า มีรายละเอียดเช่นเดียวกับ 1)
(2)
สายนกหวีดสีขาวคล้องที่ไหล่ซ้าย
(3) เครื่องหมายระบุหน้าที่ มีรายละเอียดเช่นเดียวกับ 1) (8)
แต่แตกต่างกันที่ปักตัว
อักษรภาษาไทยและภาษาอังกฤษด้วยด้ายสีขาว ความว่า `รปภ.' ไว้ข้างบน และ `SECURITY
TRAFFIC' ไว้ข้างล่าง รอบแถบเย็บซิกแซ็กด้วยด้ายสีขาว
(4) ถุงมือ
ทำด้วยผ้าฝ้ายผสมใยเคมีสีขาว
3)
ส่วนของเครื่องหมายของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการตระเวนระงับ
เหตุ แต่ละส่วนมีรายละเอียดดังนี้
(1) หมวก
ใช้หมวกแบเร่ต์สีดำ ตราหน้าหมวกใช้ตรา ทอท. ทำด้วยโลหะสีเงิน
(2) เสื้อ
กางเกง เข็มขัด รองเท้า ถุงเท้า และสายนกหวีด มีรายละเอียดเช่นเดียว
กับ 1)
(3) เครื่องหมายระบุหน้าที่ มีรายละเอียดเช่นเดียวกับ 1) (8)
แต่แตกต่างกันที่พื้นใช้
สีเขียวใบไม้
ปักด้วยไหมอักษรภาษาไทย และภาษาอังกฤษด้วยด้ายสีแดง
ความว่า `รปภ.'ไว้ข้างบน
และ `SECURITY PATROL' ไว้ข้างล่าง
รอบแถบเย็บซิกแซ็กด้วยด้ายสีแดง
ข้อ 6
ให้มีเครื่องหมายระดับตำแหน่งเป็นแถบดิ้นสีเงินหรือโลหะสีเงิน
เย็บติดกับปลอกสักหลาด
หรือผ้าสีน้ำเงินดำ
เหนือเครื่องหมายประทับตรา ทอท. โลหะสีเงินขนาดเล็ก ห่างจากแถบดิ้นเงินหรือ
โลหะสีเงิน 0.5 เซนติเมตร ใช้สอดเข้ากับอินทรธนูทั้งสองข้าง
เครื่องหมายระดับตำแหน่งมีดังนี้
ก. เสมียน หรือเทียบเท่า ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 0.5 เซนติเมตร 2
แถบ ระยะห่างระหว่างแถบ 0.5 เซนติเมตร
ข. ประจำแผนก
หรือเทียบเท่า ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 1 เซนติเมตร 1 แถบ
ค. ผู้ช่วยหัวหน้าแผนก หรือเทียบเท่า ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 1
เซนติเมตร 2 แถบ ระยะห่างระหว่างแถบ 0.5 เซนติเมตร
ง. ผู้ช่วยหัวหน้ากอง,หัวหน้าแผนก หรือเทียบเท่า ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง
1 เซนติเมตร 3 แถบ ระยะห่างระหว่างแถบ 0.5 เซนติเมตร
จ. ผู้ช่วยผู้อำนวยการกอง, หัวหน้ากอง
หรือเทียบเท่าใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงิน
กว้าง 1 เซนติเมตร 4 แถบ ระยะห่างระหว่างแถบ 0.5 เซนติเมตร
ฉ. ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่าย, ผู้อำนวยการกอง หรือเทียบเท่า
ใช้แถบดิ้นสีเงินหรือโลหะ
สีเงิน กว้าง 1 เซนติเมตร 4 แถบ โดยวางชิดติดกัน 2 แถบ
ช. ผู้อำนวยการฝ่าย หรือเทียบ ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง 1 เซนติเมตร 4
แถบ โดยวางชิดติดกัน 3 แถบ
ซ. ผู้ว่าการ, รองผู้ว่าการ หรือเทียบเท่า
ใช้แถบดิ้นเงินหรือโลหะสีเงินกว้าง
1
เซนติเมตร 5 แถบ โดยวางชิดติดกัน 4 แถบ
ข้อ 7 ให้มีป้ายชื่อทำด้วยโลหะ พื้นสีดำ
ขนาดกว้างไม่เกิน 2.5 เซนติเมตร ยาวไม่เกิน 7.5
เซนติเมตร แสดงชื่อตัว ชื่อสกุล
เป็นตัวอักษรภาษาไทยสีขาวอยู่แถวบน และภาษาอังกฤษอยู่
แถวล่างประดับที่อกเสื้อเหนือกระเป๋าบนขวา
พนักงานตั้งแต่ระดับตำแหน่งหัวหน้ากอง หรือเทียบเท่าลงมา
ให้ติดป้ายชื่อตามวรรคหนึ่ง
ข้อ 8
ในการปฏิบัติหน้าที่เวรหรือกะให้พนักงาน ทอท. แต่งเครื่องแบบทั่วไป หรือเครื่องแบบ
ชุดปฏิบัติงาน ตามแต่กรณี ส่วนการแต่งเครื่องแบบในโอกาสอื่น
ให้ปฏิบัติตามที่ผู้ว่าการกำหนด
ข้อ 9 ให้ผู้ว่าการรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ประกาศ
ณ วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2525
พลอากาศเอก พะเนียง กานตรัตน์
ประธานกรรมการ
การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย |
312177 | พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 (ฉบับ Update ล่าสุด) | พระราชบัญญัติ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
ในพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ธานีนิวัต
กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ให้ไว้ ณ วันที่
๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔
เป็นปีที่ ๖ ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นเอกเทศ
พระมหากษัตริย์
โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย
กฎและข้อบังคับอื่นซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การท่าเรือแห่งประเทศไทย หมายความว่า
การท่าเรือซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้
กิจการท่าเรือ[๒] หมายความว่า
ธุรกิจเกี่ยวกับท่าเรือ
และให้หมายความรวมถึงอู่เรือและกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นส่วนประกอบกับท่าเรือ
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
อาณาบริเวณ[๓] หมายความว่า
เขตซึ่งอยู่ในความควบคุมและการบำรุงรักษาของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทั้งทางบกและทางน้ำ
มาตรา ๕[๔] ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุม ปรับปรุง และให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือและการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ และการอื่น
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
การจัดตั้ง ทุน
และเงินสำรอง
มาตรา ๖ ให้จัดตั้งการท่าเรือขึ้น เรียกว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(๑)
รับโอนกิจการท่าเรือจากสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ ในกรมการขนส่ง กระทรวงคมนาคม
(๒)[๕] ประกอบและส่งเสริมกิจการท่าเรือเพื่อประโยชน์แห่งรัฐและประชาชน
(๓)[๖]
ดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการท่าเรือ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย เรียกโดยย่อว่า กทท. และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า PORT AUTHORITY OF THAILAND เรียกโดยย่อว่า PAT[๗]
มาตรา ๗ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล
มาตรา ๘
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยตั้งสำนักงานใหญ่ในจังหวัดพระนคร
และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดในราชอาณาจักรก็ได้
และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ต่างประเทศในเมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก็ได้
มาตรา ๘ ทวิ[๘] อาณาบริเวณให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา และให้มีแผนที่แสดงอาณาบริเวณท้ายพระราชกฤษฎีกานั้นด้วย
แผนที่นั้นให้ถือว่าเป็นส่วนแห่งพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๙
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจที่จะกระทำการต่าง ๆ
ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๖ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
สร้าง ซื้อ จัดหา จำหน่าย เช่า ให้เช่า และดำเนินงานเกี่ยวกับเครื่องใช้
บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของกิจการท่าเรือ
(๒)
ซื้อ จัดหา เช่า ให้เช่า ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครอง จำหน่าย
หรือดำเนินงานเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์
(๓)
กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของกิจการท่าเรือ
และออกระเบียบเกี่ยวกับวิธีชำระค่าภาระดังกล่าว
(๔)
จัดระเบียบว่าด้วยความปลอดภัย การใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
ของกิจการท่าเรือ
(๕)
กู้ยืมเงิน
(๖)[๙]
ขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำภายในอาณาบริเวณ
(๗)[๑๐] ควบคุม
ปรับปรุง
และให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือและการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ
(๘)[๑๑]
กำหนดอัตราค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณ
(๙)[๑๒]
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
(๑๐)[๑๓]
จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบกิจการท่าเรือและกิจการอื่นภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้
บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดดังกล่าว
จะมีคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวถือหุ้นเกินกว่าร้อยละสี่สิบเก้าของทุนจดทะเบียนของบริษัทนั้นไม่ได้
(๑๑)[๑๔]
เข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่น หรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
เพื่อประโยชน์แก่กิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๑๐
ให้โอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งสิ้นของสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ
ในกรมการขนส่ง ตลอดจนบรรดาที่ดินซึ่งได้เวนคืนไว้แล้วเพื่อการท่าเรือให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๑๑
ที่ดินซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้มาด้วยอำนาจแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือบทกฎหมายอื่นจะโอนต่อไปมิได้
เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ
มาตรา ๑๒ ให้จ่ายเงินในงบประมาณรายจ่ายวิสามัญลงทุนประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๔๙๔ ประเภทการบำรุงการขนส่งเป็นจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับงบประมาณส่วนที่เกี่ยวกับการขุดสันดอน การก่อสร้าง และค่าซื้อสิ่งของให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
งบประมาณรายจ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับการขุดสันดอน
การก่อสร้าง และค่าซื้อสิ่งของนั้น
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยใช้จ่ายตามรายการที่ปรากฏในงบประมาณ
มาตรา ๑๓ ทุนประเดิมของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ประกอบด้วย
(๑)
สินทรัพย์ที่รับโอนมาเมื่อได้หักหนี้สินตามมาตรา ๑๐ ออกแล้ว
(๒)
เงินที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับตามมาตรา ๑๒
มาตรา ๑๔
ทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยย่อมไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
มาตรา ๑๕
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ
บรรดาที่กฎหมายให้ไว้แก่สำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ ในกรมการขนส่ง
มาตรา ๑๖ ให้ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ
และพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายลักษณะอาญา
มาตรา ๑๗[๑๕]
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
และให้ได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ
ตามกฎหมายอื่นบรรดาที่เรียกเก็บสำหรับอาคารและที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกจากอาคารและที่ดินที่ให้เช่า
มาตรา ๑๗ ทวิ[๑๖]
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นจากการเสียค่าธรรมเนียม ตามกฎหมายว่าด้วยการศุลกากร
มาตรา ๑๗ ตรี[๑๗]
อสังหาริมทรัพย์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่ว่าจะได้ให้เช่าก่อนหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เมื่อจะต้องการใช้ในกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
มาตรา ๑๘ เงินสำรองของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้ประกอบด้วยเงินสำรองเผื่อขาดและเงินสำรองอื่น
ๆ เพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะ เช่น ค่าเสื่อมราคาและค่าทำให้ดีขึ้น
เป็นต้น ตามแต่คณะกรรมการจะเห็นสมควร
มาตรา ๑๙
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของคณะกรรมการ
ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
หมวด ๒
การกำกับ
ควบคุมและจัดการ
มาตรา ๒๐[๑๘] ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เพื่อประโยชน์ในการนี้จะสั่งให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงข้อเท็จจริง
แสดงความคิดเห็นหรือทำรายงานหรือยับยั้งการกระทำใด ๆ
ซึ่งขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการดำเนินงานได้
มาตรา ๒๑
ในกรณีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการจะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีตามความในพระราชบัญญัตินี้
ให้นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๒๒[๑๙]
ให้มีคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้นคณะหนึ่ง
ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคน กรรมการอื่นไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบคน
ซึ่งอย่างน้อยจะต้องเป็นผู้มีความรู้และจัดเจนเกี่ยวกับการท่าเรือหนึ่งคน
และเกี่ยวกับการเศรษฐกิจหรือการคลังหนึ่งคน
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการ
และกรรมการ
คณะรัฐมนตรีจะแต่งตั้งผู้อำนวยการเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ให้คณะกรรมการนี้มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๓ ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการ
และผู้อำนวยการจะต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย
และมีความรู้และจัดเจนเกี่ยวกับการท่าเรือ การขนส่ง การเดินเรือ พาณิชยกรรม การเศรษฐกิจ
หรือการเงิน
มาตรา ๒๔
ให้คณะกรรมการเป็นผู้แทนการท่าเรือแห่งประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
แต่คณะกรรมการจะมอบหมายให้ผู้อำนวยการหรือพนักงานอื่นใดเป็นผู้แทนแทนก็ได้
มาตรา ๒๕ ผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ต้องห้ามมิให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการ
คือ
(๑)
มีส่วนได้เสียในสัญญากับการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือในกิจการที่กระทำให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อม
เว้นแต่จะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นของบริษัทที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
(๒)
เป็นพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๓)
เป็นข้าราชการการเมือง
มาตรา ๒๖
ให้ประธานกรรมการและกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งสี่ปี
แต่สำหรับกรรมการนั้นในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสองปี
ให้ออกจากตำแหน่งกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก ถ้าจำนวนกรรมการจะแบ่งออกให้ตรงเป็นกึ่งหนึ่งไม่ได้ก็ให้ออกโดยจำนวนใกล้ที่สุดกับกึ่งหนึ่ง
กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ
จะแต่งตั้งให้เป็นกรรมการอีกก็ได้
มาตรา ๒๗ ประธานกรรมการและกรรมการย่อมพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงวาระพ้นจากตำแหน่งตามความในมาตรา
๒๖ เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก
(๔)
มีลักษณะต้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๕
ในกรณีที่มีการพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงวาระ
ให้มีการแต่งตั้งกรรมการเข้าแทน กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งเข้าแทนนี้
ย่อมอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน
มาตรา ๒๘ ประธานกรรมการและกรรมการย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๙ ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๒ วรรคท้าย
คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑)
กระทำกิจการและวางข้อบังคับและระเบียบการตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๙
(๒)
แต่งตั้ง ถอดถอน กำหนด เลื่อนขั้นหรือลดขั้นอัตราเงินเดือนที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ
และหัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งกระทำหน้าที่ช่วยผู้อำนวยการ
และกำหนดอัตราเงินเดือนของพนักงานอื่นของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๓)
วางข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะกรรมการ
(๔)
วางข้อบังคับกำหนดระเบียบปฏิบัติงานและระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และกรณีอื่นทำนองเดียวกัน
(๕)[๒๐]
กำหนดอัตราค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณ อัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ
บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
แต่ต้องอยู่ภายในอัตราขั้นสูงและขั้นต่ำที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
อำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ใน
(๑) นั้น ถ้าคณะกรรมการเห็นสมควรจะมอบหมายให้ผู้อำนวยการดำเนินการก็ได้
การเปลี่ยนแปลงอัตราค่าภาระดังระบุไว้ใน
(๕) จะต้องประกาศให้ประชาชนทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
มาตรา ๓๐
ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้อำนวยการด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ในการนี้จะแต่งตั้งกรรมการเป็นผู้อำนวยการก็ได้
ให้ผู้อำนวยการได้รับเงินเดือนตามที่คณะกรรมการกำหนดด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
และให้อยู่ในตำแหน่งได้โดยไม่มีกำหนดเวลา
แต่ในกรณีที่บกพร่องต่อหน้าที่หรือหย่อนสมรรถภาพ คณะกรรมการจะให้ออกจากตำแหน่งด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก็ได้
มาตรา ๓๑
ผู้อำนวยการเป็นผู้บริหารการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด
และให้มีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทุกตำแหน่ง
ผู้อำนวยการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการจัดการและดำเนินงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๑ ทวิ[๒๑] ผู้อำนวยการ
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้ว
เป็นอันพ้นจากตำแหน่งเมื่อสิ้นปีที่อายุครบหกสิบปีบริบูรณ์
เว้นแต่จะได้มีการต่ออายุการทำงานอีกคราวละหนึ่งปี จนอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์
วิธีการต่ออายุการทำงานให้เป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการ
การต่ออายุการทำงานของผู้อำนวยการจะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีด้วย
มาตรา ๓๒ ผู้อำนวยการมีอำนาจ
(๑)
แต่งตั้ง ถอดถอน
เลื่อนขั้นหรือลดขั้นอัตราเงินเดือนพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกจากที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการตามความในมาตรา
๒๙ (๒) ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
(๒)
ออกระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๓ ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ และพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยอาจได้รับเงินรางวัลตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
หมวด ๓
ความสัมพันธ์กับรัฐบาล
มาตรา ๓๔
ในการดำเนินกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน
มาตรา ๓๕
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้
คือ
(๑)
สร้างท่าเรือขึ้นใหม่
(๒)
เลิกกิจการในท่าเรือซึ่งเปิดดำเนินการแล้ว
(๓)
เพิ่มหรือลดทุน
(๔)
กู้ยืมเงิน
(๕)
จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์
(๖)[๒๒]
จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบกิจการท่าเรือ
และกิจการอื่นภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๗)[๒๓]
เข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่น หรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
เพื่อประโยชน์แก่กิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๖
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีก่อนจึงจะวางข้อบังคับกำหนดระเบียบปฏิบัติงานและระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และกรณีอื่นทำนองเดียวกันได้
มาตรา ๓๗
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องไม่วางระเบียบว่าด้วยการใช้ประโยชน์แห่งบริการและความสะดวกต่าง
ๆ ตลอดจนการกำหนดค่าภาระในการใช้ประโยชน์และความสะดวกเช่นว่านั้น
ซึ่งจะเป็นการขัดกับนโยบายทั่วไปของรัฐบาลในการเศรษฐกิจและการคลังตามที่รัฐมนตรีแจ้งให้คณะกรรมการทราบ
มาตรา ๓๘
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดทำงบประมาณประจำปีแยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ
สำหรับงบลงทุนนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา ๓๙
รายได้ที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับจากการดำเนินงานให้ตกเป็นของการท่าเรือแห่งประเทศไทยสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่าง
ๆ
รายได้ที่ได้รับนั้น
ในปีหนึ่ง ๆ เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินงาน ค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น
ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา เงินรางวัล
และเงินสมทบกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์พนักงาน เงินสำรองธรรมดา เงินสำรองขยายงาน และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบตามความในมาตรา
๓๘ แล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
แต่ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายดังกล่าวนอกจากเงินสำรองธรรมดาและเงินสำรองขยายงานแล้ว
และการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่สามารถหาเงินจากทางอื่น
ให้รัฐจ่ายเงินให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทยเท่าจำนวนที่ขาด
มาตรา ๔๐
ให้คณะกรรมการทำรายงานปีละครั้งเสนอรัฐมนตรี รายงานนี้ให้กล่าวถึงผลงานในปีที่ล่วงแล้วของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และให้มีคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ โครงการและแผนงานที่จะจัดทำในภายหน้า
หมวด ๔
การร้องทุกข์และการสงเคราะห์
มาตรา ๔๑ ให้พนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมีสิทธิร้องทุกข์เกี่ยวแก่การลงโทษได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๔๒
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดให้มีกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์พนักงานในเวลาพ้นจากตำแหน่ง
ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรืออื่น ๆ
อัตราเงินสมทบกองทุนซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยและพนักงานจะพึงจ่าย
ประเภทของพนักงานที่จะพึงได้รับสงเคราะห์จากกองทุนตลอดจนการจัดการเกี่ยวกับกองทุนนั้น
ให้เป็นไปตามข้อบังคับซึ่งคณะกรรมการกำหนด
ข้อบังคับดังกล่าวในวรรคก่อน
ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ใช้บังคับได้
หมวด ๕
การบัญชี การสอบ
และการตรวจ
มาตรา ๔๓ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ
มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ
(๑)
การรับและจ่ายเงิน
(๒)
สินทรัพย์และหนี้สิน
ซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริง
และตามที่ควร ตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ
มาตรา ๔๔
ให้คณะกรรมการตั้งผู้สอบบัญชีคนหนึ่งหรือหลายคน
เพื่อสอบและรับรองบัญชีของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทุกปี
ห้ามมิให้ตั้งประธานกรรมการ
กรรมการ ผู้อำนวยการ ผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการงานที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดทำเป็นผู้สอบบัญชี
มาตรา ๔๕ ให้ผู้สอบบัญชีเข้าตรวจสอบสรรพสมุด บัญชี และเอกสารหลักฐานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเวลาอันสมควรได้ทุกเมื่อ
และเพื่อการสอบบัญชี ให้มีอำนาจไต่ถามสอบสวนประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ
ผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้
มาตรา ๔๖ ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานว่าด้วย
(๑)
ข้อความคำชี้แจงอันควรแก่การสอบบัญชีที่ได้รับ
(๒)
ความสมบูรณ์ของสมุดบัญชีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยรักษาอยู่ และต้องแถลงด้วยว่า
๑.
งบดุลและบัญชีซึ่งตรวจสอบนั้นถูกต้องตรงกับสมุดบัญชีเพียงไรหรือไม่
๒.
งบดุลและบัญชีซึ่งตรวจสอบนั้นแสดงการงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่ควร
ตามข้อความคำชี้แจงและความรู้ของผู้สอบบัญชีเพียงไรหรือไม่
มาตรา ๔๗
ให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจบัญชีของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเมื่อรัฐมนตรีร้องขอ
มาตรา ๔๘
ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันหลังจากวันสิ้นปีบัญชี การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องโฆษณารายงานประจำปี
แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุนเพียงสิ้นปีพร้อมกับรายงานของผู้สอบบัญชีที่คณะกรรมการตั้งขึ้นตามความในมาตรา
๔๔
หมวด ๖
บทกำหนดโทษ[๒๔]
มาตรา ๔๙[๒๕] ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุม
ปรับปรุง และให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือและการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
มาตรา ๕๐[๒๖] ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๙
ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙[๒๗]
มาตรา
๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
ยังไม่เหมาะสมในการที่จะบริหารกิจการของการท่าเรือให้เจริญก้าวหน้า
เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือในหลักสำคัญ ๆ อาทิ
กำหนดเขตอาณาบริเวณเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยแก่การเดินเรือและการสินค้า
อำนาจหน้าที่ในการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำให้เรือขนาดใหญ่เดินได้โดยสะดวก
และเรียกเก็บค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายได้
ให้การท่าเรือได้รับยกเว้นจากการเสียภาษีอากร เพราะทรัพย์สินของการท่าเรือเป็นทรัพย์สินของรัฐอยู่แล้ว
ให้การท่าเรือได้ใช้ที่ดินเพื่อขยายกิจการตามโครงการโดยไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจตั้งกรรมการเพิ่มขึ้น
และนอกจากนี้ให้มีบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวง เพื่อให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินกิจการให้สำเร็จลุล่วงไปตามนโยบายของรัฐบาลและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกิจการท่าเรือสากล
พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒[๒๘]
มาตรา
๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๕ ผู้อำนวยการ หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยผู้ใดมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
หรือจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ภายในระยะเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ผู้นั้นคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้เก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
และถ้าไม่ได้รับการต่ออายุการทำงานตามความในมาตรา ๓๑ ทวิ
ก็ให้พ้นจากตำแหน่งในวันถัดจากวันครบกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา
๖
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมแก่การบริหารกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าไปได้เท่าที่ควร
จึงจำต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๖[๒๙]
มาตรา
๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ไม่มีบทบัญญัติให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนเป็นเหตุให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่อาจออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนได้
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๓[๓๐]
มาตรา
๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติบางประการที่ทำให้การบริหารงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่คล่องตัวเท่าที่ควร
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นและแก้ไขเพิ่มเติมให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
หรือเข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่นหรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
เพื่อประโยชน์แก่กิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ ทั้งนี้ โดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
วศิน/ผู้จัดทำ
๒๐
เมษายน ๒๕๕๒
กมลฤทัย/ปรับปรุง
๔
เมษายน ๒๕๕๖
สุพิชชา/ตรวจ
๑๘
เมษายน ๒๕๕๖
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๗
พฤศจิกายน ๒๕๖๐
ปิติวรรณ/ปรับปรุง
๕
มิถุนายน ๒๕๖๓
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๘/ตอนที่ ๓๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๔
[๒] มาตรา
๔ นิยามคำว่า กิจการท่าเรือ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๓
[๓] มาตรา
๔ นิยามคำว่า อาณาบริเวณ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๔] มาตรา
๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๕] มาตรา
๖ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.
๒๕๔๓
[๖] มาตรา
๖ (๓) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๓
[๗] มาตรา
๖ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๓
[๘] มาตรา
๘ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๙] มาตรา
๙ (๖) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๐] มาตรา
๙ (๗) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๑] มาตรา
๙ (๘) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๒] มาตรา
๙ (๙) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๖
[๑๓] มาตรา
๙ (๑๐) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๓
[๑๔] มาตรา
๙ (๑๑) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๓
[๑๕] มาตรา
๑๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๖] มาตรา ๑๗
ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๗] มาตรา
๑๗ ตรี เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๘] มาตรา
๒๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒
[๑๙] มาตรา
๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๒๐] มาตรา
๒๙ (๕) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๔๙๙
[๒๑] มาตรา
๓๑ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒
[๒๒] มาตรา
๓๕ (๖) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๓
[๒๓] มาตรา
๓๕ (๗) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๓
[๒๔] หมวด ๖
บทกำหนดโทษ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๒๕] มาตรา
๔๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๒๖] มาตรา
๕๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๒๗]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๓/ตอนที่ ๗๒/หน้า ๙๘๗/๑๑ กันยายน ๒๔๙๙
[๒๘]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๖/ตอนที่ ๖๒/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๒ มิถุนายน ๒๕๐๒
[๒๙]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๐/ตอนที่ ๑๕๔/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๖
[๓๐]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๑๑๑ ก/หน้า ๑/๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ |
323169 | พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2543 | พระราชบัญญัติ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๕)
พ.ศ. ๒๕๔๓
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓
เป็นปีที่ ๕๕
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๓
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้เพิ่มบทนิยามคำว่า กิจการท่าเรือ ระหว่างบทนิยามคำว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย กับคำว่า คณะกรรมการ ในมาตรา
๔ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
กิจการท่าเรือ หมายความว่า ธุรกิจเกี่ยวกับท่าเรือ
และให้หมายความรวมถึงอู่เรือและกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นส่วนประกอบกับท่าเรือ
มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความใน (๒) ของมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๒) ประกอบและส่งเสริมกิจการท่าเรือเพื่อประโยชน์แห่งรัฐและประชาชน
(๓)
ดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการท่าเรือ
มาตรา ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
การท่าเรือแห่งประเทศไทย เรียกโดยย่อว่า กทท. และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า PORT
AUTHORITY OF THAILAND เรียกโดยย่อว่า PAT
มาตรา ๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑๐) และ (๑๑)
ของมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๖
(๑๐)
จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบกิจการท่าเรือและกิจการอื่นภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้
บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดดังกล่าว
จะมีคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวถือหุ้นเกินกว่าร้อยละสี่สิบเก้าของทุนจดทะเบียนของบริษัทนั้นไม่ได้
(๑๑)
เข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่น หรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
เพื่อประโยชน์แก่กิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๖) และ (๗)
ของมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
(๖) จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบกิจการท่าเรือ
และกิจการอื่นภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๗)
เข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่น หรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
เพื่อประโยชน์แก่กิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติบางประการที่ทำให้การบริหารงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่คล่องตัวเท่าที่ควร
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นและแก้ไขเพิ่มเติมให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
หรือเข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่นหรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
เพื่อประโยชน์แก่กิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ ทั้งนี้
โดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พรพิมล/แก้ไข
๑๐ ก.ย
๒๕๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑๐
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๒๐
เมษายน ๒๕๕๒
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๑๑๑ ก/หน้า ๑/๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ |
307154 | พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 (Update ณ วันที่ 29 /11/2516) | พระราชบัญญัติ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
ในพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ธานีนิวัต
กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ให้ไว้ ณ วันที่
๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔
เป็นปีที่ ๖
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นเอกเทศ
พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย
กฎและข้อบังคับอื่นซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การท่าเรือแห่งประเทศไทย หมายความว่า
การท่าเรือซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้อำนวยการ หมายความว่า
ผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
อาณาบริเวณ[๒] หมายความว่า
เขตซึ่งอยู่ในความควบคุม และการบำรุงรักษาของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทั้งทางบกและทางน้ำ
มาตรา ๕[๓] ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมปรับปรุง และให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือและการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ และการอื่น
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
การจัดตั้ง ทุน
และเงินสำรอง
มาตรา ๖ ให้จัดตั้งการท่าเรือขึ้น เรียกว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(๑)
รับโอนกิจการท่าเรือจากสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ ในกรมการขนส่ง กระทรวงคมนาคม
(๒)
จัดดำเนินการและนำมาซึ่งความเจริญของกิจการท่าเรือเพื่อประโยชน์แห่งรัฐและประชาชน
และดำเนินธุรกิจอันเกี่ยวกับการท่าเรือ และธุรกิจอื่น ซึ่งสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ
ในกรมการขนส่งเคยปฏิบัติจัดทำ
มาตรา ๗ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล
มาตรา ๘
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยตั้งสำนักงานใหญ่ในจังหวัดพระนคร
และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดในราชอาณาจักรก็ได้
และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ต่างประเทศในเมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก็ได้
มาตรา ๘ ทวิ[๔] อาณาบริเวณให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
และให้มีแผนที่แสดงอาณาบริเวณท้ายพระราชกฤษฎีกานั้นด้วย
แผนที่นั้นให้ถือว่าเป็นส่วนแห่งพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๙
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจที่จะกระทำการต่าง ๆ
ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๖ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
สร้าง ซื้อ จัดหา จำหน่าย เช่า ให้เช่า และดำเนินงานเกี่ยวกับเครื่องใช้
บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของกิจการท่าเรือ
(๒)
ซื้อ จัดหา เช่า ให้เช่า ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครอง จำหน่าย
หรือดำเนินงานเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์
(๓)
กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของกิจการท่าเรือ
และออกระเบียบเกี่ยวกับวิธีชำระค่าภาระดังกล่าว
(๔)
จัดระเบียบว่าด้วยความปลอดภัย การใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
ของกิจการท่าเรือ
(๕)
กู้ยืมเงิน
(๖)[๕] ขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำภายในอาณาบริเวณ
(๗)[๖] ควบคุม
ปรับปรุง
และให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือและการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ
(๘)[๗]
กำหนดอัตราค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณ
(๙)[๘]
ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
มาตรา ๑๐ ให้โอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งสิ้นของสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ
ในกรมการขนส่ง
ตลอดจนบรรดาที่ดินซึ่งได้เวนคืนไว้แล้วเพื่อการท่าเรือให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๑๑
ที่ดินซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้มาด้วยอำนาจแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือบทกฎหมายอื่นจะโอนต่อไปมิได้
เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ
มาตรา ๑๒
ให้จ่ายเงินในงบประมาณรายจ่ายวิสามัญลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๔
ประเภทการบำรุงการขนส่งเป็นจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับงบประมาณส่วนที่เกี่ยวกับการขุดสันดอน การก่อสร้าง และค่าซื้อสิ่งของให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
งบประมาณรายจ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับการขุดสันดอน
การก่อสร้าง และค่าซื้อสิ่งของนั้น
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยใช้จ่ายตามรายการที่ปรากฏในงบประมาณ
มาตรา ๑๓ ทุนประเดิมของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ประกอบด้วย
(๑)
สินทรัพย์ที่รับโอนมาเมื่อได้หักหนี้สินตามมาตรา ๑๐ ออกแล้ว
(๒)
เงินที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับตามมาตรา ๑๒
มาตรา ๑๔
ทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยย่อมไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
มาตรา ๑๕
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ
บรรดาที่กฎหมายให้ไว้แก่สำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ ในกรมการขนส่ง
มาตรา ๑๖ ให้ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ
และพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายลักษณะอาญา
มาตรา ๑๗[๙]
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
และให้ได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ
ตามกฎหมายอื่นบรรดาที่เรียกเก็บสำหรับอาคารและที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกจากอาคารและที่ดินที่ให้เช่า
มาตรา ๑๗ ทวิ[๑๐]
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นจากการเสียค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยการศุลกากร
มาตรา ๑๗ ตรี[๑๑]
อสังหาริมทรัพย์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่ว่าจะได้ให้เช่าก่อนหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เมื่อจะต้องการใช้ในกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
มาตรา ๑๘ เงินสำรองของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้ประกอบด้วยเงินสำรองเผื่อขาดและเงินสำรองอื่น
ๆ เพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะ เช่น ค่าเสื่อมราคาและค่าทำให้ดีขึ้น
เป็นต้น ตามแต่คณะกรรมการจะเห็นสมควร
มาตรา ๑๙
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของคณะกรรมการ
ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
หมวด ๒
การกำกับ
ควบคุมและจัดการ
มาตรา ๒๐[๑๒]
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เพื่อประโยชน์ในการนี้จะสั่งให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงข้อเท็จจริง
แสดงความคิดเห็นหรือทำรายงานหรือยับยั้งการกระทำใด ๆ
ซึ่งขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการดำเนินงานได้
มาตรา ๒๑
ในกรณีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการจะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีตามความในพระราชบัญญัตินี้
ให้นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๒๒[๑๓]
ให้มีคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้นคณะหนึ่ง
ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคน กรรมการอื่นไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบคน
ซึ่งอย่างน้อยจะต้องเป็นผู้มีความรู้และจัดเจนเกี่ยวกับการท่าเรือหนึ่งคน
และเกี่ยวกับการเศรษฐกิจหรือการคลังหนึ่งคน
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการ
และกรรมการ
คณะรัฐมนตรีจะแต่งตั้งผู้อำนวยการเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ให้คณะกรรมการนี้มีอำนาจหน้าที่วางนโยบาย
และควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๓
ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการ และผู้อำนวยการจะต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย
และมีความรู้และจัดเจนเกี่ยวกับการท่าเรือ การขนส่ง การเดินเรือ พาณิชยกรรม
การเศรษฐกิจ หรือการเงิน
มาตรา ๒๔
ให้คณะกรรมการเป็นผู้แทนการท่าเรือแห่งประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
แต่คณะกรรมการจะมอบหมายให้ผู้อำนวยการหรือพนักงานอื่นใดเป็นผู้แทนแทนก็ได้
มาตรา ๒๕
ผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ต้องห้ามมิให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการ คือ
(๑)
มีส่วนได้เสียในสัญญากับการท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือในกิจการที่กระทำให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อม
เว้นแต่จะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นของบริษัทที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
(๒)
เป็นพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๓)
เป็นข้าราชการการเมือง
มาตรา ๒๖ ให้ประธานกรรมการและกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งสี่ปี
แต่สำหรับกรรมการนั้นในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสองปี
ให้ออกจากตำแหน่งกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก
ถ้าจำนวนกรรมการจะแบ่งออกให้ตรงเป็นกึ่งหนึ่งไม่ได้ก็ให้ออกโดยจำนวนใกล้ที่สุดกับกึ่งหนึ่ง
กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ
จะแต่งตั้งให้เป็นกรรมการอีกก็ได้
มาตรา ๒๗
ประธานกรรมการและกรรมการย่อมพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงวาระพ้นจากตำแหน่งตามความในมาตรา
๒๖ เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก
(๔)
มีลักษณะต้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๕
ในกรณีที่มีการพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงวาระ
ให้มีการแต่งตั้งกรรมการเข้าแทน กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งเข้าแทนนี้
ย่อมอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน
มาตรา ๒๘
ประธานกรรมการและกรรมการย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๙ ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๒ วรรคท้าย
คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑)
กระทำกิจการและวางข้อบังคับและระเบียบการตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๙
(๒)
แต่งตั้ง ถอดถอน กำหนด เลื่อนขั้นหรือลดขั้นอัตราเงินเดือนที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ
และหัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งกระทำหน้าที่ช่วยผู้อำนวยการ
และกำหนดอัตราเงินเดือนของพนักงานอื่นของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๓)
วางข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะกรรมการ
(๔)
วางข้อบังคับกำหนดระเบียบปฏิบัติงานและระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และกรณีอื่นทำนองเดียวกัน
(๕)[๑๔]
กำหนดอัตราค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณ อัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ
บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
แต่ต้องอยู่ภายในอัตราขั้นสูงและขั้นต่ำที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
อำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ใน
(๑) นั้น ถ้าคณะกรรมการเห็นสมควรจะมอบหมายให้ผู้อำนวยการดำเนินการก็ได้
การเปลี่ยนแปลงอัตราค่าภาระดังระบุไว้ใน
(๕) จะต้องประกาศให้ประชาชนทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
มาตรา ๓๐
ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้อำนวยการด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ในการนี้จะแต่งตั้งกรรมการเป็นผู้อำนวยการก็ได้
ให้ผู้อำนวยการได้รับเงินเดือนตามที่คณะกรรมการกำหนดด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
และให้อยู่ในตำแหน่งได้โดยไม่มีกำหนดเวลา
แต่ในกรณีที่บกพร่องต่อหน้าที่หรือหย่อนสมรรถภาพ
คณะกรรมการจะให้ออกจากตำแหน่งด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก็ได้
มาตรา ๓๑
ผู้อำนวยการเป็นผู้บริหารการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด
และให้มีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทุกตำแหน่ง
ผู้อำนวยการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการจัดการและดำเนินงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๑ ทวิ[๑๕] ผู้อำนวยการ
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้ว เป็นอันพ้นจากตำแหน่งเมื่อสิ้นปีที่อายุครบหกสิบปีบริบูรณ์
เว้นแต่จะได้มีการต่ออายุการทำงานอีกคราวละหนึ่งปี จนอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์
วิธีการต่ออายุการทำงานให้เป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการ
การต่ออายุการทำงานของผู้อำนวยการจะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีด้วย
มาตรา ๓๒ ผู้อำนวยการมีอำนาจ
(๑)
แต่งตั้ง ถอดถอน
เลื่อนขั้นหรือลดขั้นอัตราเงินเดือนพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกจากที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการตามความในมาตรา
๒๙ (๒) ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
(๒)
ออกระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๓ ประธานกรรมการ กรรมการ
ผู้อำนวยการและพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยอาจได้รับเงินรางวัลตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
หมวด ๓
ความสัมพันธ์กับรัฐบาล
มาตรา ๓๔
ในการดำเนินกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน
มาตรา ๓๕
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้
คือ
(๑)
สร้างท่าเรือขึ้นใหม่
(๒)
เลิกกิจการในท่าเรือซึ่งเปิดดำเนินการแล้ว
(๓)
เพิ่มหรือลดทุน
(๔)
กู้ยืมเงิน
(๕)
จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์
มาตรา ๓๖
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีก่อนจึงจะวางข้อบังคับกำหนดระเบียบปฏิบัติงานและระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และกรณีอื่นทำนองเดียวกันได้
มาตรา ๓๗ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องไม่วางระเบียบว่าด้วยการใช้ประโยชน์แห่งบริการและความสะดวกต่าง
ๆ ตลอดจนการกำหนดค่าภาระในการใช้ประโยชน์และความสะดวกเช่นว่านั้น
ซึ่งจะเป็นการขัดกับนโยบายทั่วไปของรัฐบาลในการเศรษฐกิจและการคลังตามที่รัฐมนตรีแจ้งให้คณะกรรมการทราบ
มาตรา ๓๘ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดทำงบประมาณประจำปีแยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ
สำหรับงบลงทุนนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา ๓๙
รายได้ที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับจากการดำเนินงานให้ตกเป็นของการท่าเรือแห่งประเทศไทยสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่าง
ๆ
รายได้ที่ได้รับนั้น
ในปีหนึ่ง ๆ เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินงาน ค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น
ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา เงินรางวัล
และเงินสมทบกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์พนักงาน เงินสำรองธรรมดา เงินสำรองขยายงาน และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบตามความในมาตรา
๓๘ แล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
แต่ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายดังกล่าวนอกจากเงินสำรองธรรมดาและเงินสำรองขยายงานแล้ว
และการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่สามารถหาเงินจากทางอื่น ให้รัฐจ่ายเงินให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทยเท่าจำนวนที่ขาด
มาตรา ๔๐
ให้คณะกรรมการทำรายงานปีละครั้งเสนอรัฐมนตรี
รายงานนี้ให้กล่าวถึงผลงานในปีที่ล่วงแล้วของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และให้มีคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ
โครงการและแผนงานที่จะจัดทำในภายหน้า
หมวด ๔
การร้องทุกข์และการสงเคราะห์
มาตรา ๔๑
ให้พนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมีสิทธิร้องทุกข์เกี่ยวแก่การลงโทษได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๔๒
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดให้มีกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์พนักงานในเวลาพ้นจากตำแหน่ง
ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรืออื่น ๆ
อัตราเงินสมทบกองทุนซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยและพนักงานจะพึงจ่าย
ประเภทของพนักงานที่จะพึงได้รับสงเคราะห์จากกองทุนตลอดจนการจัดการเกี่ยวกับกองทุนนั้น
ให้เป็นไปตามข้อบังคับซึ่งคณะกรรมการกำหนด
ข้อบังคับดังกล่าวในวรรคก่อน
ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ใช้บังคับได้
หมวด ๕
การบัญชี การสอบ
และการตรวจ
มาตรา ๔๓
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ
มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ
(๑)
การรับและจ่ายเงิน
(๒)
สินทรัพย์และหนี้สิน
ซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริง
และตามที่ควร ตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ
มาตรา ๔๔
ให้คณะกรรมการตั้งผู้สอบบัญชีคนหนึ่งหรือหลายคน
เพื่อสอบและรับรองบัญชีของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทุกปี
ห้ามมิให้ตั้งประธานกรรมการ
กรรมการ ผู้อำนวยการ ผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการงานที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดทำเป็นผู้สอบบัญชี
มาตรา ๔๕ ให้ผู้สอบบัญชีเข้าตรวจสอบสรรพสมุด บัญชี และเอกสารหลักฐานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเวลาอันสมควรได้ทุกเมื่อ
และเพื่อการสอบบัญชี ให้มีอำนาจไต่ถามสอบสวนประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ
ผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้
มาตรา ๔๖ ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานว่าด้วย
(๑)
ข้อความคำชี้แจงอันควรแก่การสอบบัญชีที่ได้รับ
(๒)
ความสมบูรณ์ของสมุดบัญชีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยรักษาอยู่ และต้องแถลงด้วยว่า
๑.
งบดุลและบัญชีซึ่งตรวจสอบนั้นถูกต้องตรงกับสมุดบัญชีเพียงไรหรือไม่
๒.
งบดุลและบัญชีซึ่งตรวจสอบนั้นแสดงการงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่ควร
ตามข้อความคำชี้แจงและความรู้ของผู้สอบบัญชีเพียงไรหรือไม่
มาตรา ๔๗
ให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจบัญชีของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเมื่อรัฐมนตรีร้องขอ
มาตรา ๔๘ ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันหลังจากวันสิ้นปีบัญชี
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องโฆษณารายงานประจำปี แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุนเพียงสิ้นปีพร้อมกับรายงานของผู้สอบบัญชีที่คณะกรรมการตั้งขึ้นตามความในมาตรา
๔๔
หมวด ๖
บทกำหนดโทษ[๑๖]
มาตรา ๔๙[๑๗] ผู้ใด ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุม
ปรับปรุง และให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือ
และการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
มาตรา ๕๐[๑๘] ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๙
ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙[๑๙]
มาตรา
๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
ยังไม่เหมาะสมในการที่จะบริหารกิจการของการท่าเรือให้เจริญก้าวหน้า
เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือในหลักสำคัญ ๆ อาทิ
กำหนดเขตอาณาบริเวณเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยแก่การเดินเรือและการสินค้า
อำนาจหน้าที่ในการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำให้เรือขนาดใหญ่เดินได้โดยสะดวก
และเรียกเก็บค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายได้
ให้การท่าเรือได้รับยกเว้นจากการเสียภาษีอากร เพราะทรัพย์สินของการท่าเรือ
เป็นทรัพย์สินของรัฐอยู่แล้ว
ให้การท่าเรือได้ใช้ที่ดินเพื่อขยายกิจการตามโครงการโดยไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจตั้งกรรมการเพิ่มขึ้น
และนอกจากนี้ให้มีบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงเพื่อให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินกิจการให้สำเร็จลุล่วงไปตามนโยบายของรัฐบาลและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกิจการท่าเรือสากล
พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒[๒๐]
มาตรา
๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๕ ผู้อำนวยการ
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยผู้ใดมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
หรือจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ภายในระยะเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ผู้นั้นคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้เก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
และถ้าไม่ได้รับการต่ออายุการทำงานตามความในมาตรา ๓๑ ทวิ
ก็ให้พ้นจากตำแหน่งในวันถัดจากวันครบกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา
๖
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมแก่การบริหารกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าไปได้เท่าที่ควร
จึงจำต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๖[๒๑]
มาตรา
๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ไม่มีบทบัญญัติให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนเป็นเหตุให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่อาจออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนได้
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
วศิน/ผู้จัดทำ
๒๐
เมษายน ๒๕๕๒
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๘/ตอนที่ ๓๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๔
[๒] มาตรา
๔ นิยามคำว่า อาณาบริเวณ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๓] มาตรา ๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๔] มาตรา
๘ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๕] มาตรา
๙ (๖) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๖] มาตรา
๙ (๗) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๗] มาตรา
๙ (๘) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๘] มาตรา
๙ (๙) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๖
[๙] มาตรา ๑๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๐] มาตรา
๑๗ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๑] มาตรา
๑๗ ตรี เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๒] มาตรา ๒๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒
[๑๓] มาตรา ๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๔] มาตรา
๒๙ (๕) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๔๙๙
[๑๕] มาตรา
๓๑ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒
[๑๖] หมวด ๖
บทกำหนดโทษ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๗] มาตรา
๔๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๘] มาตรา
๕๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๙]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๓/ตอนที่ ๗๒/หน้า ๙๘๗/๑๑ กันยายน ๒๔๙๙
[๒๐]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๖/ตอนที่ ๖๒/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๒ มิถุนายน ๒๕๐๒
[๒๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๐/ตอนที่ ๑๕๔/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ |
301558 | พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2516 | พระราชบัญญัติ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๔)
พ.ศ. ๒๕๑๖
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๖
เป็นปีที่ ๒๘
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๖
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๙) ของมาตรา ๙
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
(๙) ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สัญญา ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ไม่มีบทบัญญัติให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนเป็นเหตุให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่อาจออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนได้
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พัชรินทร์/แก้ไข
๑๐
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๒๐
เมษายน ๒๕๕๒
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๐/ตอนที่ ๑๕๔/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ |
318163 | พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 (Update ณ วันที่ 12/06/2502) | พระราชบัญญัติ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
ในพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ธานีนิวัต
กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ให้ไว้ ณ วันที่
๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔
เป็นปีที่ ๖
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นเอกเทศ
พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย
กฎและข้อบังคับอื่นซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การท่าเรือแห่งประเทศไทย หมายความว่า
การท่าเรือซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้อำนวยการ หมายความว่า
ผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
อาณาบริเวณ[๒] หมายความว่า
เขตซึ่งอยู่ในความควบคุม และการบำรุงรักษาของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทั้งทางบกและทางน้ำ
มาตรา ๕[๓] ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมปรับปรุง และให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือและการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ และการอื่น
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
การจัดตั้ง ทุน
และเงินสำรอง
มาตรา ๖ ให้จัดตั้งการท่าเรือขึ้น เรียกว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(๑)
รับโอนกิจการท่าเรือจากสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ ในกรมการขนส่ง กระทรวงคมนาคม
(๒)
จัดดำเนินการและนำมาซึ่งความเจริญของกิจการท่าเรือเพื่อประโยชน์แห่งรัฐและประชาชน
และดำเนินธุรกิจอันเกี่ยวกับการท่าเรือ และธุรกิจอื่น ซึ่งสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ
ในกรมการขนส่งเคยปฏิบัติจัดทำ
มาตรา ๗ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล
มาตรา ๘
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยตั้งสำนักงานใหญ่ในจังหวัดพระนคร
และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดในราชอาณาจักรก็ได้
และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ต่างประเทศในเมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก็ได้
มาตรา ๘ ทวิ[๔] อาณาบริเวณให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
และให้มีแผนที่แสดงอาณาบริเวณท้ายพระราชกฤษฎีกานั้นด้วย
แผนที่นั้นให้ถือว่าเป็นส่วนแห่งพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๙
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจที่จะกระทำการต่าง ๆ
ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๖ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
สร้าง ซื้อ จัดหา จำหน่าย เช่า ให้เช่า และดำเนินงานเกี่ยวกับเครื่องใช้
บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของกิจการท่าเรือ
(๒)
ซื้อ จัดหา เช่า ให้เช่า ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครอง จำหน่าย
หรือดำเนินงานเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์
(๓)
กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของกิจการท่าเรือ
และออกระเบียบเกี่ยวกับวิธีชำระค่าภาระดังกล่าว
(๔)
จัดระเบียบว่าด้วยความปลอดภัย การใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
ของกิจการท่าเรือ
(๕)
กู้ยืมเงิน
(๖)[๕] ขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำภายในอาณาบริเวณ
(๗)[๖] ควบคุม
ปรับปรุง
และให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือและการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ
(๘)[๗]
กำหนดอัตราค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณ
มาตรา ๑๐
ให้โอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งสิ้นของสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ ในกรมการขนส่ง
ตลอดจนบรรดาที่ดินซึ่งได้เวนคืนไว้แล้วเพื่อการท่าเรือให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๑๑
ที่ดินซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้มาด้วยอำนาจแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือบทกฎหมายอื่นจะโอนต่อไปมิได้
เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ
มาตรา ๑๒ ให้จ่ายเงินในงบประมาณรายจ่ายวิสามัญลงทุนประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๔๙๔ ประเภทการบำรุงการขนส่งเป็นจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับงบประมาณส่วนที่เกี่ยวกับการขุดสันดอน การก่อสร้าง และค่าซื้อสิ่งของให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
งบประมาณรายจ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับการขุดสันดอน
การก่อสร้าง และค่าซื้อสิ่งของนั้น
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยใช้จ่ายตามรายการที่ปรากฏในงบประมาณ
มาตรา ๑๓ ทุนประเดิมของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ประกอบด้วย
(๑)
สินทรัพย์ที่รับโอนมาเมื่อได้หักหนี้สินตามมาตรา ๑๐ ออกแล้ว
(๒)
เงินที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับตามมาตรา ๑๒
มาตรา ๑๔
ทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยย่อมไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
มาตรา ๑๕
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ
บรรดาที่กฎหมายให้ไว้แก่สำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ ในกรมการขนส่ง
มาตรา ๑๖ ให้ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ
และพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายลักษณะอาญา
มาตรา ๑๗[๘]
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
และให้ได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ ตามกฎหมายอื่นบรรดาที่เรียกเก็บสำหรับอาคารและที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกจากอาคารและที่ดินที่ให้เช่า
มาตรา ๑๗ ทวิ[๙]
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นจากการเสียค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยการศุลกากร
มาตรา ๑๗ ตรี[๑๐]
อสังหาริมทรัพย์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่ว่าจะได้ให้เช่าก่อนหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เมื่อจะต้องการใช้ในกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
มาตรา ๑๘
เงินสำรองของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้ประกอบด้วยเงินสำรองเผื่อขาดและเงินสำรองอื่น
ๆ เพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะ เช่น ค่าเสื่อมราคาและค่าทำให้ดีขึ้น
เป็นต้น ตามแต่คณะกรรมการจะเห็นสมควร
มาตรา ๑๙
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของคณะกรรมการ
ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
หมวด ๒
การกำกับ
ควบคุมและจัดการ
มาตรา ๒๐[๑๑]
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เพื่อประโยชน์ในการนี้จะสั่งให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงข้อเท็จจริง
แสดงความคิดเห็นหรือทำรายงานหรือยับยั้งการกระทำใด ๆ ซึ่งขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี
ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการดำเนินงานได้
มาตรา ๒๑
ในกรณีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการจะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีตามความในพระราชบัญญัตินี้
ให้นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๒๒[๑๒]
ให้มีคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้นคณะหนึ่ง
ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคน กรรมการอื่นไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบคน
ซึ่งอย่างน้อยจะต้องเป็นผู้มีความรู้และจัดเจนเกี่ยวกับการท่าเรือหนึ่งคน
และเกี่ยวกับการเศรษฐกิจหรือการคลังหนึ่งคน
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการ
และกรรมการ
คณะรัฐมนตรีจะแต่งตั้งผู้อำนวยการเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ให้คณะกรรมการนี้มีอำนาจหน้าที่วางนโยบาย
และควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๓ ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการ
และผู้อำนวยการจะต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย
และมีความรู้และจัดเจนเกี่ยวกับการท่าเรือ การขนส่ง การเดินเรือ พาณิชยกรรม
การเศรษฐกิจ หรือการเงิน
มาตรา ๒๔
ให้คณะกรรมการเป็นผู้แทนการท่าเรือแห่งประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
แต่คณะกรรมการจะมอบหมายให้ผู้อำนวยการหรือพนักงานอื่นใดเป็นผู้แทนแทนก็ได้
มาตรา ๒๕
ผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ต้องห้ามมิให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการ คือ
(๑)
มีส่วนได้เสียในสัญญากับการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือในกิจการที่กระทำให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อม
เว้นแต่จะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นของบริษัทที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
(๒)
เป็นพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๓)
เป็นข้าราชการการเมือง
มาตรา ๒๖
ให้ประธานกรรมการและกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งสี่ปี
แต่สำหรับกรรมการนั้นในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสองปี
ให้ออกจากตำแหน่งกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก
ถ้าจำนวนกรรมการจะแบ่งออกให้ตรงเป็นกึ่งหนึ่งไม่ได้ก็ให้ออกโดยจำนวนใกล้ที่สุดกับกึ่งหนึ่ง
กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ
จะแต่งตั้งให้เป็นกรรมการอีกก็ได้
มาตรา ๒๗ ประธานกรรมการและกรรมการย่อมพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงวาระพ้นจากตำแหน่งตามความในมาตรา
๒๖ เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก
(๔)
มีลักษณะต้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๕
ในกรณีที่มีการพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงวาระ
ให้มีการแต่งตั้งกรรมการเข้าแทน กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งเข้าแทนนี้ ย่อมอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน
มาตรา ๒๘
ประธานกรรมการและกรรมการย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๙ ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๒ วรรคท้าย
คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑)
กระทำกิจการและวางข้อบังคับและระเบียบการตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๙
(๒)
แต่งตั้ง ถอดถอน กำหนด เลื่อนขั้นหรือลดขั้นอัตราเงินเดือนที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ
และหัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งกระทำหน้าที่ช่วยผู้อำนวยการ
และกำหนดอัตราเงินเดือนของพนักงานอื่นของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๓)
วางข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะกรรมการ
(๔)
วางข้อบังคับกำหนดระเบียบปฏิบัติงานและระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และกรณีอื่นทำนองเดียวกัน
(๕)[๑๓]
กำหนดอัตราค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณ อัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ
บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
แต่ต้องอยู่ภายในอัตราขั้นสูงและขั้นต่ำที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
อำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ใน
(๑) นั้น ถ้าคณะกรรมการเห็นสมควรจะมอบหมายให้ผู้อำนวยการดำเนินการก็ได้
การเปลี่ยนแปลงอัตราค่าภาระดังระบุไว้ใน
(๕) จะต้องประกาศให้ประชาชนทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
มาตรา ๓๐
ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้อำนวยการด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ในการนี้จะแต่งตั้งกรรมการเป็นผู้อำนวยการก็ได้
ให้ผู้อำนวยการได้รับเงินเดือนตามที่คณะกรรมการกำหนดด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
และให้อยู่ในตำแหน่งได้โดยไม่มีกำหนดเวลา
แต่ในกรณีที่บกพร่องต่อหน้าที่หรือหย่อนสมรรถภาพ
คณะกรรมการจะให้ออกจากตำแหน่งด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก็ได้
มาตรา ๓๑
ผู้อำนวยการเป็นผู้บริหารการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด
และให้มีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทุกตำแหน่ง
ผู้อำนวยการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการจัดการและดำเนินงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๑ ทวิ[๑๔] ผู้อำนวยการ
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้ว
เป็นอันพ้นจากตำแหน่งเมื่อสิ้นปีที่อายุครบหกสิบปีบริบูรณ์
เว้นแต่จะได้มีการต่ออายุการทำงานอีกคราวละหนึ่งปี จนอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์
วิธีการต่ออายุการทำงานให้เป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการ
การต่ออายุการทำงานของผู้อำนวยการจะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีด้วย
มาตรา ๓๒ ผู้อำนวยการมีอำนาจ
(๑)
แต่งตั้ง ถอดถอน
เลื่อนขั้นหรือลดขั้นอัตราเงินเดือนพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกจากที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการตามความในมาตรา
๒๙ (๒) ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
(๒)
ออกระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๓ ประธานกรรมการ กรรมการ
ผู้อำนวยการและพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยอาจได้รับเงินรางวัลตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
หมวด ๓
ความสัมพันธ์กับรัฐบาล
มาตรา ๓๔
ในการดำเนินกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน
มาตรา ๓๕
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้
คือ
(๑)
สร้างท่าเรือขึ้นใหม่
(๒)
เลิกกิจการในท่าเรือซึ่งเปิดดำเนินการแล้ว
(๓)
เพิ่มหรือลดทุน
(๔)
กู้ยืมเงิน
(๕)
จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์
มาตรา ๓๖ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีก่อนจึงจะวางข้อบังคับกำหนดระเบียบปฏิบัติงานและระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และกรณีอื่นทำนองเดียวกันได้
มาตรา ๓๗
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องไม่วางระเบียบว่าด้วยการใช้ประโยชน์แห่งบริการและความสะดวกต่าง
ๆ ตลอดจนการกำหนดค่าภาระในการใช้ประโยชน์และความสะดวกเช่นว่านั้น
ซึ่งจะเป็นการขัดกับนโยบายทั่วไปของรัฐบาลในการเศรษฐกิจและการคลังตามที่รัฐมนตรีแจ้งให้คณะกรรมการทราบ
มาตรา ๓๘
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดทำงบประมาณประจำปีแยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ
สำหรับงบลงทุนนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา ๓๙
รายได้ที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับจากการดำเนินงานให้ตกเป็นของการท่าเรือแห่งประเทศไทยสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่าง
ๆ
รายได้ที่ได้รับนั้น
ในปีหนึ่ง ๆ เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินงาน ค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น
ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา เงินรางวัล
และเงินสมทบกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์พนักงาน เงินสำรองธรรมดา เงินสำรองขยายงาน และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบตามความในมาตรา
๓๘ แล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
แต่ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายดังกล่าวนอกจากเงินสำรองธรรมดาและเงินสำรองขยายงานแล้ว
และการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่สามารถหาเงินจากทางอื่น
ให้รัฐจ่ายเงินให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทยเท่าจำนวนที่ขาด
มาตรา ๔๐
ให้คณะกรรมการทำรายงานปีละครั้งเสนอรัฐมนตรี
รายงานนี้ให้กล่าวถึงผลงานในปีที่ล่วงแล้วของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และให้มีคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ
โครงการและแผนงานที่จะจัดทำในภายหน้า
หมวด ๔
การร้องทุกข์และการสงเคราะห์
มาตรา ๔๑ ให้พนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมีสิทธิร้องทุกข์เกี่ยวแก่การลงโทษได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๔๒
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดให้มีกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์พนักงานในเวลาพ้นจากตำแหน่ง
ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรืออื่น ๆ
อัตราเงินสมทบกองทุนซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยและพนักงานจะพึงจ่าย
ประเภทของพนักงานที่จะพึงได้รับสงเคราะห์จากกองทุนตลอดจนการจัดการเกี่ยวกับกองทุนนั้น
ให้เป็นไปตามข้อบังคับซึ่งคณะกรรมการกำหนด
ข้อบังคับดังกล่าวในวรรคก่อน
ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ใช้บังคับได้
หมวด ๕
การบัญชี การสอบ
และการตรวจ
มาตรา ๔๓
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ
มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ
(๑)
การรับและจ่ายเงิน
(๒)
สินทรัพย์และหนี้สิน
ซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริง
และตามที่ควร ตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ
มาตรา ๔๔
ให้คณะกรรมการตั้งผู้สอบบัญชีคนหนึ่งหรือหลายคน
เพื่อสอบและรับรองบัญชีของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทุกปี
ห้ามมิให้ตั้งประธานกรรมการ
กรรมการ ผู้อำนวยการ ผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการงานที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดทำเป็นผู้สอบบัญชี
มาตรา ๔๕ ให้ผู้สอบบัญชีเข้าตรวจสอบสรรพสมุด บัญชี และเอกสารหลักฐานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเวลาอันสมควรได้ทุกเมื่อ
และเพื่อการสอบบัญชี ให้มีอำนาจไต่ถามสอบสวนประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ
ผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้
มาตรา ๔๖ ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานว่าด้วย
(๑)
ข้อความคำชี้แจงอันควรแก่การสอบบัญชีที่ได้รับ
(๒)
ความสมบูรณ์ของสมุดบัญชีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยรักษาอยู่ และต้องแถลงด้วยว่า
๑.
งบดุลและบัญชีซึ่งตรวจสอบนั้นถูกต้องตรงกับสมุดบัญชีเพียงไรหรือไม่
๒.
งบดุลและบัญชีซึ่งตรวจสอบนั้นแสดงการงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่ควร
ตามข้อความคำชี้แจงและความรู้ของผู้สอบบัญชีเพียงไรหรือไม่
มาตรา ๔๗
ให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจบัญชีของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเมื่อรัฐมนตรีร้องขอ
มาตรา ๔๘
ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันหลังจากวันสิ้นปีบัญชี การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องโฆษณารายงานประจำปี
แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุนเพียงสิ้นปีพร้อมกับรายงานของผู้สอบบัญชีที่คณะกรรมการตั้งขึ้นตามความในมาตรา
๔๔
หมวด ๖
บทกำหนดโทษ[๑๕]
มาตรา ๔๙[๑๖] ผู้ใด ฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุม ปรับปรุง และให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือ
และการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
มาตรา ๕๐[๑๗] ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๙
ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙[๑๘]
มาตรา
๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
ยังไม่เหมาะสมในการที่จะบริหารกิจการของการท่าเรือให้เจริญก้าวหน้า
เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือในหลักสำคัญ ๆ อาทิ
กำหนดเขตอาณาบริเวณเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยแก่การเดินเรือและการสินค้า
อำนาจหน้าที่ในการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำให้เรือขนาดใหญ่เดินได้โดยสะดวก
และเรียกเก็บค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายได้
ให้การท่าเรือได้รับยกเว้นจากการเสียภาษีอากร เพราะทรัพย์สินของการท่าเรือ
เป็นทรัพย์สินของรัฐอยู่แล้ว ให้การท่าเรือได้ใช้ที่ดินเพื่อขยายกิจการตามโครงการโดยไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจตั้งกรรมการเพิ่มขึ้น
และนอกจากนี้ให้มีบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงเพื่อให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินกิจการให้สำเร็จลุล่วงไปตามนโยบายของรัฐบาลและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกิจการท่าเรือสากล
พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒[๑๙]
มาตรา
๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา
๕ ผู้อำนวยการ หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยผู้ใดมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
หรือจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ภายในระยะเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ผู้นั้นคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้เก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
และถ้าไม่ได้รับการต่ออายุการทำงานตามความในมาตรา ๓๑ ทวิ
ก็ให้พ้นจากตำแหน่งในวันถัดจากวันครบกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา
๖
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมแก่การบริหารกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าไปได้เท่าที่ควร
จึงจำต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย
วศิน/ผู้จัดทำ
๒๐
เมษายน ๒๕๕๒
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๘/ตอนที่ ๓๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๔
[๒] มาตรา
๔ นิยามคำว่า อาณาบริเวณ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๓] มาตรา ๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๔] มาตรา
๘ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๕] มาตรา
๙ (๖) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๖] มาตรา
๙ (๗) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๗] มาตรา
๙ (๘) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๘] มาตรา ๑๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๙] มาตรา
๑๗ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๐] มาตรา
๑๗ ตรี เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๑] มาตรา ๒๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒
[๑๒] มาตรา ๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๓] มาตรา
๒๙ (๕) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๔๙๙
[๑๔] มาตรา
๓๑ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒
[๑๕] หมวด ๖
บทกำหนดโทษ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๖] มาตรา
๔๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๗] มาตรา
๕๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๘]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๓/ตอนที่ ๗๒/หน้า ๙๘๗/๑๑ กันยายน ๒๔๙๙
[๑๙]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๖/ตอนที่ ๖๒/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๒ มิถุนายน ๒๕๐๒ |
301557 | พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2502 | พระราชบัญญัติ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๐๒
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๒
เป็นปีที่ ๑๔
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๒
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๐
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๐
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เพื่อประโยชน์ในการนี้จะสั่งให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงข้อเท็จจริง
แสดงความคิดเห็นหรือทำรายงานหรือยับยั้งการกระทำใด ๆ
ซึ่งขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการดำเนินงานได้
มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓๑ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
มาตรา ๓๑ ทวิ ผู้อำนวยการ
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้ว
เป็นอันพ้นจากตำแหน่งเมื่อสิ้นปีที่อายุครบหกสิบปีบริบูรณ์
เว้นแต่จะได้มีการต่ออายุการทำงานอีกคราวละหนึ่งปี จนอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์
วิธีการต่ออายุการทำงานให้เป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการ
การต่ออายุการทำงานของผู้อำนวยการจะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีด้วย
มาตรา ๕ ผู้อำนวยการ หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยผู้ใดมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
หรือจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ภายในระยะเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ผู้นั้นคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้เก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
และถ้าไม่ได้รับการต่ออายุการทำงานตามความในมาตรา ๓๑ ทวิ
ก็ให้พ้นจากตำแหน่งในวันถัดจากวันครบกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๖
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ส. ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมแก่การบริหารกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าไปได้เท่าที่ควร
จึงจำต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรพิมล/แก้ไข
๑๕ ส.ค
๒๕๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑๐
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๒๐
เมษายน ๒๕๕๒
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๖/ตอนที่ ๖๒/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๒ มิถุนายน ๒๕๐๒ |
300307 | พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 (Update ณ วันที่ 11/09/2499) | พระราชบัญญัติ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
ในพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ธานีนิวัต
กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ให้ไว้ ณ วันที่
๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔
เป็นปีที่ ๖
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นเอกเทศ
พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย
กฎและข้อบังคับอื่นซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การท่าเรือแห่งประเทศไทย หมายความว่า
การท่าเรือซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้อำนวยการ หมายความว่า
ผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
อาณาบริเวณ[๒] หมายความว่า
เขตซึ่งอยู่ในความควบคุม และการบำรุงรักษาของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทั้งทางบกและทางน้ำ
มาตรา ๕[๓] ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมปรับปรุง และให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือและการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ และการอื่น
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
การจัดตั้ง ทุน
และเงินสำรอง
มาตรา ๖ ให้จัดตั้งการท่าเรือขึ้น เรียกว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(๑)
รับโอนกิจการท่าเรือจากสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ ในกรมการขนส่ง กระทรวงคมนาคม
(๒)
จัดดำเนินการและนำมาซึ่งความเจริญของกิจการท่าเรือเพื่อประโยชน์แห่งรัฐและประชาชน
และดำเนินธุรกิจอันเกี่ยวกับการท่าเรือ และธุรกิจอื่น ซึ่งสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ
ในกรมการขนส่งเคยปฏิบัติจัดทำ
มาตรา ๗ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล
มาตรา ๘
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยตั้งสำนักงานใหญ่ในจังหวัดพระนคร
และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดในราชอาณาจักรก็ได้
และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ต่างประเทศในเมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก็ได้
มาตรา ๘ ทวิ[๔] อาณาบริเวณให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
และให้มีแผนที่แสดงอาณาบริเวณท้ายพระราชกฤษฎีกานั้นด้วย
แผนที่นั้นให้ถือว่าเป็นส่วนแห่งพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๙
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจที่จะกระทำการต่าง ๆ
ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๖ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
สร้าง ซื้อ จัดหา จำหน่าย เช่า ให้เช่า และดำเนินงานเกี่ยวกับเครื่องใช้
บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของกิจการท่าเรือ
(๒)
ซื้อ จัดหา เช่า ให้เช่า ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครอง จำหน่าย
หรือดำเนินงานเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์
(๓)
กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของกิจการท่าเรือ
และออกระเบียบเกี่ยวกับวิธีชำระค่าภาระดังกล่าว
(๔)
จัดระเบียบว่าด้วยความปลอดภัย การใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
ของกิจการท่าเรือ
(๕)
กู้ยืมเงิน
(๖)[๕] ขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำภายในอาณาบริเวณ
(๗)[๖] ควบคุม
ปรับปรุง
และให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือและการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ
(๘)[๗]
กำหนดอัตราค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณ
มาตรา ๑๐
ให้โอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งสิ้นของสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ ในกรมการขนส่ง
ตลอดจนบรรดาที่ดินซึ่งได้เวนคืนไว้แล้วเพื่อการท่าเรือให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๑๑
ที่ดินซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้มาด้วยอำนาจแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือบทกฎหมายอื่นจะโอนต่อไปมิได้
เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ
มาตรา ๑๒ ให้จ่ายเงินในงบประมาณรายจ่ายวิสามัญลงทุนประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๔๙๔ ประเภทการบำรุงการขนส่งเป็นจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับงบประมาณส่วนที่เกี่ยวกับการขุดสันดอน การก่อสร้าง และค่าซื้อสิ่งของให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
งบประมาณรายจ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับการขุดสันดอน
การก่อสร้าง และค่าซื้อสิ่งของนั้น
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยใช้จ่ายตามรายการที่ปรากฏในงบประมาณ
มาตรา ๑๓ ทุนประเดิมของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ประกอบด้วย
(๑)
สินทรัพย์ที่รับโอนมาเมื่อได้หักหนี้สินตามมาตรา ๑๐ ออกแล้ว
(๒)
เงินที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับตามมาตรา ๑๒
มาตรา ๑๔
ทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยย่อมไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
มาตรา ๑๕
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ
บรรดาที่กฎหมายให้ไว้แก่สำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ ในกรมการขนส่ง
มาตรา ๑๖ ให้ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ
และพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายลักษณะอาญา
มาตรา ๑๗[๘]
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
และให้ได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมใดๆ ตามกฎหมายอื่นบรรดาที่เรียกเก็บสำหรับอาคารและที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกจากอาคารและที่ดินที่ให้เช่า
มาตรา ๑๗ ทวิ[๙]
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นจากการเสียค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยการศุลกากร
มาตรา ๑๗ ตรี[๑๐]
อสังหาริมทรัพย์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่ว่าจะได้ให้เช่าก่อนหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เมื่อจะต้องการใช้ในกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
มาตรา ๑๘
เงินสำรองของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้ประกอบด้วยเงินสำรองเผื่อขาดและเงินสำรองอื่น
ๆ เพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะ เช่น ค่าเสื่อมราคาและค่าทำให้ดีขึ้น
เป็นต้น ตามแต่คณะกรรมการจะเห็นสมควร
มาตรา ๑๙
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของคณะกรรมการ
ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
หมวด ๒
การกำกับ
ควบคุมและจัดการ
มาตรา ๒๐
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้
และเพื่อประโยชน์ในการนี้ให้มีอำนาจเรียกประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมาชี้แจงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็น
หรือให้ทำรายงานยื่นได้
มาตรา ๒๑
ในกรณีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการจะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีตามความในพระราชบัญญัตินี้
ให้นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๒๒[๑๑] ให้มีคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้นคณะหนึ่ง
ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคน กรรมการอื่นไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบคน
ซึ่งอย่างน้อยจะต้องเป็นผู้มีความรู้และจัดเจนเกี่ยวกับการท่าเรือหนึ่งคน
และเกี่ยวกับการเศรษฐกิจหรือการคลังหนึ่งคน
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการ
และกรรมการ
คณะรัฐมนตรีจะแต่งตั้งผู้อำนวยการเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ให้คณะกรรมการนี้มีอำนาจหน้าที่วางนโยบาย
และควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๓
ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการ และผู้อำนวยการจะต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย
และมีความรู้และจัดเจนเกี่ยวกับการท่าเรือ การขนส่ง การเดินเรือ พาณิชยกรรม
การเศรษฐกิจ หรือการเงิน
มาตรา ๒๔
ให้คณะกรรมการเป็นผู้แทนการท่าเรือแห่งประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
แต่คณะกรรมการจะมอบหมายให้ผู้อำนวยการหรือพนักงานอื่นใดเป็นผู้แทนแทนก็ได้
มาตรา ๒๕
ผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ต้องห้ามมิให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการ คือ
(๑)
มีส่วนได้เสียในสัญญากับการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือในกิจการที่กระทำให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อม
เว้นแต่จะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นของบริษัทที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
(๒)
เป็นพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๓)
เป็นข้าราชการการเมือง
มาตรา ๒๖
ให้ประธานกรรมการและกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งสี่ปี
แต่สำหรับกรรมการนั้นในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสองปี ให้ออกจากตำแหน่งกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก
ถ้าจำนวนกรรมการจะแบ่งออกให้ตรงเป็นกึ่งหนึ่งไม่ได้ก็ให้ออกโดยจำนวนใกล้ที่สุดกับกึ่งหนึ่ง
กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ
จะแต่งตั้งให้เป็นกรรมการอีกก็ได้
มาตรา ๒๗
ประธานกรรมการและกรรมการย่อมพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงวาระพ้นจากตำแหน่งตามความในมาตรา
๒๖ เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก
(๔)
มีลักษณะต้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๕
ในกรณีที่มีการพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงวาระ
ให้มีการแต่งตั้งกรรมการเข้าแทน กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งเข้าแทนนี้
ย่อมอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน
มาตรา ๒๘
ประธานกรรมการและกรรมการย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๙ ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๒ วรรคท้าย
คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑)
กระทำกิจการและวางข้อบังคับและระเบียบการตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๙
(๒)
แต่งตั้ง ถอดถอน กำหนด เลื่อนขั้นหรือลดขั้นอัตราเงินเดือนที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ
และหัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งกระทำหน้าที่ช่วยผู้อำนวยการ
และกำหนดอัตราเงินเดือนของพนักงานอื่นของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๓)
วางข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะกรรมการ
(๔)
วางข้อบังคับกำหนดระเบียบปฏิบัติงานและระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และกรณีอื่นทำนองเดียวกัน
(๕)[๑๒]
กำหนดอัตราค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณ อัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ
บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
แต่ต้องอยู่ภายในอัตราขั้นสูงและขั้นต่ำที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
อำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ใน
(๑) นั้น ถ้าคณะกรรมการเห็นสมควรจะมอบหมายให้ผู้อำนวยการดำเนินการก็ได้
การเปลี่ยนแปลงอัตราค่าภาระดังระบุไว้ใน
(๕) จะต้องประกาศให้ประชาชนทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
มาตรา ๓๐ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้อำนวยการด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ในการนี้จะแต่งตั้งกรรมการเป็นผู้อำนวยการก็ได้
ให้ผู้อำนวยการได้รับเงินเดือนตามที่คณะกรรมการกำหนดด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
และให้อยู่ในตำแหน่งได้โดยไม่มีกำหนดเวลา
แต่ในกรณีที่บกพร่องต่อหน้าที่หรือหย่อนสมรรถภาพ
คณะกรรมการจะให้ออกจากตำแหน่งด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก็ได้
มาตรา ๓๑
ผู้อำนวยการเป็นผู้บริหารการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด
และให้มีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทุกตำแหน่ง
ผู้อำนวยการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการจัดการและดำเนินงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๒ ผู้อำนวยการมีอำนาจ
(๑)
แต่งตั้ง ถอดถอน
เลื่อนขั้นหรือลดขั้นอัตราเงินเดือนพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกจากที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการตามความในมาตรา
๒๙ (๒) ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
(๒)
ออกระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๓ ประธานกรรมการ กรรมการ
ผู้อำนวยการและพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยอาจได้รับเงินรางวัลตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
หมวด ๓
ความสัมพันธ์กับรัฐบาล
มาตรา ๓๔
ในการดำเนินกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน
มาตรา ๓๕
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้
คือ
(๑)
สร้างท่าเรือขึ้นใหม่
(๒)
เลิกกิจการในท่าเรือซึ่งเปิดดำเนินการแล้ว
(๓)
เพิ่มหรือลดทุน
(๔)
กู้ยืมเงิน
(๕)
จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์
มาตรา ๓๖
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีก่อนจึงจะวางข้อบังคับกำหนดระเบียบปฏิบัติงานและระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และกรณีอื่นทำนองเดียวกันได้
มาตรา ๓๗
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องไม่วางระเบียบว่าด้วยการใช้ประโยชน์แห่งบริการและความสะดวกต่าง
ๆ ตลอดจนการกำหนดค่าภาระในการใช้ประโยชน์และความสะดวกเช่นว่านั้น
ซึ่งจะเป็นการขัดกับนโยบายทั่วไปของรัฐบาลในการเศรษฐกิจและการคลังตามที่รัฐมนตรีแจ้งให้คณะกรรมการทราบ
มาตรา ๓๘
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดทำงบประมาณประจำปีแยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ
สำหรับงบลงทุนนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา ๓๙
รายได้ที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับจากการดำเนินงานให้ตกเป็นของการท่าเรือแห่งประเทศไทยสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่าง
ๆ
รายได้ที่ได้รับนั้น
ในปีหนึ่ง ๆ เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินงาน ค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น
ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา เงินรางวัล และเงินสมทบกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์พนักงาน
เงินสำรองธรรมดา เงินสำรองขยายงาน และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบตามความในมาตรา
๓๘ แล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
แต่ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายดังกล่าวนอกจากเงินสำรองธรรมดาและเงินสำรองขยายงานแล้ว
และการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่สามารถหาเงินจากทางอื่น
ให้รัฐจ่ายเงินให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทยเท่าจำนวนที่ขาด
มาตรา ๔๐
ให้คณะกรรมการทำรายงานปีละครั้งเสนอรัฐมนตรี
รายงานนี้ให้กล่าวถึงผลงานในปีที่ล่วงแล้วของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และให้มีคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ
โครงการและแผนงานที่จะจัดทำในภายหน้า
หมวด ๔
การร้องทุกข์และการสงเคราะห์
มาตรา ๔๑
ให้พนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมีสิทธิร้องทุกข์เกี่ยวแก่การลงโทษได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๔๒ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดให้มีกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์พนักงานในเวลาพ้นจากตำแหน่ง
ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรืออื่น ๆ
อัตราเงินสมทบกองทุนซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยและพนักงานจะพึงจ่าย
ประเภทของพนักงานที่จะพึงได้รับสงเคราะห์จากกองทุนตลอดจนการจัดการเกี่ยวกับกองทุนนั้น
ให้เป็นไปตามข้อบังคับซึ่งคณะกรรมการกำหนด
ข้อบังคับดังกล่าวในวรรคก่อน
ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ใช้บังคับได้
หมวด ๕
การบัญชี การสอบ
และการตรวจ
มาตรา ๔๓
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ
มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ
(๑)
การรับและจ่ายเงิน
(๒)
สินทรัพย์และหนี้สิน
ซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริง
และตามที่ควร ตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ
มาตรา ๔๔ ให้คณะกรรมการตั้งผู้สอบบัญชีคนหนึ่งหรือหลายคน
เพื่อสอบและรับรองบัญชีของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทุกปี
ห้ามมิให้ตั้งประธานกรรมการ
กรรมการ ผู้อำนวยการ ผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการงานที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดทำเป็นผู้สอบบัญชี
มาตรา ๔๕ ให้ผู้สอบบัญชีเข้าตรวจสอบสรรพสมุด บัญชี และเอกสารหลักฐานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเวลาอันสมควรได้ทุกเมื่อ
และเพื่อการสอบบัญชี ให้มีอำนาจไต่ถามสอบสวนประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ
ผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้
มาตรา ๔๖ ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานว่าด้วย
(๑)
ข้อความคำชี้แจงอันควรแก่การสอบบัญชีที่ได้รับ
(๒)
ความสมบูรณ์ของสมุดบัญชีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยรักษาอยู่ และต้องแถลงด้วยว่า
๑.
งบดุลและบัญชีซึ่งตรวจสอบนั้นถูกต้องตรงกับสมุดบัญชีเพียงไรหรือไม่
๒.
งบดุลและบัญชีซึ่งตรวจสอบนั้นแสดงการงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่ควร
ตามข้อความคำชี้แจงและความรู้ของผู้สอบบัญชีเพียงไรหรือไม่
มาตรา ๔๗
ให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจบัญชีของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเมื่อรัฐมนตรีร้องขอ
มาตรา ๔๘
ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันหลังจากวันสิ้นปีบัญชี
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องโฆษณารายงานประจำปี แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุนเพียงสิ้นปีพร้อมกับรายงานของผู้สอบบัญชีที่คณะกรรมการตั้งขึ้นตามความในมาตรา
๔๔
หมวด ๖
บทกำหนดโทษ[๑๓]
มาตรา ๔๙[๑๔] ผู้ใด ฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุม ปรับปรุง
และให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือ และการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
มาตรา ๕๐[๑๕] ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๙
ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙[๑๖]
มาตรา
๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
ยังไม่เหมาะสมในการที่จะบริหารกิจการของการท่าเรือให้เจริญก้าวหน้า
เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือในหลักสำคัญ ๆ อาทิ
กำหนดเขตอาณาบริเวณเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยแก่การเดินเรือและการสินค้า
อำนาจหน้าที่ในการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำให้เรือขนาดใหญ่เดินได้โดยสะดวก
และเรียกเก็บค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายได้ ให้การท่าเรือได้รับยกเว้นจากการเสียภาษีอากร
เพราะทรัพย์สินของการท่าเรือ เป็นทรัพย์สินของรัฐอยู่แล้ว
ให้การท่าเรือได้ใช้ที่ดินเพื่อขยายกิจการตามโครงการโดยไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจตั้งกรรมการเพิ่มขึ้น และนอกจากนี้ให้มีบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงเพื่อให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินกิจการให้สำเร็จลุล่วงไปตามนโยบายของรัฐบาลและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกิจการท่าเรือสากล
วศิน/ผู้จัดทำ
๒๐
เมษายน ๒๕๕๒
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๘/ตอนที่ ๓๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๔
[๒] มาตรา
๔ นิยามคำว่า อาณาบริเวณ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๓] มาตรา ๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๔] มาตรา
๘ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๕] มาตรา
๙ (๖) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๖] มาตรา
๙ (๗) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๗] มาตรา
๙ (๘) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๘] มาตรา ๑๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๙] มาตรา
๑๗ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๐] มาตรา
๑๗ ตรี เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๑] มาตรา ๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๒] มาตรา
๒๙ (๕) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๔๙๙
[๑๓] หมวด ๖
บทกำหนดโทษ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๔] มาตรา
๔๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๕] มาตรา
๕๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
[๑๖]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๓/ตอนที่ ๗๒/หน้า ๙๘๗/๑๑ กันยายน ๒๔๙๙ |
301556 | พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2499 | พระราชบัญญัติ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๔๙๙
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่
๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๙
เป็นปีที่ ๑๑
ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคท้ายของมาตรา
๔ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
อาณาบริเวณ หมายความว่า เขตซึ่งอยู่ในความควบคุม
และการบำรุงรักษาของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทั้งทางบกและทางน้ำ
มาตรา ๔
ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๔๙๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมปรับปรุง และให้ความสะดวก
และความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือและการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ และการอื่น
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๘ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
มาตรา ๘ ทวิ
อาณาบริเวณให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
และให้มีแผนที่แสดงอาณาบริเวณท้ายพระราชกฤษฎีกานั้นด้วย
แผนที่นั้นให้ถือว่าเป็นส่วนแห่งพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๖) (๗) และ (๘)
ของมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
(๖) ขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำภายในอาณาบริเวณ
(๗)
ควบคุม ปรับปรุง
และให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือและการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ
(๘)
กำหนดอัตราค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณ
มาตรา ๗
ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๔๙๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๗
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
และให้ได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ
ตามกฎหมายอื่นบรรดาที่เรียกเก็บสำหรับอาคารและที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกจากอาคารและที่ดินที่ให้เช่า
มาตรา ๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๗ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
มาตรา ๑๗ ทวิ
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นจากการเสียค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยการศุลกากร
มาตรา ๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๗ ตรี
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
มาตรา ๑๗ ตรี
อสังหาริมทรัพย์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่ว่าจะได้ให้เช่าก่อนหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เมื่อจะต้องการใช้ในกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๒
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๒
ให้มีคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้นคณะหนึ่ง
ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคน กรรมการอื่นไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบคน
ซึ่งอย่างน้อยจะต้องเป็นผู้มีความรู้และจัดเจนเกี่ยวกับการท่าเรือหนึ่งคน และเกี่ยวกับการเศรษฐกิจหรือการคลังหนึ่งคน
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการ
และกรรมการ
คณะรัฐมนตรีจะแต่งตั้งผู้อำนวยการเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ให้คณะกรรมการนี้มีอำนาจหน้าที่วางนโยบาย
และควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกความใน (๕) ของมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๕) กำหนดอัตราค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณ อัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ
บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
แต่ต้องอยู่ภายในอัตราขั้นสูงและขั้นต่ำที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๑๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด ๖
บทกำหนดโทษ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๔๙๔
หมวด
๖
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๔๙ ผู้ใด ฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุม ปรับปรุง
และให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าเรือ และการเดินเรือภายในอาณาบริเวณ
มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
มาตรา ๕๐ ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๙
ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
เนื่องจากพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
ยังไม่เหมาะสมในการที่จะบริหารกิจการของการท่าเรือให้เจริญก้าวหน้า
เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการท่าเรือในหลักสำคัญ ๆ อาทิ
กำหนดเขตอาณาบริเวณเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยแก่การเดินเรือและการสินค้า
อำนาจหน้าที่ในการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำให้เรือขนาดใหญ่เดินได้โดยสะดวก
และเรียกเก็บค่าภาระต่าง ๆ ภายในอาณาบริเวณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายได้
ให้การท่าเรือได้รับยกเว้นจากการเสียภาษีอากร เพราะทรัพย์สินของการท่าเรือ
เป็นทรัพย์สินของรัฐอยู่แล้ว
ให้การท่าเรือได้ใช้ที่ดินเพื่อขยายกิจการตามโครงการโดยไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจตั้งกรรมการเพิ่มขึ้น
และนอกจากนี้ให้มีบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงเพื่อให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินกิจการให้สำเร็จลุล่วงไปตามนโยบายของรัฐบาลและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกิจการท่าเรือสากล
พรพิมล/แก้ไข
๑๐ ก.ย
๒๕๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑๐
มกราคม ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๒๐
เมษายน ๒๕๕๒
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๓/ตอนที่ ๗๒/หน้า ๙๘๗/๑๑ กันยายน ๒๔๙๙ |
301555 | พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 | พระราชบัญญัติ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
ในพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ธานีนิวัต
กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ให้ไว้ ณ วันที่
๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔
เป็นปีที่ ๖
ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นเอกเทศ
พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย
กฎและข้อบังคับอื่นซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การท่าเรือแห่งประเทศไทย หมายความว่า
การท่าเรือซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้อำนวยการ หมายความว่า
ผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
มาตรา ๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมวด ๑
การจัดตั้ง ทุน
และเงินสำรอง
มาตรา ๖ ให้จัดตั้งการท่าเรือขึ้น เรียกว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(๑)
รับโอนกิจการท่าเรือจากสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ ในกรมการขนส่ง กระทรวงคมนาคม
(๒)
จัดดำเนินการและนำมาซึ่งความเจริญของกิจการท่าเรือเพื่อประโยชน์แห่งรัฐและประชาชน
และดำเนินธุรกิจอันเกี่ยวกับการท่าเรือ และธุรกิจอื่น ซึ่งสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ
ในกรมการขนส่งเคยปฏิบัติจัดทำ
มาตรา ๗ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล
มาตรา ๘ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยตั้งสำนักงานใหญ่ในจังหวัดพระนคร
และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดในราชอาณาจักรก็ได้
และจะตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ต่างประเทศในเมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก็ได้
มาตรา ๙
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจที่จะกระทำการต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา
๖ และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
(๑)
สร้าง ซื้อ จัดหา จำหน่าย เช่า ให้เช่า และดำเนินงานเกี่ยวกับเครื่องใช้
บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของกิจการท่าเรือ
(๒)
ซื้อ จัดหา เช่า ให้เช่า ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครอง จำหน่าย หรือดำเนินงานเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์
(๓)
กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของกิจการท่าเรือ
และออกระเบียบเกี่ยวกับวิธีชำระค่าภาระดังกล่าว
(๔)
จัดระเบียบว่าด้วยความปลอดภัย การใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
ของกิจการท่าเรือ
(๕)
กู้ยืมเงิน
มาตรา ๑๐
ให้โอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งสิ้นของสำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ
ในกรมการขนส่ง
ตลอดจนบรรดาที่ดินซึ่งได้เวนคืนไว้แล้วเพื่อการท่าเรือให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๑๑
ที่ดินซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้มาด้วยอำนาจแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือบทกฎหมายอื่นจะโอนต่อไปมิได้
เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ
มาตรา ๑๒
ให้จ่ายเงินในงบประมาณรายจ่ายวิสามัญลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๔
ประเภทการบำรุงการขนส่งเป็นจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับงบประมาณส่วนที่เกี่ยวกับการขุดสันดอน การก่อสร้าง และค่าซื้อสิ่งของให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
งบประมาณรายจ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับการขุดสันดอน
การก่อสร้าง และค่าซื้อสิ่งของนั้น
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยใช้จ่ายตามรายการที่ปรากฏในงบประมาณ
มาตรา ๑๓ ทุนประเดิมของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ประกอบด้วย
(๑)
สินทรัพย์ที่รับโอนมาเมื่อได้หักหนี้สินตามมาตรา ๑๐ ออกแล้ว
(๒)
เงินที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับตามมาตรา ๑๒
มาตรา ๑๔
ทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยย่อมไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
มาตรา ๑๕
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ บรรดาที่กฎหมายให้ไว้แก่สำนักงานท่าเรือกรุงเทพฯ
ในกรมการขนส่ง
มาตรา ๑๖ ให้ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ
และพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายลักษณะอาญา
มาตรา ๑๗
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
มาตรา ๑๘
เงินสำรองของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้ประกอบด้วยเงินสำรองเผื่อขาดและเงินสำรองอื่น
ๆ เพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะ เช่น ค่าเสื่อมราคาและค่าทำให้ดีขึ้น
เป็นต้น ตามแต่คณะกรรมการจะเห็นสมควร
มาตรา ๑๙ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของคณะกรรมการ
ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
หมวด ๒
การกำกับ
ควบคุมและจัดการ
มาตรา ๒๐
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้
และเพื่อประโยชน์ในการนี้ให้มีอำนาจเรียกประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมาชี้แจงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็น
หรือให้ทำรายงานยื่นได้
มาตรา ๒๑
ในกรณีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการจะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีตามความในพระราชบัญญัตินี้
ให้นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๒๒
ให้มีคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วย
ประธานกรรมการหนึ่งคน และกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่าสี่คน แต่ไม่เกินหกคน
ซึ่งอย่างน้อยจะต้องเป็นผู้มีความรู้และจัดเจนเกี่ยวกับการท่าเรือหนึ่งคนและเกี่ยวกับการเศรษฐกิจหนึ่งคน
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการ
คณะรัฐมนตรีจะแต่งตั้งผู้อำนวยการเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ให้คณะกรรมการนี้มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๓ ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ
กรรมการ และผู้อำนวยการจะต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย
และมีความรู้และจัดเจนเกี่ยวกับการท่าเรือ การขนส่ง การเดินเรือ พาณิชยกรรม
การเศรษฐกิจ หรือการเงิน
มาตรา ๒๔
ให้คณะกรรมการเป็นผู้แทนการท่าเรือแห่งประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
แต่คณะกรรมการจะมอบหมายให้ผู้อำนวยการหรือพนักงานอื่นใดเป็นผู้แทนแทนก็ได้
มาตรา ๒๕
ผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ต้องห้ามมิให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการ คือ
(๑)
มีส่วนได้เสียในสัญญากับการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือในกิจการที่กระทำให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อม
เว้นแต่จะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นของบริษัทที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
(๒)
เป็นพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๓)
เป็นข้าราชการการเมือง
มาตรา ๒๖
ให้ประธานกรรมการและกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งสี่ปี แต่สำหรับกรรมการนั้นในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสองปี
ให้ออกจากตำแหน่งกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก
ถ้าจำนวนกรรมการจะแบ่งออกให้ตรงเป็นกึ่งหนึ่งไม่ได้ก็ให้ออกโดยจำนวนใกล้ที่สุดกับกึ่งหนึ่ง
กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ
จะแต่งตั้งให้เป็นกรรมการอีกก็ได้
มาตรา ๒๗ ประธานกรรมการและกรรมการย่อมพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงวาระพ้นจากตำแหน่งตามความในมาตรา
๒๖ เมื่อ
(๑)
ตาย
(๒)
ลาออก
(๓)
คณะรัฐมนตรีให้ออก
(๔)
มีลักษณะต้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๕
ในกรณีที่มีการพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงวาระ
ให้มีการแต่งตั้งกรรมการเข้าแทน กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งเข้าแทนนี้
ย่อมอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน
มาตรา ๒๘
ประธานกรรมการและกรรมการย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๙ ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๒ วรรคท้าย
คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑)
กระทำกิจการและวางข้อบังคับและระเบียบการตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๙
(๒)
แต่งตั้ง ถอดถอน กำหนด เลื่อนขั้นหรือลดขั้นอัตราเงินเดือนที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ
และหัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งกระทำหน้าที่ช่วยผู้อำนวยการ
และกำหนดอัตราเงินเดือนของพนักงานอื่นของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(๓)
วางข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะกรรมการ
(๔)
วางข้อบังคับกำหนดระเบียบปฏิบัติงานและระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และกรณีอื่นทำนองเดียวกัน
(๕)
กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย แต่ต้องอยู่ภายในอัตราขั้นสูงและขั้นต่ำที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
อำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ใน
(๑) นั้น ถ้าคณะกรรมการเห็นสมควรจะมอบหมายให้ผู้อำนวยการดำเนินการก็ได้
การเปลี่ยนแปลงอัตราค่าภาระดังระบุไว้ใน
(๕) จะต้องประกาศให้ประชาชนทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
มาตรา ๓๐
ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้อำนวยการด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ในการนี้จะแต่งตั้งกรรมการเป็นผู้อำนวยการก็ได้
ให้ผู้อำนวยการได้รับเงินเดือนตามที่คณะกรรมการกำหนดด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
และให้อยู่ในตำแหน่งได้โดยไม่มีกำหนดเวลา แต่ในกรณีที่บกพร่องต่อหน้าที่หรือหย่อนสมรรถภาพ
คณะกรรมการจะให้ออกจากตำแหน่งด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก็ได้
มาตรา ๓๑
ผู้อำนวยการเป็นผู้บริหารการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด
และให้มีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทุกตำแหน่ง
ผู้อำนวยการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการจัดการและดำเนินงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๒ ผู้อำนวยการมีอำนาจ
(๑)
แต่งตั้ง ถอดถอน
เลื่อนขั้นหรือลดขั้นอัตราเงินเดือนพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกจากที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการตามความในมาตรา
๒๙ (๒) ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
(๒)
ออกระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๓ ประธานกรรมการ กรรมการ
ผู้อำนวยการและพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยอาจได้รับเงินรางวัลตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
หมวด ๓
ความสัมพันธ์กับรัฐบาล
มาตรา ๓๔
ในการดำเนินกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน
มาตรา ๓๕
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้
คือ
(๑)
สร้างท่าเรือขึ้นใหม่
(๒)
เลิกกิจการในท่าเรือซึ่งเปิดดำเนินการแล้ว
(๓)
เพิ่มหรือลดทุน
(๔)
กู้ยืมเงิน
(๕)
จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์
มาตรา ๓๖
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีก่อนจึงจะวางข้อบังคับกำหนดระเบียบปฏิบัติงานและระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และกรณีอื่นทำนองเดียวกันได้
มาตรา ๓๗
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องไม่วางระเบียบว่าด้วยการใช้ประโยชน์แห่งบริการและความสะดวกต่าง
ๆ ตลอดจนการกำหนดค่าภาระในการใช้ประโยชน์และความสะดวกเช่นว่านั้น
ซึ่งจะเป็นการขัดกับนโยบายทั่วไปของรัฐบาลในการเศรษฐกิจและการคลังตามที่รัฐมนตรีแจ้งให้คณะกรรมการทราบ
มาตรา ๓๘
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดทำงบประมาณประจำปีแยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ
สำหรับงบลงทุนนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา ๓๙
รายได้ที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับจากการดำเนินงานให้ตกเป็นของการท่าเรือแห่งประเทศไทยสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่าง
ๆ
รายได้ที่ได้รับนั้น
ในปีหนึ่ง ๆ เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินงาน ค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น
ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา เงินรางวัล
และเงินสมทบกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์พนักงาน เงินสำรองธรรมดา เงินสำรองขยายงาน และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบตามความในมาตรา
๓๘ แล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
แต่ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายดังกล่าวนอกจากเงินสำรองธรรมดาและเงินสำรองขยายงานแล้ว
และการท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่สามารถหาเงินจากทางอื่น
ให้รัฐจ่ายเงินให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทยเท่าจำนวนที่ขาด
มาตรา ๔๐
ให้คณะกรรมการทำรายงานปีละครั้งเสนอรัฐมนตรี
รายงานนี้ให้กล่าวถึงผลงานในปีที่ล่วงแล้วของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และให้มีคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ
โครงการและแผนงานที่จะจัดทำในภายหน้า
หมวด ๔
การร้องทุกข์และการสงเคราะห์
มาตรา ๔๑
ให้พนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมีสิทธิร้องทุกข์เกี่ยวแก่การลงโทษได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๔๒ ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดให้มีกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์พนักงานในเวลาพ้นจากตำแหน่ง
ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรืออื่น ๆ
อัตราเงินสมทบกองทุนซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยและพนักงานจะพึงจ่าย
ประเภทของพนักงานที่จะพึงได้รับสงเคราะห์จากกองทุนตลอดจนการจัดการเกี่ยวกับกองทุนนั้น
ให้เป็นไปตามข้อบังคับซึ่งคณะกรรมการกำหนด
ข้อบังคับดังกล่าวในวรรคก่อน
ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ใช้บังคับได้
หมวด ๕
การบัญชี การสอบ
และการตรวจ
มาตรา ๔๓
ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ
มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ
(๑)
การรับและจ่ายเงิน
(๒)
สินทรัพย์และหนี้สิน
ซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริง
และตามที่ควร ตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ
มาตรา ๔๔ ให้คณะกรรมการตั้งผู้สอบบัญชีคนหนึ่งหรือหลายคน
เพื่อสอบและรับรองบัญชีของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทุกปี
ห้ามมิให้ตั้งประธานกรรมการ
กรรมการ ผู้อำนวยการ ผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการงานที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดทำเป็นผู้สอบบัญชี
มาตรา ๔๕ ให้ผู้สอบบัญชีเข้าตรวจสอบสรรพสมุด บัญชี และเอกสารหลักฐานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเวลาอันสมควรได้ทุกเมื่อ
และเพื่อการสอบบัญชี ให้มีอำนาจไต่ถามสอบสวนประธานกรรมการ
กรรมการ ผู้อำนวยการ ผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้
มาตรา ๔๖ ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานว่าด้วย
(๑)
ข้อความคำชี้แจงอันควรแก่การสอบบัญชีที่ได้รับ
(๒)
ความสมบูรณ์ของสมุดบัญชีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยรักษาอยู่ และต้องแถลงด้วยว่า
๑.
งบดุลและบัญชีซึ่งตรวจสอบนั้นถูกต้องตรงกับสมุดบัญชีเพียงไรหรือไม่
๒.
งบดุลและบัญชีซึ่งตรวจสอบนั้นแสดงการงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่ควร
ตามข้อความคำชี้แจงและความรู้ของผู้สอบบัญชีเพียงไรหรือไม่
มาตรา ๔๗ ให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจบัญชีของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในเมื่อรัฐมนตรีร้องขอ
มาตรา ๔๘
ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันหลังจากวันสิ้นปีบัญชี การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องโฆษณารายงานประจำปี
แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุนเพียงสิ้นปีพร้อมกับรายงานของผู้สอบบัญชีที่คณะกรรมการตั้งขึ้นตามความในมาตรา
๔๔
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
พรพิมล/แก้ไข
๑๕ ส.ค
๒๕๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๒
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
วศิน/แก้ไข
๒๐
เมษายน ๒๕๕๒
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๘/ตอนที่ ๓๐/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๔ |
318602 | พระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2539 | พระราชกฤษฎีกา
กำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ
ท่าเรือแหลมฉบัง ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา
และตำบลบางละมุง
อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
พ.ศ. ๒๕๓๙
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ
วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๙
เป็นปีที่
๕๑ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง
อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พุทธศักราช ๒๕๓๘และ มาตรา ๘ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๔๙๙ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง
จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๓๙"
มาตรา ๒[๑]
พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้กำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ณ ท่าเรือแหลมฉบัง
ดังต่อไปนี้
(๑) ทางบก ได้แก่ เขตพื้นที่ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชาและตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง
จังหวัดชลบุรี
(๒) ทางน้ำ ได้แก่ ทะเล
ด้านเหนือ -
เส้นเล็งตรงจากจุดพิกัดละติจูด ๑๓˚ ๐๕′ ๐๐″ เหนือ ลองจิจูด ๑๐๐˚ ๕๐′ ๐๐″ ตะวันออก ไปทางทิศตะวันออก จนถึงชายฝั่งที่จุดพิกัดละติจูด
๑๓˚ ๐๕′ ๐๐″ เหนือ ลองจิจูด ๑๐๐˚ ๕๒′ ๓๓″ ตะวันออก
ด้านตะวันออก -
เลียบตามแนวชายฝั่งทะเลจนถึงจุดพิกัดละติจูด ๑๓˚ ๐๒′ ๑๖″ เหนือ ลองจิจูด ๑๐๐˚ ๕๕′ ๑๗″
ตะวันออก เป็นเส้นเล็งตรงไปยังจุดพิกัดละติจูด ๑๓˚ ๐๑′ ๐๐″ เหนือ ลองจิจูด ๑๐๐˚ ๕๕′
๐๐″ ตะวันออก
ด้านใต้ - เส้นเล็งตรงจากจุดพิกัดละติจูด
๑๓˚ ๐๑′ ๐๐″ เหนือ ลองจิจูด ๑๐๐˚ ๕๕′ ๐๐″ ตะวันออก ไปทางทิศตะวันตก
จนถึงจุดพิกัดละติจูด ๑๓˚ ๐๑′ ๐๐″เหนือ ลองจิจูด ๑๐๐˚ ๕๐′ ๐๐″ ตะวันออก
ด้านตะวันตก - เส้นเล็งตรงจากจุดพิกัดละติจูด
๑๓˚ ๐๑′ ๐๐″ เหนือ ลองจิจูด ๑๐๐˚ ๕๐′ ๐๐″ ตะวันออก ไปทางทิศเหนือ
จนถึงจุดพิกัดละติจูด ๑๓˚ ๐๕′ ๐๐″ เหนือ ลองจิจูด ๑๐๐˚ ๕๐′ ๐๐″ ตะวันออก
ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้
มาตรา ๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
บรรหาร ศิลปอาชา
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
ตามที่ได้ประกาศในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา
อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๒๑
โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างท่าเทียบเรือแหลมฉบังซึ่งปัจจุบันการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือตามโครงการที่กำหนดแล้ว
ในการนี้จำเป็นต้องกำหนดขอบเขตอาณาบริเวณให้อยู่ในความควบคุมและบำรุงรักษาของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ซึ่งตามมาตรา ๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
กำหนดให้ท่าเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอาณาบริเวณตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือแหลงฉบัง ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง
อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๓๙
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๓/ตอนที่ ๔๔ ก/หน้า ๒๑/๓ ตุลาคม ๒๕๓๙ |
301559 | พระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ณ ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2535 | พระราชกฤษฎีกา
ยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ
ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๒๒
พ.ศ. ๒๕๓๕
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ
วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕
เป็นปีที่
๔๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๒๒
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และมาตรา ๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า
"พระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๒๒ พ.ศ. ๒๕๓๕"
มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๒๒
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
อานันท์ ปันยารชุน
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
เนื่องจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ส่งมอบท่าเรือพาณิชย์สัตหีบคืนให้แก่กองทัพเรือแล้ว
จึงไม่มีความจำเป็นในการควบคุมและบำรุงรักษาขอบเขตและอาณาบริเวณ ณ
ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบอีกต่อไป สมควรยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนด
อาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ณ ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
พ.ศ. ๒๕๒๒
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๑
ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๐๙/ตอนที่ ๙๘/หน้า ๖/๑๘ กันยายน ๒๕๓๕ |
318601 | พระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ พ.ศ. 2499 | พระราชกฤษฎีกา
กำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ
ท่าเรือกรุงเทพฯ
พ.ศ. ๒๔๙๙
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ
วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙
เป็นปีที่
๑๑ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดอาณาบริเวณของ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙๕
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช ๒๔๙๕
และมาตรา ๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ พ. ศ. ๒๔๙๙"
มาตรา ๒[๑]
พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้กำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ
ดังต่อไปนี้
(๑) ทางบก
ได้แก่เขตพื้นที่ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ
(๒) ทางน้ำ
ได้แก่ลำแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สะพานพระพุทธยอดฟ้าตลอดลงไปจนถึงปากร่องน้ำสันดอนบนเส้นขนานแลตติจูด
๑๓˚ - ๒๒´ เหนือ และระหว่างลองกิจูด ๑๐๐˚ - ๓๒´
ตะวันออก กับลองกิจูด ๑๐๐˚ - ๓๙´ ตะวันออก จนจดขอบฝั่ง
ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้
มาตรา ๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ
เนื่องด้วยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้กำหนดให้ท่าเรือของการท่าเรือแห่งประเทศมีอาณาบริเวณตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา จึงจำต้องตราพระราชกฤษฎีกาขึ้น เพื่อกำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ณ
ท่าเรือกรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๙๙
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๗๓/ตอนที่ ๑๐๑/หน้า ๑๕๑๕/๔ ธันวาคม ๒๔๙๙ |
301562 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2519) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 | กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๓
(พ.ศ. ๒๕๑๙)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ.
๒๔๙๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
เจ้าของเรือหรือตัวแทน ผู้เช่าเรือหรือตัวแทน หรือบุคคลใดที่ประสงค์จะนำเรือที่มีขนาดตั้งแต่ห้าร้อยเน็ทเรยิสเตอร์ตันขึ้นไปผ่านเข้าร่องน้ำสันดอนเจ้าพระยา
ภายในอาณาบริเวณทางน้ำของการท่าเรือแห่งประเทศไทยจะต้องยื่นคำร้องขอนำเรือเข้าท่าต่อการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ตามแบบต่อท้ายกฎกระทรวง พร้อมทั้งวงเงินหรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารเพื่อเป็นการประกันการชำระค่าภาระตามอัตราที่คณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนดก่อนนำเรือผ่านเข้าไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง
ข้อ ๒
การเปลี่ยนแปลงวันและเวลานำเรือผ่านร่องน้ำ ให้ผู้ยื่นคำร้องตามข้อ ๑ ดำเนินการแก้ไขวันเวลาให้ตรงกับความเป็นจริง
และต้องแจ้งให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบล่วงหน้า
ข้อ ๓
เมื่อเรือได้ผ่านร่องน้ำเข้ามาแล้ว เจ้าของเรือหรือตัวแทนผู้เช่าเรือหรือตัวแทน
หรือบุคคลที่ขอนำเรือเข้าต้องชำระค่าภาระภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจำนวนเงินค่าภาระ
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๙
พลตรี ศ. สิริโยธิน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
บุญชู โรจนเสถียร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
เนื่องจากเขตพื้นที่ทางน้ำที่เป็นอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทยตามพระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้ขุดลอกและรักษาร่องน้ำ
จึงจำเป็นต้องเรียกเก็บค่าภาระเรือที่ผ่านเข้าร่องน้ำดังกล่าวเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
แต่มีเรือบางลำฝ่าฝืนไม่ยอมยื่นคำร้องขอนำเรือผ่านเข้าร่องน้ำ
และเรือบางลำไม่ยอมชำระค่าภาระผ่านร่องน้ำ และค่าภาระอื่น ๆ
ตามอัตราที่คณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนดสมควรออกกฎกระทรวงเพื่อให้เจ้าของเรือหรือตัวแทน
ผู้เช่าเรือหรือตัวแทน หรือบุคคลที่ประสงค์จะนำเรือที่มีขนาดตั้งแต่ห้าร้อยเน็ทเรยิสเตอร์ตันขึ้นไป
ยื่นคำร้องขอต่อการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนนำเรือผ่านร่องน้ำและหาหลักประกันเพื่อค่าภาระที่จะต้องชำระให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
คำร้องขอนำเรือเข้าท่าภายในอาณาบริเวณ
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๙๓/ตอนที่ ๔๓/หน้า ๔๓/๙ มีนาคม ๒๕๑๙ |
301561 | กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2512) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 | กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๒
(พ.ศ. ๒๕๑๒)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
การใช้รถ การขับรถ การเดินรถ การเลี้ยวรถ การจอดรถ การใช้ทาง หรือการกระทำใด
ๆ ที่เกี่ยวกับการจราจรทางบก ภายในอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ให้ผู้ขับหรือผู้ใช้ทางปฏิบัติอย่างเดียวกับการใช้ทางตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
ข้อ ๒
ให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดให้มีการขีดเส้นบนทาง หรือทำเครื่องหมายอื่นใดรวมทั้งการติดตั้งเครื่องแสดงสัญญาณ
สำหรับการจราจร
ให้ไว้ ณ วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๒
พลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ส. วินิจฉัยกุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
เนื่องจากเขตพื้นที่ทางบกที่เป็นกรรมสิทธิ์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ณ
ท่าเรือกรุงเทพฯ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๔๙๙ มีถนนอยู่หลายสาย ซึ่งมิใช่เป็นทางตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจราจรทางบก
พ.ศ. ๒๔๗๗ จึงไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติดังกล่าว และไม่อาจควบคุมผู้ใช้ถนนภายในอาณาบริเวณดังกล่าวได้
จึงสมควรออกกฎกระทรวงเพื่อให้การจราจรทางบกภายในอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้เป็นไปโดยเรียบร้อยและปลอดภัย
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๙
ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๘๖/ตอนที่ ๘๒/หน้า ๘๐๗/๒๓ กันยายน ๒๕๑๒ |
301560 | กฎกระทรวง (พ.ศ. 2500) ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 | กฎกระทรวง
(พ.ศ. ๒๕๐๐)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔[๑]
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยพ.ศ. ๒๔๙๔
ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๙
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
เมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ บุคคลใดประสงค์จะประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
หรือบุคคลใดประสงค์จะทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศภายในอาณาบริเวณตามพระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ เฉพาะด้านเหนือตั้งแต่ปากคลองเตยเป็นเส้นตรงตั้งฉากไปจดฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเจ้าพระยา
ด้านใต้ตั้งแต่เสาหินที่สร้างไว้เหนือปากคลองบางจากเป็นเส้นตรงตั้งฉากไปจดฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเจ้าพระยา
จะต้องจดทะเบียนไว้ ณ สำนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ข้อ ๒
บุคคลใดประสงค์จะประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศดังกล่าวในข้อ
๑ ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนตามแบบท้ายกฎกระทรวงนี้ ต่อผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้
(๑) สำหรับบุคคลธรรมดา ให้ยื่นบัตรประจำตัวประชาชน
หรือหนังสือสำคัญประจำตัวที่ทางราชการออกให้หรือสำเนาทะเบียนสำมะโนครัว
(๒) สำหรับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ให้ยื่นหนังสือรับรองของนายทะเบียนแสดงการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
(๓) สำหรับบริษัทจำกัด ให้ยื่น
ก.
หนังสือรับรองของนายทะเบียนแสดงการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและ
ข. หนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับของบริษัท
ข้อ ๓
บุคคลซึ่งขอจดทะเบียนเพื่อประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศดังกล่าวในข้อ
๒ ต้องไม่เป็นผู้มีชื่อเสียงในทางทุจริตหรือเสื่อมเสียในทางศีลธรรม
ข้อ ๔
บุคคลใดประสงค์จะทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศดังกล่าวในข้อ
๑ ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนตามแบบท้ายกฎกระทรวงนี้ต่อผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(๑) มีความประพฤติเรียบร้อย
(๒) ไม่เป็นผู้วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
(๓)
ไม่เป็นผู้มีร่างกายพิการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความเหมาะสม
(๔) ไม่เป็นโรคเรื้อน วัณโรคในระยะอันตราย โรคยาเสพย์ติดให้โทษอย่างร้ายแรงหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง
ข้อ ๕
เมื่อผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับคำขอจดทะเบียนตามข้อ ๒
หรือข้อ ๔ แล้ว และเห็นว่าคำขอนั้นถูกต้องตามกฎกระทรวง ก็ให้รับจดทะเบียนและออกใบสำคัญการจดทะเบียนตามแบบท้ายกฎกระทรวงนี้ให้แก่ผู้ยื่นคำขอภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับคำขอ
ในกรณีที่ไม่รับจดทะเบียน
ให้ผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ยื่นคำขอภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับคำขอพร้อมทั้งเหตุผลที่ไม่รับจดทะเบียนให้ผู้ยื่นคำขอทราบ
ผู้ยื่นคำขอมีสิทธิยื่นอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับคำแจ้ง
ให้คณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยวินิจฉัยอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันรับอุทธรณ์
ในกรณีที่คณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยวินิจฉัยให้รับจดทะเบียน
ให้ผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยรับจดทะเบียนและออกใบสำคัญการจดทะเบียนให้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันวินิจฉัยอุทธรณ์
ถ้าไม่รับจดทะเบียน ให้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ยื่นอุทธรณ์ทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันวินิจฉัยอุทธรณ์
คำวินิจฉัยของคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้เป็นที่สุด
ข้อ ๖
เมื่อข้อความในคำขอจดทะเบียนนอกจากที่เกี่ยวกับคุณสมบัติได้เปลี่ยนแปลงไป
หรือใบสำคัญการจดทะเบียนได้สูญหาย
ให้ผู้ซึ่งได้รับจดทะเบียนแจ้งต่อผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยเพื่อให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือออกใบแทนใบสำคัญการจดทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือทราบว่าใบสำคัญการจดทะเบียนสูญหาย
และให้นำความในข้อ ๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๗
ผู้ประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ ต้องมีหัวหน้าซึ่งชำนาญงานอยู่ควบคุมปฏิบัติงานตลอดเวลาที่ทำการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้า
ข้อ ๘
ถ้าปรากฏว่าวิธีดำเนินการหรือเครื่องอุปกรณ์ของผู้ประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศมีประสิทธิภาพไม่เหมาะสมหรือไม่ปลอดภัย
ผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยหรือผู้ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้เปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินการ
หรือสั่งระงับใช้เครื่องอุปกรณ์นั้นไว้ชั่วคราวได้จนกว่าจะได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งบกพร่องให้เรียบร้อย
ข้อ ๙
ผู้ประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศต้องส่งรายงานการบรรทุกหรือการขนถ่ายสินค้าประจำวันให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเมื่อสิ้นระยะการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าในวันหนึ่ง
ๆ
ข้อ ๑๐
ถ้าปรากฏว่าผู้ซึ่งได้รับจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศหรือเป็นผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศขาดคุณสมบัติดังกล่าวในข้อ
๓ หรือ ข้อ ๔ หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวในข้อ ๘ ผู้อำนวยการของการท่าเรือแห่งประเทศไทยอาจเพิกถอนใบสำคัญการจดทะเบียนเสียได้
ข้อ ๑๑
ถ้าปรากฏว่าผู้ซึ่งได้รับจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศหรือเป็นผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศไม่ปฏิบัติหน้าที่
หรือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความล่าช้าอันอาจเป็นเหตุให้เกิดเสียหายขึ้นได้ การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีอำนาจที่จะจัดหาผู้อื่นให้เข้าดำเนินงานแทนหรือจะเข้าดำเนินงานเสียเองก็ได้
ข้อ ๑๒
ถ้าปรากฏว่าการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้เข้าดำเนินงานแทนหรือจัดหาผู้อื่นดำเนินงานแทนตามข้อ
๑๑ การท่าเรือแห่งประเทศไทยมีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแทน
หรือจัดให้ผู้อื่นดำเนินงานแทนจากผู้ประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศได้
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๐
พลโท บ. เทพหัสดิน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
พันเอก นายวรการบัญชา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ
เนื่องจากการบรรทุกและขนถ่ายสินค้า (Stevedore) เรือเดินทะเลต่างประเทศขณะนี้ยังไม่เป็นการสะดวกและปลอดภัยแก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงสมควรออกกฎกระทรวง พ.ศ. ๒๕๐๐ ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ เพื่อควบคุมปรับปรุงให้การบรรทุกและขนถ่ายสินค้า (Stevedore) เรือเดินทะเลต่างประเทศเป็นไปโดยสะดวกและปลอดภัย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบคำขอจดทะเบียนสำหรับผู้ประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
๒.
แบบคำขอจดทะเบียนสำหรับผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
๓.
แบบใบสำคัญการจดทะเบียนผู้ประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศตามกฎกระทรวง
พ.ศ. ๒๕๐๐ ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
๔.
แบบใบสำคัญการจดทะเบียนผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศตามกฎกระทรวง
พ.ศ. ๒๕๐๐ ออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๗๔/ตอนที่ ๖๖/หน้า ๑๒๒๑/๖ สิงหาคม ๒๕๐๐ |
874370 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ
๔ และข้อ ๑๓ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือบริการและความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้ดำเนินการ
ดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๓
ข้อ ๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ
และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ดังนี้
๒.๑ ท่าเรือกรุงเทพ
-
เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐ แรงม้าขึ้นไป ๘๕๘ บาท / ชั่วโมง
๒.๒
ท่าเรือแหลมฉบัง ๙๓๗
บาท / ชั่วโมง
ข้อ ๓ อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ ๒ กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง
๓๐ นาที คิด ๓๐ นาที และหากเกิน ๓๐ นาที แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ ๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท
ปตท. จำกัด (มหาชน) ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ
วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓
เรือโท กมลศักดิ์
พรหมประยูร
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พัชรภรณ์/ธนบดี/จัดทำ
๒๕
ธันวาคม ๒๕๖๓
สุภาทิพย์/ตรวจ
๒๙
ธันวาคม ๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๗/ตอนพิเศษ ๒๕๙ ง/หน้า ๒๕/๔ พฤศจิกายน
๒๕๖๓ |
870223 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ
๔ และข้อ ๑๓ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือบริการและความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้ดำเนินการ
ดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ
และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๓
ข้อ ๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่
๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ดังนี้
บาท / ตู้
ขนาด ๒๐' ๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า ๒๘ ๕๖ ๖๓
ตู้สินค้าเปล่า ๑๗ ๓๔ ๓๘
ข้อ ๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท
ปตท. จำกัด (มหาชน) ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ
วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓
เรือโท กมลศักดิ์
พรหมประยูร
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พัชรภรณ์/ธนบดี/จัดทำ
๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓
สุภาทิพย์/ตรวจ
๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๗/ตอนพิเศษ ๒๕๙ ง/หน้า ๒๔/๔ พฤศจิกายน
๒๕๖๓ |
862167 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง ให้เรือชายฝั่งที่รับตู้สินค้าขาเข้าที่ท่าเรือแหลมฉบังดำเนินการบรรทุกตู้สินค้าลงเรือ (Loading Container) ณ ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง ให้เรือชายฝั่งที่รับตู้สินค้าขาเข้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง
ดำเนินการบรรทุกตู้สินค้าลงเรือ
(Loading Container) ณ ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A)[๑]
ตามมติคณะกรรมการฝ่ายบริหารการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในคราวประชุมครั้งที่
๖/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๓ เห็นชอบแนวทางการจัดเรือชายฝั่งที่ท่าเรือแหลมฉบัง
โดยกำหนดให้ตู้สินค้าขาเข้าต้องมาใช้บริการที่ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A)
เท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการขนถ่ายตู้สินค้าขาเข้าท่าเทียบเรือชายฝั่ง
(ท่าเทียบเรือ A) ที่ท่าเรือแหลมฉบังเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน นั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ ประกอบข้อ ๑๓ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย จึงให้ดำเนินการ ดังนี้
ข้อ ๑ ให้เรือชายฝั่งที่จะดำเนินการบรรทุกตู้สินค้าลงเรือ
(Loading Container) ที่ท่าเรือแหลมฉบังมาดำเนินการบรรทุกตู้สินค้า
ณ ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) เท่านั้น
ข้อ ๒ ให้เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ หรือเจ้าของเรือชายฝั่งหรือตัวแทนเจ้าของเรือชายฝั่งซึ่งประสงค์จะนำตู้สินค้าขาเข้า ออกนอกเขตศุลกากรทางน้ำโดยเรือลำเลียงหรือเรือเดินทะเลชายฝั่งยื่นแบบรายงานตู้สินค้าขาเข้า ซึ่งจะขนถ่ายที่ท่าเทียบเรือระหว่างประเทศในเขตท่าเรือแหลมฉบัง ที่ศูนย์พัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง
สำนักปฏิบัติการ ท่าเรือแหลมฉบัง ก่อนตารางเรือเทียบท่า เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒๔ ชั่วโมง
สำหรับสินค้าขาเข้าที่บรรทุกขึ้นเรือจากราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ประเทศมาเลเซีย และสาธารณรัฐสิงคโปร์ ต้องยื่นรายการสินค้าขาเข้า ก่อนตารางเรือเทียบท่า เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ชั่วโมง
ข้อ ๓ เจ้าของเรือชายฝั่งหรือตัวแทนเจ้าของเรือชายฝั่ง
ที่จะดำเนินการบรรทุกตู้สินค้าขาเข้า ณ ท่าเทียบเรือชายฝั่ง
(ท่าเทียบเรือ A) จะต้องแจ้งเรือเข้าล่วงหน้า ที่ศูนย์พัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง
เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒๔ ชั่วโมง ก่อนเรือชายฝั่งเข้าเทียบท่า ผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e - mail) หรือโทรสาร (Fax) หรือช่องทางอื่นตามที่ท่าเรือแหลมฉบังกำหนด
ข้อ ๔ เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ หรือเจ้าของเรือชายฝั่งหรือตัวแทนเจ้าของเรือชายฝั่ง
หรือผู้นำเข้าสินค้าหรือตัวแทนผู้นำเข้าสินค้า ที่จะดำเนินการบรรทุกตู้สินค้าขาเข้า
ณ ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) จะต้องดำเนินการผ่านพิธีการศุลกากรตู้สินค้าขาเข้าตามระเบียบศุลกากร
และชำระค่าภาระต่าง ๆ ที่ท่าระหว่างประเทศให้เรียบร้อย รวมทั้งจะต้องส่งข้อมูลตู้สินค้าขาเข้าที่จะบรรทุกลงเรือชายฝั่งและเอกสารการรับตู้สินค้าขาเข้าจากท่าเทียบเรือระหว่างประเทศ
(Delivery Ticket) ล่วงหน้า ที่ศูนย์พัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง
เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒๔ ชั่วโมง ก่อนเรือชายฝั่งเข้าเทียบท่า ผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
(e - mail) หรือโทรสาร (Fax) หรือช่องทางอื่นตามที่ท่าเรือแหลมฉบังกำหนด
ข้อ ๕ ในกรณีที่เจ้าของเรือชายฝั่งหรือตัวแทนเจ้าของเรือชายฝั่ง
ร้องขอให้ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ดำเนินการขนถ่ายตู้สินค้าขาออก นอกเหนือจากกิจกรรมตามที่ได้ประกาศนี้ สามารถที่จะร้องขอและแจ้งเวลาเรือชายฝั่งจะเข้าเทียบท่า
พร้อมทั้งยื่นแบบรายงานตู้สินค้าขาออกล่วงหน้า
ที่ศูนย์พัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒๔ ชั่วโมง ก่อนเรือชายฝั่งเข้าเทียบท่า
ผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e - mail) หรือโทรสาร
(Fax) หรือช่องทางอื่นตามที่ท่าเรือแหลมฉบังกำหนด
ข้อ ๖ ผู้ใช้บริการต้องชำระค่าบริการตามอัตราค่าภาระที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนดและต้องปฏิบัติตามมาตรการการจัดเรือชายฝั่งเข้าออกท่าเทียบเรือชายฝั่ง
(ท่าเทียบเรือ A) ของท่าเรือแหลมฉบัง
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓
เรือโท
กมลศักดิ์ พรหมประยูร
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พิไลภรณ์/จัดทำ
๙
ธันวาคม ๒๕๖๓
สุภาทิพย์/ตรวจ
๒๑
ธันวาคม ๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๗/ตอนพิเศษ ๑๕๔ ง/หน้า ๒๖/๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ |
860435 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง ยกเลิกการใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านในการติดต่อกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง ยกเลิกการใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน
ในการติดต่อกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย[๑]
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและลดภาระแก่ประชาชน
กรณีที่ต้องใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านในการติดต่อกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเห็นชอบมาตรการอำนวยความสะดวกและลดภาระแก่ประชาชน
(การไม่เรียกสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้ จากประชาชน) อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ห้ามมิให้หน่วยงานในสังกัดการท่าเรือแห่งประเทศไทยเรียกขอสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
และ/หรือ สำเนาทะเบียนบ้าน ในการพิจารณาขออนุญาต การขอหนังสือรับรอง การขอขึ้นทะเบียน
การขอต่อทะเบียน การจดแจ้ง หรือการดำเนินการอื่นใด
ข้อ ๒ กรณีที่มีความจำเป็นและต้องการสำเนาเอกสาร
ตามข้อ ๑ ให้หน่วยงานนั้น ๆ เป็นผู้จัดทำสำเนาเอกสารขึ้นเอง พร้อมรับรองว่าเป็นสำเนาจากต้นฉบับหรือจากแหล่งข้อมูลอื่นใด
และห้ามมิให้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการจัดทำสำเนาเอกสารดังกล่าว
ข้อ
๓ กรณีมีการมอบอำนาจ ให้ใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจพร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง
จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
ประกาศ ณ
วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓
เรือโท กมลศักดิ์
พรหมประยูร
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ชญานิศ/ธนบดี/จัดทำ
๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓
สุภาทิพย์/ตรวจ
๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๓
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๗/ตอนพิเศษ ๑๓๕ ง/หน้า ๒๑/๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ |
818504 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การปฏิบัติงานบริเวณปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชนิดเดินบนรางของท่าเรือกรุงเทพ | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การปฏิบัติงานบริเวณปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชนิดเดินบนรางของท่าเรือกรุงเทพ[๑]
เพื่อให้การปฏิบัติงานกับปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชนิดเดินบนรางของท่าเรือกรุงเทพ
มีความสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัยในการให้บริการ และเป็นการป้องกันความเสียหายต่อชีวิตหรือทรัพย์สินทั้งของพนักงานและผู้ใช้บริการ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิกประกาศท่าเรือกรุงเทพ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง ข้อปฏิบัติในการปฏิบัติงานบริเวณรถปั้นจั่นหน้าท่าชนิดเดินบนรางของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ลงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๒
ข้อ ๒ ให้ผู้ประกอบการบรรทุกและขนถ่าย
(Stevedore) ต้องมีหัวหน้าผู้ควบคุมงานอยู่ดูแลกำกับการปฏิบัติงานยกขนตู้สินค้าของปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชนิดเดินบนรางของท่าเรือกรุงเทพ
บนเรือและพื้นที่หน้าท่า ตลอดเวลาปฏิบัติงานขนถ่ายและบรรทุกตู้สินค้า
ข้อ ๓ ให้ผู้ประกอบการบรรทุกและขนถ่าย (Stevedore) ตรวจสอบความปลอดภัยของเรือตู้สินค้าและพื้นที่บริเวณปฏิบัติงาน ก่อนหรือในขณะปฏิบัติงานของปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชนิดเดินบนรางของท่าเรือกรุงเทพ
ข้อ ๔ ให้ผู้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานทุกคน สวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
(Personal Protective Equipment : PPE) ตลอดเวลาในการปฏิบัติงาน
ข้อ ๕ ในกรณีที่เรือต้องการย้ายปั้นจั่นของเรือ ให้ผู้ประกอบการบรรทุกและขนถ่าย
(Stevedore) แจ้งพนักงานขับปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชนิดเดินบนรางของท่าเรือกรุงเทพ
ทราบก่อน เพื่อให้เกิดความปลอดภัย
ข้อ ๖ ผู้ประกอบการบรรทุกและขนถ่าย (Stevedore) จัดเก็บหมุดศรล็อคตู้สินค้าของเรือให้เรียบร้อยและปลอดภัยในบริเวณพื้นที่ปฏิบัติงาน
ข้อ ๗ ห้ามนำรถส่วนบุคคล วัตถุ ภาชนะ อุปกรณ์อื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้อง
ล้ำแนวเส้นทางวิ่งของปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชนิดเดินบนรางของท่าเรือกรุงเทพ
ข้อ ๘ ห้ามทิ้งเศษขยะ วัสดุ ระบายน้ำทิ้ง หรือสิ่งสกปรกอื่นใด
ลงในบริเวณพื้นที่หน้าท่าร่องรางสายไฟแรงสูง และรางปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชนิดเดินบนรางของท่าเรือกรุงเทพ
ข้อ ๙ ห้ามนั่ง นอน ผูก โยง หรือสร้างสิ่งต่อเติมใด
ๆ บริเวณขาปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชนิดเดินบนรางของท่าเรือกรุงเทพ
ข้อ ๑๐ ผู้ประกอบการบรรทุกและขนถ่าย
(Stevedore) ต้องสำรวจพื้นที่ปฏิบัติงานให้สะอาดไม่มีขยะหลังเรือเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน
ข้อ ๑๑ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามที่กำหนด จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชนิดเดินบนรางของท่าเรือกรุงเทพ
หรือทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
และการท่าเรือแห่งประเทศไทยอาจงดการให้บริการในครั้งต่อไปได้
ทั้งนี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วัน ที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่ง ประเทศไทย
ปุณิกา/ธนบดี/จัดทำ
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนที่ ๘๓ ง/หน้า ๒๒/๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ |
815082 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๑
ข้อ ๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง
(ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ดังนี้
๒.๑
ท่าเรือกรุงเทพ
-
เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐ แรงม้าขึ้นไป ๑,๖๕๐ บาท/ชั่วโมง
๒.๒ ท่าเรือแหลมฉบัง ๑,๗๓๓
บาท/ชั่วโมง
ข้อ
๓ อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ ๒
กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง ๓๐ นาที คิด ๓๐ นาที และหากเกิน ๓๐ นาที แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ
๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือตรี
ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรวิภา/จัดทำ
๒๗
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๔๘ ง/หน้า ๔๘/๕
ตุลาคม ๒๕๖๑ |
815080 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๑
ข้อ ๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ดังนี้
บาท
/ ตู้
ขนาด ๒๐'
๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า ๕๕
๑๑๐ ๑๒๔
ตู้สินค้าเปล่า
๓๓
๖๖ ๗๔
ข้อ
๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือตรี
ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรวิภา/จัดทำ
๒๗
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๔๘ ง/หน้า ๔๗/๕
ตุลาคม ๒๕๖๑ |
808828 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๑
ข้อ ๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ดังนี้
บาท /
ตู้
ขนาด ๒๐'
๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า ๕๐
๑๐๐ ๑๑๓
ตู้สินค้าเปล่า ๓๐
๖๐ ๖๘
ข้อ ๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปี ของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ.
๒๕๖๑
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปวันวิทย์/จัดทำ
๓ กันยายน
๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๗๒ ง/หน้า ๕/๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ |
808826 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๑
ข้อ ๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ดังนี้
๒.๑
ท่าเรือกรุงเทพ
-
เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐ แรงม้าขึ้นไป ๑,๕๑๑ บาท / ชั่วโมง
๒.๒
ท่าเรือแหลมฉบัง ๑,๕๘๘
บาท / ชั่วโมง
ข้อ ๓ อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ ๒
กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง ๓๐ นาที คิด ๓๐ นาที และหากเกิน ๓๐ นาที
แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ ๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗
และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ.
๒๕๖๑
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปวันวิทย์/จัดทำ
๓ กันยายน
๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๗๒ ง/หน้า ๔/๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ |
807949 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าบริการท่าเทียบเรือภายในประเทศของท่าเรือกรุงเทพ และค่าบริการสำหรับกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการขนส่งโดยเรือชายฝั่งและเรือลำเลียง (โรงพักสินค้า 1 และ 2) | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าบริการท่าเทียบเรือภายในประเทศของท่าเรือกรุงเทพ
และค่าบริการสำหรับ
กิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการขนส่งโดยเรือชายฝั่งและเรือลำเลียง
(โรงพักสินค้า ๑ และ ๒)[๑]
เพื่อเป็นการพัฒนา ส่งเสริมและสนับสนุนการขนส่งทางน้ำโดยเรือชายฝั่งและเรือลำเลียงให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์
ซึ่งปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากระบบถนนมาสู่ระบบทางน้ำมากยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าบริการท่าเทียบเรือภายในประเทศของท่าเรือกรุงเทพ และค่าบริการสำหรับกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการขนส่งโดยเรือชายฝั่งและเรือลำเลียง
ลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕
ข้อ ๒ ค่าบริการใช้ท่าเทียบเรือภายในประเทศของท่าเรือกรุงเทพ
และค่าบริการสำหรับกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการขนส่งโดยเรือชายฝั่งและเรือลำเลียง
ดังรายการต่อไปนี้
๒.๑ ค่าบริการใช้ร่องน้ำของเรือชายฝั่งและเรือลำเลียง
ค่าบริการใช้ร่องน้ำเจ้าพระยาของเรือชายฝั่งและเรือลำเลียงที่บรรทุกสินค้า
หรือตู้สินค้าภายในประเทศผ่านร่องน้ำเจ้าพระยาเข้ามาเทียบท่าเทียบเรือภายในประเทศของท่าเรือกรุงเทพเรียกเก็บตามขนาดของเรือเป็นตันจดทะเบียนรวม
(GRT. : GROSS REGISTERED TONNAGE) หรือตันรวม
(GT. : GROSS TONNAGE) ในอัตราดังนี้
๒.๑.๑ เรือขนาด ๗๕๐ - ๒,๒๕๐ GRT. หรือ GT ๕ บาท / GRT. หรือ GT.
๒.๑.๒ เรือขนาดเกินกว่า ๒,๒๕๐ GRT. หรือ GT ๑๐ บาท / GRT. หรือ GT.
เรือที่เข้าเทียบท่าเทียบเรือชายฝั่งของท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเทียบเรือภายในประเทศของท่าเรือกรุงเทพต่อเนื่องในเที่ยวเดียวกัน
ให้เรียกเก็บค่าบริการใช้ร่องน้ำตามอัตราค่าบริการของท่าเทียบเรือภายในประเทศของท่าเรือกรุงเทพ
เพียงท่าเดียว และให้ท่าเทียบเรือภายในประเทศของท่าเรือกรุงเทพแจ้งฝ่ายการเงินและบัญชี
ให้จัดเก็บก่อนแจ้งให้ท่าเรือแหลมฉบัง ทราบ
๒.๒ ค่าบริการใช้ท่าเทียบเรือภายในประเทศ
ค่าบริการใช้ท่าเทียบเรือภายในประเทศของเรือที่มาเทียบท่าเทียบเรือภายในประเทศของท่าเรือกรุงเทพ เรียกเก็บค่าบริการในอัตรา ๑ บาท / GRT. หรือ GT. / วัน
๒.๓ ค่าบริการการใช้บริการสินค้าทั่วไป
ค่าบริการฝากเก็บสินค้าทั่วไปเรียกเก็บค่าบริการในอัตรา
๕๐ บาท / ตันโดยได้รับสิทธิไม่ต้องเสียค่าบริการฝากสินค้า ๕
วัน นับตั้งแต่วันที่นำสินค้าผ่านเข้าเขตท่าเทียบเรือภายในประเทศ แต่เมื่อพ้นระยะเวลา ได้รับสิทธิดังกล่าว
จะเรียกเก็บค่าฝากเป็นรายวันเรียกเก็บในอัตรา ๕ บาท / ตัน / วัน
๒.๔ ค่าบริการการใช้บริการระบบตู้สินค้า
ค่าบริการในการเคลื่อนย้ายตู้สินค้าบรรทุกมาโดยเรือชายฝั่งหรือรถบรรทุกไปยังลานกองเก็บตู้สินค้าและยกส่งมอบให้แก่ผู้ขออนุญาต
หรือในทางกลับกัน เรียกเก็บค่าบริการในอัตราดังนี้
๒.๔.๑ ตู้มีสินค้า ขนาด ๒๐ ฟุต ๔๖๕ บาท / ตู้
๒.๔.๒ ตู้มีสินค้า ขนาด ๔๐ ฟุต
ขึ้นไป ๙๓๐ บาท / ตู้
๒.๔.๓ ตู้สินค้าเปล่า ขนาด ๒๐ ฟุต
๓๗๒ บาท / ตู้
๒.๔.๔ ตู้สินค้าเปล่า ขนาด ๔๐ ฟุต
ขึ้นไป ๗๔๓
บาท / ตู้
๒.๔.๕
ตู้มีสินค้าได้รับสิทธิไม่ต้องเสียค่าฝากตู้สินค้า ๓ วัน นับตั้งแต่วันที่นำตู้สินค้าผ่านเข้าเขตท่าเทียบเรือภายในประเทศ
เมื่อพ้นระยะเวลาได้รับสิทธิดังกล่าว เรียกเก็บค่าบริการในอัตราดังนี้
วันที่ ๔ - ๑๐ วันที่ ๑๑ ขึ้นไป
๑) ตู้มีสินค้า ขนาด ๒๐ ฟุต ๑๖๐ ๒๗๕ บาท / ตู้ / วัน
๒) ตู้มีสินค้า ขนาด ๔๐ ฟุต ๓๒๐ ๕๕๐ บาท / ตู้ / วัน
๓) ตู้มีสินค้า ขนาด ๔๕ ฟุต ๓๖๐ ๖๑๕ บาท / ตู้ / วัน
๒.๔.๖
ตู้สินค้าเปล่าได้รับสิทธิไม่ต้องเสียค่าฝากตู้สินค้า ๑๐ วัน
นับตั้งแต่วันที่นำตู้สินค้าผ่านเข้าเขตท่าเทียบเรือภายในประเทศ
เมื่อพ้นระยะเวลาได้รับสิทธิดังกล่าว เรียกเก็บค่าบริการในอัตราดังนี้
วันที่ ๑๑ - ๑๗ วันที่ ๑๘ ขึ้นไป
๑) ตู้สินค้าเปล่า ขนาด ๒๐ ฟุต ๒๕ ๕๐ บาท / ตู้ / วัน
๒) ตู้สินค้าเปล่า ขนาด ๔๐ ฟุต ๕๐ ๑๐๐ บาท / ตู้ / วัน
๓) ตู้สินค้าเปล่า ขนาด ๔๕ ฟุต ๖๐ ๑๒๐ บาท / ตู้ / วัน
๒.๕ ค่าบริการปั้นจั่นยกตู้สินค้าขึ้น - ลงหน้าท่าบริเวณท่าเทียบเรือภายในประเทศเรียกเก็บค่าบริการตามขนาดตู้สินค้าในอัตราดังนี้
๒.๕.๑ ตู้สินค้า ขนาด ๒๐ ฟุต ๕๗๐ บาท / ตู้
๒.๕.๒ ตู้สินค้า ขนาด ๔๐ ฟุต ขึ้นไป ๙๗๐
บาท / ตู้
๒.๕.๓ กรณีใช้ปั้นจั่นเรือหรือปั้นจั่นเอกชนยกตู้สินค้า
ให้คิดค่าบริการในอัตราร้อยละ ๒๐ ของอัตราที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
๒.๖ ค่าบริการสินค้าที่ฝากเก็บ ณ
โรงพักสินค้าและนำมาบรรจุเข้าตู้สินค้า (CFS) แบบเหมาจ่าย
บริเวณท่าเทียบเรือภายในประเทศ เรียกเก็บค่าบริการตามขนาดตู้สินค้าในอัตราดังนี้
๒.๖.๑ ตู้สินค้า ขนาด ๒๐ ฟุต ๑,๒๔๐ บาท / ตู้
๒.๖.๒ ตู้สินค้า ขนาด ๔๐ ฟุต ขึ้นไป ๒,๕๙๕ บาท / ตู้
๒.๗ ค่าบริการในการเปิดตู้สินค้า หรือบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้า ณ
ลานกองเก็บบริเวณท่าเทียบเรือภายในประเทศ (LCL) เรียกเก็บค่าบริการตามขนาดตู้สินค้าในอัตราดังนี้
๒.๗.๑ ตู้สินค้า ขนาด ๒๐ ฟุต ๖๖๕ บาท / ตู้
๒.๗.๒ ตู้สินค้า ขนาด ๔๐ ฟุต ขึ้นไป ๑,๓๓๐ บาท / ตู้
๒.๘ ค่าบริการยกขนและเคลื่อนย้ายตู้สินค้าจากท่าเทียบเรือตู้สินค้า
ลานบรรจุและทางรถไฟ ไปยังท่าเทียบเรือภายในประเทศ หรือในทางกลับกัน
เรียกเก็บค่าบริการในอัตราดังนี้
๒.๘.๑ รถยนต์บรรทุกของการท่าเรือแห่งประเทศไทยขนส่งตู้สินค้า
๑) ตู้สินค้า ขนาด ๒๐ ฟุต ๘๑๐
บาท / ตู้
๒) ตู้สินค้า ขนาด ๔๐ ฟุต ๑,๓๘๐
บาท / ตู้
๓) ตู้สินค้า ขนาด ๔๕ ฟุต ๑,๖๒๐ บาท / ตู้
๒.๘.๒ ใช้รถยนต์บรรทุกเอกชน
หรือเช่ารถยนต์บรรทุกของการท่าเรือแห่งประเทศไทยขนส่งตู้สินค้า
๑) ตู้สินค้า ขนาด ๒๐ ฟุต ๕๐๐ บาท / ตู้
๒) ตู้สินค้า ขนาด ๔๐ ฟุต ๙๐๐ บาท / ตู้
๓) ตู้สินค้า ขนาด ๔๕ ฟุต ๑,๐๐๐ บาท / ตู้
ข้อ ๓ กรณีตู้สินค้าบรรจุเกินขนาดเรียกเก็บค่าบริการยกตู้สินค้าขึ้น
- ลงหน้าท่า เพิ่มอีกร้อยละ ๕๐ ของอัตราที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๔ การนับวันคิดค่าบริการ
เศษของวันให้นับเป็น ๑ วัน
ข้อ ๕ ค่าบริการต่าง ๆ
ตามประกาศนี้ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อ ๖ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียม
ดังต่อไปนี้
๖.๑ ค่าธรรมเนียมยานพาหนะผ่านท่า (ADMISSION FEE) กรณีรถยนต์บรรทุกเอกชนที่ขนส่งตู้สินค้าจากท่าเรือกรุงเทพไปยังท่าเทียบเรือภายในประเทศหรือในทางกลับกัน
๖.๒ ค่าธรรมเนียมปั้นจั่นลอยน้ำ (FLOATING CRANE FEE) กรณีปั้นจั่นลอยน้ำ
(FLOATING CRANE) ที่ปฏิบัติงานขนถ่ายตู้สินค้าขึ้น
- ลงเรือชายฝั่งและเรือลำเลียง ณ
ท่าเทียบเรือภายในประเทศที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดให้
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พัชรภรณ์/จัดทำ
๒๔
ตุลาคม ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ
๑๕๗ ง/หน้า ๑๕/๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ |
804945 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการนำตัวอย่างสินค้าจากโรงพักสินค้า หรือคลังสินค้า หรือกองท่าบริการตู้สินค้าของท่าเรือกรุงเทพ ไปให้กรมศุลกากรตรวจ | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการนำตัวอย่างสินค้าจากโรงพักสินค้า หรือคลังสินค้า
หรือกองท่าบริการตู้สินค้าของท่าเรือกรุงเทพ
ไปให้กรมศุลกากรตรวจ[๑]
เพื่อให้วิธีปฏิบัติงานของท่าเรือกรุงเทพ
เกี่ยวกับการนำตัวอย่างสินค้าจากโรงพักสินค้า หรือคลังสินค้าหรือกองท่าบริการตู้สินค้า
ไปให้กรมศุลกากรตรวจ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้อง
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ (๔) มาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิก
๑.๑ คำสั่งทั่วไป ที่ ๑๕/๒๕๑๑ ลงวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ เรื่อง
วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการนำตัวอย่างสินค้าจากโรงพักสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ไปให้กรมศุลกากรตรวจ
๑.๒ ประกาศ หรือหลักปฏิบัติอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับประกาศนี้
ข้อ ๒ ให้เจ้าของสินค้าหรือตัวแทน
ยื่นแบบขออนุญาตนำตัวอย่างสินค้าไปให้กรมศุลกากรตรวจ
[แบบ ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๘)] ตามแนบท้ายประกาศนี้ ที่ชำระภาษีอากรเรียบร้อยแล้ว พร้อมสำเนา ๒ ฉบับ ต่อหัวหน้าแผนกโรงพักสินค้า หรือหัวหน้าแผนกคลังสินค้า
หรือหัวหน้าแผนกปฏิบัติการ กองท่าบริการตู้สินค้า ๑ หรือ ๒ แล้วแต่กรณี
เพื่อตรวจสอบรายการตัวอย่างสินค้าที่ศุลกากรประจำหน่วยงานสั่งให้ส่งตัวอย่าง
ข้อ ๓ ในกรณีสินค้ารายการที่จะส่งตัวอย่างมีจำนวนน้อย
เช่น ๑ หรือ ๒ หีบห่อ ให้เจ้าของสินค้าหรือตัวแทน
ดำเนินการตามข้อ ๒
กรณีที่กรมศุลกากรสั่งให้ส่งตัวอย่างสินค้าทั้งหมด หรือจำนวนส่วนใหญ่
หรือเป็นสินค้าสำคัญที่สุดของใบตราส่งนั้น ให้เจ้าของสินค้าหรือตัวแทน ไปชำระค่าภาระที่เกี่ยวข้องกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ก่อนที่จะดำเนินการตามข้อ ๒ ต่อไป
ข้อ ๔ เมื่อเจ้าของสินค้าหรือตัวแทน
ได้ดำเนินการตามข้อ ๒ และ ๓ แล้ว ให้หัวหน้าแผนกโรงพักสินค้า
หรือหัวหน้าแผนกคลังสินค้า หรือหัวหน้าแผนกปฏิบัติการ กองท่าบริการตู้สินค้า ๑ หรือ ๒ หรือผู้ได้รับมอบหมาย แล้วแต่กรณี
อนุญาตให้นำตัวอย่างสินค้าออกนอกเขตรั้วศุลกากรเพื่อส่งให้กรมศุลกากรตรวจ
ข้อ ๕ เจ้าของสินค้าหรือตัวแทน
ต้องนำตัวอย่างสินค้ากลับมาที่หน่วยงานตามข้อ ๒ หลังจากกรมศุลกากรได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว
เพื่อดำเนินพิธีการตรวจปล่อยตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบขออนุญาตนำตัวอย่างสินค้าไปให้กรมศุลกากรตรวจ
(ทกท.๐๑.๐๐.๐๑ (๒๘))
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
พรวิภา/จัดทำ
๒ มิถุนายน
๒๕๖๑
นุสรา/ตรวจ
๓ มิถุนายน ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนที่ ๔๐ ง/หน้า ๓/๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ |
804943 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การตรวจสอบและลงนามรับรองจำนวนตู้สินค้าที่ขนถ่ายและบรรทุกขึ้นลงเรือ | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การตรวจสอบและลงนามรับรองจำนวนตู้สินค้าที่ขนถ่ายและบรรทุกขึ้นลงเรือ[๑]
เพื่อให้การตรวจสอบและลงนามรับรองจำนวนตู้สินค้าที่ขนถ่ายและบรรทุกขึ้นลงเรือที่อยู่ในความรับผิดชอบของท่าเรือกรุงเทพ
เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้อง อาศัยอำนาจตามความใน มาตรา ๙ (๔) มาตรา ๒๔ มาตรา
๒๙ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ การท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิก
๑.๑ ประกาศท่าเรือกรุงเทพ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง
การตรวจสอบจำนวนตู้สินค้าที่ขนถ่ายหรือบรรทุกจากเรือเดินทะเลต่างประเทศ ลงวันที่
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
๑.๒ ประกาศ หรือหลักปฏิบัติอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับประกาศนี้
ข้อ ๒ ให้บริษัทเจ้าของเรือหรือตัวแทน จัดทำเอกสารรายการขนถ่ายและบรรทุกตู้สินค้า
ขึ้นลงเรือ (Tally Sheet) ประจำสายการทำงานของเรือ
(ปั้นจั่นหน้าท่าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือปั้นจั่นของเรือ)
ส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบประจำเรือของแผนกปฏิบัติการกองท่าบริการตู้สินค้า ๑
หรือ ๒ แล้วแต่กรณี หลังจากเรือเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน
ข้อ ๓ ให้บริษัทเจ้าของเรือหรือตัวแทน
จัดทำสรุปรายการจำนวนตู้สินค้าที่ขนถ่ายและบรรทุกขึ้นลงเรือ
และจำนวนครั้งของการเคลื่อนย้ายฝาระวางเรือ อุปกรณ์เครื่องมือของเรือและตู้สินค้า
ที่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายบนเรือหรือลงบนหน้าท่า ส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบประจำเรือของแผนกปฏิบัติการ
กองท่าบริการตู้สินค้า ๑ หรือ ๒ แล้วแต่กรณี หลังจากเรือเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน
ข้อ ๔ ให้บริษัทเจ้าของเรือหรือตัวแทน
ลงนามรับรองจำนวนตู้สินค้าขาออกที่บรรทุกลงเรือ
ตามรายงานสรุปและรายการตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ ตามรูปแบบที่ท่าเรือกรุงเทพกำหนด
ให้แล้วเสร็จภายใน ๒๔ ชั่วโมง นับตั้งแต่เรือเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน
ข้อ ๕ กรณีบริษัทเจ้าของเรือหรือตัวแทน
ไม่ปฏิบัติตามข้อ ๒ ถึงข้อ ๔ ท่าเรือกรุงเทพจะพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควรต่อไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรวิภา/จัดทำ
๒ มิถุนายน ๒๕๖๑
นุสรา/ตรวจ
๓ มิถุนายน ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนที่ ๔๐ ง/หน้า ๑/๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ |
804121 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ
และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการใช้ท่าเรือบริการและความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔
ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้ดำเนินการดังนี้
๑. ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๐
๒. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ ดังนี้
บาท/ตู้
ขนาด
๒๐
๔๐
>๔๐
ตู้มีสินค้า ๔๗
๙๔
๑๐๖
ตู้สินค้าเปล่า ๒๘
๕๖
๖๓
๓. การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือตรี
ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปุณิกา/จัดทำ
๓
กันยายน ๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจาจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๑๑ ง/หน้า ๑๙/๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ |
804119 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือบริการและความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
๑. ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๐
๒. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง
(ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ ดังนี้
๒.๑ ท่าเรือกรุงเทพ
-
เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐
แรงม้าขึ้นไป ๑,๔๒๗
บาท/ชั่วโมง
๒.๒
ท่าเรือแหลมฉบัง ๑,๔๙๙
บาท/ชั่วโมง
๓. อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ
๒ กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง ๓๐ นาที คิด ๓๐ นาที และหากเกิน
๓๐ นาที แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ ๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท
ปตท. จำกัด (มหาชน) ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓
เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี พ.ศ. ๒๕๔๗
และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือตรี
ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปุณิกา/จัดทำ
๓
กันยายน ๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจาจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๑๑ ง/หน้า ๑๘/๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ |
804117 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง ค่าธรรมเนียมบริการพิเศษสำหรับตู้สินค้าขาออกที่บรรทุกลงเรือเฉพาะเขต ไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
ค่าธรรมเนียมบริการพิเศษสำหรับตู้สินค้าขาออก
ที่บรรทุกลงเรือเฉพาะเขต
ไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
เพื่อเป็นการส่งเสริมการขนส่งทางน้ำภายในประเทศและอำนวยความสะดวกในการให้บริการบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าและรับมอบตู้สินค้าขาออกบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต
ไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และข้อ ๔ และ ๑๓
แห่งระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือบริการและความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงให้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมบริการพิเศษดังนี้
๑.
อัตราค่าธรรมเนียมบริการพิเศษเหมาจ่ายตามขนาดตู้สินค้า
(ไม่รวมค่าบริการเคลื่อนย้ายตู้สินค้ากรณีพิเศษ)
สำหรับการให้บริการควบคุมการบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้า
และส่งมอบบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต ไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบังดังนี้.-
ขนาดตู้สินค้า
บาท/ตู้
๒๐
๑,๒๐๐
๔๐
ขึ้นไป ๒,๐๐๐
๒. อัตราค่าธรรมเนียมบริการพิเศษเหมาจ่ายตามขนาดตู้สินค้า
สำหรับตู้สินค้าขาออกจากภายนอกที่ผ่านเข้าเขตรั้วศุลกากรท่าเรือกรุงเทพเพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต
ไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง (ต้องขออนุญาตเป็นรายกรณีไป)
ดังนี้.-
ขนาดตู้สินค้า
บาท/ตู้
๒๐
๙๐๐
๔๐
ขึ้นไป ๑,๔๐๐
๓. อัตราค่าธรรมเนียมบริการพิเศษเหมาจ่ายตามขนาดตู้สินค้า
(ไม่รวมค่าบริการเคลื่อนย้ายตู้สินค้ากรณีพิเศษ)
สำหรับตู้สินค้าเปล่าขาออกเพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต ไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง
(ต้องขออนุญาตเป็นรายกรณีไป) ดังนี้.-
ขนาดตู้สินค้า
บาท/ตู้
๒๐
๘๐๐
๔๐
ขึ้นไป ๑,๒๐๐
๔. อัตราค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนท่ารับบรรทุก
(Change
of
Loading
Port)
ตามขนาดตู้สินค้า
ขนาดตู้สินค้า
บาท/ตู้
๒๐
๓๐๐
๔๐
ขึ้นไป ๔๕๐
หมายเหตุ : ค่าธรรมเนียมตามข้อ ๒
และ ๓ ไม่รวมค่ายานพาหนะผ่านท่าและค่ายกตู้สินค้าลงจากรถ (Lift
Off
Charge)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑
เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือตรี
ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปุณิกา/จัดทำ
๓
กันยายน ๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจาจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๑๑ ง/หน้า ๑๖/๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ |
802841 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับตู้สินค้าขาออกเพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับตู้สินค้าขาออกเพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพ
ไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
เพื่อให้การส่งเสริมการขนส่งตู้สินค้าขาออกทางน้ำภายในประเทศ
โดยเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง เป็นไปด้วยความถูกต้อง
เรียบร้อย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และข้อ ๔ และข้อ ๑๓ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ
บริการและความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงกำหนดวิธีปฏิบัติดังนี้
ข้อ
๑ เจ้าของเรือหรือตัวแทนที่ประสงค์จะบรรทุกตู้สินค้าขาออกลงเรือเฉพาะเขต
ท่าเรือกรุงเทพต้องยื่นตารางเรือตู้สินค้าที่รับบรรทุก ณ ท่าเรือแหลมฉบัง (Load Port) ของเดือนถัดไปให้กับแผนกสารสนเทศ
กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ ก่อนวันที่ ๑๕ ของเดือน
ก่อนที่จะมีการรับบรรทุกเพื่อบันทึกข้อมูลเข้าระบบบริการท่าเทียบเรือตู้สินค้า
(Container Terminal Management System : CTMS)
ข้อ
๒ ผู้ส่งออกหรือตัวแทน
ต้องจัดส่งข้อมูลใบกำกับการเคลื่อนย้ายสินค้าผ่านระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
ณ จุดเดียว (National Single Window : NSW) โดยระบุ รหัสสถานที่ตรวจปล่อย (Release Port) เป็นท่าบริการเรือเฉพาะเขตสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ
(๐๒๕๔) และรหัสสถานที่รับบรรทุก (Load Port) เป็นสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง (๒๘๐๑) ก่อนนำตู้สินค้าผ่านเข้าเขตศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ
ข้อ
๓ ผู้ส่งออกหรือตัวแทน
ต้องนำตู้สินค้าขาออกเพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพผ่านด่านตรวจสอบภายใน
กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า ท่าเรือกรุงเทพก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า
๓ ชั่วโมง (Closing Time) หลังจากนั้นจะไม่อนุญาตให้ผ่านด่านตรวจสอบภายในยกเว้นมีเหตุจำเป็น
ให้ผู้อำนวยการกองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้าท่าเรือกรุงเทพ
พิจารณาเป็นราย ๆ ไป แล้วแต่กรณี
ข้อ ๔ เมื่อผู้ส่งออกหรือตัวแทน
เคลื่อนย้ายตู้สินค้ามายังด่านตรวจสอบภายในกองท่าบริการตู้สินค้า ๒ หรือกองปฏิบัติการสินค้า
๓ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพพนักงานประจำด่านตรวจสอบภายในจะชั่งน้ำหนักและตรวจสอบข้อมูลหมายเลขตู้สินค้า
หากมีข้อมูลตรงกับข้อมูลในใบกำกับการขนย้ายสินค้าที่เชื่อมโยงกับกรมศุลกากรแล้ว
จะทำการบันทึกหมายเลขตู้สินค้าเข้าระบบเพื่อตัดบัญชีใบกำกับการขนย้ายสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์
(e - Matching) ผ่านระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (National Single Window : NSW) โดยอัตโนมัติ
๔.๑ กรณีที่ระบบอิเล็กทรอนิกส์แจ้งข้อความ ยกเว้นการตรวจ (Green Line)
พนักงานประจำด่านตรวจสอบภายใน ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพจะสั่งพิมพ์ใบตรวจสอบสภาพตู้สินค้า
(Equipment Interchange Receipt : EIR) พร้อมระบุข้อความ ผ่าน หรือ PASS ส่งให้กับพนักงานขับรถบรรทุกตู้สินค้า
พร้อมแจ้งตำแหน่งสถานที่กองเก็บตู้สินค้า
๔.๒
กรณีที่ระบบอิเล็กทรอนิกส์แจ้งข้อความ ให้เปิดตรวจ (Red Line)
พนักงานประจำด่านตรวจสอบภายใน ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพจะสั่งพิมพ์ใบตรวจสอบสภาพตู้สินค้า
(Equipment Interchange Receipt : EIR) พร้อมระบุข้อความ
X-Ray ส่งให้กับพนักงานขับรถบรรทุกตู้สินค้า
และแจ้งให้นำตู้สินค้า พร้อมเอกสารใบ EIR ไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ประจำศูนย์เอกซเรย์และเทคโนโลยีศุลกากร
สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ เพื่อตรวจสอบตู้สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์
หากตรวจสอบพอใจพนักงานศุลกากรประจำศูนย์เอกซเรย์และเทคโนโลยีศุลกากรจะประทับตรา ตรวจสอบพอใจ พร้อมลงลายมือชื่อเจ้าพนักงานศุลกากรบนเอกสารใบ
EIR จากนั้นพนักงานขับรถตู้สินค้าจะต้องนำ
ตู้สินค้าไปกองเก็บตามตำแหน่งที่ระบุไว้
เพื่อรอการบรรทุกขึ้นเรือเฉพาะเขตต่อไป
ข้อ ๕ การนำตู้สินค้าที่ได้รับการตรวจปล่อยแล้ว
บรรทุกลงเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพ ให้ผู้รับประกอบการขนส่งตู้สินค้าทางเรือเฉพาะเขตหรือตัวแทน
ดำเนินการดังนี้
๕.๑ ยื่นตารางเรือใช้ท่าของเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพ
ไม่น้อยกว่า ๘ ชั่วโมง ก่อนเรือเทียบท่า ณ แผนกสารสนเทศ กองท่าบริการตู้สินค้า ๒
ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้าท่าเรือกรุงเทพ เพื่อบันทึกข้อมูลเข้าระบบบริการท่าเทียบเรือตู้สินค้า
(Container Terminal Management System : CTMS)
๕.๒ ยื่นบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ (Container Loading List) ผ่านช่องทาง และรูปแบบตามที่ท่าเรือกรุงเทพกำหนด
พร้อมกับสำเนาเอกสารรายงานตู้คอนเทนเนอร์และเอกสารใบปล่อยเรือเฉพาะเขต
ที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานศุลกากร ท่าเรือกรุงเทพ ไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง ก่อนเรือเทียบท่า ณ แผนกสารสนเทศ
กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้าท่าเรือกรุงเทพ ทั้งนี้ ในกรณีที่ข้อมูลในบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือไม่ตรงกับข้อมูลในสำเนาเอกสารรายงานตู้คอนเทนเนอร์และใบปล่อยเรือเฉพาะเขต
จะไม่อนุญาตให้บรรทุกลงเรือ
ข้อ
๖ การเปลี่ยนแปลงข้อมูลการใช้ท่ารับบรรทุกของตู้สินค้า
๖.๑
กรณีเปลี่ยนแปลงข้อมูลการใช้ท่ารับบรรทุกของตู้สินค้า จากท่าเรือเฉพาะ เขตเปลี่ยนเป็นท่าเรือบรรทุกท่าเรือกรุงเทพ
ให้ผู้ส่งออกหรือตัวแทน ยื่นคำขออนุญาตต่อสำนักงานศุลกากร
ท่าเรือกรุงเทพในการเปลี่ยนแปลงท่าบรรทุกตู้สินค้า เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ให้ดำเนินการแจ้งขอแก้ไขข้อมูลการส่งออกที่แผนกสารสนเทศกองท่าบริการตู้สินค้า
๒ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ
พร้อมทั้งแสดงเอกสารยืนยันการได้รับอนุญาตจากสำนักงานศุลกากร
ท่าเรือกรุงเทพ และให้ปฏิบัติตามระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ ที่ใช้ในปัจจุบัน
๖.๒
กรณีเปลี่ยนแปลงข้อมูลการใช้ท่ารับบรรทุกของตู้สินค้า จากท่าเรือกรุงเทพเป็นท่าเรือเฉพาะเขต
ให้ผู้ส่งออกหรือตัวแทน ยื่นคำขออนุญาตต่อสำนักงานศุลกากร ท่าเรือกรุงเทพในการเปลี่ยนแปลงท่าบรรทุกตู้สินค้า
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ให้ดำเนินการแจ้งขอแก้ไขข้อมูลการส่งออกตามที่แผนกสารสนเทศ
กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า ท่าเรือกรุงเทพและให้ผู้รับประกอบการขนส่งตู้สินค้าทางเรือเฉพาะเขตหรือตัวแทนฯ
ดำเนินการตามข้อ ๕.๒
พร้อมทั้งแสดงเอกสารยืนยันการได้รับอนุญาตบรรทุกลงเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพจากสำนักงานศุลกากร
ท่าเรือกรุงเทพ
๖.๓
ผู้ส่งออกหรือตัวแทน จะต้องชำระค่าธรรมเนียมเปลี่ยนท่ารับบรรทุก (Change of Loading Port) ตามอัตราที่กำหนด
๖.๔
ผู้ส่งออกหรือตัวแทน จะต้องชำระค่าเคลื่อนย้ายตู้สินค้ากรณีพิเศษ (Extra Container Movement Charge) และค่าบริการตู้สินค้าที่ยกเลิก (Shut - Out Container Charge) ตามอัตราที่กำหนด แล้วแต่กรณี
ข้อ
๗ กรณีการขอตรวจรับตู้สินค้ากลับคืน
และ/หรือการยกเลิกการส่งออก
๗.๑ กรณีการตรวจรับตู้สินค้ากลับคืนทั้งตู้
เนื่องจากไม่มีการส่งออก ให้ผู้ส่งออก หรือตัวแทน
ยื่นแบบแสดงรายการขอตรวจรับตู้สินค้ากลับคืน/ยกเลิกการส่งออก ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานศุลกากร
ท่าเรือกรุงเทพ
และเอกสารรายการตรวจรับตู้สินค้ากลับคืนตามที่ท่าเรือกรุงเทพกำหนดไว้
ที่แผนกปฏิบัติการ กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพ
๗.๒
กรณีการขอตรวจรับสินค้ากลับคืนบางส่วน หรือบรรจุเพิ่มเติมเข้าตู้
ให้ผู้ส่งออกหรือตัวแทนยื่นแบบแสดงรายการขอตรวจรับสินค้ากลับคืนหรือรายการสินค้าบรรจุเพิ่มเติมที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานศุลกากรที่รับผิดชอบ
พร้อมเอกสารรายการขอตรวจรับกลับคืนหรือรายการสินค้าบรรจุเพิ่มเติม
ตามที่ท่าเรือกรุงเทพกำหนด ที่แผนกโรงพักสินค้า ๑๓ กองปฏิบัติการสินค้า ๓
ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ
ข้อ
๘ กรณีตู้สินค้าที่จะส่งออกบรรทุกลงเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพ
และไม่ได้รับบรรทุกขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง
และนำกลับมายังท่าเรือกรุงเทพ ผู้ส่งออกหรือตัวแทนจะต้องดำเนินการดังนี้
๘.๑
ยื่นสำเนาใบรับรองส่งคืนตู้สินค้ากลับที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก่อนเรือเทียบท่า ๓ ชั่วโมง ที่แผนกสารสนเทศ กองท่าบริการตู้สินค้า ๒
ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้าท่าเรือกรุงเทพ
๘.๒
ยื่นแบบแสดงรายการขอตรวจรับตู้สินค้ากลับคืน/ยกเลิกการส่งออก ทันทีที่ตู้สินค้ากลับคืนท่าเรือกรุงเทพ
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือตรี
ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
วิวรรธน์/จัดทำ
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑
นุสรา/ตรวจ
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนที่ ๓๓ ง/หน้า ๖/๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑ |
802837 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง วิธีปฏิบัติในการบรรจุสินค้าขาออกและนำบรรทุกลงเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
วิธีปฏิบัติในการบรรจุสินค้าขาออกและนำบรรทุกลงเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพ
ไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
เพื่อเป็นการส่งเสริมการขนส่งสินค้าและตู้สินค้าขาออกทางน้ำภายในประเทศ
โดยเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง
เป็นไปด้วยความถูกต้อง เรียบร้อย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๔๙๔ และข้อ ๖ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการนำสินค้าขาออก ตู้สินค้าขาออกและตู้สินค้าเปล่าที่ผ่านเข้า
หรือนำออกนอกเขตศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ พ.ศ.
๒๕๕๙ จึงกำหนดวิธีปฏิบัติดังนี้
ข้อ
๑
ผู้ใช้บริการหรือตัวแทนที่มีความประสงค์จะนำสินค้าขาออก เข้ามาบรรจุสินค้าเข้าตู้เพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขตท่าเรือกรุงเทพและไปขึ้นเรือตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง
ให้ปฏิบัติดังนี้
๑.๑
บันทึกข้อมูลสินค้าขาออกตามแบบขอนำสินค้าส่งออก
เพื่อเข้าบรรจุในเขตรั้วศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ [ทกท.๐๑.๐๐.๐๑ (๐๕)]
ตามแบบแนบท้ายประกาศนี้ ผ่านทางเว็บไซต์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
โดยเลือกหัวข้อที่เป็นสถานที่บรรจุสินค้า เป็นแผนกโรงพักสินค้า๑๓ กองปฏิบัติการสินค้า ๒ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้าท่าเรือกรุงเทพ
และพิมพ์เอกสาร [ทกท.๐๑.๐๐.๐๑ (๐๕)]
นำมาพร้อมกับรถบรรทุกสินค้าและเอกสารประกอบใบขนสินค้าขาออกเพื่อยื่นให้ตรวจสอบก่อนอนุญาตให้ผ่านเข้าเขตท่าเรือกรุงเทพ
ที่สถานีตรวจสอบสินค้าของแผนกโรงพักสินค้า ๑๓
๑.๒
รับบัตรคิวที่แผนกโรงพักสินค้า ๑๓ เพื่อจัดลำดับในการเข้าใช้บริการ
๑.๓ ยื่นใบแจ้งขอปฏิบัติงาน [ทกท.๐๑.๐๐.๐๑ (๐๒)]
ตามแบบแนบท้ายประกาศนี้เพื่อจัดเรียงตู้สินค้าเปล่ารอการบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้า
หรือส่งมอบตู้สินค้าบรรทุกลงเรือเฉพาะเขตที่แผนกโรงพักสินค้า ๑๓
และยื่นแบบขอเคลื่อนย้ายตู้สินค้าเปล่าเข้าลานบรรจุตู้สินค้า [ทกท.๐๑.๐๓.๐๓ (๐๑)] ที่แผนกควบคุมตู้สินค้าเปล่า กองปฏิบัติการสินค้า ๓
ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้าท่าเรือกรุงเทพ
๑.๔
กรณีเป็นผู้ประกอบการบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้า (Freight Forwarder) ต้องยื่นรายงานการเคลื่อนย้ายตู้สินค้ากรณีพิเศษและการบรรจุสินค้าเพื่อบรรทุกลงเรือ
[ทกท.๐๑.๐๐.๐๑ (๐๔)] ตามแบบแนบท้ายประกาศนี้
เพื่อนำไปบรรจุสินค้าขาออกในเขตท่าเรือกรุงเทพ โดยระบุจำนวนตู้สินค้าและรายละเอียด
หมายเลขตู้สินค้า ขนาด อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษ ชื่อเรือ เที่ยววันที่บรรทุกลงเรือที่แผนกโรงพักสินค้า
๑๓
๑.๕
ยื่นรายงานการบรรจุตู้สินค้าและตู้สินค้าเปล่า เพื่อบรรทุกลงเรือ [ทกท.๐๑.๐๐.๐๑
(๐๓)] ตามแบบแนบท้ายประกาศนี้ โดยให้แยกเป็นลำเรือ รายละเอียด ชื่อเรือ
เที่ยววันที่หมายเลขตู้สินค้า
ขนาดตู้สินค้า สถานภาพตู้สินค้า น้ำหนักและเมืองท่าเรือปลายทาง พร้อมลงนามและประทับตราบริษัท
(ถ้ามี) ที่แผนกโรงพักสินค้า ๑๓
ข้อ
๒
ผู้ใช้บริการหรือตัวแทนที่มีความประสงค์จะนำสินค้าเข้าฝากเก็บที่แผนกโรงพักสินค้า
๑๓ ให้นำรถบรรทุกสินค้าผ่านสถานีตรวจสอบสินค้า
เพื่อชำระค่าภาระสินค้าขาออกและค่ายานพาหนะผ่านท่า พร้อมยื่นแบบขอนำสินค้าส่งออก
เพื่อเข้าบรรจุในเขตรั้วศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ [ทกท.๐๑.๐๐.๐๑ (๐๕)]
เพื่อตรวจสอบข้อมูลสินค้าของท่าเรือกรุงเทพ และระบบตรวจสอบของกรมศุลกากร (Red/Green Line) แล้วนำรถบรรทุกไปที่สถานีตรวจสอบของแผนกโรงพักสินค้า
๑๓ เพื่อขอนำสินค้าฝากเก็บหรือบรรจุเข้าตู้สินค้าต่อไป
๒.๑
ผู้ใช้บริการหรือตัวแทนยื่นแบบขอนำสินค้าส่งออก เพื่อเข้าบรรจุในเขตรั้วศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ [ทกท.๐๑.๐๐.๐๑ (๐๕)]
ให้กับเจ้าหน้าที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย เพื่อตรวจนับและตรวจสินค้าเครื่องหมาย
จำนวน ประเภท น้ำหนัก เลขที่ใบขนของศุลกากร จำนวนรถบรรทุกสินค้า เมืองท่าปลายทางให้ถูกต้องตรงกัน ลงนามรับมอบสินค้าในแบบ
[ทกท.๐๑.๐๐.๐๑ (๐๕)]
ก่อนอนุญาตให้นำสินค้าลงจากรถบรรทุกโดยจัดเรียงสินค้าตามพื้นที่ที่กำหนดไว้
๒.๒ ผู้ใช้บริการหรือตัวแทนที่ประสงค์นำสินค้าบรรจุเข้าตู้สินค้าโดยตรง
ให้เจ้าหน้าที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ส่งมอบสินค้าให้ผู้ประกอบการบรรจุตามรายการสินค้าที่ได้ตรวจสอบร่วมกันและให้ผู้ใช้บริการหรือตัวแทน
ลงนามรับมอบสินค้าในแบบ [ทกท.๐๑.๐๐.๐๑ (๐๕)] เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
๒.๓
ผู้ใช้บริการหรือตัวแทนที่มีสินค้าเหลือ ต้องนำกลับ แต่ไม่สามารถนำกลับได้
ในวันที่บรรจุหรือสินค้าที่บรรจุเข้าตู้สินค้าไม่หมด
และประสงค์จะนำเข้าบรรจุเพื่อส่งออกในวันถัดไปให้นำสินค้าดังกล่าวไปฝากเก็บที่แผนกโรงพักสินค้า
๑๓
๒.๔
ผู้ใช้บริการหรือตัวแทนที่ประสงค์นำ สินค้าออกนอกเขตรั้วศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ
ให้ยื่นแบบ [ทกท.๐๑.๐๐.๐๑ (๐๕)] พร้อมเอกสารประกอบที่แผนกโรงพักสินค้า ๑๓
ข้อ
๓ ผู้ประกอบการบรรจุหรือตัวแทน
ต้องบรรจุสินค้าขาออกเข้าตู้สินค้าให้แล้วเสร็จก่อนเวลาเรือเฉพาะเขตเริ่มดำเนินการบรรทุกลงเรือไม่น้อยกว่า
๖ ชั่วโมง
ข้อ
๔ ผู้ประกอบการบรรจุ
ผู้ส่งออกหรือตัวแทน ต้องจัดส่งข้อมูลรายการตู้สินค้าขาออกในรูปแบบข้อมูลใบกำกับการขนย้ายสินค้าตามที่กรมศุลกากรกำหนด
ผ่านระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (National Single Window : NSW) ก่อนตู้สินค้าขาออกผ่านด่านตรวจสอบภายใน
กองปฏิบัติการสินค้า ๓ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ หากไม่มีข้อมูลจะไม่อนุญาตให้บรรทุกลงเรือเฉพาะเขต
ข้อ
๕ การจัดเก็บค่าภาระ
ให้ดำเนินการตามระเบียบและอัตราค่าภาระของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ดังต่อไปนี้
๕.๑
ผู้ใช้บริการหรือตัวแทน เป็นผู้ชำระค่าภาระสินค้าขาออกลงจากยานพาหนะและค่ายานพาหนะผ่านท่าที่สถานีตรวจสอบสินค้า
๓ (ถนนอาจณรงค์)
๕.๒
ผู้ใช้บริการหรือตัวแทน เป็นผู้ชำระค่าภาระฝากเก็บสินค้าทั่วไปขาออกได้รับสิทธิยกเว้น
ค่าภาระฝากเก็บสินค้า ๓ วัน นับตั้งแต่วันเข้าเก็บ (๕ บาท/วัน/ตัน (Revenue Tonne)) และค่าภาระยกขนสินค้า เพิ่มเติม (๒๖
บาท/ตัน (Revenue Tonne))
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือตรี
ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบขอนำสินค้าส่งออกเพื่อเข้าบรรจุในเขตศุลกากร ท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.๐๑.๐๐.๐๑(๐๕))
๒.
การท่าเรือแห่งประเทศไทยใบแจ้งขอปฏิบัติงาน (ทกท.๐๑.๐๐.๐๑(๐๒))
๓.
แบบขอเคลื่อนย้ายตู้สินค้าเปล่าเข้าลานบรรจุตู้สินค้า (ทกท.๐๑.๐๓.๐๓(๐๑))
๔. รายงานการบรรจุตู้สินค้าและตู้สินค้าเปล่าเพื่อบรรทุกลงเรือ
(ทกท.๐๑.๐๐.๐๑(๐๓))
๕.
รายงานการเคลื่อนย้ายตู้สินค้ากรณีพิเศษและการบรรจุสินค้าเพื่อบรรทุกลงเรือ
(ทกท.๐๑.๐๐.๐๑.(๐๔))
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วิวรรธน์/จัดทำ
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑
นุสรา/ตรวจ
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนที่ ๓๓ ง/หน้า ๓/๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑ |
797075 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การขออนุญาตเปิดตู้สินค้าขาเข้าเพื่อทำการตรวจปล่อยสินค้าตามพิธีการศุลกากร | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การขออนุญาตเปิดตู้สินค้าขาเข้าเพื่อทำการตรวจปล่อยสินค้าตามพิธีการศุลกากร[๑]
เพื่อให้การเปิดตู้สินค้าขาเข้าที่ทำการตรวจปล่อยสินค้าตามพิธีการศุลกากรที่อยู่ในความรับผิดชอบของท่าเรือกรุงเทพ
เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและปลอดภัย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ (๔) มาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ ๑
ยกเลิกประกาศท่าเรือกรุงเทพ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง
การขออนุญาตเปิดตู้สินค้าขาเข้าเพื่อทำการตรวจปล่อยสินค้าตามพิธีการศุลกากร
ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๓๙
ข้อ ๒
ให้เจ้าของสินค้าหรือตัวแทน
นำเอกสารใบสั่งปล่อยสินค้าของกรมศุลกากรในระบบศุลกากรไร้เอกสาร (e - Customs
Paperless)
พร้อมใบขออนุญาตเปิดตู้สินค้าของบริษัทตัวแทนเรือที่หัวหน้าแผนกโรงพักสินค้า /
แผนกคลังสินค้า / แผนกปฏิบัติการ กองท่าบริการตู้สินค้า ๑ และ ๒
ลงนามเสนอต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร เพื่อขออนุญาตเปิดตรวจสินค้า หรือสั่งปล่อยสินค้า
(ยกเว้นการตรวจ) เมื่อได้มีการลงนามอนุญาตแล้ว ให้นำเอกสารมายื่นต่อหน่วยงาน
ดังกล่าว โดยให้พนักงานตรวจสอบข้อมูลคำสั่งเปิดตรวจสินค้า หรือสั่งปล่อยสินค้า
(ยกเว้นการตรวจ) จากระบบศุลกากรไร้เอกสาร (e
-
Customs
Paperless)
และบันทึกยืนยันส่งกลับให้ระบบศุลกากรฯ
ข้อ ๓
พนักงานยกขนหรือผู้ได้รับมอบหมาย
ต้องตรวจสอบเอกสารใบขออนุญาตเปิดตู้สินค้าที่ลงนามอนุญาตแล้ว
ให้ถูกต้องตรงกับหมายเลขตู้สินค้า
และตรวจสอบสภาพซีลตู้สินค้าก่อนทำการเปิดตู้สินค้า
ข้อ ๔
การขออนุญาตเปิดตู้สินค้าขาเข้า ต้องปฏิบัติตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการนำตัวอย่างสินค้าจากโรงพักสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ไปให้กรมศุลกากรตรวจฉบับที่ใช้ในปัจจุบัน พร้อมยื่นเอกสารตามข้อ ๒
ซึ่งตู้สินค้าขาเข้ามี ๓ สถานภาพ ดังต่อไปนี้
๔.๑ ตู้สถานภาพ FCL (ตู้ลาก)
เจ้าของสินค้าหรือตัวแทน และ/หรือบริษัทตัวแทนเรือจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบสินค้าภายในตู้สินค้าหลังจากที่มีการเปิดตรวจ
โดยจะต้องจัดหากุญแจมาทำการปิดตู้สินค้าให้เรียบร้อย
ในกรณีที่มีการนำสินค้าออกไปเพื่อส่งตัวอย่างให้กรมศุลกากรตรวจจะต้องจัดทำเอกสารแบบขออนุญาตนำตัวอย่างสินค้าไปให้กรมศุลกากรตรวจ
(ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๘)) ที่แนบท้ายประกาศนี้
และสำเนาแบบขออนุญาตนำตัวอย่างสินค้าไปให้กรมศุลกากรตรวจ (ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๘))
ดังกล่าว ส่งมอบให้กับพนักงานผู้ควบคุมลานวางตู้สินค้าและด่านตรวจสอบสินค้า
๔.๒ ตู้สถานภาพ LCL/DD
(ขนส่งหน้าตู้)
เจ้าของสินค้าหรือตัวแทน และบริษัทตัวแทนเรือจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบสินค้าภายในตู้สินค้าหลังจากที่มีการเปิดตรวจ
โดยจะต้องจัดหากุญแจมาทำการปิดตู้สินค้าให้เรียบร้อย
ในกรณีที่มีการนำสินค้าออกไปเพื่อส่งตัวอย่างให้กรมศุลกากรตรวจจะต้องจัดทำเอกสารแบบขออนุญาตนำตัวอย่างสินค้าไปให้กรมศุลกากรตรวจ
(ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๘)) ที่แนบท้ายประกาศนี้
และสำเนาแบบขออนุญาตนำตัวอย่างสินค้าไปให้กรมศุลกากรตรวจ (ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๘))
ดังกล่าว ส่งมอบให้กับพนักงานนอกโรงพักสินค้าและด่านตรวจสอบสินค้า
สินค้ารายใดที่ได้ตรวจปล่อยไปจากอารักขาของศุลกากรแล้ว
เจ้าของสินค้าหรือตัวแทนจะต้องขนสินค้าไปทั้งหมด หากไม่สามารถนำสินค้าออกได้หมด
เจ้าของสินค้าหรือตัวแทนจะต้องจัดหากุญแจมาทำการปิดตู้สินค้าให้เรียบร้อย
และรับผิดชอบต่อสินค้าที่เหลืออยู่นั้น
พร้อมทั้งแจ้งให้หัวหน้าแผนกหรือผู้ช่วยหัวหน้าแผนกโรงพักสินค้า หรือคลังสินค้า
ทราบ
๔.๓ ตู้สถานภาพ CFS (ตู้เปิดเข้าโรงพักสินค้า)
เจ้าของสินค้าหรือตัวแทนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบสินค้าที่มีการเปิดตรวจ
เพื่อนำสินค้าไปส่งตัวอย่างและทำการปิดหีบห่อสินค้าให้เรียบร้อยก่อนนำสินค้าออกไปเพื่อส่งตัวอย่าง
และจะต้องจัดทำเอกสารแบบขออนุญาตนำตัวอย่างสินค้าไปให้กรมศุลกากรตรวจ (ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑
(๒๘)) ที่แนบท้ายประกาศนี้
และสำเนาแบบขออนุญาตนำตัวอย่างสินค้าไปให้กรมศุลกากรตรวจ (ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๘))
ดังกล่าว ส่งมอบให้กับพนักงานประจำคูหาและด่านตรวจสอบสินค้า
ข้อ ๕
ห้ามมิให้บุคคลซึ่งไม่ใช่พนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ทำการเปิดตู้สินค้าที่ยังมิได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด
รวมถึงห้ามนำอุปกรณ์หรือเครื่องมืออื่นใดที่สามารถใช้เปิดตู้สินค้าได้ เช่น กรรไกร
คีมตัด ชะแลง ฯลฯ เข้าไปในลานวางตู้สินค้า ผู้ใดฝ่าฝืน
ท่าเรือกรุงเทพจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑
เรือโท
กมลศักดิ์ พรหมประยูร
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายบริหารสินทรัพย์และพัฒนาธุรกิจ
รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบขออนุญาตนำตัวอย่างสินค้าไปให้กรมศุลกากรตรวจ (ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๘))
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
พิมพ์มาดา/จัดทำ
๓
เมษายน ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๓๓ ง/หน้า ๓๙/๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ |
795799 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือบริการและความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔
ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๐
ข้อ ๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ ดังนี้
บาท / ตู้
ขนาด ๒๐' ๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า ๔๓
๘๖ ๙๗
ตู้สินค้าเปล่า ๒๖ ๕๒ ๕๙
ข้อ ๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ร้อยตำรวจตรี มนตรี ฤกษ์จำเนียร
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรวิภา/จัดทำ
๒๔
มกราคม ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๙ ง/หน้า ๓๑/๒๖ มกราคม ๒๕๖๑ |
795797 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือบริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔
ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๐
ข้อ ๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง
(ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ ดังนี้
๒.๑ ท่าเรือกรุงเทพ
-
เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐ แรงม้าขึ้นไป ๑,๒๙๕ บาท / ชั่วโมง
๒.๒
ท่าเรือแหลมฉบัง ๑,๓๖๑ บาท / ชั่วโมง
ข้อ ๓ อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ ๒
กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง ๓๐ นาที คิด ๓๐ นาที และหากเกิน ๓๐ นาที แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ ๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ ๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ร้อยตำรวจตรี มนตรี ฤกษ์จำเนียร
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรวิภา/จัดทำ
๒๔
มกราคม ๒๕๖๑
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๑๙ ง/หน้า ๓๐/๒๖ มกราคม ๒๕๖๑ |
790908 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๐
ข้อ ๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ดังนี้
บาท/ตู้
ขนาด ๒๐' ๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า
๓๘
๗๖ ๘๖
ตู้สินค้าเปล่า
๒๓
๔๖ ๕๒
ข้อ ๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรวิภา/อัญชลี/จัดทำ
๒๐
พฤศจิกายน ๒๕๖๐
นุสรา/ตรวจ
๓๑
สิงหาคม ๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๗๙ ง/หน้า ๑๔/๑๕
พฤศจิกายน ๒๕๖๐ |
790906 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้ดำเนินการ
ดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๐
ข้อ ๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ดังนี้
๒.๑ ท่าเรือกรุงเทพ
- เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐
แรงม้าขึ้นไป ๑,๑๔๗ บาท/ชั่วโมง
๒.๒ ท่าเรือแหลมฉบัง ๑,๒๒๗
บาท/ชั่วโมง
ข้อ ๓ อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ ๒
กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง ๓๐ นาที คิด ๓๐ นาที และหากเกิน ๓๐ นาที แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ ๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗
และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรวิภา/อัญชลี/จัดทำ
๒๐
พฤศจิกายน ๒๕๖๐
นุสรา/ตรวจ
๓๑
สิงหาคม ๒๕๖๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๗๙ ง/หน้า ๑๓/๑๕
พฤศจิกายน ๒๕๖๐ |
784271 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง อนุญาตให้บรรจุแป้งถุง ขนาด 25 กิโลกรัมขึ้นไป ภายในเขตท่าเรือกรุงเทพ | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
อนุญาตให้บรรจุแป้งถุง ขนาด ๒๕ กิโลกรัมขึ้นไป ภายในเขตท่าเรือกรุงเทพ[๑]
เพื่อเป็นการสนับสนุนการส่งออกสินค้าประเภทแป้งถุง
ขนาด ๒๕ กิโลกรัมขึ้นไป ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีมาตรฐานความปลอดภัย
อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
พ.ศ. ๒๕๕๔ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศ
หรือหลักปฏิบัติอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับประกาศนี้
ข้อ
๒ อนุญาตให้ผู้ประกอบการทำการบรรจุแป้งถุง
ขนาด ๒๕ กิโลกรัมขึ้นไป ภายในเขตท่าเรือกรุงเทพ
ข้อ
๓ ให้ใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการบรรจุแป้งถุงตามที่ท่าเรือกรุงเทพได้จัดไว้ให้
ข้อ ๔ ผู้ที่ปฏิบัติงานบรรจุแป้งถุง
ต้องสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment : PPE) ในขณะปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด
ข้อ
๕ ห้ามใช้ตะขอหรืออุปกรณ์ใด ๆ
ที่อาจทำให้แป้งถุงเกิดการชำรุดเสียหาย
ข้อ
๖ ห้ามดำเนินกิจกรรมใด ๆ
ที่ทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่นแป้งโดยไม่ได้รับอนุญาต
ข้อ
๗ ห้ามทำความสะอาดยานพาหนะที่ขนส่งแป้งถุงในบริเวณพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพ
ข้อ
๘ ห้ามทิ้งขยะ สิ่งสกปรก
หรือเศษวัสดุใด ๆ ที่เหลือจากกิจกรรมบรรจุแป้งถุง ในบริเวณพื้นที่ของท่าเรือกรุงเทพ
ยกเว้นพื้นที่ที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนดให้เป็นพื้นที่ทิ้งขยะ
ข้อ
๙ ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะงดให้บริการ
จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
ประกาศ ณ วันที่ ๑๘
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปุณิกา/ภวรรณตรี/จัดทำ
๔ กันยายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๑๒ ง/หน้า ๒๘/๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ |
780807 | ประกาศท่าเรือกรุงเทพ เรื่อง วิธีปฏิบัติของผู้ประกอบการเปิดตู้สินค้าขาเข้าและบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้า เพื่อการส่งออกภายในท่าเรือกรุงเทพ | ประกาศท่าเรือกรุงเทพ
ประกาศท่าเรือกรุงเทพ
เรื่อง
วิธีปฏิบัติของผู้ประกอบการเปิดตู้สินค้าขาเข้าและบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้า
เพื่อการส่งออกภายในท่าเรือกรุงเทพ[๑]
เพื่อให้การปฏิบัติงานของท่าเรือกรุงเทพ
เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สะดวกในการควบคุมดูแลและรักษาความปลอดภัย รวมทั้งป้องกันมิให้ทรัพย์สินเสียหาย
อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๕ และข้อ ๑๔ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการขออนุญาตเป็นผู้ประกอบการเปิดตู้สินค้าขาเข้าและบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าเพื่อการส่งออกภายในท่าเรือกรุงเทพ
พ.ศ. ๒๕๕๒ ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพจึงให้ผู้ประกอบการเปิดตู้สินค้าขาเข้าและบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าเพื่อการส่งออกภายในท่าเรือกรุงเทพปฏิบัติดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ผู้ประกอบการยื่นแบบขออนุญาตปฏิบัติงานการเปิดตู้สินค้าขาเข้าและบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าเพื่อการส่งออกภายในท่าเรือกรุงเทพ
(แบบ ทกท.๐๐.๐๐.๐๒ (๑๑)) แนบท้ายประกาศนี้ที่แผนกบรรทุกและขนถ่ายสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพ ซึ่งประกอบด้วย เอกสารต้นฉบับจำนวน ๑ ฉบับ และสำเนาจำนวน ๒ ฉบับ
รวม ๓ ฉบับ
ข้อ
๒ ผู้ประกอบการจะต้องได้รับอนุญาตก่อนเข้าไปปฏิบัติงานภายในท่าเรือกรุงเทพในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน
ผู้ประกอบการสามารถยื่นแบบขออนุญาตฯ (แบบ ทกท.๐๐.๐๐.๐๒ (๑๑)) กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ให้เป็นผู้พิจารณาอนุญาตเป็นรายกรณีไป
ข้อ
๓ ให้ผู้ประกอบการนำต้นฉบับแบบขออนุญาตฯ (แบบ
กทท.๐๐.๐๐.๐๒ (๑๑)) ที่ได้ลงนามอนุญาตแล้วไปยื่นกับหน่วยงานที่จะไปปฏิบัติงานเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการปฏิบัติงานโดยสำเนาจำนวน
๒ ฉบับ ให้แผนกบรรทุกและขนถ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ
และผู้ประกอบการเก็บไว้เป็นหลักฐานฝ่ายละ ๑ ฉบับ
ข้อ
๔ ห้ามบุคคลใดเปิดตู้สินค้าขาเข้าและบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าเพื่อการส่งออกภายในท่าเรือกรุงเทพโดยไม่ได้รับอนุญาต
หากฝ่าฝืนการท่าเรือแห่งประเทศไทยจะดำเนินการตามที่เห็นควรต่อไป
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๙
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
เรือโท ชำนาญ ไชยฤทธิ์
ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แบบขออนุญาตการเปิดตู้สินค้าขาเข้าและบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าเพื่อการส่งออกในเขตท่าเรือกรุงเทพ
(แบบ ทกท.๐๐.๐๐.๐๒ (๑๑))
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ภวรรณตรี/จัดทำ
๑๑ กรกฎาคม
๒๕๖๐
พรวิภา/ตรวจ
๑ สิงหาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๑๗๕ ง/หน้า ๔๑/๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ |
780803 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ดังนี้
๒.๑
ท่าเรือกรุงเทพ
- เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐
แรงม้าขึ้นไป ๑,๒๕๐ บาท/ชั่วโมง
๒.๒ ท่าเรือแหลมฉบัง ๑,๓๓๘ บาท/ชั่วโมง
ข้อ ๓ อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ
๒ กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง ๓๐ นาที คิด ๓๐ นาที และหากเกิน ๓๐ นาที
แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ
๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗
และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๓
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ภวรรณตรี/จัดทำ
๑๑ กรกฎาคม
๒๕๖๐
พรวิภา/ตรวจ
๑ สิงหาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๑๗๕ ง/หน้า ๔๐/๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ |
780801 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ดังนี้
บาท
/ ตู้
ขนาด
๒๐' ๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า ๔๒
๘๔ ๙๕
ตู้สินค้าเปล่า ๒๕
๕๐ ๕๖
ข้อ
๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๓
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สายวิศวกรรม รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ภวรรณตรี/จัดทำ
๑๑ กรกฎาคม
๒๕๖๐
พรวิภา/ตรวจ
๑ สิงหาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๑๗๕ ง/หน้า ๓๙/๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ |
776040 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันอาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๙
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐ ดังนี้
๒.๑
ท่าเรือกรุงเทพ
- เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐
แรงม้าขึ้นไป ๑,๓๓๔ บาท / ชั่วโมง
๒.๒ ท่าเรือแหลมฉบัง ๑,๔๒๘ บาท /
ชั่วโมง
ข้อ ๓ อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ ๒
กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง ๓๐ นาที คิด ๓๐ นาที และหากเกิน ๓๐ นาที แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ
๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗
และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปุณิกา/ภวรรณตรี/จัดทำ
๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐
นุสรา/ตรวจ
๒๑ กรกฎาคม
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๑๒๑ ง/หน้า ๕๓/๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ |
776038 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๙
ข้อ ๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐ ดังนี้
บาท / ตู้
ขนาด ๒๐' ๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า ๔๕
๙๐ ๑๐๑
ตู้สินค้าเปล่า ๒๗
๕๔ ๖๑
ข้อ
๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๖
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปุณิกา/ภวรรณตรี/จัดทำ
๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐
นุสรา/ตรวจ
๒๑ กรกฎาคม
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๑๒๑ ง/หน้า ๕๒/๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ |
769274 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง ข้อกำหนดในการใช้เรือลากจูงที่ท่าเรือแหลมฉบัง | เนเธกเนเธเธเนเธญเธเธชเธฒเธฃเธเธตเนเธเธธเธเธเนเธญเธเธเธฒเธฃ
The document that you would like to see is not found. |
767021 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง [ลว. 15 ธ.ค. 59] | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๙
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่
๑ มกราคม ๒๕๖๐ดังนี้
๒.๑
ท่าเรือกรุงเทพ
๒.๑.๑ เรือลากจูงต่ำกว่า ๒,๐๐๐ แรงม้า ๔๓๘
บาท/ชั่วโมง
๒.๑.๒ เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐
แรงม้าขึ้นไป ๑,๑๓๖ บาท/ชั่วโมง
๒.๒ ท่าเรือแหลมฉบัง ๑,๑๘๑
บาท/ชั่วโมง
ข้อ ๓ อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ
๒ กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง ๓๐ นาที คิด ๓๐ นาที และหากเกิน ๓๐ นาที
แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ
๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จ้ากัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๕
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรวิภา/ปริยานุช/จัดทำ
๒๖ มกราคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๖ ง/หน้า ๒๕/๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ |
767019 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง [ลว. 15 ธ.ค. 59] | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และ ความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ ๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษ การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๙
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่
๑ มกราคม ๒๕๖๐ดังนี้
บาท/ตู้
ขนาด ๒๐' ๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า ๓๖
๗๒
๘๑
ตู้สินค้าเปล่า ๒๒
๔๔
๕๐
ข้อ
๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๕
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรวิภา/ปริยานุช/จัดทำ
๒๖ มกราคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๖ ง/หน้า ๒๔/๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ |
767017 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง [ลว. 8 ก.ย. 59] | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการ ดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๙
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง
(ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ดังนี้
๒.๑
ท่าเรือกรุงเทพ
๒.๑.๑ เรือลากจูงต่ำกว่า ๒,๐๐๐ แรงม้า ๔๓๘
บาท/ชั่วโมง
๒.๑.๒ เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐
แรงม้าขึ้นไป ๑,๑๓๖ บาท/ชั่วโมง
๒.๒ ท่าเรือแหลมฉบัง ๑,๑๘๑
บาท/ชั่วโมง
ข้อ ๓ อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ ๒
กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง ๓๐ นาที คิด ๓๐ นาทีและหากเกิน ๓๐ นาที แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ
๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของ
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓
เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี พ.ศ. ๒๕๔๗
และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๘
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรวิภา/ปริยานุช/จัดทำ
๒๖ มกราคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๖ ง/หน้า ๒๓/๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ |
767015 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง [ลว. 8 ก.ย. 59] | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือบริการ และความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๙
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ดังนี้
บาท/ตู้
ขนาด ๒๐' ๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า ๓๙
๗๘
๘๘
ตู้สินค้าเปล่า ๒๓
๔๖
๕๒
ข้อ
๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จ้ากัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๘
กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรวิภา/ปริยานุช/จัดทำ
๒๖ มกราคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๓๔/ตอนพิเศษ ๒๖ ง/หน้า ๒๒/๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ |
763140 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง กำหนดระยะเวลาการเช่า อัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมการเช่าที่ดิน และคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
| ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
กำหนดระยะเวลาการเช่า อัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมการเช่าที่ดิน
และคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย[๑]
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงแก้ไขกำหนดระยะเวลาการเช่า
อัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมการเช่าที่ดิน และคลังสินค้า ให้มีความสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
และเหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบันยิ่งขึ้น อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๗ และข้อ ๑๐
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๘ ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิก
๑.๑
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๓๖ เรื่อง กำหนดระยะเวลาการเช่า
อัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมการเช่าที่ดิน
และคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
๑.๒
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง กำหนดอัตราค่าเช่าที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ข้อ
๒ กำหนดระยะเวลาการเช่า
อัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมการเช่าที่ดิน
และคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ดังนี้
๒.๑
การเช่าที่ดิน (การแบ่งพื้นที่ตามแนบท้ายเอกสารหมายเลข ๑)
๒.๑.๑
การเช่าที่ดินชั่วคราว
๒.๑.๑.๑
ระยะเวลาการให้เช่า ๑ (หนึ่ง) ปี
๒.๑.๑.๒
อัตราค่าเช่าตารางวาละ ๒๔ บาท ต่อเดือน (ทุกพื้นที่)
๒.๑.๑.๓
ค่าธรรมเนียมการเช่า และค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิการเช่าตารางวาละ ๓๐ บาท ต่อปี
หรือตารางวาละ ๒.๕๐ บาท ต่อเดือน
๒.๑.๑.๔
ค่าธรรมเนียมการขอรับช่วงสิทธิการเช่าคิดเท่ากับค่าเช่าที่ดิน ๒ เดือน
๒.๑.๒
การเช่าที่ดินของเอกชน บริษัท ห้างร้าน
๒.๑.๒.๑
ระยะเวลาการให้เช่า ๓ (สาม) ปี
๒.๑.๒.๒
พื้นที่ ๑ อัตราค่าเช่าตารางวาละ ๒๗๘ บาท ต่อเดือน
๒.๑.๒.๓
พื้นที่ ๒ อัตราค่าเช่าตารางวาละ ๒๐๓ บาท ต่อเดือน
๒.๑.๒.๔
พื้นที่ ๓ อัตราค่าเช่าตารางวาละ ๒๔๕ บาท ต่อเดือน
๒.๑.๒.๕
พื้นที่ ๔ อัตราค่าเช่าตารางวาละ ๑๗๒ บาท ต่อเดือน
๒.๑.๒.๖
ค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิการเช่าคิดเท่ากับ ๖ เท่าของค่าเช่า ๑ (หนึ่ง) ปี
ตามอัตราค่าเช่าที่ปรับปรุงแล้ว ยกเว้น ที่ดินที่ให้เอกชน บริษัท ห้างร้าน เช่า
ซึ่งผู้เช่าไม่ได้นำที่ดินที่เช่าไปประกอบกิจการเชิงธุรกิจ
ให้เช่าเป็นกรณีพิเศษและคิดอัตราค่าเช่าในอัตราพิเศษโดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยจะพิจารณากำหนดอัตราค่าเช่าเป็นราย
ๆ ไป
๒.๑.๒.๗
อัตราค่าเช่าอาคารชั่วคราวคิดเพิ่มอีกตารางวาละ ๒๐ บาท ต่อเดือนโดยวัดตามเนื้อที่ของชายคาอาคาร
๒.๑.๓
การเช่าที่ดินของหน่วยราชการ
๒.๑.๓.๑
ระยะเวลาการให้เช่า ๓ (สาม) ปี
๒.๑.๓.๒
อัตราค่าเช่าตารางวาละ ๑๕ บาท ต่อเดือน (ทุกพื้นที่)
๒.๑.๔
การเช่าที่ดินของรัฐวิสาหกิจ
๒.๑.๔.๑
ระยะเวลาการให้เช่า ๓ (สาม) ปี
๒.๑.๔.๒
พื้นที่ ๑ อัตราค่าเช่าตารางวาละ ๒๗๘ บาท ต่อเดือน
๒.๑.๔.๓
พื้นที่ ๒ อัตราค่าเช่าตารางวาละ ๒๐๓ บาท ต่อเดือน
๒.๑.๔.๔
พื้นที่ ๓ อัตราค่าเช่าตารางวาละ ๒๔๕ บาท ต่อเดือน
๒.๑.๔.๕
พื้นที่ ๔ อัตราค่าเช่าตารางวาละ ๑๗๒ บาท ต่อเดือน
ทั้งนี้
การเรียกเก็บอัตราค่าเช่าให้คิดตามการจัดประเภทรัฐวิสาหกิจของกรมธนารักษ์ (บัญชีแนบท้ายเอกสารหมายเลข
๒)
๒.๒
การเช่าคลังสินค้า
๒.๒.๑
ระยะเวลาการให้เช่า ๓ (สาม) ปี
๒.๒.๒
อัตราค่าเช่าอาคารคลังสินค้า ตารางวาละ ๕๐ บาท ต่อเดือน
๒.๒.๓ อัตราค่าเช่าที่ดินโดยรอบตัวอาคารคลังสินค้า ตารางวาละ
๑๕ บาท ต่อเดือน
๒.๒.๔
ยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเช่าคลังสินค้า
๒.๒.๕
ค่าธรรมเนียมแรกเช่าที่ดินทั้งผืนรวมพื้นที่บริเวณที่ตั้งตัวอาคารคลังสินค้าตารางวาละ
๓๕ บาท ต่อเดือน
๒.๒.๖
ค่าธรรมเนียมการต่อสัญญาเช่าคิดเท่ากับอัตราค่าธรรมเนียมแรกเช่าที่ดินทั้งผืนรวมพื้นที่บริเวณที่ตั้งอาคารคลังสินค้า
ตารางวาละ ๓๕ บาท ต่อเดือน
๒.๓
การออกหนังสือรับรองต่าง ๆ เกี่ยวกับการเช่า คิดค่าธรรมเนียมการออกหนังสือรับรอง ฉบับละ
๑๐๐ บาท
๒.๔
อัตราค่าเช่า ค่าธรรมเนียมการเช่าและระยะเวลาการเช่าที่ดิน และคลังสินค้าในอัตราใหม่นี้ ไม่ครอบคลุมการให้เช่ากรณีพิเศษ
ซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยจะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป เช่น การประมูล
หรือวิธีอื่น ๆ
และให้ใช้บังคับเฉพาะที่ดินและคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในกรุงเทพมหานคร
เท่านั้น
๒.๕
การกำหนดอัตราค่าเช่า และ/หรือค่าธรรมเนียมการเช่า
สามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นตามราคาประเมินอัตราค่าเช่าตลาด และ/หรือของหน่วยงานราชการ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๕
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. เอกสารหมายเลข ๑ แนบท้ายประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง กำหนดระยะเวลาการเช่า
อัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมการเช่าที่ดินและคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
๒. เอกสารหมายเลข ๒ เรื่อง
การจัดประเภทรัฐวิสาหกิจ เพื่อเรียกเก็บค่าเช่า ตามข้อ ๒.๑.๔ แนบท้ายประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง กำหนดระยะเวลาการเช่า
อัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมการเช่าที่ดินและคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วิศนี/ปริยานุช/จัดทำ
๘ ธันวาคม ๒๕๕๙
ปริญสินีย์/ตรวจ
๓๐ ธันวาคม
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๑๐๘ ง/หน้า ๑๐/๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ |
758235 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การจัดเก็บและบำบัดของเสียจากเรือ ประเภทของเสียจากน้ำมัน ณ ที่จอดเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การจัดเก็บและบำบัดของเสียจากเรือ ประเภทของเสียจากน้ำมัน
ณ
ที่จอดเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย[๑]
เพื่อให้การดำเนินการจัดเก็บและบำบัดของเสียจากเรือ
ประเภทของเสียจากน้ำมัน ณ ที่จอดเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
มีแนวทางปฏิบัติเดียวกัน และสอดคล้องกับระเบียบกรมเจ้าท่า
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการรับรองผู้ให้บริการจัดเก็บและบำบัดของเสียจากเรือประเภทน้ำมันใช้แล้วน้ำปนน้ำมันหรือเคมีภัณฑ์และน้ำเสียต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๕๘ อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๓ และข้อ ๔ ของข้อบังคับว่าด้วยระเบียบความปลอดภัยการใช้ท่าเรือบริการและความสะดวกต่าง
ๆ ของกิจการท่าเรือ พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อ ๒ และข้อ ๓
ของข้อบังคับว่าด้วยระเบียบความปลอดภัยการใช้ท่าเรือบริการและความสะดวกต่าง ๆ
ของกิจการท่าเรือ พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้ดำเนินการ ดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การจัดเก็บและบำบัดของเสียจากเรือ ณ ที่จอดเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๖
ข้อ
๒ ให้เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือที่ประสงค์จะทำการจัดเก็บและบำบัดของเสียจากเรือประเภทของเสียจากน้ำมัน
ณ ที่จอดเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ดำเนินการ ดังนี้
๒.๑
ให้ใช้บริการจากผู้ให้บริการที่ได้รับการรับรองจากกรมเจ้าท่า
ตามระเบียบกรมเจ้าท่าว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการรับรองผู้ให้บริการจัดเก็บและบำบัดของเสียจากเรือ
ประเภทน้ำมันใช้แล้ว น้ำปนน้ำมันหรือเคมีภัณฑ์และน้ำเสียต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๕๘
๒.๒
แจ้งการท่าเรือแห่งประเทศไทยล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๒๔ ชั่วโมง ก่อนทำการจัดเก็บ
และบำบัดของเสีย โดยยื่นคำร้องตามใบคำร้องขอจัดทำการจัดเก็บและบำบัดของเสียจากเรือ
(ฝผ. ๐๑ - ๐๑) แนบท้ายประกาศนี้
๒.๓
ควบคุมดูแลผู้ให้บริการจัดเก็บและบำบัดของเสียให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง
ประกาศของการท่าเรือแห่งประเทศไทยและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
โดยต้องจัดให้มีผู้ควบคุมตลอดเวลาที่ปฏิบัติงานให้บริการจัดเก็บและบำบัดของเสีย
๒.๔
ควบคุมดูแลการขนถ่ายของเสียจากเรือไม่ให้กีดขวางต่อการปฏิบัติงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพย์สินของการท่าเรือ
แห่งประเทศไทย
๒.๕
จัดส่งสำเนาใบคำร้องขอทำการจัดเก็บและบำบัดของเสียจากเรือ (ฝผ. ๐๑ - ๐๑) และสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยทันทีหลังเสร็จสิ้นการจัดเก็บของเสีย
จากเรือทุกครั้ง
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. ใบคำร้องขอทำการจัดเก็บของเสียจากเรือ
(ฝผ. (๐๑ - ๐๑))
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปริยานุช/จัดทำ
๑๙ กันยายน
๒๕๕๙
กัญฑรัตน์/ตรวจ
๑๙ กันยายน
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๗๕ ง/หน้า ๗๓/๑๕ กันยายน ๒๕๕๙ |
758231 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการทำลายสินค้าจากบริษัทตัวแทนเจ้าของเรือ หรือบริษัทตัวแทนเจ้าของตู้สินค้า หรือเจ้าของสินค้า
| ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการทำลายสินค้าจากบริษัทตัวแทนเจ้าของเรือ
หรือบริษัทตัวแทนเจ้าของตู้สินค้า
หรือเจ้าของสินค้า[๑]
ด้วยปัจจุบันท่าเรือกรุงเทพ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย มีสินค้าที่ผู้รับตราส่งมิได้ทำพิธีการนำออกและกรมศุลกากรมีคำสั่งอนุมัติให้ทำลายแล้ว
โดยสินค้านั้นจะต้องดำเนินการทำลายอย่างถูกต้องเพื่อไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
และเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบหรือมาตรฐานที่กำหนด
ซึ่งสินค้าบางรายการต้องดำเนินการทำลาย ณ สถานที่ที่ได้รับอนุญาตจากกรมควบคุมมลพิษ
และ/หรือกรมโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น
และตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ กำหนดให้ผู้นำเข้าหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
แล้วแต่กรณีเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการทำลายสินค้านั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙
(๘) มาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสองแห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงให้ดำเนินการ ดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิก
๑.๑
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการทำลายสินค้าจากเจ้าของหรือตัวแทนเจ้าของเรือ ลงวันที่
๗ พฤษภาคม ๒๕๔๐
๑.๒
ประกาศ หรือหลักปฏิบัติอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับประกาศฉบับนี้
ข้อ
๒ ให้บริษัทตัวแทนเจ้าของเรือหรือบริษัทตัวแทนเจ้าของตู้สินค้า
หรือเจ้าของสินค้า มีหน้าที่รับผิดชอบในการนำสินค้านั้นไปทำลาย ณ
สถานที่ที่คณะกรรมการทำลายของตกค้างร่วมกับศุลกากร
หรือคณะกรรมการขายทอดตลาดสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย กำหนด
ข้อ
๓ ในกรณีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องเป็นผู้ดำเนินการจัดหาบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ทำลายสินค้าและออกค่าใช้จ่ายในการทำลายสินค้าที่กรมศุลกากรมีคำสั่งอนุมัติให้ทำลายแล้ว
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการทำลายสินค้าและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมดจากบริษัทตัวแทนเจ้าของเรือ
หรือบริษัทตัวแทนเจ้าของตู้สินค้า หรือเจ้าของสินค้า
โดยต้องชำระเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กับการท่าเรือแห่งประเทศไทยภายใน ๑๕ วัน
หลังจากได้รับหนังสือแจ้งหนี้ หากชำระล่าช้าต้องชำระค่าเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๑๘
ต่อปีจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น
กรณีสินค้าที่ไม่ได้บรรจุอยู่ในตู้สินค้า
ซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการทำลายสินค้าเอง
จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการทำลายสินค้าจากบริษัทตัวแทนเจ้าของเรือ
หรือบริษัทตัวแทนเจ้าของตู้สินค้า หรือเจ้าของสินค้า
โดยหนึ่งตันแรกคิดค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ ๕,๐๐๐ บาท หากไม่ถึงตันคิดเป็นหนึ่งตัน
ส่วนตันต่อไปคิดอัตราตันละ ๓,๐๐๐ บาท
เศษของตันแต่ไม่ถึงครึ่งตัน คิดเป็นครึ่งตันและเศษของตันที่เกินครึ่งตันคิดเป็นหนึ่งตัน
ข้อ
๔ สำหรับสินค้าขาออก
ให้ปฏิบัติตามข้อ ๒ และข้อ ๓ ของประกาศนี้
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๘
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๙ กันยายน
๒๕๕๙
กัญฑรัตน์/ตรวจ
๑๙ กันยายน
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๗๕ ง/หน้า ๗๑/๑๕ กันยายน ๒๕๕๙ |
756073 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตผ่านเข้าออกเขตพื้นที่หวงห้าม (Restricted Area) ท่าเรือกรุงเทพ | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตผ่านเข้าออกเขตพื้นที่หวงห้าม (Restricted Area) ท่าเรือกรุงเทพ[๑]
เพื่อให้การอนุญาตบุคคลและรถที่ผ่านเข้าออกเขตพื้นที่หวงห้าม
(Restricted Area) ท่าเรือกรุงเทพเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
และปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ทั้งเป็นการดำเนินการตามข้อกำหนดในประมวลข้อบังคับว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ
(International Ship and Port Facility Security Code : ISPS Code) อาศัยอำนาจตามข้อ ๖
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการออกบัตรอนุญาตผ่านเข้าออกเขตศุลกากร
พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย จึงให้ดำเนินการ ดังนี้
ข้อ
๑ บุคคลทั่วไปและรถส่วนบุคคล
(ยกเว้นพนักงานการท่าเรือฯ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ)
ที่มีความประสงค์เข้าไปในเขตพื้นที่หวงห้าม (Restricted Area) ท่าเรือกรุงเทพ ต้องมีบัตรอนุญาตผ่านเข้าออกเขตศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ
(บัตรอนุญาตบุคคล หรือบัตรอนุญาตรถ)
ตามที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนดและต้องขออนุญาตต่อหน่วยงานที่ต้องการติดต่อ
ดังต่อไปนี้
๑.๑
งานปฏิบัติการเรือและสินค้า บริเวณท่าเทียบเรือเขื่อนตะวันออก
ให้ขออนุญาตที่กองท่าบริการตู้สินค้า ๑ หรือกองท่าบริการตู้สินค้า ๒ แล้วแต่กรณี
๑.๒
งานปฏิบัติการเรือและสินค้า บริเวณท่าเทียบเรือเขื่อนตะวันตก
ให้ขออนุญาตที่กองปฏิบัติการสินค้า ๑ หรือกองปฏิบัติการสินค้า ๒ แล้วแต่กรณี
๑.๓
งานปฏิบัติการสินค้า บริเวณลานวางตู้สินค้าเพื่อการส่งออกเขื่อนตะวันตก
ให้ขออนุญาตที่กองท่าบริการตู้สินค้า ๑ หรือกองท่าบริการตู้สินค้า ๒ แล้วแต่กรณี
๑.๔
งานการบรรทุกขนถ่ายสินค้า (Stevedore) ขนส่งเสบียง หรือของใช้ประจำเรือสินค้า
หรือกำจัดของเสียจากเรือ บริเวณท่าเทียบเรือเขื่อนตะวันออกและเขื่อนตะวันตก
ให้ขออนุญาตที่ผู้ตรวจการฝ่ายเรือ
๑.๕
คลังสินค้าอันตราย สถานีจ่ายน้ำมัน โรงไฟฟ้าย่อย อาคารฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ
หรือศูนย์ปลอดภัยคมนาคม การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ขออนุญาตต่อหน่วยงานที่ขอติดต่อ แล้วแต่กรณี โดยจะพิจารณาอนุญาตเฉพาะบุคคลเท่านั้น
สำหรับรถส่วนบุคคลห้ามเข้าเขตพื้นที่หวงห้ามดังกล่าว
๑.๖ การติดต่อเรื่องอื่น ๆ
ให้ขออนุญาตที่กองรักษาความปลอดภัย
ข้อ
๒ ผู้ขออนุญาตเข้าไปในเขตพื้นที่หวงห้าม (Restricted Area) ท่าเรือกรุงเทพ ต้องแสดงใบอนุญาตตามแบบที่กำหนด พร้อมแสดงบัตรอนุญาตบุคคลให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เพื่อตรวจสอบบันทึกการผ่านเข้าออก
ตรวจค้นร่างกายและสัมภาระติดตัวทุกครั้งที่ผ่านเข้าออกเขตพื้นที่หวงห้าม
และให้ติดบัตรอนุญาตบุคคลบริเวณที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนตลอดเวลาที่อยู่ในพื้นที่หวงห้าม
ข้อ
๓ รถส่วนบุคคลที่จะเข้าไปในเขตพื้นที่หวงห้าม
(Restricted Area) ท่าเรือกรุงเทพ
ต้องแสดงใบอนุญาตตามแบบที่กำหนด
พร้อมแสดงบัตรอนุญาตรถให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อตรวจสอบ
บันทึกการผ่านเข้าออก ตรวจค้นรถ (รถส่วนบุคคลให้เปิดกระจกรถและฝากระโปรงท้าย
รถปิ๊กอัพ หรือรถกระบะให้เปิดกระจกรถและกระบะท้าย)
ทุกครั้งที่ผ่านเข้าออกเขตพื้นที่หวงห้ามในเขตท่าเรือกรุงเทพ
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กัญฑรัตน์/ปริยานุช/จัดทำ
๑๗ สิงหาคม
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๖๑ ง/หน้า ๑๑/๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ |
756071 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักปฏิบัติในการขอเช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรงของการท่าเรือแห่งประเทศไทย | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
หลักปฏิบัติในการขอเช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรง
ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย[๑]
เพื่อให้การปฏิบัติในการขอเช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรงของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้องและเหมาะสม อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๑๓ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔
ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงให้ดำเนินการ ดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศท่าเรือกรุงเทพ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักปฏิบัติในการขอเช่าใช้รถเครื่องมือทุ่นแรง
ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๑
ข้อ
๒
ผู้เช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรงต้องกรอกใบคำร้องขอเช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรงของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ชำระค่าเช่าเป็นเงินเชื่อ (แบบ ทร.๑) ตามแบบแนบท้ายประกาศ
ที่หมวดจัดจ่ายเครื่องมือทุ่นแรง กองเครื่องมือทุ่นแรง
ฝ่ายบริการท่าและเครื่องมือทุ่นแรง ท่าเรือกรุงเทพ
ข้อ
๓ ให้หมวดจัดจ่ายเครื่องมือทุ่นแรง
ออกใบหลักฐานการเช่าและคิดค่าเช่าเครื่องมือทุ่นแรงของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(แบบ ทร.๒) ตามแบบแนบท้ายประกาศ และใบกำกับรถเครื่องมือทุ่นแรงไปปฏิบัติงาน (แบบ
ทร.๔) ตามแบบแนบท้ายประกาศ ตามวันและเวลาที่ขอเช่าใช้พร้อมลงนามรับรองถูกต้อง
ก่อนส่งมอบใบหลักฐานการเช่าฯ (แบบ ทร.๒) และใบกำกับรถฯ (แบบ ทร.๔)
ให้กับเจ้าหน้าที่เครื่องมือทุ่นแรงเพื่อดำเนินการ ดังต่อไปนี้
๓.๑
เจ้าหน้าที่เครื่องมือทุ่นแรงและพนักงานผู้ขับใช้เครื่องมือทุ่นแรงต้องลงนามรับทราบในใบหลักฐานการเช่าฯ
(แบบ ทร.๒) ก่อนนำเครื่องมือทุ่นแรงออกปฏิบัติงานตามวันเวลาที่ขอเช่าใช้
๓.๒
พนักงานผู้ขับใช้เครื่องมือทุ่นแรงต้องนำใบกำกับรถฯ (แบบ ทร.๔)
ไปยังพื้นที่ปฏิบัติงาน
และเมื่อการปฏิบัติงานเสร็จสิ้นแล้วให้พนักงานในพื้นที่ปฏิบัติงานลงนามรับทราบการปฏิบัติงาน
ข้อ ๔
ในกรณีที่ขอเช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรงของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นเงินสด ให้ผู้ขอเช่าใช้ฯ
ประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ปฏิบัติงาน
หรือหน่วยงานต้นสังกัดเครื่องมือทุ่นแรง
พร้อมกรอกใบอนุญาตให้เช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรง ตามแบบแนบท้ายประกาศ
เพื่อให้หน่วยงานเจ้าของพื้นที่ปฏิบัติงาน
หรือหน่วยงานต้นสังกัดเครื่องมือทุ่นแรงอนุญาต
ก่อนนำไปชำระเงินที่กองบริการค่าภาระเงินสด สำนักบริหารการเงิน
ฝ่ายการเงินและบัญชี (ONE STOP SERVICE)
ซึ่งกองบริการค่าภาระเงินสด จะออกใบกำกับรถฯ (แบบ ทร.๔)
พร้อมใบเสร็จรับเงินให้กับผู้ขอเช่าใช้ฯ ก่อนผู้ขอเช่าใช้ฯ นำใบกำกับรถฯ (แบบ
ทร.๔) ดังกล่าวให้พนักงานผู้ขับใช้เครื่องมือทุ่นแรง และเมื่อการปฏิบัติงานเสร็จสิ้นแล้ว
ให้พนักงานในพื้นที่ปฏิบัติงานลงนามรับทราบการปฏิบัติงานก่อนนำส่งหมวดจัดจ่ายเครื่องมือทุ่นแรง
ข้อ
๕
ในการปฏิบัติงานไม่ว่าจะแล้วเสร็จหรือไม่ จะต้องปฏิบัติ ดังนี้
๕.๑
เมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน
๕.๑.๑
ให้พนักงานผู้ขับใช้เครื่องมือทุ่นแรงยื่นใบหลักฐานการเช่าฯ (แบบ ทร.๒)
ให้กับผู้เช่าใช้ฯ เพื่อลงนามและระบุเวลาที่ได้ปฏิบัติงานเสร็จสิ้น
ก่อนส่งมอบให้หมวดจัดจ่ายเครื่องมือทุ่นแรง
๕.๑.๒
ให้พนักงานผู้ขับใช้เครื่องมือทุ่นแรงยื่นใบกำกับรถฯ (แบบ ทร. ๔)
ให้กับพนักงานในพื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อใส่รายละเอียดในส่วนผลของการปฏิบัติงาน
ดังนี้
๕.๑.๒.๑
กรณีไม่มีเหตุขัดข้อง ให้พนักงานในพื้นที่ปฏิบัติงานลงนาม ในใบกำกับรถฯ (แบบ ทร.๔)
พร้อมระบุเวลาที่ได้ปฏิบัติงานเสร็จสิ้น ก่อนส่งคืนพนักงานผู้ขับใช้เครื่องมือ
ทุ่นแรงเพื่อมอบให้หมวดจัดจ่ายเครื่องมือทุ่นแรง
๕.๑.๒.๒ กรณีมีเหตุขัดข้อง
ให้พนักงานในพื้นที่ปฏิบัติงานระบุสาเหตุของการขัดข้อง
พร้อมลงนามในใบกำกับรถฯ (แบบ ทร.๔)
และระบุเวลาที่ต้องหยุดปฏิบัติงานจากเหตุขัดข้องนั้น ๆ
ก่อนส่งคืนพนักงานผู้ขับใช้เครื่องมือทุ่นแรง
เพื่อมอบให้หมวดจัดจ่ายเครื่องมือทุ่นแรง
๕.๒ หากการปฏิบัติงานไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในเวลาที่ขอเช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรง
ให้ผู้ขอเช่าใช้ฯ นำใบหลักฐานการเช่าฯ (แบบ ทร.๒) และใบกำกับรถฯ (แบบ ทร.๔)
จากพนักงานผู้ขับใช้เครื่องมือทุ่นแรงซึ่งได้ลงนามเรียบร้อยแล้ว
มายื่นเพื่อลงข้อมูลในระบบที่หมวดจัดจ่ายเครื่องมือทุ่นแรง ก่อนกรอกใบคำร้องขอเช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรงฯ
(แบบ ทร.๑) เพื่อขอเช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรง เพิ่มเติมต่อไป
ข้อ
๖ ในการขอเช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรง
นอกเวลาปกติ ให้ผู้ขอเช่าใช้ฯ ยื่นใบคำร้องขอเช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรงฯ (แบบ ทร.๑)
ที่หมวดจัดจ่ายเครื่องมือทุ่นแรง โดยท่าเรือกรุงเทพจะจัดเตรียมพนักงานเวรศูนย์ปฏิบัติการรถเครื่องมือทุ่นแรง
ให้บริการแทนพนักงานหมวดจัดจ่ายเครื่องมือทุ่นแรง ทั้งในวันทำงานปกติและในวันหยุด
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๐
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์ หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. ใบคำร้องขอเช่าเครื่องมือทุ่นแรงของ
กทท. ชำระค่าเช่าเป็นเงินเชื่อ (แบบ ทร.๑)
๒.
หลักฐานการเช่าและคิดค่าเช่าเครื่องมือทุ่นแรงของ กทท. (แบบ ทร.๒)
๓.
ใบกำกับรถเครื่องมือทุ่นแรงไปปฏิบัติงาน (แบบ ทร.๔)
๔. อนุญาตให้เช่าใช้เครื่องมือทุ่นแรง
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
กัญฑรัตน์/ปริยานุช/จัดทำ
๑๗ สิงหาคม
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๖๑ ง/หน้า ๙/๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ |
754118 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ดังนี้
๒.๑
ท่าเรือกรุงเทพ
๒.๑.๑ เรือลากจูงต่ำกว่า ๒,๐๐๐ แรงม้า ๓๖๙
บาท/ชั่วโมง
๒.๑.๒ เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐
แรงม้าขึ้นไป ๙๕๖
บาท/ชั่วโมง
๒.๒ ท่าเรือแหลมฉบัง ๙๙๔
บาท/ชั่วโมง
ข้อ
๓ อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ
๒ กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง ๓๐ นาที คิด ๓๐ นาที และหากเกิน ๓๐ นาที
แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ
๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๐
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๑ กรกฎาคม
๒๕๕๙
กัญฑรัตน์/ตรวจ
๒๙ กรกฎาคม
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๕๔ ง/หน้า ๒/๘ กรกฎาคม ๒๕๕๙ |
754113 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ดังนี้
บาท/ตู้
ขนาด ๒๐' ๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า ๓๓ ๖๖ ๗๔
ตู้สินค้าเปล่า ๒๐
๔๐ ๔๕
ข้อ
๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๐
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/จัดทำ
๑๑ กรกฎาคม
๒๕๕๙
กัญฑรัตน์/ตรวจ
๒๙ กรกฎาคม
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๑๕๔ ง/หน้า ๑/๘ กรกฎาคม ๒๕๕๙ |
749783 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการเรือลากจูง
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ ดังนี้
๒.๑
ท่าเรือกรุงเทพ
๒.๑.๑ เรือลากจูงต่ำกว่า ๒,๐๐๐ แรงม้า ๒๖๖
บาท/ชั่วโมง
๒.๑.๒ เรือลากจูงตั้งแต่ ๒,๐๐๐ แรงม้าขึ้นไป ๖๙๑
บาท/ชั่วโมง
๒.๒ ท่าเรือแหลมฉบัง ๗๑๘
บาท/ชั่วโมง
ข้อ
๓ อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษตามข้อ ๒
กรณีเศษของชั่วโมงไม่ถึง ๓๐ นาที คิด ๓๐ นาที และหากเกิน ๓๐ นาที
แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง คิดหนึ่งชั่วโมง
ข้อ
๔ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๔
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
วิศนี/ปริยานุช/จัดทำ
๑๘ พฤษภาคม
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๙๒ ง/หน้า ๓๖/๒๑ เมษายน ๒๕๕๙ |
749781 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการ ดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ ดังนี้
บาท/ตู้
ขนาด ๒๐' ๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า ๒๔
๔๘
๕๔
ตู้สินค้าเปล่า ๑๔
๒๘
๓๒
ข้อ
๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๑๔
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
วิศนี/ปริยานุช/จัดทำ
๑๘ พฤษภาคม
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๙๒ ง/หน้า ๓๕/๒๑ เมษายน ๒๕๕๙ |
747176 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การนำสินค้า หรือตู้สินค้าขาเข้าออกจากท่าเรือกรุงเทพ | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การนำสินค้า
หรือตู้สินค้าขาเข้าออกจากท่าเรือกรุงเทพ[๑]
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของสินค้า
หรือตัวแทนเจ้าของสินค้าในการนำสินค้าหรือตู้สินค้าขาเข้าออกจากท่าเรือกรุงเทพ
ได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิก
๑.๑ ประกาศท่าเรือกรุงเทพ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง
การนำสินค้าหรือ ตู้สินค้าขาเข้าออกจากท่าเรือกรุงเทพ ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๓
๑.๒
ประกาศ หรือหลักปฏิบัติอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับประกาศนี้
ข้อ
๒ ในการชำระค่าภาระสินค้า
หรือตู้สินค้าขาเข้า ให้เจ้าของสินค้า
หรือตัวแทนนำใบสั่งปล่อยสินค้าของบริษัทตัวแทนเรือ (Delivery Order : D/O) เฉพาะกรณีสินค้าที่เปิดตู้นำสินค้าเข้าเก็บในโรงพักสินค้า
(LCL/CFS) และกรณีเป็นสินค้าจากเรือสินค้าทั่วไป (Conventional) พร้อมสำเนาใบตราส่งสินค้า (Bill Of Lading : B/L) ไปที่ศูนย์ชำระค่าภาระและค่าบริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Services) กองบริการค่าภาระเงินสด
สำนักบริหารการเงิน ฝ่ายการเงินและบัญชี
เพื่อชำระค่าภาระโดยใช้ตรายางที่จัดไว้ประทับในใบสั่งปล่อยสินค้าของบริษัทตัวแทนเรือ
พร้อมเลือกรายการที่จะชำระ
โดยเมื่อชำระค่าภาระเรียบร้อยแล้วจะได้รับใบรับของจากท่าเรือกรุงเทพ (Wharf Receipt) ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี
และใบอนุญาตนำรถเข้าเขต กทท./ใบกำกับสินค้า
หรือใบอนุญาตนำตู้สินค้าขาเข้าออกนอกเขต (Gate Ticket) จากนั้นให้นำเอกสารที่ได้รับดังกล่าว พร้อมใบสั่งปล่อยสินค้าของบริษัทตัวแทนเรือยื่นต่อพนักงานประจำหน่วยงานที่เก็บรักษาสินค้า
หรือตู้สินค้า
ข้อ
๓ ในการชำระค่าภาระฝากสินค้า
หรือตู้สินค้าเพิ่ม ให้เจ้าของสินค้า
หรือตัวแทนรับใบสั่งปล่อยสินค้าของบริษัทตัวแทนเรือ (Delivery Order : D/O) ที่ระบุจำนวนสินค้า
หรือตู้สินค้าคงเหลือจากหน่วยงานที่เก็บรักษาสินค้าหรือตู้สินค้า
พร้อมจัดทำสำเนาจำนวน ๒ ฉบับ และสำเนาใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี ๑ ฉบับ
ไปยื่นชำระค่าภาระฝากเก็บสินค้า หรือตู้สินค้าเพิ่มที่ศูนย์ชำระค่าภาระและค่าบริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ
(One Stop Services) จากนั้นให้นำเอกสารที่ได้รับกลับมายื่นที่หน่วยงานที่เก็บรักษาสินค้า
หรือตู้สินค้าเพื่อบันทึกข้อมูลการชำระค่าภาระเพิ่มลงในใบรับของจากท่าเรือกรุงเทพ
ข้อ
๔ การตรวจสอบสินค้า
หรือตู้สินค้าขาเข้าที่สถานีตรวจสอบสินค้า (Checking Post) ให้เจ้าของสินค้า
หรือตัวแทนยื่นเอกสาร ดังต่อไปนี้
๔.๑ กรณีปล่อยสินค้า
ให้ยื่นสำเนาใบรับของจากท่าเรือกรุงเทพและใบอนุญาตนำรถเข้าเขต กทท./ใบกำกับสินค้า
๔.๒
กรณีปล่อยตู้สินค้า ให้ยื่นสำเนาใบรับของจากท่าเรือกรุงเทพ สำเนาใบคำร้องขอนำคอนเทนเนอร์
และ/หรือคอนเทนเนอร์แร็คออกไปจากอารักขาของศุลกากร และใบกำกับตู้สินค้า (Container Slip)
๔.๓
กรณีชำระค่าภาระฝากสินค้าเพิ่ม หรือตู้สินค้าเพิ่ม
ให้ยื่นสำเนาใบสั่งปล่อยสินค้าของบริษัทตัวแทนเรือที่ได้บันทึกวันที่ซึ่งได้ชำระค่าภาระเพิ่มแล้วจากศูนย์ชำระค่าภาระและค่าบริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ
(One Stop Services) เพิ่มเติมจากเอกสาร
ตามข้อ ๔.๑ หรือ ๔.๒
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๖
มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙
เรือเอก สุทธินันท์
หัตถวงษ์
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ปุณิกา/ปริยานุช/จัดทำ
๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙
นุสรา/ตรวจ
๑๐ พฤษภาคม
๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๒๐ ง/หน้า ๙/๑๐ มีนาคม ๒๕๕๙ |
744170 | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษ การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง | ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ของการให้บริการตู้สินค้า ณ
ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง[๑]
ตามประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
นั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๓
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ดำเนินการดังนี้
ข้อ
๑ ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษ
การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ
และท่าเรือแหลมฉบัง ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๘
ข้อ
๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของการให้บริการตู้สินค้า
ณ ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ ดังนี้
บาท/ตู้
ขนาด ๒๐' ๔๐' >๔๐'
ตู้มีสินค้า ๓๔
๖๘
๗๗
ตู้สินค้าเปล่า ๒๑ ๔๒
๔๗
ข้อ
๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมตามข้อ
๒ ทุกวันที่ ๑ มกราคม ๑ เมษายน ๑ กรกฎาคม และ ๑ ตุลาคมของทุกปี
ซึ่งใช้ผลต่างของราคาน้ำมันดีเซลของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ระหว่างราคาเฉลี่ยในระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยทั้งปีของปี
พ.ศ. ๒๕๔๗ และจะปรับปรุงในกรณีที่ผลการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ
๕
ประกาศ ณ วันที่ ๘
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์
ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย8
ปริยานุช/จัดทำ
๒๕ มกราคม ๒๕๕๙
วริญา/ตรวจ
๒๘ มกราคม ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๖ ง/หน้า ๓๘/๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.