sysid
stringlengths
1
6
title
stringlengths
8
870
txt
stringlengths
0
257k
301579
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ ต่างประเทศมีสาขาเต็มรูปแบบเพิ่มเติม
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ ต่างประเทศมีสาขาเต็มรูปแบบเพิ่มเติม ------------ เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศและในเขตภูมิภาคอินโดจีนเพื่อ เพิ่มเติมการแข่งขันในระบบการการเงินของไทย และเป็นการผลัดดันให้มีการกระจายการบริการ เงินไปสู่ต่างจังหวัด อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ขอเปิดดำเนินการสาขาเต็มรูปแบบเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ธนาคารพาณิชย์ที่มีสิทธิ์ยื่นคำขอต้องเป็นธนาคารต่างประเทศที่ได้รับ อนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ โดยเปิดดำเนินการสาขาเต็มรูปแบบในประเทศอยู่แล้ว และมีคุณสมบัติดังนี้ (๑) ต้องมีสินทรัพย์ที่ต้องดำรงไว้ตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท (๒) เป็นธนาคารที่มีผลการดำเนินงานไปในแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อ เศรษฐกิจของประเทศไทย เช่น การให้กู้ยืมแก่ภาคธุรกิจส่งเสริม การให้กู้ยืมแก่กิจการของคนไทย การปฏิบัติตามแผนสินเชื่อ เป็นต้น (๓) เป็นธนาคารที่มีบทบาทในการพัฒนาความรู้ด้านการเงินและการธนาคาร ระดับสากล ทั้งด้านการฝึกอบรมพนักงานของธนาคาร และการพัฒนาตำแหน่งหน้าที่การงานภาย ในธนาคาร รวมทั้งการให้ความร่วมมือแก่ทางการในการพัฒนาบุคลากรของไทยด้วย ข้อ ๒ ธนาคารตามข้อ ๑ สามารถยื่นคำขอจัดตั้งสาขาเต็มรูปแบบเพิ่มเติมนอก เขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลได้ธนาคารละ ๑ สาขา โดยอาจเปิดทดแทนสำนักงานวิเทศธน กิจสาขาต่างจังหวัดได้ สำหรับธนาคารตามข้อ ๑ ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการกิจการวิเทศธนกิจ สาขาต่างจังหวัด ภายในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ และได้ยื่นคำขอจัดตั้งสาขาเต็มรูปแบบนอก เขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล สามารถยื่นคำขอจัดตั้งสาขาเต็มรูปแบบในเขต กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลได้อีก ๑ สาขา ข้อ ๓ ผู้ยื่นคำขอต้องยื่นเอกสารต่อไปนี้พร้อมกับคำขอ (๑) หนังสือยินยอมให้ยืนคำขอประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยจัดตั้งเป็นสาขา เต็มรูปแบบในประเทศไทยจากทางการของประเทศที่จดทะเบียนจัดตั้งธนาคาร (๒) เอกสารระบุจังหวัดที่ประสงค์จะขอจัดตั้งสาขา พร้อมทั้งระบุจังหวัดที่ จำสำรองไว้ในกรณีที่จังหวัดที่ประสงค์จะขอจัดตั้งสาขามีการกระจุกตัวหนาแน่นอีก ๑ จังหวัด (๓) เอกสารวิเคราะห์ความเป็นไปได้เชิงธุรกิจของสาขาตามที่ยื่นคำขอ (๔) ข้อมูลแสดงปริมาณธุรกิจของธนาคารในภูมิภาค หรือเขตที่ยื่นคำขอจัดตั้ง สาขา (๕) ข้อมูลประกอบการพิจารณาว่าการดำเนินงานของธนาคารดังกล่าวในจังหวัด ที่ขอจัดตั้งสาขาจะเป็นประโยชน์แก่ภูมิภาคที่จะจัดตั้งสาขาได้อย่างไร ข้อ ๔ ให้ธนาคารที่ประสงค์จะขออนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยจัดตั้ง เป็นสาขาเต็มรูปแบบในประเทศไทยเพิ่มเติม ทำหนังสือขออนุญาตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังพร้อมสำเนา ๑ ชุด ยื่นที่ฝ่ายกำกับและพัฒนาสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ ๒๗๓ ถนนสามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๐๐ ได้ตั้งแต่ วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๙ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๙ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ในประกาศนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ บดี จุณณานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๓๙/พ๖๓ง/๒/๖ สิงหาคม ๒๕๓๙]
318607
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการ ขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ --------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไว้ ดังต่อไปนี้ หมวด ๑ บททั่วไป ---------- ข้อ ๑ ในประกาศนี้ "กลุ่มผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑" หมายความว่า บุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทยหรือ นิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนตามกฎหมายไทย ตั้งแต่ ๕ รายขึ้นไปที่แสดงเจตนาร่วมกันว่าจะจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ โดยทุกรายจะถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งขึ้นรวมกันเท่ากับร้อยละ ๒๕ ของ ทุนจดทะเบียน "กลุ่มผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒" หมายความว่า บุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทย นิติ บุคคลซึ่งจดทะเบียนตามกฎหมายไทย กลุ่มนิติบุคคลดังกล่าวสถาบันการเงินต่างชาติ หรือกลุ่ม สถาบันการเงินต่างชาติ ที่แสดงเจตนาร่วมกันว่าจะสนับสนุนกลุ่มผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ เพื่อจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ โดยทุกรายหรือทุกกลุ่ม จะถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งขึ้นรวมกันเท่ากับ ร้อยละ ๒๕ ของทุนจดทะเบียน "สถาบันการเงินต่างประเทศ" หมายความว่า นิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนในต่าง ประเทศ และประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ โดยไม่มีสาขาที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ได้เต็มรูปแบบในประเทศไทย "ความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้น" หมายความว่า (๑) การที่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลรายหนึ่งถือหุ้นในนิติบุคคลอีกรายหนึ่ง เกินร้อยละ ๑๐ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด หรือ (๒) การที่บุคคลดังต่อไปนี้ รายใดรายหนึ่งหรือหลายรายรวมกันถือหุ้นในนิติ บุคคลอีกรายหนึ่งเกินร้อยละ ๑๐ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (ก) นิติบุคคล (ข) บุคคลธรรมดาซึ่งถือหุ้นในนิติบุคคลตาม (ก) เกินร้อยละ ๒ ของจำนวนหุ้น ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (ค) นิติบุคคลที่มีนิติบุคคลตาม (ก) หรือบุคคลธรรมดาตาม (ข) ถือหุ้นเกิน ร้อยละ ๑๐ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (ง) กรรมการหรือผู้บริหารตั้งแต่ระดับผู้จัดการลงไปอีกสามระดับของนิติบุคคล ตาม (ก) ทั้งนี้ การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างกัน ให้นำหลักเกณฑ์การถือหุ้นที่บัญญัติ ไว้ในมาตรา ๕ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ มาใช้บังคับโดยอนุโลม "ความสัมพันธ์ในเชิงการบริหาร" หมายความว่า (๑) การที่บุคคลธรรมดาเป็นกรรมการหรือผู้บริหารตั้งแต่ระดับผู้จัดการลงไป อีกสามระดับของนิติบุคคลรายหนึ่ง (๒) การที่บุคคลธรรมดาในฐานะตัวแทนของนิติบุคคลรายหนึ่งเป็นกรรมการ หรือผู้บริหารตั้งแต่ระดับผู้จัดการลงไปอีกสามระดับของนิติบุคคลอีกรายหนึ่งหรือ (๓) การที่นิติบุคคลหนึ่งมีกรรมการหรือผู้บริหารตั้งแต่ระดับผู้จัดการลงไปอีก สามระดับของนิติบุคคลนั้น เป็นกรรมการหรือผู้บริหารตั้งแต่ระดับผู้จัดการลงไปอีกสามระดับ ของนิติบุคคลอีกรายหนึ่ง "ลูกหนี้ด้อยคุณภาพ" หมายความว่า ลูกหนี้ซึ่งได้รับการจัดชั้นตามผลการตรวจ สอบตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการพิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ ข้อ ๒ หลักเกณฑ์ วิธีกา และเงื่อนไขในการอนุญาต การพิจารณา และการ อนุญาตให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ตามประกาศนี้ ให้ใช้บังคับแก่การยื่นคำขออนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ซึ่งได้ยื่นภายในกำหนดเวลาตามประกาศนี้ หมวด ๒ การคัดเลือกผู้ที่สมควรให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ----------- ข้อ ๓ ผู้ใดประสงค์จะขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ให้ยื่นคำขออนุญาตจัด ตั้งธนาคารพาณิชย์ตามแบบท้ายประกาศนี้พร้อมสำเนา ๑ ชุด ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเลขที่ ๒๘๓ ถนนสามเสนใน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๙ ในเวลาทำการ ข้อ ๔ ผู้ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์จะต้องประกอบด้วยกลุ่มผู้เริ่มจัก ตั้งประเภท ๑ และกลุ่มผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ข้อ ๕ ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (๑) เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทย หรือบริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลัก ทรัพย์ บริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ที่มีผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละ ๕๐ ของ ทุนจดทะเบียน (๒) ไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๓) ไม่เป็นลูกหนี้ด้วยคุณภาพ (๔) ไม่เคยมีประวัติเสียหายหรือดำเนินกิจการใด ที่มีลักษณะอันเป็นการ หลอกลวงหรือแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบหรือความรอบคอบ หรือสะท้อนถึงวิธีการทำธุรกิจ ที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่น่าเชื่อถือ ข้อ ๖ ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (๑) ในกรณีที่เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทย บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงิน ทุนหลักทรัพย์ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๕ (๒) ในกรณีที่เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด นอกจากจะต้องมีคุณ สมบัติและไม้มีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๕ แล้ว ยังต้องจัดตั้งมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๕ ปี มีผลประกอบ การดี และเคยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามงบการเงินในช่วงใดช่วงหนึ่งอย่างต่อเนื่องไม่ น้อยกว่า ๓ ปี (๓) ในกรณีที่เป็นกลุ่มนิติบุคคล นิติบุคคลแต่ละรายในกลุ่มนิติบุคคลนั้น จะ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม (๑) หรือ (๒) แล้วแต่กรณี (๔) ในกรณีที่เป็นสถาบันการเงินต่างชาติหรือกลุ่มสถาบันการเงินต่างชาติ สถาบันการเงินต่างชาติและละรายต้องไม่มีความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือในเชิงการบริหารกับ ธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งอยู่ในปัจจุบันหรือสถาบันการเงินที่มีความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือใน เชิงการบริหารกับธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว ข้อ ๗ ผู้ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ต้องกำหนดให้ผู้เริ่มจัดตั้ง ประเภท ๑ รายหนึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ โดยนอกจากจะต้องเป็นนิติบุคคลที่มี คุณสมบัติตามข้อ ๕ และต้องไม่มีผู้ถือหุ้นที่เป็นสถาบันการเงินต่างชาติถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละ ๑๕ ของทุนจดทะเบียนแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (๑) ในกรณีที่เป็นบริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ต้องมีสินทรัพย์ สุทธิไม่ต่ำกว่า ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีเงินกองทุนชั้นที่ ๑ สุทธิไม่ต่ำกว่า ๒,๕๐๐ ล้านบาท มี ฐานะการเงินมั่นคง มีผลประกอบการดี และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามงบการเงินล่าสุด อย่างต่อเนื่องย้อนหลังไปไม่น้อยกว่า ๓ ปี (๒) ในกรณีที่เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด ต้องเป็นบริษัทที่จัดตั้งมา แล้วไม่ต่ำกว่า ๕ ปี มีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า ๑๐,๐๐๐ ล้านบาทโดยมีส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า ๒,๕๐๐ ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามงบการเงินล่าสุดอย่างต่อเนื่องย่อนหลัง ไปไม่น้อยกว่า ๓ ปี ในกรณีที่ผู้นำของกลุ่มผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชน จำกัดตาม (๒) ผู้ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ต้องกำหนดให้มีบริษัทเงินทุนหรือบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย ซึ่งมีสินทรัพย์สุทธิไม่ต่ำกว่า ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีฐานะมั่นคงอย่างน้อยหนึ่งบริษัทเป็นผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ด้วย ข้อ ๘ ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ ต้องไม่มีความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือในเชิง การบริหารกับผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ ต้องไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างกันเองตามหลักเกณฑ์ที่ บัญญัติไว้ในมาตรา ๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ แต่ละรายหรือแต่ละกลุ่ม ต้องไม่มีความสัมพันธ์ในเชิง การถือหุ้นหรือในเชิงการบริหารระหว่างกันเอง ข้อ ๙ ผู้ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ต้องกำหนดตัวบุคคลที่จะดำรง ตำแหน่งประธานกรรมการ ประธานการบริหาร กรรมการผู้จัดการ และรองผู้จัดการของธนาคาร พาณิชย์ที่ขอจัดตั้ง เสนอมาพร้อมกับคำของอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ โดยบุคคลดังกล่าวต้อง มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (๑) มีความสามารถาในการบริหารโดยมีผลงานการบริหารที่ดีในอดีตมาแล้ว (๒) มีความซื่อสัตย์สุจริต (๓) ไม่เคยมีประวัติเสียหาย หรือดำเนินกิจการใด ที่มีลักษณะเป็นการหลอกลวง หรือแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบหรือขาดความรอบคอบ หรือสะท้อนถึงวิธีการทำธุรกิจที่ไม่ เป็นธรรมหรือไม่น่าเชื่อถือ (๔) ไม่เป็นลูกหนี้ด้วยคุณภาพ (๕) ไม่เคยทำธุรกิจหรือเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจที่ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับ ความสามารถหรือความรอบคอบของบุคคลนั้น ไม่ว่าในเรื่องของประเภทธุรกิจหรือในเรื่องของวิธี การดำเนินธุรกิจ ข้อ ๑๐ ในคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ผู้ยื่นคำขอต้องเสนอหลักฐาน ประกอบคำของอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ดังต่อไปนี้ (๑) หลักฐานของผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ และผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ซึ่งเป็น บุคคลธรรมดา ได้แก่ ประวัติและข้อมูลที่สำคัญอื่น ๆ เช่น สินทรัพย์และหนี้สิน (๒)หลักฐานเกี่ยวกับกิจการของผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ และผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ที่เป็นนิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนตามกฎหมายไทย ได้แก่ สำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ สำเนาข้อ บังคับ สำเนาหนังสือรับรองการจะทะเบียนบริษัท สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่นายทะเบียนหุ้น ส่วนบริษัทมหาชนจำกัดแล้วแต่กรณีรับรอง งบการเงินล่าสุดอย่างต่อเนื่องย้อนหลัง ๕ ปี ที่ผู้สอบ บัญชีรับรอง สถานที่ตั้งของกิจการ รายงานการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทที่มีมติให้ดำเนินการยื่น ขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ และรายชื่อ ประวัติการศึกษาและประสบการณ์การทำงานของ กรรมการและผู้บริหารตั้งแต่ระดับผู้จัดการลงไปอีกสามระดับของนิติบุคคลนั้น (๓) หลักฐานเกี่ยวกับกิจการของสถาบันการเงินต่างชาติที่เป็นผู้เริ่มจัดตั้ง ประเภท ๒ ได้แก่ เอกสารหลักฐานแสดงการเป็นนิติบุคคล หนังสือแสดงเจตนาร่วมจัดตั้งธนาคาร พาณิชย์ และงบการเงินล่าสุดอย่างต่อเนื่องย้อนหลัง ๕ ปี ที่ผู้สอบบัญชีรับรอง (๔) หลักฐานแสดงแหล่งที่มาของเงินทุนอย่างชัดเจน (๕) แผนภูมิการจัดองค์กรของธนาคารพาณิชย์ที่ขอจัดตั้ง พร้อมคำอธิบายหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการบริหารงานของธนาคารพาณิชย์ที่ขอจัดตั้ง (๖) แผนการดำเนินงานที่มีความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ที่ขอ จัดตั้ง ข้อ ๑๑ ให้มีคณะกรรมการพิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ประกอบด้วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประธาน ปลัดกระทรวงการคลังเป็นรอง ประธาน รองปลัดกระทรวงการคลังซึ่งปลัดกระทรวงการคลังมอบหมายผู้ทรงคุณวุฒิด้านให้คำ ปรึกษากฎหมายกระทรวงการคลัง อธิบดีกรมบัญชีกลางเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และกรรมการอื่นอีกสองคน ซึ่งรัฐ มนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้ง เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งว่าการธนาคารแห่ง ประเทศไทยมอบหมาย เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ให้คณะกรรมการมีหน้าที่พิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ตามหลัก เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขแห่งประกาศนี้ เพื่อคัดเลือกผู้ที่สมควรให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์เสนอ ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการนี้ ให้คณะกรรมการมีอำนาจพิจารณา และวินิจฉัยชี้ ขาดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังกล่าว และมีอำนาจเรียกเอกสารหลัก ฐานใด ๆ จากผู้ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ เพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ในแบบคำขอ อนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์เพื่อประกอบการพิจารณาได้ ข้อ ๑๒ เมื่อคณะกรรมการได้พิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ทุก รายแล้ว ให้คณะกรรมการเสนอรายชื่อผู้ที่สมควรให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ต่อรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังไม่เกิน ๕ ราย แต่หากเห็นว่ามีผู้สมควรให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไม่ถึง ๕ รายจะ เสนอรายชื่อน้อยกว่า ๕ รายก็ได้ ในกรณีนี้ ให้คณะกรรมการเสนอความเห็นพร้อมเหตุผลที่ควร ให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ประกอบคำของทุกราย เพื่อ ประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย ในการพิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ให้คณะกรรมการพิจารณา การปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในประกาศ นี้ของผู้ยื่นคำขอ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่น ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์ที่จะจัดตั้ง การพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ อย่างมีประสิทธิภาพ ความมั่นคงของระบบการเงิน ประโยชน์ของประชาชน การกระจายความ เจริญไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในส่วนภูมิภาค และการแข่งขันทางการเงิน รวมทั้งจะต้องพิจารณาเรื่อง ดังต่อไปนี้ด้วย คือ (๑) ประวัติการบริหารงานและการปฏิบัติตามนโยบายของทางราชการของผู้นำ ของกลุ่มผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ (๒) ประวัติการกระทำความผิดทางการเงิน หรือการถูกกล่าวโทษโดยกระทรวง การคลัง แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ของผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ และผู้ที่ได้รับ การเสนอชื่อให้เป็นประธานกรรมการ ประธานกรรมการบริหาร กรรมการผู้จัดการ และรองผู้จัด การของธนาคารพาณิชย์ที่ขอจัดตั้ง (๓) ความเกี่ยวข้องกันของผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ และผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ระหว่างกลุ่ม ระหว่างกันเอง หรือกับธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งอยู่ในปัจจุบันหรือสถาบันการเงินที่มี ความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือในเชิงการบริหารกับธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว ที่อาจทำให้ ธนาคารพาณิชย์ที่ขอจัดตั้งเกิดความไม่มั่นคงหรือถูกครอบงำกิจการจนขัดกับวัตถุประสงค์ของ การอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นใหม่ (๔) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถาบันการเงินต่างชาติหรือกลุ่มสถาบันการเงินต่างชาติ ที่เป็นผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ในด้านของขนาด ชื่อเสียง และการกระจายสาขาที่จะมีความเกี่ยวข้อง กับการพัฒนาธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ที่ขอจัดตั้ง หมวด ๓ การพิจารณาออกใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ ------------ ข้อ ๑๓ เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ผู้ใด ดำเนินการจัดตั้งะนาคารพาณิชย์แล้ว ให้ผู้นั้นยื่นของรับในอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร พาณิชย์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบ โดยต้อง ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) ต้องจัดตั้งและจดทะเบียนบริษัทมหาชนจำกัด โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ใน จังหวัดขอนแก่น เชียงใหม่ นครราชสีมา พิษณุโลก ระยอง ลำปาง สงขลา สุราษฎร์ธานี หรือ อุบลราชธานี โดยมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า ๗,๕๐๐ ล้านบาท และมีทุนชำระแล้วเต็มมูลค่าในทัน ทีที่มีการกระจายหุ้นตาม (๒) แล้ว (๒) ต้องกำหนดให้บริษัทมหาชนจำกัดตาม (๑) มีสัดส่วนการถือหุ้นดังต่อไปนี้ (ก) กลุ่มผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ ต้องถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวร้อยละ ๒๕ ของทุน จดทะเบียน โดยผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ แต่ละรายจะถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของทุนจดทะเบียน (ข) กลุ่มผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ต้องถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวร้อยละ ๒๕ ของทุน จดทะเบียน โดยผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ที่เป็นบุคคลธรรมดา นิติบุคคล หรือสถาบันการเงินต่าง ชาติ แต่ละรายจะถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของทุนจดทะเบียน สำหรับผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ที่ เป็นกลุ่มนิติบุคคลหรือกลุ่มสถาบันการเงินต่างชาติ แต่ละกลุ่มจะถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของ ทุนจดทะเบียน (ค) หุ้นอีกร้อยละ ๕๐ ของทุนจดทะเบียน ให้จำหน่ายอย่างกว้างขวางแก่ผู้มีสิทธิ ซื้อหุ้นตามราคามูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนไว้ โดยให้แบ่งขายให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีภูมิลำเนาอยู่ใน จังหวัดอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของธนาคารพาณิชย์ที่จะจัดตั้งขึ้นร้อยละ ๑๐ ของทุนจด ทะเบียน ถ้าผู้มีสิทธิซื้อหุ้นแจ้งความจำนงตอบรับจะซื้อหุ้นไม่ครบตามเกณฑ์ดังกล่าว ให้ผู้ซึ่งได้รับ ความเห็นชอบให้ดำเนินการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ชี้แจงเหตุผลพร้อมทั้งเสอนวิธีการจัดสรรหุ้นที่ เหลืออยู่แก่ประชาชนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาอนุญาตเป็นกรณี ๆ ไป ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขการกระจายหุ้นตามภาคผนวกท้ายประกาศนี้ (๓) ต้องนำความใน (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) ของข้อ ๑๖ ไปจดทะเบียน เป็นข้อบังคับของบริษัทมหาชนจำกัดและกำหนดไว้ในข้อบังคับว่าการแก้ไขข้อบังคับดังกล่าวจะ กระทำมิได้ เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (๔) ต้องดำเนินการมิให้ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ หรือผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ มี ความสัมพันธ์ในเชิงการบริหารกับธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งอยู่ในปัจจุบันหรือสถาบันการเงินที่มี ความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือในเชิงการบริหารกับธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว (๕) ต้องดำเนินการให้ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ หรือผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ที่ถือ หุ้นเกินร้อยละ ๒ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดในธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งอยู่ในปัจจุบัน รายใดรายหนึ่งหรือสถาบันการเงินที่มีความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือในเชิงการบริหารกับ ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจำหน่ายหุ้นในส่วนที่เกินนั้นเสีย เว้นแต่ในกรณีที่ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ หรือผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ดังกล่าว เป็นบริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และไม่ ประสงค์จะจำหน่ายหุ้นในส่วนที่เกินนั้นในทันที ก็ให้นำหุ้นในส่วนที่เกินดังกล่าวไปฝากไว้ในความ ดูแลของบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อทยอยขายใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้หมดภายใน ๕ ปี นับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบให้ดำเนิน การจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ และขณะที่ยังมิได้ขายหุ้นดังกล่าวต้องไม่ใช้สิทธิออกเสียงในฐานะผู้ถือ หุ้นดังกล่าวต้องไม่ใช้สิทธิออกเสียงในฐานะผู้ถือหุ้นนั้น (๖) ต้องดำเนินการให้ธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งอยู่ในปัจจุบันหรือสถาบันการเงิน ที่มีความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือในเชิงการบริหารกับธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว ที่ถือหุ้นเกิน ร้อยละ ๒ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดในนิติบุคคลที่เป็นผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ หรือผู้ ริเริ่มจัดตั้งประเภท ๒ จำหน่ายหุ้นในส่วนที่เกินนั้นเสีย เว้นแต่ในกรณีที่ไม่อาจดำเนินการให้ผู้ถือ หุ้นดังกล่าวจำหน่ายหุ้นในส่วนที่เกินนั้นในทันที่ได้ ก็ต้องดำเนินการให้ผู้ถือหุ้นนั้นนำหุ้นในส่วนที่ เกินดังกล่าวไปฝากไว้ในความดูแลของบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย เพื่อทยอยขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้หมดภายใน ๕ ปี นับแต่วันที่ ได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ และในขณะที่ยังมิได้ขายหุ้นดังกล่าวต้อง ไม่ใช้สิทธิออกเสียงในฐานะผู้ถือหุ้นนั้น (๗) ต้องดำเนินการให้ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ และผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ ทำคำ มั่นตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เพื่อผูกพันตนว่าภายใน ๕ ปี นับแต่วันที่ธนาคาร พาณิชย์ที่จะจัดตั้งขึ้นเปิดดำเนินการ บุคคลดังกล่าวจะปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (ก) จะไม่มีความสัมพันธ์ในเชิงการบริหารกับธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบัน การเงินที่มีความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือในเชิงการบริหารกับธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว (ข) จะไม่ถือหุ้นเกินร้อยละ ๒ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดใน ธนาคารพาณิชย์อื่นรายใดรายหนึ่งหรือสถาบันการเงินที่มีความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือใน เชิงการบริหารกับธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว (ค) ในกรณีที่เป็นนิติบุคคล จะไม่ให้ธนาคารพาณิชย์อื่นรายใดรายหนึ่ง หรือ สถาบันการเงินที่มีความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือในเชิงการบริหารกับธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว ถือหุ้นของนิติบุคคลนั้นรวมกันเกินร้อยละ ๒ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (๘) ต้องดำเนินการให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นแต่งตั้งประธานกรรมการประธาน กรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการของธนาคารพาณิชย์ที่จะจัดตั้งขึ้นตามที่ได้ระบุไว้ในคำขอ อนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ และต้องแต่งตั้งรองผู้จัดการตามที่ได้ระบุไว้ในคำของอนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งต้องเสนอรายชื่อกรรมการอื่น และผู้บริหารตั้งแต่ระดับต่ำกว่ารองผู้จัด การลงไปสองระดับ ที่มีความสามารถและความเหมาะสมสำหรับตำแหน่งนั้น ๆ เพื่อขออนุญาต จากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ดำรงตำแหน่ง และนับแต่วันที่บุคคลดังกล่าวได้รับการแต่งตั้งหรือ ถูกเสนอรายชื่อเพื่อขออนุญาต บุคคลนั้นต้องไม่มีความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือในเชิงการ บริหารกับธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งอยู่ในปัจจุบันหรือธนาคารพาณิชย์อื่นที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ ในกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งประธานกรรมการ ประธานกรรมการบริหารกรรมการผู้ จัดการ หรือรองผู้จัดการ ตามที่ได้ระบุไว้ในคำของอนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ได้ ให้ชี้แจงเหตุ ผลพร้อมทั้งชื่อบุคคลอื่นที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๙ และข้อ ๑๓ (๘) ให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาอนุญาตอีกครั้งหนึ่ง ข้อ ๑๔ ก่อนได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ หากปรากฏว่าผู้ ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์รายใดขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้ามฝ่าฝืนหรือไม่ ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อ ๔ ข้อ ๕ ข้อ ๖ ข้อ ๗ ข้อ ๘ ข้อ ๙ หรือ ข้อ ๑๐ หรือปรากฏข้อ เท็จจริงในภายหลังว่าสมควรเพิกถอนการให้ความเห็นชอบด้วยเหตุตามข้อ ๑๒ วรรคสอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเพิกถอนการให้ความเห็นชอบให้ดำเนินการจัดตั้งธนาคาร พาณิชย์แก่ผู้ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์รายนั้นก็ได้ ข้อ ๑๕ เมื่อผู้ซึ่งได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ได้ ดำเนินการตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อ ๑๓ แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะออกใบอนุญาต ให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ต่อไป ข้อ ๑๖ เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกใบอนุญาตให้ประกอบการ ธนาคารพาณิชย์แล้ว ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ และธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้ง ขึ้นใหม่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) ภายใน ๑ ปี นับแต่วันได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวต้องเปิดดำเนินการแก่ประชาชน (๒) ภายใน ๕ ปี นับแต่วันเปิดดำเนินการ ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ และผู้เริ่มจัด ตั้งประเภท ๒ จะจำนำหุ้นหรือจะถือหุ้นน้อยกว่าส่วนที่ตนถืออยู่แล้วในขณะจัดตั้งบริษัทมหาชน จำกัดไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (๓) ภายใน ๓ ปี นับแต่วันเปิดดำเนินการ ธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ต้อง เข้าไปร่วมฟื้นฟู ร่วมถือหุ้น หรือร่วมบริหารสถาบันการเงินอื่นตามที่ทางราชการร้องขอ (๔) ภายใน ๓ ปี นับแต่วันเปิดดำเนินการ ธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ต้อง ไม่ยื่นขออนุญาตจดทะเบียนหุ้นของตนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย (๕) ภายใน ๕ ปี นับแต่วันเปิดดำเนินการ ธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ต้อง ไม่ให้สินเชื่อหรือก่อภาระผูกพัน เช่น ให้หรือให้ยืม แก่ผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๑ หรือผู้เริ่มจัดตั้ง ประเภท ๒ หรือนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ในเชิงการถือหุ้นหรือในเชิงการบริหารกับผู้เริ่มจัดตั้ง ประเทศ ๑ หรือผู้เริ่มจัดตั้งประเภท ๒ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด (๖) เมื่อธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งขึ้นเปิดดำเนินการแล้ว การแต่งตั้งและเปลี่ยน แปลงกรรมการและผู้บริหารตั้งแต่ระดับรองผู้จัดการลงไปสองระดับต้องได้รับอนุญาตจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ในกรณีที่กรรมการและผู้บริหารตั้งแต่ระดับรองผู้จัดการลงไปสองระดับของ คุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๙ และข้อ ๑๓ (๘) ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจ เพิกถอนการอนุญาตตามวรรคหนึ่งได้ ข้อ ๑๗ มาตรการสนับสนุนของทางราชการ (๑) ภายใน ๕ ปี นับแต่วันที่ธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่เปิดดำเนินการ ทาง ราชการจะสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์นั้นเปิดสาขาได้เป็นพิเศษทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ทางกราชการกำหนด (๒) ทางราชการจะพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับการ ดำเนินกิจการธนาคารพาณิชย์ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้เท่า เทียมกับธนาคารพาณิชย์ที่จัดตั้งอยู่ในปัจจุบัน เช่นใบอนุญาตให้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือใบอนุญาตประกอบธุรกิจค้าตราสารหนี้เป็นต้น ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ในประกาศนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๘ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก.๒๕๓๘/พ๔๔ง/๑/๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๘]
324367
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องการซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเป็นอัตราส่วนกับเงินกองทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องการซื้อหรือมีหุ้น มีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเป็นอัตราส่วนกับเงินกองทุน --------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๒ (๕) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับ การซื้อหรือมีหุ้น มีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเป็นอัตราส่วนกับเงินกองทุน ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ธนาคารพาณิชย์ซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นต้องไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของเงินกองทุน ข้อ ๒ เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศได้แก่ (๑) ทุนชำระแล้ว ซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับและเงินที่ ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น (๒) ทุนสำรองตามกฎหมาย (๓) เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุม ใหญ่ผู้ถือหุ้น หรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์แต่ไม่รวมเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสิน ทรัพย์ และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้ (๔) กำไรสุทธิคงเหลือจากการจัดสรร (๕) เงินสำรองจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดิน และอาคารตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๖) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกตราสารตามประเภท จำนวนเงิน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนส่วนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) และ (๔) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุก งวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) ให้หักเงินตามตราสารใน (๖) ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่น ที่ธนาคารพาณิชย์นั้นถือไว้ และสินทรัพย์อื่นใด ทั้งนี้ ตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๓ เงินกองทุนของสาขาธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบ การธนาคารพาณิชย์ หมายความถึง สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๗ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๗ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๗/๔๓ง/๓๙/๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๗] ฐาปนี / แก้ไข ๖ กันยายน ๒๕๔๕ A+B(C)
306893
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2537
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๓๗ --------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในวรรคสามของข้อ ๒ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศ ไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๓๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของ ธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๗ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "สินทรัพย์ และภาระผูกพันตามวรรคหนึ่ง มิให้รวมถึงสินทรัพย์และภาระผูกพัน ของกิจการวิเทศธนกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของ ธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป และสินทรัพย์ และภาระผูกพันของกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๗ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๗ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๗/พ๓๙ง/๓๔/๒๐ กันยายน ๒๕๓๗] ฐาปนี / แก้ไข ๑๐ กันยายน ๒๕๔๕ A+B(C)
320597
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2537
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ก่อภาระผูกพัน เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๗ ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชองของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (๕) ของข้อ ๓ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ก่อภาระผูกพันเมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง กับเงินกองทุน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๒๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ก่อภาระ ผูกพันเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๖ ลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๓๖ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(๕) รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกัน การขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน อันเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ตาม ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป และการประกอบกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่าง จังหวัด ตามประการกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดของ ธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๗ หรือที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้เฉพาะการ รับอาวัลตั๋วเงินรับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขาย ช่วงลดตั๋วเงินของสาขาของธนาคารต่างประเทศเท่านั้น" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๗ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๗/พ๓๙ง/๔๐/๒๐ กันยายน ๒๕๓๗]
320596
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อแก่บุคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2537
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ แก่บุคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๗ --------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (๗) ของข้อ ๓ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงิน กองทุน ลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๖ ลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๓๖ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(๗) ให้สินเชื่ออันเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบกิจการวิเทศธนกิจตามประกาศ กระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป และการประกอบกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัด ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดของธนาคาร พาณิชย์ ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๗ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ เฉพาะการให้สิน เชื่อของสาขาของธนาคารต่างประเทศเท่านั้น" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๗ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๗ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๗/พ๓๙ง/๓๘/๒๐ กันยายน ๒๕๓๗] ฐาปนี / แก้ไข ๔ กันยายน ๒๕๔๕ A+B(C)
306890
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2537
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๗ --------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๑ จัตวา และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนด ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๓๖ และให้ใช้ความ ต่อไปนี้แทน "ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศต้องดำรงสินทรัพย์ สภาพคล่องไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗ ของยอดรวมเงินฝากทั้งสิ้นอันเกิดจากการประกอบกิจการวิเทศธน กิจตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวัน ที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป และยอดรวมเงินฝากทั้งสิ้นอันเกิดจาก การประกอบกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัด ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบ กิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๗ หรือที่จะมี การแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป โดยจะถือเอาสินทรัพย์ใดๆ เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้อง ดำรงให้ครบถ้วนตามอัตราที่กล่าวก็ได้" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๗ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๗/๓๙ง/๓๖/๒๐ กันยายน ๒๕๓๗] ฐาปนี / แก้ไข ๔ กันยายน ๒๕๔๕ A+B(C)
308387
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝาก ดังต่อไปนี้ (๑) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม รวมตลอดถึงเงินฝากที่จ่ายคืนเมื่อสิ้น ระยะเวลาไม่ถึง ๓ เดือน ไม่จ่ายดอกเบี้ย (๒) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม ประเภทออมทรัพย์ซึ่งใช้สมุดคู่ฝากเป็น หลักฐานการรับฝากเงินและไม่ใช้เช็คในการถอน และเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๓ เดือนขึ้นไป ให้จ่ายดอกเบี้ยได้ตามอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนด (๓) ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่ธนาคารพาณิชย์ กำหนดจะจ่ายสำหรับเงินฝากแต่ละประเภท ทั้งที่จ่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไปและลูกค้ารายใหญ่ รวมทั้ง อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่จะจ่ายสำหรับเงินฝากตามข้อ ๒ (๒) ซึ่งธนาคารพาณิชย์ยินยอมให้ ถอนก่อนครบกำหนดด้วย ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยและส่วนลดเงินให้สินเชื่อ ดังต่อไปนี้ (๑) ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยที่เรียกจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rats) และคำจำกัดความของลูกค้าที่จะเรียกเก็บ และส่วนลดโดยอ้างอิงกับอัตราที่กล่าว (๒) ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยที่เรียกจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) ส่วนต่าง (Margin) สูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์จะใช้บวกเข้ากับอัตราดอก เบี้ยที่เรียกจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) และอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคาร พาณิชย์จะเรียกจากลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไข (๓) ให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยและส่วนลดจากลูกค้าที่ไม่เข้าข่ายตาม ข้อ ๓ (๑) โดยอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยที่เรียกจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) เว้น แต่ในกรณีลูกค้าที่ธนาคารพาณิชย์ได้เรียกอัตราดอกเบี้ยและส่วนลดโดยอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย อื่นอยู่แล้วก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ธนาคารพาณิชย์จะถือปฏิบัติตามเดิมต่อไปก็ได้ (๔) ให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยและส่วนลดจากลูกค้าทุกประเภทได้ไม่เกิน อัตราดอกเบี้ยที่เรียกจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) บวกส่วนต่าง (Margin) สูง สุดที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนด เว้นแต่ในกรณีลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไข ธนาคารพาณิชย์จะ เรียกดอกเบี้ยและส่วนลดได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนดสำหรับ ลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไข (๕) การให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยตามที่ธนาคารแห่ง ประเทศกำหนดโดยได้ทำสัญญาผูกพันกันไว้ก่อนวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เรียกได้ไม่เกิน อัตราที่ธนาคารพาณิชย์เรียกจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดส่งประกาศเกี่ยวกันดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ย เงินให้สินเชื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน ๓ วัน นับแต่วันที่ธนาคารพาณิชย์ออก ประกาศและให้ธนาคารพาณิชย์ปิดประกาศดังกล่าวในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของตนทุกแห่ง ข้อ ๕ ประกาศนี้ไม่ใช้บังคับแก่กรณีการรับฝากเงินตามบัตรเงินฝากด้วยวิธี ประมูล การับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงินระหว่างธนาคารพาณิชย์กับธนาคารพาณิชย์อื่น หรือกับ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ บริษัท เงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทย และกรณีธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินเป็นเงินตราต่างประเทศหรือให้สินเชื่อโดยตกลง กันเป็นเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้ไม่ว่าจะจ่ายเป็นเงินสกุลใด ข้อ ๖ เพื่อประโยชน์ในการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้อ้างอิงถึงอัตรา สูงสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารแห่งประเทศ ไทยประการกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ ให้ถือว่าอัตราสูงสุดของอัตราดอก เบี้ยดังกล่าวคือไม่เกินร้อยละ ๑๒ ต่อปี สำหรับกรณีเงินได้ ดังต่อไปนี้ (๑) เงินได้จากการโอนพันธบัตรของรัฐบาลที่ออกจำหน่ายก่อนวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๓๒ เฉพาะที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน (๒) ดอกเบี้ยพันธบัตรของรัฐบาลที่ออกจำหน่ายก่อนวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๓๒ (๓) ดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเฉพาะที่ ต้องใช้บัตรออมทรัพย์ที่มีมูลค่าไม่เกินฉบับละห้าร้อยบาทในการฝากถอนที่ได้มีการออกบัตรก่อน วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ข้อ ๗ ประการนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นหกวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๖ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๖/๑๖๖/๓๓/๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๖]
308386
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2536
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ก่อภาระผูกพันเพื่อ บุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๖ ----------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้ (๕) ของข้อ ๓ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศ ไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลใดบุคคล หนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๘ "(๕) รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกัน การขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน อันเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ตาม ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไปทั้งนี้ เฉพาะการรับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน ของสาขาของ ธนาคารต่างประเทศเท่านั้น" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๓๖ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๖/๒๘/๑๗/๑๑ มีนาคม ๒๕๓๖]
308385
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2536
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่๓) พ.ศ. ๒๕๓๖ -------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๗) ของข้อ ๓ แห่งประกาศธนาคารแห่ง ประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อแก่บุคคลใด บุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน ลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๓๖ "(๗) ให้สินเชื่ออันเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ตาม ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ เฉพาะการให้สินเชื่อของสาขาของ ธนาคารต่างประเทศเท่านั้น" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป" ประกาศ ณ วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๓๖ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๖/๒๘/๑๖/๑๑ มีนาคม ๒๕๓๖]
308384
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ----------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๑ จัตวา และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อ กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรง สินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๓๔ (๒) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรง สินทรัพย์สภาพคล่อง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๓๕ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศต้องดำรงสินทรัพย์ สภาพคล่องไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗ ของยอดรวมเงินฝากทั้งสิ้นอันเกิดจากการประกอบกิจการวิเทศ ธนกิจ ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป โดยจะถือเอาสินทรัพย์ใด ๆ เป็นส่วนหนึ่งของของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงให้ครบถ้วนตามอัตราที่กล่าวก็ได้ ข้อ ๓ นอกจากกรณีที่กล่าวในข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพ คล่องไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗ ของยอดเงินฝากทั้งสิ้นของธนาคารพาณิชย์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และ เงื่อนไข ดังนี้ (๑) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ ของยอด เงินฝากทั้งสินของธนาคารพาณิชย์ (๒) เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ แต่ให้ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ไม่เกินร้อย ละ ๒.๕ ของยอดเงินฝากทั้งสิ้นของธนาคารพาณิชย์ (๓) นอกจาก (๑) และ (๒) ธนาคารพาณิชย์จะถือเอาหลักทรัพย์ต่อไปนี้ ซึ่ง ปราศจากภาระผูกพัน เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องที่พึงดำรงให้ครบถ้วนตามอัตรา ดังกล่าวในวรรคแรกก็ได้ ๓.๑ หลักทรัพย์รัฐบาทไทย ๓.๒ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ๓.๓ หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงิน และดอกเบี้ย ๓.๔ หุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งธนาคาร แห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบหรือที่ออกโดยบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อ ๔ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามข้อ ๒ และข้อ ๓ ให้คิดจากสินทรัพย์ สภาพคล่องที่ดำรงแต่ละวันเฉลี่ยเป็นรายปักษ์ โดยคำนวณเทียบกับส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของยอด รวมเงินฝากทั้งสิ้นของธนาคารพาณิชย์แต่ละวันในปักษ์ก่อน ทั้งนี้ ให้ถือเอาวันที่ ๘ ถึงวันที่ ๒๒ ของเดือนเป็นปักษ์หนึ่ง และวันที่ ๒๓ ถึงวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป เป็นอีกปักษ์หนึ่ง ทั้งให้นับวัน หยุดทำการรวมคำนวณเข้าด้วย ประกาศนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๓๖ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประทศไทย [รก.๒๕๓๖/๒๘/๑๔/๑๑ มีนาคม ๒๕๓๖]
326969
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2536
301578
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2536
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2536 ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้ยกเลิกความใน (3)ของน้ำหนักความเสี่ยง 0.2 ของข้อ 4 แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศ ดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2535 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน `(3) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยบริษัท เงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้ง เงินให้สินเชื่อซึ่งมีตราสารที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ' ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2536 วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
301577
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันของบริษัทเงินทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันของบริษัทเงินทุน ---------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ และมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติการ ประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการดำรงเงินกองทุนเป็น อัตราส่วนกับสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุน ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕ และยกเลิกประกาศ ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับภาระผูกพันของบริษัทเงิน ทุน ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ข้อ ๒ ในประกาศนี้ (๑) "เงินกองทุนชั้นที่ ๑" หมายความถึง เงินกองทุนลำดับที่ (๑) (๒) (๓) และ (๔) ของบทนิยามเงินกองทุน ตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจ เงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช บัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นทุกงวดการบัญชีออกก่อนและให้หักค่ากู๊ดวิลล์ตามหลัก เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด (๒) "เงินกองทุนชั้นที่ ๒" หมายความถึง เงินกองทุนลำดับที่ (๕) และ (๖) ของบทนิยามเงินกองทุนตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ใน (๑) ตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ข้อ ๓ ให้บริษัทเงินทุนดำรงเงินกองทุนเมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ เป็นอัตราส่วนไม่ต่ำ กว่าร้อยละ ๗ ของสินทรัพย์และภาระผูกพันตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ โดยมีเงื่อนไขว่าเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ต้องเป็นอัตราส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕ ของสินทรัพย์และภาระ ผูกพันดังกล่าว และเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ต้องมีจำนวนสูงสุดไม่เกินเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ข้อ ๔ ในการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทุกรายการ และภาระ ผูกพันทุกรายการโดยใช้มูลค่าตามบัญชี ณ วันที่รายงาน มาคำนวณกับอัตราความเสียง ส่วนสิน ทรัพย์และภาระผูกพันที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้แปลงค่าเป็นเงินบาทก่อน โดยใช้อัตราเฉลี่ย ระหว่างอัตราซื้อขั้นต่ำและอัตราขายขั้นสูงตามประกาศของทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ตรา ณ วันที่รายงาน สำหรับสกุลเงินซึ่งทุนรักษาระดับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรามิได้ประกาศ อัตราซื้อขั้นต่ำและอัตราขายขั้นสูงให้ใช้วิธีคำนวณจากอัตราไขว้ (Cross Rate) โดยอิงกับอัตรา ปิดที่ตลาดนิวยอร์ก (๒) คูณสินทรัพย์แต่ละรายการด้วยอัตราความเสียงตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ (๓) คูณภาระผูกพันแต่ละรายการด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้วนำค่าที่ได้คูณกับอัตราความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละ ประเภทตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ อีกครั้งหนึ่ง ข้อ ๕ อัตราความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท (ก) อัตราความเสี่ยงร้อยละ ๐ (๑) เงินสดที่เป็นเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ (๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (๓) เงินลงทุนในหลักทรัพย์โดยมีสัญญาว่าจะขายคืนตามระเบียบธนาคารแห่ง ประเทศไทยว่าด้วยการซื้อขายพันธบัตรโดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืนหรือขายคืน รวมดอกเบี้ยค้างรับ (๔) เงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลไทยหรือหลักทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิใน หนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหลักทรัพย์หรือตราสารสิทธิในหนี้ที่ ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทยรวมดอกเบี้ยค้างรับ หรือเงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ยค้าง รับที่มีหลักทรัพย์หรือตราสารข้างต้นจำนำเป็นประกันเฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ (๕) เงินให้กู้ยืมรวมดอกเบี้ยค้างรับที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและ ดอกเบี้ยเฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ หรือที่คณะรัฐมนตรีมีมติจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้ (๖) เงินให้กู้ยืมหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางของ ประเทศตามที่กำหนดในผนวก ๑ รวมดอกเบี้ยค้างรับ หรือเงินให้กู้ยืมรวมดอกเบี้ยค้างรับที่มีรัฐ บาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไขและเฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ หรือมีหลัก รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวจำนำเป็นประกันเฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ (๗) เงินให้กู้ยืมหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางของ ประเทศนอกจากที่กำหนดในภาคผนวก ๑ รวมดอกเบี้ยค้างรับ หรือเงินให้กู้ยืนรวมดอกเบี้ยค้าง รับที่มีรัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวคำประกันโดยปราศจากเงื่อนไขและเฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ ทั้งนี้ ต้องเป็นสกุลเงินของประเทศนั้น และไม่เกินกว่าหนี้สินที่บริษัทเงินทุนมีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๘) เงินให้กู้ยืมหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออก โดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินรวมดอกเบี้ยค้างรับ หรือเงินให้กู้ยืมหรือ ลูกหนี้รวมดอกเบี้ยค้างรับที่มีนิติบุคคลดังกล่าว รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือที่มีหลัก ทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยนิติบุคคลดังกล่าวจำนำเป็นประกันเฉพาะส่วนที่ คุ้มหนี้ (๙) เงินให้กู้หรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ยค้างรับที่มีตั๋วสัญญาใช้เงินหรือบัตรเงินฝาก ที่ออกโดยบริษัทเงินทุนนั้นจำนำเป็นประกัน เฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ การตีราคาตั๋วสัญญาใช้เงินและบัตรเงินฝากประเภทระบุอัตราดอกเบี้ยจะต้องไม่ เกินมูลค่าของตราสารนั้น การตีราคาบัตรเงินฝากประเภทไม่ระบุอัตราดอกเบี้ยจะต้องไม่เกินจำนวนเงินที่ ตราไว้ (๑๐) ยอดเหลื่อมบัญชีระหว่างสำนักงานของบริษัทเงินทุนนั้น (๑๑) สินทรัพย์เฉพาะส่วนซึ่งเท่ากับเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มี ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และรายได้รอการตัดบัญชี (๑๒) ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (๑๓) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (๑๔) สิทธิเรียกร้องตามเอกสารการกู้ยืมเงินหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่บริษัทเงินทุน อื่นหรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์เป็นผู้ออก ซึ่งรับโอนจากประชาชน ทั้งนี้ เฉพาะตามโครงการและ จำนวนเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบ ข. อัตราความเสี่ยงร้อยละ ๒๐ (๑) เงินฝาก เงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้ หรือเงินลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารแสดง สิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์รวมดอกเบี้ยค้างรับ หรือเงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ย ค้างรับที่ธนาคารพาณิชย์รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือที่มีหลักทรัพย์หรือตราสารแสดง สิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์จำนำเป็นประกันทั้งนี้เฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ (๒) เงินฝาก เงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้ หรือเงินลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารแสดง สิทธิในหนี้ที่ออกโดยบริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์รวมดอก เบี้ยค้างรับ หรือเงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ยค้างรับที่มีบริษัทดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือ ค้ำประกัน หรือที่มีหลักทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยบริษัทดังกล่าวจำนำเป็น ประกัน ทั้งนี้เฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ (๓) เงินฝาก เงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้ หรือเงินลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารแสดง สิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตรดอกเบี้ยค้างรับหรือเงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ยค้างรับที่มีธนาคารดัง กล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือที่มีหลักทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดย ธนาคารดังกล่าวจำนำเป็นประกัน ทั้งนี้เฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ (๔) เงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้ หรือเงินลงทุนในหุ้นกู้หรือพันธบัตรหรือตราสาร แสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยองค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจรวมดอกเบี้ยค้างรับ หรือเงินให้กู้ยืม หรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ยค้างรับที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ประค้ำประกัน หรือที่มีหลัก ทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวจำนำเป็นประกัน ทั้งนี้เฉพาะส่วนที่ คุ้มหนี้ (๕) เงินฝาก เงินให้กู้หรือลูกหนี้ หรือเงินลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารแสดงสิทธิใน หนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จะทะเบียนในกลุ่มประเทศตามที่กำหนดในภาคผนวก ๑ รวมดอก เบี้ยค้างรับ หรือเงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ยค้างรับที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับ อาวัล หรือค้ำประกัน หรือที่มีหลักทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ ดังกล่าวจำนำเป็นประกัน ทั้งนี้เฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ (๖) เงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้ หรือเงินลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ ออกโดยองค์การของรัฐในกลุ่มประเทศตามที่กำหนดในภาคผนวก ๑ รวมดอกเบี้ยค้างรับ หรือ เงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ยค้างรับที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือ ที่มีหลักทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวจำนำเป็นประกัน ทั้งนี้เฉพาะ ส่วนที่คุ้มหนี้ (๗) เงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้ หรือเงินลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ ออกโดยองค์การระหว่างประเทศ ตามที่กำหนดในภาคผนวก ๒ รวมดอกเบี้ยค้างรับ หรือเงินให้ กู้ยืมหรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ยค้างรับที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือที่มี หลักทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยองค์การดังกล่าวจำนำเป็นประกัน ทั้งนี้เฉพาะ ส่วนที่คุ้มหนี้ (๘) เงินฝาก เงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้ หรือเงินลงทุนในหุ้นกู้หรือตราสารแสดง สิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ รวมดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมีระยะเวลาคงเหลือไม่เกิน ๑ ปี หรือเงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ย ค้างรับซึ่งมีระยะเวลาคงเหลือไม่เกิน ๑ ปี และธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำ ประกัน หรือที่มีหลักทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจำนำ เป็นประกัน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ (๙) เงินให้กู้ยืมรวมดอกเบี้ยค้างรับที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบ ประมาณเพื่อชำระหนี้แต่สำนักงานงบประมาณมิได้จัดสรรเงินชำระหนี้ให้จนล่วงพ้นระยะเวลา ที่ถึงกำหนดชำระเกินกว่า ๒ ปีขึ้นไป ค อัตราความเสี่ยงร้อยละ ๕๐ (๑) เงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้ หรือเงินลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดย องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นรวมดอกเบี้ยค้างรับ หรือเงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ยค้างรับที่ องค์การดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือที่มีตราสารดังกล่าวจำนำเป็นประกัน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่คุ้มหนี้ (๒) เงินให้กู้ยืมแก่บุคคลธรรมดาเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยที่มีที่ดิน และหรือสิ่ง ปลูกสร้างนั้นจำนองเป็นประกันลำดับหนึ่งกับบริษัทเงินทุน ทั้งนี้ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้กู้ยืมคงค้างรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) ภาระผูกพันที่เป็นสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน หรืออัตราดอกเบี้ยซึ่งได้ คูณด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้ว เว้นแต่ คู่สัญญาจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีอัตราความเสี่ยงต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ง. อัตราความเสี่ยงร้อยละ ๑๐๐ (๑) เงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้ภาคเอกชนรวมดอกเบี้ยค้างรับ (๒) ลูกหนี้เช่าซื้อที่ได้หักรายได้รอตัดบัญชีแล้ว (๓) เงินฝาก เงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้ หรือเงินลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ หรือตราสาร แสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดในภาคผนวก ๑ รวมดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมีระยะเวลาคงเหลือเกิน ๑ ปี หรือเงินให้กู้ยืมหรือลูกหนี้รวมดอกเบี้ย ค้างรับซึ่งมีระยะเวลาคงเหลือเกิน ๑ ปี และมีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำ ประกัน หรือมีหลักกทรัพย์หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจำนำ เป็นประกัน (๔) เงินให้กู้ยืม หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางนอกกลุ่ม ประเทศไทยกำหนดในภาคผนวก ๑ ปี รวมดอกเบี้ยค้างรับ หรือเงินให้กู้ยืมรวมดอกเบี้ยค้างรับที่ รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกัน (๕) ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินทรัพย์ประจำอื่น ๆ และทรัพย์สินรอการขาย (๖) สินทรัพย์และภาระผูกพันอื่น ๆ ที่มิได้ระบุอัตราความเสี่ยงไว้ในข้อ ๕ นี้ การตีราคาหลักประกันในข้อนี้ ถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นการเฉพาะให้ถือปฏิบัติดังนี้ (ก) กรณีหุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ประเภทระบุอัตราดอก เบี้ยจะต้องไม่เกินจำนวนเงินที่ตราไว้ (ข) กรณีหุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ประเภทไม่ระบุอัตราดอก เบี้ยจะต้องไม่เกินร้อยละ ๖๐ ของจำนวนเงินที่ตราไว้ (ค) กรณีหุ้นหรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะต้องไม่เกินร้อยละ ๗๐ ของราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ง) กรณีหุ้นที่ชำระเต็มมูลค่าแล้วและไม่ได้เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะต้องไม่เกินจำนวนเงินที่ตราไว้ ข้อ ๖ ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ของภาระผูกพันแต่ละ ประเภท ก. ค่าแปลงสภาพร้อยละ ๑๐๐ (๑) การรับรอง รับอาวัล และสอดเข้าแก้หน้าตั๋วเงิน (๒) การค้ำประกันการขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน (๓) การสลักหลังตั๋วเงินแบบผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย (with recourse) (๔) การค้ำประกันการกู้ยืม (๕) สัญญาการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งบริษัทเงินทุนต้องปฏิบัติตามโดยปราศจากเงื่อนไข ข. ค่าแปลงสภาพร้อยละ ๕๐ (๑) ภาระผูกพันซึ่งขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของลูกค้า เช่น ค้ำประกันการรับ เหมาก่อสร้างค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา เป็นต้น (๒) การประกันการจำหน่ายตราสารหรือหลักทรัพย์ ค. ค่าแปลงสภาพร้อยละ ๒๐ ภาระผูกพันเพื่อการนำสินค้าเข้ามาตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต ทั้งที่มีเอกสาร ประกอบและยังไม่มีเอกสารประกอบ ง. ค่าแปลงสภาพร้อยละ ๐ วงเงินให้กู้ยืมที่ลูกค้ายังมิได้ใช้ จ. ค่าแปลงสภาพสำหรับสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย (ร้อยละ) อายุสัญญาที่เหลือ สัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน สัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ไม่เกิน ๑๕ วัน .๐ ๐ เกิน ๑๔ วัน แต่ไม่เกิน ๑ ป ี ๒.๐ ๐.๕ เกิน ๑ ปี ขึ้นไป ๕.๐ ๑.๐ สัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่สัญญาดังต่อไปนี้ Cross currency interest rate swaps Forward foreign exchange contracts Currency option purchases สัญญาอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน สัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ได้แก่สัญญาดังต่อไปนี้ Single currency interest rate swaps Basis swaps Forward rate agreements Interest rate option purchases สัญญาอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน ในกรณีที่ลูกค้ารายเดียวกันทำสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนหรือสัญญาเกี่ยว กับอัตราดอกเบี้ยทั้งทางด้านซื้อและด้านขาย ให้คูณจำนวนเงินด้านซื้อและด้านขายด้วยค่าแปลง สภาพก่อนและนำค่าที่ได้มาหักกลบกันแล้วจึงนำจำนวนสุทธิไปคูณกับอัตราความเสี่ยงของสิน ทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดในข้อ ๕ ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๗ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก.๒๕๓๖/๒๒๕/๒๗พ/๒๘ ธันวาคม ๒๕๓๖]
318606
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนการให้กู้ยืมเงิน หรือลงทุน หรือก่อภาระผูกพัน หรือจ่ายเงินตามภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนของบริษัทเงินทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนการให้กู้ยืมเงิน หรือลงทุน หรือก่อภาระผูกพัน หรือจ่ายเงินตามภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนของบริษัทเงินทุน ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการ ประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (ฉบับที่ ๓ ) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วน ของเงินที่บริษัทที่บริษัทเงินทุนให้กู้ยืมแก่บุคคลหนึ่งและหรือทุนในกิจการของบุคคลนั้นกับเงิน กองทุนของบริษัทเงินทุน ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๓ และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักทรัพย์อื่นและทรัพย์สินอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามาตรา ๓๖ สำหรับ บริษัทเงินทุน ลงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๒ ในประกาศนี้ "เงินกองทุนชั้นที่ ๑" หมายความถึง เงินกองทุนลำดับที่ (๑) (๒) (๓) และ (๔) ของบทนิยามเงินกองทุน ตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงิน ทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช บัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นทุกงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ข้อ ๓ ให้บริษัทเงินทุนถือปฏิบัติดังต่อไปนี้ (๑) จำนวนเงินที่บริษัทเงินทุนให้กู้ยืมเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือลงทุนใน กิจการของบุคคลนั้นเมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ รวมกันต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของบริษัทเงินทุนนั้น (๒) จำนวนเงินที่บริษัทเงินทุนรับรอง รับอาวัล สอดเข้าแก้หน้า สลักหลังแบบ ผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย ค้ำประกัน หรือก่อภาระผูกพันอื่นใด หรือจ่ายไปตามภาระผูกพันเพื่อ บุคคลหนึ่งบุคคลใดเมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ รวมกันต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของ บริษัทเงินทุนนั้น (๓) จำนวนเงินที่บริษัทเงินทุนให้กู้ยืมเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือลงทุนในกิจ การของบุคคลนั้นเมื่อรวมกับจำนวนเงินที่บริษัทเงินทุนรับรอง รับอาวัล สอดเข้าแก้หน้าสลักหลังมี สิทธิไล่เบี้ย ค้ำประกันหรือก่อภาระผูกพันอื่นใด หรือจ่ายไปตามภาระผูกพันเพื่อบุคคลนั้นเมื่อสิ้น วันหนึ่ง ๆ รวมกันต้องไม่เกินร้อยละ ๓๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของบริษัทเงินทุนนั้น ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาต ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ก็ได้ ข้อ ๔ ความในข้อ ๓ ไม่ใช้บังคับแก่กรณีที่บริษัทเงินทุน (๑) ให้กู้ยืมหรือลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารดังต่อไปนี้ (ก) หลักทรัพย์รัฐบาลไทย (ข) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน ต้นเงินและดอกเบี้ย (ค) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือ นิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น การตีราคาหลักประกันตาม (๒) ให้ถือปฏิบัติ ดังนี้ (ก) กรณีหลักทรัพย์รัฐบาลไทยจะต้องไม่เกินจำนวนเงินที่ตราไว้ (ข) กรณีหุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ประเภทระบุอัตราดอก เบี้ยจะต้องไม่เกินจำนวนเงินที่ตราไว้ (ค) กรณีหุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ประเภทไม่ระบุอัตราดอก เบี้ยจะต้องไม่เกินร้อยละ ๖๐ ของจำนวนเงินที่ตราไว้ ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๗ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๖/๒๒๕/๓๖พ/๒๘ ธันวาคม ๒๕๓๖]
301576
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ในการตีราคาสินทรัพย์เพิ่ม
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ในการตีราคาสินทรัพย์เพิ่ม ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจ หลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการประกอบ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศ ไทยกำหนดชนิด ประเภท และการคำนวณเงินสำรองจากการตีราคาสินทรัพย์เพื่อถือเป็นเงินกองทุน ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ (๑) "เงินกองทุนชั้นที่ ๑" หมายความถึง เงินกองทุนลำดับที่ (๑) (๒) (๓) และ (๔) ของ บทนิยามเงินกองทุน ตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด (๒) "เงินกองทุนชั้นที่ ๒" หมายความถึง เงินกองทุนลำดับที่ (๕) และ (๖) ของบทนิยามเงินกองทุนตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวใน (๑) ข้อ ๒ ให้บริษัทเงินทุนนับเงินสำรองจากการศึกษาตีราคาที่ดินหรืออาคารเข้าเป็นเงิน กองทุนชั้นที่ ๒ ได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ ข้อ ๓ บริษัทเงินทุนที่จะตีราคาที่ดินหรืออาคาร ต้องยื่นคำขอต่อธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อขออนุมัตินับเงินสำรองตามข้อ ๑ (๒) เป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ และให้นับเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ได้ เมื่อ ได้รับอนุมัติแล้ว ข้อ ๔ การตีราคาที่ดิน ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังนี้ ๔.๑ ต้องเป็นที่ดิน ตามนัยมาตรา ๒๐ (๒) (ก) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ ๔.๒ ต้องเป็นที่ดินที่บริษัทเงินทุนนั้นมีกรรมสิทธิครอบครองตามหนังสือแสดงสิทธิ ในที่ดินแต่เพียงผู้เดียว และปราศจากภาระผูกพันเหนือที่ดินดังกล่าว ๔.๓ ในการตีราคาที่ดิน บริษัทเงินทุนต้องตีราคาที่ดินของบริษัทเงินทุนนั้นทุกแปลง ที่เข้าหลักเกณฑ์ตาม ๔.๑ และ ๔.๒ ในคราวเดียวกัน และจะตีราคามากกว่า ๑ ครั้ง ในระยะเวลา ๕ ปีไม่ได้ ๔.๔ การตีราคาที่ดิน ให้ใช้ราคาประเมินของกรมที่ดิน โดยต้องแสดงการคำนวณราคาที่ดิน และมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นของที่ดินทุกแปลงอย่างชัดเจน ตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ (แบบ ง.ท. ๒/๑) ในกรณีที่ดินซึ่งประกอบด้วยโฉนดย่อยหลายแปลง และแต่ละโฉนดมีราคาประเมินไม่เท่ากัน ให้แสดงจำนวนเนื้อที่เป็นตารางวาสำหรับแต่ละราคาของแต่ละโฉนด และสำหรับกรณีที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ รวมตั้งแต่ ๑ ไร่ขึ้นไป ให้แนบสำเนาภาพถ่ายเอกสารแสดงสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินด้วย ทั้งนี้ การตีราคาที่ดินทุนกรณีจะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ชำนาญการประเมินราคาที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นชอบ สำหรับการตีราคาครั้งแรก หากที่ดินแปลงใดของบริษัทเงินทุนมีราคาประเมินต่ำกว่าราคาทุน บริษัทเงินทุนจะไม่ได้รับประโยชน์จากการตีราคาที่ดิน แต่บริษัทเงินทุนไม่ต้องหักมูลค่าส่วนที่ลดลง ของที่ดินแปลงนั้นออกจากมูลค่าส่วนเพิ่มขึ้นของที่ดินแปลงอื่น ๔.๕ ให้บริษัทเงินทุนนับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินเข้าเป็นเงินกองทุนได้ ไม่เกินร้อยละ ๗๐ ของมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น และไม่เกินจำนวนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุมัติ ให้ถือเป็นเงินกองทุน ๔.๖ เมื่อได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ให้บริษัทเงินทุนบันทึกบัญชีที่ดิน เพิ่มขึ้นตามราคาที่ตีใหม่ และบัญชีส่วนเกินทุนจากส่วนของผู้ถือหุ้น ๔.๗ เมื่อบริษัทเงินทุนจำหน่ายที่ดินที่เคยตีราคาเพิ่มขึ้น ให้บริษัทเงินทุนรายงาน การจำหน่ายที่ดินแปลงดังกล่าวต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายใน ๗ วันนับแต่วันจดทะเบียนโอนที่ดิน และให้หักมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาของที่ดินแปลงนั้นนอกจากส่วนของผู้ถือหุ้น ข้อ ๕ การตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด ให้ปฏิบัติตามเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ดังนี้ ๕.๑ ต้องเป็นอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด ตามนัยมาตรา ๒๐ (๒) (ก) แห่ง พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ ๕.๒ ต้องเป็นอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่บริษัทเงินทุนนั้นมีกรรมสิทธิ์แต่เพียง ผู้เดียวและปราศจากภาระผูกพันใด ๆ ๕.๓ ต้องเป็นอาคารที่ตั้งอยู่บนที่ดินที่บริษัททุนมีกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครอง ตามหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน และที่ดินดังกล่าวต้องปราศจากภาระผูกพัน และ ๕.๔ ต้องเป็นอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่เอาประกันอัคคีภัยไว้เต็มมูลค่าและระบุ ให้บริษัทเงินทุนนั้นเป็นผู้รับประโยชน์เพียงผู้เดียว ๕.๕ บริษัทเงินทุนต้องตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดของบริษัทเงินทุนหลัง ที่เข้าหลักเกณฑ์ตาม ๕.๑ ๕.๒ ๕.๓ และ ๕.๔ ในคราวเดียวกัน แต่จะตีราคามากกว่า ๑ ครั้งในระยะ เวลา ๕ ปีไม่ได้ ๕.๖ การตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด ให้ใช้ราคาตลาดซึ่งต้องเป็นราคา ที่ประเมินจากค่าก่อสร้างอาคารใหม่ในลักษณะเดียวกัน (Reproduction Cost New) และหักค่าเสื่อมราคาสะสมตามอายุที่ได้ใช้งานไปแล้ว (Depreciated Replacement Cost) สำหรับการตีราคาอาคารหรือห้องชุดที่บริษัทเงินทุนคิดค่าเสื่อมราคาครบถ้วนแล้วแต่ยังสามารถใช้งาน ได้อีก ให้ประเมินอายุการใช้งานที่จะใช้ได้ต่อไป และราคาตลาดของอาคารหรือห้องชุดดังกล่าวใหม่ ทั้งนี้ ให้ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญการประเมินราคาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ ๕.๗ ให้บริษัทเงินทุนแสดงรายการผลการคำนวณราคาอาคารหรือห้องชุด ในอาคารชุด และมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นของอาคารหรือห้องชุดแต่ละรายการตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ (แบบ ง.ท. ๒/๒) และให้แสดงหลักเกณฑ์การตีราคา รวมทั้งรายละเอียดในการคำนวณประกอบด้วย ๕.๘ ให้บริษัทเงินทุนนับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด เข้าเป็นเงินกองทุนได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าส่วนเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น และไม่เกินจำนวนที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยอนุมัติให้ถือเป็นเงินกองทุน ๕.๙ เมื่อได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ให้บริษัทเงินทุนบันทึกบัญชี อาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดเพิ่มขึ้นตามราคาที่ตีใหม่ และบัญชีส่วนเกินทุนจากการตีราคาอาคาร ชุดในอาคารชุด ค่าเสื่อมราคาของอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดเฉพาะส่วนที่ตีราคาเพิ่มขึ้นนี้ให ้คำนวณตามอายุการใช้งานที่เหลือ และให้หักจากบัญชีส่วนเกินทุนจากการตีราคาอาคารหรือ ห้องชุดในอาคารชุดในแต่ละงวดการบัญชี ๕.๑๐ เมื่อบริษัทเงินทุนจำหน่ายอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่เคยตีราคาตาม ข้อ ๕.๖ ให้บริษัทเงินทุนรายงานการจำหน่ายดังกล่าวต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่จดทะเบียนโอนอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด และให้หักมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการ ตีราคาของอาคารหรือห้องชุดนั้นออกจากส่วนของผู้ถือหุ้น ข้อ ๖ ในกรณีที่บริษัทเงินทุนตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี หรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกเก็บคืนไม่ได้ยังไม่ครบจำนวนตาม มาตรา ๒๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ พ.ศ. ๒๕๒๖ ให้บริษัทเงินทุนนำสินทรัพย์ ในส่วนที่ยังไมได้ตัดออกจากบัญชีหรือในส่วนที่ยังไม่ได้กันเงินสำรอง หักออกจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้น จาการตีราคาที่ดินตามข้อ ๔.๕ ก่อน และหากยังมีจำนวนคงเหลือของสินทรัพย์ที่ยังไม่ได้ตัดออกจากบัญชีหรือยังไม่ได้กันเงินสำรองดังกล่าวอยู่อีก ให้หักออกจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดตามข้อ ๕.๘ แล้วจึงนับจำนวนคงเหลือของมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ให้บริษัทเงินทุนแสดงรายละเอียดการนับเงินสำรองจากการตีราคาสินทรัพย์เข้าเป็นเงิน กองทุนโดยใช้แบบที่แนบท้ายประกาศนี้ (แบบ ง.ท. ๒/๓) ในกรณีที่สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืน ไม่ได้ในส่วนที่ยังไม่ได้ตัดออกจากบัญชีหรือสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีอราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วน ที่ยังไม่ได้กันเงินสำรองมีจำนวนลดลง หากบริษัทเงินทุนประสงค์จะนับมูลค่าจากการตีราคาสินทรัพย์ เข้าเป็นเงินกองทุนเพิ่มขึ้นแล้ว บริษัทเงินทุนต้องแจ้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบโดยแสดง รายละเอียดในแบบดังกล่าว ข้อ ๗ ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๗ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก.๒๕๓๖/๒๒๕/๓๘พ/๒๘ ธันวาคม ๒๕๓๖]
318605
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง ตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง ตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุน ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดเกี่ยวกับชนิด ประเภทและการคำนวณเงินที่บริษัทเงินทุน ได้รับเนื่องจากการกออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญ เพื่อถือเป็นเงินกองทุน ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ (๑) "เงินกองทุนชั้นที่ ๑" หมายความถึง เงินกองทุนลำดับที่ (๑) (๒) (๓) และ (๔) ของบทนิยามเงินกองทุน ตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจ เงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช บัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด (๒) "เงินกองทุนชั้นที่ ๒" หมายความถึง เงินกองทุนลำดับที่ (๕) และ (๖) ของบทนิยามเงินกองทุนตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวใน (๑) ข้อ ๒ เงินที่ได้รับจาการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิ ด้วยกว่าเจ้าหนี้สามัญซึ่งจะถือเป็นเงินกองทุนได้นั้น ต้องเป็นเงินที่บริษัทเงินทุนได้รับเนื่องจากการ ออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่มีลักษณะคล้ายทุน (Hybrid Debt Capital Instruments) หรือตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะยาว (Subordinated Tem Debt) ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ ข้อ ๓ ให้บริษัทเงินทุนยื่นคำของต่อธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อขออนุมัตินับ เงินที่ได้รับเนื่องจากการออกเอกสารดังกล่าวเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ และให้นับรวมเป็นเงินกอง ทุนชั้นที่ ๒ ได้ เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ข้อ ๔ ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่มีลักษณะคล้ายทุน (Hybrid Debt Capital Instruments) ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังนี้ (๑) เป็นตราสารที่ออกโดยไม่มีบุคคลใดค้ำประกัน และไม่มีทรัพย์สินใดจำนำ หรือจำนองเป็นประกัน (๒) เป็นตราสารที่ไม่มีการไถ่ถอนก่อนครบกำหนด และไม่มีเงื่อนไขให้สิทธิแก่ผู้ ทรงในการขอไถ่ถอนเว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากธนากคารแห่งประเทศไทย (๓) สิทธิได้รับชำระหนี้ตามตราสารของผู้ทรงต้องอยู่ในลำดับหลังเจ้าหนี้บริษัท (๔) บริษัทเงินทุนมีสิทธิเลื่อนกำหนดเวลาในการชำระดอกเบี้ยตามตราสารออก ไปได้ ในกรณีที่บริษัทเงินทุนนั้นไม่มีกำไรจากการดำเนินงานและไม่จ่ายเงินปันผลสำหรับหุ้น สามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ ทั้งนี้ ให้ถือเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ได้ตามจำนวนที่บริษัทเงินทุนได้ชำระเต็มมูล ค่าแล้ว ข้อ ๕ ตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะยาว (Subordinated Tem Debt) ต้องเป็นไป ตามหลักเกณฑ์ดังนี้ (๑) เป็นตราสารที่ออกโดยไม่มีบุคคลใดค้ำประกัน และไม่มีทรัพย์สินใดจำนำ หรือจำนองเป็นประกัน (๒) เป็นตราสารที่ไม่มีการไถ่ถอนก่อนครบกำหนด เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบ จากธนาคารแห่งประเทศไทย (๓) สิทธิได้รับชำระหนี้ตามตราสารของผู้ทรง ต้องอยู่ในลำดับหลังเจ้าหนี้บริษัท แต่ในลำดับก่อนเจ้าหนี้ตามตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่มีลักษณะคล้ายทุนตามข้อ ๔ ทั้งนี้ ให้ถือเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ได้ตามจำนวนเงินที่บริษัทเงินทุนได้รับชำระ แล้ว แต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของบริษัทเงินทุนนั้น และในช่วง ๕ ปีสุด ท้ายก่อนกำหนด บริษัทเงินทุนต้องหักมูลค่าของตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะยาวส่วนที่นับเป็นเงิน กองทุนชั้นที่ ๒ ออกร้อยละ ๒๐ ต่อปี ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๗ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๖/๒๒๕/๔๕พ/๒๘ ธันวาคม ๒๕๓๖]
301574
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ของธนาคารพาณิชย์ ------------- เพื่อให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธน กิจของธนาคารพาณิชย์ลงวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และ เงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจต้องแยกกิจ การวิเทศธนกิจออกจากกิจการธนาคารพาณิชย์อื่นเสมือนหนึ่งเป็นคนละนิติบุคคล เช่น การแยก ทรัพย์สินเอกสาร หลักฐาน และบัญชีเป็นต้น ข้อ ๓ ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจต้องแยกกิจ การวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ และกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศ ออกจากกัน ข้อ ๔ ห้ามมิให้กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศของธนาคาร พาณิชย์ใด โอนเงินของกิจการให้แก่กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่เป็นกิจการของ ธนาคารพาณิชย์เดี่ยวกันนั้น หรือให้กู้ยืมหรือฝากเงินกับกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมใน ประเทศที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์อื่น ข้อ ๕ ห้ามมิให้กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศของธนาคาร พาณิชย์ใด ๆ ชำระหนี้ตามภาระผูกพันอันเกิดจาการอาวัล รับรอง หรือค้ำประกันหนี้ใด ๆ แทน กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์เดียวกันหรือของ ธนาคารพาณิชย์อื่น ข้อ ๖ ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ (๑) เงินรับฝากและเงินกู้ยืมต้องมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ (๒)การชำระคืนเงินรับฝาก เงินกู้ยืม และดอกเบี้ยของกิจการวิเทศธนกิจต้อง กระทำในประเทศ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ การเบิกถอนเงินให้ กู้ยืม การชำระคืนเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ย ต้องกระทำในต่างประเทศ และหากการชำระคืนเงินให้ กู้ยืมและดอกเบี้ยดังกล่าวกระทำโดยบุคคลอื่นใดที่ไม่ใช้ผู้กู้ บุคคลนั้นต้องมีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ ด้วย (๓) การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศ ของผู้กู้แต่ละรายต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนโดยสถาบันการเงิน หรือเป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีมียอด ค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเทียบเท่า (๔) ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ระหว่างกิจการวิเทศธนกิจกับลูกค้า กิจการวิเทศ ธนกิจต้องดำเนินการให้ลูกค้า ให้ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลที่แท้จริง และในการจัดทำเอกสารหรือหลัก ฐานใด ๆ กิจการวิเทศธนกิจต้องจัดทำเอกสารหรือหลักฐานดังกล่าวให้ตรงต่อความเป็นจริง (๕) ห้ามรับฝากเงินที่ใช้เช็คในการเบิกถอนเงิน (๖) การรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันการชำระหนี้ให้กิจการวิเทศธนกิจอื่น ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการรับรอง รับอาวัลหรือค้ำประกันให้แก่กิจการส่วนใดของกิจการวิเทศ ธนกิจอื่นนั้น (๗) รายรับจากการประกอบธุรกิจของกิจการวิเทศธนกิจต้องเป็นเงินตราต่าง ประเทศ เว้นแต่รายรับจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมเงินบาทในต่างประเทศ หรือรายรับ จากธุรกิจตามข้อ ๑๔ อนึ่ง ความใน (๑) และ (๒) ไม่ใช้บังคับกับกรณีที่เป็นกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือกิจการวิเทศธนกิจอื่น ข้อ ๗ ให้กิจการวิเทศธนกิจสามารถรับโอนทรัพย์สิน หนี้สิน หรือกิจการต่าง ๆ ที่เกิดจากกระประกอบธุรกิจที่มีลักษณะเช่นเดียวกันกิจการวิเทศธนกิจ จากกิจการส่วนอื่นของ ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น ๆ ได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ ภายใน ๓ เดือน นับแต่วันเริ่มประกอบกิจการวิเทศธนกิจหรือวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอย่างอื่น ให้กิจการวิเทศธนกิจแจ้งการรับโอนตามวรรคหนึ่งให้บรรดาลูกหนี้ของธุรกิจที่รับ โอนดังกล่าวทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน ก่อนวันรับโอน เว้นแต่ในกรณีที่มีการรับโอนก่อน วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ให้แจ้งการรับโอนให้บรรดาลูกหนี้ทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ และให้แจ้งการรับโอนดังกล่าวให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันครบกำหนดระยะเวลาการรับโอนตามวรรคหนึ่ง หรือนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผล ใช้บังคับ ในกรณีที่มีการรับโอนก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ข้อ ๘ กิจการวิเทศธนกิจอาจมีสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้ จ่ายในการดำเนินธุรกิจไว้ในประเทศไทยได้ในมูลค่าไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในรูปของสิน ทรัพย์ดังต่อไปนี้ (๑) สถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้าง รวมทั้งเครื่อง ใช้สำนักงานต่าง ๆ โดยหักค่าเสื่อมราคาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ (๒) หลักฐานรัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่รัฐบาลไทยค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย (๓) หุ้นกู้ที่ไม่อาจแปลงสภาพาแห่งสิทธิเป็นหุ้นได้ บัตรเงินฝาก หรือตราสาร แห่งหนี้ซึ่งออกโดยนิติบุคคล หรือสภาบันการเงิน ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และเสนอขายใน ประเทศ (๔) บัญชีเงินฝากที่เป็นเงินบาทกับสถาบันการเงินในประเทศไทย อนึ่ง สำหรับสินทรัพย์ตาม (๒) และ (๓) ให้คำนวณมูลค่าสินทรัพย์ โดยถือตาม ราคาตลาด หรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า ข้อ ๙ กิจการวิเทศธนกิจ อาจเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินตราต่างประเทศ หรือเงิน ตราต่างประเทศเป็นเงินบาทได้ ในกรณีดังต่อไปนี้ (๑) เปลี่ยนเงินบาท ซึ่งเป็นผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี เพื่อส่งผลกำไร นั้นกลับไปยังกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่เป็นเจ้า ของกิจการวิเทศธนกิจ ทั้งนี้ กิจการส่วนอื่นนั้นต้องอยู่ในต่างประเทศด้วย (๒) เปลี่ยนเงินบาทที่เกิดจากจำหน่ายสินทรัพย์ตามข้อ ๘ หรือที่เกิดจากการ จำหน่ายสินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ ๑๑ (๓) เปลี่ยนเงินตราประเทศ เพื่อดำรงเป็นสินทรัพย์ที่เป็นเงินบาทตามข้อ ๘ การเปลี่ยนเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้กับ ธนาคารรับอนุญาตตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินในส่วนที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ ข้อ ๑๐ สินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืม ในต่างประเทศ หรือกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศให้ถือว่าเป็นสินทรัพย์ของกิจการ วิเทศธนกิจนั้น ๆ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ในกรณีที่สินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้เป็นเงินบาท สิน ทรัพย์นั้นไม่ให้นับรวมเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ที่เป็นเงินบาทที่กิจการวิเทศธนกิจพึงมีได้ตาม ข้อ ๘ สินทรัพย์ตามวรรคหนึ่งที่เป็นเงินบาท ต้องเปลี่ยนเป็นเงินตราต่างประเทศเพื่อ นำกลับไปประกอบธุรกรรมทุกประเภทตามที่กิจการวิเทศธนกิจส่วนนั้นจะพึงกระทำได้ตามขอ้ ๑๑ ข้อ ๑๑ ผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี หรือเงินตราต่างประเทศซึ่งได้มา จากการเปลี่ยนเงินบาทตามข้อ ๙ (๒) ให้ถือว่า มีแหล่งที่มาจากต่างประเทศซึ่งกิจการวิเทศธนกิจ สามารถนำกลับไปประกอบธุรกรรมทุกประเภทตาทที่กิจการวิเทศธนกิจจะพึงกระทำได้ ตาม ประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ และตาม ประกาศฉบับนี้ แต่ไม่รวมถึงการให้กู้ยืมเงินบาทของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่าง ประเทศ ข้อ ๑๒ การโอนผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี ไปให้ธนาคารพาณิชย์ที่ เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น กิจการวิเทศธนกิจต้องแจ้งการโอนดังกล่าวให้ธนาคารแห่ง ประเทศไทยทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่โอน ส่วนการโอนผลขาดทุนจากการประกอบกิจการ วิเทศธนกิจ ณ สิ้นงวดบัญชี ไปให้ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น ต้องได้รับ อนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน เว้นแต่เป็นการโอนผลขาดทุนของกิจการวิเทศธนกิจที่ เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ แต่ต้องแจ้งการโอนให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่โอนด้วย ข้อ ๑๓ กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ อาจเปิดบัญชีเงินฝาก แบบไม่มีดอกเบี้ย ไว้กับกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์เจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้นซึ่งอยู่ใน ประเทศไทย เพื่อใช้ในการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจได้แทนการเปิดบัญชีเงินฝาก ธนาคารในต่างประเทศ (nostro account) โดยตรง ทั้งนี้ ณ สิ้นวัน บัญชีเงินฝากดังกล่าวจะต้อง ไม่มียอดคงค้างใด ๆ ข้อ ๑๔ นอกจากการประกอบธุรกิจตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์แล้ว กิจการวิเทศธนกิจอาจประกอบ ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากกิจการวิเทศธนกิจตามที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศ ไทยดังต่อไปนี้ได้ด้วย (๑) การให้บริการข่าวสาร ข้อมูลทางการเงินและเศรษฐกิจทั่วไป (๒) การให้บริการจัดทำหรือวิเคราะห์โครงการเพื่อการลงทุน (๓) การเป็นที่ปรึกษาในการซื้อกิจการ รวมกิจการ หรือควบกิจการ (๔) การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (๕) การจัดการออก (arranging) หรือการจัดจำหน่าย (underwriting) ตราสาร แสดงสิทธิในหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่ออกจำหน่ายในต่างประเทศ แต่ในกรณีที่ผู้ออกตรา สารอยู่ในประเทศ กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ต้องประกอบธุรกิจนี้ร่วมกับกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ทั้งนี้ ต้องแยกบัญชีในการประกอบธุรกิจตามข้อนี้ ต่างหากจากบัญชีอื่น ๆ ของ กิจการวิเทศธนกิจอย่างชัดเจน ข้อ ๑๕ สถานที่ทำการของกิจการวิเทศธนกิจ ต้องมีเพียงแห่งเดียว และต้องอยู่ ในสถานที่เดียวกับที่ทำการของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น ข้อ ๑๖ กิจการวิเทศธนกิจต้องนำส่งค่าธรรมเนียมรายปี ปีละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท การชำระค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่ง ให้ชำระที่ธนาคารแห่งประเทศไทยภายใน ๗ วัน ทำการแรกของทุกปีเว้นแต่ปีแรกให้ชำระเมื่อรับใบอนุญาต ข้อ ๑๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๖/๒๑๐/๒๒พ/๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๖]
301573
ประกาศกระทรวงการคลัง ออกตามความในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2536
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง ออกตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๖ ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกประกาศดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น ข้อ ๕ แห่งประกาศกระทรวงการคลังออกตาม ความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ " ข้อ ๕ สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร พาณิชย์ ตามมาตรา ๖ เฉพาะกิจการวิเทศธนกิจ ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไข เพิ่มเติมต่อไปต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ล้านบาท หรือเทียบ เท่า และจะดำรงในรูปสินทรัพย์ใด ๆ ก็ได้" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๓๖/๒๔/๑๕/๒ มีนาคม ๒๕๓๖]
316885
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ --------------------- เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน อาศัยอำนาจ ตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง กำหนดเงื่อนไขในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ที่ยื่นขอ และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ โดยมีเงื่อนไขให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจได้ ด้วยดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ "กิจการวิเทศธนกิจ" หมายความว่า กิจการของธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมใน ประเทศ หรือธุรกิจวิเทศธนกิจอื่น "กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ" หมายความว่าการประกอบ ธุรกิจ ดังต่อไปนี้ (๑) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากต่างประเทศจาก (ก) บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาหรืออยู่ในต่าง ประเทศ (ข) นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายจ่างประเทศ และไม่ได้ประกอบกิจการ ภายในประเทศไทย เว้นแต่ธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาหรือสำนักงานผู้แทนในประเทศไทย หรือ นิติบุคคลอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ค) สาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ไทย ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในต่างประเทศ หรือแก่กิจการวิเทศธนกิจอื่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือทุนรักษาระดับอัตรา แลกเปลี่ยนเงินตรา (๒) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากกิจการวิเทศธนกิจอื่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในต่างประเทศ หรือแก่กิจการวิเทศธนกิจ อื่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (๓) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินบาทจากต่างประเทศจากธนาคารต่างประเทศ ในต่างประเทศ หรือสาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไป ให้กู้ยืมแก่ธนาคารต่างประเทศในต่างประเทศ สาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ไทย หรือ กิจการวิเทศธนกิจอื่น (๔) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินบาทจากกิจการวิเทศธนกิจอื่นโดยมีวัตถุ ประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมแก่ธนาคารต่างประเทศในต่างประเทศ สาขาในต่างประเทศของ ธนาคารพาณิชย์ไทย หรือกิจการวิเทศธนกิจอื่น "กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศ" หมายความว่า การประกอบ ธุรกิจดังต่อไปนี้ (๑) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากต่างประเทศจาก (ก) บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาหรืออยู่ในต่างประเทศ (ข) นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ และไม่ได้ประกอบกิจการ ภายในประเทศไทย เว้นแต่ธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาหรือสำนักงานผู้แทนในประเทศไทย หรือ นิติบุคคลอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ค) สาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ไทย ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในประเทศ ไทย โดยมีการเบิกถอนเงินกู้ยืมแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าจำนวนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (๒) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากกิจการวิเทศธนกิจอื่น โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในประเทศไทยโดยมีการเบิกถอนเงิน กู้ยืมแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าจำนวนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยประกาศในราชกิจจา นุเบกษา "ธุรกิจวิเทศธนกิจอื่น" หมายความว่า การประกอบธุรกิจดังต่อไปนี้ (๑) การซื้อขายเงินปริวรรตต่างประเทศที่ไม่ใช่เงินบาท (cross-currency) กับ ลูกค้าในต่างประเทศ กิจการวิเทศธนกิจอื่น กระทรวงการคลังธนาคารแห่งประเทศไทย ทุนรักษา ระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ธนาคารรับอนุญาตตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน หรือ ลูกค้าในประเทศที่กิจการวิเทศธนกิจนั้นให้กู้ยืมเงินตราต่างประเทศ (๒) การอาวัล การรับรอง หรือการค้ำประกันหนี้ใด ๆ ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ เฉพาะที่คู่กรณีอยู่นอกประเทศ หรือธนาคารรับอนุญาตตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (๓) การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต การแจ้งการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต การรับ ซื้อลดหรือเรียกเก็บเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิต และการยืนยันเลตเตอร์ออฟเครดิตที่เป็นเงินตรา ต่างประเทศเฉพาะกรณีที่ผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าตามข้อตกลงแห่งเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นอยู่นอก ประเทศ และสินค้าตามข้อตกลงนั้นไม่ได้ส่งออกหรือนำเข้ามาในประเทศไทย (๔) การจัดหาเงินกู้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่มีแหล่งที่มาจากต่างประเทศให้ แก่ผู้ต้องการกู้เป็นเงินตราต่างประเทศหรือการเป็นผู้จัดการในการจัดหาเงินกู้ที่เป็นเงินตราต่าง ประเทศที่มีแหล่งที่มีแหล่งที่มาจากต่างประเทศในลักษณะการร่วมให้กู้ (loan syndication) แก่ผู้ต้องการกู้เงินตราต่างประเทศ ข้อ ๒ การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ให้เป็นไปตามหลัก เกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้เสียค่าธรรมเนียมตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๓ ธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบกิจการวิเทศธนกิจ อาจประกอบธุรกิจอื่นที่ เกี่ยวกับ หรือเนื่องจากกิจการวิเทศธนกิจ หรือธุรกิจอื่นอันเป็นประเพณีที่กิจการวิเทศธนกิจพึง กระทำได้ตามที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ข้อ ๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาจแก้ไขเพิ่มเติมประกาศนี้ได้ตาม คำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือตามที่เห็นสมควร ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ พนัส สิมะเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๓๕/๑๑๙/๑๐๑๔๖/๑๗ กันยายน ๒๕๓๕] จารุวรรณ/แก้ไข ๖ กันยายน ๒๕๔๕ A+B (C)
308409
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ 2)
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ ๒) ----------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (๒) และ (๓) ของข้อ ๓ แห่งประกาศธนาคารแห่ง ประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อแก่บุคคลใด บุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน ลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(๒) ให้กู้ยืมเงินโดยมีหุ้นกู้หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือหุ้น กู้พันธบัตรหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นประกัน เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นกู้ ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ พันธบัตร หรือตั๋วสัญญา ใช้เงินนั้น (๓) ให้สินเชื่อโดยซื้อ ซื้อลด หรือรับช่วงซื้อลดตั๋วเงิน ดังต่อไปนี้ (ก) ตั๋วแลกเงินหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวง ทบวง กรม หรือทบวง การเมืองที่มีฐานะเทียบเท่า รับรองหรือออกเป็นค่าซื้อสินค้าหรือจ้างทำของ (ข) ตั๋วแลกเงินค่าสินค้าส่งออก (ค) ตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๕/๙๖/๑๙พ/๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕] จารุวรรณ/พิมพ์ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๕ A+B (C)
308390
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ----------- เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน อาศัยอำนาจตาม ความในมาตรา ๕ และมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง กำหนดเงื่อนไขในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์แก่ ธนาคารพาณิชย์ที่ยื่นขอและได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ โดยมีเงื่อนไขให้ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจได้ด้วยดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ "กิจการวิเทศธนกิจ" หมายความว่า กิจการของธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมใน ประเทศ หรือธุรกิจวิเทศธนกิจอื่น "กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ" หมายความว่า การประกอบ ธุรกิจ ดังต่อไปนี้ (๑) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากต่างประเทศจาก (ก) บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาหรืออยู่ในต่างประเทศ (ข) นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ และไม่ได้ประกอบกิจการภายใน ประเทศไทย เว้นแต่ธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาหรือสำนักงานผู้แทนในประเทศไทย หรือนิติ บุคคลอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ค) สาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ไทย ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในต่าง ประเทศ หรือแก่กิจการวิเทศธนกิจอื่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือทุนรักษา ระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (๒) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากกิจการวิเทศธนกิจอื่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในต่างประเทศ หรือแก่กิจการ วิเทศธนกิจอื่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน เงินตรา (๓) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินบาทจากต่างประเทศจากธนาคารต่างประเทศใน ต่างประเทศ หรือสาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้ กู้ยืมแก่ธนาคารต่างประเทศในต่างประเทศ สาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ไทย หรือกิจ การวิเทศธนกิจอื่น (๔) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินบาทจากกิจการวิเทศธนกิจอื่นโดยมีวัตถุ ประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมแก่ธนาคารต่างประเทศในต่างประเทศ สาขาในต่างประเทศของ ธนาคารพาณิชย์ไทย หรือกิจการวิเทศธนกิจอื่น "กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศ" หมายความว่า การประกอบ ธุรกิจดังต่อไปนี้ (๑) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากต่างประเทศจาก (ก) บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาหรืออยู่ในต่างประเทศ (ข) นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ และไม่ได้ประกอบกิจการภายใน ประเทศไทย เว้นแต่ธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาหรือสำนักงานผู้แทนในประเทศไทย หรือ นิติบุคคลอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ค) สาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ไทย ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในประเทศ ไทย โดยมีการเบิกถอนเงินกู้ยืมแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าจำนวนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (๒) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากกิจการวิเทศธนกิจอื่นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในประเทศไทยโดยมีการเบิกถอนเงิน กู้ยืมแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าจำนวนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบก ษา "ธุรกิจวิเทศธนกิจอื่น" หมายความว่า การประกอบธุรกิจดังต่อไปนี้ (๑) การซื้อขายเงินปริวรรตต่างประเทศที่ไม่ใช่เงินบาท (cross-currency) กับ ลูกค้าในต่างประเทศ กิจการวิเทศธนกิจอื่น กระทรวงการคลังธนาคารแห่งประเทศไทย ทุนรักษา ระดับอัตราและเปลี่ยนเงินตรา ธนาคารรับอนุญาตตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน หรือ ลูกค้าในประเทศที่กิจการวิเทศธนกิจนั้นให้กู้ยืมเงินตราต่างประเทศ (๒) การอาวัล การรับรอง หรือการค้ำประกันหนี้ใด ๆ ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ เฉพาะที่คู่กรณีอยู่นอกประเทศ หรือธนาคารรับอนุญาตตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (๓) การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต การแจ้งการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต การรับ ซื้อลดหรือเรียกเก็บเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิต และการยืนยันเลตเตอร์ออฟเครดิตที่เป็นเงิน ตราต่างประเทศเฉพาะกรณีที่ผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าตามข้อตกลงแห่งเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นอยู่ นอกประเทศ และสินค้าตามข้อตกลงนั้นไม่ได้ส่งออกหรือนำเข้ามาในประเทศไทย (๔) การจัดหาเงินกู้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่มีแหล่งที่มาจากต่างประเทศให้ แก่ผู้ต้องการกู้เป็นเงินตราต่างประเทศหรือการเป็นผู้จัดการในการจัดหาเงินกู้ที่เป็นเงินตราต่าง ประเทศที่มีแหล่งที่มาจากต่างประเทศในลักษณะการร่วมให้กู้ (loan syndication)แก่ผู้ต้องการกู้ เงินตราต่างประเทศ ข้อ ๒ การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ให้เป็นไปตามหลัก เกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้เสียค่าธรรมเนียมตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๓ ธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบกิจการวิเทศธนกิจ อาจประกอบธุรกิจอื่นที่ เกี่ยวกับ หรือเนื่องจากกิจการวิเทศธนกิจ หรือธุรกิจอื่นอันเป็นประเพณีที่กิจการวิเทศธนกิจพึง กระทำได้ตามที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ข้อ ๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาจแก้ไขเพิ่มเติมประกาศนี้ได้ตามคำ แนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือตามที่เห็นสมควร ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ พนัส สิมะเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๓๕/๑๑๙/๑๐๑๔๖/๑๗ กันยายน ๒๕๓๕]
308389
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องบัตรเงินฝาก
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องบัตรเงินฝาก ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับบัตรเงินฝาก ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในการออกบัตรเงินฝาก ธนาคารพาณิชย์จะต้องดำเนินการดังนี้ (๑) ธนาคารพาณิชย์ที่ออกต้องจดแจ้งชื่อและที่อยู่ที่แท้จริงของผู้ฝากและผู้ไถ่ ถอนบัตรเงินฝากไว้ในทะเบียนบัตรเงินฝากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบได้ (๒) จำนวนเงินในบัตรเงินฝากแต่ละฉบับต้องไม่ต่ำกว่าห้าแสนบาท และส่วนที่ เกินกว่าห้าแสนบาทต้องเป็นจำนวนทวีคูณของหนึ่งแสนบาล (๓) ในขณะใดขณะหนึ่งธนาคารพาณิชย์จะออกบัตรเงินฝากโดยมียอดบัตรเงิน ฝากคงค้างรวมกันเกินกว่า ๑ เท่าของเงินกองทุนไม่ได้ (๔) ธนาคารพาณิชย์จะออกบัตรเงินฝากเพื่อรับฝากเงินต่ำกว่า ๓ เดือนหรือเกิน กว่า ๓ ปีไม่ได้ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์จะรับซื้อบัตรเงินฝากของตนเองไม่ได้ ข้อ ๓ ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีระบบการควบคุมภายในในการออกการเก็บ รักษา การไถ่ถอน หรือการซื้อขายบัตรเงินฝากที่ได้มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับทั่วไป และต้องจัดส่ง สำเนาระเบียบการควบคุมภายในดังกล่าวแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ครบถ้วนถูกต้องและเป็น ปัจจุบันอยู่เสมอ ข้อ ๔ ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดทำทะเบียนบัตรเงินฝากที่ออก และ/หรือที่ซื้อขาย ให้เป็นปัจจุบัน ซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับซื่อผู้ออกบัตรเงินฝาก วันที่ออกบัตรเงิน ฝาก วันครบกำหนด จำนวนเงิน อัตราดอกเบี้ย/ส่วนลด เงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ย ชื่อและที่อยู่ของ ผู้ฝากเงิน และ/หรือของผู้ซื้อผู้ขายบัตรเงินฝาก ข้อ ๕ ธนาคารพาณิชย์ต้องยืนยันความแท้จริงของบัตรเงินฝากที่ตนเป็นผู้ออก เมื่อได้รับการร้องขอ ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๕ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๕/๘๒/๖๘๘๕/๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๕]
308410
ประกาศกระทรวงการคลัง ออกตามความในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง ออกตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ -------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกประกาศดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศกระทรงการคลังออกตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ (๒) ประกาศกระทรวงการคลังออกตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๐ ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ ข้อ ๒ สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร พาณิชย์ตามมาตรา ๖ ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า ๑๒๕ ล้านบาท ข้อ ๓ สินทรัพย์ที่สาขาของธนาคารต่างประเทศต้องดำรงตามข้อ ๒ มีดังนี้ (๑) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หลักทรัพย์รัฐบาลไทย พันธบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย (๒) หุ้น หุ้นกู้ หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๓) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน ต้นเงินและดอกเบี้ย (๔) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือ รัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น หรือรัฐวิสาหกิจอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ (๕) อสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือสำหรับพนักงาน และลูกจ้าง โดยหักค่าเสื่อมราคาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ ข้อ ๔ ในการดำรงสินทรัพย์ตามข้อ ๓ สาขาของธนาคารต่างประเทศต้องปฏิบัติ ตามวิธีการและเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) สินทรัพย์ที่ดำรงต้องปราศจากภาระผูกพัน (๒) สินทรัพย์ที่ดำรงต้องเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากสินทรัพย์สภาพคล่องซึ่งต้อง ดำรงไว้ตามมาตรา ๑๑ ตรี (๓) สำหรับสินทรัพย์ตามข้อ ๓ (๑) - (๔) ให้คำนวณมูลค่าสินทรัพย์โดยถือ ตามราคาที่ตราไว้หรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า (๔) สำหรับสินทรัพย์ตามข้อ ๓ (๕) ให้ถือเป็นสินทรัพย์ที่ดำรงได้ไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของสินทรัพย์ที่ต้องดำรง (๕) สินทรัพย์ดำรงต้องจัดหาด้วยเงินทุนตามมาตรา ๖ วรรคสาม (๖) ในการใช้เงินทุนเพื่อดำรงสินทรัพย์ตามข้อ ๓ สาขาของธนาคารต่างประเทศ ที่มีบัญชีระหว่างกันกับสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นที่เป็นนิติบุคคลเดียวกัน จะต้องมีดุลเป็นลูกหนี้ สุทธิต่อสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นดังกล่าว ในเวลาใดเวลาหนึ่งไม่น้อยกว่าสินทรัพย์ที่ต้องดำรง ตามข้อ ๓ สำหรับการคำนวณหาดุลเป็นลูกหนี้สุทธิดังกล่าวข้างต้นให้นำยอดที่สาขาของ ธนาคารต่างประเทศเป็นลูกหนี้สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นดังกล่าว มาหักด้วย (๑) ยอดที่สาขา ของธนาคารต่างประเทศนั้นเป็นเจ้าหนี้สำนักงานใหญ่และสาขาอื่นดังกล่าว (ยอดสุทธิบัญชี ระหว่างกัน) และ ๒ ผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานประจำปีซึ่งได้ผ่านการรับรองจากผู้สอบ บัญชีในประเทศไทยแล้ว ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๔ สุธี สิงห์เสน่ห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๓๔/๙๒/๔๗๗๒/๒๓ พฤษภาคม ๒๕๓๔]
327230
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ------------------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๓ และลงวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๓ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝาก ดังต่อไปนี้ (๑) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม รวมตลอดถึงเงินฝากที่จ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะ เวลาไม่ถึง ๓ เดือน ไม่จ่ายดอกเบี้ย (๒) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม ประเภทออมทรัพย์ซึ่งใช้สมุดคู่ฝากเป็นหลัก ฐานการรับฝากเงิน และไม่ใช้เช็คในการถอน จ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๑๒.๐ ต่อไป (๓) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๓ เดือนขึ้นไป ให้จ่ายดอกเบี้ยได้ ตามอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนด ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่เกินร้อยละ ๑๙.๐ ต่อปี เว้นแต่การให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เรียกได้ไม่เกินอัตราที่ธนาคารพาณิชย์เรียกจากลูกค้าชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยและส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์จะ เรียกจากลูกค้าชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) และอัตราดอกเบี้ยที่ ธนาคารพาณิชย์กำหนดจะจ่ายสำหรับเงินฝากแต่ละประเภท รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่จะจ่ายสำหรับ เงินฝากตามข้อ ๒ (๓) ซึ่งธนาคารพาณิชย์ยินยอมให้ถอนก่อนครบกำหนดด้วย และส่งประกาศ ดังกล่าวให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ธนาคารพาณิชย์ออกประกาศ และให้ธนาคารพาณิชย์ปิดประกาศดังกล่าวในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของตนทุกแห่ง ข้อ ๕ ประกาศนี้ไม่ใช้บังคับแก่กรณีการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงินระหว่างธนาคาร พาณิชย์กับธนาคารพาณิชย์อื่น หรือกับธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย และกรณีที่ธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินเป็นเงินอัตราต่างประเทศ หรือให้สินเชื่อ โดยตกลงกันเป็นเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะจ่ายเป็นเงินตราสกุลใด ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ พิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๓/๒๓๕/๒๖พ/๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๓] เพ็ญพร/พิมพ์/แก้ไข ๙/๐๙/๔๕ A+B (C)
317062
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2533
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๓ --------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ให้ยกเลิกความในข้อ (๒) ของข้อ ๒ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(๒) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ซึ่งใช้สมุดคู่ฝากเป็น หลักฐานการรับฝากเงินและไม่ใช้เช็คในการถอน จ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๙.๐ ต่อปี" ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๓ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๓๓ ชวลิต ธนะชานันท์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๓/๕๒/๑พ/๓๐ มีนาคม ๒๕๓๓] เพ็ญพร/พิมพ์/แก้ไข ๑๓/๐๙/๔๕ B+A (C)
325570
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด -------------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๒ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝากดังต่อไปนี้ (๑) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม รวมตลอดถึงเงินฝากที่จ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะ เวลาไม่ถึง ๓ เดือน ไม่จ่ายดอกเบี้ย (๒) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ซึ่งใช้สมุดคู่ฝากเป็น หลักฐานการรับฝากเงินและไม่ใช้เช็คในการถอน จ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๗.๒๕ ต่อปี (๓) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๓ เดือน ขึ้นไป ให้จ่ายดอกเบี้ยได้ ตามอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนด ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดจะจ่ายสำหรับ เงินฝากแต่ละประเภท รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่จะจ่ายสำหรับเงินฝากตาม (๓) ซึ่งธนาคารพาณิชย์ ยินยอมให้ถอนก่อนครบกำหนดด้วย และส่งประกาศดังกล่าวให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบ ภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ธนาคารพาณิชย์ออกประกาศ และให้ธนาคารพาณิชย์ปิดประกาศดังกล่าว ไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของตนทุกแห่ง ข้อ ๓ ความในข้อ ๒ ไม่ใช้บังคับในการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากที่รับจากธนาคาร พาณิชย์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือเงิน ฝากที่เป็นเงินตราต่างประเทศซึ่งเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินมีคำสั่งยกเว้นโดยทั่วไป หรือโดยเฉพาะไม่ต้องขายเงินตราต่างประเทศนั้นแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารรับอนุญาต หรือบุคคลรับอนุญาตภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ได้มา ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลด ได้ไม่เกินร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี เว้นแต่การให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เรียกได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕.๐ ต่อปี ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๓ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๓ ชวลิต ธนะชานันท์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๓๕๕/๔๓/๒๒พ/๑๖ มีนาคม ๒๕๓๓] เพ็ญพร/พิมพ์/แก้ไข ๙/๐๙/๔๕ A+B (C)
314504
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2531
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุน เป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๓๑ ---------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสอง แห่ง พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนด ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๔ ทวิ) ของข้อ ๓ แห่งประกาศธนาคารแห่ง ประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ ทั้งสิ้น ฉบับลงวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ "(๔ ทวิ) เงินให้สินเชื่อแก่รัฐวิสาหกิจนอกจากที่กล่าวใน (๔) ที่กระทรวงการ คลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ทั้งนี้ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๑ กำจร สถิรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๑/๑๓๕/๕๙๘๖/๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๑] ธิดาวรรณ / แก้ไข ๒๓ ก.ย. ๒๕๔๕ A+B(C)
317386
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตรา ส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตรา ส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๓๐ ---------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสอง แห่งพระ ราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๒๙) (๓๐) และ (๓๑) แห่งข้อ ๓ ของประกาศ ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับ สินทรัพย์ทั้งสิ้น ฉบับลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖ "(๒๙) เงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนของสำนักงานสาขาในต่างประเทศที่ให้แก่รัฐ บาล องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจในต่างประเทศ หรือลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารที่ออกโดย รัฐบาล องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจในต่างประเทศ ทั้งนี้ เฉพาะประเทศที่สำนักงานสาขานั้นเปิด ดำเนินการอยู่ สำหรับเงินให้สินเชื่อที่ให้แก่องค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือเงินทุนในหลักทรัพย์ หรือตราสารที่ออกโดยองค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ต้องเป็นเงินให้สินเชื่อหรือหลักทรัพย์หรือ ตราสารที่รัฐบาลของประเทศนั้นค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย (๓๐) เงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนของสำนักงานสาขาในต่างประเทศที่ให้แก่รัฐ บาล องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจในต่างประเทศ หรือลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารที่ออกโดย รัฐบาล องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจที่ไม่เข้าข่ายการยกเว้นตาม (๒๙) แต่เป็นเงินให้สินเชื่อหรือ เงินลงทุนตามข้อกำหนดของทางการในประเทศที่สำนักงานสาขานั้นเปิดดำเนินการอยู่ ทั้งนี้ตามที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๓๑) เงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนร้อยละ ๗๐ ของเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุน ของสำนักงานสาขาในต่างประเทศที่ให้แก่ธนาคารในต่างประเทศหรือลงทุนในหลักทรัพย์หรือตรา สารที่ออกโดยธนาคารในต่างประเทศ ทั้งนี้ เฉพาะประเทศที่สำนักงานสาขานั้นเปิดดำเนินการอยู่ และเฉพาะที่มีระยะเวลาครบกำหนดชำระคืนหรือไถ่ถอนคงเหลือไม่เกิน ๖ เดือน นับแต่วันที่ราย งาน" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๒๙ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๐ กำจร สถิรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๐/๒๖๑/๘๔๙๕/๑๗ ธันวาคม ๒๕๓๐] ฐาปนี / แก้ไข ๓ ตุลาคม ๒๕๔๕ A+B(C)
317239
ประกาศกระทรวงการคลัง ออกตามความในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง ออกตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๐ ------------------------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกประกาศ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (๒) ของข้อ ๒ แห่งประกาศกระทรวงการคลัง ออก ตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๑๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(๒) พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หุ้น หุ้นกู้ หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ ออกโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย หุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงิน และดอกเบี้ย ให้คำนวณมูลค่าสินทรัพย์ข้างต้น ให้ถือตามราคาที่ตราไว้" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๓๐ สุธี สิงห์เสน่ห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๓๐/๑๐๑/๓พ/๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๐] ฐาปนี / แก้ไข ๒๕ กันยายน ๒๕๔๕ A+B(C)
317095
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้และสินทรัพย์ ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้และสินทรัพย์ ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ -------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อ กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศการธนาคารแห่งประเทศไทยออกตามความในมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๒ ภายใต้บังคับแห่งข้อ ๗ สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ได้แก่ (๑) สิทธิเรียกร้องซึ่งได้ปฏิบัติการโดยสมควรเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ แต่ไม่มีทาง ที่จะได้รับชำระหนี้แล้ว (๒) สิทธิเรียกร้องตามพฤติการณ์ไม่อาจเรียกให้ชำระหนี้ได้ (๓) สินทรัพย์อื่นซึ่งชำรุดเสียหายหรือหมดราคา ข้อ ๓ สิทธิเรียกร้องที่เรียกคืนไม่ได้ตามข้อ ๒ (๑) นั้น ให้พิจารณาตามเกณฑ์ ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อรวมกัน ดังต่อไปนี้ (๑) ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เป็นคนสาบสูญ หรือมีหลักฐานว่าหายสาปสูญไป และไม่มีทรัพย์สินใด ๆ จะชำระหนี้ได้ (๒) ลูกหนี้เลิกกิจการ และมีหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สิน ทั้งหมดของลูกหนี้อยู่ในลำดับก่อนเป็นจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของลูกหนี้ (๓) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูก เจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง และในกรณีนั้น ๆ ได้มีคำบังคับหรือคำสั่งของศาลแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สิน ใด ๆ จะชำระหนี้ได้ หรือ (๔) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย และในกรณีนั้น ๆ ได้มีการประนอมหนี้กับ ลูกหนี้โดยศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้นั้นหรือลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคล ล้มละลาย และได้มีการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ครั้งที่สุดแล้ว ข้อ ๔ สินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ได้แก่ (๑) สิทธิเรียกร้องที่ไม่มีทรัพย์สินเป็นประกัน หรือมีทรัพย์สินเป็นประกันไม่คุ้ม หนี้ หรือไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เฉพาะส่วนที่คาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ (๒) สินทรัพย์อื่นเฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาจริงกับราคาตามบัญชีที่สูง กว่าราคาจริง ทั้งนี้ ราคาจริงของสินทรัพย์นั้นให้ถือตามราคาซื้อขายในตลาดหรือตามที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๕ สิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ตามข้อ ๔ (๑) นั้น ให้พิจารณา ตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อรวมกัน ดังต่อไปนี้ (๑) มีคำสั่งศาลให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ (๒) ลูกหนี้หยุดดำเนินกิจการหรือเลิกกิจการ หรือกิจการของลูกหนี้อยู่ระหว่าง ชำระบัญชี (๓) ลูกหนี้ประวิงการชำระหนี้ หรือกระทำการใด ๆ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระ หนี้ เช่น ออกไปเสียนอกราชอาณาจักร หรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน (๔) ลูกหนี้มีฐานะการเงินไม่มั่นคงหรือความสามารถในการหารายได้ต่ำ อัน แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้อ่อน (๕) ธนาคารพาณิชย์ติดต่อลูกหนี้ไม่ได้ หรือตามตัวลูกหนี้ไม่พบ หรือลูกหนี้ไป เสียจากภูมิลำเนาที่ปรากฏตามสัญญาโดยไม่แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์ทราบ (๖) ผู้ค้ำประกันหนี้เข้าเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังกล่าวข้างต้น (๗) ธุรกิจของลูกหนี้ไม่ปรากฏแน่ชัด หรือไม่ได้ประกอบธุรกิจจริงจัง (๘) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูก เจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง (๙) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย (๑๐) ลูกหนี้ดำเนินธุรกิจขาดทุนเป็นเวลาตั้งแต่สามปีติดต่อกันขึ้นไป เว้นแต่ แสดงให้เห็นได้ว่ากิจการของลูกหนี้มีลู่ทางทำกำไรพอชดเชยผลขาดทุน (๑๑) ลูกหนี้ค้างชำระดอกเบี้ยเป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปีขึ้นไป เว้นแต่แสดงให้เห็น ได้ว่าจะได้รับชำระหนี้คืนครบเมื่อมีการเรียกให้ชำระหนี้ (๑๒) ลูกหนี้ได้ขอผ่อนเวลาการชำระหนี้ไว้ แต่ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนด เวลาที่ตกลงกัน หรือ (๑๓) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสิทธิเรียกร้องนั้นคาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ ตาม ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๖ ธนาคารพาณิชย์ใดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้สั่งให้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มี ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชีหรือให้กันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคา หรือเรียกคืนไม่ได้รายใดอยู่แล้วก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติตามคำ สั่งดังกล่าวต่อไป เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งเป็นอย่างอื่น ข้อ ๗ สินทรัพย์ตามข้อ ๒ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ได้ตัดออกจากบัญชีแล้วหาก ภายหลังกลับได้รับชำระหนี้คืนในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นนำมาบันทึกบัญชี เป็นสินทรัพย์ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๒๙ กำจร สถิรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๙/๕๒/๑๔๕๘/๑ เมษายน ๒๕๒๙] ธิดาวรรณ / แก้ไข ๒๕ ก.ย. ๒๕๔๕ A+B(C)
317094
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การขายหรือให้สังหาริมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์แก่กรรมการ
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การขายหรือให้สังหาริมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์แก่กรรมการ -------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๒ (๘) วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็น ข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การขายหรือให้ สังหาริมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์แก่กรรมการ ออกตามความในมาตรา ๑๒ (๘) แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ฉบังลงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๓ ข้อ ๒ สังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารพาณิชย์ขายหรือให้แก่กรรมการของธนาคาร พาณิชย์หรือบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมการของธนาคารพาณิชย์ ตามมาตรา ๑๒ ทวิ ในแต่ละปี โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องมีมูลค่ารวมกัน ไม่สูงกว่าห้าหมื่นบาท การคำนวณมูลค่าของสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว ให้ถือเอาราคาตามบัญชีของ ธนาคารพาณิชย์นั้น หรือราคาที่ธนาคารพาณิชย์ซื้อสังหาริมทรัพย์นั้น แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๒๙ กำจร สถิรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๙/๖/๒๕พ/๑๐ มกราคม ๒๕๒๙] ธิดาวรรณ / แก้ไข ๒๕ ก.ย. ๒๕๔๕ A+B(C)
314503
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2529
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุน เป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๒๙ -------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสอง แห่ง พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศข้อกำหนด ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๒๔) (๒๕) (๒๖) (๒๗) และ (๒๘) แห่งข้อ ๓ ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็น อัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น ลงวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ "(๒๔) สิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือ สำหรับพนักงานและลูกจ้างสุทธิภายหลังตัดบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายแล้ว (๒๕) เงินสดระหว่างเรียกเก็บตามตราสารประเภทที่จะต้องจ่ายคืนเมื่อทวง ถามเฉพาะที่อยู่ระหว่างรอเรียกเก็บ ซึ่งจะเรียกเก็บได้ในวันทำการถัดไปและตราสารนั้นธนาคาร พาณิชย์เป็นผู้สั่งจ่าย (๒๖) ดอกเบี้ยค้างรับของหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือของพันธบัตรองค์การของ รัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่มีกฏหมายจัดตั้งขึ้น หรือของหุ้นกู้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน ต้นเงินและดอกเบี้ย หรือของหุ้นกู้หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๒๗) สินทรัพย์เฉพาะส่วนที่เท่ากับเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์ (๒๘) เงินให้สินเชื่อร้อยละ ๒๐ ของเงินให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ ดังต่อไปนี้ (ก) กิจการเพื่อการเกษตร ซึ่งหมายความถึง กิจการที่ประกอบการ กสิกรรม การประมง หรือการเลี้ยงสัตว์ (ข) กิจการเพื่อการอุตสาหกรรมและกิจการเหมืองแร่ (ค) กิจการค้าส่งผลิตผลทางการกสิกรรม เฉพาะที่เป็นการค้าที่ซื้อ ผลิตผลจากผู้ประกอบการกสิกรรมโดยตรง (ง) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยตามที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด" ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความใน (๑๔) แห่งข้อ ๓ ของประกาศธนาคารแห่งประเทศ ไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น ลงวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๓ ทวิ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศ ไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น ลงวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ "ข้อ ๓ ทวิ สินทรัพย์ ณ สิ้นวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ส่วนที่ได้รับการ ยกเว้นตามข้อ ๓ (๑๔) แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น ลงวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ ให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยนับรวมเป็นสินทรัพย์ทั้งสิ้นตามข้อ ๒ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนด" ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๒๙ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๙ กำจร สถิรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๙/๑๒๒/๑๑พ/๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๙] ธิดาวรรณ / แก้ไข ๒๗ ก.ย. ๒๕๔๕ B+A(C)
314502
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2529
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุน เป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๙ -------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๒๓) ของข้อ ๓ แห่งประกาศธนาคารแห่ง ประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ ทั้งสิ้น ฉบับลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖ "(๒๓) เงินให้สินเชื่อแก่โรงสีข้าวตามมาตรการเสริมนโยบายข้าวของกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ - พ.ศ. ๒๕๒๙" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๒๙ กำจร สถิรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๙/๔๑/๗พ/๑๓ มีนาคม ๒๕๒๙] ธิดาวรรณ / แก้ไข ๒๕ ก.ย. ๒๕๔๕ B+A(C)
314497
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด -------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝากดังต่อไปนี้ (๑) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม รวมตลอดถึงเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อ สิ้นระยะเวลาไม่ถึง ๓ เดือน ไม่จ่ายดอกเบี้ย (๒) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ซึ่งใช้สมุดคู่ฝากเป็น หลักฐานการรับฝากเงินและไม่ใช้เช็คในการถอนจ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๗.๒๕ ต่อปี (๓) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๓ เดือนขึ้นไปจ่ายดอกเบี้ยได้ ไม่เกินร้อยละ ๙.๕ ต่อปี เงินฝากตาม (๓) ซึ่งได้ฝากมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓ เดือน และธนาคารพาณิชย์ ยินยอมให้ผู้ฝากถอนเงินฝากก่อนครบกำหนด ให้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลาที่ได้ฝากไว้จริงไม่ เกินอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดไว้ตาม (๒) ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดจะจ่าย สำหรับเงินฝากแต่ละประเภท และส่งประกาศดังกล่าวให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ธนาคารพาณิชย์ออกประกาศ และให้ธนาคารพาณิชย์ปิดประกาศดังกล่าวไว้ในที่ เปิดเผย ณ สำนักงานของตนทุกแห่ง ข้อ ๓ ความในข้อ ๒ ไม่ใช้บังคับในการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากที่รับจากธนาคาร พาณิชย์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือเงิน ฝากที่เป็นเงินตราต่างประเทศซึ่งเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินมีคำสั่งยกเว้นโดยทั่วไป หรือโดยเฉพาะไม่ต้องขายเงินตราต่างประเทศนั้นแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารรับอนุญาต หรือบุคคลรับอนุญาตภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ได้มา ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๒๙ กำจร สถิรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๙/๓๕/๑๕พ/๓ มีนาคม ๒๕๒๙] ธิดาวรรณ / แก้ไข ๒๗ ก.ย. ๒๕๔๕ B+A(C)
306911
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนด รวม 7 ฉบับ
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนด รวม ๗ ฉบับ ------------- ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอขอให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติ ๑. พระราชกำหนดแก้ไขเพื่อเติมพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๙ ๒. พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังปรับโครงสร้างเงินกู้ต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๘ ๓. พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๒๙ ๔. พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ๕. พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจ หลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ ๖. พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ และ ๗. พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร พ.ศ. ๒๕๒๒ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๙ รวม ๗ ฉบับ นั้น สภาผู้แทนราษฎรได้ประชุม ปรึกษาในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ ๕/๒๕๒๙ (สายสามัญ) วันพฤหัสบดีที่ ๔ กันยายน ๒๕๒๙ และวุฒิสภาได้ประชุมปรึกษาในคราวประชุมวุฒิสภา ชุดที่ ๔ ครั้งที่ ๕/๒๕๓๙ (สมัยสามัญ) วันศุกร์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๙ ลงมติอนุมัติพระราชกำหนด ทั้ง ๗ ฉบับ ดังกล่าว จึงประกาศมาตามความในมาตรา ๑๕๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ พลเอก ป. ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี [รก.๒๕๒๙/๑๖๕/๑๐/๒๕ กันยายน ๒๕๒๙]
308417
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ก่อภาระผูกพัน เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ ----------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ (๒) และมาตรา ๑๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง กำหนดอัตราส่วน จำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน ลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖ ข้อ ๒ จำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงินหรือค้ำประกัน การกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย อย่างรวมกัน เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่งต้องไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของเงินกองทุน ข้อ ๓ ความในข้อ ๒ ไม่ใช้บังคับแก่กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ (๑) รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการ ขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน โดยมีหลักทรัพย์หรือตราสารต่อไปนี้เป็นประกัน ทั้งนี้ เฉพาะ ส่วนที่ไม่เกินมูลค่าที่ตราไว้ของหลักทรัพย์หรือตราสาร คือ (ก) หลักทรัพย์รัฐบาลไทย (ข) สิทธิซึ่งมีตราสารการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ (ค) หุ้น หุ้นกู้หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตรหรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ง) หุ้นกู้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย (จ) พันธบัตรขององค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจเฉพาะที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้น (๒) รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการ ขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน เพื่อกระทรวง ทบวง กรม หรือทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบ เท่า หรือองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจเฉพาะที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้น (๓) รับอาวัตตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการ ขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน เพื่อบริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ทั้งนี้ ตามโครงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ (๔) รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการ ขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน เพื่อบุคคลซึ่งมีภูมิลำเนาในประเทศไทย โดยสำนักงานใหญ่ หรือสาขาอื่นที่อยู่ในต่างประเทศของธนาคารที่จดทะเบียนในต่างประเทศและมีสาขาในประเทศ ไทย ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๒๘ กำจร สถิรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๘/๖๔/๒๗พ/๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๘]
314501
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2527
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๗ ------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (๑๘) ของข้อ ๓ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศ ไทย เรื่องการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น ฉบับ ลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖ โดยให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(๑๘) เงินให้สินเชื่อแก่บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือเงินลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าว ทั้งนี้ ตามโครงการที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยเห็นชอบ" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๗ นุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๗/๑๓/๑พ/๒๗ มกราคม ๒๕๒๗] พุทธชาด/พิมพ์ ๒๔/๐๙/๔๕ A+B (C )
324359
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2527
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๗ -------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกเป็นข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ คลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (ข) ของข้อ ๔ (๑) แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศ ไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ฉบับลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๗ โดยใช้ความต่อไปนี้แทน "(ข) กิจการเพื่อการอุตสาหกรรมและกิจการเหมืองแร่ ซึ่งหมายถึงกิจการ อุตสาหกรรมที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานและกิจการ เหมืองแร่ที่ได้รับประทานบัตรหรือประทานบัตรชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยแร่" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๗ กำจร สถิรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๗/๑๔๘/๒๓พ/๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๗] พุทธชาด/แก้ไข ๐๑/๑๐/๔๕ A+B (C)
314495
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ฉบับลงวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ (๒) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๓ ฉบับลงวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ (๓) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๓ ฉบับลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ (๔) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๒๓ ฉบับลงวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ (๕) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๔ ฉบับลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๔ (๖) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ ฉบับลงวันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝากดังต่อไปนี้ (๑) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม รวมตลอดถึงเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อ สิ้นระยะเวลาไม่ถึง ๓ เดือน ไม่จ่ายดอกเบี้ย (๒) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ซึ่งใช้สมุดคู่ฝากเป็น หลักฐานการรับฝากเงินและไม่ใช้เช็คในการถอนจ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๙ ต่อปี (๓) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๓ เดือน แต่ไม่ถึง ๒ ปี จ่าย ดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๑๓ ต่อปี (๔) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๒ ปีขึ้นไปจ่ายดอกเบี้ยได้ไม่ เกินร้อยละ ๑๔ ต่อปี เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๓ เดือนขึ้นไป ซึ่งธนาคารพาณิชย์ ยินยอมให้ผู้ฝากถอนเงินฝากก่อนครบกำหนด ให้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลาที่ได้ฝากไว้จริงไม่ เกินอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดไว้ตาม (๒) ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดจะจ่าย สำหรับเงินฝากแต่ละประเภท และส่งประกาศดังกล่าวให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ธนาคารพาณิชย์ออกประกาศ และให้ธนาคารพาณิชย์ปิดประกาศดังกล่าวไว้ในที่ เปิดเผย ณ สำนักงานของตนทุกแห่ง ข้อ ๓ ความในข้อ ๒ ไม่ใช้บังคับในการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากที่รับจากธนาคาร พาณิชย์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือเงิน ฝากที่เป็นเงินตราต่างประเทศซึ่งเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินมีคำสั่งยกเว้นโดยทั่วไป หรือโดยเฉพาะไม่ต้องขายเงินตราต่างประเทศนั้นแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารรับอนุญาต หรือบุคคลรับอนุญาตภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ได้มา ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ดัง ต่อไปนี้ (๑) การให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบกิจการดังต่อไปนี้ เรียกได้ไม่เกินร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี (ก) กิจการเพื่อการเกษตร ซึ่งหมายความถึงกิจการที่ประกอบการกสิกรรม การประมง หรือการเลี้ยงสัตว์ (ข) กิจการเพื่อการอุตสาหกรรม ซึ่งหมายความถึงกิจการที่ได้รับใบ อนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน (ค) กิจการเพื่อการส่งออก ซึ่งหมายความรวมถึงการส่งออกสินค้า ทุกประเภท รวมทั้งการเตรียมสินค้าเพื่อส่งออกที่มีเอกสารที่เชื่อถือได้ประกอบ (ง) กิจการค้าส่งผลิตผลทางการกสิกรรม เฉพาะที่เป็นการค้าส่งที่ซื้อ ผลิตผลจากผู้ประกอบการกสิกรรมโดยตรง (๒) การให้สินเชื่อแก่ธุรกิจอื่นนอกจากข้อ (๑) เรียกได้ไม่เกินร้อยละ ๑๙ ต่อปี แต่การให้สินเชื่อเพื่อการสั่งสินค้าเข้าเฉพาะส่วนที่มีเอกสารการนำเข้าประกอบ จะเรียกเก็บไม่เกิน อัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายในการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศตามเอกสาร การนำเข้าดังกล่าว บวกด้วยอัตราไม่เกินร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ก็ได้ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๗ นุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๗/๒๘/๒๒พ/๕ มีนาคม ๒๕๒๗] พุทธชาด/แก้ไข ๗ ตุลาคม ๒๕๔๕ A+B (C)
324362
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุน เป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ทั้งสิ้น ------------------------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสองแห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ ลงวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ (๒) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๔ ลงวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๔ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินกองทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘ ของสินทรัพย์ ทั้งสิ้น ข้อ ๓ สินทรัพย์ทั้งสิ้นตามข้อ ๒ ไม่รวมถึงสินทรัพย์ดังต่อไปนี้ (๑) หุ้น หุ้นกู้ หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๒) พันธบัตรขององค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้น (๓) หุ้นกู้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย (๔) เงินให้สินเชื่อแก่กระทรวง ทบวง กรม หรือทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่า หรือองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้น (๕) เงินให้สินเชื่อที่มีสิทธิซึ่งมีตราสารการฝากเงิน หลักทรัพย์รัฐบาลไทยหรือ หลักทรัพย์ใน (๑) (๒) หรือ (๓) ข้างต้นเป็นประกันเฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าตามตราสาร หรือ ไม่เกินมูลค่าที่ตราไว้ของหลักทรัพย์ดังกล่าว (๖) ตั๋วแลกเงินที่ออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตซึ่งธนาคารพาณิชย์ได้เปิดไป เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าของเงินมัดจำที่ผู้ขอให้เปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตได้วางไว้ (๗) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งสินค้าออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่เปิดมายัง ธนาคารพาณิชย์ก่อนการส่งสินค้านั้นออก และยังมิได้มีการออกตั๋วแลกเงินตาม (๘) (๘) ตั๋วแลกเงินที่ออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตซึ่งเปิดมายังธนาคารพาณิชย์ เป็นค่าสินค้าที่ส่งออก (๙) ตั๋วแลกเงินเพื่อเรียกเก็บเป็นค่าสินค้าที่ส่งออกซึ่งธนาคารพาณิชย์ได้รับซื้อไว้ (๑๐) หนังสือสำคัญมูลภัณฑ์กันชนตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมแร่ดีบุก (๑๑) อสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือสำหรับ พนักงานและลูกจ้าง เมื่อได้หักค่าเสื่อมราคาแล้ว (๑๒) เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งสำหรับสำนักงาน หรือสำหรับบ้านพักพนักงาน และลูกจ้าง เมื่อได้หักค่าเสื่อมราคาแล้ว (๑๓) ยอดเหลื่อมบัญชีระหว่างสำนักงานที่เป็นนิติบุคคลเดียวกัน (๑๔) สินทรัพย์ของสำนักงานสาขาในต่างประเทศแต่ละสำนักงานของธนาคาร พาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย เฉพาะส่วนซึ่งเท่ากับหนี้สินที่สำนักงานสาขานั้นมีต่อบุคคล ภายนอก และหนี้สินนั้นสำนักงานใหญ่ไม่ได้ค้ำประกัน (๑๕) เงินให้กู้ยืมแก่ธนาคารพาณิชย์ประเภทชำระคืนเมื่อทวงถาม (๑๖) เงินให้กู้ยืมแก่บรรษัทเงินอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อการดำเนินงาน ของกองทุนพัฒนาตลาดทุน (๑๗) เงินสดระหว่างเรียกเก็บประเภทเช็คส่งคืน (๑๘) เงินให้สินเชื่อแก่บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ หรือเงินลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าว ทั้งนี้ ตามโครงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ (๑๙) เงินลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ได้ใช้เงินกู้ซึ่งกระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย (๒๐) หุ้นของบรรษัทเงินทุนแห่งอาเซียน ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖ นุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๖/๖๑/๑๒๗๘/๑๙ เมษายน ๒๕๒๖] จารุวรรณ/พิมพ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๕ A+B (C)
314494
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ ---------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔ ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติ ในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกเก็บดอกเบี้ยหรือส่วนลด ได้ไม่เกินร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี แต่การให้สินเชื่อเพื่อการสั่งสินค้าเข้าเฉพาะส่วนที่มีเอกสารการนำเข้า ประกอบ จะเรียกเก็บไม่เกินอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายในการกู้ยืมเงิน จากต่างประเทศตามเอกสารการนำเข้าดังกล่าว บวกด้วยอัตราไม่เกินร้อยละ ๑.๕ ต่อปีก็ได้" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๒๖ นุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๖/๙/๓๔๙/๒๕ มกราคม ๒๕๒๖] จารุวรรณ/พิมพ์ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๕ A+B (C)
308416
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ (๑) และมาตรา ๑๓ ทวิ แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ข้อ ๒ จำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง รวมกันแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่ง ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุน ข้อ ๓ ความในข้อ ๒ ไม่ใช้บังคับแก่กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ (๑) ให้กู้ยืมเงินโดยซื้อหุ้นกู้หรือตราสารแสดงสิทธิในหน้าที่ออกโดยธนาคารเพื่อ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือหุ้นกู้หรือ พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย (๒) ให้กู้ยืมเงินโดยมีหุ้นกู้หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารเพื่อ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือหุ้นกู้หรือ หุ้นกุ้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นประกันเฉพาะในส่วนที่ไม่ เกินมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นกู้หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้หรือพันธบัตรนั้น (๓) ให้สินเชื่อโดยซื้อ ซื้อลด หรือรับช่วงซื้อลดตั๋วเงิน ดังต่อไปนี้ (ก) ตั๋วแลกเงินหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวง ทบวง กรม หรือทบวงการเมือง ที่มีฐานะเทียบเท่า รับรองหรือออกเป็นค่าซื้อสินค้าหรือจ้างทำของ (ข) ตั๋วแลกเงินค่าสินค่าส่งออก (๔) ให้กู้ยืมเงินประเภทชำระคืนเมื่อทวงถามแก่ธนาคารพาณิชย์อื่น (๕) ให้สินเชื่อเป็นเงินตราต่างประเทศแก่บุคคลที่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย โดยสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นที่อยู่ในต่างประเทศของธนาคารที่จดทะเบียนในต่างประเทศและมี สาขาอยู่ในประเทศไทย (๖) ให้สินเชื่อโดยมีสิทธิซึ่งมีตราสารการฝากเงินเป็นประกันทั้งนี้เฉพาะส่วนที่ไม่ เกินมูลค่าตามตราสารนั้น ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖ นุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๖/๖๑/๑๒๘๔/๑๙ เมษายน ๒๕๒๖]
314505
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2524
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุน เป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๔ ------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๒๐) แห่งข้อ ๓ ของประกาศธนาคารแห่ง ประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ ฉบับลงวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ "(๒๐) หุ้นของบรรษัทเงินทุนแห่งอาเซี่ยน" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๒๔ นุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๔/๗๘/๑๗พ/๒๕ พฤษภาคม ๒๕๒๔] ธิดาวรรณ / แก้ไข ๗ ตุลาคม ๒๕๔๕ A+B (C)
324358
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2524
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๔ -------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒ ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ฉบับลงวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝาก ดังต่อไปนี้ (๑) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม รวมตลอดถึงเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อ สิ้นระยะเวลาไม่ถึง ๓ เดือน ไม่จ่ายดอกเบี้ย (๒) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ซึ่งใช้สมุดคู่ฝากเป็น หลักฐานการรับฝากเงิน และไม่ใช้เช็คในการถอน จ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๙ ต่อปี (๓) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๓ เดือน แต่ไม่ถึง ๖ เดือน จ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ต่อปี (๔) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๖ เดือน แต่ไม่ถึง ๑ ปี จ่าย ดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๑๑ ต่อปี (๕) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๑ ปี แต่ไม่ถึง ๒ ปี จ่าย ดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๑๓ ต่อปี (๖) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๒ ปีขึ้นไป จ่ายดอกเบี้ยได้ ไม่เกินร้อยละ ๑๔ ต่อปี เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๖ เดือนขึ้นไป ซึ่งธนาคารพาณิชย์ ยินยอมให้ผู้ฝากถอนเงินฝากก่อนครบกำหนด ให้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลาที่ได้ฝากไว้จริง ไม่เกินอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดไว้ตาม (๓) (๔) หรือ (๕) หักด้วยอัตราร้อยละ ๒ ต่อปี แล้วแต่กรณี เงินฝากตาม (๒) (๓) (๔) หรือ (๕) ที่ฝากอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ธนาคารพาณิชย์อาจจ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๙ ร้อยละ ๑๐ ร้อยละ ๑๑ หรือร้อยละ ๑๓ ต่อปี ตามลำดับ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๒ ปีขึ้นไป ที่ฝากอยู่ก่อนวันที่ ประกาศนี้ใช้บังคับธนาคารพาณิชย์อาจจ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๑๔ ต่อปี ทั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์ส่งประกาศอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดจะจ่าย สำหรับเงินฝากแต่ละประเภทให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบ และให้ธนาคารพาณิชย์ปิดประกาศ ดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของตนทุกแห่ง" ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔ ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ฉบับลงวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๒๓ ลงวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ ไม่เกินร้อยละ ๑๙ ต่อปี แต่การให้สินเชื่อเพื่อการสั่งสินค้าเข้าเฉพาะส่วนที่มีเอกสารการนำเข้า ประกอบ จะเรียกเก็บไม่เกินอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายในการกู้ยืมเงิน จากต่างประเทศตามเอกสารการนำเข้าดังกล่าว บวกด้วยอัตราไม่เกินร้อยละ ๑.๕ ต่อปีก็ได้" ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๒๔ นุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๔/๑๐๑/๗พ/๒๔ มิถุนายน ๒๕๒๔] ธิดาวรรณ / แก้ไข ๓ ตุลาคม ๒๕๔๕ A+B (C)
326247
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2523
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๓ -------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ฉบับลงวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ และใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกเก็บดอกเบี้ยหรือส่วนลด ได้ไม่เกินร้อยละ ๑๘ ต่อปี เว้นแต่การให้สินเชื่อเพื่อการสั่งสินค้าเข้าเฉพาะส่วนที่มีเอกสารการ นำเข้าประกอบ ให้เรียกได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายในการกู้ยืมเงินจาก ต่างประเทศตามเอกสารการนำเข้าดังกล่าว บวกด้วยอัตราไม่เกินร้อยละ ๑.๕ ต่อปี" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๒๓ นุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๓/๔๖/๗พ/๒๑ มีนาคม ๒๕๒๓] เพ็ญพร/พิมพ์/แก้ไข ๑๐/๑๐/๔๕ A+B(c)
327550
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2523
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๒๓ -------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ฉบับลงวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๓ ฉบับลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ และใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ ไม่เกินร้อยละ ๑๘ ต่อปี แต่การให้สินเชื่อเพื่อการสั่งสินค้าเข้าเฉพาะส่วนที่มีเอกสารการนำ เข้าประกอบ จะเรียกเก็บไม่เกินอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายในการกู้ยืม เงินจากต่างประเทศตามเอกสารการนำเข้าดังกล่าว บวกด้วยอัตราไม่เกินร้อยละ ๑.๕ ต่อปีก็ได้" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๓ นุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๓/๑๙๖/๑พ/๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๓] เพ็ญพร/พิมพ์/แก้ไข ๑๐/๑๐/๔๕ A+B(c)
326246
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ -------------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศฉบับลงวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งออกตามความใน มาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (๒) ประกาศฉบับลงวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ซึ่งออกตามความใน มาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (๓) ประกาศฉบับลงวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๘ ซึ่งออกตามความใน มาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ดังนี้ (๑) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนในประเทศไทย ให้ทำ รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๑ ที่แนบท้ายประกาศนี้ (๒) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ ให้ทำรายการย่อ แสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๒ ที่แนบท้ายประกาศนี้ ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ณ วันสิ้นเดือนของเดือนสุดท้ายของไตรมาส คือ เดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย ๑ ฉบับ ภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ นุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก.๒๕๒๓/๑๘๖/๒๐พ/๓ ธันวาคม ๒๕๒๓] เพ็ญพร/พิมพ์/แก้ไข ๑๐/๑๐/๔๕ A+B(c)
326245
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2523
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๓ -------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับท ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ฉบับลงวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๓ ฉบับลงวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ และใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ ไม่เกินร้อยละ ๑๘ ต่อปี" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๒๓ นุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๓/๑๐๘/๒๒๘๙/๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๓] เพ็ญพร/พิมพ์ ๘/๑๐/๔๕ A+B(c)
314492
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด --------------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยออกตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ฉบับลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝาก ดังต่อไปนี้ (๑) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม รวมตลอดถึงเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อ สิ้นระยะเวลาไม่ถึง ๓ เดือน ไม่จ่ายดอกเบี้ย (๒) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ ซึ่งใช้สมุดคู่ฝากเป็น หลักฐานการรับฝากเงิน และไม่ใช้เช็คในการถอน จ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๕.๕ ต่อปี (๓) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๓ เดือน แต่ไม่ถึง ๖ เดือน จ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๖ ต่อปี (๔) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๖ เดือน แต่ไม่ถึง ๑๒ เดือน จ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๗ ต่อปี (๕) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๑๒ เดือนขึ้นไป จ่ายดอกเบี้ย ได้ไม่เกินร้อยละ ๙ ต่อปี เงินฝากตาม (๒) และ (๕) ที่ฝากอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ธนาคาร พาณิชย์อาจจ่ายดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๕.๕ และร้อยละ ๙ ต่อปีตามลำดับ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้เริ่มแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ข้อ ๓ ความในข้อ ๒ ไม่ใช้บังคับในการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากที่รับฝากจาก ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคาร สงเคราะห์ บริษัทเงินทุน และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือเงินฝากที่เป็น เงินตราต่างประเทศซึ่งเจ้าหนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินมีคำสั่งยกเว้นโดยทั่วไปหรือโดย เฉพาะไม่ต้องขายเงินตราต่างประเทศนั้นแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารรับอนุญาตหรือ บุคคลรับอนุญาตภายใน ๗ วันนับแต่วันที่ได้มา ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่ เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี ข้อ ๕ การให้กู้ยืมเงินแก่กิจการอุตสาหกรรมที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน หรือกิจการเหมืองแร่ที่ได้รับประทานบัตร หรือประทาน บัตรชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยแร่ เฉพาะส่วนที่มีทรัพย์สินเป็นประกัน หรือการซื้อ ซื้อลด หรือรับช่วงซื้อลดตั๋วเงินอันเกิดจากการประกอบกิจการอุตสาหกรรม หรือกิจการเหมืองแร่หรือ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือแร่ของผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบ กิจการเหมืองแร่ดังกล่าวภายในประเทศ ซึ่งได้กระทำไปก่อนและยังมีผลผูกพันอยู่ในวันที่ประกาศ นี้ใช้บังคับ ให้ยังคงเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดตามสัญญาภายในอัตราตามประกาศธนาคารแห่ง ประเทศไทย ซึ่งออกตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ ข้อ ๒ (๓) ก. ต่อไปจนกว่าอายุสัญญาที่ได้กระทำ ไว้นั้นสิ้นสุดลง การต่ออายุสัญญาดังกล่าวเมื่อประกาศนี้ใช้บังคับแล้วให้ถือเป็นการทำสัญญา ขึ้นใหม่ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๒๒ เสนาะ อูนากูล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๒/๑๖๙/๓๔พ/๓๐ กันยายน ๒๕๒๒] พุทธชาด/แก้ไข ๑๑ ตุลาคม ๒๕๒๒ A+B (C )
324357
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ----------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดด้วย ความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑๗) แห่งข้อ ๒ ของประกาศที่ออกตามความ ในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ลงวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๒ "(๑๗) เงินให้กู้ยืมแก่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อการ ดำเนินงานของกองทุนพัฒนาตลาดทุน" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๒๒ เสนาะ อูนากูล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๒/๑๔๕/๒๙๖๙/๒๑ สิงหาคม ๒๕๒๒] พุทธชาด/พิมพ์ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๕ A+B (C)
314485
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในมาตรา 11 และมาตรา 11 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ----------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนด ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน ค. แห่งข้อ ๒ ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๒๒ และใช้ความต่อไปนี้แทน "ค. นอกจาก ก. และ ข. ธนาคารพาณิชย์จะถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทยซึ่ง ปราศจากภาระผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของเงินสดสำรองที่พึงดำรงให้ครบถ้วนตามอัตรา ดังกล่าวในวรรคแรกก็ได้ ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๒ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๒๒ เสนาะ อูนากูล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๒/๑๐๐/๑พ/๒๐ มิถุนายน ๒๕๒๒] พุทธชาด/พิมพ์ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๒ A+B (C )
324353
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในมาตรา 11 และมาตรา 11 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ----------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนด ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ลงวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๑๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินสดสำรอง ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗ ของยอด รวมเงินฝากทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้ ก. เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ ของยอดรวม เงินฝากทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์ ข. เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ แต่ให้ถือเป็นเงินสดสำรองได้ไม่เกินร้อยละ ๒.๕ ของยอดรวมเงินฝากทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์ ค. นอกจาก ก. และ ข. ธนาคารพาณิชย์จะถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทยซึ่ง ปราศจากภาระผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของเงินสดสำรองที่พึงดำรงก็ได้แต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๒.๕ ของยอดรวมเงินฝากทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์ เงินสดสำรองที่ต้องดำรงตามวรรคหนึ่งให้คิดจากเงินสดสำรองที่ดำรงแต่ละวัน เฉลี่ยเป็นรายสัปดาห์ โดยคำนวณเทียบกับส่วนเฉลี่ยรายสัปดาห์ของยอดรวมเงินฝากทั้งหมดของ ธนาคารพาณิชย์แต่ละวันในสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ ให้ถือเอาวันศุกร์เป็นวันเริ่มต้นและวันพฤหัสบดีเป็น วันสุดท้ายของสัปดาห์ ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๒ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๒๒ เสนาะ อูนากูล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๒๒/๙๑/๑พ/๗ มิถุนายน ๒๕๒๒] พุทธชาด/แก้ไข ๘ ตุลาคม ๒๕๔๕ A+B (C )
325841
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ------------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ให้ยกเลิกความในวรรคสามของข้อ ๒ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ฉบับลงวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๑๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ธนาคารพาณิชย์จะถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทย ซึ่งปราศจากภาระผูกพัน เป็น ส่วนหนึ่งของเงินสดสำรองที่พึงดำรงตามวรรคหนึ่งก็ได้ แต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๓.๗๕ ของยอด เงินฝาก" ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ เสนาะ อูนากล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๑๙/๒๙/๑พ/๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙] จารุวรรณ/แก้ไข ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๕ A+B (C)
569553
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 (ฉบับ Update ล่าสุด)
พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน มาตรา ๔[๒] ในพระราชบัญญัตินี้ “นิคมอุตสาหกรรม”[๓] หมายความว่า เขตอุตสาหกรรมทั่วไปหรือเขตประกอบการเสรี “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป”[๔] หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม การบริการ หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการ “เขตประกอบการเสรี”[๕] หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ การรักษาความมั่นคงของรัฐ สวัสดิภาพของประชาชน การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม หรือความจำเป็นอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด โดยของที่นำเข้าไปในเขตดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี อากร และค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นตามที่กฎหมายบัญญัติ “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม”[๖] หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการในนิคมอุตสาหกรรม “พาณิชยกรรม”[๗] หมายความว่า การค้าหรือการบริการในเขตประกอบการเสรี “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม”[๘] หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบการค้าหรือการบริการในเขตประกอบการเสรี “ผลิต” หมายความรวมถึงทำ สร้าง ผสม ประกอบ หรือบรรจุด้วย “ภาษีสรรพสามิต” หมายความว่า ภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งผู้ว่าการ “ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๖ ให้จัดตั้งการนิคมอุตสาหกรรมขึ้น เรียกว่า “การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” เรียกโดยย่อว่า “กนอ.” และให้เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ (๑) การจัดให้ได้มาซึ่งที่ดินที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมหรือเพื่อดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์ หรือเกี่ยวเนื่องกับ กนอ. (๒)[๙] การปรับปรุงที่ดินตาม (๑) รวมทั้งจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นในการดำเนินงานและการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพเพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม และผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม รวมตลอดทั้งการจัดให้มีและบริหารจัดการกิจการอันเป็นสาธารณูปโภค ที่พักอาศัย การขนส่งทางบกและทางน้ำ ท่าเรือ การสื่อสารโทรคมนาคม หรือกิจการอื่นใด ทั้งนี้ ที่จำเป็นหรือเป็นประโยชน์แก่กิจการของนิคมอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการหรือผู้อยู่อาศัยในนิคมอุตสาหกรรม (๓) การให้เช่า ให้เช่าซื้อ และขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรมหรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของนิคมอุตสาหกรรมโดยตรง (๓/๑)[๑๐] การดำเนินกิจการท่าเรือ (๓/๒)[๑๑] การจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๔) การดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๕)[๑๒] การร่วมดำเนินงานหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ใน (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) รวมถึงเข้าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือถือหุ้นในนิติบุคคลใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หรือมีการดำเนินการที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (๖) การส่งเสริมและควบคุมนิคมอุตสาหกรรมของเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐ (๗)[๑๓] การพัฒนาชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงหรือการมีส่วนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะแก่ชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง มาตรา ๗ ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้แก่ กนอ. ทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งเมื่อได้หักหนี้ออกแล้วให้ถือเป็นทุนของ กนอ. มาตรา ๘ ทุนของ กนอ. ประกอบด้วย (๑) ทรัพย์สินที่ได้รับโอนตามมาตรา ๗ (๒) เงินที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน (๓) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากรัฐบาลหรือบุคคลอื่น (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับความช่วยเหลือจากแหล่งในประเทศหรือต่างประเทศ หรือจากองค์การระหว่างประเทศ มาตรา ๙ ให้ กนอ. ตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใกล้เคียง และจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมด้วยก็ได้ มาตรา ๑๐ ให้ กนอ. มีอำนาจกระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๖ อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑)[๑๔] การสำรวจ วางแผน ออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม และผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี (๒)[๑๕] การกำหนดประเภทและขนาดของกิจการอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมหรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด (๓) การตรวจตราความเป็นอยู่ของคนงานในนิคมอุตสาหกรรม (๔)[๑๖] การควบคุมการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม ผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม และผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายรวมทั้งการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขหรือที่กระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม (๔/๑)[๑๗] การกำกับหรือจัดให้มีระบบป้องกันอุบัติภัย ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อม รวมตลอดถึงการควบคุมและจัดการน้ำเสีย การจัดการขยะมูลฝอย และการจัดการมลภาวะอื่นใดในนิคมอุตสาหกรรม (๕) การลงทุน (๖) การกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในกิจการของ กนอ. (๗) การออกพันธบัตร หรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน [คำว่า “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” และ “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๑๑ ให้ กนอ. มีอำนาจตรวจสอบและรับรองชนิดและปริมาณของวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ หรือชนิดและจำนวนของเครื่องจักรสำหรับกรณีที่จำเป็นจะต้องออกใบรับรองหรือในกรณีที่นำเข้ามาในหรือนำออกไปจากนิคมอุตสาหกรรมซึ่งของดังกล่าว ทั้งนี้ โดยเรียกเก็บค่าบริการตามที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๑๒ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมในอัตราอันสมควรเพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับการดังต่อไปนี้ (๑) การใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นในการดำเนินกิจการของ กนอ. รวมทั้งดอกเบี้ยค่าเสื่อมราคา โบนัส และกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานและครอบครัว (๒) การชำระหนี้สินเท่าที่จำนวนเงินเพื่อการชำระนั้นเกินจำนวนที่จัดสรรไว้ เป็นค่าเสื่อมราคาและสำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการจัดหาทรัพย์สินใหม่แทนทรัพย์สินเดิม (๓) การจัดให้มีเงินสำรองและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการขยายกิจการและลงทุน มาตรา ๑๓ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าซื้อ และราคาขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ตามที่เห็นสมควร มาตรา ๑๔ เมื่อได้ประกาศเขตพื้นที่ใดเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ แล้ว ให้ กนอ. มีอำนาจกำหนดราคาขาย ค่าเช่า และค่าเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมนั้น ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมในด้านธุรกิจ มาตรา ๑๕ รายได้ที่ กนอ. ได้รับจากการดำเนินกิจการในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ กนอ. และเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับการดำเนินกิจการ และค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษาและค่าเสื่อมราคา ตลอดจนหักเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ ประโยชน์ตอบแทนและโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ หรือเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา ๓๔ และเงินลงทุนตามมาตรา ๖๖ แล้วเหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่งซึ่งมิใช่เป็นรายจ่ายที่หักเป็นเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ และโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ และ กนอ. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ กนอ. เท่าจำนวนที่ขาด มาตรา ๑๖ เงินสำรองของ กนอ. ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่นเพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการจะเห็นสมควร เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มาตรา ๑๗ ทรัพย์สินของ กนอ. ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ส่วนที่ ๒ คณะกรรมการและผู้ว่าการ มาตรา ๑๘ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบคน รวมทั้งผู้ว่าการซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นซึ่งมิใช่กรรมการโดยตำแหน่ง มาตรา ๑๙ ผู้ซึ่งจะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้ว่าการต้องมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับบริหารธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมือง เศรษฐศาสตร์ การพาณิชย์ การคลัง หรือกฎหมาย มาตรา ๒๐ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) และ (๒) และไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม (๓) (๔) (๕) (๖) และ (๗) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๔) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๕) เป็นข้าราชการการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในทางการเมือง (๖) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๗) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพอย่างเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๑ ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้ประธานกรรมการ และกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไปจนกว่าคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ มาตรา ๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๒๑ ประธานกรรมการ หรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก (๔) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๕) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อมให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วนั้น มาตรา ๒๓ ให้คณะกรรมการมีอำนาจวางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กนอ. อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ (๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ (๓) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจัดแบ่งส่วนงาน วิธีปฏิบัติงาน และการเงินของ กนอ. (๔) การออกระเบียบหรือข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างของพนักงานและลูกจ้าง (๕) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง การออกจากตำแหน่ง วินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง (๖) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจ่ายค่าพาหนะและเบี้ยเลี้ยงเดินทางค่าเช่าที่พัก ค่าล่วงเวลา และการจ่ายเงินอื่น ๆ (๗) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง (๘) การออกระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง (๙) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบัตรประจำตัวหรือเครื่องแต่งกายของบุคคลซึ่งปฏิบัติงานภายในเขตประกอบการเสรี (๑๐) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบุคคลซึ่งเข้าไปหรืออยู่ในเขตประกอบการเสรี (๑๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัวด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (๑๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของ กนอ. (๑๓) การกำหนดราคาขาย อัตราค่าเช่า ค่าเช่าซื้อและระยะเวลาการเช่าและเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกและอัตราค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรม (๑๔)[๑๘] ปฏิบัติการอื่นใดตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ระเบียบหรือข้อบังคับตาม (๓) ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจของผู้ว่าการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด ให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๒๔ เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ กนอ. ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ กนอ. และกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการได้ มาตรา ๒๕ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้ว่าการและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๖ ผู้ว่าการต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) (๒) และ (๓) และไม่มีลักษณะต้องห้าม ตาม (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ (๓) สามารถทำงานให้แก่ กนอ. ได้เต็มเวลา (๔) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๕) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๖) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ รวมทั้งข้าราชการการเมืองลูกจ้างของกระทรวงทบวงกรมหรือทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่า หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น (๗) ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง รวมทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น (๘) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๙) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม เว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๗ ผู้ว่าการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๖ (๕) คณะกรรมการให้ออกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมดโดยไม่นับรวมผู้ว่าการ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย มาตรา ๒๘ ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ กนอ. ให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ และนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด และมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้าง ในการบริหารกิจการ ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการ มาตรา ๒๙ ผู้ว่าการมีอำนาจ (๑) กำหนดระเบียบและวิธีปฏิบัติงาน ในการทำงานของพนักงานหรือลูกจ้าง (๒) ออกระเบียบในการบริหารกิจการของ กนอ. ทั้งนี้ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ (๓) บรรจุ แต่งตั้งและถอดถอน เลื่อน ลด และตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ตลอดจนลงโทษทางวินัยแก่พนักงานและลูกจ้าง ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๐ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้ว่าการเป็นตัวแทน กนอ. เพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดกระทำกิจการเฉพาะอย่างแทนก็ได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ย่อมไม่ผูกพัน กนอ. เว้นแต่คณะกรรมการจะได้ให้สัตยาบัน มาตรา ๓๑[๑๙] เมื่อผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้หรือเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการว่างลง ให้คณะกรรมการแต่งตั้งกรรมการหรือพนักงานเป็นผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ แล้วแต่กรณี และให้นำมาตรา ๒๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการ มาตรา ๓๒ ประธานกรรมการและกรรมการ ย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนและอาจได้รับโบนัส ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ส่วนที่ ๓ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๓๓ ให้พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิอุทธรณ์เกี่ยวกับการลงโทษหรือร้องทุกข์ได้ตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๔ ให้ กนอ. จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัว ในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสบอุบัติเหตุเจ็บป่วย ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์ มาตรา ๓๕ พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับโบนัสตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หมวด ๒ นิคมอุตสาหกรรม ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๓๖[๒๐] นิคมอุตสาหกรรมมีสองประเภท คือ (๑) เขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๒) เขตประกอบการเสรี การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบนิคมอุตสาหกรรม ให้คณะกรรมการประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายประกาศด้วย มาตรา ๓๖/๑[๒๑] ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณ ที่ กนอ. ประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกานั้น และเมื่อได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในเขตดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ กนอ. เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (๑) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในกรณีที่พลเมืองเลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้น หรือได้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว หรือในกรณีที่พลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่หรือยังไม่เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดโดยรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย และ กนอ. ได้จัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน (๒) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือที่ดินที่ได้สงวนหรือหวงห้ามไว้ตามความต้องการของทางราชการ เมื่อกระทรวงการคลังได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงการคลังกำหนดแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ (๓) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดินเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของ กนอ. ให้ กนอ. มีอำนาจโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้มาตาม (๑) ให้แก่ผู้ร่วมดำเนินงานในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี ได้[๒๒] มาตรา ๓๗ นิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๓๘ เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในการนี้ จะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่คิดว่าจะเวนคืนไว้ก่อนก็ได้ และให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยการเวนคืนตามวรรคหนึ่งให้ตกเป็นของ กนอ. และให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการโอนไปยังผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี ได้[๒๓] [คำว่า “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” และ “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๓๙ เขตพื้นที่ใดที่บุคคลใดได้จัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม ถ้าได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๓๗ แล้ว คณะกรรมการด้วยความยินยอมของเจ้าของที่ดินอาจดำเนินการให้พื้นที่นั้นเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ได้ มาตรา ๓๙/๑[๒๔] ผู้ใดจะจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การขออนุญาตและการอนุญาต รวมทั้งการจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๐ ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อที่มีอักษรไทยประกอบหรืออักษรต่างประเทศซึ่งแปลหรืออ่านว่า “นิคมอุตสาหกรรม” “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” หรือ “เขตประกอบการเสรี” ในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจโดยมิได้เป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] ส่วนที่ ๒ การประกอบกิจการ ประโยชน์ และข้อห้าม มาตรา ๔๑ ผู้ใดจะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การขออนุญาตและการอนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๒[๒๕] การดำเนินการหรือการกระทำใดของผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายดังต่อไปนี้ หากกฎหมายกำหนดให้ผู้ดำเนินการหรือผู้กระทำต้องได้รับอนุมัติ อนุญาต ใบอนุญาต หรือความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นหรือต้องจดทะเบียนหรือแจ้งต่อหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นก่อน ให้ถือว่าผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต หรือให้ความเห็นชอบ หรือเป็นผู้มีอำนาจในการรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามกฎหมายนั้นด้วย (๑) กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน (๒) กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร (๓) กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข (๔) กฎหมายว่าด้วยโรงงาน เมื่อได้รับอนุมัติ อนุญาต ใบอนุญาต หรือความเห็นชอบจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ถือว่าผู้ดำเนินการหรือผู้กระทำการนั้นได้รับอนุมัติ อนุญาต ใบอนุญาต หรือความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นแล้ว หรือได้จดทะเบียนหรือแจ้งต่อหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นแล้ว และให้ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวด้วย ในการอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต ให้ความเห็นชอบ หรือรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามวรรคสอง ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามกฎหมายนั้น และเมื่อดำเนินการแล้ว ให้แจ้งหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย เพื่อประโยชน์แห่งการนี้หน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องจะกำหนดให้แจ้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ มาตรา ๔๒/๑[๒๖] การดำเนินการหรือการกระทำใดภายในนิคมอุตสาหกรรมที่กฎหมายอื่นใดนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๒ กำหนดให้ผู้ดำเนินการหรือผู้กระทำต้องได้รับอนุมัติ อนุญาต ใบอนุญาต หรือความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้น หรือต้องจดทะเบียนหรือแจ้งต่อหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นก่อน ผู้มีอำนาจอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต หรือให้ความเห็นชอบ หรือผู้มีอำนาจในการรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามกฎหมายนั้นจะมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจปฏิบัติการแทนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายดังกล่าวกำหนดก็ได้ มาตรา ๔๒/๒[๒๗] ในการอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต ให้ความเห็นชอบ หรือรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามมาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๒/๑ ให้ กนอ. มีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย หรือค่าอื่นใดที่กฎหมาย ข้อบัญญัติ หรือเทศบัญญัติว่าด้วยการนั้นกำหนดไว้ และให้นำส่งหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย หรือค่าอื่นใดนั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่ได้ตกลงกัน ให้ กนอ. มีอำนาจเรียกเก็บค่าบริการในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งเพิ่มเติมได้ ตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนด แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละสิบของค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตามวรรคหนึ่งและให้ค่าบริการนั้นเป็นรายได้ของ กนอ. มาตรา ๔๓ ในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา ๔๒ หรือในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารผิดแผกจากแผนผังแบบก่อสร้างหรือรายการที่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในใบอนุญาต ให้ กนอ. มีอำนาจสั่งระงับการก่อสร้าง แก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสมควร โดยแจ้งระยะเวลาให้ผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารทราบ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งแล้ว และผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ กนอ. ให้ กนอ. มีอำนาจจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารนั้นได้โดยคิดค่าใช้จ่ายจากผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารนั้น มาตรา ๔๔[๒๘] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรมอาจได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหรือในเขตประกอบการเสรี แล้วแต่กรณี เพื่อประกอบกิจการได้ตามจำนวนเนื้อที่ที่คณะกรรมการเห็นสมควรแม้ว่าจะเกินกำหนดที่จะพึงมีได้ตามกฎหมายอื่น ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรม ซึ่งเป็นคนต่างด้าวเลิกกิจการหรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรมต้องจำหน่ายที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์และส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือผู้รับโอนกิจการ แล้วแต่กรณี ภายในเวลาสามปีนับแต่วันที่เลิกหรือโอนกิจการ มิฉะนั้นให้อธิบดีกรมที่ดินจำหน่ายที่ดินและส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือบุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดิน [คำว่า “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” และ “เขตประกอบการเสรี”แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๔๕[๒๙] ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรมได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวซึ่งเป็น (๑) ช่างฝีมือ (๒) ผู้ชำนาญการ (๓) คู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของบุคคลใน (๑) หรือ (๒) เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและภายในกำหนดระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร แม้ว่าจะเกินกำหนดจำนวนหรือระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง [คำว่า “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๔๖ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา ๔๕ ได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะตำแหน่งหน้าที่การทำงานที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ ตลอดระยะเวลาเท่าที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร มาตรา ๔๗ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรมซึ่งมีภูมิลำเนานอกราชอาณาจักรจะได้รับอนุญาตให้นำหรือส่งเงินออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเงินตราต่างประเทศได้ เมื่อเงินนั้นเป็น (๑) เงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและเงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นที่เกิดจากเงินทุนนั้น (๒) เงินกู้ต่างประเทศที่นำมาลงทุนในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรมตามสัญญาที่ กนอ. ให้ความเห็นชอบ รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินกู้ต่างประเทศนั้น (๓) เงินที่มีข้อผูกพันกับต่างประเทศตามสัญญาเกี่ยวกับการใช้สิทธิและบริการต่าง ๆ ในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรมและสัญญานั้นได้รับความเห็นชอบจาก กนอ.[๓๐] ในกรณีที่ระยะเวลาใดดุลการชำระเงินต้องประสบความยุ่งยากจำเป็นต้องสงวนเงินตราต่างประเทศให้มีสำรองไว้ตามสมควร ธนาคารแห่งประเทศไทยจะจำกัดการนำหรือส่งเงินนั้นออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อผลดังกล่าวนั้นก็ได้ แต่จะไม่จำกัดการส่งเงินทุนที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักรต่ำกว่าร้อยละยี่สิบต่อปีของยอดเงินทุนดังกล่าวที่เหลืออยู่ในวันที่ ๓๑ ธันวาคมของปี ถ้าการส่งเงินนั้นกระทำภายหลังที่นำเข้ามาแล้วเป็นเวลาสองปี และจะไม่จำกัดการส่งเงินปันผลต่ำกว่าร้อยละสิบห้าต่อปีของเงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร และเหลืออยู่ในขณะที่ขอส่งเงินปันผลออก [คำว่า “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๔๘[๓๑] ให้ของที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรเช่นเดียวกับของที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร และให้รวมถึงสิทธิประโยชน์ในกรณีดังต่อไปนี้ด้วย (๑) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรี ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต สำหรับของที่เป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของสิ่งดังกล่าวที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี และของที่ใช้ในการสร้าง ประกอบ หรือติดตั้งเป็นโรงงานหรืออาคารในเขตประกอบการเสรี ทั้งนี้ เท่าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามที่คณะกรรมการอนุมัติ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด (๒) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อพาณิชยกรรม ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนอากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ผู้ว่าการกำหนด (๓) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตาม (๒) รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรี หากส่งออกไปนอกราชอาณาจักรให้ได้รับยกเว้นอากรขาออก ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ของที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงของที่นำออกจากเขตประกอบการเสรีแห่งหนึ่งไปยังเขตประกอบการเสรีอีกแห่งหนึ่งด้วย มาตรา ๔๙[๓๒] ในกรณีการนำของเข้ามาในราชอาณาจักรหรือนำวัตถุดิบภายในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการอื่นใดกับของนั้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ของนั้นได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายในบังคับของกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ซึ่งของดังกล่าว หรือเกี่ยวกับการควบคุมมาตรฐานหรือคุณภาพ การประทับตราหรือเครื่องหมายใด ๆ แก่ของนั้น แต่ไม่รวมถึงกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ในกรณีที่ของตามวรรคหนึ่งเป็นของที่ก่อให้เกิดหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน สุขภาพอนามัยของประชาชนหรือสิ่งแวดล้อม หรือเป็นของซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีตามข้อผูกพันตามสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของของดังกล่าวมิให้ได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่งได้ ทั้งนี้ จะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใด ๆ เกี่ยวกับของนั้นไว้ด้วยก็ได้ ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับแก่เขตประกอบการเสรีเพื่อพาณิชยกรรมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักรด้วยโดยอนุโลม[๓๓] มาตรา ๕๐[๓๔] (ยกเลิก) มาตรา ๕๑[๓๕] ของใดที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรเมื่อได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แม้มิได้ส่งออกแต่ได้นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้ตามมาตรา ๔๘ (๑) หรือ (๒) ให้ของนั้นได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรโดยถือเสมือนว่าได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในวันที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรี มาตรา ๕๒[๓๖] ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามมาตรา ๔๘ หรือมาตรา ๔๙ และของตามมาตรา ๕๑ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้และสิ่งอื่น ที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรี หากนำออกจากเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักรจะต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต ตามสภาพ ราคาและอัตราภาษีอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี รวมทั้งจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ซึ่งของดังกล่าว หรือเกี่ยวกับการควบคุมมาตรฐานหรือคุณภาพ การประทับตรา หรือเครื่องหมายใด ๆ แก่ของนั้น นับแต่วันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี แล้วแต่กรณี โดยถือเสมือนว่าได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี มาตรา ๕๒/๑[๓๗] ในกรณีของ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรีที่นำออกจากเขตประกอบการเสรีเป็นของที่ต้องเสียภาษีอากรในการคำนวณค่าภาษีอากร หากมีกรณีที่นำวัตถุดิบภายในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อผลิต ผสมประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการอื่นใดกับของนั้นโดยที่วัตถุดิบที่นำเข้าไปนั้นไม่มีสิทธิได้รับการคืนหรือยกเว้นอากร ไม่ต้องนำราคาวัตถุดิบดังกล่าวมาคำนวณค่าภาษีอากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด มาตรา ๕๓ การนำของเข้ามาในหรือนำออกไปจากเขตประกอบการเสรี การเก็บรักษา และการควบคุมการขนย้าย ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการนำของเข้า การส่งของออก และการเก็บของในคลังสินค้า ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม กับทั้งต้องปฏิบัติตามระเบียบและพิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด และให้นำบทลงโทษตามกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับด้วย [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๔[๓๘] ของที่ไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ซึ่งอยู่ในเขตประกอบการเสรี ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรมขออนุญาตเป็นหนังสือต่อ กนอ. เพื่อทำลาย หรือในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรสั่งให้ทำลายของดังกล่าว ให้ กนอ. แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี หรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และอธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายทราบ และให้อธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายสั่งดำเนินการทำลายของนั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด ในกรณีที่ กนอ. ไม่อาจแจ้งให้บุคคลตามวรรคหนึ่งทราบได้ เมื่อ กนอ. ได้ปิดประกาศไว้ ณ สำนักงานของบุคคลดังกล่าวที่อยู่ในเขตประกอบการเสรีเป็นเวลาเจ็ดวันให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งแล้ว ของที่ได้ถูกทำลายตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในวรรคหนึ่งให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” และ “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๕ ห้ามมิให้ผู้ใดนำของในเขตประกอบการเสรี ออกไปจากเขตประกอบการเสรี เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและแบบที่คณะกรรมการกำหนด [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๖ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหรืออยู่ในเขตประกอบการเสรี เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายและต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับของ กนอ. การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่คณะกรรมการกำหนด [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] หมวด ๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา ๕๗[๓๙] พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม หรือของผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์ หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี ในนิคมอุตสาหกรรมในระหว่างเวลาทำการเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงหรือเพื่อตรวจสอบเอกสารหรือสิ่งของใด ๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการจากบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นได้ตามความจำเป็นในกรณีเช่นนี้ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวต้องให้ความสะดวกตามสมควร ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าไปในสถานที่ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าการ หรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง เว้นแต่กรณีที่ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายจะเห็นว่าเป็นการเร่งด่วน [คำว่า “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” และ “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๘ พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรมีอำนาจตรวจค้นโรงงาน อาคาร ยานพาหนะ และบุคคล รวมตลอดถึงของใด ๆ ในเขตประกอบการเสรี [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๙ ถ้าพบผู้ใดกำลังกระทำความผิด หรือพยายามกระทำความผิดหรือใช้ หรือช่วย หรือยุยง ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายว่าด้วยศุลกากรในนิคมอุตสาหกรรม พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับผู้นั้นได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ แล้วนำส่งพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาพร้อมด้วยของกลางเพื่อดำเนินการต่อไป มาตรา ๖๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ หรือมาตรา ๕๙ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวงต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง มาตรา ๖๑ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด ๔ การควบคุม มาตรา ๖๒ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กนอ. เพื่อการนี้จะสั่งให้ กนอ. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของ กนอ. ได้ มาตรา ๖๓ ในกรณี กนอ. จะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีให้นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี มาตรา ๖๔ ในการดำเนินกิจการของ กนอ. ให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน มาตรา ๖๕ ให้ กนอ. เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของกระทรวงการคลัง มาตรา ๖๖ กนอ. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้ (๑) การลงทุนเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม (๒) การเพิ่มทุนโดยตีราคาทรัพย์สินใหม่ (๓) การลดทุน (๔) การกู้ยืมเงินเกินสิบล้านบาท (๕) การออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน (๖) การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินหนึ่งล้านบาท เว้นแต่เป็นการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรม (๗)[๔๐] (ยกเลิก) มาตรา ๖๗ ให้ กนอ. จัดทำงบประมาณประจำปีโดยแยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ สำหรับงบลงทุนให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ มาตรา ๖๘ ให้ กนอ. วางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ (๑) การรับและจ่ายเงิน (๒) สินทรัพย์และหนี้สิน ซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่สมควรโดยพิจารณาตามประเภทงานพร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ มาตรา ๖๙ ทุกปี ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรวมทั้งการเงินของ กนอ. มาตรา ๗๐ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีมีอำนาจสอบสรรพสมุดบัญชีและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของ กนอ. เพื่อการนี้ ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๗๑ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีต้องทำรายงานผลของการสอบบัญชีเสนอคณะรัฐมนตรี ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีและให้ กนอ. โฆษณารายงานประจำปีของปีที่สิ้นไปนั้น แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี หมวด ๕ บทกำหนดโทษ มาตรา ๗๑/๑[๔๑] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๙/๑ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท มาตรา ๗๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๔๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาทและปรับอีกวันละสองร้อยบาทตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะเลิกใช้ มาตรา ๗๓ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท และให้ศาลสั่งให้ผู้นั้นหยุดประกอบกิจการจนกว่าจะได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๔ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ของที่นำออกไปโดยฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ให้ริบเสียทั้งสิ้น มาตรา ๗๕ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา ๗๖ ผู้ใดไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากร ตามมาตรา ๕๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท บทเฉพาะกาล มาตรา ๗๗ ให้ผู้อำนวยการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๘ ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ประธานกรรมการและกรรมการดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยขึ้นใหม่ เมื่อได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามวรรคหนึ่งพ้นจากตำแหน่ง มาตรา ๗๙ บรรดานิคมอุตสาหกรรมทั่วไปที่ได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้ถือว่าเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไปตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๘๐ บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับและคำสั่ง ซึ่งออก หรือสั่งโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ และใช้บังคับอยู่ในวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษา ให้ใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นไปด้วยดียิ่งขึ้นและเหมาะสมกับสภาวะการณ์ในปัจจุบัน สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสียใหม่ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔[๔๒] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้แก้คำว่า “ภาษีการค้า” ในมาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ มาตรา ๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นคำว่า “ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต” หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้ยกเลิกภาษีการค้าและนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้ผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่เคยได้รับยกเว้นภาษีการค้า ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มแทน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙[๔๓] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติบางประการจึงไม่เหมาะสมกับสภาพของการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าของประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สมควรเพิ่มบทบาทในด้านการค้าและการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศให้ต่อเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อให้สามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบของวงจรเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในเขตพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมที่จะจัดตั้งขึ้นยังอาจมีพื้นที่ครอบคลุมที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินด้วย สมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการถอนสภาพและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเพื่อให้เกิดความคล่องตัว และเหมาะสมกับการดำเนินการนิคมอุตสาหกรรม และโดยที่การจัดการและการจัดสรรที่ดินในเขตนิคมอุตสาหกรรมมีขั้นตอนตามกฎหมายต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติหลายฉบับ อันทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องเพื่อลดขั้นตอนและเวลาในการดำเนินการให้น้อยลงเพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศสอดคล้องกับภาวะการแข่งขันและการลงทุนระหว่างประเทศ และโดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมให้ กนอ. มีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญได้ โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐[๔๔] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๑๓ ในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้แก้ไขคำว่า “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” เป็น “เขตประกอบการเสรี” คำว่า “การค้าเพื่อส่งออก” เป็น “พาณิชยกรรม” และคำว่า “ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก” เป็น “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” มาตรา ๑๔ บรรดาเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่ได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้ถือว่าเป็นเขตประกอบการเสรีตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๕ บทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีใดอ้างถึงเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้ถือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีนั้นอ้างถึงเขตประกอบการเสรี มาตรา ๑๖ บรรดาพระราชกฤษฎีกาหรือประกาศที่ออกตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไป มาตรา ๑๗ บรรดาใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ออกให้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นหนังสืออนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามมาตรา ๓๙/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๘ การดำเนินการเกี่ยวกับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๙ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติบางประการของพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกับพันธกรณีว่าด้วยความตกลงขององค์การการค้าโลกในเรื่องความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้ในส่วนที่เข้าข่ายเป็นการอุดหนุนต้องห้าม กำหนดให้มีการประกอบกิจการบริการในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปได้ กำหนดให้คณะกรรมการเป็นผู้ประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว และกำหนดให้การจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่ที่เป็นนิคมอุตสาหกรรมต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายนอกจากนี้ ได้กำหนดให้การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมประเภทเขตประกอบการเสรี รวมทั้งการนำของหรือวัตถุดิบเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ และได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรเช่นเดียวกับของที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๖๒[๔๕] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจหลายฉบับได้กำหนดให้ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจเป็นกรรมการและเลขานุการในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจโดยตำแหน่ง และกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ ในกรณีที่ตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจนั้นว่างลง หรือในกรณีที่ผู้บริหารนั้นไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยจำกัดอำนาจหน้าที่ของบุคคลที่ทำหน้าที่แทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจดังกล่าวมิให้มีอำนาจหน้าที่ในฐานะกรรมการ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อองค์ประกอบและการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว สมควรแก้ไขกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจให้ผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารในฐานะกรรมการในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒[๔๖] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๑๒ การโอนกรรมสิทธิ์บรรดาที่ดินที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้แก่ผู้ร่วมดำเนินงานในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรมหรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรมก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ตามมาตรา ๓๖/๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้ครอบคลุมกิจการที่จำเป็นหรือเป็นประโยชน์แก่การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กำหนดให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้มาจากการตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดให้การพิจารณาอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต ให้ความเห็นชอบ หรือรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามกฎหมายบางฉบับที่จำเป็นให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม และกำหนดให้การนำของหรือวัตถุดิบเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อพาณิชยกรรมได้รับความสะดวกมากขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ วิวรรธน์/เพิ่มเติม ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ วิชพงษ์/ตรวจ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๖/ตอนที่ ๔๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๐/๒๔ มีนาคม ๒๕๒๒ [๒] มาตรา ๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๓] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “นิคมอุตสาหกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๔] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๕] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๖] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๗] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๘] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๙] มาตรา ๖ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๑๐] มาตรา ๖ (๓/๑) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๑๑] มาตรา ๖ (๓/๒) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๑๒] มาตรา ๖ (๕) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๑๓] มาตรา ๖ (๗) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๑๔] มาตรา ๑๐ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๕] มาตรา ๑๐ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๖] มาตรา ๑๐ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๗] มาตรา ๑๐ (๔/๑) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๑๘] มาตรา ๒๓ (๑๔) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๙] มาตรา ๓๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๖๒ [๒๐] มาตรา ๓๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๑] มาตรา ๓๖/๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๒] มาตรา ๓๖/๑ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๒๓] มาตรา ๓๘ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๒๔] มาตรา ๓๙/๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๕] มาตรา ๔๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๒๖] มาตรา ๔๒/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๒๗] มาตรา ๔๒/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๒๘] มาตรา ๔๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๒๙] มาตรา ๔๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๓๐] มาตรา ๔๗ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๓๑] มาตรา ๔๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๓๒] มาตรา ๔๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๓๓] มาตรา ๔๙ วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ [๓๔] มาตรา ๕๐ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๓๕] มาตรา ๕๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๓๖] มาตรา ๕๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๓๗] มาตรา ๕๒/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๓๘] มาตรา ๕๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๓๙] มาตรา ๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๔๐] มาตรา ๖๖ (๗) ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๔๑] มาตรา ๗๑/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๔๒] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๒๐๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๒๒๕/๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ [๔๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๓/ตอนที่ ๕๔ ก/หน้า ๑๔/๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๙ [๔๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๔ ก/หน้า ๑/๘ มกราคม ๒๕๕๑ [๔๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๕๐ ก/หน้า ๒๙/๑๖ เมษายน ๒๕๖๒ [๔๖] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๕๐ ก/หน้า ๒๓๐/๑๖ เมษายน ๒๕๖๒
831822
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 (ฉบับ Update ณ วันที่ 16/04/2562)
พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน มาตรา ๔[๒] ในพระราชบัญญัตินี้ “นิคมอุตสาหกรรม”[๓] หมายความว่า เขตอุตสาหกรรมทั่วไปหรือเขตประกอบการเสรี “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป”[๔] หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม การบริการ หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการ “เขตประกอบการเสรี”[๕] หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ การรักษาความมั่นคงของรัฐ สวัสดิภาพของประชาชน การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม หรือความจำเป็นอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด โดยของที่นำเข้าไปในเขตดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี อากร และค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นตามที่กฎหมายบัญญัติ “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม”[๖] หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการในนิคมอุตสาหกรรม “พาณิชยกรรม”[๗] หมายความว่า การค้าหรือการบริการในเขตประกอบการเสรี “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม”[๘] หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบการค้าหรือการบริการในเขตประกอบการเสรี “ผลิต” หมายความรวมถึงทำ สร้าง ผสม ประกอบ หรือบรรจุด้วย “ภาษีสรรพสามิต” หมายความว่า ภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งผู้ว่าการ “ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๖ ให้จัดตั้งการนิคมอุตสาหกรรมขึ้น เรียกว่า “การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” เรียกโดยย่อว่า “กนอ.” และให้เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ (๑) การจัดให้ได้มาซึ่งที่ดินที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมหรือเพื่อดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์ หรือเกี่ยวเนื่องกับ กนอ. (๒)[๙] การปรับปรุงที่ดินตาม (๑) เพื่อให้บริการ ตลอดจนจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรม และผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม เช่น การจัดให้มีถนน ท่อระบายน้ำ โรงบำบัดน้ำเสีย ไฟฟ้า ประปา และโทรคมนาคม เป็นต้น (๓) การให้เช่า ให้เช่าซื้อ และขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรมหรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของนิคมอุตสาหกรรมโดยตรง (๔) การดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๕) การร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นตามวัตถุประสงค์ใน (๑) (๒) หรือ (๓) รวมทั้งการเข้าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือถือหุ้นในนิติบุคคลใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๖) การส่งเสริมและควบคุมนิคมอุตสาหกรรมของเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐ [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๗ ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้แก่ กนอ. ทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งเมื่อได้หักหนี้ออกแล้วให้ถือเป็นทุนของ กนอ. มาตรา ๘ ทุนของ กนอ. ประกอบด้วย (๑) ทรัพย์สินที่ได้รับโอนตามมาตรา ๗ (๒) เงินที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน (๓) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากรัฐบาลหรือบุคคลอื่น (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับความช่วยเหลือจากแหล่งในประเทศหรือต่างประเทศ หรือจากองค์การระหว่างประเทศ มาตรา ๙ ให้ กนอ. ตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใกล้เคียง และจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมด้วยก็ได้ มาตรา ๑๐ ให้ กนอ. มีอำนาจกระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๖ อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑)[๑๐] การสำรวจ วางแผน ออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม และผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี (๒)[๑๑] การกำหนดประเภทและขนาดของกิจการอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมหรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด (๓) การตรวจตราความเป็นอยู่ของคนงานในนิคมอุตสาหกรรม (๔)[๑๒] การควบคุมการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม ผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม และผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายรวมทั้งการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขหรือที่กระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม (๕) การลงทุน (๖) การกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในกิจการของ กนอ. (๗) การออกพันธบัตร หรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” และ “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๑๑ ให้ กนอ. มีอำนาจตรวจสอบและรับรองชนิดและปริมาณของวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ หรือชนิดและจำนวนของเครื่องจักรสำหรับกรณีที่จำเป็นจะต้องออกใบรับรองหรือในกรณีที่นำเข้ามาในหรือนำออกไปจากนิคมอุตสาหกรรมซึ่งของดังกล่าว ทั้งนี้ โดยเรียกเก็บค่าบริการตามที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๑๒ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมในอัตราอันสมควรเพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับการดังต่อไปนี้ (๑) การใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นในการดำเนินกิจการของ กนอ. รวมทั้งดอกเบี้ยค่าเสื่อมราคา โบนัส และกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานและครอบครัว (๒) การชำระหนี้สินเท่าที่จำนวนเงินเพื่อการชำระนั้นเกินจำนวนที่จัดสรรไว้ เป็นค่าเสื่อมราคาและสำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการจัดหาทรัพย์สินใหม่แทนทรัพย์สินเดิม (๓) การจัดให้มีเงินสำรองและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการขยายกิจการและลงทุน มาตรา ๑๓ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าซื้อ และราคาขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ตามที่เห็นสมควร มาตรา ๑๔ เมื่อได้ประกาศเขตพื้นที่ใดเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ แล้ว ให้ กนอ. มีอำนาจกำหนดราคาขาย ค่าเช่า และค่าเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมนั้น ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมในด้านธุรกิจ มาตรา ๑๕ รายได้ที่ กนอ. ได้รับจากการดำเนินกิจการในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ กนอ. และเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับการดำเนินกิจการ และค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษาและค่าเสื่อมราคา ตลอดจนหักเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ ประโยชน์ตอบแทนและโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ หรือเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา ๓๔ และเงินลงทุนตามมาตรา ๖๖ แล้วเหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่งซึ่งมิใช่เป็นรายจ่ายที่หักเป็นเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ และโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ และ กนอ. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ กนอ. เท่าจำนวนที่ขาด มาตรา ๑๖ เงินสำรองของ กนอ. ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่นเพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการจะเห็นสมควร เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มาตรา ๑๗ ทรัพย์สินของ กนอ. ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ส่วนที่ ๒ คณะกรรมการและผู้ว่าการ มาตรา ๑๘ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบคน รวมทั้งผู้ว่าการซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นซึ่งมิใช่กรรมการโดยตำแหน่ง มาตรา ๑๙ ผู้ซึ่งจะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้ว่าการต้องมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับบริหารธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์สถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมือง เศรษฐศาสตร์ การพาณิชย์ การคลัง หรือกฎหมาย มาตรา ๒๐ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) และ (๒) และไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม (๓) (๔) (๕) (๖) และ (๗) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๔) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๕) เป็นข้าราชการการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในทางการเมือง (๖) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๗) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพอย่างเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๑ ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้ประธานกรรมการ และกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไปจนกว่าคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ มาตรา ๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๒๑ ประธานกรรมการ หรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก (๔) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๕) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อมให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วนั้น มาตรา ๒๓ ให้คณะกรรมการมีอำนาจวางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กนอ. อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ (๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ (๓) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจัดแบ่งส่วนงาน วิธีปฏิบัติงาน และการเงินของ กนอ. (๔) การออกระเบียบหรือข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างของพนักงานและลูกจ้าง (๕) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง การออกจากตำแหน่ง วินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง (๖) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจ่ายค่าพาหนะและเบี้ยเลี้ยงเดินทางค่าเช่าที่พัก ค่าล่วงเวลา และการจ่ายเงินอื่น ๆ (๗) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง (๘) การออกระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง (๙) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบัตรประจำตัวหรือเครื่องแต่งกายของบุคคลซึ่งปฏิบัติงานภายในเขตประกอบการเสรี (๑๐) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบุคคลซึ่งเข้าไปหรืออยู่ในเขตประกอบการเสรี (๑๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัวด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (๑๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของ กนอ. (๑๓) การกำหนดราคาขาย อัตราค่าเช่า ค่าเช่าซื้อและระยะเวลาการเช่าและเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกและอัตราค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรม (๑๔)[๑๓] ปฏิบัติการอื่นใดตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ระเบียบหรือข้อบังคับตาม (๓) ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจของผู้ว่าการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด ให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๒๔ เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ กนอ. ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ กนอ. และกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการได้ มาตรา ๒๕ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้ว่าการและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๖ ผู้ว่าการต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) (๒) และ (๓) และไม่มีลักษณะต้องห้าม ตาม (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ (๓) สามารถทำงานให้แก่ กนอ. ได้เต็มเวลา (๔) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๕) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๖) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ รวมทั้งข้าราชการการเมืองลูกจ้างของกระทรวงทบวงกรมหรือทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่า หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น (๗) ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง รวมทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น (๘) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๙) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม เว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๗ ผู้ว่าการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๖ (๕) คณะกรรมการให้ออกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมดโดยไม่นับรวมผู้ว่าการ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย มาตรา ๒๘ ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ กนอ. ให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ และนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด และมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้าง ในการบริหารกิจการ ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการ มาตรา ๒๙ ผู้ว่าการมีอำนาจ (๑) กำหนดระเบียบและวิธีปฏิบัติงาน ในการทำงานของพนักงานหรือลูกจ้าง (๒) ออกระเบียบในการบริหารกิจการของ กนอ. ทั้งนี้ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ (๓) บรรจุ แต่งตั้งและถอดถอน เลื่อน ลด และตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ตลอดจนลงโทษทางวินัยแก่พนักงานและลูกจ้าง ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๐ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้ว่าการเป็นตัวแทน กนอ. เพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดกระทำกิจการเฉพาะอย่างแทนก็ได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ย่อมไม่ผูกพัน กนอ. เว้นแต่คณะกรรมการจะได้ให้สัตยาบัน มาตรา ๓๑[๑๔] เมื่อผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้หรือเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการว่างลง ให้คณะกรรมการแต่งตั้งกรรมการหรือพนักงานเป็นผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ แล้วแต่กรณี และให้นำมาตรา ๒๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการ มาตรา ๓๒ ประธานกรรมการและกรรมการ ย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนและอาจได้รับโบนัส ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ส่วนที่ ๓ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๓๓ ให้พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิอุทธรณ์เกี่ยวกับการลงโทษหรือร้องทุกข์ได้ตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๔ ให้ กนอ. จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัว ในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสบอุบัติเหตุเจ็บป่วย ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์ มาตรา ๓๕ พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับโบนัสตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หมวด ๒ นิคมอุตสาหกรรม ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๓๖[๑๕] นิคมอุตสาหกรรมมีสองประเภท คือ (๑) เขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๒) เขตประกอบการเสรี การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบนิคมอุตสาหกรรม ให้คณะกรรมการประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายประกาศด้วย มาตรา ๓๖/๑[๑๖] ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณ ที่ กนอ. ประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกานั้น และเมื่อได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในเขตดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ กนอ. เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (๑) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในกรณีที่พลเมืองเลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้น หรือได้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว หรือในกรณีที่พลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่หรือยังไม่เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดโดยรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย และ กนอ. ได้จัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน (๒) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือที่ดินที่ได้สงวนหรือหวงห้ามไว้ตามความต้องการของทางราชการ เมื่อกระทรวงการคลังได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงการคลังกำหนดแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ (๓) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดินเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว มาตรา ๓๗ นิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๓๘ เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในการนี้ จะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่คิดว่าจะเวนคืนไว้ก่อนก็ได้ และให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยการเวนคืนตามวรรคหนึ่งให้ตกเป็นของ กนอ. และให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการโอนไปยังผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี ได้[๑๗] [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” และ “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๓๙ เขตพื้นที่ใดที่บุคคลใดได้จัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม ถ้าได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๓๗ แล้ว คณะกรรมการด้วยความยินยอมของเจ้าของที่ดินอาจดำเนินการให้พื้นที่นั้นเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ได้ มาตรา ๓๙/๑[๑๘] ผู้ใดจะจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การขออนุญาตและการอนุญาต รวมทั้งการจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๐ ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อที่มีอักษรไทยประกอบหรืออักษรต่างประเทศซึ่งแปลหรืออ่านว่า “นิคมอุตสาหกรรม” “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” หรือ “เขตประกอบการเสรี” ในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจโดยมิได้เป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] ส่วนที่ ๒ การประกอบกิจการ ประโยชน์ และข้อห้าม มาตรา ๔๑ ผู้ใดจะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การขออนุญาตและการอนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๒ บรรดาการปลูกสร้างอาคาร การตั้งโรงงาน และการประกอบกิจการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการก่อสร้างอาคาร และกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง แต่การอนุญาตซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย มาตรา ๔๓ ในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา ๔๒ หรือในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารผิดแผกจากแผนผังแบบก่อสร้างหรือรายการที่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในใบอนุญาต ให้ กนอ. มีอำนาจสั่งระงับการก่อสร้าง แก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสมควร โดยแจ้งระยะเวลาให้ผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารทราบ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งแล้ว และผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ กนอ. ให้ กนอ. มีอำนาจจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารนั้นได้โดยคิดค่าใช้จ่ายจากผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารนั้น มาตรา ๔๔[๑๙] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรมอาจได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหรือในเขตประกอบการเสรี แล้วแต่กรณี เพื่อประกอบกิจการได้ตามจำนวนเนื้อที่ที่คณะกรรมการเห็นสมควรแม้ว่าจะเกินกำหนดที่จะพึงมีได้ตามกฎหมายอื่น ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรม ซึ่งเป็นคนต่างด้าวเลิกกิจการหรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรมต้องจำหน่ายที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์และส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือผู้รับโอนกิจการ แล้วแต่กรณี ภายในเวลาสามปีนับแต่วันที่เลิกหรือโอนกิจการ มิฉะนั้นให้อธิบดีกรมที่ดินจำหน่ายที่ดินและส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือบุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดิน [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” และ “เขตประกอบการเสรี”แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๔๕[๒๐] ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรมได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวซึ่งเป็น (๑) ช่างฝีมือ (๒) ผู้ชำนาญการ (๓) คู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของบุคคลใน (๑) หรือ (๒) เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและภายในกำหนดระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร แม้ว่าจะเกินกำหนดจำนวนหรือระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๔๖ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา ๔๕ ได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะตำแหน่งหน้าที่การทำงานที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ ตลอดระยะเวลาเท่าที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร มาตรา ๔๗ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรมซึ่งมีภูมิลำเนานอกราชอาณาจักรจะได้รับอนุญาตให้นำหรือส่งเงินออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเงินตราต่างประเทศได้ เมื่อเงินนั้นเป็น (๑) เงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและเงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นที่เกิดจากเงินทุนนั้น (๒) เงินกู้ต่างประเทศที่นำมาลงทุนในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรมตามสัญญาที่ กนอ. ให้ความเห็นชอบ รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินกู้ต่างประเทศนั้น (๓) เงินที่มีข้อผูกพันกับต่างประเทศตามสัญญาเกี่ยวกับการใช้สิทธิและบริการต่าง ๆ ในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรมและสัญญานั้นได้รับความเห็นชอบจาก กนอ.[๒๑] ในกรณีที่ระยะเวลาใดดุลการชำระเงินต้องประสบความยุ่งยากจำเป็นต้องสงวนเงินตราต่างประเทศให้มีสำรองไว้ตามสมควร ธนาคารแห่งประเทศไทยจะจำกัดการนำหรือส่งเงินนั้นออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อผลดังกล่าวนั้นก็ได้ แต่จะไม่จำกัดการส่งเงินทุนที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักรต่ำกว่าร้อยละยี่สิบต่อปีของยอดเงินทุนดังกล่าวที่เหลืออยู่ในวันที่ ๓๑ ธันวาคมของปี ถ้าการส่งเงินนั้นกระทำภายหลังที่นำเข้ามาแล้วเป็นเวลาสองปี และจะไม่จำกัดการส่งเงินปันผลต่ำกว่าร้อยละสิบห้าต่อปีของเงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร และเหลืออยู่ในขณะที่ขอส่งเงินปันผลออก [คำว่า “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๔๘[๒๒] ให้ของที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรเช่นเดียวกับของที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร และให้รวมถึงสิทธิประโยชน์ในกรณีดังต่อไปนี้ด้วย (๑) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรี ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต สำหรับของที่เป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของสิ่งดังกล่าวที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี และของที่ใช้ในการสร้าง ประกอบ หรือติดตั้งเป็นโรงงานหรืออาคารในเขตประกอบการเสรี ทั้งนี้ เท่าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามที่คณะกรรมการอนุมัติ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด (๒) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อพาณิชยกรรม ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนอากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ผู้ว่าการกำหนด (๓) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตาม (๒) รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรี หากส่งออกไปนอกราชอาณาจักรให้ได้รับยกเว้นอากรขาออก ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ของที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงของที่นำออกจากเขตประกอบการเสรีแห่งหนึ่งไปยังเขตประกอบการเสรีอีกแห่งหนึ่งด้วย มาตรา ๔๙[๒๓] ในกรณีการนำของเข้ามาในราชอาณาจักรหรือนำวัตถุดิบภายในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการอื่นใดกับของนั้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ของนั้นได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายในบังคับของกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ซึ่งของดังกล่าว หรือเกี่ยวกับการควบคุมมาตรฐานหรือคุณภาพ การประทับตราหรือเครื่องหมายใด ๆ แก่ของนั้น แต่ไม่รวมถึงกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ในกรณีที่ของตามวรรคหนึ่งเป็นของที่ก่อให้เกิดหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน สุขภาพอนามัยของประชาชนหรือสิ่งแวดล้อม หรือเป็นของซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีตามข้อผูกพันตามสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของของดังกล่าวมิให้ได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่งได้ ทั้งนี้ จะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใด ๆ เกี่ยวกับของนั้นไว้ด้วยก็ได้ มาตรา ๕๐[๒๔] (ยกเลิก) มาตรา ๕๑[๒๕] ของใดที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรเมื่อได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แม้มิได้ส่งออกแต่ได้นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้ตามมาตรา ๔๘ (๑) หรือ (๒) ให้ของนั้นได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรโดยถือเสมือนว่าได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในวันที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรี มาตรา ๕๒[๒๖] ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามมาตรา ๔๘ หรือมาตรา ๔๙ และของตามมาตรา ๕๑ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้และสิ่งอื่น ที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรี หากนำออกจากเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักรจะต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต ตามสภาพ ราคาและอัตราภาษีอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี รวมทั้งจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ซึ่งของดังกล่าว หรือเกี่ยวกับการควบคุมมาตรฐานหรือคุณภาพ การประทับตรา หรือเครื่องหมายใด ๆ แก่ของนั้น นับแต่วันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี แล้วแต่กรณี โดยถือเสมือนว่าได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี มาตรา ๕๒/๑[๒๗] ในกรณีของ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรีที่นำออกจากเขตประกอบการเสรีเป็นของที่ต้องเสียภาษีอากรในการคำนวณค่าภาษีอากร หากมีกรณีที่นำวัตถุดิบภายในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อผลิต ผสมประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการอื่นใดกับของนั้นโดยที่วัตถุดิบที่นำเข้าไปนั้นไม่มีสิทธิได้รับการคืนหรือยกเว้นอากร ไม่ต้องนำราคาวัตถุดิบดังกล่าวมาคำนวณค่าภาษีอากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด มาตรา ๕๓ การนำของเข้ามาในหรือนำออกไปจากเขตประกอบการเสรี การเก็บรักษา และการควบคุมการขนย้าย ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการนำของเข้า การส่งของออก และการเก็บของในคลังสินค้า ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม กับทั้งต้องปฏิบัติตามระเบียบและพิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด และให้นำบทลงโทษตามกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับด้วย [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๔[๒๘] ของที่ไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ซึ่งอยู่ในเขตประกอบการเสรี ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรมขออนุญาตเป็นหนังสือต่อ กนอ. เพื่อทำลาย หรือในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรสั่งให้ทำลายของดังกล่าว ให้ กนอ. แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี หรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และอธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายทราบ และให้อธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายสั่งดำเนินการทำลายของนั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด ในกรณีที่ กนอ. ไม่อาจแจ้งให้บุคคลตามวรรคหนึ่งทราบได้ เมื่อ กนอ. ได้ปิดประกาศไว้ ณ สำนักงานของบุคคลดังกล่าวที่อยู่ในเขตประกอบการเสรีเป็นเวลาเจ็ดวันให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งแล้ว ของที่ได้ถูกทำลายตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในวรรคหนึ่งให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” และ “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๕ ห้ามมิให้ผู้ใดนำของในเขตประกอบการเสรี ออกไปจากเขตประกอบการเสรี เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและแบบที่คณะกรรมการกำหนด [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๖ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหรืออยู่ในเขตประกอบการเสรี เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายและต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับของ กนอ. การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่คณะกรรมการกำหนด [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] หมวด ๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา ๕๗[๒๙] พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม หรือของผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์ หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี ในนิคมอุตสาหกรรมในระหว่างเวลาทำการเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงหรือเพื่อตรวจสอบเอกสารหรือสิ่งของใด ๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการจากบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นได้ตามความจำเป็นในกรณีเช่นนี้ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวต้องให้ความสะดวกตามสมควร ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าไปในสถานที่ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าการ หรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง เว้นแต่กรณีที่ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายจะเห็นว่าเป็นการเร่งด่วน [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” และ “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๘ พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรมีอำนาจตรวจค้นโรงงาน อาคาร ยานพาหนะ และบุคคล รวมตลอดถึงของใด ๆ ในเขตประกอบการเสรี [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๙ ถ้าพบผู้ใดกำลังกระทำความผิด หรือพยายามกระทำความผิดหรือใช้ หรือช่วย หรือยุยง ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายว่าด้วยศุลกากรในนิคมอุตสาหกรรม พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับผู้นั้นได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ แล้วนำส่งพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาพร้อมด้วยของกลางเพื่อดำเนินการต่อไป มาตรา ๖๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ หรือมาตรา ๕๙ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวงต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง มาตรา ๖๑ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด ๔ การควบคุม มาตรา ๖๒ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กนอ. เพื่อการนี้จะสั่งให้ กนอ. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของ กนอ. ได้ มาตรา ๖๓ ในกรณี กนอ. จะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีให้นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี มาตรา ๖๔ ในการดำเนินกิจการของ กนอ. ให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน มาตรา ๖๕ ให้ กนอ. เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของกระทรวงการคลัง มาตรา ๖๖ กนอ. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้ (๑) การลงทุนเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม (๒) การเพิ่มทุนโดยตีราคาทรัพย์สินใหม่ (๓) การลดทุน (๔) การกู้ยืมเงินเกินสิบล้านบาท (๕) การออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน (๖) การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินหนึ่งล้านบาท เว้นแต่เป็นการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรม (๗)[๓๐] (ยกเลิก) มาตรา ๖๗ ให้ กนอ. จัดทำงบประมาณประจำปีโดยแยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ สำหรับงบลงทุนให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ มาตรา ๖๘ ให้ กนอ. วางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ (๑) การรับและจ่ายเงิน (๒) สินทรัพย์และหนี้สิน ซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่สมควรโดยพิจารณาตามประเภทงานพร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ มาตรา ๖๙ ทุกปี ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรวมทั้งการเงินของ กนอ. มาตรา ๗๐ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีมีอำนาจสอบสรรพสมุดบัญชีและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของ กนอ. เพื่อการนี้ ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๗๑ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีต้องทำรายงานผลของการสอบบัญชีเสนอคณะรัฐมนตรี ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีและให้ กนอ. โฆษณารายงานประจำปีของปีที่สิ้นไปนั้น แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี หมวด ๕ บทกำหนดโทษ มาตรา ๗๑/๑[๓๑] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๙/๑ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท มาตรา ๗๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๔๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาทและปรับอีกวันละสองร้อยบาทตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะเลิกใช้ มาตรา ๗๓ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท และให้ศาลสั่งให้ผู้นั้นหยุดประกอบกิจการจนกว่าจะได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๔ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ของที่นำออกไปโดยฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ให้ริบเสียทั้งสิ้น มาตรา ๗๕ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา ๗๖ ผู้ใดไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากร ตามมาตรา ๕๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท บทเฉพาะกาล มาตรา ๗๗ ให้ผู้อำนวยการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๘ ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ประธานกรรมการและกรรมการดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยขึ้นใหม่ เมื่อได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามวรรคหนึ่งพ้นจากตำแหน่ง มาตรา ๗๙ บรรดานิคมอุตสาหกรรมทั่วไปที่ได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้ถือว่าเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไปตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๘๐ บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับและคำสั่ง ซึ่งออก หรือสั่งโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ และใช้บังคับอยู่ในวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษา ให้ใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นไปด้วยดียิ่งขึ้นและเหมาะสมกับสภาวะการณ์ในปัจจุบัน สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสียใหม่ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔[๓๒] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้แก้คำว่า “ภาษีการค้า” ในมาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ มาตรา ๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นคำว่า “ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต” หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้ยกเลิกภาษีการค้าและนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้ผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่เคยได้รับยกเว้นภาษีการค้า ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มแทน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙[๓๓] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติบางประการจึงไม่เหมาะสมกับสภาพของการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าของประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สมควรเพิ่มบทบาทในด้านการค้าและการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศให้ต่อเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อให้สามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบของวงจรเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในเขตพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมที่จะจัดตั้งขึ้นยังอาจมีพื้นที่ครอบคลุมที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินด้วย สมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการถอนสภาพและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเพื่อให้เกิดความคล่องตัว และเหมาะสมกับการดำเนินการนิคมอุตสาหกรรม และโดยที่การจัดการและการจัดสรรที่ดินในเขตนิคมอุตสาหกรรมมีขั้นตอนตามกฎหมายต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติหลายฉบับ อันทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องเพื่อลดขั้นตอนและเวลาในการดำเนินการให้น้อยลงเพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศสอดคล้องกับภาวะการแข่งขันและการลงทุนระหว่างประเทศ และโดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมให้ กนอ. มีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญได้ โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐[๓๔] มาตรา ๑๓ ในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้แก้ไขคำว่า “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” เป็น “เขตประกอบการเสรี” คำว่า “การค้าเพื่อส่งออก” เป็น “พาณิชยกรรม” และคำว่า “ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก” เป็น “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” มาตรา ๑๔ บรรดาเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่ได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้ถือว่าเป็นเขตประกอบการเสรีตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๕ บทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีใดอ้างถึงเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้ถือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีนั้นอ้างถึงเขตประกอบการเสรี มาตรา ๑๖ บรรดาพระราชกฤษฎีกาหรือประกาศที่ออกตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไป มาตรา ๑๗ บรรดาใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ออกให้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นหนังสืออนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามมาตรา ๓๙/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๘ การดำเนินการเกี่ยวกับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๙ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติบางประการของพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกับพันธกรณีว่าด้วยความตกลงขององค์การการค้าโลกในเรื่องความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้ในส่วนที่เข้าข่ายเป็นการอุดหนุนต้องห้าม กำหนดให้มีการประกอบกิจการบริการในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปได้ กำหนดให้คณะกรรมการเป็นผู้ประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว และกำหนดให้การจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่ที่เป็นนิคมอุตสาหกรรมต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายนอกจากนี้ ได้กำหนดให้การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมประเภทเขตประกอบการเสรี รวมทั้งการนำของหรือวัตถุดิบเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ และได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรเช่นเดียวกับของที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๖๒[๓๕] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจหลายฉบับได้กำหนดให้ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจเป็นกรรมการและเลขานุการในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจโดยตำแหน่ง และกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ ในกรณีที่ตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจนั้นว่างลง หรือในกรณีที่ผู้บริหารนั้นไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยจำกัดอำนาจหน้าที่ของบุคคลที่ทำหน้าที่แทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจดังกล่าวมิให้มีอำนาจหน้าที่ในฐานะกรรมการ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อองค์ประกอบและการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว สมควรแก้ไขกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจให้ผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารในฐานะกรรมการในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ นุสรา/ปรับปรุง ๒๐ เมษายน ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๖/ตอนที่ ๔๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๐/๒๔ มีนาคม ๒๕๒๒ [๒] มาตรา ๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๓] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “นิคมอุตสาหกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๔] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๕] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๖] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๗] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๘] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๙] มาตรา ๖ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๐] มาตรา ๑๐ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๑] มาตรา ๑๐ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๒] มาตรา ๑๐ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๓] มาตรา ๒๓ (๑๔) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๔] มาตรา ๓๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๖๒ [๑๕] มาตรา ๓๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๖] มาตรา ๓๖/๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๗] มาตรา ๓๘ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๘] มาตรา ๓๙/๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๙] มาตรา ๔๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๒๐] มาตรา ๔๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๒๑] มาตรา ๔๗ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๒๒] มาตรา ๔๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๓] มาตรา ๔๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๔] มาตรา ๕๐ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๕] มาตรา ๕๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๖] มาตรา ๕๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๗] มาตรา ๕๒/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๘] มาตรา ๕๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๒๙] มาตรา ๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๓๐] มาตรา ๖๖ (๗) ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๓๑] มาตรา ๗๑/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๓๒] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๒๐๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๒๒๕/๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ [๓๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๓/ตอนที่ ๕๔ ก/หน้า ๑๔/๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๙ [๓๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๔ ก/หน้า ๑/๘ มกราคม ๒๕๕๑ [๓๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๕๐ ก/หน้า ๒๙/๑๖ เมษายน ๒๕๖๒
831425
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทนหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562
พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ของผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๖๒ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๖๒” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตราแห่งพระราชบัญญัติจำนวนเก้าฉบับ ดังต่อไปนี้ และให้ใช้ความตามที่ปรากฏในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้แทนตามลำดับ (๑) มาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๐๑ (๒) มาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒ (๓) มาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ (๔) มาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗ (๕) มาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ (๖) มาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ (๗) มาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ (๘) มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ (๙) มาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บัญชีท้ายพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑. พระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. ๒๕๐๑ “มาตรา ๓๒ เมื่อผู้ว่าการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนหนึ่งขึ้นเป็นผู้ทำการแทนผู้ว่าการชั่วคราว และให้นำมาตรา ๒๘ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ผู้ทำการแทนผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการ” ๒. พระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ “มาตรา ๓๒ เมื่อผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการว่างลงและยังมิได้แต่งตั้งผู้ว่าการ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทนผู้ว่าการ และให้นำมาตรา ๒๘ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ผู้รักษาการแทนผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ว่าการ” ๓. พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ “มาตรา ๒๔ เมื่อผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการว่างลงในระหว่างที่ยังมิได้แต่งตั้งผู้ว่าการ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนหนึ่งเป็นผู้ทำการแทนผู้ว่าการ หรือรักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ แล้วแต่กรณี และให้นำมาตรา ๒๐ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการ” ๔. พระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗ “มาตรา ๒๐ เมื่อผู้อำนวยการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือเมื่อตำแหน่งผู้อำนวยการว่างลงและยังมิได้แต่งตั้งผู้อำนวยการ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนหนึ่งเป็นผู้ทำการแทนผู้อำนวยการ หรือรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ แล้วแต่กรณี และให้นำมาตรา ๑๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ผู้ทำการแทนผู้อำนวยการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้อำนวยการ” ๕. พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “มาตรา ๓๑ เมื่อผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้หรือเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการว่างลง ให้คณะกรรมการแต่งตั้งกรรมการหรือพนักงานเป็นผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ แล้วแต่กรณี และให้นำมาตรา ๒๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการ” ๖. พระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “มาตรา ๒๙ ให้รองผู้ว่าการมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างทุกตำแหน่งรองจากผู้ว่าการ และมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกิจการของ ททท. ตามที่ผู้ว่าการมอบหมาย ในกรณีที่ผู้ว่าการไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองผู้ว่าการเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน หากมีรองผู้ว่าการมากว่าหนึ่งคน ให้ผู้ว่าการกำหนดผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนตามลำดับไว้ล่วงหน้า ในกรณีที่ตำแหน่งผู้ว่าการว่างลง ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งรองผู้ว่าการผู้หนึ่งเป็นผู้รักษาการแทนผู้ว่าการ ในกรณีที่ผู้ว่าการและรองผู้ว่าการไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือตำแหน่งผู้ว่าการและรองผู้ว่าการว่างลง ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการหรือพนักงาน ททท. ผู้หนึ่งเป็นผู้รักษาการแทนผู้ว่าการ ในการปฏิบัติหน้าที่ของรองผู้ว่าการตามวรรคสอง หรือผู้รักษาการแทนผู้ว่าการตามวรรคสาม ให้รองผู้ว่าการหรือผู้รักษาการแทนผู้ว่าการมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ว่าการ” ๗. พระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ “มาตรา ๒๗ ในกรณีที่ผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้หรือตำแหน่งผู้ว่าการว่างลง ให้รองผู้ว่าการผู้มีอาวุโสสูงสุดตามลำดับเป็นผู้รักษาการแทน ถ้าไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แต่งตั้งกรรมการคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทน ให้ผู้รักษาการแทนมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการ” ๘. พระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ “มาตรา ๒๘ ในกรณีที่ผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้หรือตำแหน่งผู้ว่าการว่างลง ให้รองผู้ว่าการผู้มีอาวุโสสูงสุดตามลำดับเป็นผู้ทำการแทนหรือรักษาการในตำแหน่ง ถ้าไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนหนึ่งเป็นผู้ทำการแทนหรือรักษาการในตำแหน่ง ให้ผู้ทำการแทนหรือรักษาการในตำแหน่งมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการ” ๙. พระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ “มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการว่างลงและยังมิได้แต่งตั้งผู้ว่าการ ให้รองผู้ว่าการรักษาการแทนผู้ว่าการ ถ้าไม่มีรองผู้ว่าการหรือรองผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทนผู้ว่าการ ในการปฏิบัติหน้าที่ของรองผู้ว่าการหรือผู้รักษาการแทนผู้ว่าการตามวรรคหนึ่ง ให้รองผู้ว่าการหรือผู้รักษาการแทนผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ว่าการ” หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจหลายฉบับได้กำหนดให้ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจเป็นกรรมการและเลขานุการในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจโดยตำแหน่ง และกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ ในกรณีที่ตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจนั้นว่างลง หรือในกรณีที่ผู้บริหารนั้นไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยจำกัดอำนาจหน้าที่ของบุคคลที่ทำหน้าที่แทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจดังกล่าวมิให้มีอำนาจหน้าที่ในฐานะกรรมการ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อองค์ประกอบและการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว สมควรแก้ไขกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจให้ผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารในฐานะกรรมการในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปุณิกา/ภรัณภรณ์/จัดทำ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๒ นุสรา/ตรวจ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๕๐ ก/หน้า ๒๙/๑๖ เมษายน ๒๕๖๒
831187
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2562
พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อให้การควบคุมดูแลการดำเนินการในนิคมอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งการตราพระราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความใน (๒) ของมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(๒) การปรับปรุงที่ดินตาม (๑) รวมทั้งจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นในการดำเนินงานและการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพเพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม และผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม รวมตลอดทั้งการจัดให้มีและบริหารจัดการกิจการอันเป็นสาธารณูปโภค ที่พักอาศัย การขนส่งทางบกและทางน้ำ ท่าเรือ การสื่อสารโทรคมนาคม หรือกิจการอื่นใด ทั้งนี้ ที่จำเป็นหรือเป็นประโยชน์แก่กิจการของนิคมอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการหรือผู้อยู่อาศัยในนิคมอุตสาหกรรม” มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๓/๑) และ (๓/๒) ของมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “(๓/๑) การดำเนินกิจการท่าเรือ (๓/๒) การจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ.” มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความใน (๕) ของมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(๕) การร่วมดำเนินงานหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ใน (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) รวมถึงเข้าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือถือหุ้นในนิติบุคคลใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หรือมีการดำเนินการที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. ทั้งในประเทศและต่างประเทศ” มาตรา ๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๗) ของมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “(๗) การพัฒนาชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงหรือการมีส่วนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะแก่ชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง” มาตรา ๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๔/๑) ของมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “(๔/๑) การกำกับหรือจัดให้มีระบบป้องกันอุบัติภัย ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อม รวมตลอดถึงการควบคุมและจัดการน้ำเสีย การจัดการขยะมูลฝอย และการจัดการมลภาวะอื่นใดในนิคมอุตสาหกรรม” มาตรา ๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ “เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของ กนอ. ให้ กนอ. มีอำนาจโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้มาตาม (๑) ให้แก่ผู้ร่วมดำเนินงานในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี ได้” มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๔๒ การดำเนินการหรือการกระทำใดของผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายดังต่อไปนี้ หากกฎหมายกำหนดให้ผู้ดำเนินการหรือผู้กระทำต้องได้รับอนุมัติ อนุญาต ใบอนุญาต หรือความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นหรือต้องจดทะเบียนหรือแจ้งต่อหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นก่อน ให้ถือว่าผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต หรือให้ความเห็นชอบ หรือเป็นผู้มีอำนาจในการรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามกฎหมายนั้นด้วย (๑) กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน (๒) กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร (๓) กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข (๔) กฎหมายว่าด้วยโรงงาน เมื่อได้รับอนุมัติ อนุญาต ใบอนุญาต หรือความเห็นชอบจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ถือว่าผู้ดำเนินการหรือผู้กระทำการนั้นได้รับอนุมัติ อนุญาต ใบอนุญาต หรือความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นแล้ว หรือได้จดทะเบียนหรือแจ้งต่อหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นแล้ว และให้ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวด้วย ในการอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต ให้ความเห็นชอบ หรือรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามวรรคสอง ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามกฎหมายนั้น และเมื่อดำเนินการแล้ว ให้แจ้งหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย เพื่อประโยชน์แห่งการนี้หน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องจะกำหนดให้แจ้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้” มาตรา ๑๐ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๔๒/๑ และมาตรา ๔๒/๒ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “มาตรา ๔๒/๑ การดำเนินการหรือการกระทำใดภายในนิคมอุตสาหกรรมที่กฎหมายอื่นใดนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๒ กำหนดให้ผู้ดำเนินการหรือผู้กระทำต้องได้รับอนุมัติ อนุญาต ใบอนุญาต หรือความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้น หรือต้องจดทะเบียนหรือแจ้งต่อหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมายนั้นก่อน ผู้มีอำนาจอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต หรือให้ความเห็นชอบ หรือผู้มีอำนาจในการรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามกฎหมายนั้นจะมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจปฏิบัติการแทนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายดังกล่าวกำหนดก็ได้ มาตรา ๔๒/๒ ในการอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต ให้ความเห็นชอบ หรือรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามมาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๒/๑ ให้ กนอ. มีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย หรือค่าอื่นใดที่กฎหมาย ข้อบัญญัติ หรือเทศบัญญัติว่าด้วยการนั้นกำหนดไว้ และให้นำส่งหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย หรือค่าอื่นใดนั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่ได้ตกลงกัน ให้ กนอ. มีอำนาจเรียกเก็บค่าบริการในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งเพิ่มเติมได้ ตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนด แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละสิบของค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตามวรรคหนึ่งและให้ค่าบริการนั้นเป็นรายได้ของ กนอ.” มาตรา ๑๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ “ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับแก่เขตประกอบการเสรีเพื่อพาณิชยกรรมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักรด้วยโดยอนุโลม” มาตรา ๑๒ การโอนกรรมสิทธิ์บรรดาที่ดินที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้แก่ผู้ร่วมดำเนินงานในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรมหรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรมก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ตามมาตรา ๓๖/๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้ครอบคลุมกิจการที่จำเป็นหรือเป็นประโยชน์แก่การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กำหนดให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้มาจากการตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดให้การพิจารณาอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต ให้ความเห็นชอบ หรือรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามกฎหมายบางฉบับที่จำเป็นให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม และกำหนดให้การนำของหรือวัตถุดิบเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อพาณิชยกรรมได้รับความสะดวกมากขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ วิวรรธน์/ธนบดี/จัดทำ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ วิชพงษ์/ตรวจ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๕๐ ก/หน้า ๒๓๐/๑๖ เมษายน ๒๕๖๒
831558
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 (ฉบับ Update ณ วันที่ 08/01/2551)
พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน มาตรา ๔[๒] ในพระราชบัญญัตินี้ “นิคมอุตสาหกรรม”[๓] หมายความว่า เขตอุตสาหกรรมทั่วไปหรือเขตประกอบการเสรี “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป”[๔] หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม การบริการ หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการ “เขตประกอบการเสรี”[๕] หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ การรักษาความมั่นคงของรัฐ สวัสดิภาพของประชาชน การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม หรือความจำเป็นอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด โดยของที่นำเข้าไปในเขตดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี อากร และค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นตามที่กฎหมายบัญญัติ “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม”[๖] หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการในนิคมอุตสาหกรรม “พาณิชยกรรม”[๗] หมายความว่า การค้าหรือการบริการในเขตประกอบการเสรี “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม”[๘] หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบการค้าหรือการบริการในเขตประกอบการเสรี “ผลิต” หมายความรวมถึงทำ สร้าง ผสม ประกอบ หรือบรรจุด้วย “ภาษีสรรพสามิต” หมายความว่า ภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งผู้ว่าการ “ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๖ ให้จัดตั้งการนิคมอุตสาหกรรมขึ้น เรียกว่า “การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” เรียกโดยย่อว่า “กนอ.” และให้เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ (๑) การจัดให้ได้มาซึ่งที่ดินที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรมหรือเพื่อดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์ หรือเกี่ยวเนื่องกับ กนอ. (๒)[๙] การปรับปรุงที่ดินตาม (๑) เพื่อให้บริการ ตลอดจนจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรม และผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม เช่น การจัดให้มีถนน ท่อระบายน้ำ โรงบำบัดน้ำเสีย ไฟฟ้า ประปา และโทรคมนาคม เป็นต้น (๓) การให้เช่า ให้เช่าซื้อ และขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรมหรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของนิคมอุตสาหกรรมโดยตรง (๔) การดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๕) การร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นตามวัตถุประสงค์ใน (๑) (๒) หรือ (๓) รวมทั้งการเข้าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือถือหุ้นในนิติบุคคลใดๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๖) การส่งเสริมและควบคุมนิคมอุตสาหกรรมของเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐ [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๗ ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้แก่ กนอ. ทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งเมื่อได้หักหนี้ออกแล้วให้ถือเป็นทุนของ กนอ. มาตรา ๘ ทุนของ กนอ. ประกอบด้วย (๑) ทรัพย์สินที่ได้รับโอนตามมาตรา ๗ (๒) เงินที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน (๓) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากรัฐบาลหรือบุคคลอื่น (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับความช่วยเหลือจากแหล่งในประเทศหรือต่างประเทศ หรือจากองค์การระหว่างประเทศ มาตรา ๙ ให้ กนอ. ตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใกล้เคียง และจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมด้วยก็ได้ มาตรา ๑๐ ให้ กนอ. มีอำนาจกระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๖ อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑)[๑๐] การสำรวจ วางแผน ออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม และผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี (๒)[๑๑] การกำหนดประเภทและขนาดของกิจการอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมหรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด (๓) การตรวจตราความเป็นอยู่ของคนงานในนิคมอุตสาหกรรม (๔)[๑๒] การควบคุมการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม ผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม และผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายรวมทั้งการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขหรือที่กระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม (๕) การลงทุน (๖) การกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในกิจการของ กนอ. (๗) การออกพันธบัตร หรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” และ “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๑๑ ให้ กนอ. มีอำนาจตรวจสอบและรับรองชนิดและปริมาณของวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ หรือชนิดและจำนวนของเครื่องจักรสำหรับกรณีที่จำเป็นจะต้องออกใบรับรองหรือในกรณีที่นำเข้ามาในหรือนำออกไปจากนิคมอุตสาหกรรมซึ่งของดังกล่าว ทั้งนี้ โดยเรียกเก็บค่าบริการตามที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๑๒ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมในอัตราอันสมควรเพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับการดังต่อไปนี้ (๑) การใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นในการดำเนินกิจการของ กนอ. รวมทั้งดอกเบี้ยค่าเสื่อมราคา โบนัส และกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานและครอบครัว (๒) การชำระหนี้สินเท่าที่จำนวนเงินเพื่อการชำระนั้นเกินจำนวนที่จัดสรรไว้ เป็นค่าเสื่อมราคาและสำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการจัดหาทรัพย์สินใหม่แทนทรัพย์สินเดิม (๓) การจัดให้มีเงินสำรองและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการขยายกิจการและลงทุน มาตรา ๑๓ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าซื้อ และราคาขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ตามที่เห็นสมควร มาตรา ๑๔ เมื่อได้ประกาศเขตพื้นที่ใดเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ แล้ว ให้ กนอ. มีอำนาจกำหนดราคาขาย ค่าเช่า และค่าเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมนั้น ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมในด้านธุรกิจ มาตรา ๑๕ รายได้ที่ กนอ. ได้รับจากการดำเนินกิจการในปีหนึ่งๆ ให้ตกเป็นของ กนอ. และเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับการดำเนินกิจการ และค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษาและค่าเสื่อมราคา ตลอดจนหักเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ ประโยชน์ตอบแทนและโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ หรือเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา ๓๔ และเงินลงทุนตามมาตรา ๖๖ แล้วเหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่งซึ่งมิใช่เป็นรายจ่ายที่หักเป็นเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ และโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ และ กนอ. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ กนอ. เท่าจำนวนที่ขาด มาตรา ๑๖ เงินสำรองของ กนอ. ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่นเพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการจะเห็นสมควร เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มาตรา ๑๗ ทรัพย์สินของ กนอ. ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ส่วนที่ ๒ คณะกรรมการและผู้ว่าการ มาตรา ๑๘ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบคน รวมทั้งผู้ว่าการซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นซึ่งมิใช่กรรมการโดยตำแหน่ง มาตรา ๑๙ ผู้ซึ่งจะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้ว่าการต้องมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับบริหารธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์สถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมือง เศรษฐศาสตร์ การพาณิชย์ การคลัง หรือกฎหมาย มาตรา ๒๐ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) และ (๒) และไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม (๓) (๔) (๕) (๖) และ (๗) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๔) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๕) เป็นข้าราชการการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในทางการเมือง (๖) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๗) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพอย่างเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๑ ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้ประธานกรรมการ และกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไปจนกว่าคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ มาตรา ๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๒๑ ประธานกรรมการ หรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก (๔) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๕) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อมให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วนั้น มาตรา ๒๓ ให้คณะกรรมการมีอำนาจวางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กนอ. อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ (๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ (๓) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจัดแบ่งส่วนงาน วิธีปฏิบัติงาน และการเงินของ กนอ. (๔) การออกระเบียบหรือข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างของพนักงานและลูกจ้าง (๕) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง การออกจากตำแหน่ง วินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง (๖) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจ่ายค่าพาหนะและเบี้ยเลี้ยงเดินทางค่าเช่าที่พัก ค่าล่วงเวลา และการจ่ายเงินอื่นๆ (๗) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง (๘) การออกระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง (๙) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบัตรประจำตัวหรือเครื่องแต่งกายของบุคคลซึ่งปฏิบัติงานภายในเขตประกอบการเสรี (๑๐) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบุคคลซึ่งเข้าไปหรืออยู่ในเขตประกอบการเสรี (๑๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัวด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (๑๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของ กนอ. (๑๓) การกำหนดราคาขาย อัตราค่าเช่า ค่าเช่าซื้อและระยะเวลาการเช่าและเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกและอัตราค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรม (๑๔)[๑๓] ปฏิบัติการอื่นใดตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ระเบียบหรือข้อบังคับตาม (๓) ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจของผู้ว่าการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด ให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๒๔ เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ กนอ. ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ กนอ. และกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการได้ มาตรา ๒๕ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้ว่าการและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๖ ผู้ว่าการต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) (๒) และ (๓) และไม่มีลักษณะต้องห้าม ตาม (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ (๓) สามารถทำงานให้แก่ กนอ. ได้เต็มเวลา (๔) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๕) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๖) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ รวมทั้งข้าราชการการเมืองลูกจ้างของกระทรวงทบวงกรมหรือทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่า หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น (๗) ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง รวมทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น (๘) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๙) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม เว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๗ ผู้ว่าการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๖ (๕) คณะกรรมการให้ออกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมดโดยไม่นับรวมผู้ว่าการ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย มาตรา ๒๘ ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ กนอ. ให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ และนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด และมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้าง ในการบริหารกิจการ ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการ มาตรา ๒๙ ผู้ว่าการมีอำนาจ (๑) กำหนดระเบียบและวิธีปฏิบัติงาน ในการทำงานของพนักงานหรือลูกจ้าง (๒) ออกระเบียบในการบริหารกิจการของ กนอ. ทั้งนี้ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ (๓) บรรจุ แต่งตั้งและถอดถอน เลื่อน ลด และตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ตลอดจนลงโทษทางวินัยแก่พนักงานและลูกจ้าง ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๐ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้ว่าการเป็นตัวแทน กนอ. เพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดกระทำกิจการเฉพาะอย่างแทนก็ได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ย่อมไม่ผูกพัน กนอ. เว้นแต่คณะกรรมการจะได้ให้สัตยาบัน มาตรา ๓๑ เมื่อผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้หรือเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการว่างลงให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานเป็นผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการแล้วแต่กรณี และให้นำมาตรา ๒๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการ เว้นแต่อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการในฐานะกรรมการ มาตรา ๓๒ ประธานกรรมการและกรรมการ ย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนและอาจได้รับโบนัส ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ส่วนที่ ๓ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๓๓ ให้พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิอุทธรณ์เกี่ยวกับการลงโทษหรือร้องทุกข์ได้ตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๔ ให้ กนอ. จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัว ในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสบอุบัติเหตุเจ็บป่วย ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์ มาตรา ๓๕ พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับโบนัสตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หมวด ๒ นิคมอุตสาหกรรม ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๓๖[๑๔] นิคมอุตสาหกรรมมีสองประเภท คือ (๑) เขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๒) เขตประกอบการเสรี การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบนิคมอุตสาหกรรม ให้คณะกรรมการประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายประกาศด้วย มาตรา ๓๖/๑[๑๕] ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณ ที่ กนอ. ประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกานั้น และเมื่อได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในเขตดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ กนอ. เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (๑) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในกรณีที่พลเมืองเลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้น หรือได้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว หรือในกรณีที่พลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่หรือยังไม่เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดโดยรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย และ กนอ. ได้จัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน (๒) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือที่ดินที่ได้สงวนหรือหวงห้ามไว้ตามความต้องการของทางราชการ เมื่อกระทรวงการคลังได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงการคลังกำหนดแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ (๓) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดินเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว มาตรา ๓๗ นิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๓๘ เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในการนี้ จะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่คิดว่าจะเวนคืนไว้ก่อนก็ได้ และให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยการเวนคืนตามวรรคหนึ่งให้ตกเป็นของ กนอ. และให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการโอนไปยังผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณีได้[๑๖] [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” และ “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๓๙ เขตพื้นที่ใดที่บุคคลใดได้จัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม ถ้าได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๓๗ แล้ว คณะกรรมการด้วยความยินยอมของเจ้าของที่ดินอาจดำเนินการให้พื้นที่นั้นเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ได้ มาตรา ๓๙/๑[๑๗] ผู้ใดจะจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การขออนุญาตและการอนุญาต รวมทั้งการจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๐ ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อที่มีอักษรไทยประกอบหรืออักษรต่างประเทศซึ่งแปลหรืออ่านว่า “นิคมอุตสาหกรรม” “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” หรือ “เขตประกอบการเสรี” ในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจโดยมิได้เป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] ส่วนที่ ๒ การประกอบกิจการ ประโยชน์ และข้อห้าม มาตรา ๔๑ ผู้ใดจะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การขออนุญาตและการอนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๒ บรรดาการปลูกสร้างอาคาร การตั้งโรงงาน และการประกอบกิจการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการก่อสร้างอาคาร และกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง แต่การอนุญาตซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย มาตรา ๔๓ ในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา ๔๒ หรือในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารผิดแผกจากแผนผังแบบก่อสร้างหรือรายการที่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในใบอนุญาต ให้ กนอ. มีอำนาจสั่งระงับการก่อสร้าง แก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสมควร โดยแจ้งระยะเวลาให้ผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารทราบ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งแล้ว และผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ กนอ. ให้ กนอ. มีอำนาจจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารนั้นได้โดยคิดค่าใช้จ่ายจากผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารนั้น มาตรา ๔๔[๑๘] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรมอาจได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหรือในเขตประกอบการเสรี แล้วแต่กรณี เพื่อประกอบกิจการได้ตามจำนวนเนื้อที่ที่คณะกรรมการเห็นสมควรแม้ว่าจะเกินกำหนดที่จะพึงมีได้ตามกฎหมายอื่น ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรม ซึ่งเป็นคนต่างด้าวเลิกกิจการหรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรมต้องจำหน่ายที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์และส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือผู้รับโอนกิจการ แล้วแต่กรณีภายในเวลาสามปีนับแต่วันที่เลิกหรือโอนกิจการ มิฉะนั้นให้อธิบดีกรมที่ดินจำหน่ายที่ดินและส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือบุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดิน [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” และ “เขตประกอบการเสรี”แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๔๕[๑๙] ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรมได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวซึ่งเป็น (๑) ช่างฝีมือ (๒) ผู้ชำนาญการ (๓) คู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของบุคคลใน (๑) หรือ (๒) เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและภายในกำหนดระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร แม้ว่าจะเกินกำหนดจำนวนหรือระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๔๖ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา ๔๕ ได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะตำแหน่งหน้าที่การทำงานที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ ตลอดระยะเวลาเท่าที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร มาตรา ๔๗ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบพาณิชยกรรมซึ่งมีภูมิลำเนานอกราชอาณาจักรจะได้รับอนุญาตให้นำหรือส่งเงินออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเงินตราต่างประเทศได้ เมื่อเงินนั้นเป็น (๑) เงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและเงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นที่เกิดจากเงินทุนนั้น (๒) เงินกู้ต่างประเทศที่นำมาลงทุนในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรมตามสัญญาที่ กนอ. ให้ความเห็นชอบ รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินกู้ต่างประเทศนั้น (๓) เงินที่มีข้อผูกพันกับต่างประเทศตามสัญญาเกี่ยวกับการใช้สิทธิและบริการต่าง ๆ ในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรมและสัญญานั้นได้รับความเห็นชอบจาก กนอ.[๒๐] ในกรณีที่ระยะเวลาใดดุลการชำระเงินต้องประสบความยุ่งยากจำเป็นต้องสงวนเงินตราต่างประเทศให้มีสำรองไว้ตามสมควร ธนาคารแห่งประเทศไทยจะจำกัดการนำหรือส่งเงินนั้นออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อผลดังกล่าวนั้นก็ได้ แต่จะไม่จำกัดการส่งเงินทุนที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักรต่ำกว่าร้อยละยี่สิบต่อปีของยอดเงินทุนดังกล่าวที่เหลืออยู่ในวันที่ ๓๑ ธันวาคมของปี ถ้าการส่งเงินนั้นกระทำภายหลังที่นำเข้ามาแล้วเป็นเวลาสองปี และจะไม่จำกัดการส่งเงินปันผลต่ำกว่าร้อยละสิบห้าต่อปีของเงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร และเหลืออยู่ในขณะที่ขอส่งเงินปันผลออก [คำว่า “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๔๘[๒๑] ให้ของที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรเช่นเดียวกับของที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร และให้รวมถึงสิทธิประโยชน์ในกรณีดังต่อไปนี้ด้วย (๑) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรี ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต สำหรับของที่เป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของสิ่งดังกล่าวที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี และของที่ใช้ในการสร้าง ประกอบ หรือติดตั้งเป็นโรงงานหรืออาคารในเขตประกอบการเสรี ทั้งนี้ เท่าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามที่คณะกรรมการอนุมัติ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด (๒) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อพาณิชยกรรม ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนอากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ผู้ว่าการกำหนด (๓) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตาม (๒) รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรี หากส่งออกไปนอกราชอาณาจักรให้ได้รับยกเว้นอากรขาออก ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ของที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงของที่นำออกจากเขตประกอบการเสรีแห่งหนึ่งไปยังเขตประกอบการเสรีอีกแห่งหนึ่งด้วย มาตรา ๔๙[๒๒] ในกรณีการนำของเข้ามาในราชอาณาจักรหรือนำวัตถุดิบภายในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการอื่นใดกับของนั้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ของนั้นได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายในบังคับของกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ซึ่งของดังกล่าว หรือเกี่ยวกับการควบคุมมาตรฐานหรือคุณภาพ การประทับตราหรือเครื่องหมายใด ๆ แก่ของนั้น แต่ไม่รวมถึงกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ในกรณีที่ของตามวรรคหนึ่งเป็นของที่ก่อให้เกิดหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน สุขภาพอนามัยของประชาชนหรือสิ่งแวดล้อม หรือเป็นของซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีตามข้อผูกพันตามสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของของดังกล่าวมิให้ได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่งได้ ทั้งนี้ จะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใด ๆ เกี่ยวกับของนั้นไว้ด้วยก็ได้ มาตรา ๕๐[๒๓] (ยกเลิก) มาตรา ๕๑[๒๔] ของใดที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรเมื่อได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แม้มิได้ส่งออกแต่ได้นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้ตามมาตรา ๔๘ (๑) หรือ (๒) ให้ของนั้นได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรโดยถือเสมือนว่าได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในวันที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรี มาตรา ๕๒[๒๕] ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามมาตรา ๔๘ หรือมาตรา ๔๙ และของตามมาตรา ๕๑ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้และสิ่งอื่น ที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรี หากนำออกจากเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักรจะต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต ตามสภาพ ราคาและอัตราภาษีอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี รวมทั้งจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ซึ่งของดังกล่าว หรือเกี่ยวกับการควบคุมมาตรฐานหรือคุณภาพ การประทับตรา หรือเครื่องหมายใด ๆ แก่ของนั้น นับแต่วันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี แล้วแต่กรณี โดยถือเสมือนว่าได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี มาตรา ๕๒/๑[๒๖] ในกรณีของ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรีที่นำออกจากเขตประกอบการเสรีเป็นของที่ต้องเสียภาษีอากรในการคำนวณค่าภาษีอากร หากมีกรณีที่นำวัตถุดิบภายในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อผลิต ผสมประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการอื่นใดกับของนั้นโดยที่วัตถุดิบที่นำเข้าไปนั้นไม่มีสิทธิได้รับการคืนหรือยกเว้นอากร ไม่ต้องนำราคาวัตถุดิบดังกล่าวมาคำนวณค่าภาษีอากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด มาตรา ๕๓ การนำของเข้ามาในหรือนำออกไปจากเขตประกอบการเสรี การเก็บรักษา และการควบคุมการขนย้าย ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการนำของเข้า การส่งของออก และการเก็บของในคลังสินค้า ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม กับทั้งต้องปฏิบัติตามระเบียบและพิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด และให้นำบทลงโทษตามกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับด้วย [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๔[๒๗] ของที่ไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ซึ่งอยู่ในเขตประกอบการเสรี ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรมขออนุญาตเป็นหนังสือต่อ กนอ. เพื่อทำลาย หรือในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรสั่งให้ทำลายของดังกล่าว ให้ กนอ. แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี หรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และอธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายทราบ และให้อธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายสั่งดำเนินการทำลายของนั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด ในกรณีที่ กนอ. ไม่อาจแจ้งให้บุคคลตามวรรคหนึ่งทราบได้ เมื่อ กนอ. ได้ปิดประกาศไว้ ณ สำนักงานของบุคคลดังกล่าวที่อยู่ในเขตประกอบการเสรีเป็นเวลาเจ็ดวันให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งแล้ว ของที่ได้ถูกทำลายตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในวรรคหนึ่งให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” และ “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๕ ห้ามมิให้ผู้ใดนำของในเขตประกอบการเสรี ออกไปจากเขตประกอบการเสรี เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและแบบที่คณะกรรมการกำหนด [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๖ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหรืออยู่ในเขตประกอบการเสรี เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายและต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับของ กนอ. การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่คณะกรรมการกำหนด [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] หมวด ๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา ๕๗[๒๘] พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม หรือของผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์ หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี ในนิคมอุตสาหกรรมในระหว่างเวลาทำการเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงหรือเพื่อตรวจสอบเอกสารหรือสิ่งของใด ๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการจากบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นได้ตามความจำเป็นในกรณีเช่นนี้ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวต้องให้ความสะดวกตามสมควร ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าไปในสถานที่ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าการ หรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบพาณิชยกรรม หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง เว้นแต่กรณีที่ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายจะเห็นว่าเป็นการเร่งด่วน [คำว่า “ผู้ประกอบการพาณิชยกรรม” และ “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๘ พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรมีอำนาจตรวจค้นโรงงาน อาคาร ยานพาหนะ และบุคคล รวมตลอดถึงของใด ๆ ในเขตประกอบการเสรี [คำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐] มาตรา ๕๙ ถ้าพบผู้ใดกำลังกระทำความผิด หรือพยายามกระทำความผิดหรือใช้ หรือช่วย หรือยุยง ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายว่าด้วยศุลกากรในนิคมอุตสาหกรรม พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับผู้นั้นได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ แล้วนำส่งพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาพร้อมด้วยของกลางเพื่อดำเนินการต่อไป มาตรา ๖๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ หรือมาตรา ๕๙ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวงต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง มาตรา ๖๑ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด ๔ การควบคุม มาตรา ๖๒ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กนอ. เพื่อการนี้จะสั่งให้ กนอ. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของ กนอ. ได้ มาตรา ๖๓ ในกรณี กนอ. จะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีให้นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี มาตรา ๖๔ ในการดำเนินกิจการของ กนอ. ให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน มาตรา ๖๕ ให้ กนอ. เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของกระทรวงการคลัง มาตรา ๖๖ กนอ. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้ (๑) การลงทุนเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม (๒) การเพิ่มทุนโดยตีราคาทรัพย์สินใหม่ (๓) การลดทุน (๔) การกู้ยืมเงินเกินสิบล้านบาท (๕) การออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน (๖) การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินหนึ่งล้านบาท เว้นแต่เป็นการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรม (๗)[๒๙] (ยกเลิก) มาตรา ๖๗ ให้ กนอ. จัดทำงบประมาณประจำปีโดยแยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ สำหรับงบลงทุนให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ มาตรา ๖๘ ให้ กนอ. วางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ (๑) การรับและจ่ายเงิน (๒) สินทรัพย์และหนี้สิน ซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่สมควรโดยพิจารณาตามประเภทงานพร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ มาตรา ๖๙ ทุกปี ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรวมทั้งการเงินของ กนอ. มาตรา ๗๐ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีมีอำนาจสอบสรรพสมุดบัญชีและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของ กนอ. เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๗๑ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีต้องทำรายงานผลของการสอบบัญชีเสนอคณะรัฐมนตรี ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีและให้ กนอ. โฆษณารายงานประจำปีของปีที่สิ้นไปนั้น แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี หมวด ๕ บทกำหนดโทษ มาตรา ๗๑/๑[๓๐] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๙/๑ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท มาตรา ๗๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๔๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาทและปรับอีกวันละสองร้อยบาทตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะเลิกใช้ มาตรา ๗๓ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท และให้ศาลสั่งให้ผู้นั้นหยุดประกอบกิจการจนกว่าจะได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๔ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ของที่นำออกไปโดยฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ให้ริบเสียทั้งสิ้น มาตรา ๗๕ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา ๗๖ ผู้ใดไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากร ตามมาตรา ๕๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท บทเฉพาะกาล มาตรา ๗๗ ให้ผู้อำนวยการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๘ ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ประธานกรรมการและกรรมการดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยขึ้นใหม่ เมื่อได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามวรรคหนึ่งพ้นจากตำแหน่ง มาตรา ๗๙ บรรดานิคมอุตสาหกรรมทั่วไปที่ได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้ถือว่าเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไปตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๘๐ บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับและคำสั่ง ซึ่งออก หรือสั่งโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ และใช้บังคับอยู่ในวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษา ให้ใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นไปด้วยดียิ่งขึ้นและเหมาะสมกับสภาวะการณ์ในปัจจุบัน สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสียใหม่ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔[๓๑] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้แก้คำว่า “ภาษีการค้า” ในมาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ มาตรา ๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นคำว่า “ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต” หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้ยกเลิกภาษีการค้าและนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้ผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่เคยได้รับยกเว้นภาษีการค้า ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มแทน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙[๓๒] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติบางประการจึงไม่เหมาะสมกับสภาพของการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าของประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สมควรเพิ่มบทบาทในด้านการค้าและการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศให้ต่อเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อให้สามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบของวงจรเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในเขตพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมที่จะจัดตั้งขึ้นยังอาจมีพื้นที่ครอบคลุมที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินด้วย สมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการถอนสภาพและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเพื่อให้เกิดความคล่องตัว และเหมาะสมกับการดำเนินการนิคมอุตสาหกรรม และโดยที่การจัดการและการจัดสรรที่ดินในเขตนิคมอุตสาหกรรมมีขั้นตอนตามกฎหมายต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติหลายฉบับ อันทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องเพื่อลดขั้นตอนและเวลาในการดำเนินการให้น้อยลงเพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศสอดคล้องกับภาวะการแข่งขันและการลงทุนระหว่างประเทศ และโดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมให้ กนอ. มีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญได้ โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐[๓๓] มาตรา ๑๓ ในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้แก้ไขคำว่า “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” เป็น “เขตประกอบการเสรี” คำว่า “การค้าเพื่อส่งออก” เป็น “พาณิชยกรรม” และคำว่า “ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก” เป็น “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” มาตรา ๑๔ บรรดาเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่ได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้ถือว่าเป็นเขตประกอบการเสรีตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๕ บทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีใดอ้างถึงเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้ถือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีนั้นอ้างถึงเขตประกอบการเสรี มาตรา ๑๖ บรรดาพระราชกฤษฎีกาหรือประกาศที่ออกตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไป มาตรา ๑๗ บรรดาใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ออกให้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นหนังสืออนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามมาตรา ๓๙/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๘ การดำเนินการเกี่ยวกับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๙ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติบางประการของพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกับพันธกรณีว่าด้วยความตกลงขององค์การการค้าโลกในเรื่องความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้ในส่วนที่เข้าข่ายเป็นการอุดหนุนต้องห้าม กำหนดให้มีการประกอบกิจการบริการในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปได้ กำหนดให้คณะกรรมการเป็นผู้ประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว และกำหนดให้การจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่ที่เป็นนิคมอุตสาหกรรมต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายนอกจากนี้ ได้กำหนดให้การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมประเภทเขตประกอบการเสรี รวมทั้งการนำของหรือวัตถุดิบเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ และได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรเช่นเดียวกับของที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ คุณากร/ผู้จัดทำ ๓ มกราคม ๒๕๕๖ ชาญ/ตรวจ ๓ มกราคม ๒๕๕๖ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๖/ตอนที่ ๔๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๐/๒๔ มีนาคม ๒๕๒๒ [๒] มาตรา ๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๓] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “นิคมอุตสาหกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๔] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๕] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “เขตประกอบการเสรี” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๖] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๗] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “พาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๘] มาตรา ๔ นิยามคำว่า “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๙] มาตรา ๖ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๐] มาตรา ๑๐ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๑] มาตรา ๑๐ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๒] มาตรา ๑๐ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๓] มาตรา ๒๓ (๑๔) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๔] มาตรา ๓๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๕] มาตรา ๓๖/๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๖] มาตรา ๓๘ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๗] มาตรา ๓๙/๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๑๘] มาตรา ๔๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๙] มาตรา ๔๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๒๐] มาตรา ๔๗ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๒๑] มาตรา ๔๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๒] มาตรา ๔๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๓] มาตรา ๕๐ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๔] มาตรา ๕๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๕] มาตรา ๕๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๖] มาตรา ๕๒/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๒๗] มาตรา ๕๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๒๘] มาตรา ๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๒๙] มาตรา ๖๖ (๗) ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๓๐] มาตรา ๗๑/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ [๓๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๒๐๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๒๒๕/๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ [๓๒] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๓/ตอนที่ ๕๔ ก/หน้า ๑๔/๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๙ [๓๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๔ ก/หน้า ๑/๘ มกราคม ๒๕๕๑
569534
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกบทนิยามคำว่า “นิคมอุตสาหกรรม” “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” “การค้าเพื่อส่งออก” และ “ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ““นิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า เขตอุตสาหกรรมทั่วไปหรือเขตประกอบการเสรี “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม การบริการ หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการ “เขตประกอบการเสรี” หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ การรักษาความมั่นคงของรัฐ สวัสดิภาพของประชาชน การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม หรือความจำเป็นอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด โดยของที่นำเข้าไปในเขตดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี อากร และค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นตามที่กฎหมายบัญญัติ “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการในนิคมอุตสาหกรรม “พาณิชยกรรม” หมายความว่า การค้าหรือการบริการในเขตประกอบการเสรี “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบการค้าหรือการบริการในเขตประกอบการเสรี” มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑๔) ของมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “(๑๔) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ” มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๖ และมาตรา ๓๖ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๓๖ นิคมอุตสาหกรรมมีสองประเภท คือ (๑) เขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๒) เขตประกอบการเสรี การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบนิคมอุตสาหกรรม ให้คณะกรรมการประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายประกาศด้วย มาตรา ๓๖/๑ ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณ ที่ กนอ. ประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกานั้น และเมื่อได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในเขตดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ กนอ. เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในกรณีที่พลเมืองเลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้น หรือได้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว หรือในกรณีที่พลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่หรือยังไม่เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดโดยรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย และ กนอ. ได้จัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน (๒) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือที่ดินที่ได้สงวนหรือหวงห้ามไว้ตามความต้องการของทางราชการ เมื่อกระทรวงการคลังได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงการคลังกำหนดแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ (๓) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดินเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว” มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๓๙/๑ ผู้ใดจะจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่ที่ประกาศเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การขออนุญาตและการอนุญาต รวมทั้งการจัดสรรที่ดินที่ได้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด” มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๘ และมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๔๘ ให้ของที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรเช่นเดียวกับของที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร และให้รวมถึงสิทธิประโยชน์ในกรณีดังต่อไปนี้ด้วย (๑) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรี ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต สำหรับของที่เป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของสิ่งดังกล่าวที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อพาณิชยกรรม แล้วแต่กรณี และของที่ใช้ในการสร้าง ประกอบ หรือติดตั้งเป็นโรงงานหรืออาคารในเขตประกอบการเสรี ทั้งนี้ เท่าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามที่คณะกรรมการอนุมัติ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด (๒) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือเพื่อพาณิชยกรรม ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนอากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ผู้ว่าการกำหนด (๓) ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตาม (๒) รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรี หากส่งออกไปนอกราชอาณาจักรให้ได้รับยกเว้นอากรขาออก ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ของที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงของที่นำออกจากเขตประกอบการเสรีแห่งหนึ่งไปยังเขตประกอบการเสรีอีกแห่งหนึ่งด้วย มาตรา ๔๙ ในกรณีการนำของเข้ามาในราชอาณาจักรหรือนำวัตถุดิบภายในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการอื่นใดกับของนั้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ของนั้นได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายในบังคับของกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ซึ่งของดังกล่าว หรือเกี่ยวกับการควบคุมมาตรฐานหรือคุณภาพ การประทับตราหรือเครื่องหมายใด ๆ แก่ของนั้น แต่ไม่รวมถึงกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ในกรณีที่ของตามวรรคหนึ่งเป็นของที่ก่อให้เกิดหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยของประเทศ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน สุขภาพอนามัยของประชาชนหรือสิ่งแวดล้อม หรือเป็นของซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีตามข้อผูกพันตามสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดชนิดหรือประเภทของของดังกล่าวมิให้ได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่งได้ ทั้งนี้ จะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใด ๆ เกี่ยวกับของนั้นไว้ด้วยก็ได้” มาตรา ๘ ให้ยกเลิกมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๕๑ ของใดที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรเมื่อได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แม้มิได้ส่งออกแต่ได้นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้ตามมาตรา ๔๘ (๑) หรือ (๒) ให้ของนั้นได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรโดยถือเสมือนว่าได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในวันที่นำเข้าไปในเขตประกอบการเสรี” มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๕๒ ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตประกอบการเสรีตามมาตรา ๔๘ หรือมาตรา ๔๙ และของตามมาตรา ๕๑ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้และสิ่งอื่น ที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรี หากนำออกจากเขตประกอบการเสรีเพื่อใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักรจะต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต ตามสภาพ ราคาและอัตราภาษีอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี รวมทั้งจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ซึ่งของดังกล่าว หรือเกี่ยวกับการควบคุมมาตรฐานหรือคุณภาพ การประทับตรา หรือเครื่องหมายใด ๆ แก่ของนั้น นับแต่วันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี แล้วแต่กรณี โดยถือเสมือนว่าได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่นำออกจากเขตประกอบการเสรี” มาตรา ๑๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๕๒/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “มาตรา ๕๒/๑ ในกรณีของ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตประกอบการเสรีที่นำออกจากเขตประกอบการเสรีเป็นของที่ต้องเสียภาษีอากรในการคำนวณค่าภาษีอากร หากมีกรณีที่นำวัตถุดิบภายในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเพื่อผลิต ผสมประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการอื่นใดกับของนั้นโดยที่วัตถุดิบที่นำเข้าไปนั้นไม่มีสิทธิได้รับการคืนหรือยกเว้นอากร ไม่ต้องนำราคาวัตถุดิบดังกล่าวมาคำนวณค่าภาษีอากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด” มาตรา ๑๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๗๑/๑ ในหมวด ๕ บทกำหนดโทษแห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “มาตรา ๗๑/๑ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๙/๑ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท” มาตรา ๑๓ ในพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้แก้ไขคำว่า “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” เป็น “เขตประกอบการเสรี” คำว่า “การค้าเพื่อส่งออก” เป็น “พาณิชยกรรม” และคำว่า “ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก” เป็น “ผู้ประกอบพาณิชยกรรม” มาตรา ๑๔ บรรดาเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่ได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้ถือว่าเป็นเขตประกอบการเสรีตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๕ บทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีใดอ้างถึงเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้ถือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ข้อบังคับระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีนั้นอ้างถึงเขตประกอบการเสรี มาตรา ๑๖ บรรดาพระราชกฤษฎีกาหรือประกาศที่ออกตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไป มาตรา ๑๗ บรรดาใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ออกให้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นหนังสืออนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินตามมาตรา ๓๙/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๘ การดำเนินการเกี่ยวกับคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๙ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติบางประการของพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกับพันธกรณีว่าด้วยความตกลงขององค์การการค้าโลกในเรื่องความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้ในส่วนที่เข้าข่ายเป็นการอุดหนุนต้องห้าม กำหนดให้มีการประกอบกิจการบริการในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปได้ กำหนดให้คณะกรรมการเป็นผู้ประกาศจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว และกำหนดให้การจัดสรรที่ดินในเขตพื้นที่ที่เป็นนิคมอุตสาหกรรมต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายนอกจากนี้ ได้กำหนดให้การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมประเภทเขตประกอบการเสรี รวมทั้งการนำของหรือวัตถุดิบเข้าไปในเขตประกอบการเสรีเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ และได้รับสิทธิประโยชน์ทางอากรเช่นเดียวกับของที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๑ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๔ ก/หน้า ๑/๘ มกราคม ๒๕๕๑
318758
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 (Update ณ วันที่ 22/10/2539)
พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน มาตรา ๔[๒] ในพระราชบัญญัตินี้ “นิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า เขตอุตสาหกรรมทั่วไปหรือเขตอุตสาหกรรมส่งออก “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรมและกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรม “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรมการค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศและกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมการค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม “การค้าเพื่อส่งออก” หมายความว่า การค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ “ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบการค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศในเขตอุตสาหกรรมส่งออก “ผลิต” หมายความรวมถึงทำ สร้าง ผสม ประกอบ หรือบรรจุด้วย “ภาษีสรรพสามิต” หมายความว่า ภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งผู้ว่าการ “ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๖ ให้จัดตั้งการนิคมอุตสาหกรรมขึ้น เรียกว่า “การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” เรียกโดยย่อว่า “กนอ.” และให้เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ (๑) การจัดให้ได้มาซึ่งที่ดินที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม หรือเพื่อดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับ กนอ. (๒)[๓] การปรับปรุงที่ดินตาม (๑) เพื่อให้บริการ ตลอดจนจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก และผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก เช่น การจัดให้มีถนน ท่อระบายน้ำ โรงบำบัดน้ำเสีย ไฟฟ้า ประปา และโทรคมนาคม เป็นต้น (๓) การให้เช่า ให้เช่าซื้อ และขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรมหรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของนิคมอุตสาหกรรมโดยตรง (๔) การดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๕) การร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นตามวัตถุประสงค์ใน (๑) (๒) หรือ (๓) รวมทั้งการเข้าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือถือหุ้นในนิติบุคคลใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๖) การส่งเสริมและควบคุมนิคมอุตสาหกรรมของเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐ มาตรา ๗ ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้แก่ กนอ. ทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งเมื่อได้หักหนี้ออกแล้วให้ถือเป็นทุนของ กนอ. มาตรา ๘ ทุนของ กนอ. ประกอบด้วย (๑) ทรัพย์สินที่ได้รับโอนตามมาตรา ๗ (๒) เงินที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน (๓) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากรัฐบาลหรือบุคคลอื่น (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับความช่วยเหลือจากแหล่งในประเทศหรือ ต่างประเทศหรือจากองค์การระหว่างประเทศ มาตรา ๙ ให้ กนอ. ตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใกล้เคียงและจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมด้วยก็ได้ มาตรา ๑๐ ให้ กนอ. มีอำนาจกระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๖ อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑)[๔] การสำรวจ วางแผน ออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก และผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี (๒)[๕] การกำหนดประเภทและขนาดของกิจการอุตสาหกรรม การค้าเพื่อส่งออกหรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด (๓) การตรวจตราความเป็นอยู่ของคนงานในนิคมอุตสาหกรรม (๔)[๖] การควบคุมการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก ผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก และผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายรวมทั้งการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขหรือที่กระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม (๕) การลงทุน (๖) การกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในกิจการของ กนอ. (๗) การออกพันธบัตร หรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน มาตรา ๑๑ ให้ กนอ. มีอำนาจตรวจสอบและรับรองชนิดและปริมาณของวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ หรือชนิดและจำนวนของเครื่องจักรสำหรับกรณีที่จำเป็นจะต้องออกใบรับรองหรือในกรณีที่นำเข้ามาในหรือนำออกไปจากนิคมอุตสาหกรรมซึ่งของดังกล่าว ทั้งนี้ โดยเรียกเก็บค่าบริการตามที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๑๒ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมในอัตราอันสมควรเพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับการดังต่อไปนี้ (๑) การใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นในการดำเนินกิจการของ กนอ. รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา โบนัส และกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานและครอบครัว (๒) การชำระหนี้สินเท่าที่จำนวนเงินเพื่อการชำระนั้นเกินจำนวนที่จัดสรรไว้ เป็นค่าเสื่อมราคาและสำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการจัดหาทรัพย์สินใหม่แทนทรัพย์สินเดิม (๓) การจัดให้มีเงินสำรองและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการขยายกิจการและลงทุน มาตรา ๑๓ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าซื้อ และราคาขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ตามที่เห็นสมควร มาตรา ๑๔ เมื่อได้ประกาศเขตพื้นที่ใดเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ แล้ว ให้ กนอ. มีอำนาจกำหนดราคาขาย ค่าเช่า และค่าเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมนั้น ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมในด้านธุรกิจ มาตรา ๑๕ รายได้ที่ กนอ. ได้รับจากการดำเนินกิจการในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของกนอ. และเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับการดำเนินกิจการ และค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษาและค่าเสื่อมราคา ตลอดจนหักเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ ประโยชน์ตอบแทนและโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ หรือเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา ๓๔ และเงินลงทุนตามมาตรา ๖๖ แล้วเหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่งซึ่งมิใช่เป็นรายจ่ายที่หักเป็นเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ และโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ และ กนอ. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ กนอ. เท่าจำนวนที่ขาด มาตรา ๑๖ เงินสำรองของ กนอ. ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่นเพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการจะเห็นสมควร เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มาตรา ๑๗ ทรัพย์สินของ กนอ. ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ส่วนที่ ๒ คณะกรรมการและผู้ว่าการ มาตรา ๑๘ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบคน รวมทั้งผู้ว่าการซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นซึ่งมิใช่กรรมการโดยตำแหน่ง มาตรา ๑๙ ผู้ซึ่งจะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้ว่าการต้องมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับบริหารธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมือง เศรษฐศาสตร์ การพาณิชย์ การคลัง หรือกฎหมาย มาตรา ๒๐ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) และ (๒) และไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม (๓) (๔) (๕) (๖) และ (๗) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๔) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๕) เป็นข้าราชการการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในทางการเมือง (๖) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๗) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพอย่างเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๑ ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้ประธานกรรมการ และกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไปจนกว่าคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ มาตรา ๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๒๑ ประธานกรรมการ หรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก (๔) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๕) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อมให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วนั้น มาตรา ๒๓ ให้คณะกรรมการมีอำนาจวางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของ กนอ. อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ (๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ (๓) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจัดแบ่งส่วนงาน วิธีปฏิบัติงาน และการเงินของ กนอ. (๔) การออกระเบียบหรือข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างของพนักงานและลูกจ้าง (๕) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง การออกจากตำแหน่ง วินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง (๖) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจ่ายค่าพาหนะและเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่าที่พัก ค่าล่วงเวลา และการจ่ายเงินอื่น ๆ (๗) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง (๘) การออกระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง (๙) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบัตรประจำตัวหรือเครื่องแต่งกายของบุคคลซึ่งปฏิบัติงานภายในเขตอุตสาหกรรมส่งออก (๑๐) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบุคคลซึ่งเข้าไปหรืออยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก (๑๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัว ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (๑๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของ กนอ. (๑๓) การกำหนดราคาขาย อัตราค่าเช่า ค่าเช่าซื้อ และระยะเวลาการเช่าและเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก และอัตราค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรม ระเบียบหรือข้อบังคับตาม (๓) ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจของผู้ว่าการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด ให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๒๔ เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ กนอ. ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ กนอ. และกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการได้ มาตรา ๒๕ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้ว่าการและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๖ ผู้ว่าการต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) (๒) และ (๓) และไม่มีลักษณะต้องห้าม ตาม (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ (๓) สามารถทำงานให้แก่ กนอ. ได้เต็มเวลา (๔) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๕) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๖) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ รวมทั้งข้าราชการการเมือง ลูกจ้างของกระทรวงทบวงกรมหรือทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่า หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น (๗) ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง รวมทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหาร ท้องถิ่น (๘) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๙) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม เว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๗ ผู้ว่าการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๖ (๕) คณะกรรมการให้ออกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมดโดยไม่นับรวมผู้ว่าการ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย มาตรา ๒๘ ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ กนอ. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด และมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้าง ในการบริหารกิจการ ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการ มาตรา ๒๙ ผู้ว่าการมีอำนาจ (๑) กำหนดระเบียบและวิธีปฏิบัติงาน ในการทำงานของพนักงานหรือลูกจ้าง (๒) ออกระเบียบในการบริหารกิจการของ กนอ. ทั้งนี้ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ (๓) บรรจุ แต่งตั้งและถอดถอน เลื่อน ลด และตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ตลอดจนลงโทษทางวินัยแก่พนักงานและลูกจ้าง ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๐ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้ว่าการเป็นตัวแทน กนอ. เพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดกระทำกิจการเฉพาะอย่างแทนก็ได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ย่อมไม่ผูกพัน กนอ. เว้นแต่คณะกรรมการจะได้ให้สัตยาบัน มาตรา ๓๑ เมื่อผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้หรือเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการว่างลงให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานเป็นผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการแล้วแต่กรณี และให้นำมาตรา ๒๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการ เว้นแต่อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการในฐานะกรรมการ มาตรา ๓๒ ประธานกรรมการและกรรมการ ย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนและอาจได้รับโบนัส ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ส่วนที่ ๓ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๓๓ ให้พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิอุทธรณ์เกี่ยวกับการลงโทษหรือร้องทุกข์ได้ตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๔ ให้ กนอ. จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัว ในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์ มาตรา ๓๕ พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับโบนัสตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หมวด ๒ นิคมอุตสาหกรรม ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๓๖ นิคมอุตสาหกรรมมีสองประเภทคือ (๑) เขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๒) เขตอุตสาหกรรมส่งออก การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายประกาศด้วย การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายพระราชกฤษฎีกาด้วย การกำหนดให้เขตอุตสาหกรรมส่งออกใดเป็นเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่มีการค้าเพื่อส่งออกให้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา[๗] มาตรา ๓๖ ทวิ[๘] เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๓๖ วรรคสาม จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในเขตดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ กนอ. เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในกรณีที่พลเมืองเลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้น หรือได้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว หรือในกรณีที่พลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่หรือยังไม่เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอม และ กนอ. ได้จัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทน โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน (๒) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือที่ดินที่ได้สงวนหรือหวงห้ามไว้ตามความต้องการของทางราชการเมื่อกระทรวงการคลังได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงการคลังกำหนดแล้วให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ (๓) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไปให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่ กนอ. ประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกานั้น และเมื่อได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้ กนอ. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นภายใต้เงื่อนไขเช่นเดียวกับที่กล่าวในวรรคหนึ่ง มาตรา ๓๗ นิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๓๘ เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในการนี้ จะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่คิดว่าจะเวนคืนไว้ก่อนก็ได้ และให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยการเวนคืนตามวรรคหนึ่งให้ตกเป็นของ กนอ. และให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการโอนไปยังผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณีได้[๙] มาตรา ๓๙ เขตพื้นที่ใดที่บุคคลใดได้จัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมถ้าได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๓๗ แล้ว คณะกรรมการด้วยความยินยอมของเจ้าของที่ดินอาจดำเนินการให้พื้นที่นั้นเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ได้ มาตรา ๓๙ ทวิ[๑๐] การจัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการจัดสรรที่ดินของเอกชน แต่การอนุญาตซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๔๐ ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อที่มีอักษรไทยประกอบหรืออักษรต่างประเทศซึ่งแปลหรืออ่านว่า “นิคมอุตสาหกรรม” “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” หรือ “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” ในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจโดยมิได้เป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ ส่วนที่ ๒ การประกอบกิจการ ประโยชน์ และข้อห้าม มาตรา ๔๑ ผู้ใดจะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การขออนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๒ บรรดาการปลูกสร้างอาคาร การตั้งโรงงาน และการประกอบกิจการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการก่อสร้างอาคาร และกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง แต่การอนุญาตซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย มาตรา ๔๓ ในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา ๔๒ หรือในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารผิดแผกจากแผนผังแบบก่อสร้างหรือรายการที่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในใบอนุญาต ให้ กนอ. มีอำนาจสั่งระงับการก่อสร้าง แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสมควร โดยแจ้งระยะเวลาให้ผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารทราบ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งแล้ว และผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ กนอ. ให้ กนอ. มีอำนาจจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารนั้นได้โดยคิดค่าใช้จ่ายจากผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารนั้น มาตรา ๔๔[๑๑] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกอาจได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหรือในเขตอุตสาหกรรมส่งออก แล้วแต่กรณี เพื่อประกอบกิจการได้ตามจำนวนเนื้อที่ที่คณะกรรมการเห็นสมควรแม้ว่าจะเกินกำหนดที่จะพึงมีได้ตามกฎหมายอื่น ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก ซึ่งเป็นคนต่างด้าวเลิกกิจการหรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกต้องจำหน่ายที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์และส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือผู้รับโอนกิจการ แล้วแต่กรณีภายในเวลาสามปีนับแต่วันที่เลิกหรือโอนกิจการ มิฉะนั้นให้อธิบดีกรมที่ดินจำหน่ายที่ดินและส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือบุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๔๕[๑๒] ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวซึ่งเป็น (๑) ช่างฝีมือ (๒) ผู้ชำนาญการ (๓) คู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของบุคคลใน (๑) หรือ (๒) เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและภายในกำหนดระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร แม้ว่าจะเกินกำหนดจำนวนหรือระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง มาตรา ๔๖ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา ๔๕ ได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะตำแหน่งหน้าที่การทำงานที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ ตลอดระยะเวลาเท่าที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร มาตรา ๔๗[๑๓] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกซึ่งมีภูมิลำเนานอกราชอาณาจักรจะได้รับอนุญาตให้นำหรือส่งเงินออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเงินตราต่างประเทศได้ เมื่อเงินนั้นเป็น (๑) เงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและเงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นที่เกิดจากเงินทุนนั้น (๒) เงินกู้ต่างประเทศที่นำมาลงทุนในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออกตามสัญญาที่ กนอ. ให้ความเห็นชอบ รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินกู้ต่างประเทศนั้น (๓) เงินที่มีข้อผูกพันกับต่างประเทศตามสัญญาเกี่ยวกับการใช้สิทธิและบริการต่าง ๆ ในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออกและสัญญานั้นได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. ในกรณีที่ระยะเวลาใดดุลการชำระเงินต้องประสบความยุ่งยากจำเป็นต้องสงวนเงินตราต่างประเทศให้มีสำรองไว้ตามสมควร ธนาคารแห่งประเทศไทยจะจำกัดการนำหรือส่งเงินนั้นออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อผลดังกล่าวนั้นก็ได้ แต่จะไม่จำกัดการส่งเงินทุนที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักรต่ำกว่าร้อยละยี่สิบต่อปีของยอดเงินทุนดังกล่าวที่เหลืออยู่ในวันที่ ๓๑ ธันวาคมของปี ถ้าการส่งเงินนั้นกระทำภายหลังที่นำเข้ามาแล้วเป็นเวลาสองปี และจะไม่จำกัดการส่งเงินปันผลต่ำกว่าร้อยละสิบห้าต่อปีของเงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร และเหลืออยู่ในขณะที่ขอส่งเงินปันผลออก มาตรา ๔๘[๑๔] ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกในเขตอุตสาหกรรมส่งออกจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต สำหรับของที่เป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของสิ่งดังกล่าวที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้าหรือการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี และของที่ใช้ในการสร้าง ประกอบหรือติดตั้งเป็นโรงงานหรืออาคารในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ทั้งนี้ เท่าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามที่คณะกรรมการอนุมัติ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๙[๑๕] ของที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกนำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า หรือเพื่อการค้าเพื่อส่งออก ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ ให้รวมถึงของที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกแห่งหนึ่งไปยังเขตอุตสาหกรรมส่งออกอีกแห่งหนึ่งด้วย มาตรา ๕๐ ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามมาตรา ๔๙ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตอุตสาหกรรมส่งออก หากส่งออกไปนอกราชอาณาจักรให้ได้รับยกเว้นอากรขาออกและภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต* มาตรา ๕๑[๑๖] ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามมาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และของตามมาตรา ๕๒ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตอุตสาหกรรมส่งออก หากนำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร จะต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ ตามสภาพ ราคา และอัตราภาษีอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกโดยถือเสมือนว่าได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก มาตรา ๕๒ ของที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรเมื่อได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แม้มิได้ส่งออกแต่ได้นำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก เพื่อใช้ตามมาตรา ๔๘ หรือมาตรา ๔๙ ให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรโดยถือเสมือนว่าได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในวันที่นำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก มาตรา ๕๓ การนำของเข้ามาในหรือนำออกไปจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก การเก็บรักษา และการควบคุมการขนย้าย ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการนำของเข้า การส่งของออก และการเก็บของในคลังสินค้า ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม กับทั้งต้องปฏิบัติตามระเบียบและพิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด และให้นำบทลงโทษตามกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับด้วย มาตรา ๕๔[๑๗] ของที่ไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ซึ่งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกขออนุญาตเป็นหนังสือต่อ กนอ. เพื่อทำลาย หรือในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรสั่งให้ทำลายของดังกล่าว ให้ กนอ. แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี หรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และอธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายทราบ และให้อธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายสั่งดำเนินการทำลายของนั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด ในกรณีที่ กนอ. ไม่อาจแจ้งให้บุคคลตามวรรคหนึ่งทราบได้ เมื่อ กนอ. ได้ปิดประกาศไว้ ณ สำนักงานของบุคคลดังกล่าวที่อยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเป็นเวลาเจ็ดวัน ให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งแล้ว ของที่ได้ถูกทำลายตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในวรรคหนึ่งให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต มาตรา ๕๕ ห้ามมิให้ผู้ใดนำของในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ออกไปจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๕๖ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหรืออยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายและต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับของ กนอ. การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่คณะกรรมการกำหนด หมวด ๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา ๕๗[๑๘] พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก หรือของผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์ หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี ในนิคมอุตสาหกรรมในระหว่างเวลาทำการเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงหรือเพื่อตรวจสอบเอกสารหรือสิ่งของใด ๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการจากบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นได้ตามความจำเป็น ในกรณีเช่นนี้ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวต้องให้ความสะดวกตามสมควร ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าไปในสถานที่ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าการ หรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง เว้นแต่กรณีที่ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายจะเห็นว่าเป็นการเร่งด่วน มาตรา ๕๘ พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรมีอำนาจตรวจค้นโรงงาน อาคาร ยานพาหนะ และบุคคล รวมตลอดถึงของใด ๆ ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก มาตรา ๕๙ ถ้าพบผู้ใดกำลังกระทำความผิด หรือพยายามกระทำความผิดหรือใช้ หรือช่วย หรือยุยง ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายว่าด้วยศุลกากรในนิคมอุตสาหกรรม พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับผู้นั้นได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ แล้วนำส่งพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาพร้อมด้วยของกลางเพื่อดำเนินการต่อไป มาตรา ๖๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ หรือมาตรา ๕๙ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวงต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง มาตรา ๖๑ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด ๔ การควบคุม มาตรา ๖๒ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กนอ. เพื่อการนี้จะสั่งให้ กนอ. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของ กนอ. ได้ มาตรา ๖๓ ในกรณี กนอ. จะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี ให้นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี มาตรา ๖๔ ในการดำเนินกิจการของ กนอ. ให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน มาตรา ๖๕ ให้ กนอ. เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของกระทรวงการคลัง มาตรา ๖๖ กนอ. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้ (๑) การลงทุนเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม (๒) การเพิ่มทุนโดยตีราคาทรัพย์สินใหม่ (๓) การลดทุน (๔) การกู้ยืมเงินเกินสิบล้านบาท (๕) การออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน (๖) การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินหนึ่งล้านบาท เว้นแต่เป็นการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรม (๗)[๑๙] (ยกเลิก) มาตรา ๖๗ ให้ กนอ. จัดทำงบประมาณประจำปีโดยแยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ สำหรับงบลงทุนให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ มาตรา ๖๘ ให้ กนอ. วางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ (๑) การรับและจ่ายเงิน (๒) สินทรัพย์และหนี้สินซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่สมควรโดยพิจารณาตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ มาตรา ๖๙ ทุกปี ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรวมทั้งการเงินของ กนอ. มาตรา ๗๐ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีมีอำนาจสอบสรรพสมุดบัญชีและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของ กนอ. เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการอนุกรรมการ พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๗๑ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีต้องทำรายงานผลของการสอบบัญชีเสนอคณะรัฐมนตรี ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีและให้ กนอ. โฆษณารายงานประจำปีของปีที่สิ้นไปนั้น แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี หมวด ๕ บทกำหนดโทษ มาตรา ๗๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๔๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาทและปรับอีกวันละสองร้อยบาทตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะเลิกใช้ มาตรา ๗๓ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท และให้ศาลสั่งให้ผู้นั้นหยุดประกอบกิจการจนกว่าจะได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๔ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ของที่นำออกไปโดยฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ให้ริบเสียทั้งสิ้น มาตรา ๗๕ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา ๗๖ ผู้ใดไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรตามมาตรา ๕๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท บทเฉพาะกาล มาตรา ๗๗ ให้ผู้อำนวยการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๘ ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ประธานกรรมการและกรรมการดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยขึ้นใหม่ เมื่อได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามวรรคหนึ่งพ้นจากตำแหน่ง มาตรา ๗๙ บรรดานิคมอุตสาหกรรมทั่วไปที่ได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้ถือว่าเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไปตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๘๐ บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับและคำสั่ง ซึ่งออกหรือสั่งโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ และใช้บังคับอยู่ในวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษาให้ใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นไปด้วยดียิ่งขึ้นและเหมาะสมกับสภาวะการณ์ในปัจจุบัน สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสียใหม่ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔[๒๐] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้นไป *มาตรา ๓ ให้แก้คำว่า “ภาษีการค้า” ในมาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ มาตรา ๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นคำว่า “ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต” หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้ยกเลิกภาษีการค้าและนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้ผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่เคยได้รับยกเว้นภาษีการค้า ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มแทน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙[๒๑] หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติบางประการจึงไม่เหมาะสมกับสภาพของการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าของประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สมควรเพิ่มบทบาทในด้านการค้าและการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศให้ต่อเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อให้สามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบของวงจรเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในเขตพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมที่จะจัดตั้งขึ้นยังอาจมีพื้นที่ครอบคลุมที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินด้วย สมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการถอนสภาพและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเพื่อให้เกิดความคล่องตัว และเหมาะสมกับการดำเนินการนิคมอุตสาหกรรม และโดยที่การจัดการและการจัดสรรที่ดินในเขตนิคมอุตสาหกรรมมีขั้นตอนตามกฎหมายต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติหลายฉบับ อันทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องเพื่อลดขั้นตอนและเวลาในการดำเนินการให้น้อยลง เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศสอดคล้องกับภาวะการแข่งขันและการลงทุนระหว่างประเทศ และโดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมให้ กนอ. มีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญได้ โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ วศิน/ผู้จัดทำ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๒ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๖/ตอนที่ ๔๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๐/๒๔ มีนาคม ๒๕๒๒ [๒] มาตรา ๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๓] มาตรา ๖ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๔] มาตรา ๑๐ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๕] มาตรา ๑๐ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๖] มาตรา ๑๐ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๗] มาตรา ๓๖ วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๘] มาตรา ๓๖ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๙] มาตรา ๓๘ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๐] มาตรา ๓๙ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๑] มาตรา ๔๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๒] มาตรา ๔๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๓] มาตรา ๔๗ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๔] มาตรา ๔๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๕] มาตรา ๔๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๖] มาตรา ๕๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๗] มาตรา ๕๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๘] มาตรา ๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๑๙] มาตรา ๖๖ (๗) ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ [๒๐] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๒๐๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๒๒๕/๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ [๒๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๓/ตอนที่ ๕๔ ก/หน้า ๑๔/๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๙
301972
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539
พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นปีที่ ๕๑ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “นิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า เขตอุตสาหกรรมทั่วไปหรือเขตอุตสาหกรรมส่งออก “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรมและกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรม “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรมการค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศและกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมการค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม “การค้าเพื่อส่งออก” หมายความว่า การค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ “ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบการค้าหรือการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศในเขตอุตสาหกรรมส่งออก “ผลิต” หมายความรวมถึงทำ สร้าง ผสม ประกอบ หรือบรรจุด้วย “ภาษีสรรพสามิต” หมายความว่า ภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งผู้ว่าการ “ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้” มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความใน (๒) ของมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(๒) การปรับปรุงที่ดินตาม (๑) เพื่อให้บริการ ตลอดจนจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก และผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก เช่น การจัดให้มีถนน ท่อระบายน้ำ โรงบำบัดน้ำเสีย ไฟฟ้า ประปา และโทรคมนาคม เป็นต้น” มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความใน (๑) และ (๒) ของมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(๑) การสำรวจ วางแผน ออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก และผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี (๒) การกำหนดประเภทและขนาดของกิจการอุตสาหกรรม การค้าเพื่อส่งออกหรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด” มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความใน (๔) ของมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(๔) การควบคุมการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก ผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก และผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายรวมทั้งการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขหรือที่กระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม” มาตรา ๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสี่ของมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “การกำหนดให้เขตอุตสาหกรรมส่งออกใดเป็นเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่มีการค้าเพื่อส่งออกให้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา” มาตรา ๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓๖ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “มาตรา ๓๖ ทวิ เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๓๖ วรรคสาม จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในเขตดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ กนอ. เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในกรณีที่พลเมืองเลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้น หรือได้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว หรือในกรณีที่พลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่หรือยังไม่เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอม และ กนอ. ได้จัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทน โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน (๒) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะหรือที่ดินที่ได้สงวนหรือหวงห้ามไว้ตามความต้องการของทางราชการเมื่อกระทรวงการคลังได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงการคลังกำหนดแล้วให้พระราชกฤษฎีกานั้นมีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพหรือโอนตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ (๓) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและ กนอ. ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังตามราคาที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดแล้ว ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไปให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่ กนอ. ประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกานั้น และเมื่อได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้ กนอ. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นภายใต้เงื่อนไขเช่นเดียวกับที่กล่าวในวรรคหนึ่ง” มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยการเวนคืนตามวรรคหนึ่งให้ตกเป็นของ กนอ. และให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการโอนไปยังผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณีได้” มาตรา ๑๐ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ “มาตรา ๓๙ ทวิ การจัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการจัดสรรที่ดินของเอกชน แต่การอนุญาตซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้” มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๔ และมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๔๔ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกอาจได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหรือในเขตอุตสาหกรรมส่งออก แล้วแต่กรณี เพื่อประกอบกิจการได้ตามจำนวนเนื้อที่ที่คณะกรรมการเห็นสมควรแม้ว่าจะเกินกำหนดที่จะพึงมีได้ตามกฎหมายอื่น ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก ซึ่งเป็นคนต่างด้าวเลิกกิจการหรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกต้องจำหน่ายที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์และส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือผู้รับโอนกิจการ แล้วแต่กรณีภายในเวลาสามปีนับแต่วันที่เลิกหรือโอนกิจการ มิฉะนั้นให้อธิบดีกรมที่ดินจำหน่ายที่ดินและส่วนควบกับที่ดินนั้นให้แก่ กนอ. หรือบุคคลอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๔๕ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวซึ่งเป็น (๑) ช่างฝีมือ (๒) ผู้ชำนาญการ (๓) คู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของบุคคลใน (๑) หรือ (๒) เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและภายในกำหนดระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร แม้ว่าจะเกินกำหนดจำนวนหรือระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง” มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๔๗ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกซึ่งมีภูมิลำเนานอกราชอาณาจักรจะได้รับอนุญาตให้นำหรือส่งเงินออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเงินตราต่างประเทศได้ เมื่อเงินนั้นเป็น (๑) เงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและเงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นที่เกิดจากเงินทุนนั้น (๒) เงินกู้ต่างประเทศที่นำมาลงทุนในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออกตามสัญญาที่ กนอ. ให้ความเห็นชอบ รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินกู้ต่างประเทศนั้น (๓) เงินที่มีข้อผูกพันกับต่างประเทศตามสัญญาเกี่ยวกับการใช้สิทธิและบริการต่าง ๆ ในการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออกและสัญญานั้นได้รับความเห็นชอบจาก กนอ.” มาตรา ๑๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๘ และมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๔๘ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกในเขตอุตสาหกรรมส่งออกจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต สำหรับของที่เป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของสิ่งดังกล่าวที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้าหรือการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี และของที่ใช้ในการสร้าง ประกอบหรือติดตั้งเป็นโรงงานหรืออาคารในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ทั้งนี้ เท่าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามที่คณะกรรมการอนุมัติ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๙ ของที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกนำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า หรือเพื่อการค้าเพื่อส่งออก ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ ให้รวมถึงของที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกแห่งหนึ่งไปยังเขตอุตสาหกรรมส่งออกอีกแห่งหนึ่งด้วย” มาตรา ๑๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒)พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๕๑ ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามมาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และของตามมาตรา ๕๒ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตอุตสาหกรรมส่งออก หากนำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร จะต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ ตามสภาพ ราคา และอัตราภาษีอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกโดยถือเสมือนว่าได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก” มาตรา ๑๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๔ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๕๔ ของที่ไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ซึ่งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออกขออนุญาตเป็นหนังสือต่อ กนอ. เพื่อทำลาย หรือในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรสั่งให้ทำลายของดังกล่าว ให้ กนอ. แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี หรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และอธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายทราบ และให้อธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายสั่งดำเนินการทำลายของนั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด ในกรณีที่ กนอ. ไม่อาจแจ้งให้บุคคลตามวรรคหนึ่งทราบได้ เมื่อ กนอ. ได้ปิดประกาศไว้ ณ สำนักงานของบุคคลดังกล่าวที่อยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเป็นเวลาเจ็ดวัน ให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งแล้ว ของที่ได้ถูกทำลายตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในวรรคหนึ่งให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต” มาตรา ๑๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๕๗ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก หรือของผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์ หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี ในนิคมอุตสาหกรรมในระหว่างเวลาทำการเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงหรือเพื่อตรวจสอบเอกสารหรือสิ่งของใด ๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการจากบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นได้ตามความจำเป็น ในกรณีเช่นนี้ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวต้องให้ความสะดวกตามสมควร ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าไปในสถานที่ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าการ หรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการค้าเพื่อส่งออก หรือผู้ประกอบกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมหรือการประกอบการค้าเพื่อส่งออก แล้วแต่กรณี ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง เว้นแต่กรณีที่ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายจะเห็นว่าเป็นการเร่งด่วน” มาตรา ๑๗ ให้ยกเลิก (๗) ของมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติบางประการจึงไม่เหมาะสมกับสภาพของการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าของประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สมควรเพิ่มบทบาทในด้านการค้าและการบริการเพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศให้ต่อเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อให้สามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบของวงจรเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในเขตพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมที่จะจัดตั้งขึ้นยังอาจมีพื้นที่ครอบคลุมที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินด้วย สมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการถอนสภาพและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเพื่อให้เกิดความคล่องตัว และเหมาะสมกับการดำเนินการนิคมอุตสาหกรรม และโดยที่การจัดการและการจัดสรรที่ดินในเขตนิคมอุตสาหกรรมมีขั้นตอนตามกฎหมายต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติหลายฉบับ อันทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องเพื่อลดขั้นตอนและเวลาในการดำเนินการให้น้อยลง เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศสอดคล้องกับภาวะการแข่งขันและการลงทุนระหว่างประเทศ และโดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมให้ กนอ. มีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญได้ โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สุนันทา/แก้ไข ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ วศิน/แก้ไข ๒๑ เมษายน ๒๕๕๒ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๓/ตอนที่ ๕๔ ก/หน้า ๑๔/๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๙
315598
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 (Update ณ วันที่ 21/11/2534)
พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “นิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า เขตอุตสาหกรรมทั่วไปหรือเขตอุตสาหกรรมส่งออก “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรมและกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรม “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรมและกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมเพื่อส่งผลิตภัณฑ์ออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม “ผลิต” หมายความรวมถึง ทำ สร้าง ผสม ประกอบ หรือบรรจุด้วย “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรวมทั้งผู้ว่าการ “ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๖ ให้จัดตั้งการนิคมอุตสาหกรรมขึ้น เรียกว่า “การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” เรียกโดยย่อว่า “กนอ.” และให้เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ (๑) การจัดให้ได้มาซึ่งที่ดินที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม หรือเพื่อดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับ กนอ. (๒) การปรับปรุงที่ดินตาม (๑) เพื่อให้บริการ ตลอดจนจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรม เช่น การจัดให้มีถนน ท่อระบายน้ำ โรงขจัดน้ำเสีย ไฟฟ้าและประปา เป็นต้น (๓) การให้เช่า ให้เช่าซื้อ และขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรมหรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของนิคมอุตสาหกรรมโดยตรง (๔) การดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๕) การร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นตามวัตถุประสงค์ใน (๑) (๒) หรือ (๓) รวมทั้งการเข้าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือถือหุ้นในนิติบุคคลใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๖) การส่งเสริมและควบคุมนิคมอุตสาหกรรมของเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐ มาตรา ๗ ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้แก่ กนอ. ทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งเมื่อได้หักหนี้ออกแล้วให้ถือเป็นทุนของ กนอ. มาตรา ๘ ทุนของ กนอ. ประกอบด้วย (๑) ทรัพย์สินที่ได้รับโอนตามมาตรา ๗ (๒) เงินที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน (๓) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากรัฐบาลหรือบุคคลอื่น (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับความช่วยเหลือจากแหล่งในประเทศหรือ ต่างประเทศหรือจากองค์การระหว่างประเทศ มาตรา ๙ ให้ กนอ. ตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใกล้เคียงและจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมด้วยก็ได้ มาตรา ๑๐ ให้ กนอ. มีอำนาจกระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๖ อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑) การสำรวจ วางแผน ออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบกิจการที่เป็นประโยชน์หรือต่อเนื่องกับผู้ประกอบอุตสาหกรรม (๒) การกำหนดประเภทและขนาดของกิจการอุตสาหกรรมที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรม (๓) การตรวจตราความเป็นอยู่ของคนงานในนิคมอุตสาหกรรม (๔) การควบคุมการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบกิจการที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมาย รวมทั้งการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขและที่กระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม (๕) การลงทุน (๖) การกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในกิจการของ กนอ. (๗) การออกพันธบัตร หรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน มาตรา ๑๑ ให้ กนอ. มีอำนาจตรวจสอบและรับรองชนิดและปริมาณของวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ หรือชนิดและจำนวนของเครื่องจักรสำหรับกรณีที่จำเป็นจะต้องออกใบรับรองหรือในกรณีที่นำเข้ามาในหรือนำออกไปจากนิคมอุตสาหกรรมซึ่งของดังกล่าว ทั้งนี้ โดยเรียกเก็บค่าบริการตามที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๑๒ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมในอัตราอันสมควรเพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับการดังต่อไปนี้ (๑) การใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นในการดำเนินกิจการของ กนอ. รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา โบนัส และกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานและครอบครัว (๒) การชำระหนี้สินเท่าที่จำนวนเงินเพื่อการชำระนั้นเกินจำนวนที่จัดสรรไว้ เป็นค่าเสื่อมราคาและสำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการจัดหาทรัพย์สินใหม่แทนทรัพย์สินเดิม (๓) การจัดให้มีเงินสำรองและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการขยายกิจการและลงทุน มาตรา ๑๓ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าซื้อ และราคาขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ตามที่เห็นสมควร มาตรา ๑๔ เมื่อได้ประกาศเขตพื้นที่ใดเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ แล้ว ให้ กนอ. มีอำนาจกำหนดราคาขาย ค่าเช่า และค่าเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมนั้น ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมในด้านธุรกิจ มาตรา ๑๕ รายได้ที่ กนอ. ได้รับจากการดำเนินกิจการในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของกนอ. และเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับการดำเนินกิจการ และค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษาและค่าเสื่อมราคา ตลอดจนหักเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ ประโยชน์ตอบแทนและโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ หรือเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา ๓๔ และเงินลงทุนตามมาตรา ๖๖ แล้วเหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่งซึ่งมิใช่เป็นรายจ่ายที่หักเป็นเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ และโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ และ กนอ. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ กนอ. เท่าจำนวนที่ขาด มาตรา ๑๖ เงินสำรองของ กนอ. ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่นเพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการจะเห็นสมควร เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มาตรา ๑๗ ทรัพย์สินของ กนอ. ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ส่วนที่ ๒ คณะกรรมการและผู้ว่าการ มาตรา ๑๘ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบคน รวมทั้งผู้ว่าการซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นซึ่งมิใช่กรรมการโดยตำแหน่ง มาตรา ๑๙ ผู้ซึ่งจะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้ว่าการต้องมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับบริหารธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมือง เศรษฐศาสตร์ การพาณิชย์ การคลัง หรือกฎหมาย มาตรา ๒๐ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) และ (๒) และไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม (๓) (๔) (๕) (๖) และ (๗) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๔) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๕) เป็นข้าราชการการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในทางการเมือง (๖) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๗) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพอย่างเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๑ ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้ประธานกรรมการ และกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไปจนกว่าคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ มาตรา ๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๒๑ ประธานกรรมการ หรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก (๔) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๕) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อมให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วนั้น มาตรา ๒๓ ให้คณะกรรมการมีอำนาจวางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของ กนอ. อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ (๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ (๓) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจัดแบ่งส่วนงาน วิธีปฏิบัติงาน และการเงินของ กนอ. (๔) การออกระเบียบหรือข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างของพนักงานและลูกจ้าง (๕) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง การออกจากตำแหน่ง วินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง (๖) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจ่ายค่าพาหนะและเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่าที่พัก ค่าล่วงเวลา และการจ่ายเงินอื่น ๆ (๗) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง (๘) การออกระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง (๙) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบัตรประจำตัวหรือเครื่องแต่งกายของบุคคลซึ่งปฏิบัติงานภายในเขตอุตสาหกรรมส่งออก (๑๐) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบุคคลซึ่งเข้าไปหรืออยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก (๑๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัว ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (๑๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของ กนอ. (๑๓) การกำหนดราคาขาย อัตราค่าเช่า ค่าเช่าซื้อ และระยะเวลาการเช่าและเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก และอัตราค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรม ระเบียบหรือข้อบังคับตาม (๓) ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจของผู้ว่าการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด ให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๒๔ เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ กนอ. ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ กนอ. และกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการได้ มาตรา ๒๕ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้ว่าการและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๖ ผู้ว่าการต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) (๒) และ (๓) และไม่มีลักษณะต้องห้าม ตาม (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ (๓) สามารถทำงานให้แก่ กนอ. ได้เต็มเวลา (๔) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๕) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๖) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ รวมทั้งข้าราชการการเมือง ลูกจ้างของกระทรวงทบวงกรมหรือทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่า หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น (๗) ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง รวมทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหาร ท้องถิ่น (๘) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๙) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม เว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๗ ผู้ว่าการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๖ (๕) คณะกรรมการให้ออกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมดโดยไม่นับรวมผู้ว่าการ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย มาตรา ๒๘ ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ กนอ. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด และมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้าง ในการบริหารกิจการ ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการ มาตรา ๒๙ ผู้ว่าการมีอำนาจ (๑) กำหนดระเบียบและวิธีปฏิบัติงาน ในการทำงานของพนักงานหรือลูกจ้าง (๒) ออกระเบียบในการบริหารกิจการของ กนอ. ทั้งนี้ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ (๓) บรรจุ แต่งตั้งและถอดถอน เลื่อน ลด และตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ตลอดจนลงโทษทางวินัยแก่พนักงานและลูกจ้าง ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๐ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้ว่าการเป็นตัวแทน กนอ. เพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดกระทำกิจการเฉพาะอย่างแทนก็ได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ย่อมไม่ผูกพัน กนอ. เว้นแต่คณะกรรมการจะได้ให้สัตยาบัน มาตรา ๓๑ เมื่อผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้หรือเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการว่างลงให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานเป็นผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการแล้วแต่กรณี และให้นำมาตรา ๒๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการ เว้นแต่อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการในฐานะกรรมการ มาตรา ๓๒ ประธานกรรมการและกรรมการ ย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนและอาจได้รับโบนัส ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ส่วนที่ ๓ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๓๓ ให้พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิอุทธรณ์เกี่ยวกับการลงโทษหรือร้องทุกข์ได้ตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๔ ให้ กนอ. จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัว ในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์ มาตรา ๓๕ พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับโบนัสตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หมวด ๒ นิคมอุตสาหกรรม ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๓๖ นิคมอุตสาหกรรมมีสองประเภทคือ (๑) เขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๒) เขตอุตสาหกรรมส่งออก การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายประกาศด้วย การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายพระราชกฤษฎีกาด้วย มาตรา ๓๗ นิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๓๘ เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในการนี้ จะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่คิดว่าจะเวนคืนไว้ก่อนก็ได้ และให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยการเวนคืนตามวรรคหนึ่งให้ตกเป็นของ กนอ. และให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการโอนไปยังผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมได้ มาตรา ๓๙ เขตพื้นที่ใดที่บุคคลใดได้จัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมถ้าได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๓๗ แล้ว คณะกรรมการด้วยความยินยอมของเจ้าของที่ดินอาจดำเนินการให้พื้นที่นั้นเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ได้ มาตรา ๔๐ ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อที่มีอักษรไทยประกอบหรืออักษรต่างประเทศซึ่งแปลหรืออ่านว่า “นิคมอุตสาหกรรม” “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” หรือ “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” ในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจโดยมิได้เป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ ส่วนที่ ๒ การประกอบกิจการ ประโยชน์ และข้อห้าม มาตรา ๔๑ ผู้ใดจะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การขออนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๒ บรรดาการปลูกสร้างอาคาร การตั้งโรงงาน และการประกอบกิจการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการก่อสร้างอาคาร และกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง แต่การอนุญาตซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย มาตรา ๔๓ ในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา ๔๒ หรือในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารผิดแผกจากแผนผังแบบก่อสร้างหรือรายการที่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในใบอนุญาต ให้ กนอ. มีอำนาจสั่งระงับการก่อสร้าง แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสมควร โดยแจ้งระยะเวลาให้ผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารทราบ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งแล้ว และผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ กนอ. ให้ กนอ. มีอำนาจจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารนั้นได้โดยคิดค่าใช้จ่ายจากผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารนั้น มาตรา ๔๔ ผู้ประกอบอุตสาหกรรม อาจได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อประกอบกิจการได้ตามจำนวนเนื้อที่ที่คณะกรรมการเห็นสมควรแม้ว่าจะเกินกำหนดที่จะพึงมีได้ตามกฎหมายอื่น ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งเป็นคนต่างด้าวเลิกกิจการ หรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจำหน่ายที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ให้แก่ กนอ. หรือผู้รับโอนกิจการ แล้วแต่กรณี ภายในเวลาสามปีนับแต่วันที่เลิกหรือโอนกิจการ มิฉะนั้นให้อธิบดีกรมที่ดินจำหน่ายที่ดินนั้นตามประมวลกฎหมายที่ดินให้แก่ กนอ. มาตรา ๔๕ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้ มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวซึ่งเป็น (๑) ช่างฝีมือ (๒) ผู้ชำนาญการ (๓) คู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของบุคคลใน (๑) หรือ (๒) เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและภายในกำหนดระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร แม้ว่าจะเกินกำหนดจำนวนหรือระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง มาตรา ๔๖ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา ๔๕ ได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะตำแหน่งหน้าที่การทำงานที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ ตลอดระยะเวลาเท่าที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร มาตรา ๔๗ ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ซึ่งมีภูมิลำเนานอกราชอาณาจักรจะได้รับอนุญาตให้นำหรือส่งเงินออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเงินตราต่างประเทศได้ เมื่อเงินนั้นเป็น (๑) เงินทุนที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมนำเข้ามาในราชอาณาจักรและเงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นที่เกิดจากเงินทุนนั้น (๒) เงินกู้ต่างประเทศที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมนำมาลงทุนในการประกอบอุตสาหกรรมตามสัญญาที่ กนอ. ให้ความเห็นชอบ รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินกู้ต่างประเทศนั้น (๓) เงินที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีข้อผูกพันกับต่างประเทศตามสัญญาเกี่ยวกับการใช้สิทธิและบริการต่าง ๆ ในการประกอบอุตสาหกรรมและสัญญานั้นได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. ในกรณีที่ระยะเวลาใดดุลการชำระเงินต้องประสบความยุ่งยากจำเป็นต้องสงวนเงินตราต่างประเทศให้มีสำรองไว้ตามสมควร ธนาคารแห่งประเทศไทยจะจำกัดการนำหรือส่งเงินนั้นออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อผลดังกล่าวนั้นก็ได้ แต่จะไม่จำกัดการส่งเงินทุนที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักรต่ำกว่าร้อยละยี่สิบต่อปีของยอดเงินทุนดังกล่าวที่เหลืออยู่ในวันที่ ๓๑ ธันวาคมของปี ถ้าการส่งเงินนั้นกระทำภายหลังที่นำเข้ามาแล้วเป็นเวลาสองปี และจะไม่จำกัดการส่งเงินปันผลต่ำกว่าร้อยละสิบห้าต่อปีของเงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร และเหลืออยู่ในขณะที่ขอส่งเงินปันผลออก มาตรา ๔๘ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออกจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต*สำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของสิ่งดังกล่าว ที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้าและของที่ใช้ในการสร้าง ประกอบ หรือติดตั้งเป็นโรงงานหรืออาคารในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ทั้งนี้ เท่าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามที่คณะกรรมการอนุมัติและต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๙ ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วย การส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต* มาตรา ๕๐ ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามมาตรา ๔๙ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตอุตสาหกรรมส่งออก หากส่งออกไปนอกราชอาณาจักรให้ได้รับยกเว้นอากรขาออกและภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต* มาตรา ๕๑ ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกรวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตหากนำออกจากเขตอุตสาหกรรมเพื่อใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร จะต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต* ทั้งนี้ ตามสภาพ ตามราคา และตามอัตราภาษีอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกโดยถือเสมือนว่าได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก มาตรา ๕๒ ของที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรเมื่อได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แม้มิได้ส่งออกแต่ได้นำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก เพื่อใช้ตามมาตรา ๔๘ หรือมาตรา ๔๙ ให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรโดยถือเสมือนว่าได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในวันที่นำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก มาตรา ๕๓ การนำของเข้ามาในหรือนำออกไปจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก การเก็บรักษา และการควบคุมการขนย้าย ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการนำของเข้า การส่งของออก และการเก็บของในคลังสินค้า ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม กับทั้งต้องปฏิบัติตามระเบียบและพิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด และให้นำบทลงโทษตามกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับด้วย มาตรา ๕๔ ในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรสั่งให้ทำลายวัสดุที่ไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ซึ่งอยู่ในอุตสาหรรมส่งออก ให้ กนอ. แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือตัวแทนและอธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายทราบ และให้อธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายสั่งดำเนินการทำลายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรเห็นสมควร ของที่ได้ถูกทำลายตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในวรรคหนึ่งให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต* มาตรา ๕๕ ห้ามมิให้ผู้ใดนำของในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ออกไปจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๕๖ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหรืออยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายและต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับของ กนอ. การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่คณะกรรมการกำหนด หมวด ๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา ๕๗ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ของผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือของผู้ประกอบกิจการอื่นในนิคมอุตสาหกรรมในระหว่างเวลาทำการ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง หรือเพื่อตรวจสอบเอกสารหรือสิ่งของใด ๆ ที่เกี่ยวกับกิจการอุตสาหกรรม หรือกิจการอื่นจากบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นได้ตามความจำเป็น ในกรณีเช่นนี้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการอื่นต้องให้ความสะดวกตามสมควร ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าไปในสถานที่ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการอื่นทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง เว้นแต่กรณีที่ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายจะเห็นว่าเป็นการเร่งด่วน มาตรา ๕๘ พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรมีอำนาจตรวจค้นโรงงาน อาคาร ยานพาหนะ และบุคคล รวมตลอดถึงของใด ๆ ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก มาตรา ๕๙ ถ้าพบผู้ใดกำลังกระทำความผิด หรือพยายามกระทำความผิดหรือใช้ หรือช่วย หรือยุยง ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายว่าด้วยศุลกากรในนิคมอุตสาหกรรม พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับผู้นั้นได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ แล้วนำส่งพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาพร้อมด้วยของกลางเพื่อดำเนินการต่อไป มาตรา ๖๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ หรือมาตรา ๕๙ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวงต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง มาตรา ๖๑ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด ๔ การควบคุม มาตรา ๖๒ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กนอ. เพื่อการนี้จะสั่งให้ กนอ. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของ กนอ. ได้ มาตรา ๖๓ ในกรณี กนอ. จะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี ให้นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี มาตรา ๖๔ ในการดำเนินกิจการของ กนอ. ให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน มาตรา ๖๕ ให้ กนอ. เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของกระทรวงการคลัง มาตรา ๖๖ กนอ. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้ (๑) การลงทุนเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม (๒) การเพิ่มทุนโดยตีราคาทรัพย์สินใหม่ (๓) การลดทุน (๔) การกู้ยืมเงินเกินสิบล้านบาท (๕) การออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน (๖) การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินหนึ่งล้านบาท เว้นแต่เป็นการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรม (๗) การจำหน่ายทรัพย์สินเกินหนึ่งล้านบาทจากบัญชีเป็นสูญ มาตรา ๖๗ ให้ กนอ. จัดทำงบประมาณประจำปีโดยแยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ สำหรับงบลงทุนให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ มาตรา ๖๘ ให้ กนอ. วางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ (๑) การรับและจ่ายเงิน (๒) สินทรัพย์และหนี้สินซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่สมควรโดยพิจารณาตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ มาตรา ๖๙ ทุกปี ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรวมทั้งการเงินของ กนอ. มาตรา ๗๐ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีมีอำนาจสอบสรรพสมุดบัญชีและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของ กนอ. เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการอนุกรรมการ พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๗๑ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีต้องทำรายงานผลของการสอบบัญชีเสนอคณะรัฐมนตรี ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีและให้ กนอ. โฆษณารายงานประจำปีของปีที่สิ้นไปนั้น แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี หมวด ๕ บทกำหนดโทษ มาตรา ๗๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๔๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาทและปรับอีกวันละสองร้อยบาทตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะเลิกใช้ มาตรา ๗๓ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท และให้ศาลสั่งให้ผู้นั้นหยุดประกอบกิจการจนกว่าจะได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๔ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ของที่นำออกไปโดยฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ให้ริบเสียทั้งสิ้น มาตรา ๗๕ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา ๗๖ ผู้ใดไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรตามมาตรา ๕๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท บทเฉพาะกาล มาตรา ๗๗ ให้ผู้อำนวยการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๘ ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ประธานกรรมการและกรรมการดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยขึ้นใหม่ เมื่อได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามวรรคหนึ่งพ้นจากตำแหน่ง มาตรา ๗๙ บรรดานิคมอุตสาหกรรมทั่วไปที่ได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้ถือว่าเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไปตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๘๐ บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับและคำสั่ง ซึ่งออกหรือสั่งโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ และใช้บังคับอยู่ในวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษาให้ใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นไปด้วยดียิ่งขึ้นและเหมาะสมกับสภาวะการณ์ในปัจจุบัน สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสียใหม่ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔[๒] มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้นไป *มาตรา ๓ ให้แก้คำว่า “ภาษีการค้า” ในมาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ มาตรา ๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นคำว่า “ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต” หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้ยกเลิกภาษีการค้าและนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้ผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่เคยได้รับยกเว้นภาษีการค้า ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มแทน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ วศิน/ผู้จัดทำ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๒ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๖/ตอนที่ ๔๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๐/๒๔ มีนาคม ๒๕๒๒ [๒] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๒๐๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๒๒๕/๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๔
301971
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2534
พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นปีที่ ๔๖ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้แก้คำว่า “ภาษีการค้า” ในมาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ มาตรา ๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นคำว่า “ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต” ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้ยกเลิกภาษีการค้าและนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้ผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่เคยได้รับยกเว้นภาษีการค้า ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มแทน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สุนันทา/แก้ไข ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ วศิน/แก้ไข ๒๑ เมษายน ๒๕๕๒ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๒๐๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๒๒๕/๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๔
326976
พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522
พระราชบัญญัติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒” มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “นิคมอุตสาหกรรม” หมายความว่า เขตอุตสาหกรรมทั่วไปหรือเขตอุตสาหกรรมส่งออก “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรมและกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรม “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” หมายความว่า เขตพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรมและกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมเพื่อส่งผลิตภัณฑ์ออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ “ผู้ประกอบอุตสาหกรรม” หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม “ผลิต” หมายความรวมถึง ทำ สร้าง ผสม ประกอบ หรือบรรจุด้วย “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “ผู้ว่าการ” หมายความว่า ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรวมทั้งผู้ว่าการ “ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้ หมวด ๑ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๖ ให้จัดตั้งการนิคมอุตสาหกรรมขึ้น เรียกว่า “การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” เรียกโดยย่อว่า “กนอ.” และให้เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ (๑) การจัดให้ได้มาซึ่งที่ดินที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม หรือเพื่อดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับ กนอ. (๒) การปรับปรุงที่ดินตาม (๑) เพื่อให้บริการ ตลอดจนจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรม เช่น การจัดให้มีถนน ท่อระบายน้ำ โรงขจัดน้ำเสีย ไฟฟ้าและประปา เป็นต้น (๓) การให้เช่า ให้เช่าซื้อ และขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรมหรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของนิคมอุตสาหกรรมโดยตรง (๔) การดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๕) การร่วมดำเนินงานกับบุคคลอื่นตามวัตถุประสงค์ใน (๑) (๒) หรือ (๓) รวมทั้งการเข้าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือถือหุ้นในนิติบุคคลใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์ของ กนอ. (๖) การส่งเสริมและควบคุมนิคมอุตสาหกรรมของเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐ มาตรา ๗ ให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้แก่ กนอ. ทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งเมื่อได้หักหนี้ออกแล้วให้ถือเป็นทุนของ กนอ. มาตรา ๘ ทุนของ กนอ. ประกอบด้วย (๑) ทรัพย์สินที่ได้รับโอนตามมาตรา ๗ (๒) เงินที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน (๓) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากรัฐบาลหรือบุคคลอื่น (๔) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับความช่วยเหลือจากแหล่งในประเทศหรือ ต่างประเทศหรือจากองค์การระหว่างประเทศ มาตรา ๙ ให้ กนอ. ตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใกล้เคียงและจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมด้วยก็ได้ มาตรา ๑๐ ให้ กนอ. มีอำนาจกระทำกิจการภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๖ อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑) การสำรวจ วางแผน ออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบกิจการที่เป็นประโยชน์หรือต่อเนื่องกับผู้ประกอบอุตสาหกรรม (๒) การกำหนดประเภทและขนาดของกิจการอุตสาหกรรมที่พึงอนุญาตให้ประกอบในนิคมอุตสาหกรรม (๓) การตรวจตราความเป็นอยู่ของคนงานในนิคมอุตสาหกรรม (๔) การควบคุมการดำเนินงานของผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบกิจการที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ใช้ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมาย รวมทั้งการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขและที่กระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม (๕) การลงทุน (๖) การกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในกิจการของ กนอ. (๗) การออกพันธบัตร หรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน มาตรา ๑๑ ให้ กนอ. มีอำนาจตรวจสอบและรับรองชนิดและปริมาณของวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ หรือชนิดและจำนวนของเครื่องจักรสำหรับกรณีที่จำเป็นจะต้องออกใบรับรองหรือในกรณีที่นำเข้ามาในหรือนำออกไปจากนิคมอุตสาหกรรมซึ่งของดังกล่าว ทั้งนี้ โดยเรียกเก็บค่าบริการตามที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๑๒ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมในอัตราอันสมควรเพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับการดังต่อไปนี้ (๑) การใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นในการดำเนินกิจการของ กนอ. รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา โบนัส และกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานและครอบครัว (๒) การชำระหนี้สินเท่าที่จำนวนเงินเพื่อการชำระนั้นเกินจำนวนที่จัดสรรไว้ เป็นค่าเสื่อมราคาและสำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการจัดหาทรัพย์สินใหม่แทนทรัพย์สินเดิม (๓) การจัดให้มีเงินสำรองและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการขยายกิจการและลงทุน มาตรา ๑๓ ให้ กนอ. กำหนดค่าเช่าซื้อ และราคาขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ตามที่เห็นสมควร มาตรา ๑๔ เมื่อได้ประกาศเขตพื้นที่ใดเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามมาตรา ๓๙ แล้ว ให้ กนอ. มีอำนาจกำหนดราคาขาย ค่าเช่า และค่าเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรมนั้น ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมในด้านธุรกิจ มาตรา ๑๕ รายได้ที่ กนอ. ได้รับจากการดำเนินกิจการในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของกนอ. และเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับการดำเนินกิจการ และค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษาและค่าเสื่อมราคา ตลอดจนหักเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ ประโยชน์ตอบแทนและโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ หรือเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา ๓๔ และเงินลงทุนตามมาตรา ๖๖ แล้วเหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ถ้ารายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่งซึ่งมิใช่เป็นรายจ่ายที่หักเป็นเงินสำรองตามมาตรา ๑๖ และโบนัสตามมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๕ และ กนอ. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ กนอ. เท่าจำนวนที่ขาด มาตรา ๑๖ เงินสำรองของ กนอ. ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่นเพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการจะเห็นสมควร เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มาตรา ๑๗ ทรัพย์สินของ กนอ. ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ส่วนที่ ๒ คณะกรรมการและผู้ว่าการ มาตรา ๑๘ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบคน รวมทั้งผู้ว่าการซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นซึ่งมิใช่กรรมการโดยตำแหน่ง มาตรา ๑๙ ผู้ซึ่งจะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้ว่าการต้องมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับบริหารธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมือง เศรษฐศาสตร์ การพาณิชย์ การคลัง หรือกฎหมาย มาตรา ๒๐ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) และ (๒) และไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม (๓) (๔) (๕) (๖) และ (๗) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๔) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๕) เป็นข้าราชการการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในทางการเมือง (๖) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๗) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพอย่างเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๑ ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้ประธานกรรมการ และกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไปจนกว่าคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ มาตรา ๒๒ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๒๑ ประธานกรรมการ หรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก (๔) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๕) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อมให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วนั้น มาตรา ๒๓ ให้คณะกรรมการมีอำนาจวางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของ กนอ. อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ (๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมและการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ (๓) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจัดแบ่งส่วนงาน วิธีปฏิบัติงาน และการเงินของ กนอ. (๔) การออกระเบียบหรือข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างของพนักงานและลูกจ้าง (๕) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง การออกจากตำแหน่ง วินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง (๖) การออกระเบียบหรือข้อบังคับการจ่ายค่าพาหนะและเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่าที่พัก ค่าล่วงเวลา และการจ่ายเงินอื่น ๆ (๗) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง (๘) การออกระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง (๙) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบัตรประจำตัวหรือเครื่องแต่งกายของบุคคลซึ่งปฏิบัติงานภายในเขตอุตสาหกรรมส่งออก (๑๐) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับบุคคลซึ่งเข้าไปหรืออยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก (๑๑) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัว ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (๑๒) การออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของ กนอ. (๑๓) การกำหนดราคาขาย อัตราค่าเช่า ค่าเช่าซื้อ และระยะเวลาการเช่าและเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก และอัตราค่าบริการในนิคมอุตสาหกรรม ระเบียบหรือข้อบังคับตาม (๓) ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจของผู้ว่าการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด ให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๒๔ เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ กนอ. ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ กนอ. และกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการได้ มาตรา ๒๕ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้ว่าการและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๖ ผู้ว่าการต้องมีคุณสมบัติตาม (๑) (๒) และ (๓) และไม่มีลักษณะต้องห้าม ตาม (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙) ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ (๓) สามารถทำงานให้แก่ กนอ. ได้เต็มเวลา (๔) เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (๕) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๖) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ รวมทั้งข้าราชการการเมือง ลูกจ้างของกระทรวงทบวงกรมหรือทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่า หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น (๗) ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง รวมทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหาร ท้องถิ่น (๘) เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๙) เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ กนอ. หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กนอ. หรือในกิจการที่มีสภาพเดียวกันและแข่งขันกับ กนอ. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม เว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อการลงทุนโดยสุจริตในนิติบุคคลที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น มาตรา ๒๗ ผู้ว่าการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๖ (๕) คณะกรรมการให้ออกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมดโดยไม่นับรวมผู้ว่าการ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย มาตรา ๒๘ ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ กนอ. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด และมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้าง ในการบริหารกิจการ ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการ มาตรา ๒๙ ผู้ว่าการมีอำนาจ (๑) กำหนดระเบียบและวิธีปฏิบัติงาน ในการทำงานของพนักงานหรือลูกจ้าง (๒) ออกระเบียบในการบริหารกิจการของ กนอ. ทั้งนี้ โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ (๓) บรรจุ แต่งตั้งและถอดถอน เลื่อน ลด และตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ตลอดจนลงโทษทางวินัยแก่พนักงานและลูกจ้าง ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๐ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้ว่าการเป็นตัวแทน กนอ. เพื่อการนี้ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดกระทำกิจการเฉพาะอย่างแทนก็ได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ย่อมไม่ผูกพัน กนอ. เว้นแต่คณะกรรมการจะได้ให้สัตยาบัน มาตรา ๓๑ เมื่อผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้หรือเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการว่างลงให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานเป็นผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการแล้วแต่กรณี และให้นำมาตรา ๒๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ผู้ทำการแทนผู้ว่าการหรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการ เว้นแต่อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการในฐานะกรรมการ มาตรา ๓๒ ประธานกรรมการและกรรมการ ย่อมได้รับประโยชน์ตอบแทนและอาจได้รับโบนัส ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ส่วนที่ ๓ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๓๓ ให้พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิอุทธรณ์เกี่ยวกับการลงโทษหรือร้องทุกข์ได้ตามระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการ มาตรา ๓๔ ให้ กนอ. จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานใน กนอ. และครอบครัว ในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย ตาย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์ มาตรา ๓๕ พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับโบนัสตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หมวด ๒ นิคมอุตสาหกรรม ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง มาตรา ๓๖ นิคมอุตสาหกรรมมีสองประเภทคือ (๑) เขตอุตสาหกรรมทั่วไป (๒) เขตอุตสาหกรรมส่งออก การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายประกาศด้วย การจัดตั้ง การเปลี่ยนแปลงเขต และการยุบเขตอุตสาหกรรมส่งออก ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและให้มีแผนที่กำหนดเขตไว้ท้ายพระราชกฤษฎีกาด้วย มาตรา ๓๗ นิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๓๘ เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม ให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในการนี้ จะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่คิดว่าจะเวนคืนไว้ก่อนก็ได้ และให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยการเวนคืนตามวรรคหนึ่งให้ตกเป็นของ กนอ. และให้ กนอ. มีอำนาจดำเนินการโอนไปยังผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบอุตสาหกรรมได้ มาตรา ๓๙ เขตพื้นที่ใดที่บุคคลใดได้จัดสรรที่ดินเพื่อให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมถ้าได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๓๗ แล้ว คณะกรรมการด้วยความยินยอมของเจ้าของที่ดินอาจดำเนินการให้พื้นที่นั้นเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ได้ มาตรา ๔๐ ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อที่มีอักษรไทยประกอบหรืออักษรต่างประเทศซึ่งแปลหรืออ่านว่า “นิคมอุตสาหกรรม” “เขตอุตสาหกรรมทั่วไป” หรือ “เขตอุตสาหกรรมส่งออก” ในดวงตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจโดยมิได้เป็นนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ ส่วนที่ ๒ การประกอบกิจการ ประโยชน์ และข้อห้าม มาตรา ๔๑ ผู้ใดจะประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การขออนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๒ บรรดาการปลูกสร้างอาคาร การตั้งโรงงาน และการประกอบกิจการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการก่อสร้างอาคาร และกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง แต่การอนุญาตซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย มาตรา ๔๓ ในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา ๔๒ หรือในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารผิดแผกจากแผนผังแบบก่อสร้างหรือรายการที่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในใบอนุญาต ให้ กนอ. มีอำนาจสั่งระงับการก่อสร้าง แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสมควร โดยแจ้งระยะเวลาให้ผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารทราบ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งแล้ว และผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ กนอ. ให้ กนอ. มีอำนาจจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารนั้นได้โดยคิดค่าใช้จ่ายจากผู้ปลูกสร้าง เจ้าของ หรือผู้ครอบครองอาคารนั้น มาตรา ๔๔ ผู้ประกอบอุตสาหกรรม อาจได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อประกอบกิจการได้ตามจำนวนเนื้อที่ที่คณะกรรมการเห็นสมควรแม้ว่าจะเกินกำหนดที่จะพึงมีได้ตามกฎหมายอื่น ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งเป็นคนต่างด้าวเลิกกิจการ หรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ผู้ประกอบอุตสาหกรรมต้องจำหน่ายที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ให้แก่ กนอ. หรือผู้รับโอนกิจการ แล้วแต่กรณี ภายในเวลาสามปีนับแต่วันที่เลิกหรือโอนกิจการ มิฉะนั้นให้อธิบดีกรมที่ดินจำหน่ายที่ดินนั้นตามประมวลกฎหมายที่ดินให้แก่ กนอ. มาตรา ๔๕ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้ มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวซึ่งเป็น (๑) ช่างฝีมือ (๒) ผู้ชำนาญการ (๓) คู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของบุคคลใน (๑) หรือ (๒) เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและภายในกำหนดระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร แม้ว่าจะเกินกำหนดจำนวนหรือระยะเวลาให้อยู่ได้ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง มาตรา ๔๖ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าวเพียงเท่าที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา ๔๕ ได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะตำแหน่งหน้าที่การทำงานที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ ตลอดระยะเวลาเท่าที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร มาตรา ๔๗ ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ซึ่งมีภูมิลำเนานอกราชอาณาจักรจะได้รับอนุญาตให้นำหรือส่งเงินออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นเงินตราต่างประเทศได้ เมื่อเงินนั้นเป็น (๑) เงินทุนที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมนำเข้ามาในราชอาณาจักรและเงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นที่เกิดจากเงินทุนนั้น (๒) เงินกู้ต่างประเทศที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมนำมาลงทุนในการประกอบอุตสาหกรรมตามสัญญาที่ กนอ. ให้ความเห็นชอบ รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินกู้ต่างประเทศนั้น (๓) เงินที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีข้อผูกพันกับต่างประเทศตามสัญญาเกี่ยวกับการใช้สิทธิและบริการต่าง ๆ ในการประกอบอุตสาหกรรมและสัญญานั้นได้รับความเห็นชอบจาก กนอ. ในกรณีที่ระยะเวลาใดดุลการชำระเงินต้องประสบความยุ่งยากจำเป็นต้องสงวนเงินตราต่างประเทศให้มีสำรองไว้ตามสมควร ธนาคารแห่งประเทศไทยจะจำกัดการนำหรือส่งเงินนั้นออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อผลดังกล่าวนั้นก็ได้ แต่จะไม่จำกัดการส่งเงินทุนที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักรต่ำกว่าร้อยละยี่สิบต่อปีของยอดเงินทุนดังกล่าวที่เหลืออยู่ในวันที่ ๓๑ ธันวาคมของปี ถ้าการส่งเงินนั้นกระทำภายหลังที่นำเข้ามาแล้วเป็นเวลาสองปี และจะไม่จำกัดการส่งเงินปันผลต่ำกว่าร้อยละสิบห้าต่อปีของเงินทุนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร และเหลืออยู่ในขณะที่ขอส่งเงินปันผลออก มาตรา ๔๘ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออกจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนอากรขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบของสิ่งดังกล่าว ที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตสินค้าและของที่ใช้ในการสร้าง ประกอบ หรือติดตั้งเป็นโรงงานหรืออาคารในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ทั้งนี้ เท่าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามที่คณะกรรมการอนุมัติและต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๔๙ ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วย การส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้าและภาษีการค้า มาตรา ๕๐ ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามมาตรา ๔๙ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตในเขตอุตสาหกรรมส่งออก หากส่งออกไปนอกราชอาณาจักรให้ได้รับยกเว้นอากรขาออกและภาษีการค้า มาตรา ๕๑ ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออกรวมทั้งผลิตภัณฑ์ สิ่งพลอยได้ และสิ่งอื่นที่ได้จากการผลิตหากนำออกจากเขตอุตสาหกรรมเพื่อใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร จะต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้าและภาษีการค้า ทั้งนี้ ตามสภาพ ตามราคา และตามอัตราภาษีอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกโดยถือเสมือนว่าได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่นำออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก มาตรา ๕๒ ของที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรเมื่อได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แม้มิได้ส่งออกแต่ได้นำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก เพื่อใช้ตามมาตรา ๔๘ หรือมาตรา ๔๙ ให้ได้รับยกเว้นหรือคืนค่าภาษีอากรโดยถือเสมือนว่าได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในวันที่นำเข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก มาตรา ๕๓ การนำของเข้ามาในหรือนำออกไปจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก การเก็บรักษา และการควบคุมการขนย้าย ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการนำของเข้า การส่งของออก และการเก็บของในคลังสินค้า ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม กับทั้งต้องปฏิบัติตามระเบียบและพิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนด และให้นำบทลงโทษตามกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับด้วย มาตรา ๕๔ ในกรณีที่ กนอ. เห็นสมควรสั่งให้ทำลายวัสดุที่ไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ซึ่งอยู่ในอุตสาหรรมส่งออก ให้ กนอ. แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือตัวแทนและอธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายทราบ และให้อธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรมอบหมายสั่งดำเนินการทำลายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรเห็นสมควร ของที่ได้ถูกทำลายตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวในวรรคหนึ่งให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อากรขาเข้าและภาษีการค้า มาตรา ๕๕ ห้ามมิให้ผู้ใดนำของในเขตอุตสาหกรรมส่งออก ออกไปจากเขตอุตสาหกรรมส่งออก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมาย การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา ๕๖ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหรืออยู่ในเขตอุตสาหกรรมส่งออกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายและต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับของ กนอ. การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่คณะกรรมการกำหนด หมวด ๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา ๕๗ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ของผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือของผู้ประกอบกิจการอื่นในนิคมอุตสาหกรรมในระหว่างเวลาทำการ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง หรือเพื่อตรวจสอบเอกสารหรือสิ่งของใด ๆ ที่เกี่ยวกับกิจการอุตสาหกรรม หรือกิจการอื่นจากบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นได้ตามความจำเป็น ในกรณีเช่นนี้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการอื่นต้องให้ความสะดวกตามสมควร ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าไปในสถานที่ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการอื่นทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง เว้นแต่กรณีที่ผู้ว่าการหรือผู้ซึ่งผู้ว่าการมอบหมายจะเห็นว่าเป็นการเร่งด่วน มาตรา ๕๘ พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรมีอำนาจตรวจค้นโรงงาน อาคาร ยานพาหนะ และบุคคล รวมตลอดถึงของใด ๆ ในเขตอุตสาหกรรมส่งออก มาตรา ๕๙ ถ้าพบผู้ใดกำลังกระทำความผิด หรือพยายามกระทำความผิดหรือใช้ หรือช่วย หรือยุยง ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายว่าด้วยศุลกากรในนิคมอุตสาหกรรม พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับผู้นั้นได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ แล้วนำส่งพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาพร้อมด้วยของกลางเพื่อดำเนินการต่อไป มาตรา ๖๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ หรือมาตรา ๕๙ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวงต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง มาตรา ๖๑ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด ๔ การควบคุม มาตรา ๖๒ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กนอ. เพื่อการนี้จะสั่งให้ กนอ. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของ กนอ. ได้ มาตรา ๖๓ ในกรณี กนอ. จะต้องเสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี ให้นำเรื่องเสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี มาตรา ๖๔ ในการดำเนินกิจการของ กนอ. ให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน มาตรา ๖๕ ให้ กนอ. เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารตามระเบียบของกระทรวงการคลัง มาตรา ๖๖ กนอ. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ได้ (๑) การลงทุนเพื่อจัดตั้งหรือขยายนิคมอุตสาหกรรม (๒) การเพิ่มทุนโดยตีราคาทรัพย์สินใหม่ (๓) การลดทุน (๔) การกู้ยืมเงินเกินสิบล้านบาท (๕) การออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน (๖) การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินหนึ่งล้านบาท เว้นแต่เป็นการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรม (๗) การจำหน่ายทรัพย์สินเกินหนึ่งล้านบาทจากบัญชีเป็นสูญ มาตรา ๖๗ ให้ กนอ. จัดทำงบประมาณประจำปีโดยแยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ สำหรับงบลงทุนให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ มาตรา ๖๘ ให้ กนอ. วางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ (๑) การรับและจ่ายเงิน (๒) สินทรัพย์และหนี้สินซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่สมควรโดยพิจารณาตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้น ๆ มาตรา ๖๙ ทุกปี ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรวมทั้งการเงินของ กนอ. มาตรา ๗๐ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีมีอำนาจสอบสรรพสมุดบัญชีและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของ กนอ. เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการอนุกรรมการ พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานและลูกจ้าง มาตรา ๗๑ ผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีต้องทำรายงานผลของการสอบบัญชีเสนอคณะรัฐมนตรี ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีและให้ กนอ. โฆษณารายงานประจำปีของปีที่สิ้นไปนั้น แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีและตรวจบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี หมวด ๕ บทกำหนดโทษ มาตรา ๗๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๔๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาทและปรับอีกวันละสองร้อยบาทตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะเลิกใช้ มาตรา ๗๓ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท และให้ศาลสั่งให้ผู้นั้นหยุดประกอบกิจการจนกว่าจะได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๔ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ของที่นำออกไปโดยฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ให้ริบเสียทั้งสิ้น มาตรา ๗๕ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา ๗๖ ผู้ใดไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรตามมาตรา ๕๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท บทเฉพาะกาล มาตรา ๗๗ ให้ผู้อำนวยการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๗๘ ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ประธานกรรมการและกรรมการดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยขึ้นใหม่ เมื่อได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตามวรรคหนึ่งพ้นจากตำแหน่ง มาตรา ๗๙ บรรดานิคมอุตสาหกรรมทั่วไปที่ได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้ถือว่าเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไปตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๘๐ บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับและคำสั่ง ซึ่งออกหรือสั่งโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ และใช้บังคับอยู่ในวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษาให้ใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นไปด้วยดียิ่งขึ้นและเหมาะสมกับสภาวะการณ์ในปัจจุบัน สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสียใหม่ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น สุนันทา/แก้ไข ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๔ วศิน/แก้ไข ๒๑ เมษายน ๒๕๕๒ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๖/ตอนที่ ๔๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๐/๒๔ มีนาคม ๒๕๒๒
728757
พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. 2534 (ฉบับ Update ล่าสุด)
พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นปีที่ ๔๖ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า ในท้องที่ตำบลบ้านเลน และตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๕ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๓๔ และมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๓๔” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า ในท้องที่ตำบลบ้านเลน และตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑.[๒] แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๓๔ (แก้ไขเพิ่มเติม) (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนและใช้แรงงานภายในประเทศมากขึ้น และอำนวยความสะดวกในด้านสาธารณูปโภคแก่ผู้ลง ทุนเพื่อการส่งออกได้ดียิ่งขึ้น สมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า ในท้องที่ตำบลบ้านเลน และตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่าการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๔๓[๓] มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้าซึ่งจัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ในท้องที่ตำบลบ้านเลน และตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มีผู้ประกอบอุตสาหกรรมขออนุญาตใช้ที่ดินเต็มพื้นที่แล้ว แต่ยังมีผู้ประสงค์จะประกอบกิจการในเขตนี้อยู่อีก สมควรขยายพื้นที่เขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า ในท้องที่ตำบลบ้านเลน และตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกไปโดยนำพื้นที่บางส่วนของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า มากำหนดเพิ่มขึ้นไว้เพื่อรองรับการขยายตัวสำหรับการประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกและจะทำให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออก และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า การเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗[๔] มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้าในท้องที่ตำบลบ้านเลน และตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๔๓ ยังมีผู้ประกอบอุตสาหกรรมจำนวนมากประสงค์ที่จะลงทุนประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกในเขตนี้อยู่อีก สมควรขยายพื้นที่เขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้าดังกล่าว โดยจัดหาพื้นที่เพิ่มเติมส่วนหนึ่งและนำพื้นที่บางส่วนของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า มากำหนดเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวสำหรับการประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก อันเป็นการสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก และทำให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออก และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า การเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตประกอบการเสรี นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า[๕] ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตประกอบการเสรี นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ฉบับที่ ๒)[๖] นุสรา/ปรับปรุง ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๘/ตอนที่ ๒๐๕/ฉบับพิเศษ หน้า ๔๖/๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ [๒] แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตประกอบการเสรี นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ฉบับที่ ๒) [๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๑๗/ตอนที่ ๑๒๐ ก/หน้า ๖/๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๓ [๔] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑/ตอนพิเศษ ๖๘ ก/หน้า ๑/๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ [๕] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๗๒ ง/หน้า ๕๒/๑๘ เมษายน ๒๕๕๑ [๖] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๑๑ ง/หน้า ๒๑/๑๕ มกราคม ๒๕๕๘
728771
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปะอิน พ.ศ. 2535 (ฉบับ Update ล่าสุด)
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปะอิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๕ เป็นปีที่ ๔๗ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปะอิน ในท้องที่ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปะอิน พ.ศ. ๒๕๓๕” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปะอิน ในท้องที่ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑.[๒] แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปะอิน พ.ศ. ๒๕๓๕ (แก้ไขเพิ่มเติม) (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนและใช้แรงงานภายในประเทศมากขึ้น และอำนวยความสะดวกในด้านสาธารณูปโภคแก่ผู้ลงทุนเพื่อการส่งออกได้ดียิ่งขึ้น สมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปะอิน ในท้องที่ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๒ บัญญัติว่าการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตประกอบการเสรี นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน[๓] นุสรา/ปรับปรุง ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๙/ตอนที่ ๔๕/หน้า ๓๗/๙ เมษายน ๒๕๓๕ [๒] แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปะอิน พ.ศ. ๒๕๓๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต เขตประกอบการเสรี นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน [๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนพิเศษ ๑๓ ง/หน้า ๑๖/๑๖ มกราคม ๒๕๕๘
766455
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ่อวิน พ.ศ. 2533 (ฉบับ Update ล่าสุด)
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ่อวิน พ.ศ. ๒๕๓๓ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นปีที่ ๔๕ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ่อวิน ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ่อวิน พ.ศ. ๒๕๓๓” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้จัดตั้งเขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ [คำว่า “เขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี” ได้เปลี่ยนชื่อจากเดิมโดยผลของประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง การเปลี่ยนชื่อ “เขตอุตสาหกรรมส่งออกบ่อวิน” เป็น “เขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี”] มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี พ.ศ. ๒๕๓๓ [คำว่า “เขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี” ได้เปลี่ยนชื่อจากเดิมโดยผลของประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง การเปลี่ยนชื่อ “เขตอุตสาหกรรมส่งออกบ่อวิน” เป็น “เขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี”] (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนและใช้แรงงานภายในประเทศมากขึ้น และอำนวยความสะดวกในด้านสาธารณูปโภคแก่ผู้ลงทุนเพื่อการส่งออกได้ดียิ่งขึ้น สมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ่อวิน ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง การเปลี่ยนชื่อ “เขตอุตสาหกรรมส่งออกบ่อวิน” เป็น “เขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี”[๒] วริญา/ปริยานุช/พิมพ์ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ วริญา/เพิ่มเติม ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ปัญญา/ตรวจ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๗/ตอนที่ ๑๙๘/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๓ ตุลาคม ๒๕๓๓ [๒] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนพิเศษ ๒๕๐ ง/หน้า ๑๗/๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
845091
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร พ.ศ. 2545 (ฉบับ Update ล่าสุด)
พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร พ.ศ. ๒๕๔๕ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นปีที่ ๕๗ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร ในท้องที่ตำบลหนองหลุม อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร พ.ศ. ๒๕๔๕” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร ในท้องที่ตำบลหนองหลุม อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑.[๒] แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร พ.ศ. ๒๕๔๕ (แก้ไขเพิ่มเติม) (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต นิคมอุตสาหกรรมพิจิตร (ฉบับที่ ๒)[๓] ทั้งนี้ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีการลงทุนและใช้แรงงานภายในประเทศมากขึ้น และอำนวยความสะดวกในด้านสาธารณูปโภคแก่ผู้ลงทุนเพื่อการส่งออกได้ดียิ่งขึ้น สมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตรในท้องที่ตำบลหนองหลุม อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร เพื่อรองรับนโยบายดังกล่าว และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๑ นุสรา/ปุณิกา/เพิ่มเติม ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๖๘ ก/หน้า ๑๐/๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๕ [๒] ประกาศคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขต นิคมอุตสาหกรรมพิจิตร (ฉบับที่ ๒) [๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนพิเศษ ๒๗๑ ง/หน้า ๓๓/๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๑
784439
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี และเขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2560
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี และเขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี และเขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี และเขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี และเขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ ๒๒ ไร่ ๑ งาน ๑๘ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี และเขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ เนื้อที่ประมาน ๒๒ ไร่ ๑ งาน ๑๘ ๗/๑๐ ตารางวา (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี และเขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๒๒ ไร่ ๑ งาน ๑๘ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี และเขตประกอบการเสรีเหมราชชลบุรี สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ภวรรณตรี/จัดทำ ๑ กันยายน ๒๕๖๐ ปุณิกา/ตรวจ ๕ กันยายน ๒๕๖๐ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๙๐ ก/หน้า ๑/๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐
748360
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2559
พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๙ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นปีที่ ๗๑ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) ในท้องที่ตำบลห้วยโป่งและตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๙” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๓๒ ไร่ ๑ งาน ๔๖ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๙ เนื้อที่ประมาน ๓๒ ไร่ ๑ งาน ๔๖ ตารางวา (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๓๒ ไร่ ๑ งาน ๔๖ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปิยะธิดา/จัดทำ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๓๐ ก/หน้า ๒๘/๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙
734981
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นปีที่ ๗๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ ๕ ไร่ ๑ งาน ๓๒ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่ ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๓๙ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๕ การเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามมาตรา ๔ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จัดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๘๙๗ โฉนดเลขที่ ๒๔๙๙๒ โฉนดเลขที่ ๒๖๐๖๐ โฉนดเลขที่ ๒๖๐๖๕ โฉนดเลขที่ ๒๖๒๐๔ และโฉนดเลขที่ ๓๒๓๐๒ ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๑ งาน ๒๗ ตารางวา ซึ่งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแทนแล้ว ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นลำรางสาธารณประโยชน์โดยเนื้อที่ประมาณ ๕ ไร่ ๑ งาน ๓๒ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว ส่วนเนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๓๙ ตารางวา พลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด โดยสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว ส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่ กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมโดยรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๘ ปุณิกา/ผู้ตรวจ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนที่ ๘๗ ก/หน้า ๒๖/๙ กันยายน ๒๕๕๘
730671
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นปีที่ ๗๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๑ งาน ๔๗ ๙/๑๐ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๑ งาน ๔๗ ๙/๑๐ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรม อาร์ ไอ แอล สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าวให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ นุสรา/ผู้ตรวจ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนที่ ๕๗ ก/หน้า ๔/๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘
730669
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นปีที่ ๗๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ ๗๗ ๑/๑๐ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ ๗๗ ๑/๑๐ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ นุสรา/ผู้ตรวจ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนที่ ๕๗ ก/หน้า ๑/๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘
660461
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และเขตประกอบการเสรีบางปะอิน ในท้องที่ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2554
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และเขตประกอบการเสรีบางปะอิน ในท้องที่ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปีที่ ๖๖ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และเขตประกอบการเสรีบางปะอิน ในท้องที่ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปะอินและเขตประกอบการเสรีบางปะอิน ในท้องที่ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และเขตประกอบการเสรีบางปะอิน ในท้องที่ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ประมาณ ๒๒ ไร่ ๒ งาน ๑๑ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และเขตประกอบการเสรีบางปะอิน ในท้องที่ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และเขตประกอบการเสรีบางปะอิน ในท้องที่ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นคลองสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๒๒ ไร่ ๒ งาน ๑๑ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และเขตประกอบการเสรีบางปะอิน สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ ณัฐพร/ผู้ตรวจ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘/ตอนที่ ๙๗ ก/หน้า ๒๖/๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔
651837
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2554
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปีที่ ๖๖ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๔๔ ไร่ ๒๔ ๖/๑๐ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่ ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๙ ไร่ ๖๗ ๑/๑๐ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๕ การเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามมาตรา ๔ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จัดที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๓๐๓ โฉนดเลขที่ ๑๐๓๗๒ โฉนดเลขที่ ๑๗๑๐๕ โฉนดเลขที่ ๒๒๘๓๐ โฉนดเลขที่ ๒๒๘๓๑ และโฉนดเลขที่ ๒๒๘๔๙ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ ๑ งาน ๙๓ ๔/๑๐ ตารางวา ซึ่งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแทนแล้ว ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์และลำห้วยสาธารณประโยชน์โดยเนื้อที่ประมาณ ๔๔ ไร่ ๒๔ ๖/๑๐ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้วส่วนเนื้อที่ประมาณ ๙ ไร่ ๖๗ ๑/๑๐ ตารางวา พลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าวเพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด โดยสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว ส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่ กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมโดยรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณัฐวดี ดำรง/ตรวจ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘/ตอนที่ ๖๒ ก/หน้า ๑/๔ สิงหาคม ๒๕๕๔
632294
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2553
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นปีที่ ๖๕ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๓ งาน ๗๑ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๓ งาน ๗๑ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าวเพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ๒๑๐ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ นันท์นภัสร์/ตรวจ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๗/ตอนที่ ๔๔ ก/หน้า ๓๗/๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓
609523
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2552
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นปีที่ ๖๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๗ ไร่ ๑ งาน ๖๙ ตารางวาเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์และลำรางสาธารณประโยชน์เนื้อที่รวมประมาณ ๗ ไร่ ๑ งาน ๖๙ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้วและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความยินยอมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนที่ ๔๗ ก/หน้า ๔/๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒
609517
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2552
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นปีที่ ๖๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ ๗๘ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นลำรางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๗๘ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้วและโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าวให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนที่ ๔๗ ก/หน้า ๑/๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒
595604
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นปีที่ ๖๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๗ ไร่ ๑ งาน ๖๙ ตารางวาเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง ในท้องที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์และลำรางสาธารณประโยชน์เนื้อที่รวมประมาณ ๗ ไร่ ๑ งาน ๖๙ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้วและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมผาแดง สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความยินยอมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนที่ ๔๗ ก/หน้า ๔/๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒
584264
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สินสาคร ในท้องที่ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สินสาคร ในท้องที่ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สินสาคร ในท้องที่ตำบลโคกขามอำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สินสาคร ในท้องที่ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์สินสาคร ในท้องที่ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ประมาณ ๕ ไร่ ๔๓ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สินสาคร ในท้องที่ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สินสาคร ในท้องที่ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาครจังหวัดสมุทรสาคร มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นแพรกสาธารณประโยชน์และคลองสาธารณประโยชน์ เนื้อที่รวมประมาณ ๕ ไร่ ๔๓ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สินสาคร สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าวเพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๘๘ ก/หน้า ๑/๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑
583320
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๙ ไร่ ๙๔ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์และลำรางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่รวมประมาณ ๙ ไร่ ๙๔ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวแล้วและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าวให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๑ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๘๖ ก/หน้า ๗/๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑
582899
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่ ๒ งาน ๒๗ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์และลำรางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่รวมประมาณ ๖ ไร่ ๒ งาน ๒๗ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความยินยอมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชำระราคาที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังแล้ว และโดยที่มาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงนิคมอุตสาหกรรมและมีสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในเขตดังกล่าว ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ พัชรินทร์/ผู้จัดทำ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๑ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๘๓ ก/หน้า ๑/๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๑
552779
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดงจังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ และมาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๒๙ ไร่ ๘๐ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่รวมประมาณ ๒๙ ไร่ ๘๐ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าวเพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด และโดยที่มาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๐ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนที่ ๒๖ ก/หน้า ๒๙/๖ มิถุนายน ๒๕๕๐
497348
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2549
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นปีที่ ๖๑ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ ๖๕ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙ เนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ ๖๕ ตารางวา (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นลำรางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่รวมประมาณ ๔ ไร่ ๖๕ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด และโดยที่มาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ นันทนา/ผู้จัดทำ ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๙ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนที่ ๖๖ ก/หน้า ๖/๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๙
484067
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2549
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นปีที่ ๖๑ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ ทวิวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองยังใช้ประโยชน์อยู่ ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ ๑ งาน ๓ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังนี้ ทิศเหนือ จดโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๕๒๗, ๗๔๘, ๗๔๕ และ ๗๔๗ ทิศตะวันออก จดห้วยสาธารณประโยชน์ ทิศใต้ จดโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๕๑๖, ๘๕๑๗ และ ๘๕๑๘ ทิศตะวันตก จดห้วยสาธารณประโยชน์ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามวรรคหนึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประกาศจัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนแล้ว มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นห้วยสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ ๑ งาน ๓ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ทั้งนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จัดที่ดินแปลงอื่น เนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ ๑ งาน ๔ตารางวา ซึ่งอยู่ในท้องที่เดียวกันขุดเป็นห้วยสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแทนสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดและโดยที่มาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไปให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ชัชสรัญ/ผู้จัดทำ ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๙ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนที่ ๓๑ ก/หน้า ๔/๒๗ มีนาคม ๒๕๔๙
475297
พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมตะวันออก ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2549
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมตะวันออก ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นปีที่ ๖๑ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมตะวันออก ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมตะวันออกในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙” มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑] มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมตะวันออก ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๑๒ ไร่ ๒ งาน ๗๖ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมตะวันออก ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมตะวันออก ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่รวมประมาณ ๑๒ ไร่ ๒ งาน ๗๖ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมตะวันออก สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด และโดยที่มาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ นันทนา/ผู้จัดทำ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๙ วิภาปรับปรุง ๑๕ มีนาคม.๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนที่ ๗ ก/หน้า ๑/๒๕ มกราคม ๒๕๔๙
473025
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2548
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นปีที่ ๖๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทองและตำบลคลองตำหรุ ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนครในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรีจังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรีเนื้อที่ประมาณ ๑๑ ไร่ ๘๕ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิตมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมนสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง และตำบลคลองตำหรุ ตำบลหนองไม้แดงอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งเป็นลำรางสาธารณะ แพรกสาธารณะ คลองสาธารณะ และคลองขุดสาธารณะ เนื้อที่รวมประมาณ ๑๑ ไร่ ๘๕ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด และโดยที่มาตรา ๓๖ ทวิวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ชัชสรัญ/ผู้จัดทำ ๙ มกราคม ๒๕๔๙ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอนที่ ๑๒๗ ก/หน้า ๓๘/๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๘
463897
พระราชกฤษฎีกายุบเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส 21 พ.ศ. 2548
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา ยุบเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ พ.ศ. ๒๕๔๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นปีที่ ๖๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรยุบเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ ในท้องที่ตำบล ตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกายุบเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ พ.ศ. ๒๕๔๘” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยุบเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ ซึ่งจัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ พ.ศ. ๒๕๔๓ ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบ] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกายุบเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่เอส ๒๑ พ.ศ. ๒๕๔๘ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีผู้ลงทุนเพื่อประกอบอุตสาหกรรมหรือประกอบการค้าเพื่อส่งออกในเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ พ.ศ. ๒๕๔๓ ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ประกอบกับภาวะการลงทุนภาคอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมทั่วไปมีแนวโน้มสูงขึ้น สมควรยุบพื้นที่เขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ทั้งหมด เพื่อนำพื้นที่ดังกล่าวมากำหนดเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนดว่า การยุบเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ พชร/ผูจัดทำ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอน ๑๐๐ ก/หน้า ๔/๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๘
458420
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยองให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2548
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นปีที่ ๖๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองยังใช้ประโยชน์อยู่ ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่ ๒ งาน ๘๑ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังนี้ ทิศเหนือ จดโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๓๒ ทิศตะวันออก จดโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๓๖ ทิศใต้ จดทางสาธารณประโยชน์ ทิศตะวันตก จดคลองสาธารณประโยชน์ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามวรรคหนึ่ง กระทรวงอุตสาหกรรมได้ประกาศจัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนแล้ว มาตรา ๔ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันซึ่งพลเมืองยังใช้ประโยชน์อยู่ ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ ๑๕ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา ดังนี้ ทิศเหนือ จดโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๖ และ ๒๕๙ ทิศตะวันออก จดโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๒๗ ทิศใต้ จดโฉนดที่ดินเลขที่ ๕๐,๑๖๖,๑๖๗,๑๖๘ และ ๒๕๖ ทิศตะวันตก จดโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๙๑ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามวรรคหนึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประกาศจัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนแล้ว มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์และลำรางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่รวมประมาณ ๗ ไร่ ๒ งาน ๙๖ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ทั้งนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จัดที่ดินแปลงอื่นเนื้อที่รวมประมาณ ๖ ไร่ ๒ งาน ๙๒ ตารางวา ซึ่งอยู่ในท้องที่เดียวกันก่อสร้างเป็นถนนสาธารณประโยชน์และลำรางสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแทน สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด และโดยที่มาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสองจัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ สุนันทา/ผู้จัดทำ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๔๑ ก/หน้า ๑/๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๘
579944
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นปีที่ ๕๙ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า ในท้องที่ตำบลบ้านเลน และตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยให้มีเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้าในท้องที่ตำบลบ้านเลน และตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๔๓ ยังมีผู้ประกอบอุตสาหกรรมจำนวนมากประสงค์ที่จะลงทุนประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกในเขตนี้อยู่อีก สมควรขยายพื้นที่เขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้าดังกล่าว โดยจัดหาพื้นที่เพิ่มเติมส่วนหนึ่งและนำพื้นที่บางส่วนของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า มากำหนดเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวสำหรับการประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก อันเป็นการสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก และทำให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออก และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า การเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ศุภชัย/พิมพ์ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ อมราลักษณ์/พัชรินทร์/ตรวจ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ A+B นุสรา/ปรับปรุง ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑/ตอนพิเศษ ๖๘ ก/หน้า ๑/๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
418976
พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2546
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบล มาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๖ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นปีที่ ๕๘ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๖” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งพลเมืองยังใช้ประโยชน์อยู่ ในเขตอุสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ ๑ งาน ๑๑.๕ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา ดังนี้ ทิศเหนือ จดโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๕๑๕ ทิศตะวันออก จดโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๕๑๓ ทิศใต้ จดทางสาธารณะประโยชน์ ทิศตะวันตก จดโฉนดที่ดินเลขที่ ๗๒๘๖ และ ๘๐ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช่ร่วมกันตามวรรคหนึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประกาศจัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทนแล้ว มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๖ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ในท้องที่ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ เนื้อที่รวมประมาณ ๔ ไร่ ๑ งาน ๑๑.๕ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองยังใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ทั้งนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จัดที่ดินแปลงอื่นเนื้อที่ประมาณ ๙ ไร่ ๓๖.๕ ตารางวา ซึ่งอยู่ในท้องที่เดียวกันก่อสร้างเป็นถนนสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแทน สมควรเปลี่ยนสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันดังกล่าวเพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดินนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด และโดยที่มาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมทั่วไป ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดินโดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑]ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๐/ตอนที่ ๑๑๘ ก/หน้า ๑/๓ ธันวาคม ๒๕๔๖
325727
พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร พ.ศ. 2545
พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร พ.ศ. ๒๕๔๕ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นปีที่ ๕๗ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร ในท้องที่ตำบลหนองหลุม อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร พ.ศ. ๒๕๔๕” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร ในท้องที่ตำบลหนองหลุม อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตร พ.ศ. ๒๕๔๕ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีการลงทุนและใช้แรงงานภายในประเทศมากขึ้น และอำนวยความสะดวกในด้านสาธารณูปโภคแก่ผู้ลงทุนเพื่อการส่งออกได้ดียิ่งขึ้น สมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกพิจิตรในท้องที่ตำบลหนองหลุม อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร เพื่อรองรับนโยบายดังกล่าว และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๖๘ ก/หน้า ๑๐/๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๕
325117
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2545
พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช่ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๔๕ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นปีที่ ๕๗ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช่ร่วมกันในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกา “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองที่ใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๔๕” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช่ร่วมกัน ซึ่งพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้กรรมสิทธิ์ เนื้อที่ประมาณ ๕๐ ไร่ ๓ งาน ๗๒.๖ ตารางวาง ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง มีพื้นที่ครอบคลุมสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นทางสาธารณะ คลองสาธารณะและลำรางสาธารณะ เนื้อที่ประมาณ ๕๐ไร่ ๓ งาน ๗๒.๖ ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวแล้ว และการนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย สมควรเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองที่ใช่ร่วมกันดังกล่าว เพื่อให้มีผลเป็นการถอนสภาพที่ดิน นั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินภายใต้เงื่อนไขที่กำหมายกำหนด และโดยที่มาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) ๒๕๓๘ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีประกาศตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลง เขตอุตสาหกรรมทั่วไปให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้ โดยระบุแปลงและจำนวนเนื้อที่ดิน โดยประมาณที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ไว้ในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๑๔ ก/หน้า ๕/๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
315424
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. 2543
พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๔๓ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นปีที่ ๕๕ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า ในท้องที่ตำบลบ้านเลน และตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๔๓” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยให้มีเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๔๓ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้าซึ่งจัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ในท้องที่ตำบลบ้านเลน และตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มีผู้ประกอบอุตสาหกรรมขออนุญาตใช้ที่ดินเต็มพื้นที่แล้ว แต่ยังมีผู้ประสงค์จะประกอบกิจการในเขตนี้อยู่อีก สมควรขยายพื้นที่เขตอุตสาหกรรมส่งออกบ้านหว้า ในท้องที่ตำบลบ้านเลน และตำบลบ้านหว้า อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกไปโดยนำพื้นที่บางส่วนของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า มากำหนดเพิ่มขึ้นไว้เพื่อรองรับการขยายตัวสำหรับการประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกและจะทำให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออก และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า การเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ นุสรา/ปรับปรุง ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๑๗/ตอนที่ ๑๒๐ ก/หน้า ๖/๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๓
315423
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส 21 พ.ศ. 2543
พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ พ.ศ. ๒๕๔๓ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นปีที่ ๕๕ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ พ.ศ. ๒๕๔๓” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ พ.ศ. ๒๕๔๓ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีการลงทุนและใช้แรงงานภายในประเทศมากขึ้น และอำนวยความสะดวกในด้านสาธารณูปโภคแก่ผู้ลงทุนเพื่อการส่งออกได้ดียิ่งขึ้น สมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกทีเอส ๒๑ในท้องที่ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เพื่อรองรับนโยบายดังกล่าว และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ปิยะธิดา/ปรับปรุง ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๑ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๑๒๐ ก/หน้า ๔/๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๓
315422
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปู พ.ศ. 2543
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปู พ.ศ. ๒๕๔๓ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นปีที่ ๕๕ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปู ในท้องที่ตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปู พ.ศ. ๒๕๔๓” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปู ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปู พ.ศ. ๒๕๓๑ โดยให้มีเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปู พ.ศ. ๒๕๔๓ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปูซึ่งจัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปู พ.ศ. ๒๕๓๑ในท้องที่ตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ได้มีผู้ประกอบอุตสาหกรรมขออนุญาตใช้ที่ดินเต็มพื้นที่แล้ว แต่ยังมีผู้ประสงค์จะประกอบกิจการในเขตนี้อยู่อีก สมควรขยายพื้นที่เขตอุตสาหกรรมส่งออกบางปู ในท้องที่ตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการจังหวัดสมุทรปราการ ออกไป โดยนำพื้นที่บางส่วนของเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมบางปูมากำหนดเพิ่มขึ้นไว้เพื่อรองรับการขยายตัวสำหรับการประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกและจะทำให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออก และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๗/ตอนที่ ๓๒ ก/หน้า ๑/๑๐ เมษายน ๒๕๔๓
301979
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคใต้ พ.ศ. 2539
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๓๙ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๙ เป็นปีที่ ๕๑ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคใต้ ในท้องที่ตำบลฉลุงอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พุทธศักราช ๒๕๓๘และมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๓๙” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคใต้ ในท้องที่ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนและใช้แรงงานภายในประเทศมากขึ้น และอำนวยความสะดวกในด้านสาธารณูปโภคแก่ผู้ลงทุนเพื่อการส่งออกได้ดียิ่งขึ้นสมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคใต้ ในท้องที่ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๓/ตอนที่ ๔๔ ก/หน้า ๙/๓ ตุลาคม ๒๕๓๙
301978
พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2536
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๖ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นปีที่ ๔๘ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ ในท้องที่ตำบลบ้านกลางและตำบลมะเขือแจ้ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๖" มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้เปลี่ยนแปลงเขตอุสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ พ.ศ. ๒๕๓๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ พ.ศ. ๒๕๓๒ โดยให้มีเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ พ.ศ. ๒๕๓๖ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกานี้ คือ เนื่องจากการประกอบอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือในท้องที่ตำบลบ้านกลาง และตำบลมะเขือแจ้ อำเภอเมืองลำพูนจังหวัดลำพูน ซึ่งจัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ พ.ศ. ๒๕๓๑และแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ พ.ศ. ๒๕๓๒ได้ชะลอตัวลง ประกอบกับเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ได้มีผู้ประกอบอุตสาหกรรมขออนุญาตเข้าใช้ที่ดินเต็มพื้นที่แล้ว แต่ยังคงมีผู้ประกอบอุตสาหกรรมประสงค์จะประกอบกิจการในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนืออยู่อีก สมควรกันพื้นที่บางส่วนของเขตอุตสาหกรรมส่งออกภาคเหนือ ออกเพื่อดำเนินการประกาศเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไปให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ปัจจุบัน และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๐/ตอนที่ ๘๗/หน้า ๑๒/๒ กรกฎาคม ๒๕๓๖
318761
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกแปลงยาว พ.ศ. 2536
พระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกแปลงยาว พ.ศ. ๒๕๓๖ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นปีที่ ๔๘ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกแปลงยาว ในท้องที่ตำบลหัวสำโรงอำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกแปลงยาว พ.ศ. ๒๕๓๖” มาตรา ๒[๑] พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้จัดตั้งเขตอุสาหกรรมส่งออกแปลงยาว ในท้องที่ตำบลหัวสำโรงอำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี [เอกสารแนบท้าย] ๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกแปลงยาว พ.ศ. ๒๕๓๖ (ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย) หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกานี้ คือ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีการลงทุนและใช้แรงงานภายในประเทศมากขึ้น รวมทั้งให้มีการอำนายความสะดวกในด้านสาธารณูปโภคแก่ผู้ลงทุนเพื่อการส่งออก สมควรจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกแปลงยาว ในท้องที่ตำบลหัวสำโรง อำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับนโยบายดังกล่าว และโดยที่มาตรา ๓๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒บัญญัติว่าการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมส่งออกให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ วิภา/ปรับปรุง ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ [๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๐/ตอนที่ ๑๖/หน้า ๑/๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖