sysid
stringlengths
1
6
title
stringlengths
8
870
txt
stringlengths
0
257k
413909
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๑ จัตวา และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อปรับปรุงฐานในการคำนวณอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องให้รองรับการทำธุรกรรมทางการเงินใหม่ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๕ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์นอกจากกิจการวิเทศธนกิจและกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดต้องดำรงสินทรัพญ์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของ (๑) ยอดรวมเงินฝากทุกประเภท (๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ครบกำหนดใน ๑ ปีนับแต่วันกู้และยอดรวมเงินกู้ยืมต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ใน ๑ ปีนับแต่วันกู้เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๓) ยอดรวมเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย ข้อ ๓ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามข้อ ๒ ดังกล่าว ได้แก่ (๑) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑ (๒) เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ แต่ให้ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ไม่เกินร้อยละ ๒.๕ (๓) หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกพันดังต่อไปนี้ ก. หลักทรัพย์รัฐบาลไทย ข. พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ค. หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ง. พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จ. หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ฉ. หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยองค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบ หรือที่ออกโดยบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ช. หลักทรัพย์ที่บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยออกใหม่สืบเนื่องจากโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ตามพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซ. ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ข้อ ๔ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจ และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของ (๑) ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศซึ่งอาจถอนได้ใน ๑ ปี นับแต่วันฝากเว้นแต่เป็นเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ครบกำหนดใน ๑ ปีนับแต่วันกู้และยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ภายใน ๑ ปี นับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับเฉพาะยอดรวมเงินฝากหรือยอดรวมเงินกู้ยืมของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศและกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมเป็นเงินบาทในต่างจังหวัดเท่านั้น และให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตาม (๑) และ (๒) ให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๓ (๓) ยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากทุกประเภท ยกเว้นยอดรวมเงินฝากของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ และยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศที่กล่าวใน (๑) แห่งข้อนี้ โดยกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดจะถือเอาสินทรัพย์ใด ๆ เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงก็ได้ ส่วนกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๓ ข้อ ๕ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามประกาศนี้ให้คิดจากส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของทุกสิ้นวัน และส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของยอดรวมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ แล้วแต่กรณี ทุกสิ้นวันในปักษ์ก่อน ทั้งนี้ ให้ถือเอาวันที่ ๘ ถึงวันที่ ๒๒ ของเดือนเป็นปักษ์หนึ่ง และวันที่ ๒๓ ถึงวันที่ ๗ ของเดือนถัดไปเป็นอีกปักษ์หนึ่ง และให้นับวันหยุดทำการรวมคำนวณเข้าด้วย ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ กิจการวิเทศธนกิจ และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยเกินร้อยละ และดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยไว้เกินจำนวนร้อยละ ๑ ในปักษ์หนึ่ง และจำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยในปักษ์ถัดไปมีน้อยกว่าร้อยละ ๑ ให้สามารถนำเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยส่วนที่เกินร้อยละ ๑ ไปรวมในการคำนวณสินทรัพย์สภาพคล่องในปักษ์ถัดไปได้ โดยให้นำไปได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของจำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งต้องดำรงตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในข้อ ๓ (๑) ในปักษ์ที่โอนและส่วนที่นำไปรวมในปักษ์ถัดไปจะตัองถูกหักออกจากจำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสำหรับการคำนวณสินทรัพย์สภาพคล่องในปักษ์ที่โอนนั้น และการโอนดังกล่าวต้องไม่ทำให้ปักษ์ที่โอนดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำกว่าอัตราที่ประกาศฉบับนี้กำหนด ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ กิจการวิเทศธนกิจ และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยไว้ไม่ถึงจำนวนร้อยละ ๑ ในปักษ์หนึ่ง ให้สามารถนำเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยในปักษ์ถัดไปนั้น มารวมเข้าในปักษ์ที่ขาดอยู่ โดยให้นำมารวมได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของจำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งต้องดำรงตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในข้อ ๓ (๑) ในปักษ์ที่ขาดอยู่และส่วนที่นำมารวมนั้นจะต้องถูกหักออกจากจำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสำหรับการคำนวณสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงในปักษ์ถัดไปนั้น และการโอนดังกล่าวจะต้องไม่ทำให้ปักษ์ถัดไปดังกล่าวดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำกว่าอัตราที่ประกาศฉบับนี้กำหนด ข้อ ๖[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย บรรณพต/พิมพ์ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ ศุภสรณ์/นวพร/ตรวจ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๖ บรรณพต/แก้ไข ๓๑ ตุลาคม ๒๕๔๖ A+B [๑] รก.๒๕๔๖/พ๘๕ง/๔๙/๕ สิงหาคม ๒๕๔๖
392251
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่ม ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุน ลงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๔๕ ข้อ ๒ ในประกาศนี้ “เงินกองทุนชั้นที่ ๑” หมายความว่า เงินกองทุนตาม (๑) (๒) (๓) และ (๔) ของบทนิยามคำว่า “เงินกองทุน” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว ทั้งนี้ ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ในกรณีของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ และหมายความว่า สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว ในกรณีของสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ “ก่อภาระผูกพัน” หมายความว่า รับรอง รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินสลักหลังตั๋วเงินที่ผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย ค้ำประกันการกู้ยืมเงิน หรือค้ำประกันการขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน การรับประกันการจำหน่ายตราสารแสดงสิทธิในหนี้แบบรับประกันทั้งจำนวน (Firn Underwrite) การทำธุรกรรมที่มีผลให้ต้องเข้ารับความเสี่ยงด้านเครดิต (credit risk) และการทำสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนและสัญญาอัตราดอกเบี้ย “สัญญาอัตราแลกเปลี่ยน” ได้แก่ สัญญาดังต่อไปนี้ (๑) สัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Foreign Exchange Forward Contracts) (๒) สัญญา Foreign Exchange Futures (๓) สัญญา Currency Options รวมทั้งสัญญา Cross Currency Interest Rate Swaps (๔) สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน “สัญญาอัตราดอกเบี้ย” ได้แก่ สัญญาดังต่อไปนี้ (๑) สัญญา Interest Rate Options สัญญา Interest Rate Futures และ Interest Rate Swaps (๒) สัญญา Forward Rate Agreements (๓) สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน ข้อ ๓ จำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการหรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์หักด้วยจำนวนเงินตามสัญญาการทำธุรกรรม Credit Default Swaps ที่ธนาคารพาณิชย์ซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงจากบุคคลนั้น การให้สินเชื่อโดยรับซื้อ ซื้อลด หรือรับช่วงซื้อลดตั๋วเงิน ให้ถือเป็นการให้สินเชื่อแก่ทั้งผู้ทรงซึ่งขายตั๋วเงิน และบุคคลซึ่งต้องรับผิดตามกฎหมายตั๋วเงินนั้นด้วย การทำธุรกรรมที่มีผลให้ธนาคารพาณิชย์เข้ารับความเสี่ยงด้านเครดิต (credit risk) โดยธนาคารพาณิชย์มีภาระต้องชำระเงินหรือรับความเสียหายเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กำหนดขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ (Credit Event) ของบุคคลใดให้ถือว่าเป็นการก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลนั้นด้วย การคำนวณภาระผูกพันสำหรับสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนและสัญญาอัตราดอกเบี้ยให้ธนาคารพาณิชย์เลือกใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งกับคู่สัญญารายหนึ่งๆ ดังนี้ (๑) กรณีคู่ค้าเป็น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน ธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นและธนาคารที่ตั้งอยู่นอกประเทศไทย ซึ่งได้มีการลงนามในสัญญาที่ยินยอมให้หักกลบลบหนี้ระหว่างกัน (Netting) โดยสัญญาดังกล่าวต้องมีเงื่อนไขครบถ้วน ดังนี้ (๑.๑) เป็นสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย และเป็นสัญญา Master Agreement ที่ครอบคลุมถึงสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนและสัญญาอัตราดอกเบี้ยทุกสัญญาที่ธนาคารพาณิชย์ทำกับคู่ค้ารายนั้นๆ (๑.๒) ในกรณีที่มีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดนัดชำระหนี้ (Default) ล้มละลาย เลิกกิจการ หรือเหตุอื่นในทำนองเดียวกัน สัญญาหักกลบลบหนี้จะต้องกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องชำระหนี้ให้กับคู่ค้า หรือรับชำระหนี้จากคู่ค้าเป็นยอดรวมสุทธิเพียงยอดเดียว (Single Legal Obligation) โดยยอดรวมสุทธิดังกล่าวเป็นผลรวมสุทธิของยอดกำไรและขาดทุนที่ได้จากการวัดมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ของสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนและสัญญาอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ทำกับคู่ค้าทุกสัญญา (๑.๓) ที่ปรึกษากฎหมายอิสระได้ให้ความเห็นชอบอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าการหักกลบลบหนี้ตาม (๑.๒) สามารถกระทำได้โดยไม่ขัดกับ (๑.๓.๑) กฎหมายของประเทศที่สำนักงานใหญ่ของนิติบุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญานั้นตั้งอยู่ นอกจากนี้ หากคู่สัญญาเป็นสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ การหักกลบลบหนี้จะต้องไม่ขัดกับกฎหมายที่สาขาของนิติบุคคลนั้นตั้งอยู่ด้วย (๑.๓.๒) กฎหมายที่ใช้บังคับกับการทำธุรกรรมนั้นๆ และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการหักกลบลบหนี้ (๑.๔) ไม่มีเงื่อนไขที่มีผลบังคับให้คู่สัญญาฝ่ายที่มิได้ผิดสัญญาจะต้องชำระหนี้ในวงเงินจำกัด หรือไม่ต้องชำระหนี้ให้กับคู่สัญญาฝ่ายที่ผิดสัญญาหากคู่สัญญาฝ่ายที่ผิดสัญญามีฐานะเป็นเจ้าหนี้สุทธิหลังการหักกลบลบหนี้ (Walkaway Clause) ให้ธนาคารพาณิชย์คำนวณมูลค่าเทียบเท่าที่จะนับเป็นการ “ก่อภาระผูกพัน” จากสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนและสัญญาอัตราดอกเบี้ย โดยนำเอาผลรวมสุทธิของการวัดมูลค่ายุติธรรมในปัจจุบัน (Net Current Credit Exposure) ที่เป็นบวกไปรวมกับผลรวมของการวัดมูลค่าความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (Potential Future Credit Exposure) โดยที่ (ก) ผลรวมสุทธิของการวัดมูลค่ายุติธรรมในปัจจุบัน (Net Current Credit Exposure) คือ ยอดรวมสุทธิของกำไรและขาดทุนที่ได้จากการวัดมูลค่ายุติธรรมของสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนและสัญญาอัตราดอกเบี้ยทุกสัญญาที่ธนาคารพาณิชย์ทำกับคู่ค้ารายเดียวกัน ในกรณีที่ยอดรวมสุทธิของการวัดมูลค่ายุติธรรมมีค่าเป็นบวกให้ใช้ยอดรวมสุทธิดังกล่าวเป็นมูลค่าของ Net Current Credit Exposure แต่กรณีที่ยอดรวมสุทธิดังกล่าวออกมามีค่าเป็นลบหรือศูนย์ Net Current Credit Exposure จะมีมูลค่าเป็นศูนย์ (ข)ผลรวมของการวัดมูลค่าความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (Potential Future Credit Exposure) คือ ผลรวมของการนำจำนวนเงินตามสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนและสัญญาอัตราดอกเบี้ย (Notional Amount) ไปคูณด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ในตารางที่ ๑ โดยอนุญาตให้ทำการหักกลบกันเฉพาะกรณีที่คู่ค้ารายเดียวกันทำสัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Foreign Exchange Forward Contracts) ซึ่งมีวันครบกำหนดวันเดียวกัน (Same Maturity Date) และสกุลเงินเดียวกัน (Same Currency Pair) เท่านั้นโดยให้คูณจำนวนเงินตามสัญญา (Notional Amount) ทั้งด้านซื้อและด้านขายที่ครบกำหนดวันเดียวกันด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ก่อนแล้วนำผลคูณที่ได้มาหักกลบกัน ตารางที่ ๑ Credit Conversion Factor สำหรับสัญญาอัตราแลกเปลี่ยน และสัญญาอัตราดอกเบี้ยกรณีที่คู่ค้าได้มีการลงนามในสัญญา ที่เป็นไปตามเงื่อนไขครบถ้วน อายุที่เหลือของสัญญา สัญญาอัตราแลกเปลี่ยน สัญญาอัตราดอกเบี้ย ไม่เกิน ๑๔ วัน ๐ ๐ ไม่เกิน ๑ ปี ๐.๐๑ ๐ ตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๐.๐๕ ๐.๐๐๕ (๒) สำหรับคู่ค้าอื่นๆ นอกจากที่กล่าวตาม (๑) ให้ธนาคารพาณิชย์คำนวณมูลค่าเทียบเท่าที่จะนับเป็นภาระผูกพัน โดยนำจำนวนเงินตามสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนและสัญญาอัตราดอกเบี้ย (Notional Amount) คูณด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ใน ตารางที่ ๒ ยกเว้น ในกรณีที่คู่ค้ารายเดียวกันทำสัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Foreign Exchange Forward Contracts) ทั้งด้านซื้อและด้านขาย ให้นำสัญญาที่เป็นรายการตรงกันข้ามกัน มีวันครบกำหนดวันเดียวกัน (Same Maturity Date) และมีสกุลเงินเดียวกัน (Same Currency Pair) มาหักกลบกันได้หากคู่ค้าได้ทำสัญญาที่ระบุว่าให้สามารถหักกลบลบหนี้ได้ตามกฎหมายโดยให้คูณจำนวนเงินตามสัญญา (Notional Amount) ทั้งด้านซื้อและด้านขายด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ก่อน แล้วนำผลคูณที่ได้มาหักกลบกัน ผลลัพธ์ที่เหลือสุทธิให้นับเป็นการ “ก่อภาระผูกพัน” ตารางที่ ๒ Credit Conversion Factor สำหรับสัญญาอัตราแลกเปลี่ยน และสัญญาอัตราดอกเบี้ย อายุที่เหลือของสัญญา สัญญาอัตราแลกเปลี่ยน สัญญาอัตราดอกเบี้ย ไม่เกิน ๑๔ วัน ๐ ๐ ไม่เกิน ๑ ปี ๐.๐๒ ๐.๐๐๕ ตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๐.๐๕ ๐.๐๑ ข้อ ๔ การนับคำนวณสินเชื่อ การลงทุน หรือภาระผูกพันตามความในข้อ ๓ ไม่ให้นับรวมถึงรายการดังต่อไปนี้ (๑) ภาระผูกพันตามสัญญารับประกันการจำหน่ายตราสารแสดงสิทธิในหนี้แบบรับประกันทั้งจำนวน (Firm Underwrite) ตามตราสารต่อไปนี้ (ก) หุ้นกู้ หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกเพื่อระดมทุนจากประชาชนหรือบุคคลใดๆ ที่ได้รับการจัดอันดับ AA หรือเทียบเท่าขึ้นไป โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ข) หุ้นกู้ หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุน ทั้งนี้ ภาระผูกพันตามสัญญารับประกันการจำหน่ายตราสารแสดงสิทธิในหนี้ตาม (๑) เมื่อนับรวมกับการให้สินเชื่อ หรือลงทุนหรือก่อภาระผูกพันตามข้อ ๓ ต้องมีมูลค่าไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ นับแต่วันที่ธนาคารพาณิชย์ทำสัญญารับประกันการจำหน่ายจนถึงวันปิดการเสนอขาย (๒) การลงทุนหรือให้กู้ยืมโดยซื้อตราสารตาม (๑) เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓ เดือนนับแต่วันปิดการเสนอขายตราสารนั้น (๓) การลงทุนหรือให้กู้ยืมโดยซื้อตราสารต่อไปนี้ (ก) หลักทรัพย์รัฐบาลไทยหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (ข) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย (ค) หุ้น หุ้นกู้ หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (ง) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น (๔) การให้สินเชื่อ รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงิน หรือค้ำประกันการขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน หรือก่อภาระผูกพันอื่นใดโดยมีหลักทรัพย์หรือสิทธิต่อไปนี้เป็นประกัน (ก) หลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (ข) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย (ค) หุ้น หุ้นกู้ หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (ง) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น (จ) เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าที่ตราไว้ของหลักทรัพย์หรือสิทธินั้น (๕) การให้สินเชื่อ รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน หรือก่อภาระผูกพันอื่นใด เพื่อกระทรวง ทบวง กรม หรือทบวงการเมืองที่มีฐานะเทียบเท่า หรือการให้สินเชื่อโดยมีการะทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย (๖) การให้สินเชื่อ หรือลงทุนในส่วนของสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งมีการทำสัญญาที่มีผลเป็นการโอนความเสี่ยงด้านเครดิตในธุรกรรม Credit Default Swaps ของสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าว (๗) การให้สินเชื่อ หรือลงทุนโดยซื้อตราสารแสดงสิทธิในหนี้โดยมีบุคคลอื่นทำสัญญากับธนาคารพาณิชย์นั้นว่า บุคคลอื่นนั้นจะรับความเสี่ยงด้านเครดิต (credit risk) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ได้รับชำระเงินคืน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินจำนวนเงินสดที่ผู้รับความเสี่ยงนำมาวางไว้เป็นประกัน หรือไม่เกินจำนวนที่มีสิทธิหักกลบลบหนี้กับผู้รับความเสี่ยงนั้น (๘) การให้กู้ยืมเงินประเภทชำระคืนเมื่อทวงถาม (Call loan) หรือให้กู้ยืมเงินประเภทมีกำหนดชำระคืนไม่เกินหนึ่งวัน (Overnight loan) แก่ธนาคารพาณิชย์อื่น (๙) การให้กู้ยืมเงินประเภทที่มีระยะเวลา (Term loan) ไม่เกิน ๑๒ เดือน เฉพาะสกุลเงินบาทแก่ธนาคารพาณิชย์อื่น (๑๐) การให้สินเชื่อ รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงินอันเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบกิจการวิเทศธนกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป และการประกอบกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๗ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ เฉพาะการให้สินเชื่อ รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงินของสาขาธนาคารต่างประเทศเท่านั้น (๑๑) การให้สินเชื่อหรือการก่อภาระผูกพันที่เป็นเงินตราต่างประเทศแก่บุคคลที่มีภูมิลำเนาในประเทศไทยโดยสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นที่อยู่ในต่างประเทศของธนาคารที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศและมีสาขาอยู่ในประเทศไทย ข้อ ๕[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย สุภาพร/พิมพ์ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๖ ศุภสรณ์/อภิสิทธิ์ ผู้จัดทำ ๘ สิงหาคม ๒๕๔๖ [๑]รก.๒๕๔๖/พ๕๑ง/๗๘/๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
392247
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรม Credit Default Swaps
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรม Credit Default Swaps อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรม Credit Default Swaps โดยมีขอบเขตการทำธุรกรรมและข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ธุรกรรม Credit Default Swaps หมายถึงการซื้อขายข้อตกลงที่รับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงที่กำหนดไว้ โดยผู้ซื้อตกลงจะจ่ายเงินค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ขาย และผู้ขายตกลงจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ตกลงไว้เมื่อเกิด Credit Event ขึ้น ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรม Credit Default Swaps ในฐานะผู้ซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงที่อาจจะเกิดความเสียหายแก่ตน หรือในฐานะผู้ขาย Credit Default Swaps ให้แก่ลูกค้าที่มีภาระความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงนั้น ข้อ ๓ การซื้อ Credit Default Swaps ที่สินทรัพย์อ้างอิงระบุจำนวนเงินเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ ให้ทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจปัจจัยชำระเงินต่างประเทศหรือสถาบันการเงินที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศเท่านั้น ข้อ ๔ การซื้อ Credit Default Swaps ที่สินทรัพย์อ้างอิงระบุจำนวนเงินเป็นสกุลเงินบาทให้ทำกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศ บริษัทเงินทุนในประเทศ และสถาบันการเงินที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศเท่านั้น ข้อ ๕ การทำธุรกรรม Credit Default Swaps กับสถาบันการเงินที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศจะต้องรับชำระหรือจ่ายชำระเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ ข้อ ๖ การอนุญาตตามข้อ ๑ - ข้อ ๕ ไม่รวมถึงการทำธุรกรรม Credit Default Swaps ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของสถาบันการเงินผู้ซื้อ Credit Default Swaps เอง และการทำธุรกรรม Credit Default Swaps ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นกลุ่มของสินทรัพย์ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นการเฉพาะกรณี ข้อ ๗ ธนาคารพาณิชย์ผู้ขาย Credit Default Swaps ต้องมีการวิเคราะห์สินทรัพย์อ้างอิงและผู้ออกสินทรัพย์อ้างอิงนั้นและปฏิบัติตามพิธีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อโดยถี่ถ้วน พร้อมทั้งมีการจัดเก็บเอกสารหลักฐาน การสอบทานและดูแล เสมือนหนึ่งเป็นการให้สินเชื่อแก่ผู้ออกสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง ข้อ ๘ ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรม Credit Default Swaps ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี ต้องมีการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการทำธุรกรรม Credit Default Swaps และการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องไว้อย่างชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษรและจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง (ในกรณีสาขาธนาคารต่างประเทศ) รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารหรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง ก่อนทุกครั้ง ข้อ ๙ ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรม Credit Default Swaps จะต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพซึ่งพร้อมที่จะรองรับการทำธุรกรรม Credit Default Swaps รวมทั้งจะต้องมีการรายงานข้อมูลต่อผู้บริหารระดับสูง และคณะกรรมการธนาคาร หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง อย่างสม่ำเสมอ ข้อ ๑๐[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย สุภาพร/พิมพ์ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๖ ศุภสรณ์/อภิสิทธิ์ ผู้จัดทำ ๘ สิงหาคม ๒๕๔๖ [๑]รก.๒๕๔๖/พ๕๑ง/๗๕/๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
392242
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องการซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเป็นอัตราส่วนกับเงินกองทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องการซื้อหรือมีหุ้น มีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเป็นอัตราส่วนกับเงินกองทุน จากผลกระทบของวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี ๒๕๔๑ ทำให้มูลค่าของเงินลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์มีการด้อยค่าลงอย่างมากและเนื่องจากวิธีการวัดมูลค่าของเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน กำหนดให้มีการรายงานมูลค่าของเงินลงทุนในหลักทรัพย์ตามราคาทุนที่ได้มา ทำให้วิธีการวัดมูลค่าของเงินลงทุนในหลักทรัพย์ปัจจุบันไม่สะท้อนถึงราคาที่แท้จริง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและวิธีการทางการบัญชีในปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๒ (๕) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องการซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเป็นอัตราส่วนกับเงินกองทุน ลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๗ ข้อ ๒ ในประกาศฉบับนี้ “หลักทรัพย์เพื่อค้า” หมายถึง เงินลงทุนในหุ้นในความต้องการของตลาดที่กิจการถือไว้โดยมีวัตถุประสงค์หลักที่จะขายในอนาคตอันใกล้ ทำให้กิจการถือหุ้นนั้นไว้เป็นระยะสั้นๆ เพื่อหากำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้นนั้น “หลักทรัพย์เผื่อขาย” หมายถึง เงินลงทุนในหุ้นในความต้องการของตลาด ซึ่งไม่ถือเป็นหลักทรัพย์เพื่อค้า หรือเงินลงทุนในบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมตามนิยามของมาตรฐานการบัญชีไทย “เงินลงทุนทั่วไป” หมายถึง เงินลงทุนในหุ้นที่ไม่อยู่ในความต้องการของตลาดทำให้กิจการไม่สามารถจัดประเภทเป็นหลักทรัพย์เพื่อค้า หรือหลักทรัพย์เผื่อขาย ข้อ ๓ ธนาคารพาณิชย์ซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นต้องไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของเงินกองทุน ข้อ ๔ เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศตามประกาศฉบับนี้ให้หมายความถึง เงินกองทุนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน ข้อ ๕ เงินกองทุนของสาขาธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ หมายความถึง สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๖ ให้วิธีการวัดมูลค่าของเงินลงทุนในหุ้นของธนาคารพาณิชย์เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย กล่าวคือ (๑) หลักทรัพย์เพื่อค้า ให้ใช้ราคาตามบัญชี (ราคาทุนบวกหรือหักค่าเผื่อการปรับมูลค่าหักค่าเผื่อการด้อยค่า) (๒) หลักทรัพย์เผื่อขาย ให้ใช้ราคาตามบัญชี (ราคาทุนบวกหรือหักค่าเผื่อการปรับมูลค่าหักค่าเผื่อการด้อยค่า) (๓) เงินลงทุนทั่วไป ให้ใช้ราคาทุนหักค่าเผื่อการด้อยค่า ข้อ ๗ วิธีการวัดมูลค่าเงินลงทุนในหุ้นตามข้อ ๖ ให้มีผลใช้บังคับในการคำนวณอัตราส่วนการกำกับลูกหนี้รายใหญ่ (Single lending limit) ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพัน เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน ข้อ ๘ ในกรณีที่การวัดมูลค่าของเงินลงทุนในหุ้นตามวิธีการในข้อ ๖ มีผลทำให้อัตราส่วนเงินลงทุนในหุ้นต่อเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ที่กำหนดให้ข้อ ๓ หรืออัตราส่วนการให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพัน เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพัน เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน เปลี่ยนแปลงไป ให้ถือปฏิบัติดังนี้ ๘.๑ ธนาคารพาณิชย์ใดมีอัตราส่วนเงินลงทุนในหุ้นต่อเงินกองทุนหรืออัตราส่วนการให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน นับตั้งแต่วันที่ประกาศนี้มีผลบังคับใช้ เกินกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ธนาคารพาณิชย์นั้นจะลงทุนในหุ้น หรือจะให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันแก่บุคคลดังกล่าวเพิ่มอีกไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยในการอนุญาตนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยจะอนุญาตมีเงื่อนไขก็ได้ ๘.๒ ธนาคารพาณิชย์ใดมีอัตราส่วนเงินลงทุนในหุ้นต่อเงินกองทุนหรืออัตราส่วนการให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ธนาคารพาณิชย์นั้นสามารถลงทุนในหุ้น หรือสามารถให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันแก่บุคคลดังกล่าวเพิ่มอีกได้ แต่ต้องเป็นจำนวนที่ไม่ทำให้อัตราส่วนที่กำหนดในข้อ ๓ หรืออัตราส่วนการให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพัน เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนเกินกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๙[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย สุภาพร/พิมพ์ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๖ ศุภสรณ์/อภิสิทธิ์ ผู้จัดทำ ๘ สิงหาคม ๒๕๔๖ [๑]รก.๒๕๔๖/พ๕๑ง/๖๗/๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
392239
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ข้อ ๒ เงินกองทุนของสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์หมายความถึงสินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๓ ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ เป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗.๕ ทั้งนี้ การดำรงเงินกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อ ๔ ถึง ๖ สินทรัพย์และภาระผูกพันตามวรรคหนึ่ง มิให้รวมถึงสินทรัพย์และภาระผูกพันของกิจการวิเทศธนกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไปและสินทรัพย์และภาระผูกพันของกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๗ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ข้อ ๔ ในการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันตามข้อ ๓ ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไปนี้ (๑) นำรายการในงบการเงินทางด้านสินทรัพย์ทุกรายการ และภาระผูกพันทุกรายการ โดยใช้มูลค่าตามบัญชี ณ วันที่รายงานมาคำนวณกับน้ำหนักความเสี่ยงส่วนสินทรัพย์และภาระผูกพันที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้แปลงค่าเป็นเงินบาทก่อน โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะประกาศทุกเช้าวันทำการถัดไปของวันจัดทำรายงาน ทั้งนี้ให้ใช้อัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อถัวเฉลี่ยขั้นต่ำสุดและอัตราขายถัวเฉลี่ย สำหรับสกุลเงินซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงไว้ให้ใช้วิธีคำนวณจากอัตราไขว้ (Cross Rate) (๒) คูณสินทรัพย์แต่ละรายการด้วยน้ำหนักความเสี่ยงตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ (๓) คูณภาระผูกพันแต่ละรายการด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้วนำค่าที่ได้คูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ อีกครั้งหนึ่ง (๔) รวมผลคูณของสินทรัพย์ตาม (๒) และภาระผูกพันตาม (๓) ทุกรายการและนำเงินกองทุนมาคำนวณอัตราส่วนกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยเงินกองทุนต้องเป็นอัตราส่วนกับผลลัพธ์ดังกล่าวไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในข้อ ๓ (๕) ในกรณีที่สาขาของธนาคารต่างประเทศให้สินเชื่อ หรือลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ โดยมีสัญญารับความเสี่ยงกำหนดให้การชำระหนี้คืนดังกล่าวอิงกับเหตุการณ์ที่กำหนดขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ (credit event) ของสินทรัพย์อ้างอิง (reference asset) และสาขาของธนาคารต่างประเทศตกลงรับความเสี่ยงด้านเครดิต (credit risk) ของสินทรัพย์อ้างอิงนั้น ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศนำผลคูณน้ำหนักความเสี่ยงของเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในตราสารดังกล่าวเปรียบเทียบผลคูณน้ำหนักความเสี่ยงของสัญญารับความเสี่ยง และใช้เฉพาะผลคูณที่สูงกว่าในการคำนวณผลลัพธ์ตาม (๔) ข้อ ๕ น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท ก. น้ำหนักความเสี่ยง ๐ (๑) เงินสดที่เป็นเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ (๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (๓) เงินลงทุนในตลาดซื้อขายพันธบัตร โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืนหรือขายคืนซึ่งดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศ (๔) เงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหลักทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ข้างต้นเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินให้สินเชื่อที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือเงินให้สินเชื่อใด ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลาง ที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกัน โดยปราศจากเงื่อนไข หรือในส่วนที่มีหลักทรัพย์รัฐบาล หรือธนาคารกลางดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางนอกจากที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นและไม่เกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือนิติบุคคลที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นเต็มจำนวน รวมถึงเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งนิติบุคคลดังกล่าว รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๙) เงินให้สินเชื่อที่มีสิทธิ ซึ่งมีตราสารการฝากเงินซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์นั้น หรือมีเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์นั้นยึดถือไว้เป็นประกัน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าตามตราสารหรือจำนวนเงินตามเงินสดนั้น (๑๐) ยอดเหลื่อมบัญชีระหว่างสำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น (๑๑) ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (๑๒) เงินให้สินเชื่อเฉพาะส่วนซึ่งเท่ากับจำนวนที่ได้กันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (๑๓) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (๑๔) เงินสดระหว่างเรียกเก็บเพื่อประโยชน์ของลูกค้า (๑๕) ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ในส่วนที่เป็นต้นเงินตามหน้าตั๋วและดอกเบี้ยค้างรับ (๑๖) เงินให้สินเชื่อในส่วนที่มีตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) หรือบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ จำนำเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๑๗) เงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้โดยมีบุคคลอื่นทำสัญญากับสาขาของธนาคารต่างประเทศนั้นตกลงว่า บุคคลอื่นจะรับความเสี่ยงด้านเครดิต (credit risk) ในเงินให้สินเชื่อหรือตราสารดังกล่าว ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าจำนวนเงินที่ผู้รับความเสี่ยงวางไว้เป็นประกันหรือจำนวนเงินที่สาขาของธนาคารต่างประเทศนั้นมีสิทธิหักกลบลบหนี้กับผู้รับความเสี่ยง ข. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๒ (๑) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ที่มีธนาคารพาณิชย์รับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งออกโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งออกโดยบริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อซึ่งมีตราสารที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๔) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยสถาบันที่กล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐในประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งออกโดยองค์การระหว่างประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๒ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ที่มีองค์การดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยองค์การดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตรวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือไม่เกิน ๑ ปี (๙) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต หรือเงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออก ตามเอกสารประเภทอื่น ที่ธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศรับผิดชอบในการชำระค่าสินค้าแทนผู้ซื้อ แต่ในกรณีผู้ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือธนาคารพาณิชย์ที่รับผิดชอบในการชำระค่าสินค้า เป็นธนาคารจดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ จะต้องมีระยะเวลาคงเหลือของเล็ตเตอร์ออฟเครดิต หรือระยะเวลาที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องชำระค่าสินค้าไม่เกิน ๑ ปี (๑๐) เงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้แต่สำนักงานประมาณมิได้จัดสรรเงินชำระหนี้ให้จนล่วงพ้นระยะเวลาที่ถึงกำหนดชำระเกินกว่า ๒ ปี ขึ้นไป (๑๑) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกที่มีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยรับประกัน ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่ได้มีการโอนสิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศแล้ว ค. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๕ (๑) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยเทศบาล หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีเทศบาลรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยเทศบาลเป็นประกัน (๒) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา โดยมีธนาคารพาณิชย์รับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน ทั้งนี้ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อคงค้าง รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) ภาระผูกพันที่เป็นสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนหรืออัตราดอกเบี้ยซึ่งได้คูณด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้ว เว้นแต่คู่สัญญาจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีน้ำหนักความเสี่ยงต่ำกว่า ๐.๕ ง. น้ำหนักความเสี่ยง ๑.๐ (๑) เงินให้สินเชื่อแก่ภาคเอกชน และดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือเกิน ๑ ปี (๓) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมิใช่เงินสกุลของประเทศนั้น หรือมีจำนวนเกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๔) ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินทรัพย์ประจำอื่นๆ และทรัพย์สินรอการขาย (๕) สินทรัพย์อื่นๆ ที่มิได้ระบุน้ำหนักความเสี่ยงไว้ในข้อ ๕ นี้ ทั้งนี้ เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ ในแต่ละรายการข้างต้นให้หมายความรวมถึงลูกหนี้อื่นๆ (สิทธิเรียกร้องในทางกฎหมาย) ที่เกิดจากธุรกรรมการซื้อหรือการขายตราสารโดยมีสัญญาว่าจะขายหรือจะซื้อคืน (Repo) และธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Borrowing and Lending) เช่น ลูกหนี้ตามสัญญาซื้อคืน ลูกหนี้ตามสัญญาให้ยืมหลักทรัพย์ ลูกหนี้มาร์จิ้นที่โอน และลูกหนี้วางเงินสดเป็นประกัน เป็นต้น ข้อ ๖ ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ของภาระผูกพันแต่ละประเภท ก. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ๑.๐ (๑) การรับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ค้ำประกันการกู้ยืมเงินและค้ำประกันการขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน (๒) การสลักหลังตั๋วเงินแบบผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย (With Recourse) (๓) สัญญาการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตาม โดยปราศจากเงื่อนไข (๔) การค้ำประกัน การรับประกัน หรือการก่อภาระผูกพันในรูปแบบใดๆ ของธนาคารพาณิชย์ อันเนื่องมาจากการขายสินทรัพย์ (๕) ภาระผูกพันตามสัญญาขายตราสาร โดยมีสัญญาจะซื้อคืนตามวิธีการคำนวณที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๖) ภาระผูกพันตามสัญญายืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Borrowing and Lending) ตามวิธีการคำนวณที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๗) ภาระผูกพันตามสัญญาหรือข้อตกลงการรับประกันความเสี่ยง ซึ่งได้แก่สัญญาที่สาขาธนาคารต่างประเทศรับโอนความเสี่ยงด้านเครดิตหรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตจากคู่สัญญา โดยตกลงจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง หรือรับความเสียหายเนื่องจากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับคืนเงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือมีเหตุการณ์เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญา (credit event) เกิดขึ้น ข. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ๐.๕ (๑) ภาระผูกพันซึ่งขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของลูกค้า เช่น ค้ำประกันการรับเหมาก่อสร้าง ค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา เป็นต้น (๒) การประกันการจำหน่ายตราสารหรือหลักทรัพย์ ค. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ๐.๒ ภาระผูกพันเพื่อการนำสินค้าเข้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตทั้งที่มีเอกสารประกอบแล้ว และยังไม่มีเอกสารประกอบ ง. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ๐ (๑) ตั๋วเงินเพื่อเรียกเก็บ (๒) วงเงินที่ลูกค้ายังมิได้ใช้ (๓) ค้ำประกันการออกของ (Shipping Guarantee) (๔) ภาระผูกพันที่ธนาคารพาณิชย์สามารถบอกยกเลิกเมื่อใดก็ได้ (๕) ภาระผูกพันอื่นๆ ที่มิได้ระบุค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ไว้ในข้อ ๖ นี้ จ. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) สำหรับสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย อายุสัญญาที่เหลือ สัญญาเกี่ยวกับ สัญญาเกี่ยวกับ อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ไม่เกิน ๑๔ วัน ๐ ๐ ไม่เกิน ๑ ปี ๐.๐๒ ๐.๐๐๕ ตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๐.๐๕ ๐.๐๑ สัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่สัญญาดังต่อไปนี้ Cross currency interest rate swaps Forward foreign exchange contracts Currency futures Currency option purchase สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน สัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยได้แก่ Single currency interest swaps Basis swaps Forward rate agreements Interest rate futures Interest rate option purchase สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน ในกรณีที่ลูกค้ารายเดียวกันทำสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนหรือสัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ทั้งทางด้านซื้อและด้านขาย ให้คูณจำนวนเงินด้านซื้อและด้านขายด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ก่อน และนำค่าที่ได้มาหักกลบกัน แล้วจึงนำจำนวนสุทธิไปคูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดในข้อ ๕ ข้อ ๗[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ภาคผนวก ๑ กลุ่มประเทศ Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) และประเทศที่มีฐานะการเงินเทียบเท่า ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ออสเตรีย ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม เม็กซิโก แคนาดา เนเธอร์แลนด์ สาธารณรัฐเช็ก นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ โปแลนด์ ฝรั่งเศส โปรตุเกส เยอรมนี ซาอุดีอาระเบีย กรีซ สาธารณรัฐสโลวัก ฮังการี สเปน ไอซ์แลนด์ สวีเดน ไอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ตุรกี ญี่ปุ่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ภาคผนวก ๒ องค์การระหว่างประเทศ European Investment Band (EIB) European Bank for Reconstruction and Development (EBRD) International Bank for Reconstruction and Development (IBRD) including International Finance Corporation (IFC) Inter-American Development Bank (IADB) African Development Bank (AfDB) Asian Development Bank (AsDB) Caribbean Development Bank (CDB) Nordic Investment Bank (NIB) หมายเหตุ :- เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ เนื่องด้วยทางการได้มีการอนุญาตให้ประกอบธุรกรรม Credit Linked Notes และ Credit Default Swaps จึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเติมวิธีการคำนวณสินทรัพย์ เสี่ยงและภาระผูกพันให้ครอบคลุมถึงการทำธุรกรรมดังกล่าวด้วย จึงมีเหตุที่จะต้องปรับปรุงประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๕ จึงได้ยกเลิกประกาศฯ ฉบับเดิม และออกฉบับใหม่ขึ้นมา ในส่วนหลักการและเนื้อหาสาระอื่นตามประกาศฯ ฉบับเดิม นั้น ทางการไม่ได้มีความประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่ประการใด จึงยังคงไว้ตามเดิมในประกาศฯ ฉบับใหม่ สุภาพร/พิมพ์ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ศุภสรณ์/อภิสิทธิ์ ผู้จัดทำ ๗ สิงหาคม ๒๕๔๖ [๑]รก.๒๕๔๖/พ๕๑ง/๓๘/๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
392235
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ ดำรงเงินกองทุน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ข้อ ๒ เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ ได้แก่ (๑) ทุนชำระแล้ว ซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับ เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น (๒) ทุนสำรองตามกฎหมาย (๓) เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุมใหญ่ ผู้ถือหุ้น หรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่รวมเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้ (๔) กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรร (๕) เงินสำรองจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินและอาคาร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๖) เงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ซึ่งได้กันไว้ตามนัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าด้วยสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะนับเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติเข้าเป็นเงินกองทุนได้ไม่เกินร้อยละ ๑.๒๕ ของยอดสินทรัพย์เสี่ยง (๗) เงินสำรองจากการตีราคาตราสารทุนประเภทเผื่อขายตามมาตรฐานการบัญชี เรื่อง การบัญชีสำหรับเงินลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนและที่จะได้แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังนี้ (ก) ในกรณีที่มูลค่าสุทธิจากการตีราคาเป็นส่วนเกินทุน ให้ธนาคารพาณิชย์นับส่วนเกินทุนดังกล่าวเป็นเงินทุนของงวดการบัญชีรอบระยะเวลาหกเดือนของธนาคารพาณิชย์นั้นได้ไม่เกิดร้อยละ ๔๕ ของยอดมูลค่าสุทธิส่วนเกินทุน ดังกล่าว (ข) ในกรณีที่มูลค่าสุทธิจากการตีราคาเป็นส่วนขาดทุนให้ธนาคารพาณิชย์หักส่วนที่ขาดทุนดังกล่าวออกจากเงินกองทุนทั้งสิ้นของงวดการบัญชีรอบระยะเวลาหกเดือนของธนาคารพาณิชย์นั้น (๘) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญตามประเภท จำนวนเงิน หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนส่วนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) และ (๔) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และให้หักมูลค่าของหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้ซื้อคืนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด ออกจากเงินกองทุนใน (๑) และ (๔) ด้วยวิธีราคาตามมูลค่าตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีเกี่ยวกับหุ้นซื้อคืนของกิจการและที่จะแก้ไขเพิ่มเติม หรือตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) และ (๘) ให้หักเงินตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (ก) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดถือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญตาม (๘) ของบริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์อื่น ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นหักเงินตามตราสารดังกล่าวตามมูลค่าที่บริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์ผู้ออกตราสารนั้นได้รับอนุญาตให้นับเป็นเงินกองทุนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับบริษัทเงินทุนหรือประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับธนาคารพาณิชย์ แล้วแต่กรณี (ข) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดเป็นผู้ลงทุนในตราสารประเภท Credit Linked Notes ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญตาม (๘) ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่น ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นหักเงินตามตราสารที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าวตามมูลค่าที่บริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์ผู้ออกตราสารนั้นได้รับอนุญาตให้นับเป็นเงินกองทุนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับบริษัทเงินทุน หรือประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับธนาคารพาณิชย์ แล้วแต่กรณี (ค) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดถือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่สิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญตาม (๘) ของบริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์อื่นและธนาคารพาณิชย์นั้นได้ออกและขายตราสารประเภท Credit Linked Notes ให้กับบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่นโดยมีตราสารดังกล่าวเป็นสินทรัพย์อ้างอิงธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ต้องหักเงินตามตราสารที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าวตราบเท่าอายุของตราสารประเภท Credit Linked Notes นั้น เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) ถึง (๔) ยกเว้นเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดสะสมเงินปันผล ให้รวมเรียกว่า เงินกองทุนชั้นที่ ๑ ส่วนเงินกองทุนที่ระบุใน (๕) ถึง (๘) และเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดสะสมเงินปันผล ให้รวมเรียกว่า เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ทั้งนี้ เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ต้องมีจำนวนสูงสุดไม่เกินเงินกองทุนชั้นที่ ๑ และการออกหุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดสะสมเงินปันผล จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุนเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ เป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘.๕ โดยมีเงื่อนไขว่าเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ต้องเป็นอัตราส่วนไม่ต่ำว่าร้อยละ ๔.๒๕ ของสินทรัพย์และภาระผูกพันดังกล่าว ทั้งนี้ การดำรงเงินกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อ ๔ ถึง ๖ ข้อ ๔ ในการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันตามข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้ (๑) นำรายการในงบการเงินทางด้านสินทรัพย์ทุกรายการ และภาระผูกพันทุกรายการ ทั้งนี้ ให้รวมทุกสำนักงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยใช้มูลค่าตามบัญชี ณ วันที่รายงานมาคำนวณกับน้ำหนักความเสี่ยง ส่วนสินทรัพย์และภาระผูกพันที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้แปลงค่าเป็นเงินบาทก่อน โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะประกาศทุกเช้าวันทำการถัดไปของวันจัดทำรายงาน ทั้งนี้ ให้ใช้อัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อถัวเฉลี่ยขั้นต่ำสุดและอัตราขายถัวเฉลี่ย สำหรับสกุลเงินซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงไว้ ให้ใช้วิธีคำนวณจากอัตราไขว้ (Cross Rate) (๒) คูณสินทรัพย์แต่ละรายการด้วยน้ำหนักความเสี่ยงตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ (๓) คูณภาระผูกพันแต่ละรายการด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้วนำค่าที่ได้คูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ อีกครั้งหนึ่ง (๔) รวมผลคูณของสินทรัพย์ตาม (๒) และภาระผูกพันตาม (๓) ทุกรายการและนำเงินกองทุนมาคำนวณอัตราส่วนกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยเงินกองทุนต้องเป็นอัตราส่วนกับผลลัพธ์ดังกล่าวไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในข้อ ๓ (๕) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ หรือลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้โดยมีสัญญารับความเสี่ยงกำหนดให้การชำระหนี้คืนดังกล่าวอิงกับเหตุการณ์ที่กำหนดขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ (credit event) ของสินทรัพย์อ้างอิง (reference asset) และธนาคารพาณิชย์ตกลงรับความเสี่ยงด้านเครดิต (credit risk) ของสินทรัพย์อ้างอิงนั้น ให้ธนาคารพาณิชย์นำผลคูณน้ำหนักความเสี่ยงของเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในตราสารดังกล่าวเปรียบเทียบผลคูณน้ำหนักความเสี่ยงของสัญญารับความเสี่ยง และใช้เฉพาะผลคูณที่สูงกว่าในการคำนวณผลลัพธ์ตาม (๔) ข้อ ๕ น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท ก. น้ำหนักความเสี่ยง ๐ (๑) เงินสดที่เป็นเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ (๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (๓) เงินลงทุนในตลาดซื้อขายพันธบัตร โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืนหรือขายคืนซึ่งดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รวมดอกเบี้ยค้างรับ (๔) เงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหลักทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ข้างต้นเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินให้สินเชื่อที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือเงินให้สินเชื่อใด ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางของประเทศตามที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกัน โดยปราศจากเงื่อนไข หรือที่มีหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางของประเทศนอกจากที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องเป็นสกุลเงินของประเทศนั้น และไม่เกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือนิติบุคคลที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นเต็มจำนวน รวมถึงเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งนิติบุคคลดังกล่าว รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๙) เงินให้สินเชื่อที่มีสิทธิ ซึ่งมีตราสารการฝากเงินซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์นั้น หรือมีเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์นั้นยึดถือไว้ เป็นประกัน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าตามตราสารหรือจำนวนเงินตามเงินสด นั้น (๑๐) ยอดเหลื่อมบัญชีระหว่างสำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น (๑๑) ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (๑๒) เงินให้สินเชื่อเฉพาะส่วนซึ่งเท่ากับจำนวนที่ได้กันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (๑๓) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (๑๔) เงินสดระหว่างเรียกเก็บเพื่อประโยชน์ของลูกค้า (๑๕) ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการในส่วนที่เป็นต้นเงินตามหน้าตั๋วและดอกเบี้ยค้างรับ (๑๖) เงินให้สินเชื่อในส่วนที่มีตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) หรือบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ จำนำเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๑๗) เงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้โดยมีบุคคลอื่นทำสัญญากับธนาคารพาณิชย์นั้นตกลงว่า บุคคลอื่นจะรับความเสี่ยงด้านเครดิต (credit risk) ในเงินให้สินเชื่อหรือตราสารดังกล่าว ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าจำนวนเงินที่ผู้รับความเสี่ยงวางไว้เป็นประกันหรือจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นมีสิทธิหักกลบลบหนี้กับผู้รับความเสี่ยง ข. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๒ (๑) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์รับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยบริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๔) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยสถาบันที่กล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว รับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐในประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การระหว่างประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๒ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีองค์การดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันรวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยองค์การดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือไม่เกิน ๑ ปี (๙) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต หรือเงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเอกสารประเภทอื่น ที่ธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศรับผิดชอบในการชำระค่าสินค้าแทนผู้ซื้อ แต่ในกรณีผู้ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือธนาคารพาณิชย์ที่รับผิดชอบในการชำระค่าสินค้าเป็นธนาคารจดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ จะต้องมีระยะเวลาคงเหลือของเล็ตเตอร์ออฟเครดิต หรือระยะเวลาที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องชำระค่าสินค้าไม่เกิน ๑ ปี (๑๐) เงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้แต่สำนักงานประมาณมิได้จัดสรรเงินชำระหนี้ให้จนล่วงพ้นระยะเวลาที่ถึงกำหนดชำระเกินกว่า ๒ ปีขึ้นไป (๑๑) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกที่มีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยรับประกัน ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่ได้มีการโอนสิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ให้ธนาคารพาณิชย์แล้ว ค. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๕ (๑) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยเทศบาล หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีเทศบาลรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยเทศบาลเป็นประกัน (๒) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดาโดยธนาคารพาณิชย์รับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน ทั้งนี้ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อคงค้าง รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) ภาระผูกพันที่เป็นสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน หรืออัตราดอกเบี้ยซึ่งได้คูณด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้ว เว้นแต่คู่สัญญาจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีน้ำหนักความเสี่ยงต่ำกว่า ๐.๕ ง. น้ำหนักความเสี่ยง ๑.๐ (๑) เงินให้สินเชื่อแก่ภาคเอกชนและดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือเกิน ๑ ปี (๓) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาล หรือธนาคารกลางนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมิใช่เงินสกุลของประเทศนั้น หรือมีจำนวนเกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๔) ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินทรัพย์ประจำอื่นๆ และทรัพย์สินรอการขาย (๕) สินทรัพย์อื่นๆ ที่มิได้ระบุน้ำหนักความเสี่ยงไว้ข้อ ๕ นี้ ทั้งนี้ เงินฝาก หรือเงินให้สินเชื่อ ในแต่ละรายการข้างต้น ให้หมายความรวมถึงลูกหนี้อื่นๆ (สิทธิเรียกร้องในทางกฎหมาย) ที่เกิดจากธุรกรรมการซื้อหรือขายตราสารโดยมีสัญญาว่าจะขายหรือจะซื้อคืน (Repo) และธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Borrowing and Lending) เช่น ลูกหนี้ตามสัญญาซื้อคืน ลูกหนี้ตามสัญญาให้ยืมหลักทรัพย์ ลูกหนี้มาร์จิ้นที่โอน และลูกหนี้วางเงินสดเป็นประกัน เป็นต้น ข้อ ๖ ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ของภาระผูกพันแต่ละประเภท ก. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ๑.๐ (๑) การรับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ค้ำประกันการกู้ยืมเงินและค้ำประกันการขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน (๒) การสลักหลังตั๋วเงินแบบผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย (With Recourse) (๓) สัญญาการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตาม โดยปราศจากเงื่อนไข (๔) การค้ำประกัน การรับประกัน หรือการก่อภาระผูกพันในรูปแบบใดๆ ของธนาคารพาณิชย์ อันเนื่องมาจากการขายสินทรัพย์ (๕) ภาระผูกพันตามสัญญาขายตราสาร โดยมีเงื่อนไขจะซื้อคืนตามวิธีการคำนวณที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๖) ภาระผูกพันตามสัญญายืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Borrowing and Lending) ตามวิธีการคำนวณที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๗) ภาระผูกพันตามสัญญาหรือข้อตกลงการรับประกันความเสี่ยง ซึ่งได้แก่สัญญาที่ธนาคารพาณิชย์รับโอนความเสี่ยงด้านเครดิตหรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตจากคู่สัญญา โดยตกลงจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง หรือรับความเสียหายเนื่องจากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับคืนเงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือมีเหตุการณ์เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญา (credit event) เกิดขึ้น ข. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ๐.๕ (๑) ภาระผูกพันซึ่งขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของลูกค้า เช่น ค้ำประกันการรับเหมาก่อสร้าง ค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา เป็นต้น (๒) การประกันการจำหน่ายตราสารหรือหลักทรัพย์ ค. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ๐.๒ ภาระผูกพันเพื่อการนำสินค้าเข้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตทั้งที่มีเอกสารประกอบแล้ว และยังไม่มีเอกสารประกอบ ง. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ๐ (๑) ตั๋วเงินเพื่อเรียกเก็บ (๒) วงเงินที่ลูกค้ายังมิได้ใช้ (๓) ค้ำประกันการออกของ (Shipping Guarantee) (๔) ภาระผูกพันที่ธนาคารพาณิชย์สามารถบอกยกเลิกเมื่อใดก็ได้ (๕) ภาระผูกพันอื่นๆ ที่มิได้ระบุค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ไว้ในข้อ ๖ นี้ จ. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) สำหรับสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย อายุสัญญาที่เหลือ สัญญาเกี่ยวกับ สัญญาเกี่ยวกับ อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ไม่เกิน ๑๔ วัน ๐ ๐ ไม่เกิน ๑ ปี ๐.๐๒ ๐.๐๐๕ ตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๐.๐๕ ๐.๐๑ สัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนได้แก่สัญญาดังต่อไปนี้ Cross currency interest rate swaps Forward foreign exchange contracts Currency futures Currency option purchase สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน สัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยได้แก่ Single currency interest swaps Basis swaps Forward rate agreements Interest rate futures Interest rate option purchase สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน ในกรณีที่ลูกค้ารายเดียวกันทำสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนหรือสัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ทั้งทางด้านซื้อและด้านขาย ให้คูณจำนวนเงินด้านซื้อและด้านขายด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ก่อน และนำค่าที่ได้มาหักกลบกัน แล้วจึงนำจำนวนสุทธิไปคูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดในข้อ ๕ ข้อ ๗[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ภาคผนวก ๑ กลุ่มประเทศ Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) และประเทศที่มีฐานะการเงินเทียบเท่า ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ออสเตรีย ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม เม็กซิโก แคนาดา เนเธอร์แลนด์ สาธารณรัฐเช็ก นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ โปแลนด์ ฝรั่งเศส โปรตุเกส เยอรมนี ซาอุดีอาระเบีย กรีซ สาธารณรัฐสโลวัก ฮังการี สเปน ไอซ์แลนด์ สวีเดน ไอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ตุรกี ญี่ปุ่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ภาคผนวก ๒ องค์การระหว่างประเทศ European Investment Band (EIB) European Bank for Reconstruction and Development (EBRD) International Bank for Reconstruction and Development (IBRD) including International Finance Corporation (IFC) Inter-American Development Bank (IADB) African Development Bank (AfDB) Asian Development Bank (AsDB) Caribbean Development Bank (CDB) Nordic Investment Bank (NIB) หมายเหตุ :- เหตุผลในการออกประกาศฉบับนี้ เนื่องด้วยทางการได้มีการอนุญาตให้ประกอบธุรกรรม Credit Linked Notes และ Credit Default Swaps จึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเติมวิธีการคำนวณสินทรัพย์ เสี่ยงและภาระผูกพันให้ครอบคลุมถึงการทำธุรกรรมดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ได้เพิ่มเติมให้มีเงินสำรองจากการตีราคาตราสารทุนประเภทเผื่อขายเป็นเงินกองทุนในกรณีที่มูลค่าสุทธิจากการตีราคาเป็นส่วนเกินทุนและเป็นส่วนขาดทุน และเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การหักมูลค่าหุ้นซื้อคืนออกจากเงินกองทุน และรวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการหักเงินลงทุนในตราสารที่นับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ ๒ ของธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนอื่นที่ธนาคารพาณิชย์นั้นถือไว้ออกจากเงินกองทุน ดังนั้น จึงมีเหตุที่จะต้องปรับปรุงประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๕ จึงได้ยกเลิกประกาศฯ ฉบับเดิม และออกฉบับใหม่ขึ้นมา ในส่วนหลักการและเนื้อหาสาระอื่นตามประกาศฯ ฉบับเดิม นั้น ทางการไม่ได้มีความประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่ประการใด จึงยังคงไว้ตามเดิมในประกาศฯ ฉบับใหม่ สุภาพร/พิมพ์ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ศุภสรณ์/อภิสิทธิ์ ผู้จัดทำ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๖ [๑]รก.๒๕๔๖/พ๕๑ง/๒๓/๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
387885
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่าย ผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่าย ผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิและมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรทั้งในฐานะที่เป็นผู้รับฝากเงินหรือผู้กู้ยืม และผู้ฝากเงินหรือผู้ให้กู้ยืมโดยมีขอบเขตการทำธุรกรรม และข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรในฐานะที่เป็นผู้รับฝากเงินหรือผู้กู้ยืม ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกระทำได้ภายในขอบเขตดังต่อไปนี้ (๑) กรณีธุรกรรมที่ทำกับลูกค้าประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารแนบยกเว้นธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศให้ทำเป็นสกุลเงินบาทเท่านั้น (๒) กรณีธุรกรรมที่ทำกับธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ ให้ทำเป็นสกุลเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศก็ได้ (๓) กรณีธุรกรรมที่ทำกับบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) ให้ทำเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเท่านั้น ข้อ ๒ การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรตามข้อ ๑ (๑) และ (๒) ต้องมีจำนวนเงินขั้นต่ำ ๑๐ ล้านบาทหรือเทียบเท่าอายุไม่ต่ำกว่า ๓ เดือน และจะต้องมีการชำระคืนเงินต้นเต็มจำนวนให้แก่ผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้ อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ลูกค้าต้องการถอนเงินฝากหรือเรียกคืนเงินให้กู้ยืมก่อนครบกำหนดสัญญา ธนาคารพาณิชย์อาจคิดค่าปรับจากผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้ได้ตามที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญา โดยธนาคารพาณิชย์ต้องมีการชี้แจงให้ผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้รับทราบเงื่อนไขดังกล่าวอย่างชัดเจนก่อนตกลงทำสัญญา ข้อ ๓ ในการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรนั้น ตัวแปรที่สามารถนำมาใช้อ้างอิงสำหรับการคำนวณและจ่ายผลตอบแทนได้แก่ ดัชนีราคาหลักทรัพย์ในประเทศ กลุ่มของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงภายในประเทศ เท่านั้น เว้นแต่กรณีการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรระหว่างธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศด้วยกันและการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่ผู้รับฝากเงินเป็นบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตัวแปรที่นำมาใช้อ้างอิงอาจเป็นดัชนีราคาหลักทรัพย์ต่างประเทศ กลุ่มหุ้นในต่างประเทศอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในต่างประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศก็ได้ ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรในฐานะที่เป็นผู้รับฝากเงินหรือผู้กู้ยืม กับลูกค้าประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารแนบเท่านั้น และจะต้องมีการชี้แจงให้ผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้เข้าใจเกี่ยวกับลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนพร้อมทั้งมีหลักฐานแสดงว่าผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้มีความเข้าใจความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ข้อ ๕ ธนาคารพาณิชย์ต้องชี้แจงวิธีการคำนวณและวิธีการจ่ายชำระผลตอบแทนให้ลูกค้าเข้าใจอย่างชัดเจน ข้อ ๖ การทำธุรกรรมดังกล่าวหากมีการออกบัตรเงินฝากหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ จะต้องระบุเงื่อนไขห้ามเปลี่ยนมือ ยกเว้นในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ผู้ออกสามารถควบคุมดูแลการโอนเปลี่ยนมือให้อยู่ภายในกลุ่มลูกค้าประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารแนบ ธนาคารพาณิชย์อาจไม่กำหนดเงื่อนไขการห้ามเปลี่ยนมือดังกล่าวก็ได้ ข้อ ๗ ธนาคารพาณิชย์สามารถทำการป้องกันความเสี่ยงสำหรับธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรได้ ทั้งกับคู่ค้าภายในประเทศและภายนอกประเทศ แต่จะทำการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเงินตราต่างประเทศซึ่งมีผลทำให้เกิดการปล่อยสภาพคล่องที่เป็นเงินบาทให้แก่บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศไม่ได้ ข้อ ๘ ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร ต้องมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมสอดคล้องกับการทำธุรกรรม ดังนี้ (๑) คณะกรรมการธนาคาร หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง (ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) จะต้องเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการย่อยและผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าวจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในธุรกรรมที่กล่าวและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี และจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลทำธุรกรรมดังกล่าวตามนโยบายที่ได้รับความเห็นชอบอย่างใกล้ชิด และให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการทำธุรกรรมดังกล่าว (๒) ธนาคารพาณิชย์จะต้องกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ ขั้นตอนการปฏิบัติในการประกอบธุรกรรม การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และการควบคุมภายในไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยนโยบายดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง (ในกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) หรือคณะกรรมการย่อยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าว (๓) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยงที่เป็นอิสระ (Risk management unit) เพื่อทำหน้าที่ประเมิน ติดตาม ควบคุม ตรวจสอบดูแล การบริหารความเสี่ยงโดยรวมของธนาคารพาณิชย์นั้น และมีการรายงานโดยตรงต่อคณะกรรมการธนาคารผ่านทางคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ สำหรับกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ หน่วยงานบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้ โดยจะต้องมีการรายงานต่อหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่อย่างสม่ำเสมอ (๔) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีบุคลากรเพียงพอที่จะรองรับการประกอบธุรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร โดยบุคลากรดังกล่าวจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถและประสบการณ์เพียงพอ (๕) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีมาตรการในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงโดยรวมที่มีประสิทธิภาพ สามารถสะท้อนและรองรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกรรม ทั้งนี้ ให้เน้นประสิทธิภาพของระบบบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest rate risk) ความเสี่ยงด้านราคาตราสารทุน (Equity price risk) ความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดจากการประกอบธุรกรรม Options ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity risk) และความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit risk) โดยธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบที่ใช้ในการวัดความเสี่ยงที่สามารถสะท้อนความเสี่ยงโดยรวมและความเสี่ยงแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง และแม่นยำและมีการนำระบบบริหารความเสี่ยงดังกล่าวไปใช้ในการควบคุมความเสี่ยงในทางปฏิบัติมีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการที่ใช้ในการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Mark to Market) ที่เหมาะสม ชัดเจน และสะท้อนมูลค่าตลาดที่แท้จริง และมีการประเมินมูลค่ายุติธรรมของยอดคงค้าง ณ ทุกสิ้นวันทำการ มีการกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Limits) ให้มีความเหมาะสมกับระบบการบริหารความเสี่ยงโดยรวม ลักษณะการดำเนินงานและฐานะเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น มีการทดสอบประสิทธิภาพความถูกต้องและแม่นยำของระบบบริหารความเสี่ยงภายในระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น มีการทดสอบ Back Test และมีการทดสอบ Stress Test ของแบบจำลอง Value at Risk อย่างสม่ำเสมอ (๖) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีระบบควบคุมภายในที่สามารถรองรับการทำธุรกรรมดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงพอ เหมาะสม มีระเบียบ และวิธีปฏิบัติในการควบคุมภายในที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร มีการกำหนดโครงสร้างการควบคุมและมีการแบ่งแยกหน้าที่อย่างเหมาะสม มีการตรวจสอบระบบควบคุมภายในและการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งมีการจัดทำระบบข้อมูลเพื่อรายงานความเสี่ยงและการจัดทำรายงานเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่ (ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) โดยหน่วยงานดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้ ข้อ ๙ ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรโดยทั่วไปจะประกอบด้วย ๒ ส่วนหลัก คือ ส่วนที่เป็นเงินรับฝากหรือเงินกู้ยืม และส่วนที่เป็นอนุพันธ์ทางการเงิน ให้ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมดังกล่าวต้องประเมินมูลค่ายุติธรรมส่วนที่เป็นอนุพันธ์ทางการเงินและธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง[๑] (Hedging Instruments) (ถ้ามี) ทุกสิ้นเดือน และนำผลขาดทุนสุทธิจากการประเมินมูลค่าดังกล่าวมาทดลองหักออกจากตัวเลขเงินกองทุนของเดือนที่รายงานล่าสุด หากปรากฏว่ามีผลทำให้เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ต่ำกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงตามกฎหมาย ให้ธนาคารพาณิชย์ระงับการทำธุรกรรมดังกล่าวเพิ่มเติมและเร่งดำเนินการแก้ไขต่อไป ข้อ ๑๐ ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดเก็บหลักฐานในการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เอง เพื่อให้ผู้ตรวจการธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ ข้อ ๑๑ ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกรรมนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด และให้ถือเสมือนว่าธุรกรรมเงินกู้ยืมดังกล่าวเป็นธุรกรรมเงินฝากประเภทหนึ่งซึ่งต้องปฎิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ข้อ ๑๒ ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรต้องบันทึกบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีและวิธีปฏิบัติของสากล ข้อ ๑๓ ให้ธนาคารพาณิชย์รายงานธุรกรรมดังกล่าวเป็นเงินฝากในแบบรายงานทุกรายงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ไม่ว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวจะเป็นในรูปแบบของการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงิน ข้อ ๑๔ การทำธุรกรรมดังกล่าวของสาขาธนาคารพาณิชย์ไทยในต่างประเทศให้อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลของประเทศที่สาขานั้นตั้งอยู่ อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจะต้องมีระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพตามที่ระบุไว้ในข้อ ๘ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๙ – ๑๓ ของประกาศฉบับนี้ด้วย ข้อ[๒] ๑๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย พชร สุขสุเมฆ อรดา เชาวน์วโรดม หทัยชนก ทรัพยัย ผู้จัดทำ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖ [๑]ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดเก็บเอกสารหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่าเป็นธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) [๒] รก. ๒๕๔๖/พ๔๖ง/๕/๑๗ เมษายน ๒๕๔๖
387883
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารออมสิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๓ (ครั้งที่ ๓) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารออมสิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๓ (ครั้งที่ ๓) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖[๑] ด้วยประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารออมสิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๓ (ครั้งที่ ๓) ลงวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๓ ข้อ ๔ วรรค ๒ กระทรวงการคลังจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน ในวันที่ ๒๖ เมษายน ของทุกปี โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารออมสิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ ๒๕๔๓ (ครั้งที่ ๓) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารออมสินจากอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๐๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๓.๖๐ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๕ เป็นต้นไป โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงินตามประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังกล่าว จึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารออมสิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๓ (ครั้งที่ ๓) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ จากอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๒.๘๐ ต่อปี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๖ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ สมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พชร สุขสุเมฆ อรดา เชาวน์วโรดม หทัยชนก ทรัพยัย ผู้จัดทำ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖ [๑] รก. ๒๕๔๖/พ๔๖ง/๒/๑๗ เมษายน ๒๕๔๖
387875
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๓) (ครั้งที่ ๔) และ (ครั้งที่ ๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ ๒๕๔๖
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๓) (ครั้งที่ ๔) และ (ครั้งที่ ๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ ๒๕๔๖[๑] ด้วยประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๓) (ครั้งที่ ๔) และ (ครั้งที่ ๕) ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ ๒๕๔๕ ข้อ ๔ วรรค ๒ กระทรวงการคลังจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินฯ (ครั้งที่ ๓) (ครั้งที่ ๔) ในวันที่ ๑๗ เมษายน ของทุกปี และตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินฯ (ครั้งที่ ๕) ในวันที่ ๒๒ เมษายน ของทุกปี โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน ข้อ ๔ วรรค ๑ ตามประกาศกระทรวงการคลัง ๓ ฉบับดังกล่าว จึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากอัตราร้อยละ ๓.๖๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๒.๘๐ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๖ เป็นต้นไป สำหรับประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงิน ฯ (ครั้งที่ ๓) (ครั้งที่ ๔) และตั้งแต่วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๖ เป็นต้นไป สำหรับประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินฯ (ครั้งที่ ๕) ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ สมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พชร สุขสุเมฆ อรดา เชาวน์วโรดม หทัยชนก ทรัพยัย ผู้จัดทำ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖ [๑] รก. ๒๕๔๖/พ๔๖ง/๑/๑๗ เมษายน ๒๕๔๖
386832
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์[๑] อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับลงวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๖ ออกตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ณ วันทำงานวันสุดท้ายของทุกเดือนไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานทุกแห่ง ดังนี้ (๑) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในประเทศไทยให้ทำรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๑ ที่แนบท้ายประกาศนี้ (๒) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ ให้ทำรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๒ ที่แนบท้ายประกาศนี้ (๓) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศให้จัดทำรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ว.ธ. ๑.๒ ที่แนบท้ายประกาศนี้ ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ณ วันทำงานวันสุดท้ายของเดือนสุดท้ายของไตรมาส คือ เดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย ๑ ฉบับ ภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่รายงาน ณ วันสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๔๖ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูภาพจากข้อมูลกฎหมาย] สุภาพร/พิมพ์ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๖ ศุภสรณ์/อภิสิทธิ์ ผู้จัดทำ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๖ [๑]รก.๒๕๔๖/พ๓๕ง/๒๑/๒๑ มีนาคม ๒๕๔๖
386662
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือ ในการบริหารความเสี่ยงหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ ๓ ประเภท ดังนี้ (๑) ธุรกรรม Forward Bond (๒) ธุรกรรม Bond Options (๓) ธุรกรรม Equity Index Linked Swap คำจำกัดความของธุรกรรม ข้อ ๑ ธุรกรรม Forward Bond คือ การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ โดยมีกำหนดระยะเวลาในการส่งมอบหลักทรัพย์และชำระราคาภายหลังวันที่ตกลงราคาซื้อขายกันเกิน ๒ วันทำการ แต่ไม่เกิน ๑ ปี ข้อ ๒ ธุรกรรม Bond Options คือ การซื้อหรือขายสิทธิที่จะซื้อ (Call) หรือสิทธิที่จะขาย (Put) หลักทรัพย์อ้างอิงที่เป็นตราสารหนี้ตัวใดตัวหนึ่ง หรือ กลุ่มตราสารหนี้ (Port) ในราคาที่ตกลงกันไว้ตามสัญญา ณ วันใดวันหนึ่งภายในช่วงระยะเวลาของสัญญา (American options) หรือ ณ วันครบกำหนดสัญญา (European options) โดยให้ทำธุรกรรมเฉพาะที่เป็น options แบบพื้นฐาน (Plain vanilla options) ที่มีวันครบกำหนดไม่เกิน ๑ ปี ข้อ ๓ ธุรกรรม Equity Index Linked Swap หมายถึง ข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาสองฝ่ายที่จะแลกเปลี่ยนอัตราผลตอบแทนที่ได้จากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในลักษณะคงที่ (Fixed Rate) หรือในลักษณะลอยตัว (Floating Rate) กับอัตราผลตอบแทนที่อิงกับดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ (Equity Index) ขอบเขตและข้อกำหนดการทำธุรกรรม ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม Forward Bond และ Bond Options โดยมีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารหนี้สกุลเงินบาทได้เฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้ ข้อ ๔.๑ หลักทรัพย์อ้างอิง คือ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรรัฐวิสาหกิจและหุ้นกู้ที่รัฐบาลค้ำประกัน ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ International Monetary Fund (IMF) Asian Development Bank (ADB) World Bank และตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับเป็นระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investmentgrade) โดยเป็นตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับ BBB หรือเทียบเท่าขึ้นไป จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ข้อ ๔.๒ มีการตกลงจำนวนเงินตามสัญญา (Notional amount) และชำระราคาเฉพาะในรูปสกุลเงินบาทเท่านั้น ข้อ ๔.๓ คู่ค้าเป็นนักลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุในเอกสารแนบเท่านั้น ข้อ ๕ ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม Forward Bond และ Bond Options ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศได้ เฉพาะในกรณีที่คู่สัญญาเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ หรือเป็นบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) โดยการทำธุรกรรมกับบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) จะต้องตกลงจำนวนเงินตามสัญญา และชำระราคาในรูปเงินตราต่างประเทศเท่านั้น ข้อ ๖ ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม Equity Index Linked Swap ได้เฉพาะกรณีดังต่อไปนี้ ข้อ ๖.๑ เป็นการแลกเปลี่ยนอัตราผลตอบแทนที่ได้จากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในประเทศกับอัตราผลตอบแทนที่อิงกับดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งได้แก่ SET Index SET ๕๐ และดัชนีของกลุ่มของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย (Basket Index) โดยมีวันครบกำหนดไม่เกิน ๓ ปี กับคู่ค้าที่เป็นนักลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุในเอกสารแนบซึ่งมีการตกลงจำนวนเงินตามสัญญา (Notional amount) และชำระราคาเฉพาะในรูปสกุลเงินบาท ข้อ ๖.๒ เป็นการแลกเปลี่ยนอัตราผลตอบแทนที่ได้จากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในต่างประเทศกับอัตราผลตอบแทนที่อิงกับดัชนีราคาหลักทรัพย์ในต่างประเทศกับคู่ค้าที่เป็นสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ หรือเป็นบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) โดยการทำธุรกรรมกับบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) จะต้องตกลงจำนวนเงินตามสัญญา และชำระราคาในรูปเงินตราต่างประเทศเท่านั้น ข้อ ๗ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติ ดังนี้ ข้อ ๗.๑ อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมต่อไปนี้ (๑) ธุรกรรม Forward Bond เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) (๒) การซื้อ Bond Options ทั้งเพื่อป้องกันความเสี่ยงและเพื่อการค้า (๓) การขาย Bond Options ที่ธนาคารพาณิชย์มีกรรมสิทธิ์ในตราสารนั้น ข้อ ๗.๒ อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม Forward Bond และการขาย Bond Options เพื่อการค้าและธุรกรรม Equity Index Linked Swap เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) คณะกรรมการธนาคาร หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง (ในกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) จะต้องเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการย่อยและผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าวจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในธุรกรรมที่กล่าวและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดีและจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลการทำธุรกรรมดังกล่าวตามนโยบายที่ได้รับความเห็นชอบอย่างใกล้ชิด และให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการทำธุรกรรมดังกล่าว (๒) ธนาคารพาณิชย์จะต้องกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ขั้นตอนการปฏิบัติในการประกอบธุรกรรม การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และการควบคุมภายในไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยนโยบายดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง (ในกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) หรือคณะกรรมการย่อยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าว (๓) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยงที่เป็นอิสระ (Risk management unit) เพื่อทำหน้าที่ประเมิน ติดตาม ควบคุม ตรวจสอบดูแลการบริหารความเสี่ยงโดยรวมของธนาคารพาณิชย์นั้น และมีการรายงานโดยตรงต่อคณะกรรมการธนาคารผ่านทางคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอสำหรับกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ หน่วยงานบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้ โดยจะต้องมีการรายงานต่อหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่อย่างสม่ำเสมอ (๔) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีบุคลากรเพียงพอเพื่อรองรับการประกอบธุรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร โดยบุคลากรดังกล่าวจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถและประสบการณ์เพียงพอ (๕) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีมาตรการในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงโดยรวมที่มีประสิทธิภาพ สามารถสะท้อนและรองรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกรรม ทั้งนี้ ให้เน้นประสิทธิภาพของระบบบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest rate risk) ความเสี่ยงด้านราคาตราสารทุน (Equity price risk) ความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดจากการประกอบธุรกรรม Options ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity risk) และความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit risk) โดยธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบที่ใช้ในการวัดความเสี่ยงที่สามารถสะท้อนความเสี่ยงโดยรวมและความเสี่ยงแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ถูกต้องและแม่นยำ และมีการนำระบบริหารความเสี่ยงดังกล่าวไปใช้ในการควบคุมความเสี่ยงในทางปฏิบัติ มีการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่ใช้ในการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ที่เหมาะสม ชัดเจน และสะท้อนมูลค่าตลาดที่แท้จริง และมีการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ของยอดคงค้าง ณ ทุกสิ้นวันทำการมีการกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Limits) ให้มีความเหมาะสมกับระบบการบริหารความเสี่ยงโดยรวม ลักษณะการดำเนินงานและฐานะเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น มีการทดสอบประสิทธิภาพ ความถูกต้องและแม่นยำขอระบบบริหารความเสี่ยงภายใน ระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น มีการทดสอบ Back Test และมีการทดสอบ Stress Test ของแบบจำลอง Value at Risk อย่างสม่ำเสมอ (๖) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีระบบควบคุมภายในที่สามารถรองรับการทำธุรกรรมดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงพอ เหมาะสม มีระเบียบและวิธีปฏิบัติในการควบคุมภายในที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร มีการกำหนดโครงสร้างการควบคุมและมีการแบ่งแยกหน้าที่อย่างเหมาะสม มีการตรวจสอบระบบควบคุมภายใน และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอรวมทั้งมีการจัดทำระบบข้อมูลเพื่อรายงานความเสี่ยงและการจัดทำรายงานเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศโดยหน่วยงานดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้ (๗) ให้ธนาคารพาณิชย์ทดลองนำผลขาดทุนสุทธิที่เกิดขึ้นจากการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) Portfolio ของธุรกรรมข้อ ๑ ข้อ ๒ และข้อ ๓ และธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง[๑] (Hedging instruments) ของ Portfolio ธุรกรรมข้อ ๑ ข้อ ๒ และข้อ ๓ ดังกล่าว ณ ทุกสิ้นเดือน ไปหักออกจากตัวเลขเงินกองทุนของเดือนที่รายงานล่าสุด หากปรากฏว่าเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ต่ำกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องดำรงตามกฎหมายห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความสูญเสียเพิ่มขึ้น ยกเว้นเป็นการทำธุรกรรมเพื่อปิดความเสี่ยง (Unwind position) ทั้งนี้ หน่วยงานบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ (Risk management unit) จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบให้มีการตรวจสอบดูแลอย่างใกล้ชิดว่ามีการปฏิบัติตามระดับผลขาดทุนที่ยอมรับได้ (Stop Loss Limit) ที่ได้กำหนดไว้ ข้อ ๘ ธนาคารพาณิชย์ที่จะประกอบธุรกรรมในข้อ ๑ ข้อ ๒ และ ข้อ ๓ จะต้องวิเคราะห์ความเสี่ยงทางด้านเครดิตของคู่สัญญาตามพิธีการพิจารณาอนุมัติวงเงินสำหรับการประกอบธุรกรรมดังกล่าวโดยถี่ถ้วนและระมัดระวัง ข้อ ๙ ธนาคารพาณิชย์จะต้องบันทึกบัญชีการทำธุรกรรม การรับรู้กำไรขาดทุนและเปิดเผยข้อมูลในงบการเงินให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีหรือวิธีปฏิบัติของสากล ข้อ ๑๐ ธนาคารพาณิชย์จะต้องรายงานการประกอบธุรกรรม Forward Bond และ Bond Options ให้ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย (Thai Bond Dealing Center (TBDC)) โดยมีรายละเอียดตามที่ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยกำหนด ข้อ ๑๑ ธนาคารพาณิชย์ที่จะประกอบธุรกรรมที่กล่าวข้างต้น จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกรรมนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๑๒ ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดเก็บหลักฐานในการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ที่ธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบ หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ ข้อ ๑๓[๒] ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย รายชื่อนักลงทุนประเภทสถาบัน ๑. ธนาคารพาณิชย์ ๒. บริษัทเงินทุน ๓. บริษัทหลักทรัพย์ ๔. บริษัทประกันภัย ๕. บริษัทประกันชีวิต ๖. ธนาคารแห่งประเทศไทย ๗. นิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ๘. ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ๙. กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ๑๐. กองทุนบำเหน็จบำนาญ ๑๑. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ๑๒. กองทุนรวม ๑๓. กองทุนส่วนบุคคล ๑๔. นิติบุคคลที่มีสินทรัพย์รวมตามงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบแล้วสำหรับระยะเวลาล่าสุดตั้งแต่ห้าร้อยล้านบาทขึ้นไป หมายเหตุ นักลงทุนประเภทสถาบันที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานอื่นของทางการจะต้องได้รับอนุญาตให้ทำธุรกรรมที่กล่าวจากหน่วยงานนั้นด้วย สุภาพร/พิมพ์ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ศุภสรณ์/อภิสิทธิ์ ผู้จัดทำ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖ [๑]ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดเก็บเอกสารหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่า เป็นธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) [๒]รก.๒๕๔๖/พ๔๕ง/๓๘/๑๑ เมษายน ๒๕๔๖
383632
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงิน และการบันทึกบัญชีลูกหนี้ของสถาบันการเงิน สอดคล้องกับการปรับปรุงมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ ๓๔ เรื่อง การบัญชีสำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา และสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ปรับปรุงประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับนี้ อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๕ ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ข้อ ๒ ในประกาศฉบับนี้ (๑) สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หมายถึง สินทรัพย์จัดชั้นสูญ (๒) สินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หมายถึง (ก) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ (ข) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย (ค) สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน (ง) สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือสินทรัพย์จัดชั้นควรระวังเป็นพิเศษ (จ) สินทรัพย์จัดชั้นปกติ (๓) เงินสำรอง หมายถึง เงินสำรองที่กันไว้เป็นค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ ค่าเผื่อการลดราคา ค่าเผื่อการด้อยค่า ค่าเผื่อการปรับมูลค่า สำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นแต่ละประเภทตามอัตราและหลักเกณฑ์ที่ระบุในประกาศฉบับนี้ ข้อ ๓ สินทรัพย์จัดชั้นสูญดังต่อไปนี้ให้ตัดออกจากบัญชี (๑) สิทธิเรียกร้องซึ่งได้ปฏิบัติการโดยสมควรเพื่อให้ได้รับชำระหนี้แต่ไม่มีทางที่จะได้รับชำระหนี้แล้ว โดยให้พิจารณาตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (ก) ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เป็นคนสาบสูญ หรือมีหลักฐานว่าหายสาบสูญไปและไม่มีทรัพย์สินใด ๆ จะชำระหนี้ได้ (ข) ลูกหนี้เลิกกิจการ และมีหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้อยู่ในลำดับก่อนเป็นจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของลูกหนี้ (ค) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง และในกรณีนั้น ๆ ได้มีคำบังคับหรือคำสั่งของศาลแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินใด ๆ จะชำระหนี้ได้ (ง) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย และในกรณีนั้น ๆ ได้มีการประนอมหนี้กับลูกหนี้ โดยศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้นั้น หรือลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายและได้มีการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ครั้งแรกแล้ว (๒) สิทธิเรียกร้องซึ่งตามพฤติการณ์ไม่อาจเรียกให้ชำระหนี้ได้ (๓) สินทรัพย์อื่นซึ่งชำรุด เสียหาย หรือหมดราคา (๔) ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๔ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรองในอัตราร้อยละ ๑๐๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๑๒ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญแล้วสำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม (๒) (๒) ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน หรือถูกยกเลิกวงเงิน หรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือครบกำหนดสัญญาแล้ว และไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า ๑๒ เดือน นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงิน หรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือวันที่ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน (๓) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ หรือซื้อจากการขายทอดตลาดเฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือตีราคาไว้ไม่เกิน ๑๒ เดือน โดยมูลค่าที่กล่าวให้หักด้วยประมาณการค่าใช้จ่ายในการขายก่อนนำไปเปรียบเทียบกับราคาตามบัญชี แต่หากธนาคารพาณิชย์ได้ทำการประเมินราคาหรือตีราคาไว้เกินกว่า ๑๒ เดือน ให้นำมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือตีราคามาใช้ได้เพียงร้อยละ ๕๐ ทั้งนี้ ในการประเมินราคาหรือตีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่กล่าว ให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ยกเว้นหลักเกณฑ์การเลือกใช้การประเมินราคาหรือการตีราคา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักเกณฑ์ดังกล่าว มิให้นำมาใช้บังคับในเรื่องนี้ และให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ (ก) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลอด แต่ละแปลงมีราคาตามบัญชีตั้งแต่ ๕๐ ล้านบาทขึ้นไป ให้ใช้การประเมินราคา (ข) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลาด แต่ละแปลงมีราคาตามบัญชีต่ำกว่า ๕๐ ล้านบาท ธนาคารพาณิชย์จะใช้การตีราคาหรือการประเมินราคาก็ได้ (ค) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลาดหลายแปลง ที่ไม่สามารถแยกจำหน่ายจากกันได้ หากมีราคาตามบัญชีรวมกันตั้งแต่ ๕๐ ล้านบาทขึ้นไป ให้ใช้การประเมินราคาเช่นเดียวกับข้อ (๓) (ก) (๔) สินทรัพย์อื่นเฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่ายุติธรรม หรือมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืน ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ต้องกำหนดมูลค่ายุติธรรมหรือมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในมาตรฐานการบัญชี (๕) สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ทั้งจำนวน (๖) ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๗) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นจะเรียกคืนไม่ได้ทั้งจำนวนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๕ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๖ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญหรือสงสัยจะสูญแล้ว สำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม (๒) (๒) ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน หรือถูกยกเลิกวงเงิน หรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือครบกำหนดสัญญาแล้ว และไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงิน หรือดอกเบี้ยเกินกว่า ๖ เดือน นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงินหรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือวันที่ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน (๓) ลูกหนี้ที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว (๔) ลูกหนี้ที่หยุดดำเนินกิจการหรือเลิกกิจการ หรือกิจการของลูกหนี้อยู่ระหว่างชำระบัญชี (๕) ลูกหนี้ที่ประวิงการชำระหนี้ หรือกระทำการใด ๆ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ เช่น ออกไปเสียนอกราชอาณาจักร หรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน (๖) ลูกหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์ติดต่อไม่ได้ หรือตามตัวลูกหนี้ไม่พบ หรือลูกหนี้ไปเสียจากภูมิลำเนาที่ปรากฏตามสัญญาโดยไม่แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์ทราบ (๗) ลูกหนี้ที่ไม่ปรากฏธุรกิจแน่ชัด หรือไม่ได้ประกอบธุรกิจจริงจัง หรือนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ (๘) ธนาคารพาณิชย์ได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง (๙) สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกให้ชำระคืนไม่ได้ครบถ้วน (๑๐) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นคาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ครบถ้วนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๖ สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๓ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ หรือสงสัยแล้ว สำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม (๒) (๒) ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน หรือถูกยกเลิกวงเงิน หรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือครบกำหนดสัญญาแล้ว และไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า ๓ เดือน นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงินหรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือวันที่ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน (๓) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นมีปัญหาในการเรียกให้ชำระคืน หรือไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามปกติตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๗ สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือสินทรัพย์จัดชั้นควรระวังเป็นพิเศษตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ หรืออัตราที่ต่ำกว่า ซึ่งคำนวณได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยใช้ยอดคงค้างของต้นเงินที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับเป็นฐานในการคำนวณเงินสำรอง (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๑ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ สงสัย หรือต่ำกว่ามาตรฐาน สำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม (๒) (๒) ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน หรือถูกยกเลิกวงเงิน หรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือครบกำหนดสัญญาแล้ว และไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า ๑ เดือน นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงินหรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือวันที่ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ข้อ ๘ สินทรัพย์จัดชั้นปกติตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑ หรืออัตราที่ต่ำกว่าซึ่งคำนวณได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยใช้ยอดคงค้างของต้นเงินที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับเป็นฐานในการคำนวณเงินสำรอง (๑) ลูกหนี้ที่ไม่ผิดนัดชำระสำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม (๒) (๒) ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ยังใช้ไม่เต็มวงเงิน และยังไม่ถูกยกเลิกวงเงินหรือสัญญายังไม่ครบกำหนด หรือลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ค้างชำระดอกเบี้ยไม่เกิน ๑ เดือน (๓) ลูกหนี้อื่นที่ไม่เข้าข่ายเป็นลูกหนี้จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ สงสัย ต่ำกว่ามาตรฐาน หรือกล่าวถึงเป็นพิเศษ (หรือควรระวังเป็นพิเศษ) ข้อ ๙ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นเงินให้สินเชื่อโดยพิจารณาเป็นรายบัญชีไม่ต้องพิจารณาจัดชั้นเป็นกลุ่มลูกหนี้ หรือจัดชั้นลูกหนี้ในเครือเดียวกันไว้ที่ชั้นเดียวกัน ข้อ ๑๐ ลูกหนี้ที่มีหนังสือยืนยันการตรวจรับงานจากหน่วยราชการตามระเบียบของหน่วยราชการนั้นที่มีระยะเวลาไม่เกิน ๖ เดือนนับแต่วันตรวจรับงาน เงินให้สินเชื่อส่วนที่มีหนังสือยืนยันนั้นให้ถือเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ข้อ ๑๑ ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้ (๑) ตัดส่วนสูญเสียออกจากบัญชี หรือกันเงินสำรองดังต่อไปนี้ (ก) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนกาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือรับชำระหนี้โดยการรับโอนสินทรัพย์ตราสารการเงิน หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุน ให้ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายบัญชีลูกหนี้และบันทึกส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้น พร้อมกับโอนกลับรายการเงินสำรองส่วนเกินที่กันไว้เฉพาะสำหรับลูกหนี้รายนั้นทั้งจำนวนได้ (ข) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยไม่มีการลดต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งมีผลทำให้มูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของหนี้ที่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ได้คำนวณตามวิธีการที่กำหนดไว้ ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดต่ำกว่าราคาตามบัญชีเดิมรวมดอกเบี้ยค้างรับที่บันทึกในบัญชีของลูกหนี้ก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นดังกล่าวทั้งจำนวน ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์สามารถโอนกลับรายการเงินสำรองที่กันไว้แล้วเดิมก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายนั้นได้เฉพาะจำนวนที่กันไว้แล้วสูงกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องกัน และหากเงินสำรองที่กันไว้แล้วต่ำกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องกันก็ให้กันเงินสำรองเพิ่มขึ้นให้ครบจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องกันดังกล่าว (ค) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือรับชำระหนี้บางส่วนโดยการรับโอนสินทรัพย์ ตราสารการเงิน หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุนและผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ในส่วนที่เหลือให้แก่ลูกหนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตาม (ก) สำหรับกรณีการลดต้นเงินหรือดอกเบี้ย หรือการรับชำระหนี้ดังกล่าวและปฏิบัติตาม (ข) ในส่วนการผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ (๒) ในระหว่างติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งลูกหนี้ต้องชำระเงินตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๓ เดือน หรือ ๓ งวดการชำระเงิน แล้วแต่ระยะเวลาใดจะนานกว่า ให้ดำเนินการดังนี้ (ก) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นสงสัยจะสูญ หรือสงสัย ให้จัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน (ข) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน หรือกล่าวถึงเป็นพิเศษ (หรือควรระวังเป็นพิเศษ) ให้คงจัดชั้นเช่นเดิม ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ตามสถานะการจัดชั้นหลังการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หากเงินสำรองตาม (๒) นี้มีจำนวนสูงกว่าเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตาม (๑) (ข) และ(ค) เมื่อลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ โดยชำระเงินตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๓ เดือน หรือ ๓ งวดการชำระเงินแล้ว ให้ถือเป็นลูกหนี้จัดชั้นปกติ ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ ให้นับระยะเวลาการค้างชำระรวมกับระยะเวลาการค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แล้วพิจารณาจัดชั้นตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นเพื่อการกันเงินสำรองตามเกณฑ์ในประกาศฉบับนี้ต่อไป (๓) สำหรับลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (ก) ลูกหนี้ที่สามารถชำระดอกเบี้ยได้ไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด (Market interest rate) โดยไม่มีช่วงปลอดการชำระดอกเบี้ย แต่อาจมีช่วงปลอดชำระเงินต้นได้ (ข) ลูกหนี้ที่มีส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของยอดหนี้ตามบัญชีก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งได้มีการตัดออกจากบัญชีแล้ว หรือได้มีการกันเงินสำรองในอัตราดังกล่าวครบถ้วนแล้ว โดยหนี้ส่วนที่เหลือได้มีการวิเคราะห์ฐานะและกิจการของลูกหนี้ ตลอดจนกระแสเงินสดอย่างมีหลักเกณฑ์ สมเหตุสมผล และมีหลักฐานประกอบจนเชื่อได้แน่นอนว่าลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ (ค) ลูกหนี้ในลักษณะ Loan Syndication หรือมีเจ้าหนี้หลายราย ซึ่งบรรดาเจ้าหนี้ได้ตกลงปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกันได้ และสามารถแสดงหลักฐานการวิเคราะห์ฐานะและกิจการของลูกหนี้ ตลอดจนกระแสเงินสดอย่างมีหลักเกณฑ์ สมเหตุสมผล และมีความเป็นไปได้แน่นอนที่ลูกหนี้จะปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงส้รางหนี้ได้ (ง) กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องร้องลูกหนี้ ต่อมาได้มีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว และกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องร้องลูกหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบตามคำขอประนอมหนี้หรือแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้แล้ว (๔) กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (๕) ในกรณีที่เห็นว่ามีข้อผิดสังเกตในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจสั่งการให้มีการแก้ไข หรือให้ธนาคารพาณิชย์หาผู้เชี่ยวชาญอิสระมาประเมินหรือทบทวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แต่ละรายได้ ข้อ ๑๒ ในการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นทุกประเภท เว้นแต่สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ (๓) (๔) และ (๖) ให้นำมูลค่าของหลักประกันซึ่งได้ประเมินราคาตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรอง โดยธนาคารพาณิชย์สามารถเลือกที่จะนำหลักประกันมาหักออกจากบัญชีใดของลูกหนี้ก่อนก็ได้ ทั้งนี้ มูลค่าของหลักประกันที่นำมาหักได้จะต้องไม่สูงเกินกว่าวงเงินที่ระบุในสัญญาจำนำ สัญญาจำนอง หรือสัญญาประกัน แล้วแต่กรณีดังนี้ (๑) หลักประกันที่เป็นสิทธิในเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์นั้น นำมาหักได้ร้อยละ ๑๐๐ (๒) หลักประกันประเภทหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศกรณีที่เป็น Standby Letter of Credit (SBLC) ให้นำมาหักได้ร้อยละ ๑๐๐ ของวงเงินที่ระบุใน SBLC และกรณีที่เป็น Letter of Guarantee (LG) ให้นำมาหักได้ร้อยละ ๙๕ ของวงเงินที่ระบุใน LG (๓) หลักประกันที่ใกล้เคียงเงินสด เช่น หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดนำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๙๕ ของราคาตลาด (๔) หลักประกันอื่นนอกจาก (๑) (๒) และ (๓) ที่ได้มีการประเมินราคาหรือมีการตีราคาไว้ไม่เกิน ๑๒ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือการตีราคา หากมีการประเมินราคาหรือมีการตีราคาไว้เกินกว่า ๑๒ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือการตีราคา (๕) หลักประกันอื่นนอกจาก (๑) (๒) และ (๓) สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่มียอดคงค้างต่ำกว่า ๕ ล้านบาท ที่ได้มีการประเมินราคาหรือมีการตีราคาไว้ไม่เกิน ๓๖ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือการตีราคา หากมีการประเมินราคาหรือมีการตีราคาไว้เกินกว่า ๓๖ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคา หรือการตีราคา (๖) ลูกหนี้จัดชั้นรายใดที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน หรือที่รัฐบาลจะจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้ หรือที่มีหลักฐานว่าจะได้รับชำระเงินจากหน่วยราชการใดอย่างแน่นอน ให้นำวงเงินที่ได้รับการค้ำประกันหรือที่จะได้รับชำระนั้นมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนคำนวณเงินสำรอง สำหรับสินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือสินทรัพย์ควรระวังเป็นพิเศษ ตามข้อ ๗ และสินทรัพย์จัดชั้นปกติตามข้อ ๘ ธนาคารพาณิชย์จะนำมูลค่าของหลักประกันมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรองหรือไม่ก็ได้ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์เลือกที่จะนำมูลค่าหลักประกันมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรอง มูลค่าของหลักประกันที่จะนำมาหักได้ให้เป็นไปตามข้อ (๑) (๒) (๓) และ (๖) และสำหรับหลักประกันอื่นนอกจาก (๑) (๒) (๓) และ (๖) ที่ได้มีการประเมินราคาหรือมีการตีราคาไว้ไม่เกิน ๓๖ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือการตีราคา หากมีการประเมินราคาหรือมีการตีราคาไว้เกินกว่า ๓๖ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือการตีราคา เว้นแต่กรณีที่เป็นลูกหนี้ที่มีบัญชีอื่นถูกจัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน สงสัย หรือสงสัยจะสูญ มูลค่าหลักประกันอื่นนอกจาก (๑) (๒) (๓) และ (๖) ที่จะนำมาหักให้ใช้เกณฑ์ตามข้อ ๑๒ (๔) และ (๕) ข้อ ๑๓ ลูกหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญรายใดที่ได้กันเงินสำรองครบถ้วนแล้วและธนาคารพาณิชย์ได้ตัดจำหน่ายลูกหนี้รายดังกล่าวออกจากบัญชีแล้วตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติเกี่ยวกับการตัดจำหน่ายลูกหนี้ออกจากบัญชี ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๒ และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๔๕ ก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกลูกหนี้ดังกล่าวรายที่มีหลักประกันกลับเข้ามาในบัญชี โดยให้บันทึกบัญชีกลับรายการบัญชีที่ได้เคยบันทึกไว้เมื่อมีการตัดจำหน่ายลูกหนี้รายดังกล่าวออกจากบัญชี ส่วนลูกหนี้รายที่ไม่มีหลักประกัน ถ้าธนาคารพาณิชย์จะบันทึกลูกหนี้กลับเข้ามาในบัญชี ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกบัญชีโดยกลับรายการบัญชีที่ได้เคยบันทึกไว้เมื่อมีการตัดจำหน่ายลูกหนี้รายดังกล่าวออกจากบัญชีด้วยเช่นกัน ข้อ ๑๔ ในการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (หรือควรระวังเป็นพิเศษ) ตามข้อ ๗ และสินทรัพย์จัดชั้นปกติตามข้อ ๘ หากธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่าอัตราที่คำนวณได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไม่เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงสำหรับธนาคารพาณิชย์รายใด ธนาคารแห่งประเทศไทยมีสิทธิสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์นั้น กันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นดังกล่าวในอัตราตามที่เห็นสมควรได้ แต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๒ หรือร้อยละ ๑ แล้วแต่กรณี ข้อ ๑๕ ในระหว่างเวลาที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี หรือยังกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ครบจำนวน ธนาคารพาณิชย์จะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดแก่ผู้ถือหุ้นมิได้ เมื่อธนาคารพาณิชย์กันเงินสำรองสำหรับงวดการบัญชีหลังของปี ๒๕๔๔ ครบตามจำนวนที่พึงกันแล้ว หากในงวดการบัญชีต่อไป มีจำนวนเงินสำรองที่พึงกันลดลง ห้ามธนาคารพาณิชย์โอนเงินสำรองพึงกันส่วนที่เกินดังกล่าวเป็นรายได้ เว้นแต่ เป็นการลดลงของเงินสำรองอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๑๖ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ประสงค์จะจัดชั้นสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องและกันเงินสำรองโดยใช้เกณฑ์ที่เข้มงวดกว่าข้อกำหนดตามประกาศฉบับนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกระทำได้ ข้อ ๑๗ ให้ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๔๕ ยังมีผลใช้บังคับเฉพาะสำหรับธนาคารพาณิชย์ที่งวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๔ สิ้นสุดลง ภายหลังวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๔ จนกว่าจะสิ้นสุดงวดการบัญชีดังกล่าว ข้อ ๑๘ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำรายงานการสอบทานเงินให้สินเชื่อและภาระผูกพันส่งไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบรายงานที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด ข้อ ๑๙ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่งวดบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๕ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อนราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๖/พ๒๘ง/๑๐/๓ มีนาคม ๒๕๔๖] เกษร/พิมพ์ ทรงยศ/สราวุฒิ จัดทำ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
374832
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การถอนผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์
กหดหกดหกดหกด ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การถอนผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทยถอนบุคคลจากการเป็นผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย รวม ๒๕ ฉบับ คือ ประกาศลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๑๘ วันที่ ๓๑ กันยายน ๒๕๒๑ วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๒๒ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๒๓ วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๒๙ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๙ วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๙ วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๔ วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๖ วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๓๖ วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๗ วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๓๘ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๙ วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๐ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๐ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๔๑ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๒ วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๒ วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๓ วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๔ และวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ดังมีรายนามต่อไปนี้ ๑. นายวิชัย สันติวัฒนธรรม ๒. นางสาวจงรักษ์ เชื้อสกุลวนิช ๓. นายสมชาติ ภัคสิทธิโชติ ๔. นายสฤษดิ์ ปานศรีพงษ์ ๕. นายสมมาส กิจนะวันชัย ๖. นายสุวิช เติมพรเลิศ ๗. นายสุรชัย กิจกมลวัฒน์ ๘. นายสมพงษ์ ทิพย์สมพรดี ๙. นายธงชัย ชัยโลหกุล ๑๐. นายขจรศักดิ์ เจียรธนากุล ๑๑. นายยิ่งยศ เพียรนภา ๑๒. นางสาวทิพวรรณ ตีรถานนท์ ๑๓. นายโฆสิต โอฬารวุฒิกุล ๑๔. นายนพพร สุขผ่องศรี ๑๕. นางสาวพิชญาภรณ์ หยกชฎาธาร ๑๖. นายมงคล แดงทองดี ๑๗. นางสาวรสา ทรัพยโตษก ๑๘. นายเสริมสิงห์ สิงหเสนี ๑๙. นายดลเดช บุญเอนก ๒๐. นายสุกิจ ผู้พัฒน์ ๒๑. นางโสภิต พงษ์รัตนานุกูล ๒๒. นางนงนาท สนธิสุวรรณ ๒๓. นายโอภาส ปิยะเพชร ๒๔. นางสาวเบ็ญจวรรณ ศรีรัตนโพธิ์ชัย ๒๕. นายชาญชัย โยธาวงษ์ ๒๖. นายทวี คุปตเมธานนท์ ๒๗. นายปัญญา ยานะรักษ์ ๒๘. นายพงศ์เทพ ชินพัฒน์ ๒๙. ว่าที่ร้อยโท รุ่งเรือง โคกขุนทด ๓๐. นางฤชุกร แสงสุพรรณ ๓๑. นายวิชัย ศรีรัตนธรรม ๓๒. ว่าที่ร้อยตรี ศุภฤทธิ์ ศรีตระการนนท์ ๓๓. นายสมบูรณ์ จิตเป็นธม ๓๔. นายสมมุติ วินิจไพโรจน์ ๓๕. นายสรคม มากกมลธรรม ๓๖. นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ๓๗. นางสุเนตร รัตนวานิช ๓๘. นายสุวัตร เดชาพัฒนานนท์ ๓๙. นายอมร ทรัพย์สมพร ๔๐. นายวิชาญ อมรโรจนาวงศ์ ๔๑. นายชุมพล แย้มหรุ่น ๔๒. นายประวัติ พันธ์เพ็ง ๔๓. นายชัชวาลย์ ตียะพาณิชย์ ๔๔. นายดนัย บูรณะปิยะวงศ์ ๔๕. นางสาววนิดา วงศ์ภินันท์วัฒนา ทั้งนี้ ลำดับที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๔ ลำดับที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ลำดับที่ ๓ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๕ ลำดับที่ ๔ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๕ ลำดับที่ ๕ – ๑๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ลำดับที่ ๑๒ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ลำดับที่ ๑๓ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ลำดับที่ ๑๔ ตั้งแต่วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๕ ลำดับที่ ๑๕ – ๑๗ ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๕ ลำดับที่ ๑๘ – ๒๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๕ ลำดับที่ ๒๓ – ๒๔ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ และลำดับที่ ๒๕ – ๔๕ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๖/พ๘ง/๑๖๒/๒๑ มกราคม ๒๕๔๖] มณฑาทิพย์ / พิมพ์ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๖ สุมลรัตน์ / อรรถชัย แก้ไข ๒๓ เมษายน ๒๕๔๖
374830
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การแต่งตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์
กหดหกดหกดหกด ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การแต่งตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งผู้มีรายนามดังต่อไปนี้ เป็นผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ ๑. นางธาริษา วัฒนเกส ๒. นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ ๓. นายกฤช ฟอลเล็ต ๔. นางวจีทิพย์ พงษ์เพ็ชร ๕. นายวีรพล โสธรบุญ ๖. นางสาวเมทินี ศุภสวัสดิ์กุล ๗. นางสุธาศินี เปาทอง ๘. นางสาวรัชนี กิติสุข ๙. นางสาวมัตติการ์ วิทยะอักษร ๑๐. นางสาวอุทัยวรรณ ขามเขตต์ ๑๑. นางศิริรัตน์ พฤกษ์ไพศาล ๑๒. นายนพคุณ คชเสนี ๑๓. นายรณรงค์ ขุนภาษี ๑๔. นายจุลเวช ยศสุนทรากุล ๑๕. นางสาวพรรณิดา อุดมรัตน์ ๑๖. นางสุนันทา ลำโครัตน์ ๑๗. นางสาวมณฑิดา ธรรมจารี ๑๘. นายทวีสุทธิ์ อนนต์ศิริพร ๑๙. นายอัมพร เลิศกิจเจริญไพศาล ๒๐. นายก้องเกียรติ มั่นคง ๒๑. นายรัตนชัย ช่อผกา ๒๒. นางสาวชุติกาญจน์ หวังพิริยะพาณิช ๒๓. นางสาวปิยะนาถ หนูจันทร์แก้ว ๒๔. นายมานิตย์ บุณเนรมิตร ๒๕. นายชัยพฤกษ์ ไทยวิรัช ๒๖. ร้อยตำรวจโท อัฑฒชาติ คชพงษ์ ๒๗. นายบุญเลิศ เหลืองนาคทองดี ๒๘. นายนันทวิทย์ จันทร์เจริญ ๒๙. นายสมยศ มีเพ็ชรดี ๓๐. นางสถาพร รัตนเศรษฐ์ยุทธ ๓๑. นายชูชัย ประภารวีวรรณ ๓๒. นายวัฒนา อภัยสุวรรณ ๓๓. นางสาวสุมาลี ศีละสะนา ๓๔. นางรัตนาภรณ์ ชินพัฒน์ ๓๕. นายองอาจ ตรีจรูญ ๓๖. นายอังสนา ก่อเกียรติตระกูล ๓๗. นายสุเทพ พงษหา ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๖/พ๘ง/๑๕๖/๒๑ มกราคม ๒๕๔๖] มณฑาทิพย์ / พิมพ์ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๖ สุมลรัตน์ / อรรถชัย แก้ไข ๒๓ เมษายน ๒๕๔๖
374419
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์
กหดหกดหกดหกด ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยออกตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ณ วันทำงานวันสุดท้ายของทุกเดือนไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานทุกแห่ง ดังนี้ (๑) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในประเทศไทยให้ทำรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๑ ที่แนบท้ายประกาศนี้ (๒) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ ให้ทำรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๒ ที่แนบท้ายประกาศนี้ (๓) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศ ให้จัดทำรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ว.ธ. ๑.๒ ที่แนบท้ายประกาศนี้ ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ณ วันทำงานวันสุดท้ายของเดือนสุดท้ายของไตรมาส คือ เดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย ๑ ฉบับ ภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่รายงาน ณ วันสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๔๕ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก.๒๕๔๖/พ๖ง/๑๖/๑๖ มกราคม ๒๕๔๖] สุมลรัตน์ พิมพ์ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๖
374268
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจการนำอสังหาริมทรัพย์ออกให้เช่า
กหดหกดหกดหกด ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจ การนำอสังหาริมทรัพย์ออกให้เช่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตเป็นการทั่วไปให้ธนาคารพาณิชย์นำอสังหาริมทรัพย์ออกให้เช่าตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ ๑. ประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่อนุญาตให้นำออกให้เช่าได้ ได้แก่ (๑) อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจซึ่งยังมิได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เช่น สถานที่ทำการ ที่จอดรถ คลังสินค้าที่ธนาคารพาณิชย์มีไว้เพื่อเก็บรักษาทรัพย์ที่นำมาวางประกันการให้สินเชื่อ (๒) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ หรือจากการประกันการให้สินเชื่อ หรือจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่รับจำนองไว้จากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (๓) อสังหาริมทรัพย์ซึ่งธนาคารพาณิชย์ซื้อหรือมีไว้เพื่อใช้เป็นสำนักงานสาขาแต่อยู่ระหว่างรอการจำหน่ายอันเนื่องมาจากการย้าย การปิด และการระงับ หรือยกเลิกการเปิดสำนักงาน ๒. ในการนำอสังหาริมทรัพย์ออกให้เช่า ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ (๑) ต้องเป็นการให้เช่าเพื่อป้องกันการสูญเปล่าทางเศรษฐกิจหรือเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของอสังหาริมทรัพย์ (๒) ต้องจัดให้มีสัญญาเช่าเป็นหนังสือ ยกเว้นในกรณีการนำที่จอดรถตามข้อ ๑ (๑) ออกให้เช่าในลักษณะที่ไม่อาจทำสัญญาได้เนื่องจากความจำเป็นหรือเหตุสุดวิสัย โดยในกรณีดังกล่าว ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำและจัดเก็บเอกสารการให้เช่าไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบได้ (๓) ต้องไม่ทำสัญญาเช่าที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้พื้นที่ของธนาคารพาณิชย์หากเป็นกรณีการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ ตามข้อ ๑ (๑) และต้องไม่เป็นอุปสรรคในการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ ในกรณีการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ตามข้อ ๑ (๒) และ (๓) (๔) ต้องให้เช่าไม่เกินกว่าระยะเวลาการถือครองอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายโดยธนาคารพาณิชย์ต้องจำหน่ายหรือยกเลิกการถืออสังหาริมทรัพย์นั้นภายในระยะเวลาตามกฎหมายและตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (๕) ในกรณีการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจเมื่อนำพื้นที่ของสำนักงานใดออกให้เช่าแล้ว สำนักงานนั้นต้องไม่เช่าหรือซื้อพื้นที่เพิ่มเติมอีก รวมทั้งต้องให้เช่าแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่เหมาะสมและไม่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของธนาคารพาณิชย์ (๖) ต้องกำหนดเงื่อนไขในการให้เช่า เช่น ค่าเช่าหรือผลประโยชน์ที่จะได้รับอย่างเหมาะสมตามสภาวะตลาดและเป็นปกติทางการค้า มิฉะนั้น ธนาคารพาณิชย์จะต้องนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้น เพื่อพิจารณาความเหมาะสมก่อนดำเนินการให้เช่า (๗) ต้องจัดทำและเก็บรักษาเอกสารเกี่ยวกับการนำอสังหาริมทรัพย์ออกให้เช่าเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบได้ (๘) ต้องประกอบธุรกิจตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด อนึ่ง ในกรณีที่การนำอสังหาริมทรัพย์ออกให้เช่ามิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดข้างต้น ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะนำอสังหาริมทรัพย์ออกให้เช่าจะต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนเป็นรายกรณี และในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยอาจกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติใดๆ ด้วยก็ได้ ๓. ให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งรายละเอียดการให้เช่าตามแบบรายงานที่แนบท้ายประกาศนี้ ไปยังฝ่ายตรวจสอบ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยภายใน ๑ เดือนนับแต่วันสิ้นสุดปีที่ได้กระทำการดังกล่าว ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๖ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก๒๕๔๖/พ๗ง/๖๒/๒๐ มกราคม ๒๕๔๖] มณฑาทิพย์/พิมพ์ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๖ สุมลรัตน์/อรรถชัย แก้ไข ๓๐ เมษายน ๒๕๔๖
316203
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่ง อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและ ให้เช่าแบบลีสซิ่ง อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ---------------- เพื่อให้การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของธนาคารพาณิชย์ดำเนินการเป็นไปอย่าง ต่อเนื่อง โดยให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งอันเนื่องมาจากการ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ต่อไป ธนาคารแห่งประเทศไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคาร พาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๒ ข้อ ๒ ในประกาศนี้ "ผู้เช่า" หมายความว่า ผู้เช่าซื้อหรือผู้เช่าแบบลีสซิ่ง "เงินรายงวด" หมายความว่า เงินที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระแก่ธนาคารพาณิชย์ ในแต่ละงวด ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นดอกผลเช่าซื้อและราคาเงินสดประจำงวดตามเงื่อนไขใน สัญญาเช่าชื้อ "ค่าเช่า" หมายความว่า ค่าเช่าตามสัญญาเช่าแบบลีสซิ่ง "การปรับปรุงโครงสร้างหนี้" หมายความว่า การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เป็นไป ตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย "เช่าซื้อ" หมายความว่า เช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ "การให้เช่าแบบลีสซิ่ง" หมายความว่า การให้เช่าทรัพย์สิน เพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้ ประโยชน์ในกิจการอุตสาหกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการบริการอย่างอื่นเป็นทาง ค้าปกติ โดยผู้เช่ามีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่า ทั้งนี้ ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญา ก่อนครบกำหนดเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ผู้เช่ามีสิทธิที่จะซื้อหรือเช่าทรัพย์สินนั้นต่อไปในราคาหรือ ค่าเช่าที่ได้ตกลงกัน ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ให้เช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง ซึ่งทรัพย์สินที่ได้รับ โอนมาเพื่อชำระหนี้จากลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ข้อ ๔ การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าแบบลีสซิ่ง เมื่อผู้เช่าผิดนัด ไม่ชำระเงินรายงวดสองงวดหรือค่าเช่าสองงวดติด ๆ กัน หรือเมื่อผู้เช่ากระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็น ส่วนสำคัญ ถ้าธนาคารพาณิชย์ต้องแจ้งการบอกเลิกสัญญาพร้อมด้วยเหตุผลเป็นหนังสือให้ผู้เช่า ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า สามสิบวันนับแต่วันที่ผู้เช่าได้รับหนังสือดังกล่าว ในหนังสือบอกเลิก สัญญานั้นให้ระบุด้วยว่าหากผู้เช่าชำระเงินรายงวดที่ค้างชำระ หรือแก้ไขการผิดสัญญาในข้อที่เป็น ส่วนสำคัญดังกล่าว แล้วแต่กรณีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา การ บอกเลิกสัญญานั้นเป็นอันระงับไป ในกรณีที่ผิดนัดไม่ชำระเงินรายงวดสองงวดติดต่อกัน หรือการทำผิดสัญญาใน ข้อที่เป็นส่วนสำคัญ หากผู้เช่าชำระเงินรายงวดหรือค่าเช่าที่ค้างชำระหรือแก้ไข การผิดสัญญาในข้อ ที่เป็นส่วนสำคัญ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา ให้การบอกเลิกสัญญา นั้นเป็นอันระงับไป ข้อ ๕ เมื่อสิ้นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๕ ธนาคารพาณิชย์จะประกอบธุรกิจการ ให้เช่าซื้อ หรือการให้เช่าแบบลีสซิ่งเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๕ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๔/พ๑๓๐ง/๒๔/๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๔] พรพิมล/แก้ไข ๔ พ.ค ๒๕๔๕ (A+B)C
316202
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน -------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝากเงิน ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ ข้อ ๒ ในประกาศนี้ "บัญชีเงินฝาก" หมายความว่า การรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือ เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ ไม่ว่าจะกระทำโดยวิธีการอื่นใดที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตใน ปัจจุบัน หรืออาจได้รับอนุญาตในอนาคต "ผู้ฝากเงิน" หมายความรวมถึงผู้ที่ได้รับมอบหมาย หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจ ในการเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์แทน หรือในนามของผู้อื่น ข้อ ๓ ในการเปิดบัญชีเงินฝาก ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้ผู้ฝากเงินแจ้งข้อมูล เกี่ยวกับตนเองอย่างละเอียด ในแบบรายการคำขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดขึ้น พร้อมลงลายมือชื่อ แบบรายการคำขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดขึ้นตาม วรรคหนึ่ง จะต้องมีรายการละเอียดของผู้ฝากเงินอย่างน้อยดังต่อไปนี้ (๑) ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ปัจจุบัน อาชีพ สถานที่ทำงาน สถานที่ที่สะดวกใน การติดต่อ (๒) ในกรณีเป็นนิติบุคคลให้แสดงรายละเอียดข้อมูล เกี่ยวกับประเภท ธุรกิจหรือวัตถุประสงค์ของผู้ฝากเงินที่เป็นธุรกิจในทางการค้าปกติ ข้อ ๔ ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีเอกสารแสดงตน หรือสำเนาเอกสารดังกล่าว เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการขอเปิดบัญชีเงินฝากอย่างน้อยดังต่อไปนี้และต้องให้ผู้ฝากเงินลงลาย มือชื่อรับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสารหลักฐานดังกล่าวไว้ด้วย (๑) สำหรับผู้ฝากเงินที่บุคคลธรรมดา เอกสารที่ต้องมีอย่างน้อยต้องเป็น เอกสารที่ระบุเลขประจำตัวประชาชนของบุคคลนั้นไว้ด้วย (๒) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศไทยเอกสาร ที่ต้องมีได้แก่ หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมทะเบียนการค้า กระทรวง พาณิชย์ เอกสารที่แสดงว่าคณะกรรมการบริษัท หรือหุ้นส่วนเห็นชอบให้เปิดบัญชี รวมทั้งกำหนด อำนาจและเงื่อนไขในการสั่งจ่ายโดยผู้มีอำนาจลงนามรับรองพร้อมทั้งประทับตา (ถ้ามี) พร้อม เอกสารแสดงตนของผู้มีอำนาจลงนาม เอกสารที่กล่าวให้เป็นไปเช่นเดียวกับที่กำหนดตามข้อ ๔ (๑) (๓) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นส่วนราชการ องค์กรของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ เอกสารที่ต้องมีได้แก่ หนังสือแสดงความจำนงขอเปิดบัญชี อำนาจและ เงื่อนไขในการสั่งจ่าย พร้อมเอกสารแสดงตนของผู้มีอำนาจลงนาม เอกสารที่กล่าวให้เป็นไปเช่น เดียวกับที่กำหนดตามข้อ ๔ (๑) (๔) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นสหกรณ์ มูลนิธิ สมาคม สโมสร วัด มัสยิด ศาลเจ้า และนิติบุคคลอื่น เอกสารที่ต้องมีได้แก่ หนังสือจดทะเบียนของกระทรวงมหาดไทยหรือ กระทรวงอื่นที่หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หนังสือแต่งตั้งหรือมอบอำนาจ รายงานการประชุมกรรมการ หรือหนังสือแสดงความประสงค์ขอเปิดบัญชี รวมทั้งกำหนดอำนาจและเงื่อนไขในการสั่งจ่าย โดยผู้มีอำนาจลงนามรับรองพร้อมทั้งประทับตราพร้อมเอกสารแสดงตนของผู้มีอำนาจลงนาม เอกสารที่กล่าวให้เป็นไปเช่นเดียวกับที่กำหนดตามข้อ ๔ (๑) (๕) สำหรับผู้ฝากเงินที่ไม่ใช่บุคคลผู้มีสัญชาติไทย หรือไม่ใช่นิติบุคคลใน ประเทศไทย เอกสารที่ต้องมีได้แก่ หนังสือเดินทาง หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือเอกสาร หลักฐานแสดงตนที่ออกหรือรับรองโดยหน่วยงานหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ เอกสารที่กล่าวข้างต้นให้หมายความรวมถึง ใบแทน หรือบัตรชั่วคราวที่ ใช้ระหว่างรอการออกเอกสารดังกล่าวด้วย ข้อ ๕ ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารหลักฐานหรือ สำเนาเอกสารหลักฐานในข้อ ๔ ตามปกติวิสัยที่พึงปฏิบัติ โดยสุจริตและปราศจากความประมาท เลินเล่อและต้องจัดเก็บรักษาเอกสาร หรือสำเนาเอกสารหลักฐานที่ผู้ฝากเงินได้ลงลายมือชื่อรับรอง ความถูกต้องแล้วในห้องมั่นคง หรือสถานที่ที่ปลอดภัย ณ ธนาคารพาณิชย์ตั้งแต่วันเปิดบัญชีเงิน ฝากและเก็บรักษาต่อไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปี นับแต่วันที่ลูกค้าปิดบัญชีเงินฝาก เพื่อให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ หรือใช้ประกอบ ในการสอบสวนหรือดำเนินคดี ข้อ ๖ ธนาคารพาณิชย์จะให้ผู้ฝากเงินเปิดบัญชีเงินฝากโดยปกปิดชื่อจริงของ ผู้ฝากเงิน ให้ชื่อแฝง หรือใช้ชื่อปลอมมิได้ ข้อ ๗ สำหรับผู้ฝากเงินที่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่ ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ มีผลใช้บังคับ และธนาคารพาณิชย์ได้แจ้งผู้ฝากเงินให้ดำเนินการแล้ว แต่ผู้ฝากเงินมิได้ปฏิบัติตามให้ถือว่าธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินการตามประกาศธนาคารแห่ง ประเทศไทยดังกล่าวแล้ว ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๔/พ๑๒๙ง/๑๘/๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๔] พรพิมล/พิมพ์/แก้ไข ๑๙ มิ.ย ๒๕๔๕ (A+B)C
325138
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การขายหรือให้สังหาริมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์แก่กรรมการ
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การขายหรือให้สังหาริมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์แก่กรรมการ ---------------- ในปัจจุบันหากธนาคารพาณิชย์จะจ่ายเงิน ทรัพย์สิน ค่าตอบแทน และสิทธิ ประโยชน์ในลักษณะต่าง ๆ แก่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์จะต้องปฏิบัติ ตามกฎหมาย หรือหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้ หรือได้รับความเห็น ชอบจาก ธปท. อย่างไรก็ตาม ในระยะที่ผ่านมา ธปท. มีนโยบายปรับเปลี่ยนแนวทางการกำกับ ดูแลให้เป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบและเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจของธนาคารพาณิชย์เองมาก ขึ้น อาทิ การผ่อนปรนเกี่ยวกับการจ่ายเงินหรือทรัพย์สินอื่นเป็นค่าตอบแทนแก่พนักงานหรือลูกจ้าง ของธนาคารพาณิชย์เป็นต้น เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการกำกับดังกล่าว ธปท. จึงอาศัยอำนาจตามความ ในมาตรา ๑๒ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออก ข้อกำหนดเกี่ยวกับการขายหรือให้สังหาริมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์แก่กรรมการ เพื่อให้ธนาคาร พาณิชย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การขายหรือให้ สังหาริมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์แก่กรรมการ ลงวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๒๙ ข้อ ๒ ในแต่ละรอบปีบัญชี ธนาคารพาณิชย์จะขายหรือให้สังหาริมทรัพย์มี มูลค่ารวมกันไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท แก่กรรมการแต่ละรายของธนาคารพาณิชย์นั้นได้ โดยไม่ต้องได้ รับความเห็นชอบจาก ธปท. ก่อน การขายหรือให้สังหาริมทรัพย์แก่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมการ ตามมาตรา ๑๒ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้ ถือว่าเป็นการขายหรือให้สังหาริมทรัพย์แก่กรรมการนั้นด้วย ข้อ ๓ นอกจากที่กล่าวในข้อ ๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบให้ธนาคาร พาณิชย์ขายสังหาริมทรัพย์ให้แก่กรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้นได้ เมื่อธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) เป็นการขายตามมูลค่าของสังหาริมทรัพย์นั้น และ (๒) ธนาคารพาณิชย์ได้กำหนดระเบียบ และหลักเกณฑ์การขาย สินทรัพย์ประเภทสังหาริมทรัพย์ ตามหนังสือเวียน ที่ ธปท. สนส. (๒๑) ว. ๒๑๓๐/๒๕๔๓ เรื่อง การ ปฏิบัติเกี่ยวกับการให้สินเชื่อการก่อภาระผูกพัน การลงทุนในหลักทรัพย์ และการขายสินทรัพย์ของ ธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๓ และเป็นการขายที่ปฏิบัติตามระเบียบและหลัก เกณฑ์ดังกล่าว ข้อ ๔ การคำนวณมูลค่าของสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวข้างต้น ให้ถือเอาราคาตาม บัญชีของธนาคารพาณิชย์นั้น หรือราคาตลาดตามมาตรฐานการบัญชีของสังหาริมทรัพย์นั้น แล้ว แต่จำนวนใดจะสูงกว่า ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๔ หม่อนราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๔/พ๘๘ง/๓๘/๑๑ กันยายน ๒๕๔๔] พรพิมล/แก้ไข ๒๕ เม.ย ๒๕๔๕ (A+B)C
316177
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การเป็นกรรมการในบริษัทจำกัดอื่นของกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การเป็นกรรมการในบริษัทจำกัดอื่นของกรรมการ และผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ ------------- ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ การเป็นกรรมการในบริษัทลูกหนี้และบริษัทจำกัดอื่นของกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของ ธนาคารพาณิชย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชนเนื่องจากการให้สินเชื่อ ของธนาคารพาณิชย์แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องดังกล่าวอาจขาดการวิเคราะห์ตามที่ควรจะเป็น หรือ มี การเอื้ออำนวยผลประโยชน์แก่กันจนเกิดความเสียหายขึ้นจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม รวมทั้ง ยังประสงค์จะให้ธนาคารพาณิชย์ตระหนักถึงความสำคัญของกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของ ธนาคารพาณิชย์ที่จะต้องอุทิศความรู้ ความสามารถและเวลาให้แก่ธนาคารพาณิชย์อย่างเต็มที่ จึง ไม่ให้เป็นกรรมการในบริษัทจำกัดอื่นเกิน ๓ แห่งด้วย บัดนี้ ธปท. เห็นสมควรที่จะปรับปรุง หลักเกณฑ์ดังกล่าวโดยแยกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันการเอื้อประโยชน์แก่กันออกเป็นประกาศอีกฉบับหนึ่ง และปรับปรุงหลักเกณฑ์การที่ กรรมการของธนาคารพาณิชย์จะเป็นกรรมการในบริษัทจำกัดอื่นให้สอดคล้องกับภาระบทบาทและ หน้าที่ของกรรมการนั้น ธปท. จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออกข้อกำหนดเพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของ ประชาชน ดังนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศ ธปท. เรื่อง การเป็นกรรมการในบริษัทลูกหนี้ของ กรรมการและผู้บริหารระดับสูงธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๔๒ ข้อ ๒ ในประกาศนี้ "บริษัทจำกัด" หมายความรวมถึงบริษัทมหาชนจำกัดด้วย "ผู้บริหารระดับสูง" หมายความว่า ผู้บริหารตั้งแต่ระดับผู้ช่วยผู้จัดการ ใหญ่ขึ้นไป ข้อ ๓ กรรมการและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ เป็นประธาน กรรมการ กรรมการบริหาร หรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ใน บริษัทจำกัดอื่นได้ไม่เกิน ๓ แห่ง ข้อ ๔ ธนาคารพาณิชย์ใดยังมีกรรมการและผู้บริหารระดับสูงไม่เป็นไปตามข้อ ๓ เมื่อประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องและรายงานผลให้ ธปท. ทราบภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ หากยังดำเนินการแก้ไขไม่เสร็จ สิ้นตามระยะเวลาที่กำหนด ธปท. อาจสั่งการหรือกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ให้ปฏิบัติก็ได้ ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๔ หม่อนราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๔/พ๘๘ง/๓๖/๑๑ กันยายน ๒๕๔๔] พรพิมล/พิมพ์ ๒๕ เม.ย ๒๕๔๕
316176
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องและการให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้น
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง และการให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้น ---------------- เนื่องจากสถาบันการเงินได้มีการลงทุนในกิจการต่าง ๆ มากมายซึ่งมีทั้งกิจการ ที่สถาบันการเงินเข้าไปลงทุนด้วยตนเองและลงทุนร่วมกับกรรมการ ผู้บริหารระดับสูงของสถาบัน การเงิน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านี้ รวมทั้งมีการให้สินเชื่อแก่กิจการที่กล่าว ผู้ถือหุ้น และ ผู้บริหารระดับสูงในปริมาณสูงโดยไม่ได้มีกระบวนการพิจารณาสินเชื่อที่รัดกุมเหมาะสม หรือให้ สินเชื่อในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้แก่กิจการเหล่านี้ หรือไม่ได้มีการตีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่วางเป็น ประกันอย่างรอบครอบ ส่งผลให้สถาบันการเงินได้รับความเสียหายจากการให้สินเชื่อนั้น ดังนั้น เพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประชาชน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๕) และ ๒๒ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศ ไทยออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในหนังสือฉบับนี้ "บริษัทจำกัด" หมายความว่า บริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ บริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัดห้าง หุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น "ผู้ที่เกี่ยวข้อง" หมายความว่า บุคคลที่มีความสัมพันธ์กับอีกบุคคลหนึ่งใน ลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (๑) เป็นคู่สมรส บิดา มารดา หรือผู้รับบุตรบุญธรรม (๒) เป็นบุตรหรือบุตรบุญธรรม (๓) เป็นบริษัทจำกัดที่บุคคลนั้นหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) มีอำนาจในการ จัดการ (๔) เป็นบริษัทจำกัดที่บุคคลนั้นหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) มีอำนาจควบคุม คะแนนเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น (๕) เป็นบริษัทจำกัดที่บุคคลนั้นหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) มีอำนาจควบคุม การแต่งตั้งหรือถอดถอนกรรมการ (๖) เป็นบริษัทลูกของบริษัทจำกัดตาม (๓) หรือ (๔) หรือ (๕) (๗) บริษัทร่วมของบริษัทจำกัดตาม (๓) หรือ (๔) หรือ (๕) (๘) เป็นตัวการหรือตัวแทน ในกรณีที่บุคคลใดถือหุ้นในบริษัทจำกัดใดตั้งแต่ร้อยละ ๒๐ ขึ้นไปของจำนวน หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริษัทจำกัดนั้น เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าว "บริษัทแม่" หมายความว่า บริษัทจำกัดที่มีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัท จำกัดอื่น "บริษัทลูก" หมายความว่า (๑) บริษัทจำกัดที่มีบริษัทจำกัดอื่นมีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทจำกัดนั้น (๒) บริษัทลูกของบริษัทจำกัดตาม (๑) ทุกทอด "บริษัทร่วม" หมายความว่า บริษัทลูกที่มีบริษัทแม่ร่วมกัน "อำนาจควบคุมกิจการ" หมายความว่า (๑) การที่บุคคลหนึ่งมีหุ้นในบริษัทจำกัดหนึ่งเกินกว่าร้อยละ ๕๐ ของจำนวน หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือ (๒) การที่บุคคลหนึ่งมีอำนาจควบคุมคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ของบริษัทจำกัดหนึ่งไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือไม่ว่าเพราะเหตุอื่นใดหรือ (๓) การที่บุคคลหนึ่งมีอำนาจควบคุมการแต่งตั้งและถอดถอนกรรมการตั้งแต่ กึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดในบริษัทจำกัดหนึ่ง ในกรณีที่บุคคลหนึ่งมีหุ้นในบริษัทจำกัดหนึ่งตั้งแต่ร้อยละ ๒๐ ขึ้นไปของจำนวน หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลที่มีหุ้น ดังกล่าวมีอำนาจควบคุมกิจการในบริษัทจำกัดนั้น "ผู้บริหารระดับสูง" หมายความว่า ผู้บริหารตั้งแต่ระดับผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ขึ้น ไป "สมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิด" หมายความว่า พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา รวมทั้ง คู่สมรสและบุตรของบุคคลดังกล่าว "กิจการที่ธนาคารพาณิชย์ หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร พาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง" หมายความว่า (๑) กิจการที่ธนาคารพาณิชย์ กรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร พาณิชย์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องหรือสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดของบุคคลเหล่านี้ถือหุ้นรวมกันเกินร้อย ละ ๑๐ ของจำนวนหุ้นที่จะหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้นหรือมีอำนาจควบคุมกิจการนั้น (๒) บริษัทร่วมของธนาคารพาณิชย์ (๓) กิจการที่มีกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์เป็นกรรมการ ในกิจการนั้น "ผู้ถือหุ้น" หมายความว่า (๑) บุคคลที่ถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมเกินร้อยละ ๕ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์ โดยให้นับรวมถึงหุ้นที่ถือโดยผู้ที่เกี่ยว ข้องและสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดด้วย (๒) บุคคลที่มีอำนาจควบคุมกิจการของธนาคารพาณิชย์รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง และสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดด้วย (๓) บริษัทจำกัดที่บุคคลตาม (๑) หรือ (๒) ถือหุ้นเกินร้อยละ ๑๐ ของจำนวนหุ้น ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น หรือมีอำนาจควบคุมกิจการในบริษัทจำกัดนั้น "ธุรกิจทางการเงิน" หมายความว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เช่น ธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเช่าซื้อธุรกิจลิสซิ่ง ธุรกิจ ประกันชีวิต ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจการรับโอน โดยมีค่าตอบแทนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่เกิดจาก การจำหน่ายสินค้า เป็นต้น ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ระงับการให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่ธนาคาร พาณิชย์ หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง หรือ ให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ในปริมาณเกินสมควร การให้สินเชื่อหรือลงทุนในปริมาณเกินสมควร หมายความว่าการให้สินเชื่อหรือ ลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหรือหลายอย่างร่วมกันแก่กิจการหรือบุคคลตามวรรคหนึ่งเกินร้อยละ ๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์ หรือร้อยละ ๕๐ ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท จำกัดนั้น หรือร้อยละ ๒๕ ของยอดหนี้สินรวมของบริษัทจำกัดนั้นแล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า และ ให้สินเชื่อหรือลงทุนในทุกรายรวมกันเกินร้อยละ ๒๐ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ การให้สินเชื่อหรือลงทุนดังกล่าวข้างต้นไม่รวมถึงการให้สินเชื่อหรือลงทุน ในธุรกิจทางการเงิน ธุรกิจที่ลงทุนเนื่องจากการควบรวมกิจการ การแยกธุรกิจและการปรับโครง สร้างหนี้ซึ่งธนาคารพาณิชย์ หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ไม่ได้มีผล ประโยชน์เกี่ยวข้องในธุรกิจนั้นก่อนการปรับโครงสร้างหนี้ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดได้ให้สินเชื่อหรือลงทุนเกินอัตราส่วนที่กล่าวข้างต้น ก่อนวันที่ในหนังสือฉบับนี้และไม่ใช่เป็นการให้สินเชื่อที่มีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดพิเศษผิดไปจาก ปกติดังกล่าวในข้อ ๓ ให้คงอัตราส่วนนั้นต่อไปได้ แต่จะให้สินเชื่อหรือลงทุนเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ และให้ ธนาคารพาณิชย์ทยอยลดอัตราส่วนลงเหลือไม่เกินอัตราที่กำหนดตามวรรคสองเมื่อการให้สินเชื่อ ครบกำหนดตามสัญญา ยกเว้นกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตหรือสั่งการเป็นอย่างอื่น ไว้แล้ว ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามนั้น หรือกรณีที่เป็นเงินให้สินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในกิจการที่ประกอบธุรกิจการนำเข้าหรือส่งออก ให้คงอัตราส่วนนั้นต่อไปได้อีก ๓ ปี นับแต่วันที่ใน หนังสือนี้ ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ระงับการให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่ธนาคาร พาณิชย์ หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง หรือ ให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์โดยมีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดพิเศษ ผิดไปจากปกติ การให้สินเชื่อหรือลงทุนในกรณีต่อไปนี้ ให้ถือว่ามีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดพิเศษ ผิดไปจากปกติ (๑) การให้สินเชื่อหรือลงทุนโดยไม่ได้พิจารณาถึงฐานะและผลการดำเนินงาน ของธุรกิจ หรือไม่ได้มีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ (๒) การให้สินเชื่อหรือลงทุนในลักษณะที่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่กิจการนั้น เช่น เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราปกติของลูกค้าที่มีความเสี่ยงระดับเดียวกันไม่มีการจด จำนองอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน ไม่ดำเนินการให้หลักประกันมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย เป็นต้น (๓) การให้สินเชื่อแก่กิจการที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงผิดไปจากปกติสำหรับ ธุรกิจประเภทเดียวกัน ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำนโยบายการให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการ ที่ธนาคารพาณิชย์หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยว ข้อง หรือให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ โดยจะต้องมีข้อกำหนด อย่างน้อยดังต่อไปนี้ (๑) ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในหนังสือธนาคาร แห่งประเทศไทย ที่ ธปท. สนส. (๒๑) ว. ๒๑๓๐/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๓ เรื่อง การ ปฏิบัติเกี่ยวกับการให้สินเชื่อ การก่อภาระผูกพันการลงทุนในหลักทรัพย์ และการขายสินทรัพย์ของ ธนาคารพาณิชย์ (๒) การให้สินเชื่อหรือลงทุนดังกล่าวข้างต้น ต้องได้รับอนุมัติจากคณะ กรรมการธนาคารพาณิชย์ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ (๓) ห้ามกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับการ ให้สินเชื่อเข้าร่วมพิจารณาอนุมัติสินเชื่อนั้น ข้อ ๕ ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๔ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๔/พ๘๘ง/๔๙/๑๑ กันยายน ๒๕๔๔] พรพิมล/พิมพ์/แก้ไข ๓ มิ.ย ๒๕๔๔
325137
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย และนายหน้าประกันชีวิต
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจนายหน้า ประกันวินาศภัย และนายหน้าประกันชีวิต ---------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ ประกอบธุรกิจการเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยและนายหน้าประกันชีวิตตามหลักเกณฑ์และ เงื่อนไขดังนี้ ข้อ ๑ ในหนังสือฉบับนี้ "นายหน้าประกันวินาศภัย" หมายความว่า ธุรกรรมการเป็นนายหน้าประกัน วินาศภัยตามที่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน "นายหน้าประกันชีวิต" หมายความว่า ธุรกรรมการเป็นนายหน้าประกันชีวิตตาม ที่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน "บริษัท" หมายความว่า บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่ได้รับใบอนุญาต ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือได้รับใบ อนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิต ตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕ และหมายความ รวมถึงสาขาของบริษัทประกันวินาศภัย หรือบริษัทประกันชีวิตต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาต ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย หรือธุรกิจประกันชีวิตในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ด้วย "นายทะเบียน" หมายความว่า นายทะเบียนตามพระราชบัญญัติประกันวินาศ ภัย พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์ที่จะประกอบธุรกิจการเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย และนายหน้าประกันชีวิต จะต้องยื่นขออนุญาตและปฏิบัติตามประกาศนายทะเบียนซึ่งออกตาม ความในพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕ ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๓ ห้ามธนาคารพาณิชย์บังคับลูกค้าทำประกันวินาศภัย และ/หรือประกัน ชีวิต ผ่านธนาคารพาณิชย์ หรือบังคับลูกค้าทำประกันวินาศภัย และ/หรือ ประกันชีวิตกับบริษัทใด บริษัทหนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจง แต่ให้ลูกค้ามีสิทธิเลือกที่จะทำประกันวินาศภัย และ/หรือประกัน ชีวิตกับบริษัทใดก็ได้ หรือจะทำประกันวินาศภัย และ/หรือประกันชีวิตผ่านนายหน้าประกันวินาศภัย และ/หรือนายหน้าประกันชีวิตใดก็ได้ ตามความสมัครใจของลูกค้า ข้อ ๔ ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการนายหน้าประกันวินาศ ภัย และ/หรือนายหน้าประกันชีวิต ต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ (๑) กำหนดนโยบายการประกอบกิจการนายหน้าประกันภัย รวมถึงราย ละเอียด ขั้นตอนการปฏิบัติ วิธีการดำเนินการ ขอบเขตความรับผิดชอบการบริหารความเสี่ยง การ คิดค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการกับลูกค้าและกับบริษัทประกันภัย และระบบการควบคุมภายในไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าว ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร พาณิชย์ (๒) ตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย หรือกฎเกณฑ์อื่นที่ เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดและต้องจัดให้มีระบบการควบคุมภายในที่เหมาะสม (๓) บันทึกรับรู้รายได้ที่ได้รับจากการเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยนาย หน้าประกันชีวิต หรือจากการให้บริหารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากลูกค้า จากบริษัทประกันวินาศภัย และจากบริษัทประกันชีวิต ให้ครบถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง (๔) มีการจัดเก็บเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ข้อ ๕ ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ หม่อนราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๔/พ๑๒๘ง/๔๖/๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๔] พรพิมล/พิมพ์/แก้ไข ๓ มิ.ย ๒๕๔๕
325035
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบกิจการให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบกิจการให้บริการ ด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น ---------------- เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถประกอบกิจการให้บริการด้านงานสนับสนุน แก่บุคคลอื่นเพื่อลดภาระต้นทุนในการประกอบธุรกิจ และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นในโครงสร้างขององค์กรเพื่อให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน สูงขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ ประกอบกิจการให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่นได้ โดยมีข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ "งานสนับสนุน" หมายถึง งานปฏิบัติการด้านธนาคารพาณิชย์ งานบัญชีและ การเงิน งานเทคโนโลยีสารสนเทศ งานตรวจสอบภายใน งานด้านกำกับดูแลการปฏิบัติตาม กฎหมาย (COMPLIANCE) หรืองานสนับสนุนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับงานดังกล่าว "บุคคลอื่น" หมายถึง บริษัทจำกัดที่ธนาคารพาณิชย์ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ ๒๐ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น หรือบริษัทจำกัดที่ถือหุ้นธนาคาร พาณิชย์เกินกว่าร้อยละ ๒๐ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์นั้น โดย บริษัทจำกัดที่กล่าวจะต้องประกอบธุรกิจทางการเงิน "ธุรกิจทางการเงิน" หมายถึง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเงิน คือ ธุรกิจธนาคาร พาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ธุรกิจเช่าซื้อ ธุรกิจลิสซิ่ง ธุรกิจ ประกันชีวิต ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจการรับโอนโดยมีค่าตอบแทนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่เกิดจากการ จำหน่ายสินค้า รวมถึงธุรกิจที่เป็นการสนับสนุนแก่บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบกิจการให้บริการด้านงาน สนับสนุนแก่บุคคลอื่น ต้องปฏิบัติดังนี้ (๑) กำหนดนโยบายการประกอบกิจการให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคล อื่น และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารพาณิชย์ (๒) กำหนดรายละเอียดประเภทของการให้บริการ ขั้นตอนหรือวิธีการดำเนิน การ ขอบเขตความรับผิดชอบ การบริหารความเสี่ยง การคิดค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการระหว่างกัน ระบบการควบคุมภายใน และระบบการรักษาความปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูลและทรัพย์สิน ของทั้งธนาคารพาณิชย์และผู้รับบริการ (๓) เก็บรักษาข้อกำหนดตาม (๑) และ (๒) ไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา เมื่อธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กล่าวใน (๑) และ (๒) ครบถ้วนแล้วให้ ถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการตามขอบเขตธุรกรรมที่ กำหนดไว้ได้ ข้อ ๓ ธนาคารพาณิชย์ ที่ได้รับอนุญาตตามข้อ ๒ วรรคสอง ต้องตรวจสอบ ดูแลให้มีการปฏิบัติตามขอบเขตและระเบียบที่กล่าวในข้อ ๒ (๑) (๒) และ (๓) โดยเคร่งครัด รวมทั้ง ตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่มีกำหนดไว้ด้วย ข้อ ๔ หากธนาคารแห่งประเทศไทยพบหรือทราบว่าการปฏิบัติของธนาคาร พาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตตามข้อ ๒ วรรคสอง ไม่เป็นไปตามที่กำหนดใน ข้อ ๒ (๑) (๒) (๓) หรือข้อ ๓ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ธนาคารพาณิชย์ ชี้แจงเหตุผลและข้อเท็จจริงการปฏิบัติดังกล่าว หากธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นสมควร อาจกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ให้ธนาคารพาณิชย์ นั้นปฏิบัติเพิ่มเติม หรือยกเลิกการอนุญาตก็ได้ ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๔/พ๑๐๙ง/๑๒/๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๔] พรพิมล/พิมพ์/แก้ไข ๑๓ พ.ค ๒๕๔๕ A+B
315946
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรือง การให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องและการให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้น
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่มีผลประโยชน์ เกี่ยวข้องและการให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้น --------------- เนื่องจากสถาบันการเงินได้มีการลงทุนในกิจการต่าง ๆ มากมายซึ่งมีทั้งกิจการ ที่สถาบันการเงินเข้าไปลงทุนด้วยตนเองและลงทุนร่วมกับกรรมการ ผู้บริหารระดับสูงของสถาบัน การเงิน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านี้ รวมทั้งมีการให้สินเชื่อแก่กิจการที่กล่าว ผู้ถือหุ้น และ ผู้บริหารระดับสูงในปริมาณสูงโดยไม่ได้มีกระบวนการพิจารณาสินเชื่อที่รัดกุมเหมาะสม หรือให้ สินเชื่อในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้แก่กิจการเหล่านี้ หรือไม่ได้มีการตีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่วางเป็น ประกันอย่างรอบคอบส่งผลให้สถาบันการเงินได้รับความเสียหายจากการให้สินเชื่อนั้น ดังนั้น เพื่อ พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประชาชน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๕) และ ๒๒ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การให้สินเชื่อแก่หรือ ลงทุนในกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องและการให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้น ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๔ ข้อ ๒ ในหนังสือฉบับนี้ "บริษัทจำกัด" หมายความว่า บริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ บริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้าง หุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น "ผู้ที่เกี่ยวข้อง" หมายความว่า บุคคลที่มีความสัมพันธ์กับอีกบุคคลหนึ่งใน ลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (๑) เป็นคู่สมรส บิดา มารดา หรือผู้รับบุตรบุญธรรม (๒) เป็นบุตรหรือบุตรบุญธรรม (๓) เป็นบริษัทจำกัดที่บุคคลนั้นหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) มีอำนาจในการ จัดการ (๓) เป็นบริษัทจำกัดที่บุคคลนั้นหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) มีอำนาจในการ จัดการ (๔) เป็นบริษัทจำกัดที่บุคคลนั้นหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) มีอำนาจควบคุม คะแนนเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น (๕) เป็นบริษัทจำกัดที่บุคคลนั้นหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) มีอำนาจควบคุม การแต่งตั้งหรือถอดถอนกรรมการ (๖) เป็นบริษัทลูกของบริษัทจำกัดตาม (๓) หรือ (๔) หรือ (๕) (๗) บริษัทร่วมของบริษัทจำกัดตาม (๓) หรือ (๔) หรือ (๕) (๘) เป็นตัวการหรือตัวแทน ในกรณีที่บุคคลใดถือหุ้นในบริษัทจำกัดใดตั้งแต่ร้อยละ ๒๐ ขึ้นไปของจำนวน หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริษัทจำกัดนั้น เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าว "บริษัทแม่" หมายความว่า บริษัทจำกัดที่มีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัท จำกัดอื่น "บริษัทลูก" หมายความว่า (๑) บริษัทจำกัดที่มีบริษัทจำกัดอื่นมีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทจำกัดนั้น (๒) บริษัทลูกของบริษัทจำกัดตาม (๑) ทุกทอด "บริษัทร่วม" หมายความว่า บริษัทลูกที่มีบริษัทแม่ร่วมกัน "อำนาจควบคุมกิจการ" หมายความว่า (๑) การที่บุคคลหนึ่งมีหุ้นในบริษัทจำกัดหนึ่งเกินกว่าร้อยละ ๕๐ ของจำนวน หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือ (๒) การที่บุคคลหนึ่งมีอำนาจควบคุมคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมผู้ถือ หุ้นของบริษัทจำกัดหนึ่งไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมหรือไม่ว่าเพราะเหตุอื่นใด หรือ (๓) การที่บุคคลหนึ่งมีอำนาจควบคุมการแต่งตั้งและถอดถอนกรรมการตั้งแต่ กึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดในบริษัทจำกัดหนึ่ง ในกรณีที่บุคคลหนึ่งมีหุ้นในบริษัทจำกัดหนึ่งตั้งแต่ร้อยละ ๒๐ ขึ้นไปของจำนวน หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลที่มีหุ้น ดังกล่าวมีอำนาจควบคุมกิจการในบริษัทจำกัดนั้น "ผู้บริหารระดับสูง" หมายความว่า ผู้บริหารตั้งแต่ระดับผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ขึ้น ไป "กิจการที่ธนาคารพาณิชย์ หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร พาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง" หมายความว่า (๑) บริษัทจำกัดที่ธนาคารพาณิชย์ กรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร พาณิชย์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องของบุคคลเหล่านี้ ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละ ๑๐ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่าย ได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น หรือมีอำนาจควบคุมกิจการในบริษัทจำกัดนั้น (๒) บริษัทร่วมของธนาคารพาณิชย์ "ผู้ถือหุ้น" หมายความว่า (๑) บุคคลที่ถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมเกินร้อยละ ๕ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์ โดยให้นับรวมถึงหุ้นที่ถือโดยผู้ที่เกี่ยว ข้องด้วย (๒) บุคคลที่มีอำนาจควบคุมกิจการของธนาคารพาณิชย์รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง ด้วย (๓) บริษัทจำกัดที่บุคคลตาม (๑) หรือ (๒) ถือหุ้นเกินร้อยละ ๑๐ ของจำนวน หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น หรือมีอำนาจควบคุมกิจการในบริษัทจำกัดนั้น "ธุรกิจทางการเงิน" หมายความว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เช่น ธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเช่าซื้อ ธุรกิจลิสซิ่ง ธุรกิจประกันชีวิต ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจการรับโอน โดยมีค่าตอบแทนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่ เกิดจากการจำหน่ายสินค้า เป็นต้น "ธุรกิจสนับสนุนสถาบันการเงิน" หมายความว่า บริษัทจำกัดที่ (๑) มีสถาบันการเงินใดสถาบันการเงินหนึ่งถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ ๑๐ ของ จำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น หรือมีสถาบันการเงินหลายแห่งถือหุ้น รวมกันเกินกว่าร้อยละ ๕๐ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น และ (๒) ประกอบกิจการอันเป็นงานด้านปฏิบัติการ (back office) หรืองานด้าน สนับสนุน (support) ซึ่งให้บริการแก่สถาบันการเงินและบุคคลอื่น เช่น การบัญชีและการเงิน เทคโนโลยีสารสนเทศ ตรวจสอบภายใน กฎหมาย การกำกับดูแลการปฏิบัติงานของธนาคาร พาณิชย์ บัตรเครดิต ข้อมูลเครดิต รับส่งเอกสาร ศูนย์ฝึกอบรม รักษาความปลอดภัย เป็นต้น ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ระงับการให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่ธนาคาร พาณิชย์ หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง หรือ ให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ในปริมาณเกินสมควร การให้สินเชื่อหรือลงทุนในปริมาณเกินสมควร หมายความว่า การให้สินเชื่อหรือ ลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันแก่กิจการหรือบุคคลตามวรรคหนึ่งเกินร้อยละ ๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์ หรือร้อยละ ๕๐ ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด นั้น หรือร้อยละ ๒๕ ของยอดหนี้สินรวมของบริษัทจำกัดนั้น แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า การให้สินเชื่อหรือลงทุนดังกล่าวในวรรคหนึ่งและวรรคสองข้างต้นไม่รวมกรณี ดังต่อไปนี้ (ก) การให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นหรือ บริษัทจำกัดที่นิติบุคคลดังกล่าวมีอำนาจควบคุมกิจการหรือถือหุ้นเกินร้อยละ ๑๐ ของจำนวนหุ้น ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น ในระหว่างเวลา ๓ ปี นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้ บังคับ (ข) การให้สินเชื่อโดยมีหลักประกันเต็มจำนวนเป็นเงินฝากสถาบันการเงินหรือ หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่ปราศจากภาระผูกพันและโอนเปลี่ยนมือได้ ทั้งนี้ การตีราคาหลักทรัพย์ให้ ถือเอามูลค่าที่ตราไว้ของหลักทรัพย์หรือตราสารนั้น (ค) การให้สินเชื่อหรือลงทุนในธุรกิจทางการเงิน และธุรกิจสนับสนุนสถาบันการ เงิน (ง) การให้สินเชื่อหรือลงทุนในธุรกิจที่มีการปรับโครงสร้างหนี้ซึ่งธนาคาร พาณิชย์หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ไม่ได้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องใน ธุรกิจนั้นก่อนการปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนธุรกิจที่ธนาคารพาณิชย์ หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับ สูงของธนาคารพาณิชย์มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องก่อนการปรับโครงสร้างหนี้ หากการปรับโครง สร้างหนี้จำเป็นต้องให้สินเชื่อหรือลงทุนเพิ่มจนเกินอัตราที่กำหนดตามวรรคสอง จะต้องได้รับ อนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน ข้อ ๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ระงับการให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่ธนาคาร พาณิชย์ หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง หรือ ให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์โดยมีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดพิเศษ ผิดไปจากปกติ การให้สินเชื่อหรือลงทุนในกรณีต่อไปนี้ ให้ถือว่ามีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดพิเศษ ผิดไปจากปกติ (๑) การให้สินเชื่อหรือลงทุนโดยไม่ได้พิจารณาถึงฐานะและผลการดำเนินงาน ของธุรกิจ หรือไม่ได้มีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ (๒) การให้สินเชื่อหรือลงทุนในลักษณะที่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่กิจการนั้น เช่น เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราปกติของลูกค้าที่มีความเสี่ยงระดับเดียวกันไม่มีการจด จำนองอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน ไม่ดำเนินการให้หลักประกันมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย เป็นต้น (๓) การให้สินเชื่อที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าลูกหนี้ไม่ได้ดำเนินธุรกิจจริง ข้อ ๕ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำนโยบายการให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการ ที่ธนาคารพาณิชย์หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยว ข้อง หรือให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ โดยจะต้องมีข้อกำหนด อย่างน้อยดังต่อไปนี้ (๑) ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในหนังสือธนาคารแห่ง ประเทศไทยที่ ธปท.สนส. (๒๑) ว. ๒๑๓๐/๒๕๔๓ ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๓ เรื่อง การ ปฏิบัติเกี่ยวกับการให้สินเชื่อ การก่อภาระผูกพัน การลงทุนในหลักทรัพย์และการขายสินทรัพย์ของ ธนาคารพาณิชย์ (๒) การให้สินเชื่อหรือลงทุนดังกล่าวข้างต้น ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ธนาคารพาณิชย์ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ (๓) ห้ามกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับการ ให้สินเชื่อเข้าร่วมพิจารณาอนุมัติสินเชื่อนั้น ข้อ ๖ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดได้ให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่ ธนาคารพาณิชย์หรือกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยว ข้อง หรือให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์นั้นเกินอัตราส่วนที่กล่าวใน ข้อ ๓ วรรคสองข้างต้นก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับและไม่ใช่เป็นการให้สินเชื่อที่มีเงื่อนไขหรือ ข้อกำหนดพิเศษผิดไปจากปกติดังกล่าวในข้อ ๔ ให้คงอัตราส่วนนั้นต่อไปได้ แต่จะให้สินเชื่อหรือลง ทุนเพิ่มอีกไม่ได้ เว้นแต่ (ก) ในกรณีทีธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตหรือสั่งการเป็นอย่างอื่นไว้แล้ว ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามนั้น (ข) ในกรณีที่ได้ทำสัญญาให้สินเชื่อโดยมีวงเงินเกินอัตราที่กำหนดในข้อ ๓ วรรคสองก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามสัญญานั้นได้แต่จะเพิ่ม วงเงินหรือขยายกำหนดเวลาต่าง ๆ ตามสัญญาไม่ได้ (ค) ในกรณีที่เป็นการให้สินเชื่อระยะสั้นไม่เกิน ๑ ปี ธนาคารพาณิชย์สามารถให้ สินเชื่อในวงเงินเดิมต่อไปได้อีก ๑ ปีนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับหลังจากนั้น จะต้องลดอัตรา ส่วนลงเหลือตามอัตราที่กำหนด (ง) ในกรณีที่เป็นเงินให้สินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการที่ประกอบ ธุรกิจการนำเข้าหรือส่งออก ให้ดำเนินการต่อไปได้อีก ๓ ปีนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ หลังจากนั้นจะต้องลดอัตราส่วนลงเหลือตามอัตราที่กำหนด ข้อ ๗ ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๔/พ๑๐๙ง/๑๕/๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๔] พรพิมล/พิมพ์/แก้ไข ๑๓ พ.ค ๒๕๔๕ A+B
314572
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารออมสินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2543 (ครั้งที่ 2) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2544
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารออมสิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ ๒๕๔๓ (ครั้งที่ ๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๔ ----------- ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารออมสินประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๓ (ครั้งที่ ๒) ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อ ๔ วรรค ๒ กระทรวงการคลังจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน ในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ของทุกปี โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงินตามประกาศ กระทรวงการคลังดังกล่าว จึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในข้อ ๔ วรรค ๑ จากอัตราดอกเบี้ยร้อย ละ ๕.๒๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๔.๕๐ ต่อปี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๔๓/พ๑๒๙ง/๕/๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๓] ปรียนันท์/พิมพ์ ๑๔ / ๑๒ / ๔๔
324394
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารออมสินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2543 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2544
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารออมสิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๓ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๔ ----------- ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารออมสินประจำปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๓ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ข้อ ๔ วรรค ๒ กระทรวง การคลังจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน ในวันที่ ๒๐ ธันวาคม ของทุกปี โดย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงินตามประกาศ กระทรวงการคลังดังกล่าว จึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในข้อ ๔ วรรค ๑ จากอัตราดอกเบี้ยร้อย ละ ๕.๒๑ ต่อปี เป็นร้อยละ ๔.๕๐ ต่อปี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง [รก.๒๕๔๓/พ๑๒๙ง/๔/๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๓] ปรียนันท์/พิมพ์ ๑๔ / ๑๒ / ๔๔
314571
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดใช้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคาร ต่างประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ (๒) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคาร ต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๑ (๓) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคาร ต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๑ (๔) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคาร ต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๔) ลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ข้อ ๒ เงินกองทุนของสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ ประกอบการธนาคารพาณิชย์หมายความถึงสินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามมาตรา ๖ แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๓ ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการ ธนาคารพาณิชย์ ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗.๕ ทั้งนี้ การดำรงเงินกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กำหนดไว้ในข้อ ๔ ถึงข้อ ๖ สินทรัพย์และภาระผูกพันตามวรรคหนึ่ง มิให้รวมถึงทรัพย์สินและภาระผูกพัน ของกิจการวิเทศธนกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของ ธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป และสินทรัพย์ และภาระผูกพันของกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๗ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ข้อ ๔ ในการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันตาม ข้อ ๓ ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไปนี้ (๑) นำรายการในงบการเงินทางด้านสินทรัพย์ทุกรายการ และภาระผูกพันทุก รายการโดยใช้มูลค่าตามบัญชี ณ วันที่รายงานมาคำนวณกับน้ำหนักความเสี่ยงส่วนสินทรัพย์และ ภาระผูกพันที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้แปลงค่าเป็นเงินบาทก่อนโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะ ประกาศทุกเช้าของวันทำการถัดไปของวันจัดทำรายงาน ทั้งนี้ ให้ใช้อัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อถัว เฉลี่ยขั้นต่ำสุดและอัตราขายถัวเฉลี่ย สำหรับสกุลเงินซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้ประกาศ อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงไว้ให้ใช้วิธีการคำนวณจากอัตราไขว้ (Cross Rate) (๒) คูณสินทรัพย์แต่ละรายการด้วยน้ำหนักความเสี่ยงตามที่กำหนดในข้อ ๕ (๓) คูณภาระผูกพันแต่ละรายการด้วยค่าแปลงสภาพ ( Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดในข้อ ๖ แล้วนำค่าที่ได้คูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละ ประเภทตามที่กำหนดในข้อ ๕ อีกครั้งหนึ่ง (๔) รวมผลคูณของสินทรัพย์ตาม (๒) และภาระผูกพันตาม (๓) ทุกรายการ และนำเงินกองทุนมาคำนวณอัตราส่วนกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยเงินกองทุนต้องเป็นอัตราส่วนกับผล ลัพธ์ดังกล่าวไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในข้อ ๓ (๕) น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท น้ำหนักความเสียง ๐ (๑) เงินสดที่เป็นเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ (๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (๓) เงินลงทุนในตลาดซื้อขายพันธบัตร โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืนหรือ ขายคืนซึ่งดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (๔) เงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่กระทรวงการ คลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหลักทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มี หลักทรัพย์ข้างต้นเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินให้สินเชื่อที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือเงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคาร กลางที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อในส่วนที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำ ประกันโดยปราศจากเงื่อนไข หรือในส่วนที่มีหลักทรัพย์รัฐบาล หรือธนาคารกลาง ดังกล่าวเป็น ประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคาร กลางนอกจากที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำ ประกันโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องเป็นสกุลเงินของประเทศนั้น และ ไม่เกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์กองทุนเพื่อการ ฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นเต็มจำนวน รวมถึงเงินให้สินเชื่อซึ่งนิติบุคคลดังกล่าว รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๙) เงินให้สินเชื่อที่มีสิทธิ ซึ่งมีตราสารการฝากเงินซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกัน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าตามตราสารนั้น (๑๐) ยอดเหลื่อมบัญชีระหว่างสำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น (๑๑) ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (๑๒) เงินให้สินเชื่อเฉพาะส่วนซึ่งเท่ากับจำนวนที่ได้กันไว้เผื่อหนี้ สงสัยจะสูญ (๑๓) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (๑๔) เงินสดระหว่างเรียกเก็บเพื่อประโยชน์ของลูกค้า (๑๕) ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธน กิจจำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับ แลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ในส่วนที่เป็นต้นเงินตามหน้าตั๋ว และดอกเบี้ยค้างรับ (๑๖) เงินให้สินเชื่อในส่วนที่มีตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุน หลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) หรือบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ จำนำ เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ น้ำหนักความเสียง ๐.๒ (๑) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคารพาณิชย์รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันรวมทั้งเงิน ให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคารดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งออกโดย บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทยหรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัลหรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้ สินเชื่อซึ่งมีตราสารที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๔) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของ รัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้ง เงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยสถาบันที่กล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มี ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออก โดยธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในกลุ่มประเทศตามที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ เป็นประกัน รวม ทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของ รัฐในประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสาร ซึ่งออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้ง ดอกเบี้ยค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งออกโดยองค์การ ระหว่างประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๒ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีองค์การดังกล่าวรับรอง รับ อาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยองค์การดังกล่าวเป็นประกัน รวม ทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มี ธนาคารพาณิชย์รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือไม่ เกิน๑ ปี (๙) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต หรือเงินให้ สินเชื่อเพื่อการส่งออก ตามเอกสารประเภทอื่น ที่ธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศรับผิดชอบในการ ชำระค่าสินค่าแทนผู้ซื้อ แต่ในกรณีผู้ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือธนาคารพาณิชย์ที่รับผิดชอบใน การชำระค่าสินค้า เป็นธนาคารจดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ จะต้องมี ระยะเวลาคงเหลือของเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือระยะเวลาที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องชำระค่าสินค่า ไม่เกิน ๑ ปี (๑๐) เงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณ เพื่อชำระหนี้แต่สำนักงบประมาณมิได้จัดสรรเงินชำระหนี้ให้จนล่วงพ้นระยะเวลาที่ถึงกำหนดชำระ เกินกว่า ๒ ปี ขึ้นไป น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๕ (๑) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยเทศบาลหรือ เงินให้สินเชื่อที่มีเทศบาลรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารที่ออก โดยเทศบาลเป็นประกัน (๒) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา โดยมี ธนาคารพาณิชย์รับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน ทั้งนี้ที่ดินและสิ่ง ปลูกสร้างดังกล่าวต้องมีคุณค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อยอดคงค้างรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) ภาระผูกพันที่เป็นสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนหรืออัตราดอก เบี้ยซึ่งได้คูณด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้ว เว้น แต่คู่สัญญาจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีน้ำหนักความเสี่ยงต่ำกว่า ๐.๕ น้ำหนักความเสี่ยง ๑.๐ (๑) เงินให้สินเชื่อแก่ภาคเอกชน และดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มี ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออก โดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน ซึ่งมีระยะเวลาคงเหลือ ๑ ปี (๓) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคาร กลางนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่รัฐบาลหรือธนาคารกลาง ดังกล่าวค้ำประกันภัยโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมิใช่เงินสกุลของประเทศนั้น หรือมีจำนวนเกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๔) ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินทรัพย์ประจำอื่นๆ และทรัพย์สินรอการ ขาย (๕) สินทรัพย์อื่นๆที่มิได้ระบุน้ำหนักความเสี่ยงไว้ข้อ ๕ นี้ ข้อ ๖ ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ของภาระผูกพันแต่ละ ประเภท Credit Conversion Factor ๑.๐ (๑) การรับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ค้ำประกันการกู้ยืมเงินและค้ำ ประกันการขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน (๒) การสลักหลังตั๋วเงินแบบผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย (With Recourse) (๓) สัญญาการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามโดย ปราศจากเงื่อนไข (๔) การค้ำประกัน การรับประกัน หรือการก่อภาระผูกพันในรูปแบบ ใดๆ ของธนาคารพาณิชย์ อันเนื่องมาจากการขายสินทรัพย์ Credit Conversion Factor ๐.๕ (๑) ภาระผูกพันซึ่งขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของลูกค้า เช่น ค้ำ ประกันการรับเหมาก่อสร้าง ค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา เป็นต้น (๒) ค้ำประกันการจำหน่ายตราสารหรือหลักทรัพย์ Credit Conversion Factor ๐.๒ ภาระผูกพันเพื่อการนำสินค้าเข้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตทั้งที่มี เอกสารประกอบแล้ว และยังไม่มีเอกสารประกอบ Credit Conversion Factor ๐ (๑) ตั๋วเงินเพื่อเรียกเก็บ (๒) วงเงินที่ลูกค้ายังมิได้ใช้ (๓) ค้ำประกันการออกของ ( Shipping Guarantee) (๔) ภารผูกพันที่ธนาคารพาณิชย์สามารถบอกยกเลิกเมื่อใดก็ได้ (๕) ภาระผูกพันอื่นๆที่มิได้ระบุค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ไว้ในข้อ ๖ นี้ Credit Conversion Factor สำหรับสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย อายุสัญญาที่เหลือ สัญญาอัตราแลกเปลี่ยน สัญญาอัตราดอกเบี้ย ไม่เกิน ๑๔ วัน ๐ ๐ ไม่เกิน ๑ ปี ๐.๐๒ ๐.๐๐๕ ตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๐.๐๕ ๐.๐๑ สัญญาอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่สัญญาดังต่อไปนี้ Cross currency interest rate swaps Forward foreign exchange contracts Currency futures Currency option purchase สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน สัญญาอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ Single currency interest rate swaps Basis swaps Forward rate agreements Interest rate futures Interest rate option purchase สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน ในกรณีที่ลูกค้ารายเดียวกันทำสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนหรือสัญญาอัตราดอกเบี้ยทั้งทาง ด้านซื้อและด้านขาย ให้คูณจำนวนเงินด้านซื้อและด้านขายด้วย Credit Conversion Factor ก่อน และนำค่าที่ได้มาหักกลบกัน แล้วจึงนำจำนวนสุทธิไปคูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละ ประเภทตามที่กำหนดในข้อ ๕ ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ภาคผนวก ๑ กลุ่มประเทศ Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) และประเทศที่มีฐานะการเงินเทียบเท่า ออสเตรเลีย ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม นิวซีแลนด์ แคนาดา นอร์เวย์ เดนมาร์ก โปรตุเกส เยอรมันนี ซาอุดีอาระเบีย ฟินแลนด์ สเปน ฝรั่งเศส สวีเดน กรีซ สวิตเซอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ ตุรกี ไอร์แลนด์ อังกฤษ อิตาลี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ภาคผนวก ๒ องค์การระหว่างประเทศ European Investment Bank (EIB) European Bank for Reconstruction and Development ( EBRD) International Bank for Reconstruction and Development (IBRD) including International Finance Corporation ( IFC) Inter-American Development Bank (IADB) African Development Bank ( AfDB) Asian Development Bank (AsDB) Caribbean Development Bank (CDB) Nordie Investment Bank (NIB) [รก.๒๕๔๓/พ๒๔ง/๒๔/๑๗ มีนาคม ๒๕๔๓] ปรียนันท์/แก้ไข ๓ / ๕ / ๔๕
314570
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ ดำรงเงินกองทุน ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่ จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ (๒) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่ จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๑ (๓) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่ จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๑ (๔) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่ จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๔) ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๔๑ (๕) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่ จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๕) ลงวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๒ (๖) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่ จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๖) ลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ข้อ ๒ เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ ได้แก่ (๑) ทุนชำระแล้ว ซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับและเงินที่ ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อ หุ้นของธนาคารพาณิชย์ นั้น (๒) ทุนสำรองตามกฎหมาย (๓) เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุม ใหญ่ผู้ถือหุ้น หรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่รวมเงินสำรองสำหรับการลดค่าของ สินทรัพย์ และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้ (๔) กำไรสุทธิคงเหลือจากการจัดสรร (๕) เงินสำรองจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินและอาคาร ตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ซึ่งได้กันไว้ตามนัยประกาศธนาคารแห่ง ประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคา หรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ หรือที่จะแก้ไขเพิ่มเติมภายหลัง ทั้งนี้ ธนาคาร พาณิชย์จะนับเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติเข้าเป็นเงินกองทุนได้ไม่เกินร้อยละ ๑.๒๕ ของยอดสินทรัพย์เสี่ยง (๖) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกตราสารตามประเภท จำนวนเงิน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนส่วนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) และ (๔) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นใน ทุกงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) ให้หักเงินตามตราสารใน (๖) ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่น ที่ธนาคารพาณิชย์นั้นถือไว้ และสินทรัพย์อื่นใด ทั้ง นี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) ถึง (๔) ยกเว้นเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นบุริมสิทธิ์ ชนิดสะสมเงินปันผล ให้รวมเรียกว่า เงินกองทุนชั้นที่ ๑ ส่วนเงินกองทุนที่ระบุใน (๕) ถึง (๖) และเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดสะสมเงินปันผล ให้รวมเรียกว่าเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ทั้งนี้ เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ต้องมีจำนวนสูงสุด ไม่เกินเงินกองทุนชั้นที่ ๑ และการออกหุ้นบุริมสิทธิ์ ชนิดสะสมเงินปันผล จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนด ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุนเป็นอัตรา ส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกผันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘.๕ โดยมีเงื่อนไขว่าเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ต้อง เป็นอัตราส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔.๒๕ ของสินทรัพย์และภาระผูกพันดังกล่าว ทั้งนี้ การดำรงเงินกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กำหนดไว้ในข้อ ๔ ถึง ๖ ข้อ ๔ ในการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันตาม ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้ (๑) นำรายการในงบการเงินทางด้านสินทรัพย์ทุกรายการ และภาระผูกพันทุก รายการ ทั้งนี้ ให้รวมทุกสำนักงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยใช้มูลค่าตามบัญชี ณ วันที่ รายงานมาคำนวณกับน้ำหนักความเสี่ยง ส่วนสินทรัพย์และภาระผูกพันที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ให้แปลงค่าเป็นเงินบาทก่อน โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศ ไทย เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะประกาศทุกเช้าวันทำการถัดไปของ วันจัดทำรายงาน ทั้งนี้ให้ใช้อัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อถัวเฉลี่ยขั้นต่ำสุดและอัตราขายถัวเฉลี่ย สำหรับสกุลเงิน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงไว้ ให้ใช้วิธี คำนวณจากอัตราไขว้ (Cross Rate) (๒) คูณสินทรัพย์แต่ละรายการด้วยน้ำหนักความเสี่ยงตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ (๓) คูณภาระผูกพันแต่ละรายการด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor ) ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้วนำค่าที่ได้คูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละ ประเภทตามที่กำหนด ไว้ในข้อ ๕ อีกครั้งหนึ่ง (๔) รวมผลคูณของสินทรัพย์ตาม (๒) และภาระผูกพันตาม (๓) ทุกรายการ และนำเงินกองทุนมาคำนวณอัตราส่วนกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยเงินกองทุนต้องเป็นอัตราส่วนกับผล ลัพธ์ดังกล่าวไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในข้อ ๓ ข้อ ๕ น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท น้ำหนักความเสี่ยง ๐ (๑) เงินสดที่เป็นเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ (๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศ (๓) เงินลงทุนในตลาดซื้อขายพันธบัตร โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืนหรือ ขายคืน ซึ่งดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (๔) เงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่กระทรวงการ คลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหลักทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มี หลักทรัพย์ข้างต้นเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินให้สินเชื่อที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือเงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคาร กลางที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อในส่วนที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำ ประกันโดยปราศจากเงื่อนไข หรือในส่วนที่มีหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลาง ดังกล่าวเป็น ประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคาร กลางนอกจากที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าว ค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องเป็นสกุลเงินของประเทศนั้น และไม่เกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์กองทุนเพื่อการ ฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นเต็มจำนวน รวมถึงเงินให้สินเชื่อซึ่งนิติบุคคลดังกล่าว รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๙) เงินให้สินเชื่อที่มีสิทธิ ซึ่งมีตราสารการฝากเงินซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกัน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าตามตราสารนั้น (๑๐) ยอดเหลื่อมบัญชีระหว่างสำนักงานของธนาคารพาณิชย์ นั้น (๑๑) ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (๑๒) เงินให้สินเชื่อเฉพาะส่วนซึ่งเท่ากับจำนวนที่ได้กันไว้เผื่อหนี้ สงสัยจะสูญ (๑๓) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (๑๔) เงินสดระหว่างเรียกเก็บเพื่อประโยชน์ของลูกค้า (๑๕) ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธน กิจ จำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการ รับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ในส่วนที่เป็นต้นเงินตามหน้าตั๋ว และดอกเบี้ยค้างรับ (๑๖) เงินให้สินเชื่อในส่วนที่มีตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุน หลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) หรือบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ จำนำ เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๒ (๑) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคารพาณิชย์รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันรวมทั้งเงิน ให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคารดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดย บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัลหรือค้ำประกัน รวมทั้งเงิน ให้สินเชื่อซึ่งมีตราสารที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างร้บ (๔) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของ รัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้ง เงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยสถาบันที่กล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มี ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออก โดยธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในกลุ่มประเทศตามที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ เป็นประกัน รวม ทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของ รัฐในประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสาร ซึ่งออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้ง ดอกเบี้ยค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การ ระหว่างประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๒ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีองค์การดังกล่าวรับรอง รับ อาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยองค์การดังกล่าวเป็นประกัน รวม ทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มี ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออก โดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือไม่ เกิน ๑ ปี (๙) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต หรือเงินให้ สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเอกสารประเภทอื่น ที่ธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศรับผิดชอบในการ ชำระค่าสินค่าแทนผู้ซื้อ แต่ในกรณีผู้ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือธนาคารพาณิชย์ที่รับผิดชอบใน การชำระค่าสินค้าเป็นธนาคารจดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภารผนวก ๑ จะต้องมี ระยะเวลาคงเหลือของเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือระยะเวลาที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องชำระเงินค่าสิน ค้าไม่เกิน ๑ ปี (๑๐) เงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณ เพื่อชำระหนี้แต่สำนักงานงบประมาณมิได้จัดสรรเงินชำระหนี้ให้จนล่วงพ้นระยะเวลาที่ถึงกำหนด ชำระเกินกว่า ๒ ปีขึ้นไป น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๕ (๑) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยเทศบาลหรือ เงินให้สินเชื่อที่มีเทศบาลร้บรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออก โดยเทศบาลเป็นประกัน (๒) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา โดย ธนาคารพาณิชย์รับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน ทั้งนี้ที่ดินและสิ่ง ปลูกสร้างดังกล่าวต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อคงค้าง รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) ภาระผูกพันที่เป็นสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน หรืออัตรา ดอกเบี้ยซึ่งได้คูณด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor)ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้ว เว้นแต่คู่สัญญาจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีน้ำหนักความเสี่ยงต่ำกว่า ๐.๕ น้ำหนักความเสี่ยง ๑.๐ (๑) เงินให้สินเชื่อแก่ภาคเอกชนและดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มี ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออก โดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน ซึ่งมีระยะเวลาคงเหลือเกิน ๑ ปี (๓) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาล หรือธนาคาร กลาง นอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่รัฐบาลหรือธนาคารกลาง ดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมิใช่เงินสกุลของประเทศนั้น หรือมีจำนวนเกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๔) ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินทรัพย์ประจำอื่นๆ และทรัพย์สินรอการ ขาย (๕) สินทรัพย์อื่นๆ ที่มิได้ระบุน้ำหนักความเสียงไว้ข้อ ๕ นี้ ข้อ ๖ ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ของภาระผูกพันแต่ละ ประเภท Credit Conversion Factor ๑.๐ (๑) การรับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ค้ำประกันการกู้ยืมเงินและค้ำ ประกันการขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน (๒) การสลักหลังตั๋วเงินแบบผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย ( With Recourse) (๓) สัญญาการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามโดย ปราศจากเงื่อนไข (๔) การค้ำประกัน การรับประกัน หรือการก่อภาระผูกพันในรูปแบบ ใดๆ ของธนาคารพาณิชย์ อันเนื่องมาจากการขายสินทรัพย์ Credit Conversion Factor ๐.๕ (๑) ภาระผูกพันซึ่งขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของลูกค้า เช่นค้ำ ประกันการรับเหมาก่อสร้าง ค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา เป็นต้น (๒) ค้ำประกันการจำหน่ายตราสารหรือหลักทรัพย์ Credit Conversion Factor ๐.๒ ภาระผูกพันเพื่อการนำสินค้าเข้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตทั้งที่มี เอกสารประกอบแล้ว และยังไม่มีเอกสารประกอบ Credit Conversion Factor ๐ (๑) ตั๋วเงินเพื่อเรียกเก็บ (๒) วงเงินที่ลูกค้ายังมิได้ใช้ (๓) ค้ำประกันการออกของ (Shipping Guarantee) (๔) ภาระผูกพันที่ธนาคารพาณิชย์สามารถบอกยกเลิกเมื่อใดก็ได้ (๕) ภาระผูกพันอื่นๆ ที่มิได้ระบุค่าแปลงสภาพ ( Credit Conversion Factor ) ไว้ในข้อ ๖ นี้ Credit Conversion Factor สำหรับสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย อายุสัญญาที่เหลือ สัญญาอัตราแลกเปลี่ยน สัญญาอัตราดอกเบี้ย ไม่เกิน ๑๔ วัน ๐ ๐ ไม่เกิน ๑ ปี ๐.๐๒ ๐.๐๐๕ ตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๐.๐๕ ๐.๐๑ สัญญาอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่สัญญาดังต่อไปนี้ Cross currency interest rate swaps Forward foreign exchange contracts Currency futures Currency option purchase สัญญาอื่นๆในลักษณะเดียวกัน สัญญาอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ Single currency interest rate swaps Basis swaps Forward rate agreements Interest rate futures Interest rate option purchase สัญญาอื่นๆในลักษณะเดียวกัน ในกรณีที่ลูกค้ารายเดียวกันทำสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนหรือสัญญาอัตราดอก เบี้ยทั้งทางด้านซื้อและด้านขาย ให้คูณจำนวนเงินด้านซื้อและด้านขายด้วย Credit Conversion Factor ก่อน และนำค่าที่ได้มาหักกลบกัน แล้วจึงนำจำนวนสุทธิไปคูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของ สินทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดในข้อ ๕ ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ภาคผนวก ๑ กลุ่มประเทศ Organization for Economic Co-operation and Development ( OECD) และ ประเทศที่มีฐานะการเงินเทียบเท่า ออสเตรเลีย ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม นิวซีแลนด์ แคนาดา นอร์เวย์ เดนมาร์ก โปรตุเกส เยอรมันนี ซาอุดีอาระเบีย ฟินแลนด์ สเปน ฝรั่งเศส สวีเดน กรีซ สวิตเซอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ ตุรกี ไอร์แลนด์ อังกฤษ อิตาลี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ภาคผนวก ๒ องค์การระหว่างประเทศ European Investment Bank (EIB) European Bank for Reconstruction and Development ( EBRD) International Bank for Reconstruction and Development (IBRD) Including International Finance Corporation (IFC) Inter-American Development Bank (IADB) African Development Bank ( AfDB) Asian Development Bank ( AsDB) Caribbean Development Bank ( CDB) Nordic Investment Bank (NIB) [รก.๒๕๔๓/พ๒๔ง/๑๒/๑๗ มีนาคม ๒๕๔๓] ปรียนันท์/แก้ไข ๓ / ๕ / ๔๕
314569
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเงื่อนในการอนุญาตให้ ธนาคารพาณิชย์ ใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ การใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) เพื่อเป็นการให้ข้อมูลข่าว สารของกิจการลักษณะเช่นเดียวกับการโฆษณา หรือเผยแพร่ธุรกิจที่ให้บริการ เช่น ขั้นตอนปฏิบัติ ในการขอสินเชื่อ แบบคำขอสินเชื่อ เอกสารหลักฐานที่จำเป็นต้องใช้ อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น ทั้ง กรณีที่กระทำเป็นการทั่วไป หรือเป็นการเฉพาะแก่ลูกค้ารายหนึ่งรายใด ให้กระทำได้โดยไม่ต้อง ขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ข้อ ๒ การใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ ในขั้นตอนการตกลงกระทำธุรกรรมหรือนิติกรรมใดๆ รวมทั้งการโอนเงินหรือรับ โอนเงินหรือการปฏิบัติอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกรรมหรือนิติกรรมนั้นต้องได้รับอนุญาตจาก ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนดำเนินการ ทั้งนี้ ในการขออนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งราย ละเอียด ดังนี้ (๑) จะต้องแจ้งประเภทและขอบเขตธุรกรรมที่จะให้บริการ (๒) จะต้องจัดทำและแสดงแผนการรองรับการประกอบธุรกรรมผ่าน เครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) โดยอย่างน้อยแผนการดังกล่าวต้องมีมาตรการดูแลความปลอด ภัยของระบบและข้อมูล การประเมินความเสี่ยงและแผนรองรับในกรณีเกิดปัญหา การพัฒนาทาง ด้านเทคโนโลยีของระบบและการพัฒนาและฝึกอบรมพนักงาน ระบบการควบคุมภายใน การแก้ ไขปัญหาทางด้านกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงสิทธิและผลประโยชน์ของลูกค้าผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ ต้องพร้อมที่จะอธิบายหรือชี้แจงเพิ่มเติมและปฏิบัติตามที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยสั่งการ (๓) จะต้องจัดให้มีและมอบเอกสารหลักฐานสำหรับธุรกรรมที่กระทำแก่ลูกค้า เพื่อใช้อ้างอิงตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องเก็บรักษาสำเนาไว้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบได้ ข้อ ๓ ในการขออนุญาต ให้ธนาคารพาณิชย์ยื่นคำขออนุญาตตามแบบที่ กำหนด และให้มีผลเป็นการอนุญาตเมื่อพ้นกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันยื่นคำขอ เว้นแต่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยจะมีข้อทักท้วงหรือให้ชี้แจงเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษร ข้อ ๔ ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบก ษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๓/พ๑๑ง/๒๐/๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓] ปรียนันท์/แก้ไข ๓ / ๖ / ๔๕ กลุ่ม B+A ( C )
314564
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝากเงิน ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน ลงวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๔๓ ข้อ ๒ ในประกาศนี้ "บัญชีเงินฝาก" หมายความว่า การับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวง ถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ ไม่ว่าจะกระทำโดยวิธีการอื่นใดที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับ อนุญาตในปัจจุบัน หรืออาจได้รับอนุญาตในอนาคต "ผู้ฝากเงิน" หมายความรวมถึงผู้ที่ได้รับมอบหมาย หรือผู้ที่ได้รับมอบ อำนาจในการเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์แทน หรือในนามของผู้อื่น ข้อ ๓ ในการเปิดบัญชีเงินฝาก ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้ผู้ฝากเงินแจ้งข้อมูล เกี่ยวกับตนเองอย่างละเอียด ในแบบรายการคำขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดขึ้น พร้อมลงลายมือชื่อ แบบรายการคำขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดขึ้นตาม วรรคหนึ่งจะต้องมีรายการละเอียดของผู้ฝากเงินอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ (๑) ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ปัจจุบัน อาชีพ สถานที่ทำงาน สถานที่ที่ สะดวกในการติดต่อ (๒) ในกรณีเป็นนิติบุคคลให้แสดงรายละเอียดข้อมูล เกี่ยวกับ ประเภทธุรกิจ หรือวัตถุประสงค์ของผู้ฝากเงินที่เป็นธุรกิจในทางการค้าปกติ ข้อ ๔ ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีเอกสารแสดงตน หรือสำเนาเอกสารดังกล่าว เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการขอเปิดบัญชีเงินฝาก อย่างน้อยดังต่อไปนี้ และต้องให้ผู้ฝากเงินลง ลายมือชื่อรับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสารหลักฐานดังกล่าวไว้ด้วย (๑) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นบุคคลธรรมดา เอกสารที่ต้องมีอย่างน้อย ต้องเป็นเอกสารที่ระบุเลขประจำตัวประชาชนของบุคคลนั้นไว้ด้วย (๒) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศไทย เอกสารที่ต้องมีได้แก่ หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เอกสารที่แสดงว่าคณะกรรมการบริษัท หรือหุ้นส่วนเห็นชอบให้เปิดบัญชี รวม ทั้งกำหนดอำนาจและเงื่อนไขในการสั่งจ่ายโดยผู้มีอำนาจลงนามรับรองพร้อมทั้งประทับตรา (ถ้า มี) พร้อมเอกสารแสดงตนของผู้มีอำนาจลงนามเอกสารที่กล่าวให้เป็นไปเช่นเดียวกับที่กำหนด ตามข้อ ๔ (๑) (๓) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นส่วนราชการ องค์กรของรัฐบาล รัฐ วิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ เอกสารที่ต้องมีได้แก่ หนังสือแสดงความจำนงขอเปิดบัญชี อำนาจและเงื่อนไขในการสั่งจ่าย พร้อมเอกสารแสดงตนของผู้มีอำนาจลงนาม เอกสารที่กล่าวให้ เป็นไปเช่นเดียวกับที่กำหนดตามข้อ ๔ (๑) (๔) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นสหกรณ์ มูลนิธิ สมาคม สโมสร วัด มัสยิด ศาลเจ้า และนิติบุคคลอื่น เอกสารที่ต้องมีได้แก่ หนังสือจดทะเบียนของกระทรวงมหาดไทยหรือ กระทรวงอื่นหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หนังสือแต่งตั้งหรือมอบอำนาจรายงานการประชุม กรรมการหรือหนังสือแสดงความประสงค์ขอเปิดบัญชี รวมทั้งกำหนดอำนาจและเงื่อนไขในการสั่ง จ่ายโดยผู้มีอำนาจลงนามรับรองพร้อมประทับตราพร้อมเอกสารแสดงตนผู้มีอำนาจลงนาม เอกสารที่กล่าวให้เป็นไปเช่นเดียวกับที่กำหนดตามข้อ ๔ (๑) (๕) สำหรับผู้ฝากเงินที่ไม่ใช่บุคคลผู้มีสัญชาติไทย หรือไม่ใช่นิติบุคคล ในประเทศไทยเอกสารที่ต้องมีได้แก่ หนังสือเดินทาง หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือ เอกสารหลักฐานแสดงตนที่ออกหรือรับรองโดยหน่วยงานหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ เอกสารที่กล่าวข้างต้นให้หมายความรวมถึง ใบแทน หรือบัตรชั่วคราว ที่ใช้ระหว่างรอการออกเอกสารดังกล่าวด้วย ข้อ ๕ ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารหลักฐานหรือ สำเนาเอกสารหลักฐานในข้อ ๔ ตามปกติวิสัยที่พึงปฏิบัติ โดยสุจริตและปราศจากความประมาท เลินเล่อ และต้องจัดเก็บรักษาเอกสารหรือสำเนาเอกสารหลักฐานที่ผู้ฝากเงินได้ลงลายมือชื่อรับ รองความถูกต้องแล้วในห้องมั่นคง หรือสถานที่ที่ปลอดภัย ณ ธนาคารพาณิชย์ตั้งแต่วันเปิดบัญชี เงินฝากและเก็บรักษาต่อไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปี นับแต่วันที่ลูกค้าปิดบัญชีเงินฝาก เพื่อให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบ หรือใช้ประกอบใน การสอบสวนหรือดำเนินคดี ข้อ ๖ ธนาคารพาณิชย์จะให้ผู้ฝากเงินเปิดบัญชีเงินฝากโดยปกปิดชื่อจริงของผู้ ฝากเงินใช้ชื่อแฝง หรือใช้ชื่อปลอมมิได้ ข้อ ๗ สำหรับผู้ฝากเงินที่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่ ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการให้เป็นไปตามที่กำหนดในประกาศ ฉบับนี้ภายใน ๖ เดือน นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ เว้นแต่ บัญชีเงินฝากที่ไม่มีการเคลื่อน ไหวและธนาคารพาณิชย์ได้แจ้งทางจดหมายลงทะเบียนให้ผู้ฝากเงินดำเนินการแล้ว ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๓/พ๘๕ง/๓๗/๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๓] ปรียนันท์/แก้ไช ๓ / ๕ / ๔๕
314563
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง ตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับบริษัทเงินทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง ตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับบริษัทเงินทุน ----------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจ เงิน ทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช บัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดชนิด ประเภท และการคำนวณเงินที่บริษัทเงินทุนได้รับ เนื่องจากการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญเพื่อถือ เป็นเงินกองทุน ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง ตราสารที่ให้นับเข้าเป็น เงินกองทุน ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ และเรื่อง ตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๙ ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๙ ข้อ ๒ ให้บริษัทเงินทุนนับเงินที่ได้รับเนื่องจากการออกตราสารที่มีลักษณะ คล้ายทุน (Hybrid Debt Capital Instruments) หรือตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะยาว (Subordinated Debt) ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อ ๓ ถึงข้อ ๕ ข้อ ๓ ให้บริษัทเงินทุนยื่นคำขอต่อธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อขออนุมัตินับ เงินที่ได้รับเนื่องจากการออกตราสารดังกล่าวเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ และให้นับรวมเป็นเงินกอง ทุนชั้นที่ ๒ ได้ เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ข้อ ๔ ตราสารที่มีลักษณะคล้ายทุน ( Hybrid Debt Capital Instruments) ต้อง เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังนี้ (๑) เป็นตราสารที่ออกโดยไม่มีบุคคลใดค้ำประกัน และไม่มีทรัพย์สิน ใดจำนำหรือจำนองเป็นหลักประกัน (๒) เป็นตราสารที่กำหนดเวลาในการชำระหนี้ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี และ ในช่วง ๕ ปีสุดท้ายก่อนครบกำหนดให้บริษัทเงินทุนต้องลดการนับเงินที่ได้รับเนื่องจากการออกตรา สารที่มีลักษณะคล้ายทุนเข้าเป็นเงินกองทุนร้อยละ ๒๐ ต่อปี (๓) เป็นตราสารที่ไม่มีการไถ่ถอนก่อนครบกำหนด เว้นแต่ได้รับความ เห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย (๔) สิทธิได้รับชำระหนี้ตามตราสารของผู้ทรงต้องอยู่ในลำดับหลังผู้ ฝากเงินและเจ้าหนี้อื่น (๕) บริษัทเงินทุนมีสิทธิเลื่อนกำหนดเวลาในการชำระดอกเบี้ยตาม ตราสารออกไปได้ ในกรณีที่บริษัทเงินทุนนั้นไม่มีกำไรจากการดำเนินงาน และไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับหุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ์ (๖) เป็นตราสารที่มีการบังคับเลื่อนการจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยใน กรณีที่การชำระดังกล่าวทำให้บริษัทเงินทุนมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่ำกว่าร้อย ละ ๐ หรือเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าแทรกแซงโดยมีคำสั่งลดทุนและเพิ่มทุน ทั้งนี้ ให้ถือเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ได้ตามจำนวนเงินที่ได้รับชำระเต็มมูลค่าแล้ว ข้อ ๕ ตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะยาว ( Subordinated Debt) ต้องเป็นไปตาม หลักเกณฑ์ดังนี้ (๑) เป็นตราสารที่ออกโดยไม่มีบุคคลใดค้ำประกัน และไม่มีทรัพย์สิน ใดจำนำหรือจำนองเป็นประกัน (๒) เป็นตราสารที่มีกำหนดเวลาในการชำระหนี้เกินกว่า ๕ ปี และใน ช่วง ๕ ปีสุดท้ายให้บริษัทเงินทุนต้องลดการนับเงินที่ได้รับเนื่องจากการออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิ ระยะยาวเข้าเป็นกองทุนลงร้อยละ ๒๐ ต่อปี (๓) เป็นตราสารที่ไม่มีการไถ่ถอนก่อนครบกำหนด เว้นแต่ได้รับความ เห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย (๔) สิทธิได้รับชำระหนี้ตามตราสารของผู้ทรง ต้องอยู่ในลำดับหลัง ฝากเงินและเจ้าหนี้อื่น แต่ในลำดับก่อนเจ้าหนี้ที่ตามตราสารที่มีลักษณะคล้ายทุน ตามข้อ ๔ ทั้งนี้ ให้ถือเป็นเงินกองทุนได้ตามจำนวนเงินที่ได้รับชำระแล้ว แต่ต้องไม่เกินร้อย ละ ๕๐ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของบริษัทเงินทุนนั้น ข้อ ๖ ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๓/พ๘๕ง/๓๔/๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๓] ปรียนันท์/แก้ไข ๓ / ๔ / ๔๕
314562
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง ตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง ตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับธนาคารพาณิชย์ ----------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดชนิด ประเภท และการคำนวณเงิน ที่ธนาคารพาณิชย์ที่จด ทะเบียนในประเทศไทยได้รับเนื่องจากการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิ ด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญเพื่อถือเป็นเงินกองทุน ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกหนังสือที่ ธปท.ณว.(ว) ๑๒๓๗/๒๕๓๕ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๕ เรื่อง ตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุน ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์นับเงินที่ได้รับเนื่องจากการออกตราสารที่มีลักษณะ คล้ายทุน (Hybrid Debt Capital Instruments) หรือตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะยาว (Subordinated Debt) ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อ ๓ ถึงข้อ ๕ ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศยื่นคำขอต่อธนาคารแห่ง ประเทศไทยเพื่อขออนุมัตินับเงินที่ได้รับเนื่องจากการออกตราสารดังกล่าวเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ และให้นับรวมเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ได้ เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ข้อ ๔ ตราสารที่มีลักษณะคล้ายทุน (Hybrid Debt Capital Instruments) ต้อง เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังนี้ (๑) เป็นตราสารที่ออกโดยไม่มีบุคคลใดค้ำประกัน และไม่มีทรัพย์สินใดจำนำ หรือจำนองเป็นหลักประกัน (๒) เป็นตราสารที่มีกำหนดเวลาในการชำระหนี้ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี และในช่วง ๕ ปีสุดท้ายก่อนครบกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องลดการนับเงินที่ได้รับเนื่องจากการออกตราสารที่ มีลักษณะคล้ายทุนเข้าเป็นเงินกองทุนลงร้อยละ ๒๐ ต่อปี (๓) เป็นตราสารที่ไม่มีการไถ่ถอนก่อนครบกำหนด เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบ จากธนาคารแห่งประเทศไทย (๔) สิทธิได้รับชำระหนี้ตามตราสารของผู้ทรงต้องอยู่ในลำดับหลังผู้ฝากเงินและ เจ้าหนี้รายอื่น (๕) ธนาคารพาณิชย์มีสิทธิเลื่อนกำหนดเวลาในการชำระดอกเบี้ยตามตราสาร ออกไปได้ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์นั้นไม่มีกำไรจากการดำเนินงาน และไม่จ่ายเงินปันผลสำหรับ หุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ์ (๖) เป็นตราสารที่มีการบังคับเลื่อนการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในกรณีที่การ ชำระดังกล่าวทำให้ธนาคารพาณิชย์มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่ำกว่าร้อยละ ๐ หรือ เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าแทรกแซงโดยมีคำสั่งลดทุนและเพิ่มทุน ทั้งนี้ ให้ถือเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ได้ตามจำนวนเงินที่ได้รับชำระเต็มมูลค่าแล้ว ข้อ ๕ ตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะยาว ( Subordinated Debt) ต้องเป็นไปตาม หลักเกณฑ์ดังนี้ (๑) เป็นตราสารที่ออกโดยไม่มีบุคคลค้ำประกัน และไม่มีทรัพย์สินใดจำนำหรือ จำนองเป็นประกัน (๒) เป็นตราสารที่มีกำหนดเวลาในการชำระหนี้เกินกว่า ๕ ปี และในช่วง ๕ ปี สุดท้ายให้ธนาคารพาณิชย์ต้องลดการนับเงินที่ได้รับเนื่องจากการออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะ ยาวเข้าเป็นเงินกองทุนลงร้อยละ ๒๐ ต่อปี (๓) เป็นตราสารที่ไม่มีการไถ่ถอนก่อนครบกำหนด เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบ จากธนาคารแห่งประเทศไทย (๔) สิทธิได้รับชำระหนี้ตามตราสารของผู้ทรง ต้องอยู่ในลำดับหลังผู้ฝากเงิน และเจ้าหนี้อื่น แต่ในลำดับก่อนเจ้าหนี้ตามตราสารที่มีลักษณะคล้ายทุน ตามข้อ ๔ ทั้งนี้ ให้ถือเป็นกองทุนได้ตามจำนวนเงินที่ได้รับชำระแล้ว แต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์นั้น ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๓/พ๘๕ง/๓๑/๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๓] ปรียนันท์/พิมพ์ ๓ / ๕ / ๔๕
324391
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การตีราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขออนุมัตินับข้อมูลส่วนที่เพิ่มเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การตีราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขออนุมัตินับมูลค่าส่วนที่เพิ่ม เข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ของธนาคารพาณิชย์ ----------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดชนิด ประเภท และการคำนวณเงินสำรองจากการตีราคาสินทรัพย์ เพื่อถือเป็นเงินกองทุน ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ ธปท.ณว. (ว) ๑๒๓๖/๒๕๓๕ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๕ เรื่อง หลักเกณฑ์ในการตีราคาสินทรัพย์เพิ่ม หนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ ธปท. งพ. (ว) ๒๓๕๖/๒๕๓๗ เรื่อง การปรับปรุงวิธีการ บันทึกบัญชีค่าเสื่อมราคาอาคาร ลงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๗ และหนังสือธนาคารแห่งประเทศ ไทย ที่ ธปท.ง. (ว) ๒๖๒๔/๒๕๔๑ ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๑ เรื่อง การตีราคา อสังหาริมทรัพย์เพื่อขออนุมัตินับมูลค่าส่วนที่เพิ่มเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ข้อ ๒ ในประกาศนี้ "ธนาคารพาณิชย์" หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนเป็น บริษัทในประเทศ "เงินกองทุนชั้นที่๒" หมายความว่า (๑) เงินสำรองจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดิน อาคารและ ห้องชุดในอาคารชุด ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ซึ่งได้กันไว้ตามนัยประกาศ ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะ ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๓ หรือที่จะแก้ไขเพิ่มเติมภายหลัง ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะนับเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติเข้าเป็นเงินกองทุนได้ไม่เกินร้อยละ ๑.๒๕ ของยอดสินทรัพย์เสี่ยง (๒) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกตราสารตามประเภท จำนวนเงิน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๓) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกหุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดสะสมเงิน ปันผล ทั้งนี้ เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ต้องมีจำนวนสูงสุดไม่เกินเงินกองทุนชั้นที่ ๑ และ การออกหุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดสะสมเงินปันผล จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๓ ธนาคารพาณิชย์อาจนับเงินสำรองจากการตีราคาที่ดิน อาคาร หรือห้อง ชุดในอาคารชุดเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดใน ประกาศนี้ ข้อ ๔ ธนาคารพาณิชย์ซึ่งประสงค์จะนับเงินสำรองตามข้อ ๓ เป็นเงินกองทุน ชั้นที่ ๒ ต้องยื่นคำขอต่อธนาคารแห่งประเทศไทย และให้นับรวมเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ได้เมื่อได้รับ อนุมัติแล้ว ข้อ ๕ การตีราคาและการบันทึกบัญชีที่ดิน และอาคาร ให้ปฏิบัติตามมาตรา ฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้องของสมาคมนักบัญชี และผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย ข้อ ๖ การนับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังต่อไปนี้ ๖.๑ ที่ดินที่สามารถนับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาเป็นเงินกอง ทุนชั้นที่ ๒ได้ ต้องมีลักษณะดังนี้ (๑) เป็นที่ดินที่มีไว้เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือ สำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น ตามนัยมาตรา ๑๒ (๔) (ก) แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช กำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ (๒) เป็นที่ดินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นมีกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบ ครองตามหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินแต่เพียงผู้เดียว และปราศจากภาระผูกพันเหนือที่ดินดังกล่าว (๓) เป็นที่ดินในหรือนอกประเทศซึ่งมีการตีราคาไว้ไม่เกินกว่า ๖ เดือนนับจากวันที่ให้มูลค่าทรัพย์สินที่ออกโดยบริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สิน เว้นแต่การยื่นคำขอ สำหรับงวดปี ๒๕๔๓ หากธนาคารพาณิชย์ได้ตีราคาโดยถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ ๓๒ เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ธนาคารพาณิชย์อาจใช้ราคาที่ตีไว้เกินกว่า ๖ เดือนได้โดยให้ ชี้ แจงเหตุผลในรายละเอียดประกอบคำขอ ๖.๒ การตีราคาที่ดินเพื่อขออนุมัตินับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขี้นเข้าเป็นเงินกอง ทุนชั้นที่ ๒ ธนาคารพาณิชย์ต้องใช้บริษัทประมูลมูลค่าทรัพย์สินวัตถุประสงค์สาธารณะในการเปิด เผยข้อมูลต่อประชาชนที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศ ไทย ทั้งนี้ บริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินนั้นต้องไม่มีความสัมพันธ์หรือมีผลประโยชน์ใดๆ เกี่ยวข้อง กับธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว ๖.๓ ในการยื่นคำขอต้องเป็นการยื่นคำขอสำหรับที่ดินทุกแปลงที่เข้าข่าย ตามข้อ ๖.๑ ในคราวเดียวกัน โดยให้ปฏิบัติโดยยึดหลักความสม่ำเสมอ แต่จะยื่นคำขอมากกว่า ๑ ครั้ง ในระยะ ๓ ไม่ได้ ๖.๔ ให้ธนาคารพาณิชย์แสดงการคำนวณราคาที่ดินและมูลค่าส่วนที่เพิ่ม ขึ้นของที่ดินทุกแปลงตามข้อ ๖.๑ อย่างชัดเจน ตามแบบตารางแนบ ๑ ที่แนบท้ายประกาศนี้ และ ให้แสดงหลักเกณฑ์การตีราคา รวมทั้งรายละเอียดในการคำนวณประกอบด้วย ในกรณีที่ดิน ซึ่ง ประกอบด้วยโฉนดย่อยหลายแปลง และแต่ละโฉนดมีราคาประเมินไม่เท่ากัน ให้ธนาคารพาณิชย์ แสดงจำนวนเนื้อที่เป็นตารางวาสำหรับแต่ละราคาของแต่ละโฉนด และสำหรับกรณีที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ รวมตั้งแต่ ๑ ไร่ ขึ้นไปให้แนบสำเนาภาพถ่ายเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดิน ด้วย ทั้งนี้ การตีราคาที่ดินทุกกรณีจะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้สอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์ ว่าเป็นไปตามแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดและมีวิธีปฏิบัติและการบันทึกบัญชี เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี ๖.๕ การตีราคาที่ดินในต่างประเทศเพื่อขอนุมัตินับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้น เข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ธนาคารพาณิชย์ต้องใช้บริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินหรือผู้ชำนาญการตี ราคาและได้รับความเห็นชอบจากผู้สอบบัญชีของสาขาธนาคารพาณิชย์นั้น และให้แสดงการ คำนวณราคาที่ดิน และมูลค่าส่วนที่เพิ่ม ขึ้นในแบบตารางแนบ ๑ ด้วย ๖.๖ ในการยื่นคำขออนุมัตินับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดิน เป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ให้แนบเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้ประกอบคำขอด้วย (๑) รายงานการคำนวณมูลค่าเพิ่มจากการตีราคาที่ดิน ตามแบบ ตารางแนบ ๑ (๒) รายงานการนับเงินสำรองจากการตีราคาที่ดิน อาคารและห้อง ชุด ในอาคารชุด เข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ตามแบบตารางแนบ ๓ ที่แนบท้ายประกาศนี้ (๓) ภาพถ่ายเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน (๔) รายงานแสดงรายละเอียดการตีราคาที่ดินของบริษัทประเมิน มูลค่าทรัพย์สินตามข้อ ๖.๒ ๖.๗ ให้ธนาคารพาณิชย์นับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินเข้า เป็นกองทุนชั้นที่ ๒ ได้ไม่เกินระยะ ๗๐ ของมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาทุนทั้งสิ้น แต่ไม่เกิน จำนวนที่ได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจทำการทบทวนข้อกำหนดอัตรา ส่วนการนับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ภายหลังงวดการ บัญชีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๖ ก็ได้ ๖.๘ เมื่อได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ให้ธนาคาร พาณิชย์แสดงมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินเฉพาะส่วนที่ได้รับอนุญาตให้นับเข้าเป็นเงิน กองทุนชั้นที่ ๒ ตามข้อ ๖.๗ ไว้ภายใต้หัวข้อมูลค่าเพิ่มจากการตีราคาที่ดินในแบบรายงาน ธ.พ. ๑๐.๑ "รายละเอียดการดำรงเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ" ๖.๙ ในกรณีที่ราคาตามบัญชีของที่ดินแปลงที่เคยมีการตีราคาเพิ่มและ ได้รับอนุมัติให้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ไปแล้ว มีมูลค่าลดลงอันเกิดจากการด้อยค่า ธนาคาร พาณิชย์ต้องหักส่วนที่ลดลงดังกล่าวออกจากเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ในอัตราส่วนเดียวกับจำนวนที่ด้อย ค่า ๖.๑๐ เมื่อธนาคารพาณิชย์จำหน่ายที่ดินที่เคยตีราคาเพิ่มและนับเข้าเป็น เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์รายงานการจำหน่ายที่ดินแปลงดังกล่าวต่อธนาคารแห่ง ประเทศไทยภายใน ๗ วัน นับแต่วันจดทะเบียนโอนที่ดินและให้หักมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตี ราคาของที่ดินแปลงนั้นออกจากเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ในอัตราส่วนเดียวกับจำนวนที่จำหน่ายออกไป ข้อ ๗ การนับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคาร ชุดเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังต่อไปนี้ ๗.๑ อาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่สามารถนับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้น จากการตีราคาเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ได้ ต้องมีลักษณะดังนี้ (๑) เป็นอาคารที่ตั้งอยู่บนที่ดินธนาคารพาณิชย์มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิ ครอบครองตามหนังสือ แสดงสิทธิในที่ดิน และที่ดินดังกล่าวต้องปราศจากภาระผูกพัน (๒) เป็นอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด ที่มีไว้เพื่อใช้เป็นสถานที่ สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นตามนัยมาตรา ๑๒ (๔) (ก) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช กำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ (๓) เป็นอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่ธนาคารพาณิชย์นั้นมี กรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวและปราศจากภาระผูกพันใด ๆ (๔) เป็นอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่เอาประกันอัคคีภัยไว้เต็ม มูลค่า และระบุให้ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นผู้รับประโยชน์เพียงผู้เดียว (๕) เป็นอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดในหรือนอกประเทศซึ่งมีการ ตีราคาไว้ไม่เกินกว่า ๖ เดือน นับจากวันที่ในรายงานที่ให้มูลค่าทรัพย์สินที่ออกโดยบริษัทประเมิน มูลค่าทรัพย์สิน เว้นแต่การยื่นคำขอสำหรับงวดปี ๒๕๔๓ หากธนาคารพาณิชย์ได้ตีราคาโดยถือ ปฏิบัติตามาตราฐานการบัญชี ฉบับที่ ๓๒ เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ธนาคารพาณิชย์อาจใช้ ราคาที่ตีไว้เกินกว่า ๖ เดือนได้ โดยให้ชี้ แจงเหตุผลในรายละเอียดประกอบคำขอ ๗.๒ การตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดเพื่อขออนุมัตินับมูลค่า ส่วนที่เพิ่มเข้าเป็นเงินกองทุนขั้นที่ ๒ ธนาคารพาณิชย์ต้องใช้บริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อวัตถุ ประสงค์สาธารณะในการเปิดเผยข้อมูลต่อประชาชนที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะ กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับความเห็น ชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ บริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินต้องไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เกี่ยวข้องกับธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว ๗.๓ ในการยื่นคำขอ สำหรับอาคาร ต้องเป็นการยื่นคำขอสำหรับอาคาร ทุกหลังที่เข้าข่ายตามข้อ ๗.๑ ในคราวเดียวกัน โดยให้ปฏิบัติโดยยืดหลักความสม่ำเสมอ แต่จะยื่น คำขอมากกว่า ๑ ครั้ง ในระยะ ๓ ปีไม่ได้ ๗.๔ ในการยื่นคำขอสำหรับห้องชุดในอาคารชุด ต้องเป็นการยื่นคำขอ สำหรับห้องชุดในอาคารชุดทุกห้องที่เข้าข่ายตามข้อ ๗.๑ ในคราวเดียวกันโดยให้ปฏิบัติโดยยึดหลัก ความสม่ำเสมอ โดยให้ทำการตีราคาและยื่นคำขอเป็นประจำทุกปี ๗.๕ ให้ธนาคารพาณิชย์แสดงรายการผลการคำนวณราคาอาคารหรือ ห้องชุดในอาคารชุด และมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นของอาคารหรือห้องชุดทุกหลังตามข้อ ๗.๑ ตามแบบ ตารางแนบ ๒.๑ และแบบตารางแนบ ๒.๒ ที่แนบท้ายประกาศนี้ และให้แสดงหลักเกณฑ์การตี ราคา รวมทั้งรายละเอียดในการคำนวณประกอบด้วย ทั้งนี้ การตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคาร ขุดทุกกรณีจะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้สอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์ ว่าเป็นไปตามแนวทาง ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดและมีวิธีปฏิบัติและการบันทึกบัญชีเป็นไปตามมาตราฐานการ บัญชี ๗.๖ การตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดในต่างประเทศเพื่อขอ อนุมัตินับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ธนาคารพาณิชย์ต้องใช้บริษัทประเมินมูล ค่าทรัพย์สินหรือผู้ชำนาญการตีราคา และได้รับความเห็นชอบจากผู้สอบบัญชีของสาขาธนาคาร พาณิชย์นั้น และให้แสดงการคำนวณราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดและมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้น ในแบบตารางแนบ ๒.๑ และแบบตารางแนบ ๒.๒ ด้วย ๗.๗ ในการยื่นคำขออนุมัตินับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาอาคาร หรือห้องชุดในอาคารชุดเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ให้แนบเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้ประกอบคำขอ ด้วย (๑) รายงานการคำนวณมูลค่าเพิ่มจากการตีราคาอาคารหรือห้อง ชุดในอาคารชุด ตามแบบตารางแนบ ๒.๑ และแบบตารางแนบ ๒.๒ (๒) รายงานการนับเงินสำรองจากการตีราคาที่ดิน อาคารและห้อง ชุดในอาคารชุด เข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ตามแบบตารางแนบ ๓ (๓) ภาพถ่ายเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์อาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด (๔) ภาพถ่ายเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตั้งของอาคาร (๕) ภาพถ่ายกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย (๖) รายงานแสดงรายละเอียดการตีราคาอาคาร หรือห้องชุดใน อาคารชุด จากบริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินตามข้อ ๗.๒ ๗.๘ ให้ธนาคารพาณิชย์นับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาอาคาร หรือห้องชุดในอาคารชุดเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้น ทั้งสิ้น แต่ไม่เกินจำนวนที่ได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจทำการทบทวนข้อกำหนดอัตรา ส่วนการนับมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดเข้าเป็นเงินกองทุน ชั้นที่ ๒ ภายหลักงวดการบัญชีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๖ ก็ได้ ๗.๙ เมื่อได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ให้ธนาคาร พาณิชย์แสดงมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดเฉพาะส่วนที่ได้รับ อนุญาตให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ตามข้อ ๗.๘ ไว้ภายใต้หัวข้อมูลค่าเพิ่มจากการตีราคา อาคารในแบบรายงาน ธ.พ. ๑๐.๑ "รายละเอียดการดำรงเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ จดทะเบียนในประเทศ" ให้ธนาคารพาณิชย์หักค่าเสื่อมราคาของอาคารหลังที่ได้มีการตีราคา เพิ่มและได้รับอนุมัติให้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ไปแล้ว ออกจากเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ในอัตราส่วน เดียวกับค่าเสื่อมราคาที่ได้หักออกไปในลักษณะเดียวกับการหักจากบัญชีส่วนเกินทุนจากการตี ราคาสินทรัพย์ ๗.๑๐ ในกรณีที่ราคาตามบัญชีของอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดหลังที่ เคยมีการตีราคาเพิ่มและได้รับอนุมัติให้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ไปแล้วมีมูลค่าลดลงอันเกิดจาก การด้อยค่าธนาคารพาณิชย์ต้องหักส่วนที่ลดลงดังกล่าวออกจากเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ในอัตราส่วน เดียวกับจำนวนที่ด้อยค่า ๗.๑๑ เมื่อธนาคารพาณิชย์จำหน่ายอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่เคยตี ราคาเพิ่ม และนับเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์รายงานการจำหน่ายดังกล่าวต่อ ธนาคารแห่งประเทศไทยภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่จดทะเบียนโอนอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด และให้หักมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาของอาคารหรือห้องชุดนั้นออกจากเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ใน อัตราส่วนเดียวกับจำนวนที่ได้จำหน่ายออกไป ข้อ ๘ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคือไม่ได้ออก จากบัญชีหรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ยังไม่ครบ จำนวน ตามมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่ม เติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ให้ธนาคารพาณิชย์นำสินทรัพย์ในส่วนที่ยังไม่ได้ตัดออกจากบัญชีหรือในส่วนที่ยังไม่ได้กัน เงินสำรองหักออกจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินตามข้อ ๖.๗ และมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้น จากการตีราคาอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดตามข้อ ๗.๘ เสียก่อน แล้วจึงนับจำนวนคงเหลือของ มูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์แสดงรายละเอียดการนับเงินสำรองจากการตี ราคาสินทรัพย์เข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ตามแบบตารางแนบ ๓ ในกรรีที่สินทรัพย์ไม่มีราคาหรือ เรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ยังไม่ได้ตัดออกจากบัญชีหรือทรัพย์สินที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ ได้ในส่วนที่ยังไม่ได้กันเงินสำรองมีจำนวนลดลงหากธนาคารพาณิชย์ประสงค์จะนับมูลค่าจากการตี ราคาสินทรัพย์เข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ เพิ่มขึ้น ให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งให้ธนาคารแห่งประเทศ ไทยทราบ โดยแสดงรายละเอียดในแบบตารางแนบดังกล่าว ข้อ ๙ การตีราคาที่ดิน อาคาร และห้องชุดในอาคารชุดที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ ให้คำนวณมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็นเงินตราต่างประเทศ แล้วจึงแปลงเป็นเงินบาทโดยใช้อัตราแลก เปลี่ยนอ้างอิงตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคาร พาณิชย์ ซึ่งจะประกาศทุกเข้าวันทำการถัดไปของวันจัดทำรายงาน ทั้งนี้ ให้ใช้อัตราเฉลี่ยระหว่าง อัตราซื้อถัวเฉลี่ยขั้นต่ำสุด และอัตราขายถัวเฉลี่ย สำหรับสกุลเงินซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้ ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงไว้ให้ใช้คำนวณจากอัตราไขวั (Cross Rate ) ข้อ ๑๐ ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราช กิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก.๒๕๔๓/พ๑๑๓ง/๑๓/๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๓] ปรียนันท์/พิมพ์ ๑๙ / ๑๒ /๔๔
314479
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝากเงิน ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน ลงวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๔๓ ข้อ ๒ ในประกาศนี้ "บัญชีเงินฝาก" หมายความว่า การับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวง ถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ ไม่ว่าจะกระทำโดยวิธีการอื่นใดที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับ อนุญาตในปัจจุบัน หรืออาจได้รับอนุญาตในอนาคต "ผู้ฝากเงิน" หมายความรวมถึงผู้ที่ได้รับมอบหมาย หรือผู้ที่ได้รับมอบ อำนาจในการเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์แทน หรือในนามของผู้อื่น ข้อ ๓ ในการเปิดบัญชีเงินฝาก ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้ผู้ฝากเงินแจ้งข้อมูล เกี่ยวกับตนเองอย่างละเอียด ในแบบรายการคำขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดขึ้น พร้อมลงลายมือชื่อ แบบรายการคำขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดขึ้นตาม วรรคหนึ่งจะต้องมีรายการละเอียดของผู้ฝากเงินอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ (๑) ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ปัจจุบัน อาชีพ สถานที่ทำงาน สถานที่ที่ สะดวกในการติดต่อ (๒) ในกรณีเป็นนิติบุคคลให้แสดงรายละเอียดข้อมูล เกี่ยวกับ ประเภทธุรกิจ หรือวัตถุประสงค์ของผู้ฝากเงินที่เป็นธุรกิจในทางการค้าปกติ ข้อ ๔ ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีเอกสารแสดงตน หรือสำเนาเอกสารดังกล่าว เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการขอเปิดบัญชีเงินฝาก อย่างน้อยดังต่อไปนี้ และต้องให้ผู้ฝากเงินลง ลายมือชื่อรับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสารหลักฐานดังกล่าวไว้ด้วย (๑) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นบุคคลธรรมดา เอกสารที่ต้องมีอย่างน้อย ต้องเป็นเอกสารที่ระบุเลขประจำตัวประชาชนของบุคคลนั้นไว้ด้วย (๒) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศไทย เอกสารที่ต้องมีได้แก่ หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เอกสารที่แสดงว่าคณะกรรมการบริษัท หรือหุ้นส่วนเห็นชอบให้เปิดบัญชี รวม ทั้งกำหนดอำนาจและเงื่อนไขในการสั่งจ่ายโดยผู้มีอำนาจลงนามรับรองพร้อมทั้งประทับตรา (ถ้า มี) พร้อมเอกสารแสดงตนของผู้มีอำนาจลงนามเอกสารที่กล่าวให้เป็นไปเช่นเดียวกับที่กำหนด ตามข้อ ๔ (๑) (๓) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นส่วนราชการ องค์กรของรัฐบาล รัฐ วิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ เอกสารที่ต้องมีได้แก่ หนังสือแสดงความจำนงขอเปิดบัญชี อำนาจและเงื่อนไขในการสั่งจ่าย พร้อมเอกสารแสดงตนของผู้มีอำนาจลงนาม เอกสารที่กล่าวให้ เป็นไปเช่นเดียวกับที่กำหนดตามข้อ ๔ (๑) (๔) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นสหกรณ์ มูลนิธิ สมาคม สโมสร วัด มัสยิด ศาลเจ้า และนิติบุคคลอื่น เอกสารที่ต้องมีได้แก่ หนังสือจดทะเบียนของกระทรวงมหาดไทยหรือ กระทรวงอื่นหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หนังสือแต่งตั้งหรือมอบอำนาจรายงานการประชุม กรรมการหรือหนังสือแสดงความประสงค์ขอเปิดบัญชี รวมทั้งกำหนดอำนาจและเงื่อนไขในการสั่ง จ่ายโดยผู้มีอำนาจลงนามรับรองพร้อมประทับตราพร้อมเอกสารแสดงตนผู้มีอำนาจลงนาม เอกสารที่กล่าวให้เป็นไปเช่นเดียวกับที่กำหนดตามข้อ ๔ (๑) (๕) สำหรับผู้ฝากเงินที่ไม่ใช่บุคคลผู้มีสัญชาติไทย หรือไม่ใช่นิติบุคคล ในประเทศไทยเอกสารที่ต้องมีได้แก่ หนังสือเดินทาง หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือ เอกสารหลักฐานแสดงตนที่ออกหรือรับรองโดยหน่วยงานหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ เอกสารที่กล่าวข้างต้นให้หมายความรวมถึง ใบแทน หรือบัตรชั่วคราว ที่ใช้ระหว่างรอการออกเอกสารดังกล่าวด้วย ข้อ ๕ ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารหลักฐานหรือ สำเนาเอกสารหลักฐานในข้อ ๔ ตามปกติวิสัยที่พึงปฏิบัติ โดยสุจริตและปราศจากความประมาท เลินเล่อ และต้องจัดเก็บรักษาเอกสารหรือสำเนาเอกสารหลักฐานที่ผู้ฝากเงินได้ลงลายมือชื่อรับ รองความถูกต้องแล้วในห้องมั่นคง หรือสถานที่ที่ปลอดภัย ณ ธนาคารพาณิชย์ตั้งแต่วันเปิดบัญชี เงินฝากและเก็บรักษาต่อไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปี นับแต่วันที่ลูกค้าปิดบัญชีเงินฝาก เพื่อให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบ หรือใช้ประกอบใน การสอบสวนหรือดำเนินคดี ข้อ ๖ ธนาคารพาณิชย์จะให้ผู้ฝากเงินเปิดบัญชีเงินฝากโดยปกปิดชื่อจริงของผู้ ฝากเงินใช้ชื่อแฝง หรือใช้ชื่อปลอมมิได้ ข้อ ๗ สำหรับผู้ฝากเงินที่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่ ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการให้เป็นไปตามที่กำหนดในประกาศ ฉบับนี้ภายใน ๖ เดือน นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ เว้นแต่ บัญชีเงินฝากที่ไม่มีการเคลื่อน ไหวและธนาคารพาณิชย์ได้แจ้งทางจดหมายลงทะเบียนให้ผู้ฝากเงินดำเนินการแล้ว ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๓/พ๘๕ง/๓๗/๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๓] ปรียนันท์/แก้ไช ๓ / ๕ / ๔๕
312181
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การดำรงสินทรัพย์ของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การดำรงสินทรัพย์ของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ----------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกประกาศ ด้งต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การดำรงสินทรัพย์ของสาขา ธนาคารต่างประเทศ ลงวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ และให้ใช้ประกาศฉบับนี้แทน ข้อ ๒ สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร พาณิชย์ ตามมาตรา ๖ ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า ๑๒๕ ล้านบาท ข้อ ๓ สินทรัพย์ที่สาขาของธนาคารต่างประเทศต้องดำรงตามข้อ ๒ มีดังนี้ (๑) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หลักทรัพย์รัฐบาลไทย พันธบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย และพันธบัตรกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (๒) หุ้น หุ้นกู้ หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๓) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน ต้นเงินและดอกเบี้ย (๔) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือ รัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น หรือรัฐวิสาหกิจอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ (๕) อสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือสำหรับพนักงาน และลูกจ้าง โดยหักค่าเสื่อมราคาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ ข้อ ๔ ในการดำรงสินทรัพย์ตามข้อ ๓ สาขาของธนาคารต่างประเทศต้องปฏิบัติ ตามวิธีการและเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) สินทรัพย์ที่ดำรงต้องปราศจากภาระผูกพัน (๒) สินทรัพย์ที่ดำรงต้องเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากสินทรัพย์สภาพคล่อง ซึ่งต้อง ดำรงไว้ตามมาตรา ๑๑ ตรี (๓) สำหรับสินทรัพย์ตามข้อ ๓ (๑) - (๔) ให้คำนวณมูลค่าสินทรัพย์โดยถือ ตามราคาตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า (๔) สำหรับสินทรัพย์ตามข้อ ๓ (๕) ให้ถือเป็นสินทรัพย์ที่ดำรงได้ไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของสินทรัพย์ที่ต้องดำรง (๕) สินทรัพย์ที่ดำรงต้องจัดหาด้วยเงินทุนตามมาตรา ๖ วรรค ๓ (๖) ในการใช้เงินทุนเพื่อดำรงสินทรัพย์ตามข้อ ๓ สาขาของธนาคารต่างประเทศ ที่มีบัญชีระหว่างกันกับสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นที่เป็นนิติบุคคลเดียวกันจะต้องมีดุลเป็นลูกหนี้ สุทธิต่อสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นดังกล่าว ในเวลาใดเวลาหนึ่งไม่น้อยกว่าสินทรัพย์ที่ต้องดำรง ตามข้อ ๓ สำหรับการคำนวณหาดุลเป็นลูกหนี้สุทธิดังกล่าวข้างต้นให้นำยอดที่สาขาของ ธนาคารต่างประเทศเป็นลูกหนี้สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นดังกล่าวมาหักด้วย (๑) ยอดที่สาขา ของธนาคารต่างประเทศนั้นเป็นเจ้าหนี้สำนักงานใหญ่และสาขาอื่นดังกล่าว (ยอดสุทธิบัญชี ระหว่างกัน) และ (๒) ผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานประจำปีซึ่งได้ผ่านการรับรองจากผู้สอบ บัญชีในประเทศไทยแล้ว ข้อ ๕ สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร พาณิชย์ตามมาตรา ๖ เฉพาะกิจการวิเทศธนกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบ กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ล้านบาทหรือเทียบเท่า และจะ ดำรงในรูปสินทรัพย์ใด ๆ ก็ได้ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๔๓/พ๑๒๙ง/๑/๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๓]
312134
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ ----------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาต ให้ธนาคารพาณิชย์ ใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจของธนาคาร พาณิชย์ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การใช้บริการเครือข่าย อินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๒ และให้ใช้ประกาศฉบับนี้แทน ข้อ ๒ การใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) เพื่อเป็นการให้ข้อมูล ข่าวสารของกิจการลักษณะเช่นเดียวกับการโฆษณา หรือเผยแพร่ธุรกิจที่ให้บริการ เช่น ขั้นตอน ปฏิบัติในการขอสินเชื่อ แบบคำขอสินเชื่อ เอกสารหลักฐานที่จำเป็นต้องใช้ อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น ทั้งกรณีที่กระทำเป็นการทั่วไป หรือเป็นการเฉพาะแก่ลูกค้ารายหนึ่งรายใด ให้กระทำได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ข้อ ๓ การใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจ การธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็น ประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำหรือธุรกิจทำนองเดียวกัน ที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่ง ประเทศไทยตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต้องได้รับ อนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนดำเนินการ สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๒ มาแล้วนั้น ให้สามารถใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ให้บริการธุรกรรมต่างๆ ภายในข้อกำหนดของประกาศฉบับนี้ได้ทันทีที่ประกาศฉบับนี้มีผล ใช้บังคับ ข้อ ๔ ในการขออนุญาต ให้ธนาคารพาณิชย์ยื่นคำขออนุญาตตามแบบที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด พร้อมทั้งแจ้งรายละเอียด ดังนี้ (๑) จะต้องจัดทำและแสดงแผนการรองรับการประกอบธุรกรรมผ่านเครือข่าย อินเตอร์เน็ต (Internet) โดยอย่างน้อยแผนการดังกล่าวต้องมีมาตรการดูแลความปลอดภัยของ ระบบและข้อมูล การประเมินความเสี่ยงและแผนรองรับในกรณีเกิดปัญหา การพัฒนาทางด้าน เทคโนโลยีของระบบและการพัฒนาและฝึกอบรมพนักงาน ระบบการควบคุมภายใน การแก้ไข ปัญหาทางด้านกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงสิทธิและผลประโยชน์ของลูกค้าผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ ต้องพร้อมที่จะอธิบายหรือชี้แจงเพิ่มเติมและปฏิบัติตามที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยสั่งการ (๒) จะต้องจัดให้มีและมอบเอกสารหลักฐานสำหรับธุรกรรมที่กระทำแก่ลูกค้า เพื่อใช้อ้างอิงตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องเก็บรักษาสำเนาไว้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบได้ ข้อ ๕ เมื่อธนาคารพาณิชย์ยื่นคำขอและแจ้งรายละเอียด ตามข้อ ๔ แล้ว ให้มี ผลเป็นการอนุญาตเมื่อพ้นกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันยื่นคำขอ เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีข้อทักท้วงหรือให้ชี้แจงเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษรให้ธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาต เมื่อได้รับแจ้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย ข้อ ๖ เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตตามข้อ ๕ แล้ว ธนาคารพาณิชย์ สามารถใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ได้ ภายในขอบเขตดังต่อไปนี้ (๑) ธนาคารพาณิชย์สามารถใช้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) ในการ ประกอบธุรกรรมอื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตเป็นการเพิ่มเติมได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใช้เครือข่าย อินเตอร์เน็ต (Internet) ในการประกอบธุรกิจอีก ทั้งนี้ ต้องมีการปรับปรุงแผนรองรับ การประกอบธุรกรรมดังกล่าวด้วย (๒) ธนาคารพาณิชย์สามารถแสดงเครื่องหมายการค้า (Logo) หรือข้อความ ของธุรกิจอื่นบน Web Site ของธนาคารพาณิชย์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าผู้ใช้บริการ ทราบว่ามีธุรกิจอื่นใดที่สามารถทำธุรกรรมด้านการเงินผ่านธนาคารพาณิชย์หรือเพื่อเป็นช่องทาง ให้ลูกค้าผู้ใช้บริการเลือกเข้า Web Site ของธุรกิจอื่นได้ ยกเว้นหน้าจอภาพแรกซึ่งเป็นหน้าจอ ภาพหลักของ Web Site ให้แสดงเฉพาะบริการของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ทั้งนี้ ไม่ให้ธนาคารพาณิชย์มีรายได้จากการแสดงเครื่องหมายการค้า (Logo) หรือข้อความของธุรกิจอื่นดังกล่าว ซึ่งเสมือนเป็นการโฆษณาให้ธุรกิจอื่นและไม่ให้กระทำการใดๆ ในลักษณะที่เป็นการโฆษณาหรือชี้ชวนให้ลูกค้าผู้ใช้บริการเข้าไปใช้บริการใน Web Site ของ ธุรกิจอื่นที่ธนาคารพาณิชย์มีการเชื่อมโยง (๓) ขั้นตอนการซื้อขายสินค้าหรือบริการของธุรกิจอื่น ไม่ให้กระทำที่ Web Site ของธนาคารพาณิชย์ ข้อ ๗ ในการคิดค่าธรรมเนียมการให้บริการผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) จากลูกค้าผู้ใช้บริการและธุรกิจอื่น ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้เป็นไปตามกลไกตลาด เพื่อให้เกิดการแข่งขันและต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมต่อลูกค้าผู้ใช้บริการ อนึ่ง หากมีข้อสัญญาระหว่างธนาคารพาณิชย์กับลูกค้าผู้ใช้บริการหรือระหว่าง ธนาคารพาณิชย์กับธุรกิจอื่น ซึ่งกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติอย่างไร ให้ธนาคารพาณิชย์ ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว และหากมีข้อสัญญาจำกัดความรับผิดชอบของธนาคารพาณิชย์ ข้อสัญญาดังกล่าวต้องไม่จำกัดความรับผิดเพื่อกลฉ้อฉลหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย ข้อ ๘ ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๓/พ๑๑๗ง/๒๑/๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๓] ชไมพร/แก้ไข ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๕ (B+A)
312033
ประกาศ ธนาคารแห่งประทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยออกตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๔๓ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ณ วัน ทำงานวันสุดท้ายของทุกเดือนไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานทุกแห่ง ดังนี้ (๑) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ที่จดทะเบียนในประเทศไทย ให้ทำรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๑ ที่แนบท้าย ประกาศนี้ (๒) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ ให้ทำรายการ ย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๒ ที่แนบท้ายประกาศนี้ (๓) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศ ให้จัดทำรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ว.ธ. ๑.๒ ที่แนบท้าย ประกาศนี้ ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสิ้นทรัพย์ ณ วัน ทำงานวันสุดท้ายของเดือนสุดท้ายของไตรมาส คือ เดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และ ธันวาคม ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย ๑ ฉบับ ภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่รายงาน ณ วันสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๔๓ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก๒๕๔๓/๙๗/๒๒/๒๕ กันยายน ๒๕๔๓]
323104
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ------------ อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๕ ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ภายใต้บังคับข้อ ๑๖ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๒ ข้อ ๒ ในประกาศฉบับนี้ (๑) สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หมายถึง สินทรัพย์จัดชั้นสูญ (๒) สินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หมายถึง (ก) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ (ข) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย (ค) สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน (ง) สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (จ) สินทรัพย์จัดชั้นปกติ (๓) เงินสำรอง หมายถึง เงินสำรองที่กันไว้เป็นค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ ค่าเผื่อการลดราคา ค่าเผื่อการด้อยค่า ค่าเผื่อการปรับมูลค่า สำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคา หรือเรียกคืนไม่ได้ ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นแต่ละประเภท ตามอัตราและหลักเกณฑ์ที่ระบุในประกาศฉบับนี้ ข้อ ๓ สินทรัพย์จัดชั้นสูญดังต่อไปนี้ให้ตัดออกจากบัญชี (๑) สิทธิเรียกร้องซึ่งได้ปฏิบัติการโดยสมควรเพื่อให้ได้รับชำระหนี้แต่ไม่มีทาง ที่จะได้รับชำระหนี้แล้ว โดยให้พิจารณาตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (ก) ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เป็นคนสาบสูญ หรือมีหลักฐานว่าหายสาบสูญไป และไม่มีทรัพย์สินใด ๆ จะชำระหนี้ได้ (ข) ลูกหนี้เลิกกิจการ และมีหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมด ของลูกหนี้อยู่ในลำดับก่อนเป็นจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของลูกหนี้ (ค) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูก เจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง และในกรณีนั้น ๆ ได้มีคำบังคับหรือคำสั่งของศาลแล้วแต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สิน ใด ๆ จะชำระหนี้ได้ (ง) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดี ที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย และในกรณีนั้น ๆได้มีการประนอมหนี้กับลูกหนี้ โดย ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้นั้นหรือลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย และได้มีการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ครั้งแรกแล้ว (๒) สิทธิเรียกร้องซึ่งตามพฤติการณ์ไม่อาจเรียกให้ชำระหนี้ได้ (๓) สินทรัพย์อื่นซึ่งชำรุด เสียหาย หรือหมดราคา (๔) ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๔ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กัน เงินสำรองในอัตราร้อยละ ๑๐๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๑๒ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ธนาคาร พาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญแล้ว (๒) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ หรือซื้อจากการขายทอดตลาด เฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือตีราคาไว้ ไม่เกิน ๑๒ เดือน โดยมูลค่าที่กล่าวให้หักด้วยประมาณการค่าใช้จ่ายในการขายก่อนนำไป เปรียบเทียบกับราคาตามบัญชี ทั้งนี้ ในการประเมินราคาหรือตีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่กล่าว ให้ถือ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนด ยกเว้นเกณฑ์การเลือกใช้การประเมินราคาหรือการตีราคา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักเกณฑ์ ดังกล่าว มิให้นำมาใช้บังคับในเรื่องนี้ และให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้ (ก) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลาด แต่ละแปลงมีราคาตามบัญชีตั้งแต่ ๕ ล้านบาท ขึ้นไป ให้ใช้การประเมินราคา (ข) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลาด แต่ละแปลงมีราคาตามบัญชีต่ำกว่า ๕ ล้านบาท ธนาคารพาณิชย์จะใช้การตีราคา หรือการประเมิน ราคาก็ได้ (ค) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลาด หลายแปลง ที่ไม่สามารถแยกจำหน่ายจากกันได้ หากมีราคาตามบัญชีรวมกันตั้งแต่ ๕ ล้านบาทขึ้นไป ให้ใช้การประเมินราคาเช่นเดียวกับข้อ (๒) (ก) (๓) สินทรัพย์อื่นเฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่ายุติธรรม หรือมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืน ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ต้องกำหนดมูลค่ายุติธรรมหรือมูลค่าที่คาดว่า จะได้รับคืนตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในมาตรฐานการบัญชี (๔) สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ทั้งจำนวน (๕) ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๖) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นจะเรียกคืนไม่ได้ ทั้งจำนวนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๕ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรอง ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๖ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญาหรือวันที่ธนาคาร พาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อนยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญหรือสงสัย จะสูญแล้ว (๒) ลูกหนี้ที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว (๓) ลูกหนี้ที่หยุดดำเนินกิจการหรือเลิกกิจการ หรือกิจการของลูกหนี้อยู่ระหว่าง ชำระบัญชี (๔) ลูกหนี้ที่ประวิงการชำระหนี้ หรือกระทำการใด ๆ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับ ชำระหนี้ เช่น ออกไปเสียนอกราชอาณาจักร หรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน (๕) ลูกหนี้ที่มีฐานะการเงินไม่มั่นคง หรือความสามารถในการหารายได้ต่ำ อันแสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้อ่อน (๖) ลูกหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์ติดต่อไม่ได้ หรือตามตัวลูกหนี้ไม่พบ หรือลูกหนี้ ไปเสียจากภูมิลำเนาที่ปรากฏตามสัญญาโดยไม่แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์ทราบ (๗) ผู้ค้ำประกันที่เข้าเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งใน (๑) - (๖) ดังกล่าวข้างต้น (๘) ลูกหนี้ที่ไม่ปรากฏธุรกิจแน่ชัด หรือไม่ได้ประกอบธุรกิจจริงจัง หรือนำเงิน ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ (๙) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง (๑๐) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลาย หรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย (๑๑) ลูกหนี้ที่ดำเนินธุรกิจขาดทุนเป็นเวลาตั้งแต่สามปีติดต่อกันขึ้นไป หรือลูกหนี้ ที่มียอดขาดทุนสะสมจนทำให้สินทรัพย์ต่ำกว่าหนี้สินที่มีอยู่ เว้นแต่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ากิจการ ของลูกหนี้มีโอกาสทำกำไรพอชดเชยผลขาดทุน (๑๒) ลูกหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์มิได้มีการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ ตามหลักการการให้สินเชื่อที่ดี หรือมีเอกสารประกอบการให้สินเชื่อไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย หรือ มิได้มีการติดตามฐานะการเงิน ตลอดจนคุณภาพลูกหนี้ตามวิธีปฏิบัติปกติ (๑๓) ลูกหนี้ที่ได้ขอผ่อนเวลาการชำระหนี้ไว้ แต่ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนด เวลาที่ตกลงกัน (๑๔) สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกให้ชำระคืนไม่ได้ครบถ้วน (๑๕) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นคาดว่าจะเรียกคืน ไม่ได้ครบถ้วนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๖ สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กัน เงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๓ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญาหรือวันที่ธนาคาร พาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อนยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ หรือสงสัยแล้ว (๒) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันไม่เกิน ๓ เดือน แต่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีปัจจัยบางอย่างที่อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ เช่น ภาวะของภาคอุตสาหกรรมของลูกหนี้เสื่อมถอยลงหรือหลักประกันที่เป็นปัจจัยในการชำระหนี้ เสื่อมค่าลง (๓) ลูกหนี้ที่ดำเนินธุรกิจขาดทุนเป็นเวลาตั้งแต่สองปีติดต่อกันขึ้นไป หรือลูกหนี้ ที่มียอดขาดทุนสะสมจนทำให้สินทรัพย์หลังหักหนี้สินต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของทุนซึ่งชำระแล้ว เว้นแต่ มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่ากิจการของลูกหนี้มีโอกาสทำกำไรพอชดเชยผลขาดทุน (๔) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นมีปัญหาในการเรียก ให้ชำระคืน หรือไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามปกติตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๗ สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ให้ กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๑ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญาหรือวันที่ธนาคาร พาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อนยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ สงสัย หรือต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว โดยให้ใช้ยอดคงค้างของต้นเงินที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับในการ กันเงินสำรอง (๒) ลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยแต่มีหลักฐานที่แสดงว่ามีปัจจัย บางอย่างที่อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้คืน หรือมีความไม่สมบูรณ์ของ หลักประกัน (๓) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นมีค่าเสื่อมถอยลง หรือลูกหนี้มีฐานะหรือผลการดำเนินงานอ่อนลงตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๘ สินทรัพย์จัดชั้นปกติตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรอง ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑ (๑) ลูกหนี้ที่ไม่ผิดนัดชำระหนี้และไม่มีสัญญาณใด ๆ แสดงว่าจะมีการผิดนัด ชำระหนี้อันจะเป็นเหตุให้ธนาคารพาณิชย์ได้รับความเสียหาย แต่มีความเสี่ยงต่อความเสียหาย ตามปกติ (๒) ลูกหนี้อื่นที่ไม่เข้าข่ายเป็นลูกหนี้จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ สงสัย ต่ำกว่า มาตรฐาน หรือกล่าวถึงเป็นพิเศษ โดยให้ใช้ยอดคงค้างของต้นเงินที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับ ในการกันเงินสำรอง ข้อ ๙ กรณีที่ลูกหนี้รายใดรายหนึ่งมีหนี้หลายประเภท และหนี้แต่ละประเภท จัดเป็นสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ต่างประเภทกัน ธนาคารพาณิชย์ต้อง จัดชั้นหนี้ทุกประเภทของลูกหนี้รายนั้นเป็นสินทรัพย์จัดชั้นในระดับคุณภาพที่ต่ำสุดของลูกหนี้รายนั้น ยกเว้นในกรณีที่ (๑) ธนาคารพาณิชย์สามารถแบ่งแยกการใช้เงินตามโครงการใดโครงการหนึ่ง ของลูกหนี้ออกจากหนี้ประเภทอื่นที่มีอยู่ได้อย่างชัดเจน โดยให้จัดเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ซึ่งต้องเป็นไปตามเกณฑ์ทุกข้อ ดังนี้ (ก) ธนาคารพาณิชย์ได้มีการวิเคราะห์การให้สินเชื่ออย่างดี มีการวิเคราะห์ ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ทางการเงิน ตลอดจนวิเคราะห์กระแสเงินสดจนมั่นใจในความสำเร็จของ โครงการนั้น และเชื่อมั่นได้ในแหล่งที่มาหลักของกระแสเงินสดที่จะนำมาเพื่อการชำระหนี้ และ พิจารณาแล้วว่าลูกหนี้จะมีความสามารถในการชำระหนี้ได้อย่างแน่นอน (ข) ธนาคารพาณิชย์มีเอกสารหลักฐานประกอบการวิเคราะห์การให้สินเชื่อ อย่างเพียงพอและพร้อมให้ตรวจสอบได้ (ค) ธนาคารพาณิชย์สามารถติดตามควบคุมการใช้เงินของลูกหนี้ได้อย่างใกล้ ชิดสม่ำเสมอให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการให้สินเชื่อ และมีเอกสารการติดตามหนี้ชัดเจน (ง) ธนาคารพาณิชย์มีการจัดทำตารางเวลาการจ่ายชำระหนี้อย่างชัดเจนและ สอดคล้องกับรายได้หรือกระแสเงินสดของลูกหนี้ (๒) ลูกหนี้มีหนี้ที่เข้าข่ายเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติมากกว่าร้อยละ ๙๐ ของราคา ตามบัญชีรวมดอกเบี้ยค้างรับของลูกหนี้รายนั้น ธนาคารพาณิชย์สามารถจัดชั้นหนี้ส่วนนี้เป็น สินทรัพย์จัดชั้นปกติ หากต่อมาอัตราดังกล่าวลดต่ำกว่าร้อยละ ๙๐ เนื่องจากการจ่ายชำระหนี้ ให้ ธนาคารพาณิชย์ ยังคงจัดชั้นหนี้ส่วนนี้เป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ข้อ ๑๐ ลูกหนี้ที่มีหนังสือยืนยันการตรวจรับงานจากหน่วยราชการตามระเบียบ ของหน่วยราชการนั้นที่มีระยะเวลาไม่เกิน ๖ เดือนนับแต่วันตรวจรับงาน เงินให้สินเชื่อส่วนที่มี หนังสือยืนยันนั้นให้ถือเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ข้อ ๑๑ ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้ (๑) ตัดส่วนสูญเสียออกจากบัญชี หรือกันเงินสำรองดังต่อไปนี้ (ก) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือรับชำระหนี้โดยการรับโอนสินทรัพย์ตราสารการเงิน หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุน ให้ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายบัญชีลูกหนี้ และบันทึกส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้น พร้อมกลับโอนกลับรายการเงินสำรองส่วนเกินที่กันไว้เฉพาะสำหรับ ลูกหนี้รายนั้นทั้งจำนวนได้ (ข) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ โดยลดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราตลาด แต่ไม่ลดต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับปรุง โครงสร้างหนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการคำนวณราคา ตามบัญชีใหม่ของลูกหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดทั้งจำนวน เว้นแต่ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของ ปี ๒๕๔๓ ธนาคารพาณิชย์สามารถทยอยกันเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียดังกล่าวได้ในทำนองเดียว กับข้อ ๑๓ แต่ต้องไม่เกินอายุของสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์สามารถ โอนกลับรายการเงินสำรองที่กันไว้แล้วเดิมก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายนั้นได้ เฉพาะจำนวนที่กันไว้แล้วสูงกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องทยอยกัน และหากเงินสำรองที่กันไว้แล้ว ต่ำกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องทยอยกันก็ให้กันเงินสำรองเพิ่มขึ้นให้ครบจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้อง ทยอยกันดังกล่าว (ค) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือรับชำระหนี้บางส่วนโดยการรับโอนสินทรัพย์ตราสาร การเงิน หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุน และผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ ในส่วนที่เหลือให้แก่ลูกหนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตาม (ก) สำหรับกรณีการลดต้นเงินหรือ ดอกเบี้ย หรือการรับชำระหนี้ดังกล่าวและปฏิบัติตาม (ข) ในส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า อัตราตลาด (๒) ในระหว่างติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ซึ่งลูกหนี้ ต้องชำระเงินตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๓ เดือน หรือ ๓ งวด การชำระเงิน แล้วแต่ระยะเวลาใดจะนานกว่า ให้ดำเนินการดังนี้ (ก) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นสงสัยจะสูญ หรือสงสัย ให้จัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน (ข) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน หรือกล่าวถึงเป็นพิเศษให้คงจัดชั้น เช่นเดิม ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ตามสถานะการจัดชั้น หลังการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หากเงินสำรองตาม (๒) นี้มีจำนวนสูงกว่าเงินสำรองสำหรับ ส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตาม (๑) (ข) และ (ค) เมื่อลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้โดยชำระเงิน ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๓ เดือนหรือ ๓ งวดการชำระเงินแล้ว ให้ถือเป็นลูกหนี้จัดชั้นปกติ ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ ให้นับระยะเวลา การค้างชำระรวมกับระยะเวลาการค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วพิจารณาจัดชั้น ตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นเพื่อการกันเงินสำรองตามเกณฑ์ในประกาศฉบับนี้ต่อไป (๓) สำหรับลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้าง หนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตาม เงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (ก) ลูกหนี้ที่สามารถชำระดอกเบี้ยได้ไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด (Market interest rate) โดยไม่มีช่วงปลอดการชำระดอกเบี้ย แต่อาจมีช่วงปลอดชำระเงินต้นได้ (ข) ลูกหนี้ที่มีส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของยอดหนี้ตามบัญชีก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งได้มีการตัดออกจากบัญชีแล้ว หรือได้มีการ กันเงินสำรองในอัตราดังกล่าวครบถ้วนแล้ว โดยหนี้ส่วนที่เหลือได้มีการวิเคราะห์ฐานะและกิจการของ ลูกหนี้ ตลอดจนกระแสเงินสด อย่างมีหลักเกณฑ์สมเหตุสมผล และมีหลักฐานประกอบจนเชื่อได้ แน่นอนว่าลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ (ค) ลูกหนี้ในลักษณะ Loan Syndication หรือมีเจ้าหนี้หลายรายซึ่งบรรดาเจ้าหนี้ ได้ตกลงปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกันได้ และสามารถแสดงหลักฐานการวิเคราะห์ฐานะและกิจการ ของลูกหนี้ ตลอดจนกระแสเงินสดอย่างมีหลักเกณฑ์สมเหตุสมผล และมีความเป็นไปได้แน่นอนที่ ลูกหนี้จะปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ (ง) กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องร้องลูกหนี้ ต่อมาได้มีการตกลงทำสัญญา ประนีประนอมยอมความและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว และกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ ฟ้องร้องลูกหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบตามคำขอประนอมหนี้หรือ แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้แล้ว (๔) กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยได้รับความเห็นชอบ จากธนาคารแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ธนาคาร พาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไข การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (๕) ในกรณีที่เห็นว่ามีข้อผิดสังเกตในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธนาคาร แห่งประเทศไทยอาจสั่งการให้มีการแก้ไข หรือให้ธนาคารพาณิชย์หาผู้เชี่ยวชาญอิสระมาประเมิน หรือทบทวนปรับปรุงโครงสร้างหนี้แต่ละรายได้ ข้อ ๑๒ ในการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นทุกประเภท เว้นแต่สินทรัพย์ จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ (๒) (๓) และ (๕) ให้นำมูลค่าของหลักประกันซึ่งได้ประเมินราคา ตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรอง มูลค่าของหลักประกัน ที่นำมาหักได้จะต้องไม่สูงเกินกว่ามูลค่าที่ได้มีการจดจำนำ จำนอง หรือมูลค่าที่ธนาคารพาณิชย์ มีบุริมสิทธิ์เหนือหลักประกันนั้น ดังนี้ (๑) หลักประกันที่เป็นสิทธิในเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์นั้น นำมาหักได้ ร้อยละ ๑๐๐ (๒) หลักประกันที่ใกล้เคียงเงินสด เช่น หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๙๕ ของราคาตลาด (๓) หลักประกันอื่นนอกจาก (๑) และ (๒) ที่ได้มีการประเมินราคาหรือมีการ ตีราคาไว้ไม่เกิน ๑๒ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคา หรือการตีราคา หากมีการประเมินราคาหรือมีการตีราคาไว้เกินกว่า ๑๒ เดือน ให้นำมาหักได้ ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือการตีราคา (๔) หลักประกันอื่นนอกจาก (๑) และ (๒) สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่มียอดคงค้าง ต่ำกว่า ๕ ล้านบาท ที่ได้มีการประเมินราคาหรือมีการตีราคาไว้ไม่เกิน ๓๖ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่เกิน ร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือการตีราคา หากมีการประเมินราคาหรือมีการ ตีราคาไว้เกินกว่า ๓๖ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคา หรือการตีราคา (๕) ลูกหนี้จัดชั้นรายใดที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน หรือที่รัฐบาลจะจัดสรร เงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้ หรือที่มีหลักฐานว่าจะได้รับชำระเงินจากหน่วยราชการใดอย่าง แน่นอนให้นำวงเงินที่ได้รับการค้ำประกันหรือที่จะได้รับชำระนั้นมาหักออกจากราคาตามบัญชีของ ลูกหนี้ก่อนคำนวณเงินสำรอง สำหรับสินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษตามข้อ ๗ และสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ตามข้อ ๘ ธนาคารพาณิชย์จะนำมูลค่าของหลักประกันมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ ก่อนการกันเงินสำรองหรือไม่ก็ได้ ข้อ ๑๓ เว้นแต่สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ (๒) และ (๓) ซึ่งให้กัน เงินสำรองให้ครบตามจำนวนที่ต้องกันในทันที ให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยกันเงินสำรองให้ครบถ้วน ทั้งในกรณีสินทรัพย์จัดชั้นและกรณีส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามข้อ ๑๑ ภายใน สิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๓ โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (๑) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๑ ให้กันเงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๒) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๒ ให้กันเงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๓) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๒ ให้กันเงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๔) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๓ ให้กันเงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๕) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๓ ให้กันเงินสำรองให้ครบถ้วน ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ต้องลดทุนเพราะเหตุที่ทางการใช้อำนาจสั่งการ ตามกฎหมาย จำนวนเงินสำรองที่ต้องกันซึ่งจะนำมาใช้ในการพิจารณาลดทุนนั้นคือเงินสำรองที่ต้อง กันเต็มทั้งจำนวน โดยจะไม่นำการทยอยกันตามวรรคแรกมาใช้บังคับ อนึ่ง หากธนาคารพาณิชย์ได้กันเงินสำรองไว้แล้วมากกว่าจำนวนเงินที่ต้องทยอย กันเงินสำรองในแต่ละงวด ธนาคารพาณิชย์จะต้องคงจำนวนเงินสำรองดังกล่าวไว้ในบัญชีต่อไป จนกว่าจะกันเงินสำรองได้ครบถ้วนแล้ว เว้นแต่เป็นการลดลงของเงินสำรองอันเนื่องจากการปรับปรุง โครงสร้างหนี้ตามข้อ ๑๑ หรืออันเนื่องมาจากการตัดจำหน่ายลูกหนี้ อย่างไรก็ดี ไม่ว่ากรณีใด จำนวนเงินสำรองคงเหลือต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่ให้ทยอยกันตามวรรคแรก ข้อ ๑๔ ลูกหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญรายใดที่ได้กันเงินสำรองครบถ้วนแล้วให้ ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายลูกหนี้รายดังกล่าวออกจากบัญชีทันที ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) กรณีลูกหนี้ที่มีหลักประกัน ให้ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายลูกหนี้ออกจาก บัญชีเท่ากับจำนวนที่ได้กันเงินสำรองไว้แล้ว ยอดหนี้ส่วนที่มีหลักประกันให้คงอยู่ในบัญชีลูกหนี้ต่อไป (๒) กรณีลูกหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ให้ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายลูกหนี้ออกจาก บัญชีเต็มจำนวนหนี้ที่คงค้าง ข้อ ๑๕ ในระหว่างเวลาที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือ เรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี หรือยังกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือ เรียกคืนไม่ได้ครบจำนวน ธนาคารพาณิชย์จะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดแก่ผู้ถือหุ้นมิได้ ข้อ ๑๖ ให้ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ยังมีผลใช้บังคับเฉพาะสำหรับธนาคารพาณิชย์ที่งวดการบัญชีในรอบระยะเวลา หกเดือนแรกของปี ๒๕๔๒ สิ้นสุดลงภายหลังวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๒ จนกว่าจะสิ้นสุดงวด การบัญชีดังกล่าว ข้อ ๑๗ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำรายงานการสอบทานเงินให้สินเชื่อและภาระ ผูกพันส่งไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบรายงานที่รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังกำหนด ข้อ ๑๘ ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๓ เป็นต้นไป อนึ่ง ในงวดการบัญชีรอบระยะเวลา ๖ เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๒ หากปรากฏว่าธนาคาร พาณิชย์ได้ปฏิบัติตามข้อ ๔ (๓) ของประกาศนี้ ให้ถือว่าได้ปฏิบัติตามข้อ ๔ (๒) ของประกาศ ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่า จะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๒ แล้ว ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๓/พ๒๖ง/๙/๒๒ มีนาคม ๒๕๔๓]
311970
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝากเงิน ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ "บัญชีเงินฝาก" หมายความว่า การับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อ สิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ ไม่ว่าจะกระทำโดยวิธีการอื่นใดที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาต ในปัจจุบัน หรืออาจได้รับอนุญาตในอนาคต "ผู้ฝากเงิน" หมายความรวมถึงผู้ที่ได้รับมอบหมาย หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจ ในการเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์แทน หรือในนามของผู้อื่น ข้อ ๒ ในการเปิดบัญชีเงินฝาก ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้ผู้ฝากเงินแสดงตนโดย แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับตนเองอย่างละเอียด ในแบบรายการคำขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ กำหนดขึ้นพร้อมลงลายมือชื่อ แบบรายการคำของเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดขั้นตามวรรคหนึ่ง จะต้องมีรายการละเอียดของผู้ฝากเงินอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ (๑) ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ปัจจุบัน อาชีพ สถานที่ทำงาน สถานที่ที่สะดวกในการ ติดต่อ (๒) ในกรณีเป็นนิติบุคคลให้แสดงรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับประเภทธุรกิจหรือ วัตถุประสงค์ของผู้ฝากเงินที่เป็นธุรกิจในทางการค้าปกติ ข้อ ๓ ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้ผู้ฝากเงินที่ของเปิดบัญชีเงินฝากในข้อ ๒ แสดงเอกสารหลักฐานประกอบการของเปิดบัญชีเงินฝาก ดังต่อไปนี้ และต้องเรียกสำเนาเอกสาร หลักฐานดังกล่าวจากผู้ฝากเงิน โดยให้ผู้ฝากเงินลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสาร หลักฐานดังกล่าวไว้ด้วย (๑) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นบุคคลธรรมดา ต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวข้าราชการ หรือบัตรประจำตัวพนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานองค์การของ รัฐ หรือบัตรแสดงตนอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของทางราชการหรือที่เกี่ยวข้องกับทางราชการ หรือ โดยองค์การระหว่างประเทศ หรือเอกสารแสดงตนอื่นและสำเนาทะเบียนบ้านหรือหลักฐาน แสดงที่อยู่อาศัยอื่น (๒) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นนิติบุคคล ต้องแสดงหนังสือบริคณห์สนธิข้อบังคับ บริษัท หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ทะเบียนการค้า ที่จดทะเบียนไว้กับกรมสรรพากร บัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของ กรมสรรพากร รายงานการประชุมกรรมการบริษัทที่แสดงความประสงค์ขอเปิดบัญชีรวมทั้ง กำหนดอำนาจและเงื่อนไขในการสั่งจ่ายโดยผู้มีอำนาจลงนามรับรองพร้อมทั้งประทับตราบริษัท สำเนาบัตรประจำตัวของผู้มีอำนาจลงนามพร้อมลงนามรับรองสำเนา สำเนาทะเบียนบ้านของ กรรมการผู้มีอำนาจลงนามพร้อมลงนามรับรองสำเนา (๓) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นส่วนราชการ องค์กรของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานอื่นของรัฐ ต้องแสดงหนังสือแสดงความจำนงขอเปิดบัญชี อำนาจและเงื่อนไขในการ สั่งจ่าย สำเนาบัตรประจำตัวของผู้มีอำนาจลงนามสั่งจ่าย พร้อมลงนามรับรองสำเนาจากหัวหน้า ส่วนราชการ องค์กร หรือหน่วยงานนั้น (๔) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นสหกรณ์ มูลนิธิ สมาคม สโมสร วัน มัสยิด และ ศาลเจ้า ต้องแสดงหนังสือจดทะเบียนของกระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง หนังสือ แต่งตั้งหรือมอบอำนาจ รายงานการประชุมกรรมการหรือหนังสือแสดงความประสงค์ขอเปิดบัญชี รวมทั้งกำหนดอำนาจและเงื่อนไขในการสั่งจ่ายโดยผู้มีอำนาจลงนามรับรองพร้อมประทับตรา หนังสือยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก และอื่น ๆ รวมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนา ทะเบียนบ้านของกรรมการ หรือผู้มีอำนาจลงนาม พร้อมลงนามรับรองสำเนา สำหรับผู้ฝากเงินที่ไม่ใช้บุคคลผู้มีสัญชาติไทย ให้แสดงเอกสารหลักฐานแสดงตน เองและที่อยู่ ที่หน่วยงานราชการออกให้ตามที่กำหนดในกฎหมายที่เกี่ยวกับการเข้าเมือง ข้อ ๔ ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารหลักฐานในข้อ ๓ ตามปกติวิสัยที่พึงปฏิบัติ โดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่อและต้องจัดเก็บสำเนา เอกสารหลักฐานที่ผู้ฝากเงินได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสารหลักฐานตามข้อ ๓ และเก็บรักษาไว้ในห้องมั่งคงของธนาคารพาณิชย์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปีนับแต่วันที่ลูกค้า ปิดบัญชีเงินฝากเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบ หรือใช้ประกอบในการสอบสวนหรือดำเนินคดี ข้อ ๕ ธนาคารพาณิชย์จะให้ผู้ฝากเงินเปิดบัญชีเงินฝากโดยปกปิดชื่อจริงของ ผู้ฝากเงินใช้ชื่อแฝงหรือใช้ชื่อปลอมมิได้ ข้อ ๖ สำหรับผู้ฝากเงินที่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันท ี่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการให้เป็นไปตามที่กำหนดในประกาศ ฉบับนี้ภายใน ๖ เดือน นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา ประกาศ ณ วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย
323092
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์และการขายชอร์ต
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และการขายชอร์ต ----------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทยที่ ธปท.ง. (ว) ๒๑๑๕/๒๕๔๒ เรื่อง หลักเกณฑ์ในการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการ การยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ เฉพาะกรณีเป็นตัวแทนหรือนายหน้า ลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๒ ข้อ ๒ ให้ธุรกิจดังต่อไปนี้เป็นธุรกิจที่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบได้ (๑) ธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์กรณีเป็น ตัวแทนหรือนายหน้า (๒) ธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์เฉพาะตราสาร แห่งหนี้ ในฐานะเป็นคู่สัญญากับผู้ยืมหรือผู้ให้ยืม (๓) การให้ยืมหลักทรัพย์ เฉพาะตราสารแห่งหนี้ โดยเป็นคู่สัญญากับผู้ที่ได้รับ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ตามกฎหมาย ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (๔) การขายหลักทรัพย์ที่ต้องยืมหลักทรัพย์มาเพื่อการส่งมอบ (การขายชอร์ต) เฉพาะตราสารแห่งหนี้ ข้อ ๓ ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจตามข้อ ๒ ต้องเป็นธนาคาร พาณิชย์ที่มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์และภาระผูกพันที่ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยกำหนด ณ วันที่เริ่มประกอบธุรกิจ ข้อ ๔ ในการประกอบธุรกิจตามข้อ ๒ (๒) และ (๓) ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติ ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ ๔.๑ ธนาคารพาณิชย์จะทำการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ได้เฉพาะกับคู่ สัญญาที่เป็นสถาบันเท่านั้น ซึ่งได้แก่ (๑) ธนาคารแห่งประเทศไทย (๒) กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (๓) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (๔) บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๕) ธนาคารพาณิชย์ (๖) บริษัทเงินทุน (๗) บริษัทหลักทรัพย์ (๘) บริษัทประกันชีวิต (๙) สถาบันการเงินต่างประเทศที่กระทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือในฐานะตัวแทนของบุคคลอื่นที่ไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย (๑๐) กองทุนรวม (๑๑) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (๑๒) กองทุนส่วนบุคคล (๑๓) กองทุนบำเหน็จบำนาญ (๑๔) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะและได้รับใบ อนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (๑๕) นิติบุคคลอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบ ๔. ๒ จำนวนเงินหรือมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ธนาคารพาณิชย์ให้ยืมกับ คู่สัญญารายใดรายหนึ่งเมื่อรวมกับจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ หรือลงทุนในกิจการ ของ หรือก่อภาระผูกพันกับคู่สัญญารายนั้นต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของ ธนาคารพาณิชย์ ในการคำนวณจำนวนเงินหรือมูลค่าของหลักทรัพย์รวมกับจำนวนเงินที่ธนาคาร พาณิชย์ให้สินเชื่อ หรือลงทุน หรือก่อภาระผูกพันข้างต้น ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของธนาคาร แห่งประเทศไทยในเรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเงินกองทุนโดยอนุโลม และนอกเหนือจาก ข้อปฏิบัติตามข้อกำหนดข้างต้นแล้ว ในกรณีการให้ยืมหลักทรัพย์โดยมีเงินสดวางเป็นหลักประกัน ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนับรวมมูลค่าหลักทรัพย์ที่ให้ยืมในส่วนที่มีเงินสดวางเป็นประกันในการ คำนวณจำนวนเงินดังกล่าว ข้อ ๕ ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในเรื่องเกี่ยวกับวิธีการทำ ธุรกรรม ระบบควบคุมภายใน การจัดทำแบบรายงาน รวมทั้งข้อปฏิบัติหรือเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๖ ให้ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจตามข้อ ๒ แจ้งวันที่จะ เริ่มเปิดดำเนินธุรกิจ และส่งแผนงานรองรับการประกอบธุรกิจต่อธนาคารแห่งประเทศไทย อย่างน้อย ๓๐ วัน ก่อนเริ่มเปิดดำเนินการ ทั้งนี้ แผนงานดังกล่าวต้องได้รับอนุมัติจาก คณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์และต้องมีสาระสำคัญอย่างน้อยดังต่อไปนี้ (๑) นโยบายและระเบียบปฏิบัติในการประกอบธุรกิจ (๒) นโยบายการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ และการกำหนดวงเงินของคู่สัญญา (๓) ระเบียบ และวิธีการบริหารความเสี่ยงและระบบควบคุมภายใน ทั้งนี้ หากธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้มีข้อทักท้วงภายใน ๓๐วัน นับจากวันที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับแผนงานดังกล่าว ให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการประกอบธุรกิจ ดังกล่าวได้ ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๓/พ๙๒ง/๑๑/๑๑ กันยายน ๒๕๔๓]
311926
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝากเงิน ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ "บัญชีเงินฝาก" หมายความว่า การรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อ สิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ ไม่ว่าจะกระทำโดยวิธีการอื่นใดที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตใน ปัจจุบันหรืออาจได้รับอนุญาตในอนาคต "ผู้ฝากเงิน" หมายความรวมถึงผู้ที่ได้รับมอบหมาย หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจใน การเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์แทน หรือในนามของผู้อื่น ข้อ ๒ ในการเปิดบัญชีเงินฝาก ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้ผู้ฝากเงินแสดงตนโดย แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับตนเองอย่างละเอียด ในแบบรายการคำขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ กำหนดขึ้นพร้อมลงลายมือชื่อ แบบรายการคำขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดขึ้นตามวรรคหนึ่ง จะต้องมีรายการละเอียดของผู้ฝากเงินอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ (๑) ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ปัจจุบัน อาชีพ สถานที่ทำงาน สถานที่ที่สะดวกในการติดต่อ (๒) ในกรณีเป็นนิติบุคคลให้แสดงรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับประเภทธุรกิจหรือ วัตถุประสงค์ของผู้ฝากเงินที่เป็นธุรกิจในทางการค้าปกติ ข้อ ๓ ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้ผู้ฝากเงินที่ขอเปิดบัญชีเงินฝากในข้อ ๒ แสดง เอกสารหลักฐานประกอบการขอเปิดบัญชีเงินฝาก ดังต่อไปนี้ และต้องเรียกสำเนาเอกสารหลัก ฐานดังกล่าวจากผู้ฝากเงิน โดยให้ผู้ฝากเงินลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสาร หลักฐานดังกล่าวไว้ด้วย (๑) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นบุคคลธรรมดา ต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวข้าราชการ หรือบัตรประจำตัวพนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานองค์การของ รัฐ หรือบัตรแสดงตนอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของทางราชการหรือที่เกี่ยวข้องกับทางราชการ หรือ โดยองค์การระหว่างประเทศ หรือเอกสารแสดงตนอื่นและสำเนาทะเบียนบ้าน หรือหลักฐานแสดง ที่อยู่อาศัยอื่น (๒) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นนิติบุคคล ต้องแสดงหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อบังคับ บริษัท หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ทะเบียนการ ค้าที่จดทะเบียนไว้กับกรมสรรพากร บัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของ กรมสรรพากร รายงานการประชุมกรรมการบริษัทที่แสดงความประสงค์ขอเปิดบัญชี รวมทั้ง กำหนดอำนาจและเงื่อนไขในการสั่งจ่ายโดยผู้มีอำนาจลงนามรับรองพร้อมทั้งประทับตราบริษัท สำเนาบัตรประจำตัวของผู้มีอำนาจลงนามพร้อมลงนามรับรองสำเนา สำเนาทะเบียนบ้านของ กรรมการผู้มีอำนาจลงนามพร้อมลงนามรับรองสำเนา (๓) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นส่วนราชการ องค์กรของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจหรือ หน่วยงานอื่นของรัฐ ต้องแสดงหนังสือแสดงความจำนงขอเปิดบัญชี อำนาจและเงื่อนไขในการสั่ง จ่าย สำเนาบัตรประจำตัวของผู้มีอำนาจลงนามสั่งจ่าย พร้อมลงนามรับรองสำเนาจากหัวหน้าส่วน ราชการองค์กร หรือหน่วยงานนั้น (๔) สำหรับผู้ฝากเงินที่เป็นสหกรณ์ มูลนิธิ สมาคม สโมสร วัด มัสยิด และศาล เจ้าต้องแสดงหนังสือจดทะเบียนของกระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง หนังสือแต่ง ตั้งหรือมอบอำนาจ รายงานการประชุมกรรมการหรือหนังสือแสดงความประสงค์ขอเปิดบัญชีรวม ทั้งกำหนดอำนาจและเงื่อนไขในการสั่งจ่ายโดยผู้มีอำนาจลงนามรับรองพร้อมประทับตราหนังสือ ยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก และอื่นๆ รวมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียน บ้านของกรรมการ หรือผู้มีอำนาจลงนาม พร้อมลงนามรับรองสำเนา สำหรับผู้ฝากเงินที่ไม่ใช่บุคคลผู้มีสัญชาติไทย ให้แสดงเอกสารหลักฐานแสดงตน เองและที่อยู่ ที่หน่วยงานราชการออกให้ตามที่กำหนดในกฎหมายที่เกี่ยวกับการเข้าเมือง ข้อ ๔ ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารหลักฐานในข้อ ๓ ตามปกติวิสัยที่พึงปฏิบัติ โดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่อและต้องจัดเก็บสำเนา เอกสารหลักฐานที่ผู้ฝากเงินได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสารหลักฐานตามข้อ ๓ และเก็บรักษาไว้ในห้องมั่นคงของธนาคารพาณิชย์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปีนับแต่วันที่ลูกค้าปิด บัญชีเงินฝากเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตรวจ สอบ หรือใช้ประกอบในการสอบสวนหรือดำเนินคดี ข้อ ๕ ธนาคารพาณิชย์จะให้ผู้ฝากเงินเปิดบัญชีเงินฝากโดยปกปิดชื่อจริงของ ผู้ฝากเงินใช้ชื่อแฝงหรือใช้ชื่อปลอมมิได้ ข้อ ๖ สำหรับผู้ฝากเงินที่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่ ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการให้เป็นไปตามที่กำหนดในประกาศ ฉบับนี้ภายใน ๖ เดือน นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา ประกาศ ณ วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๓/พ.๓๕ง/๑๘/๑๒ เมษายน ๒๕๔๓]
311866
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง วันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ประจำปี พ.ศ. 2544
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง วันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ----------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศกำหนดวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์ประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ไว้ดังนี้ ๑. วันจันทร์ ๑ มกราคม วันขึ้นปีใหม่ ๒. วันอังคาร ๒ มกราคม ชดเชยวันเริ่มเทศกาลปีใหม่ ๓. วันพฤหัสบดี ๘ กุมภาพันธ์ วันมาฆบูชา ๔. วันศุกร์ ๖ เมษายน วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช และวันที่ระลึก มหาจักรีบรมราชวงศ์ ๕. วันศุกร์ ๑๓ เมษายน วันสงกรานต์ ๖. วันจันทร์ ๑๖ เมษายน ชดเชยวันสงกรานต์ ๗. วันอังคาร ๑ พฤษภาคม วันแรงงานแห่งชาติ ๘. วันจันทร์ ๗ พฤษภาคม วันวิสาขบูชา ๙. วันอังคาร ๘ พฤษภาคม ชดเชยวันฉัตรมงคล ๑๐. วันศุกร์ ๖ กรกฎาคม วันเข้าพรรษา ๑๑. วันจันทร์ ๑๓ สิงหาคม ชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ๑๒. วันอังคาร ๒๓ ตุลาคม วันปิยมหราช ๑๓. วันพุธ ๕ ธันวาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๑๔. วันจันทร์ ๑๐ ธันวาคม วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ ๑๕. วันจันทร์ ๓๑ ธันวาคม วันสิ้นปี สำหรับธนาคารพาณิชย์ในจังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และ จังหวัดสตูล ให้หยุดในวันตรุษอีดิ้ลฟิตริ (วันรายอปอซอ) ตามประกาศสำนักจุฬาราชมนตรี อีกวันหนึ่ง หากวันตรุษดังกล่าวไม่ตรงกับวันหยุดตามที่กล่าวข้างต้นหรือวันหยุดประจำสัปดาห์ ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๓/พ.๕๘ง/๑๒/๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๓]
323047
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ของธนาคารพาณิชย์ --------------- เพื่อให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการ วิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ อาศัยอำนาจตามความใน มาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ต้องแยกกิจการวิเทศธนกิจออกจากกิจการธนาคารพาณิชย์อื่นเสมือนหนึ่งเป็นคนละนิติบุคคล เช่น การแยกทรัพย์สิน เอกสาร หลักฐาน และบัญชี เป็นต้น ข้อ ๓ ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ต้องแยกกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ และกิจการวิเทศธนกิจเพื่อ การให้กู้ยืมในประเทศออกจากกัน ข้อ ๔ ห้ามมิให้กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศของ ธนาคารพาณิชย์ใด ๆ โอนเงินของกิจการให้แก่กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศ ที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์เดียวกันนั้น หรือให้กู้ยืม หรือฝากเงินกับกิจการวิเทศธนกิจ เพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์อื่น ข้อ ๕ ห้ามมิให้กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศของธนาคาร พาณิชย์ใด ๆ ชำระหนี้ตามภาระผูกพันอันเกิดจากการอาวัล รับรอง หรือค้ำประกันหนี้ใด ๆ แทนกิจการวิเทศธนกิจ เพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์เดียวกัน หรือของธนาคารพาณิชย์อื่น ข้อ ๖ ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ (๑) เงินรับฝากและเงินกู้ยืมต้องมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ (๒) การชำระคืนเงินรับฝาก เงินกู้ยืม และดอกเบี้ยของกิจการวิเทศธนกิจ ต้องกระทำในต่างประเทศ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ การเบิกถอน เงินให้กู้ยืม การชำระคืนเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ย ต้องกระทำในต่างประเทศ และหากการชำระ คืนเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยดังกล่าวกระทำโดยบุคคลอื่นใดที่ไม่ใช่ผู้กู้บุคคลนั้นต้องมีถิ่นที่อยู่ นอกประเทศด้วย ความใน (๑) และ (๒) ไม่ใช้บังคับกรณีที่เป็นกระทรวงการคลัง ธนาคาร แห่งประเทศไทย ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือกิจการวิเทศธนกิจอื่น (๓) การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมใน ประเทศของผู้กู้แต่ละรายต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนโดยสถาบันการเงิน หรือเป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเทียบเท่า หรือเป็นกรณีการให้กู้ยืมอันเนื่องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ ชองธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ในการให้กู้ยืมดังกล่าวจะต้องเป็นผลมาจากสัญญากู้ยืมเดิม การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศ ของผู้กู้แต่ละรายที่เป็นผู้ส่งออกที่มีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้น ในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นลูกค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้ บริการแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบ ระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือ เทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า (๔) การทำธุรกรรมต่าง ๆ ระหว่างกิจการวิเทศธนกิจกับลูกค้า กิจการ วิเทศธนกิจต้องดำเนินการให้ลูกค้าให้ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลที่แท้จริง และในการจัดทำเอกสาร หรือหลักฐานใด ๆ ที่เกี่ยวกับลูกค้า กิจการวิเทศธนกิจต้องจัดทำเอกสารหรือหลักฐาน ดังกล่าวให้ตรงต่อความเป็นจริง (๕) ห้ามรับฝากเงินที่ใช้เช็คในการเบิกถอนเงิน (๖) การรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันการชำระหนี้ให้แก่กิจการ วิเทศธนกิจอื่น ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันให้แก่กิจการ ส่วนใดของกิจการวิเทศธนกิจอื่นนั้น (๗) รายรับจากการประกอบธุรกิจของกิจการวิเทศธนกิจต้องเป็น เงินตราต่างประเทศ เว้นแต่เป็นรายรับจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมเงินบาท ในต่างประเทศหรือรายรับจากธุรกิจตามข้อ ๑๕ ข้อ ๗ ให้กิจการวิเทศธนกิจสามารถรับโอนสินทรัพย์ หนี้สิน หรือกิจการ ต่าง ๆ ที่เกิดจากการประกอบธุรกิจที่มีลักษณะเช่นเดียวกับกิจการวิเทศธนกิจ จากกิจการ ส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น ๆ ได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการ ดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน นับแต่วันเริ่มประกอบกิจการวิเทศธนกิจ เว้นแต่ได้รับ อนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอย่างอื่น และให้กิจการวิเทศธนกิจแจ้งการ รับโอนตามวรรคหนึ่งให้บรรดาลูกหนี้ของธุรกิจที่รับโอนดังกล่าวทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน ก่อนวันรับโอน ข้อ ๘ กิจการวิเทศธนกิจอาจมีสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทไว้ในประเทศไทย ได้ดังต่อไปนี้ (๑) สินทรัพย์เพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา ๑๑ ตรี (๒) สินทรัพย์ที่สำรองไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจในมูลค่า ไม่เกิน ๒๐๐ ล้านบาท ในรูปของสินทรัพย์ดังต่อไปนี้ ๑) สถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้าง รวมทั้ง เครื่องใช้สำนักงานต่าง ๆ โดยหักค่าเสื่อมราคาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ ๒) หลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่รัฐบาลไทยค้ำประกันต้นเงิน และดอกเบี้ยให้คำนวณตามราคาตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า ๓) หุ้นกู้ที่ไม่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นได้ บัตรเงินฝาก หรือตราสาร แห่งหนี้ ซึ่งออกโดยนิติบุคคลหรือสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและเสนอขาย ในประเทศไทย ให้คำนวณตามราคาตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า ๔) เงินสดหรือบัญชีเงินฝากที่เป็นเงินบาทกับสถาบันการเงินในประเทศไทย ๕) เงินทดรองจ่ายแก่พนักงาน ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าเกี่ยวกับการดำเนินงานและ เงินค่ามัดจำ (๓) สินทรัพย์ที่ออกโดยสถาบันการเงินตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตราสาร ที่ออกโดยบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ทางการมีคำสั่งให้ระงับการดำเนิน กิจการชั่วคราว (๔) พันธบัตรรัฐบาลกรณีพิเศษ (๕) เงินลงทุนในหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น ของนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม อันเนื่องมาจาก การปรับโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ข้อ ๙ กิจการวิเทศธนกิจอาจเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินตราต่างประเทศ หรือ เงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทได้ ในกรณีดังต่อไปนี้ (๑) เปลี่ยนเงินบาท ซึ่งเป็นผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี เพื่อส่ง ผลกำไรนั้นกลับไปยังกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่าง ประเทศที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจ ทั้งนี้ กิจการส่วนอื่นนั้นต้องอยู่ในต่างประเทศด้วย (๒) เปลี่ยนเงินบาทที่เกิดจากการจำหน่ายสินทรัพย์ตามข้อ ๘ หรือที่เกิด จากการจำหน่ายสินทรัพย์ที่ได้มากจากการชำระหนี้ เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตาม ข้อ ๑๑ (๓) เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนิน ธุรกิจตามข้อ ๘ หรือเพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา ๑๑ ตรี และเปลี่ยนเงินบาท จากการลดยอดของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามมาตรา ๑๑ ตรี เพื่อนำกลับไป ประกอบธุรกรรมตามข้อ ๑๑ รวมทั้งการทำสัญญาประกันความเสี่ยงสำหรับจำนวนเงินที่ดำรง สินทรัพย์สภาพคล่องดังกล่าว (๔) เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อปฏิบัติตามโครงการรับแลกเปลี่ยน ตราสารที่ออกโดยบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ทางการมีคำสั่งให้ระงับการ ดำเนินกิจการชั่วคราว และเปลี่ยนเงินบาทเพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ ๑๑ การเปลี่ยนเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้กับ ธนาคารรับอนุญาตตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินในส่วนที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ ข้อ ๑๐ สินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้ กู้ยืมในต่างประเทศ หรือกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศถือว่าเป็นสินทรัพย์ของ กิจการวิเทศธนกิจนั้น ๆ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ในกรณีที่สินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้เป็น เงินบาท สินทรัพย์นั้นไม่ให้นับรวมเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ที่เป็นเงินบาทที่กิจการวิเทศธนกิจ พึงมีได้ตามข้อ ๘ สินทรัพย์ตามวรรคหนึ่งที่เป็นเงินบาท ต้องเปลี่ยนเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมทุกประเภทตามที่กิจการวิเทศธนกิจส่วนนั้นจะพึงกระทำได้ ตามข้อ ๑๑ ข้อ ๑๑ ผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี หรือเงินตราต่างประเทศ ซึ่งได้มาจากการเปลี่ยนเงินบาทตามข้อ ๙ ให้ถือว่ามีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งกิจการ วิเทศธนกิจสามารถนำกลับไปประกอบธุรกรรมทุกประเภทตามที่กิจการวิเทศธนกิจจะพึง กระทำได้ตามประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคาร พาณิชย์ และตามประกาศฉบับนี้แต่ไม่รวมถึงการให้กู้ยืมเงินบาทของกิจการวิเทศธนกิจ เพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ ข้อ ๑๒ การโอนผลกำไรหรือผลขาดทุนหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี ไปให้ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น กิจการวิเทศธนกิจต้องแจ้งการ โอนดังกล่าวให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่โอน ข้อ ๑๓ กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ อาจเปิดบัญชี เงินฝากแบบไม่มีดอกเบี้ยไว้กับกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์เจ้าของกิจการวิเทศธนกิจ นั้นซึ่งอยู่ในประเทศไทยเพื่อใช้ในการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจได้ แทน การเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารในต่างประเทศ (Nostro Account) โดยตรง ทั้งนี้ ณ สิ้นวัน บัญชีเงินฝากดังกล่าวจะต้องไม่มียอดคงค้างใด ๆ ข้อ ๑๔ ให้กิจการวิเทศธนกิจสามารถลงทุนในหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น ของนิติบุคคลที่จดทะเบียนในต่างประเทศ ทั้งโดยทางตรง และทางอ้อม อันเนื่องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่ง ประเทศไทยได้ ข้อ ๑๕ นอกจากการประกอบธุรกิจตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวง การคลัง ว่าด้วยการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์แล้ว กิจการวิเทศธนกิจ อาจประกอบธุรกิจอื่นที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากกิจการวิเทศธนกิจ ดังต่อไปนี้ได้ด้วย (๑) การให้บริการข่าวสาร ข้อมูลทางการเงินและเศรษฐกิจทั่วไป (๒) การให้บริการจัดทำหรือวิเคราะห์โครงการเพื่อการลงทุน (๓) การเป็นที่ปรึกษาในการซื้อกิจการ รวมกิจการ หรือควบกิจการ (๔) การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (๕) การจัดการออก (Arranging) หรือการจัดจำหน่าย (Underwriting) ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่ออกจำหน่ายในต่างประเทศ แต่ใน กรณีที่ผู้ออกตราสารอยู่ในประเทศ กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจัดตั้งขึ้น ตามกฎหมายต่างประเทศ ต้องประกอบธุรกิจนี้ร่วมกับกิจการวิเทศธนกิจของธนาคาร พาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย (๖) การรับซื้อหรือโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินตราต่างประเทศภายใต้ ข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ๑) กิจการวิเทศธนกิจสามารถรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืมที่เป็น เงินตราต่างประเทศจากสถาบันการเงินในประเทศ สถาบันการเงินที่จดทะเบียนในต่าง ประเทศ หรือบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน โดยการเบิกถอนเงินให้กู้ยืมที่เป็น เงินให้กู้ยืมในประเทศที่รับซื้อหรือรับโอนของผู้กู้แต่ละราย ต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนโดยสถาบัน การเงิน หรือเป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีมียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินให้กู้ยืมในประเทศที่รับซื้อหรือรับโอน ของผู้กู้แต่ละรายที่เป็นผู้ส่งออกที่มีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้น ในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นลูกค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้ บริหารแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบ ระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือ เทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า ๒) การรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืม ต้องเป็นการรับซื้อโดยเด็ดขาด ตามสภาพของลูกหนี้ที่เป็นอยู่ทั้งการจัดชั้นและระยะเวลาที่ค้างชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้น ๓) ในการรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืม กิจการวิเทศธนกิจต้องถือ ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืมโดยเคร่งครัด (๗) การค้ำประกันการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ไทยหรือจากต่างประเทศ ที่เป็นเงินตราต่างประเทศแก่ลูกค้างในประเทศ ต้องมีวงเงินขั้นต่ำในการค้ำประกันไม่น้อยกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่ลูกค้าในประเทศที่เป็นผู้ส่งออกที่มี รายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็น ลูกค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้บริการแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้จากการส่งออก เกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีวงเงินขั้นต่ำในการ ค้ำประกันไม่น้อยกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า (๘) การรับซื้อลดตราสารที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกที่เป็นเงินตราต่างประเทศ เฉพาะกรณีที่ผู้ขายสินค้าเป็นผู้ส่งออกที่มีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียนในประเทศไทยตาม ข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ๑) รับซื้อลดตั๋วแลกเงินที่เกี่ยวกับการส่งออกทั้งกรณีมีเลตเตอร์ออฟเครดิต (Export Bill under L/C) และไม่มีเลตเตอร์ออฟเครดิต (Export) Bill under D/A or D/P) ๒) รับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการส่งสินค้าออก และได้ออกตาม เอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ๒.๑) เลตเตอร์ออกฟเครดิตที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ๒.๒) สัญญาซื้อขายหรือคำสั่งซื้อสินค้า ๒.๓) ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า หรือใบรับจำนำสินค้าของ ธนาคารพาณิชย์อันเป็นหลักฐานแสดงว่าผู้ส่งออกมีสินค้าพร้อมจะส่งออกเก็บรักษาไว้ ในคลังสินค้าหรือสถานที่เก็บสินค้าที่ธนาคารพาณิชย์ให้ความเชื่อถือ ๒.๔) ตั๋วแลกเงินอันเกิดจากการที่ผู้ส่งออกได้ส่งสินค้าออกแล้ว (๙) การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตที่เป็นเงินตราต่างประเทศเฉพาะกรณีที่ ผู้ซื้อสินค้าตามข้อตกลงแห่งเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นมีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียนในประเทศไทย และต้องมีวงเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่ ผู้ซื้อสินค้าดังกล่าวเป็นผู้นำเข้าสินค้าเพื่อผลิตสำหรับการส่งออกโดยมีรายได้จากการส่งออก เกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นผู้นำเข้าสินค้าที่มีรายได้ เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้ส่งออก ซึ่งมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่า ครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนต้องมีวงเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า (๑๐) การให้กู้ยืมโดยทำสัญญาทรัสต์รีซีท (Trust Receipt) ที่เป็นเงินตรา ต่างประเทศแก่ผู้ซื้อสินค้าที่มีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียนในประเทศไทย ทั้งที่มีหรือไม่มี เลตเตอร์ออฟเครดิตประกอบ และต้องมีวงเงินการให้กู้ยืมขั้นต่ำไม่น้อยกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่ผู้ซื้อสินค้าดังกล่าวเป็นผู้นำเข้าสินค้าเพื่อผลิต สำหรับการส่งออก โดยมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบ ระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นผู้นำเข้าสินค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายสินค้าหรือ บริการแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบ ระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีวงเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือ เทียบเท่า (๑๑) การให้เช่าซื้อหรือการให้เช่าแบบลีสซิ่ง ภายใต้ข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ๑) ในข้อกำหนดนี้ "ผู้เช่า" หมายความว่า ผู้เช่าซื้อหรือผู้เช่าแบบลีสซิ่ง "เงินรายงวด" หมายความว่า เงินที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระแก่กิจการวิเทศธนกิจ ในแต่ละงวด ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นดอกผลเช่าซื้อและราคาเงินสดประจำงวดตามเงื่อนไข ในสัญญาเช่าซื้อ "ค่าเช่า" หมายความว่า ค่าเช่าตามสัญญาแบบลีสซิ่ง "การปรับโครงสร้างหนี้" หมายความว่า การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เป็นไป ตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย "เช่าซื้อ" หมายความว่า เช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ "การให้เช่าแบบลีสซิ่ง" หมายความว่า การให้เช่าทรัพย์สิน เพื่อให้ ผู้เช่าได้ใช้ประโยชน์ในกิจการอุตสาหกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการบริการ อย่างอื่นเป็นทางค้าปกติ โดยผู้เช่ามีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่า ทั้งนี้ ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ผู้เช่ามีสิทธิที่จะซื้อ หรือเช่าทรัพย์สินนั้นต่อไปในราคาหรือค่าเช่าที่ได้ตกลงกัน ๒) ให้กิจการวิเทศธนกิจให้เช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง ซึ่งทรัพย์สิน ที่ได้รับโอนมาเพื่อชำระหนี้จากลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาการปรับโครงสร้างหนี้ ๓) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าแบบลีสซิ่ง เมื่อผู้เช่าผิดนัด ไม่ชำระเงินรายงวดที่ค่าเช่าสองงวดติด ๆ กัน หรือเมื่อผู้เช่ากระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็น ส่วนสำคัญกิจการวิเทศธนกิจต้องแจ้งการบอกเลิกสัญญาพร้อมด้วยเหตุผลเป็นหนังสือให้ ผู้เช่าทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓๐ วันนับแต่วันที่ผู้เช่าได้รับหนังสือดังกล่าว ในหนังสือ บอกเลิกสัญญานั้นให้ระบุด้วยว่าหากผู้เช่าชำระค่าเช่างวดที่ค้างชำระหรือแก้ไขการผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสำคัญดังกล่าวแล้วแต่กรณีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิก สัญญา การบอกเลิกสัญญานั้นเป็นอันระงับไป ในกรณีที่ผิดนัดไม่ชำระเงินรายงวดหรือค่าเช่าสองงวดติดต่อกันหรือ กระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ หากผู้เช่าชำระค่าเช่างวดที่ค้างชำระเงินรายงวดที่ ค้างชำระหรือแก้ไขการผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับ หนังสือบอกเลิกสัญญา ให้การบอกเลิกสัญญานั้นเป็นอันระงับไป ๔) เมื่อสิ้นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๔ กิจการวิเทศธนกิจจะประกอบธุรกิจ การให้เช่าซื้อ หรือการให้เช่าแบบลีสซิ่งเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ กิจการวิเทศธนกิจต้องแยกบัญชีในการประกอบธุรกิจตามข้อ ๑๕ นี้ต่างหาก จากบัญชีอื่น ๆ ของกิจการวิเทศธนกิจอย่างชัดเจน ข้อ ๑๖ สถานที่ทำการของกิจการวิเทศธนกิจต้องมีเพียงแห่งเดียว และต้อง อยู่ในสถานที่เดียวกับที่ทำการของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น ข้อ ๑๗ กิจการวิเทศธนกิจต้องนำส่งค่าธรรมเนียมรายปี ปีละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท การชำระค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่ง ให้ชำระที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใน ๗ วันทำการแรกของทุกปี เว้นแต่ปีแรกให้ชำระเมื่อรับใบอนุญาต ข้อ ๑๘ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๓/พ.๕๕ง/๕๐/๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๓]
311865
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง พ.ศ. 2543
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง พ.ศ. ๒๕๔๓ ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๑ จัตวา และ มาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนด ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์นอกจากกิจการวิเทศธนกิจและกิจการวิเทศธนกิจ สาขาต่างจังหวัดต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของ (๑) ยอดรวมเงินฝากทุกประเภท (๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ครบกำหนดใน ๑ ปี นับแต่วันกู้ และยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ใน ๑ ปีนับแต่ วันกู้เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ ยอดมรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับรวมยอดเงิน ซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชี ระหว่างกันด้วย ข้อ ๓ สินทรัพย์สภาพคล้องที่ต้องดำรงตามข้อ ๒ ดังกล่าวต้องประกอบด้วย (๑) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑ (๒) เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ แต่ให้ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ไม่เกิน ร้อยละ ๒.๕ (๓) หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกพัน ดังต่อไปนี้ ก. หลักทรัพย์รัฐบาลไทย ข. พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ค. หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงิน และดอกเบี้ย ง. พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จ. หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนาระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ฉ. หุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจซึ่งธนาคาร แห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบ หรือที่ออกโดยบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ช. หลักทรัพย์ที่บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยออกใหม่สืบเนื่องจาก โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ตามพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจ เพื่อการ แปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซ. ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลก เปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ข้อ ๔ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจ และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัด ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของ (๑) ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศซึ่งอาจถอนได้ใน ๑ ปี นับแต่วันฝาก เว้นแต่เป็นเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไข ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ครบกำหนดใน ๑ ปี นับแต่วันกู้และ ยอมรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ภายใน ๑ ปี นับแต่ วันกู้ เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับเฉพาะยอดรวม เงินฝากหรือยอดรวมเงินกู้ยืมของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศและกิจการ วิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมเป็นเงินบาทในต่างจังหวัดเท่านั้น และให้นับรวมยอดเงิน ซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชี ระหว่างกันด้วย สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตาม (๑) และ (๒) ให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๓ (๓) ยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากทุกประเภท ยกเว้นยอดรวมเงินฝากของ กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ และยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่ นอกประเทศที่กล่าวใน (๑) แห่งข้อนี้ โดยกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและ กิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดจะถือเอาสินทรัพย์ใด ๆ เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ สภาพคล่องที่ต้องดำรงก็ได้ ส่วนกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยให้ถือปฏิบัติ ตามข้อ ๓ ข้อ ๕ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามประกาศนี้ให้คิดจากส่วนเฉลี่ย รายปักษ์ของทุกสิ้นวัน และส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของยอดรวมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมของธนาคาร พาณิชย์แล้วแต่กรณี ทุกสิ้นวันในปักษ์ก่อน ทั้งนี้ ให้ถือเอาวันที่ ๘ ถึงวันที่ ๒๒ ของเดือน เป็นปักษ์หนึ่ง และวันที่ ๒๓ ถึงวันที่ ๗ ของเดือนถัดไปเป็นอีกปักษ์หนึ่ง และให้นับวันหยุด ทำการรวมคำนวณเข้าด้วยกัน ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจดำรงเงินฝากที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยไว้เกินจำนวนเกณฑ์ขั้นต่ำในปักษ์หนึ่ง ให้สามารถนำส่วนที่เกินไปรวมใน ปักษ์ต่อไปได้ ๑ ปักษ์ แต่ทั้งนี้ ส่วนที่นำไปรวมนั้นจะต้องไม่เกินร้อยละ ๕ ของจำนวนเกณฑ์ ขั้นต่ำที่ต้องดำรงในปักษ์ที่เกิน ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจดำรงเงินฝากที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยไว้ไม่ถึงจำนวนเกณฑ์ขั้นต่ำในปักษ์หนึ่ง ให้สามารถนำเงินฝากที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยในปักษ์ถัดไปมารวมเข้าในปักษ์ที่ขาดอยู่ แต่ทั้งนี้ ส่วนที่นำมารวมนั้นจะ ต้องไม่เกินร้อยละ ๕ ของจำนวนเกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องดำรงในปักษ์ที่ขาดอยู่ และส่วนที่นำมา รวมนั้นจะต้องถูกหักออกจากจำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย สำหรับการคำนวณ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงในปักษ์ถัดไป ข้อ ๖ ประกาศนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๓ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๓/พ.๕๕ง/๔๓/๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๓]
311790
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ---------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยออกตามความใน มาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ลงวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๔๐ และวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ณ วันทำงานวันสุดท้ายของทุกเดือนไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานทุกแห่ง ดังนี้ (๑) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ที่จดทะเบียนในประเทศไทย ให้ทำรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๑ ที่แนบท้าย ประกาศนี้ (๒) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ ให้ทำรายการ ย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๒ ที่แนบท้ายประกาศนี้ (๓) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศ ให้จัดทำรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ว.ธ. ๑.๒ ที่แนบ ท้ายประกาศนี้ ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ณ วันทำงานวันสุดท้ายของเดือนสุดท้ายของไตรมาส คือ คือ เดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย ๑ ฉบับ ภายในวันที่ยี่สิบเอ็ด ของเดือนถัดไป ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่รายงาน ณ วันสิ้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๓ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [ รก.๒๕๔๓/พ.๖๐ง/๒๗/๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๓]
311671
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ------------ อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๕ ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกข้อกำหนดด้วยความเห็น ชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ภายใต้บังคับข้อ ๑๖ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๒ ข้อ ๒ ในประกาศฉบับนี้ (๑) สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หมายถึง สินทรัพย์จัดชั้นสูญ (๒) สินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หมายถึง (ก) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ (ข) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย (ค) สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน (ง) สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (จ) สินทรัพย์จัดชั้นปกติ (๓) เงินสำรอง หมายถึง เงินสำรองที่กันไว้เป็นค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ ค่าเผื่อการลดราคา ค่าเผื่อการด้อยค่า ค่าเผื่อการปรับมูลค่า สำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มี ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นแต่ละ ประเภทตามอัตราและหลักเกณฑ์ที่ระบุในประกาศฉบับนี้ ข้อ ๓ สินทรัพย์จัดชั้นสูญดังต่อไปนี้ให้ตัดออกจากบัญชี (๑) สิทธิเรียกร้องซึ่งได้ปฏิบัติการโดยสมควรเพื่อให้ได้รับชำระหนี้แต่ไม่มีทาง ที่จะได้รับชำระหนี้แล้ว โดยให้พิจารณาตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (ก) ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เป็นคนสาบสูญ หรือมีหลักฐานว่าหายสาบสูญไป และไม่มีทรัพย์สินใด ๆ จะชำระหนี้ได้ (ข) ลูกหนี้เลิกกิจการ และมีหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สิน ทั้งหมดของลูกหนี้อยู่ในลำดับก่อนเป็นจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของลูกหนี้ (ค) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง และในกรณีนั้น ๆ ได้มีคำบังคับหรือคำสั่งของศาลแล้วแต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สิน ใด ๆ จะชำระหนี้ได้ (ง) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระ หนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย และในกรณีนั้น ๆได้มีการประนอมหนี้กับ ลูกหนี้ โดยศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้นั้นหรือลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคล ล้มละลายและได้มีการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ครั้งแรกแล้ว (๒) สิทธิเรียกร้องซึ่งตามพฤติการณ์ไม่อาจเรียกให้ชำระหนี้ได้ (๓) สินทรัพย์อื่นซึ่งชำรุด เสียหาย หรือหมดราคา (๔) ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๔ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กัน เงินสำรองในอัตราร้อยละ ๑๐๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๑๒ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญแล้ว (๒) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ หรือซื้อจากการขายทอดตลาด เฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือตีราคาไว้ ไม่เกิน ๑๒ เดือน โดยมูลค่าที่กล่าวให้หักด้วยประมาณการค่าใช้จ่ายในการขายก่อนนำไป เปรียบเทียบกับราคาตามบัญชี ทั้งนี้ ในการประเมินราคาหรือตีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่กล่าว ให้ถือ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนด ยกเว้นเกณฑ์การเลือกใช้การประเมินราคาหรือการตีราคา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักเกณฑ์ ดังกล่าว มิให้นำมาใช้บังคับในเรื่องนี้ และให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้ (ก) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลาด แต่ละแปลงมีราคาตามบัญชีตั้งแต่ ๕ ล้านบาท ขึ้นไป ให้ใช้การประเมินราคา (ข) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลาด แต่ละแปลงมีราคาตามบัญชีต่ำกว่า ๕ ล้านบาท ธนาคารพาณิชย์จะใช้การตีราคา หรือการประเมิน ราคาก็ได้ (ค) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลาด หลายแปลง ที่ไม่สามารถแยกจำหน่ายจากกันได้ หากมีราคาตามบัญชีรวมกันตั้งแต่ ๕ ล้านบาทขึ้น ไป ให้ใช้การประเมินราคาเช่นเดียวกับข้อ (๒) (ก) (๓) สินทรัพย์อื่นเฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่า ยุติธรรม หรือมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืน ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ต้องกำหนดมูลค่ายุติธรรมหรือมูล ค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในมาตรฐานการบัญชี (๔) สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ทั้งจำนวน (๕) ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๖) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นจะเรียกคืนไม่ได้ ทั้งจำนวนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๕ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรอง ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๖ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญาหรือวันที่ธนาคาร พาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อนยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญหรือสงสัย จะสูญแล้ว (๒) ลูกหนี้ที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว (๓) ลูกหนี้ที่หยุดดำเนินกิจการหรือเลิกกิจการ หรือกิจการของลูกหนี้อยู่ระหว่าง ชำระบัญชี (๔) ลูกหนี้ที่ประวิงการชำระหนี้ หรือกระทำการใด ๆ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับ ชำระหนี้ เช่น ออกไปเสียนอกราชอาณาจักร หรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน (๕) ลูกหนี้ที่มีฐานะการเงินไม่มั่นคง หรือความสามารถในการหารายได้ต่ำ อันแสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้อ่อน (๖) ลูกหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์ติดต่อไม่ได้ หรือตามตัวลูกหนี้ไม่พบ หรือลูกหนี้ ไปเสียจากภูมิลำเนาที่ปรากฏตามสัญญาโดยไม่แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์ทราบ (๗) ผู้ค้ำประกันที่เข้าเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งใน (๑) - (๖) ดังกล่าวข้างต้น (๘) ลูกหนี้ที่ไม่ปรากฏธุรกิจแน่ชัด หรือไม่ได้ประกอบธุรกิจจริงจัง หรือนำเงิน ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ (๙) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง (๑๐) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลาย หรือได้ยื่นคำขอรับชำระ หนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย (๑๑) ลูกหนี้ที่ดำเนินธุรกิจขาดทุนเป็นเวลาตั้งแต่สามปีติดต่อกันขึ้นไป หรือลูก หนี้ที่มียอดขาดทุนสะสมจนทำให้สินทรัพย์ต่ำกว่าหนี้สินที่มีอยู่ เว้นแต่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า กิจการของลูกหนี้มีโอกาสทำกำไรพอชดเชยผลขาดทุน (๑๒) ลูกหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์มิได้มีการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ ตามหลักการการให้สินเชื่อที่ดี หรือมีเอกสารประกอบการให้สินเชื่อไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย หรือ มิได้มีการติดตามฐานะการเงิน ตลอดจนคุณภาพลูกหนี้ตามวิธีปฏิบัติปกติ (๑๓) ลูกหนี้ที่ได้ขอผ่อนเวลาการชำระหนี้ไว้ แต่ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนด เวลาที่ตกลงกัน (๑๔) สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกให้ชำระคืนไม่ได้ครบถ้วน (๑๕) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นคาดว่าจะเรียก คืนไม่ได้ครบถ้วนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๖ สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กัน เงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๓ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญาหรือวันที่ธนาคาร พาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อนยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ หรือสงสัยแล้ว (๒) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันไม่เกิน ๓ เดือน แต่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีปัจจัยบางอย่างที่อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของ ลูกหนี้ เช่น ภาวะของภาคอุตสาหกรรมของลูกหนี้เสื่อมถอยลงหรือหลักประกันที่เป็นปัจจัยในการ ชำระหนี้เสื่อมค่าลง (๓) ลูกหนี้ที่ดำเนินธุรกิจขาดทุนเป็นเวลาตั้งแต่สองปีติดต่อกันขึ้นไป หรือลูกหนี้ ที่มียอดขาดทุนสะสมจนทำให้สินทรัพย์หลังหักหนี้สินต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของทุนซึ่งชำระแล้ว เว้นแต่ มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่ากิจการของลูกหนี้มีโอกาสทำกำไรพอชดเชยผลขาดทุน (๔) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นมีปัญหาในการ เรียกให้ชำระคืน หรือไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามปกติตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๗ สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ให้ กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๑ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญาหรือวันที่ธนาคาร พาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อนยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ สงสัย หรือต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว โดยให้ใช้ยอดคงค้างของต้นเงินที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับในการ กันเงินสำรอง (๒) ลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยแต่มีหลักฐานที่แสดงว่ามีปัจจัย บางอย่างที่อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้คืน หรือมีความไม่สมบูรณ์ของ หลักประกัน (๓) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นมีค่าเสื่อมถอยลง หรือลูกหนี้มีฐานะหรือผลการดำเนินงานอ่อนลงตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๘ สินทรัพย์จัดชั้นปกติตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรอง ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑ (๑) ลูกหนี้ที่ไม่ผิดนัดชำระหนี้และไม่มีสัญญาณใด ๆ แสดงว่าจะมีการผิดนัด ชำระหนี้อันจะเป็นเหตุให้ธนาคารพาณิชย์ได้รับความเสียหาย แต่มีความเสี่ยงต่อความเสียหาย ตามปกติ (๒) ลูกหนี้อื่นที่ไม่เข้าข่ายเป็นลูกหนี้จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ สงสัย ต่ำกว่า มาตรฐาน หรือกล่าวถึงเป็นพิเศษ โดยให้ใช้ยอดคงค้างของต้นเงินที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับ ในการกันเงินสำรอง ข้อ ๙ กรณีที่ลูกหนี้รายใดรายหนึ่งมีหนี้หลายประเภท และหนี้แต่ละประเภท จัดเป็นสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ต่างประเภทกัน ธนาคารพาณิชย์ต้อง จัดชั้นหนี้ทุกประเภทของลูกหนี้รายนั้นเป็นสินทรัพย์จัดชั้นในระดับคุณภาพที่ต่ำสุดของลูกหนี้ราย นั้น ยกเว้นในกรณีที่ (๑) ธนาคารพาณิชย์สามารถแบ่งแยกการใช้เงินตามโครงการใดโครงการหนึ่ง ของลูกหนี้ออกจากหนี้ประเภทอื่นที่มีอยู่ได้อย่างชัดเจน โดยให้จัดเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ซึ่งต้องเป็นไปตามเกณฑ์ทุกข้อ ดังนี้ (ก) ธนาคารพาณิชย์ได้มีการวิเคราะห์การให้สินเชื่ออย่างดี มีการวิเคราะห์ ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ทางการเงิน ตลอดจนวิเคราะห์กระแสเงินสดจนมั่นใจในความสำเร็จของ โครงการนั้น และเชื่อมั่นได้ในแหล่งที่มาหลักของกระแสเงินสดที่จะนำมาเพื่อการชำระหนี้ และ พิจารณาแล้วว่าลูกหนี้จะมีความสามารถในการชำระหนี้ได้อย่างแน่นอน (ข) ธนาคารพาณิชย์มีเอกสารหลักฐานประกอบการวิเคราะห์การให้สินเชื่อ อย่างเพียงพอและพร้อมให้ตรวจสอบได้ (ค) ธนาคารพาณิชย์สามารถติดตามควบคุมการใช้เงินของลูกหนี้ได้อย่าง ใกล้ชิดสม่ำเสมอให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการให้สินเชื่อ และมีเอกสารการติดตามหนี้ชัดเจน (ง) ธนาคารพาณิชย์มีการจัดทำตารางเวลาการจ่ายชำระหนี้อย่างชัดเจน และสอดคล้องกับรายได้หรือกระแสเงินสดของลูกหนี้ (๒) ลูกหนี้มีหนี้ที่เข้าข่ายเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติมากกว่าร้อยละ ๙๐ ของราคา ตามบัญชีรวมดอกเบี้ยค้างรับของลูกหนี้รายนั้น ธนาคารพาณิชย์สามารถจัดชั้นหนี้ส่วนนี้เป็น สินทรัพย์จัดชั้นปกติ หากต่อมาอัตราดังกล่าวลดต่ำกว่าร้อยละ ๙๐ เนื่องจากการจ่ายชำระหนี้ ให้ ธนาคารพาณิชย์ ยังคงจัดชั้นหนี้ส่วนนี้เป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ข้อ ๑๐ ลูกหนี้ที่มีหนังสือยืนยันการตรวจรับงานจากหน่วยราชการตามระเบียบ ของหน่วยราชการนั้นที่มีระยะเวลาไม่เกิน ๖ เดือนนับแต่วันตรวจรับงาน เงินให้สินเชื่อส่วนที่มี หนังสือยืนยันนั้นให้ถือเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ข้อ ๑๑ ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้ (๑) ตัดส่วนสูญเสียออกจากบัญชี หรือกันเงินสำรองดังต่อไปนี้ (ก) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระ ก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือรับชำระหนี้โดยการรับโอนสินทรัพย์ตราสารการเงิน หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุน ให้ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายบัญชีลูกหนี้ และบันทึกส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้น พร้อมกลับโอนกลับรายการเงินสำรองส่วนเกินที่กันไว้เฉพาะ สำหรับลูกหนี้รายนั้นทั้งจำนวนได้ (ข) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ให้แก่ ลูกหนี้โดยลดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราตลาด แต่ไม่ลดต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับ ปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการคำนวณ ราคาตามบัญชีใหม่ของลูกหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดทั้งจำนวน เว้นแต่ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๓ ธนาคารพาณิชย์สามารถทยอยกันเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียดังกล่าวได้ในทำนองเดียว กับข้อ ๑๓ แต่ต้องไม่เกินอายุของสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์สามารถ โอนกลับรายการเงินสำรองที่กันไว้แล้วเดิมก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายนั้นได้ เฉพาะจำนวนที่กันไว้แล้วสูงกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องทยอยกัน และหากเงินสำรองที่กันไว้แล้ว ต่ำกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องทยอยกันก็ให้กันเงินสำรองเพิ่มขึ้นให้ครบจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้อง ทยอยกันดังกล่าว (ค) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือรับชำระหนี้บางส่วนโดยการรับโอนสินทรัพย์ตราสาร การเงิน หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุน และผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ ในส่วนที่เหลือให้แก่ลูกหนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตาม (ก) สำหรับกรณีการลดต้นเงินหรือ ดอกเบี้ย หรือการรับชำระหนี้ดังกล่าวและปฏิบัติตาม (ข) ในส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า อัตราตลาด (๒) ในระหว่างติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ซึ่ง ลูกหนี้ต้องชำระเงินตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๓ เดือน หรือ ๓ งวดการชำระเงิน แล้วแต่ระยะเวลาใดจะนานกว่า ให้ดำเนินการดังนี้ (ก) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นสงสัยจะสูญ หรือสงสัย ให้จัดชั้นเป็นต่ำกว่า มาตรฐาน (ข) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน หรือกล่าวถึงเป็นพิเศษให้คงจัด ชั้นเช่นเดิม ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ตามสถานะการจัดชั้น หลังการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หากเงินสำรองตาม (๒) นี้มีจำนวนสูงกว่าเงินสำรองสำหรับส่วนสูญ เสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตาม (๑) (ข) และ (ค) เมื่อลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้โดยชำระเงิน ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๓ เดือนหรือ ๓ งวดการชำระเงินแล้ว ให้ถือเป็นลูกหนี้จัดชั้นปกติ ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ ให้นับระยะเวลา การค้างชำระรวมกับระยะเวลาการค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วพิจารณาจัดชั้น ตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นเพื่อการกันเงินสำรองตามเกณฑ์ในประกาศฉบับนี้ต่อไป (๓) สำหรับลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้าง หนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตาม เงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (ก) ลูกหนี้ที่สามารถชำระดอกเบี้ยได้ไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด (Market interest rate) โดยไม่มีช่วงปลอดการชำระดอกเบี้ย แต่อาจมีช่วงปลอดชำระเงินต้นได้ (ข) ลูกหนี้ที่มีส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของยอดหนี้ตามบัญชีก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งได้มีการตัดออกจากบัญชีแล้ว หรือได้มี การกันเงินสำรองในอัตราดังกล่าวครบถ้วนแล้ว โดยหนี้ส่วนที่เหลือได้มีการวิเคราะห์ฐานะและกิจ การของลูกหนี้ ตลอดจนกระแสเงินสด อย่างมีหลักเกณฑ์สมเหตุสมผล และมีหลักฐานประกอบจน เชื่อได้แน่นอนว่าลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ (ค) ลูกหนี้ในลักษณะ Loan Syndication หรือมีเจ้าหนี้หลายรายซึ่งบรรดา เจ้าหนี้ได้ตกลงปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกันได้ และสามารถแสดงหลักฐานการวิเคราะห์ฐานะและ กิจการของลูกหนี้ ตลอดจนกระแสเงินสดอย่างมีหลักเกณฑ์สมเหตุสมผล และมีความเป็นไปได้แน่ นอนที่ลูกหนี้จะปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ (ง) กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องร้องลูกหนี้ ต่อมาได้มีการตกลงทำสัญญา ประนีประนอมยอมความและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว และกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้อง ร้องลูกหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบตามคำขอประนอมหนี้หรือ แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้แล้ว (๔) กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยได้รับความเห็น ชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตาม เงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (๕) ในกรณีที่เห็นว่ามีข้อผิดสังเกตในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธนาคาร แห่งประเทศไทยอาจสั่งการให้มีการแก้ไข หรือให้ธนาคารพาณิชย์หาผู้เชี่ยวชาญอิสระมาประเมิน หรือทบทวนปรับปรุงโครงสร้างหนี้แต่ละรายได้ ข้อ ๑๒ ในการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นทุกประเภท เว้นแต่สินทรัพย์ จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ (๒) (๓) และ (๕) ให้นำมูลค่าของหลักประกันซึ่งได้ประเมินราคาตาม หลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรอง มูลค่าของหลักประกันที่นำ มาหักได้จะต้องไม่สูงเกินกว่ามูลค่าที่ได้มีการจดจำนำ จำนอง หรือมูลค่าที่ธนาคารพาณิชย์มีบุริม สิทธิ์เหนือหลักประกันนั้น ดังนี้ (๑) หลักประกันที่เป็นสิทธิในเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์นั้น นำมาหักได้ร้อยละ ๑๐๐ (๒) หลักประกันที่ใกล้เคียงเงินสด เช่น หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๙๕ ของราคาตลาด (๓) หลักประกันอื่นนอกจาก (๑) และ (๒) ที่ได้มีการประเมินราคาหรือมีการ ตีราคาไว้ไม่เกิน ๑๒ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคา หรือการตีราคา หากมีการประเมินราคาหรือมีการตีราคาไว้เกินกว่า ๑๒ เดือน ให้นำมาหักได้ ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือการตีราคา (๔) หลักประกันอื่นนอกจาก (๑) และ (๒) สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่มียอดคงค้าง ต่ำกว่า ๕ ล้านบาท ที่ได้มีการประเมินราคาหรือมีการตีราคาไว้ไม่เกิน ๓๖ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่ เกินร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือการตีราคา หากมีการประเมินราคาหรือมี การตีราคาไว้เกินกว่า ๓๖ เดือน ให้นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมิน ราคา หรือการตีราคา (๕) ลูกหนี้จัดชั้นรายใดที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน หรือที่รัฐบาลจะจัดสรร เงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้ หรือที่มีหลักฐานว่าจะได้รับชำระเงินจากหน่วยราชการใดอย่าง แน่นอนให้นำวงเงินที่ได้รับการค้ำประกันหรือที่จะได้รับชำระนั้นมาหักออกจากราคาตามบัญชีของ ลูกหนี้ก่อนคำนวณเงินสำรอง สำหรับสินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษตามข้อ ๗ และสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ตามข้อ ๘ ธนาคารพาณิชย์จะนำมูลค่าของหลักประกันมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ ก่อนการกันเงินสำรองหรือไม่ก็ได้ ข้อ ๑๓ เว้นแต่สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ (๒) และ (๓) ซึ่งให้กัน เงินสำรองให้ครบตามจำนวนที่ต้องกันในทันที ให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยกันเงินสำรองให้ครบถ้วน ทั้งในกรณีสินทรัพย์จัดชั้นและกรณีส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามข้อ ๑๑ ภายใน สิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๓ โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (๑) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๑ ให้กันเงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๒) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๒ ให้กันเงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๓) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๒ ให้กันเงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๔) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๓ ให้กันเงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๕) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๓ ให้กันเงินสำรองให้ครบถ้วน ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ต้องลดทุนเพราะเหตุที่ทางการใช้อำนาจสั่งการ ตามกฎหมาย จำนวนเงินสำรองที่ต้องกันซึ่งจะนำมาใช้ในการพิจารณาลดทุนนั้นคือเงินสำรองที่ ต้องกันเต็มทั้งจำนวน โดยจะไม่นำการทยอยกันตามวรรคแรกมาใช้บังคับ อนึ่ง หากธนาคารพาณิชย์ได้กันเงินสำรองไว้แล้วมากกว่าจำนวนเงินที่ต้อง ทยอยกันเงินสำรองในแต่ละงวด ธนาคารพาณิชย์จะต้องคงจำนวนเงินสำรองดังกล่าวไว้ในบัญชีต่อ ไปจนกว่าจะกันเงินสำรองได้ครบถ้วนแล้ว เว้นแต่เป็นการลดลงของเงินสำรองอันเนื่องจากการปรับ ปรุงโครงสร้างหนี้ตามข้อ ๑๑ หรืออันเนื่องมาจากการตัดจำหน่ายลูกหนี้ อย่างไรก็ดี ไม่ว่ากรณีใด จำนวนเงินสำรองคงเหลือต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่ให้ทยอยกันตามวรรคแรก ข้อ ๑๔ ลูกหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญรายใดที่ได้กันเงินสำรองครบถ้วนแล้วให้ ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายลูกหนี้รายดังกล่าวออกจากบัญชีทันที ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) กรณีลูกหนี้ที่มีหลักประกัน ให้ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายลูกหนี้ออกจาก บัญชีเท่ากับจำนวนที่ได้กันเงินสำรองไว้แล้ว ยอดหนี้ส่วนที่มีหลักประกันให้คงอยู่ในบัญชีลูกหนี้ต่อ ไป (๒) กรณีลูกหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ให้ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายลูกหนี้ออก จากบัญชีเต็มจำนวนหนี้ที่คงค้าง ข้อ ๑๕ ในระหว่างเวลาที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือ เรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี หรือยังกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือ เรียกคืนไม่ได้ครบจำนวน ธนาคารพาณิชย์จะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดแก่ผู้ถือหุ้นมิได้ ข้อ ๑๖ ให้ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ยังมีผลใช้บังคับเฉพาะสำหรับธนาคารพาณิชย์ที่งวดการบัญชีในรอบระยะเวลา หกเดือนแรกของปี ๒๕๔๒ สิ้นสุดลงภายหลังวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๒ จนกว่าจะสิ้นสุดงวด การบัญชีดังกล่าว ข้อ ๑๗ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำรายงานการสอบทานเงินให้สินเชื่อและภาระ ผูกพันส่งไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบรายงานที่รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังกำหนด ข้อ ๑๘ ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๓ เป็นต้นไป อนึ่ง ใน งวดการบัญชีรอบระยะเวลา ๖ เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๒ หากปรากฏว่าธนาคาร พาณิชย์ได้ปฏิบัติตามข้อ ๔ (๓) ของประกาศนี้ ให้ถือว่าได้ปฏิบัติตามข้อ ๔ (๒) ของประกาศ ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่ มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๒ แล้ว ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๓/พ๒๖ง/๙/๒๒ มีนาคม ๒๕๔๓] อัมพิกา/แก้ไข ๒/๕/๒๕๔๕ B
314525
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตเปิดทำการในวันหยุดหรือนอกเวลา
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การขออนุญาตเปิดทำการในวันหยุดหรือนอกเวลา ------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะเปิดทำการในวันหยุดทำการหรือเปิดทำการ นอกเวลาเปิดทำการตามที่กำหนดในประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยวันหยุดทำการของ ธนาคารพาณิชย์ และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดวันและเวลาทำการของ ธนาคารพาณิชย์ ให้ธนาคารพาณิชย์ยื่นขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยโดยระบุเหตุผลพร้อม รายละเอียดตามรายการดังต่อไปนี้ (๑) สำนักงานใหญ่หรือสำนักงานสาขาที่จะเปิดทำการ (๒) วัน เวลาที่ประสงค์จะเปิดทำการนอกเหนือจากวันและเวลาเปิดทำการตาม ปกติ (๓) ประเภทหรือขอบเขตของธุรกรรมที่จะให้บริการ (๔) ระบบการรักษาความปลอดภัย ทั้งในส่วนของธนาคารพาณิชย์เอง และผู้ใช้ บริการ (๕) แผนการปฏิบัติเพื่อรองรับ และแก้ไขเมื่อเกิดกรณีวิกฤติ อาทิ การขาดสภาพ คล่อง หรือการถอนเงินฝากอย่างกระทันหันจากสาเหตุข่าวลือ เป็นต้น ข้อ ๒ เมื่อธนาคารพาณิชย์ยื่นขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยโดยแสดงเหตุ ผลและข้อเท็จจริงตามรายการดังกล่าวในข้อ ๑ แล้ว หากธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มีหนังสือแจ้งทัก ท้วงหรือขอข้อมูลเพิ่มเติมภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับหนังสือขออนุญาต ดังกล่าว ให้ถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์นั้นเปิดทำการตามที่ขอได้ อนึ่ง ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตจะต้องดูแลให้พนักงานในส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบแผนการปฏิบัติเพื่อรองรับ และแก้ไขเมื่อเกิดกรณีวิกฤติ และถือปฏิบัติตามแผนการดังกล่าว โดยเคร่งครัดเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น รวมทั้งจะต้องประกาศข้อมูลการเปิดทำการตามที่ได้รับอนุญาตใน รายละเอียดทั้งสำนักงาน วันเวลา และธุรกรรมที่จะให้บริการให้ชัดเจนในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของ ธนาคารพาณิชย์นั้น ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๒ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๒/๒๘ง/๘๒/๘ เมษายน ๒๕๔๒] ปรียนันท์/แก้ไข ๑๗ / ๕ / ๔๕ (B+A)
314477
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง -------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ ตรี มาตร ๑๑จัตวา และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๑ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์นอกจากกิจการวิเทศธนกิจและกิจการวิเทศธนกิจ สาขาต่าง จังหวัดต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของ (๑) ยอดรวมเงินฝากทุกประเภท (๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ครบกำหนดใน ๓๖๕ วันนับแต่วันกู้ และ ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ใน ๓๖๕ วันนับแต่วันกู้ เว้นแต่ เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามา ในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย ข้อ ๓ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามข้อ ๒ ดังกล่าวต้องประกอบด้วย (๑) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑ (๒) เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ แต่ให้ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ไม่เกินร้อยละ ๒.๕ (๓) หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกพัน ดังต่อไปนี้ ก. หลักทรัพย์รัฐบาลไทย ข. พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ค. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและ ดอกเบี้ย ง. หันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนาระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินต้นและดอกเบี้ย จ. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนาระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ฉ. หุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจซึ่งธนาคารแห่ง ประเทศไทยให้ความเห็นชอบหรือที่ออกโดยบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ช. ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ข้อ ๔ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจ และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดต้อง ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของ (๑) ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศซึ่งอาจถอนได้ใน ๓๖๕ วันนับ แต่วันฝาก เว้นแต่เป็นเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยกำหนด (๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ครบกำหนดใน ๓๖๕ วันนับแต่วันกู้และ ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ใน ๓๖๕ วันนับแต่วันกู้ เว้นแต่ เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับเฉพาะยอดรวมเงินฝาก หรือยอดรวมเงินกู้ยืมของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศและกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการ ให้กู้ยืมเป็นเงินบาทในต่างจังหวัดเท่านั้น และให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทยจากสาขา หรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตาม (๑) และ (๒) ให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๓ (๓) ยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากทุกประเภท ยกเว้นยอดรวมเงินฝากของกิจการวิเทศ ธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ และยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศที่กล่าวใน (๑) แห่งข้อนี้ โดยกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดจะ ถือเอาสินทรัพย์ใดๆ เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงได้ ส่วนกิจการวิเทศธนกิจของ ธนาคารพาณิชย์ไทยให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๓ ข้อ ๕ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามประกาศนี้ให้คิดจากส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ ของทุกสิ้นวัน และส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของยอดรวมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์แล้วแต่ กรณีทุกสิ้นวันในปักษ์ก่อน ทั้งนี้ ให้ถือเอาวันที่ ๘ ถึงวันที่ ๒๒ ของเดือนเป็นปักษ์หนึ่ง และวันที่ ๒๓ ถึง วันที่ ๗ ของเดือนถัดไปเป็นอีกปักษ์หนึ่ง และให้นับวันหยุดทำการรวมคำนวณเข้าด้วย ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยไว้เกินจำนวนเกณฑ์ขั้นต่ำในปักษ์หนึ่ง ให้สามารถนำส่วนที่เกินไปรวมในปักษ์ต่อไปได้ ๑ ปักษ์ แต่ทั้งนี้ ส่วนที่นำไปรวมนั้นจะต้องไม่เกินร้อยละ ๕ ของจำนวนเกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องดำรงในปักษ์ที่ เกิน ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยไว้ไม่ถึงจำนวนเกณฑ์ขั้ต่ำในปักษ์หนึ่ง ให้สามารถนำเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใน ปักษ์ถัดไปมารวมเข้าในปักษ์ที่ขาดอยู่ แต่ทั้งนี้ ส่วนที่นำมารวมนั้นจะต้องไม่เกินร้อยละ ๕ ของจำนวน เกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องดำรงในปักษ์ที่ขาดอยู่และส่วนที่นำมารวมนั้นจะต้องถูกหักออกจากจำนวนเงินฝาก ที่ธนาคารแห่งประเทสไทยสำหรับการคำนวณสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงในปักษ์ถัดไป ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกาศ ณ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๒ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปรียนันท์/พิมพ์ ๑๙ / ๓ / ๔๕
311493
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่ง อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและ ให้เช่าแบบลีสซิ่ง อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ -------------------- ธนาคารแห่งประเทศไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติ ดังนี้ ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ลงวันที่ 20 มกราคม 2542 ข้อ2 ในประกาศนี้ "ผู้เช่า" หมายความว่า ผู้เช่าซื้อหรือผู้เช่าแบบลีสซิ่ง "เงินรายงวน" หมายความว่า เงินที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระแก่ธนาคารพาณิชย์ ในแต่ละงวด ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นดอกผลเช่าซื้อและราคาเงินสดประจำงวดตามเงื่อนไข ในสัญญาเช่าซื้อ "ค่าเช่า" หมายความว่า ค่าเช่าตามสัญญาเช่าแบบลีสวิ่ง "การปรับปรุงโครงสร้างหนี้" หมายความว่า การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เป็นไปตาม ข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย "เช่าซื้อ" หมายความว่า เช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ "การให้เช่าแบบลีสซิ่ง" หมายความว่า การให้เช่าทรัพย์สิน เพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้ ประโยชน์ในกิจการอุตสาหกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการบริการอย่างอื่นเป็นทางค้า ปกติ โดยผู้เช่ามีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและช่อมแซมทรัพย์สินที่เช่า ทั้งนี้ ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญา ก่อนครบกำหนดเพียงผ่านเดียวไม่ได้ แต่ผู้เช่ามีสิทธิที่จะซื้อหรือเช่าทรัพย์สินนั้นต่อไปในราคาหรือ ค่าเช่าก็ได้ตกลงกัน ข้อ 3 ให้ธนาคารพาณิชย์ให้เช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง ซึ่งทรัพย์สินที่ได้รับโอนมา เพื่อชำระหนี้จากลุกหนี้หรือผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างนี้ ข้อ 4 การยกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าแบบลีสซิ่ง เมื่อผู้เช่าผิดนัดไม่ชำระเงิน รายงวดสองงวดหรือค่าเช่าสองงวดติด ๆ กัน หรือเมื่อผู้เช่ากระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ ถ้าธนาคารพาณิชย์จะบอกเลิกสัญญาธนาคารพาณิชย์ในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ ถ้าธนาคารพาณิชย์ จะบอกเลิกสัญญาธนาคารพาณิชย์ต้องแจ้งการบอกเลิกสัญญาพร้อมด้วยเหตุผลเป็นหนังสือให้ผู้เช่า ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า สามสิบวันนับแต่วันที่ผู้เช่าได้รับหนังสือดังกล่าวในหนังสือบอกเลิก สัญญานั้นให้ระบุด้วยว่าหากผู้เช่าชำระเงินรายงวดที่ค้างชำระหรือแก้ไขการผิดสัญญาในข้อที่เป็น ส่วนสำคัญดังกล่าว แล้วแต่กรณีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา การบอกเลิก สัญญานั้นเป็นอันระงับไป ในกรณีที่ผิดนัดไม่ชำระเงินรายงวดสองงวดคิดต่อกัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อ ที่เป็นส่วนสำคัญ หากผู้เช่าชำระเงินรายงวดหรือค่าเช่าที่ค้างชำระหรือแก้ไขการผิดสัญญาในข้อที่เป็น ส่วนสำคัญ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา ให้การบอกเลิกสัญญานั้น เป็นอันระงับไป ข้อ 5 เมื่อสิ้นวันที่ 31 ธันวาคม 2544 ธนาคารพาณิชย์จะประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อ หรือการให้เช่าแบบลีสซิ่งเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ ข้อ 6 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันลงนามเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2542 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย
311239
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ของธนาคารพาณิชย์ --------------- เพื่อให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของ ธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 16 กันยายน 2535 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 ทวิ แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้ยกเลิก 1) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2541 2) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ลงวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2541 3) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2541 ลงวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2541 4) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2541 ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 และ 5) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2542 ลงวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2542 ข้อ 2 ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจต้องแยกกิจการวิเทศ ธนกิจออกจากกิจการธนาคารพาณิชย์อื่นเสมือนหนึ่งเป็นคนละนิติบุคคล เช่น การแยกทรัพย์สิน เอกสาร หลักฐาน และบัญชี เป็นต้น ข้อ 3 ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจต้องแยกกิจการ วิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ และกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศออกจากกัน ข้อ 4 ห้ามมิให้กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ใดๆ โอนเงินของกิจการให้แก่กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่เป็นกิจการของธนาคาร พาณิชย์เดียวกันนั้น หรือให้กู้ยืม หรือฝากเงินกับกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่ เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์อื่น ข้อ 5 ห้ามมิให้กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ใดๆ ชำระหนี้ตามภาระผูกพันอันเกิดจากการอาวัล รับรอง หรือค้ำประกันหนี้ใดๆ แทนกิจการวิเทศ ธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์เดียวกันหรือของธนาคารพาณิชย์อื่น ข้อ 6 ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ (1) เงินรับฝากและเงินกู้ยืมต้องมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ (2) การชำระเงินคืนเงินรับฝาก เงินกู้ยืม และดอกเบี้ยของกิจการวิเทศธนกิจต้อง กระทำในต่างประเทศ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศการเบิกถอนเงินให้กู้ยืม การชำระคืนเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ย ต้องกระทำในต่างประเทศและหากการชำระคืนเงิน ให้กู้ยืมและดอกเบี้ยดังกล่าวกระทำโดยบุคคลอื่นใดที่ไม่ใช่ผู้กู้บุคคลนั้นต้องมีถิ่นที่อยู่นอก ประเทศด้วย ความใน (1) และ (2) ไม่ใช่บังคับกรณีทีเป็นกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือกิจการวิเทศธนกิจอื่น (3) การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศของ ผู้กู้แต่ละรายต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 2,00,000 ดอลลาร์สหัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่ เป็นการเบิกถอนโดยสถาบันการเงิน หรือเป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้าง ที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า หรือ เป็นกรณีการให้ กู้ยืมอันเนื่องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ในการให้กู้ยืมดังกล่าวจะต้องเป็นผลมาจากสัญญากู้ยืมเดิม การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศของผู้กู้ แต่ละรายที่เป็นผู้ส่งออกที่มีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะ เวลาบัญชีก่อนหรือเป็นลูกค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้บริการแก่กิจการที่ ประกอบธุรกิจส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีจำนวน ครั้งละไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือ เทียบเท่า (4) การทำธุรกรรมต่างๆ ระหว่างกิจการวิเทศธนกิจกับลูกค้ากิจการวิเทศธนกิจ ต้องดำเนินการให้ลูกค้าให้ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลที่แท้จริง และในการจัดทำเอกสารหรือหลักฐานใดๆ ที่เกี่ยวกับลูกค้า กิจการวิเทศธนกิจต้องจัดทำเอกสารหรือหลักฐานดังกล่าวให้ตรงต่อความเป็นจริง (5) ห้ามรับฝากเงินที่ใช้เช็คในการเบิกถอนเงิน (6) การรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันการชำระหนี้ให้แก่กิจการวิเทศธนกิจอื่น ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันให้แก่กิจการส่วนใดของกิจการ วิเทศธนกิจอื่น (7) รายรับจากการประกอบธุรกิจของกิจการวิเทศธนกิจต้องเป็นเงินตราต่าง ประเทศ เว้นแต่เป็นรายรับจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมเงินบาทในต่างประเทศ หรือ รายรับจากธุรกิจตามข้อ 14 ข้อ 7 ให้กิจการวิเทศธนกิจสามารถรับโอนสินทรัพย์ หนี้สิน หรือกิจการต่างๆ ที่เกิดจาก การประกอบธุรกิจที่มีลักษณะเช่นเดียวกับกิจการวิเทศธนกิจ จากกิจการส่วนอื่นของธนาคาร พาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้นๆ ได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับแต่วันเริ่มประกอบกิจการวิเทศธนกิจ หรือวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ เว้นแต่ได้รับ อนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอย่างอื่น ให้กิจการวิเทศธนกิจแจ้งการรับโอนตามวรรคหนึ่งให้บรรดาลูกหนี้ของธุรกิจที่รับโอน ดังกล่าวทราบล่วงหนี้ไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนวันรับโอน เว้นแต่ในกรณีที่มีการรับโอนก่อนวันที่ ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ให้แจ้งการรับโอนให้บรรดาลูกหนี้ทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ และให้แจ้งการรับโอนให้บรรดาลูกหนี้ทราบภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ ครบกำหนดระยะเวลาการรับโอนตามวรรคหนึ่ง หรือนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ในกรณี ที่มีการรับโอนก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ข้อ 8 กิจการวิเทศธนกิจอาจมีสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทไว้ในประเทศไทยได้ดังต่อไปนี้ (1) สินทรัพย์เพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา 11 ตรี (2) สินทรัพย์ที่สำรองไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจในมูลค่าไม่เกิน 200 ล้านบาทในรูปของสินทรัพย์ดังต่อไปนี้ 1) สถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้าง รวมทั้ง เครื่องใช้สำนักงานต่างๆ โดยหักค่าเสื่อมราคาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ 2) หลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่รัฐบาลไทยค้ำประกันต้นเงินและ ดอกเบี้ยให้คำนวณตามราคาตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า 3) หุ้นกู้ที่ไม่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นได้ บัตรเงินฝากหรือตราสาร แห่งหนี้ ซึ่งออกโดยนิติบุคคลหรือสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและเสนอขายใน ประเทศไทย ให้คำนวณตามราคาตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า 4) เงินสดหรือบัญชีเงินฝากที่เป็นเงินบาทกับสถาบันการเงิน 5) เงินทดรองจ่ายแก่พนักงาน ค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้าเกี่ยวกับการดำเนินงาน และเงินค่ามัดจำ (3) สินทรัพย์ที่ออกโดยสถาบันการเงินตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตราสารที่ออก โดยบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ทางการมีคำสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการชั่วคราว (4) พันธบัตรรัฐบาลกรณีพิเศษ (5) เงินลงทุนในหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น อันเนื่อง มาจากการปรับโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย จากนิติบุคคลที่ จดทะเบียนในประเทศไทย ข้อ 9 กิจการวิเทศธนกิจ อาจเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินตราต่างประเทศ หรือ เงินตรา ต่างประเทศเป็นเงินบาทได้ ในกรณีดังต่อไปนี้ (1) เปลี่ยนเงินบาท ซึ่งเป็นผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชีเพื่อส่งผลกำไร นั้นกลับไปยังกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่เป็น เจ้าของกิจการวิเทศธนกิจ ทั้งนี้ กิจการส่วนอื่นนั้นต้องอยู่ในต่างประเทศด้วย (2) เปลี่ยนเงินบาทที่เกิดจากการจำหน่ายสินทรัพย์ตามข้อ 8 หรือที่เกิดจากการ จำหน่ายสินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ 11 (3) เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจตาม ข้อ 8 หรือเพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา 11 ตรี และเปลี่ยนเงินบาทจากการลดยอม ของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามมาตรา 11 ตรี เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ 11 รวมทั้งการทำสัญญาประกันความเสี่ยงสำหรับจำนวนเงินที่ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องดังกล่าว (4) เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อปฏิบัติตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตราสารที่ ออกโดยบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ทางการมีคำสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการ ชั่วคราวและเปลี่ยนเงินบาทเพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ 11 การเปลี่ยนเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้กับธนาคาร รับอนุญาตตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินในส่วนที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ ข้อ 10 สินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่าง ประเทศหรือกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศให้ถือว่าเป็นสินทรัพย์ของกิจการ วิเทศธนกิจนั้นๆ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ในกรณีที่สินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้เป็นเงินบาท สินทรัพย์นั้นไม่ให้นับรวมเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ที่เป็นเงินบาทที่กิจการวิเทศธนกิจพึงมีได้ ตามข้อ 8 สินทรัพย์ตามวรรคหนึ่งที่เป็นเงินบาท ต้องเปลี่ยนเป็นเงินตราต่างประเทศเพื่อนำกลับไป ประกอบธุรกรรมทุกประเภทตามที่กิจการวิเทศธนกิจส่วนนั้นจะพึงกระทำได้ตามข้อ 11 ข้อ 11 ผลกำไรหลังหลักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี หรือเงินตราต่างประเทศซึ่งได้มาจากการ เปลี่ยนเงินบาทตามข้อ 9 ให้ถือว่ามีแหล่งที่มาจากต่างประเทศซึ่งกิจการวิเทศธนกิจสามารถนำกลับ ไปประกอบธุรกรรมทุกประเภท ตามที่กิจการวิเทศธนกิจจะพึงกระทำได้ตามประกาศกระทรวง การคลัง ว่าด้วยการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ และตามประกาศฉบับนี้แต่ไม่รวมถึงการให้กู้ยืม เงินบาทของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ ข้อ 12 การโอนผลกำไรหรือผลขาดทุนหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชีไปให้ธนาคารพาณิชย์ ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น กิจการวิเทศธนกิจต้องแจ้งการโอนดังกล่าวให้ธนาคารแห่ง ประเทศไทยทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่โอน ข้อ 13 กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ อาจเปิดบัญชีเงินฝากแบบไม่มี ดอกเบี้ยไว้กับกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์เจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้นซึ่งอยู่ในประเทศ ไทยเพื่อใช้ในการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจได้ แทนการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร ในต่างประเทศ (nostro account) โดยตรง ทั้งนี้ ณ สิ้นวันบัญชีเงินฝากดังกล่าวจะต้องไม่มียอด คงค้างใดๆ ข้อ 14 นอกจากการประกอบธุรกิจตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วย การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์แล้ว กิจการวิเทศธนกิจอาจประกอบธุรกิจอื่น ที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากกิจการวิเทศธนกิจ ตามที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ดังต่อไปนี้ด้วย (1) การให้บริการข่าวสาร ข้อมูลทางการเงินและเศรษฐกิจทั่วไป (2) การให้บริการจัดทำหรือวิเคราะห์โครงการเพื่อการลงทุน (3) การเป็นที่ปรึกษาในการซื้อกิจการ รวมกิจการ หรือควบกิจการ (4) การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (5) การจัดการออก (arranging) หรือการจัดจำหน่าย (underwriting) ตราสารแสดง สิทธิในหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่ออกจำหน่ายในต่างประเทศ แต่ในกรณีที่ผู้ออกตราสารอยู่ ในประเทศกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ต้อง ประกอบธุรกิจนี้ร่วมกับกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย (6) การรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินตราต่างประเทศภายใต้ ข้อกำหนดดังต่อไปนี้ 1) กิจการวิเทศธนกิจสามารถรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืมที่เป็น เงินตราต่างประเทศจากสถาบันการเงินในประเทศ สถาบันการเงินที่จดทะเบียนในต่างประเทศ หรือบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน โดยการเบิกถอนเงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินให้กู้ยืมใน ประเทศที่รับซื้อหรือรับโอนของผู้กู้แต่ละรายต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์ สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่าเว้นแต่เป็นการเบิกถอนโดยสถาบันการเงิน หรือเป็นการเบิกถอน งวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีมียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ อเมริกาหรือเทียบเท่า การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินให้กู้ยืมในประเทศที่รับซื้อหรือรับโอน ของผู้กู้แต่ละรายที่เป็นผู้ส่งออกที่มีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นใน รอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นลูกค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้บริการ แก่กิจการที่ประกอบธุรกิจส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสั้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอน งวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ อเมริกาหรือเทียบเท่า 2) การรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืม ต้องเป็นการรับซื้อโดยเด็ดขาด ตามสภาพของหนี้ที่เป็นอยู่ทั้งการจัดชั้นและระยะเวลาที่ค้างชำระ 3) ในการรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืม กิจการวิเทศธนกิจต้องถือ ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืมโดยเคร่งครัด (7) การค้ำประกันการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ไทยหรือจากต่างประเทศที่เป็น เงินตราต่างประเทศแก่ลูกค้าในประเทศ ต้องมีวงเงินขั้นต่ำในการค้ำประกันไม่น้อยกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่ลูกค้าในประเทศที่เป็นผู้ส่งออกที่มีรายได้จากการ ส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นลูกค้าที่มีรายได้ เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้บริการแก่กิจการที่ประกอบธุรกิจส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีวงเงินขั้นต่ำในการค้ำประกันไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า (8) การรับซื้อลดตราสารที่เกี่ยวกับการส่งออกที่เป็นเงินตราต่างประเทศเฉพาะ กรณีที่ผู้ขายสินค้าเป็นผู้ส่งออกที่มีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียนในประเทศไทย ตามข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ 1) รับซื้อลดตั๋วแลกเงินที่เกี่ยวกับการส่งออกทั้งกรณีมีเลตเตอร์ออฟเครดิต (export bill under L/C) และไม่มีเลตเตอร์ออฟเครดิต (export bill under D/A or D/P) 2) รับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการส่งสินค้าออกและได้ออกตาม เอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ 2.1) เลตเตอร์ออฟเครดิตที่เป็นเงินตราต่างประเทศ 2.2) สัญญาซื้อขายหรือคำสั่งซื้อสินค้า 2.3) ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า หรือใบรับจำนำสินค้า ของธนาคารพาณิชย์อันเป็นหลักฐานแสดงว่าผู้ส่งออกมีสินค้าพร้อมที่จะส่งออกเก็บรักษาไว้ใน คลังสินค้า หรือสถานที่เก็บสินค้าที่ธนาคารพาณิชย์ให้ความเชื่อถือ 2.4) ตั๋วแลกเงินอันเกิดจากการที่ผู้ส่งออกได้ส่งสินค้าออกแล้ว กิจการวิเทศธนกิจต้องแยกบัญชีในการประกอบธุรกิจตามข้อนี้ต่างหากจากบัญชี อื่นๆ ของกิจการวิเทศธนกิจอย่างชัดเจน (9) การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตที่เป็นเงินตราต่างประเทศเฉพาะกรณีที่ผู้ซื้อสินค้า ตามข้อตกลงแห่งเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นมีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียนในประเทศไทย และต้องมี วงเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่ผู้ซื้อสินค้าดังกล่าว เป็นผู้นำเข้าสินค้าเพื่อผลิตสำหรับการส่งออก โดยมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของ รายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นผู้นำเข้าสินค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจาก การขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้น ในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีวงเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือ เทียบเท่า (10) การให้กู้ยืมโดยทำสัญญาทรัสต์รีซีท (Trust Receipt) ที่เป็นเงินตรา ต่างประเทศแก่ผู้ซื้อสินค้าที่มีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียนในประเทศไทย ทั้งที่มีหรือไม่มีเลเตอร์ ออฟเครดิตประกอบและต้องมีวงเงินการให้กู้ยืมขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ อเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่ผู้ซื้อสินค้าดังกล่าวเป็นผู้นำเข้าสินค้าเพื่อผลิตสำหรับการส่งออก โดยมีรายได้จากการส่งสินค้าออกเกินกว่าครึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือ เป็นผู้นำเข้าสินค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้ จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีวงเงินขั้นต่ำ ไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า (11) การให้เช่าซื้อหรือการให้เช่าแบบลีสซิ่ง ภายใต้ข้อกำหนดดังต่อไปนี้ 1) ในข้อกำหนดนี้ ผู้เช่าา" หมายความว่า ผู้เช่าซื้อหรือผู้เช่าแบบลีสซิ่ง "เงินรายงวด" หมายความว่า เงินที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระแก่ธนาคารพาณิชย ์ในแต่ละงวด ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นดอกผลเช่าซื้อและราคาเงินสดประจำงวดตาม เงื่อนไขในสัญญาเช่าซื้อ "ค่าเช่า" หมายความว่า ค่าเช่าตามสัญญาแบบลีสซิ่ง "การปรับโครงสร้างหนี้" หมายความว่า การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ เป็นไปตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย "เช่าซื้อ" หมายความว่า เช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ "การให้เช่าแบบลีสซิ่ง" หมายความว่า การให้เช่าทรัพย์สินเพื่อให้ผู้เช่า ได้ใช้ประโยชน์ในกิจการอุตสาหกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการบริการอย่างอื่น เป็นทางค้าปกติ โดยผู้เช่ามีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่า ทั้งนี้ ผู้เช่าจะบอก เลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ผู้เช่ามีสิทธิที่จะซื้อหรือเช่าทรัพย์สินนั้นต่อไป ในราคาหรือค่าเช่าที่ได้ตกลงกัน 2) ให้ธนาคารพาณิชย์ให้เช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลีสซิ่งซึ่งทรัพย์สินที่ได้รับ โอนมาเพื่อชำระหนี้จากลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาการปรับโครงสร้างหนี้ 3) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าแบบลิสซิ่งเมื่อผู้เช่าผิดนัดไม่ ชำระเงินรายงวดหรือค่าเช่าสองงวดติดๆ กัน หรือเมื่อผู้เช่ากระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ ธนาคารพาณิชย์ต้องแจ้งการบอกเลิกสัญญาพร้อมด้วยเหตุผลเป็นหนังสือให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 30 วัน นับแต่วันที่ผู้เช่าได้รับหนังสือดังกล่าว ในหนังสือบอกเลิกสัญญานั้นให้ระบุ ด้วยว่าหากผู้เช่าชำระค่างวดที่ค้างชำระ หรือแก้ไขการผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญดังกล่าว แล้วแต่กรณี ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา การบอกเลิกสัญญานั้นเป็น อันระงับไป ในกรณีที่ผิดนัดไม่ชำระเงินรายงวดหรือค่าเช่าสองงวดติดต่อกันหรือกระทำ ผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ หากผู้เช่าชำระค่างวดที่ค้างชำระเงินรายงวดที่ค้างชำระหรือแก้ไข การผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา ให้การบอกเลิกสัญญานั้นเป็นอันระงับไป 4) เมื่อสิ้นวันที่ 31 ธันวาคม 2544 กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ จะประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อ หรือการให้เช่าแบบลีสซิ่งอันเนื่องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ เพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ ข้อ 15 สถานที่ทำการของกิจการวิเทศธนกิจต้องมีเพียงแห่งเดียว และต้องอยู่ในสถานที่ เดียวกับที่ทำการของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น ข้อ 16 กิจการวิเทศธนกิจต้องนำส่งค่าธรรมเนียมรายปี ปีละ 500,000 บาท การชำระค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่ง ให้ชำระที่ธนาคารแห่งประเทศไทยภายใน 7 วัน ทำการแรกของทุกปี เว้นแต่ปีแรกให้ชำระเมื่อรับใบอนุญาต ข้อ 17 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ในประกาศนี้ ให้ไว้ ณ วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2542 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสภณ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย
310681
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง --------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 ตรี มาตรา 11 จัตรา และมาตรา 11 เบญจ แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ 1 เมษายน 2542 ข้อ 2 ธนาคารพาณิชย์นอกจากกิจการวิเทศธนกิจและกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัด ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6 ของ (1) ยอดรวมเงินฝากทุกประเภท (2) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ครบกำหนดใน 1 ปีนับแต่วันกู้ และยอมรวม เงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ใน 1 ปี นับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงิน กู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามา ในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย ข้อ 3 สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามข้อ 2 ดังกล่าวต้องประกอบด้วย (1) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ 1 (2) เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ แต่ให้ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ไม่เกิน ร้อยละ 2.5 (3) หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกผัน ดังต่อไปนี้ ก. หลักทรัพย์รัฐบาลไทย ข. พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ค. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงิน และดอกเบี้ย ง. พันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จ. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนาระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ฉ. หุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งธนาคาร แห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบหรือที่ออกโดยบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ช. ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยน ตั๋ว 56 บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ข้อ 4 ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจ และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดต้องดำรง สินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6 ของ (1) ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศซึ่งอาจถอนได้ใน 1 ปี นับแต่ วันฝาก เว้นแต่เป็นเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยกำหนด (2) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ครบกำหนดใน 1 ปีนับแต่วันกู้และยอดรวม เงินกู้จากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงิน กู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ ยอมรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับเฉพาะยอดรวมเงินฝาก หรือยอดรวมเงินกู้ยืมของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศและกิจการวิเทศธนกิจเพื่อ การให้กู้ยืมเป็นเงินบาทในต่างจังหวัดเท่านั้น และให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทย จากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตาม (1) และ (2) ให้ถือปฏิบัติตามข้อ 3 (3) ยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากทุกประเภท ยกเว้นยอดรวมเงินฝากของกิจการ วิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ และยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ ที่กล่าวใน (1) แห่งข้อนี้ โดยกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและกิจการวิเทศธนกิจ สาขาต่างจังหวัดจะถือเอาสินทรัพย์ใดๆ เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงก็ได้ ส่วนกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยให้ถือปฏิบัติตามข้อ 3 ข้อ 5 สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามประกาศนี้ให้คิดจากส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของ ทุกสิ้นวัน และส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของยอดรวมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์แล้วแต่ กรณีทุกสิ้นวันในปักษ์ก่อน ทั้งนี้ ให้ถือเอาวันที่ 8 ถึงวันที่ 22 ของเดือนเป็นปักษ์หนึ่ง และวันที่ 23 ถึงวันที่ 7 ของเดือนถัดไปเป็นอีกปักษ์หนึ่ง และให้นับวันหยุดทำการรวมคำนวณเข้าด้วย ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยไว้เกินจำนวนเกณฑ์ขั้นต่ำในปักษ์หนึ่ง ให้สามารถนำส่วนที่เกินไปรวมในปักษ์ต่อไป ได้ 1 ปักษ์ แต่ทั้งนี้ ส่วนที่นำไปรวมนั้นจะต้องไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนเกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องดำรง ในปักษ์ที่เกิน ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยไว้ไม่ถึงจำนวนเกณฑ์ขั้นต่ำในปักษ์หนึ่ง ให้สามารถนำเงินฝากที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยในปักษ์ถัดไปมารวมเข้าในปักษ์ที่ขาดอยู่ แต่ทั้งนี้ ส่วนที่นำมารวมนั้นจะต้องไม่เกิน ร้อยละ 5 ของจำนวนเกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องดำรงในปักษ์ที่ขาดอยู่ และส่วนที่นำมารวมนั้นจะต้อง ถูกหักออกจากจำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสำหรับการคำนวณสินทรัพย์สภาพคล่อง ที่ต้องดำรงในปักษ์ถัดไป ข้อ 6 ประกาศนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2542 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย
310627
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การเป็นกรรมการในบริษัทลูกหนี้ของกรรมการและผู้บริหารระดับสูงธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การเป็นกรรมการในบริษัทลูกหนี้ของกรรมการ และผู้บริหารระดับสูงธนาคารพาณิชย์ ------------------ การให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์บางกรณี แก่บริษัทจำกัดที่มีกรรมการหรือผู้บริหาร ระดับสูงตั้งแต่ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นกรรมการอยู่ด้วย ไม่ว่าจะกระทำโดยสุจริต หรือเพื่อดูแลกิจการลูกหนี้ บางครั้งอาจขาดการวิเคราะห์ตามที่ควร จะเป็น อาจถูกมองว่ามีการเอื้ออำนวยผลประโยชน์แก่กัน จะด้วยเจตนาหรือด้วยความเกรงใจใน กรรมการร่วมก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็คือ คุณภาพของลูกหนี้โดยทั่วไปรวมทั้งกลุ่มนี้ จำนวนหนึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และกลายเป็นลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ซึ่งเป็นภาระของ ธนาคารพาณิชย์ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อระบบสถาบันการเงินเพราะทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจ ในผู้บริหารธนาคารพาณิชย์รวมทั้งอาจถูกกล่าวหาได้ว่าการพิจารณาสินเชื่อแก่ลูกค้าทั่วไปจะไม่ได้ รับการปฏิบัติโดยเท่าเทียมกัน ดังนั้น เพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประชาชน อาศัยอำนาจ ตามความในมาตรา 22 (8) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2528 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้ธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารระงับการให้สินเชื่อแก่บริษัทจำกัด ที่มีกรรมการ ร่วมกับธนาคารพาณิชย์นั้นรวมทั้งให้ทยอยลดยอดคงค้างสินเชื่อลงจนมียอดคงค้างไม่เกินอัตรา ที่กำหนดใน (1) หรือดำเนินการให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัดถอดถอนกรรมการร่วมนั้นจากการเป็น กรรมการบริษัทจำกัด เมื่อบริษัทจำกัดดังกล่าวมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (1) มีสินเชื่อคงค้างกับธนาคารพาณิชย์นั้นสูงกว่าร้อยละ 50 ของส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัท จำกัดนั้น หรือสูงกว่าร้อยละ 25 ของยอดหนี้สินรวมของบริษัทจำกัดนั้น หรือสูงกว่าร้อยละ 5 ของเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของธนาคารพาณิชย์นั้นจำนวนใดจำนวนหนึ่งแล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า (2) มีกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ ธนาคารพาณิชย์เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 1.0 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้ว ทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น ทั้งนี้ ข้อกำหนดดังกล่าวข้างต้นไม่บังคับถึงบริษัทจำกัดที่มีกรรมการหรือผู้บริหาร ระดับสูงของธนาคารพาณิชย์เป็นกรรมการร่วมอันเนื่องจากการปรับโครงสร้างหนี้ตามหลักการ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย อนึ่ง การเป็นกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของธนาคารพาณิชย์มีความสำคัญยิ่งยวด ผู้ได้รับเกียรติดังกล่าวจึงควรอุทิศความรู้ความสามารถ และเวลาให้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้นๆ อย่างเต็มที่ไม่ควรเป็นกรรมการในบริษัทจำกัดอื่นหลายแห่ง จนเกินพอดี ซึ่งธนาคารเห็นว่าน่าจะไม่เกิน 3 แห่งรวมทั้งไม่ควรเป็นกรรมการที่มีอำนาจบริหาร งานระดับสูงในบริษัทลูกหนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดังนั้น เพื่อให้ การประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์และบริษัทลูกหนี้ที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเป็นไปโดยเหมาะสม ไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ในการกำกับดูแล รวมทั้งลูกค้าโดยทั่วไปยอมรับได้จึงขอให้ธนาคารพาณิชย์ ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ได้กล่าวมาเป็นลำดับ โดยเคร่งครัด ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2542 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย
309315
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2542
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๒ ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑๖) ของข้อ ๕ น้ำหนักความเสี่ยง ๐ แห่ง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ ดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ "(๑๖) เงินให้สินเชื่อในส่วนที่มีตั๋วสัญญาที่ใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลัก ทรัพย์ กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) หรือบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ จำนำ เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๒/พ๕๔ง/๑๔/๔ สิงหาคม ๒๕๔๒]
309304
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2542
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒ ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑๖) ของข้อ ๕ น้ำหนักความเสี่ยง ๐ แห่ง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกอง ทุน ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ "๑๖ เงินให้สินเชื่อในส่วนที่มีตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) หรือบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ จำนำเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๒/พ๕๔ง/๑๓/๔ สิงหาคม ๒๕๔๒]
321780
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงิน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงิน ------------- ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๒ กำหนดหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการทางภาษีของรัฐบาล ในการส่งเสริมให้มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระหว่างลูกหนี้กับสถาบันการเงินและเจ้าหนี้อื่น นั้น เพื่อให้การปรับปรุงโครงสร้างหนี้มีประสิทธิภาพและชัดเจนยิ่งขึ้น ธนาคารแห่ง ประเทศไทยจึงได้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การปรับปรุงโครง สร้างหนี้ของสถาบันการเงิน ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๒ และเอกสารแนบท้ายประกาศดังกล่าว และได้กำหนดหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินขึ้นใหม่ ดังนี้ ข้อ ๑ วัตถุประสงค์ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินเป็นการดำเนินการแก้ไขหนี้ทั่วไป และหนี้ที่มีปัญหาเพื่อให้สถาบันการเงินมีโอกาสได้รับชำระหนี้คืนสูงสุด หรือเพื่อก่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดในการดำเนินกิจต่อไปทั้งของลูกหนี้และสถาบันการเงินโดยเฉพาะลูกหนี้ของ สถาบันการเงินที่ประสบปัญหาการชำระหนี้เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แต่ยังมีแนว โน้มที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ทั้งนี้ สถาบันการเงินจะต้องระมัดระวังมิให้การปรับปรุงโครงสร้าง หนี้มีลักษณะเป็นการหลีกเลี่ยงการจัดชั้นลูกหนี้และการกันเงินสำรอง หรือหลีกเลี่ยงหลักเกณฑ์ การระงับรับรู้ดอกเบี้ยค้างรับเป็นรายได้ ข้อ ๒ ประเภท "การปรับปรุงโครงสร้างหนี้" การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หมายถึง การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ทั่วไปและการ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา ๒.๑ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ทั่วไป หมายถึง การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ไม่มี ส่วนสูญเสีย เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ตามภาวะตลาดหรือเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดี กับลูกค้าหรือการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปโดยมีการตกลงให้มีระยะเวลาปลอดหนี้โดย ลูกหนี้ยังคงจ่ายชำระดอกเบี้ยในอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาเดิม และสถาบันการเงินวิเคราะห์แล้วคาด ว่าได้รับชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคืนครบถ้วนตามสัญญาการให้กู้ยืม ๒.๒ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา หมายถึง การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ มีส่วนสูญเสียเนื่องจาก (๑) มีการลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยค้างรับที่บันทึกเป็นรายได้แล้วให้ลูกหนี้ หรือ (๒) มีผลขาดทุนจากการรับโอนทรัพย์สินที่มีมูลค่าราคายุติธรรมต่ำกว่ายอดหนี้ ที่ตัดจำหน่ายไป หรือ (๓) มีการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ ซึ่งทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสด รับต่ำกว่ามูลหนี้ตามบัญชีของลูกหนี้รวมดอกเบี้ยค้างรับที่บันทึกเป็นรายได้แล้ว หรือ (๔) มีส่วนสูญเสียจากการคำนวณโดยใช้ราคาตลาดของลูกหนี้หรือการใช้มูลค่า ราคายุติธรรมของหลักทรัพย์ที่เป็นประกัน หรือมีส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อัน เนื่องมาจากเหตุผลอื่น เช่น การแปลงหนี้เป็นทุน เป็นต้น ข้อ ๓ การกำหนดนโยบายและมาตรการในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สถาบันการเงินจะต้องดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ นโนบาบและมาตรการในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินจะ ต้องกำหนดไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการของ สถาบันการเงิน โดยผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินจะต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย และมาตรการดังกล่าว ๓.๒ นโยบายและมาตรการที่กำหนดจะต้องครอบคลุมแนวทางในการพิจารณา ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ทั้งกระบวนการ ได้แก่ การกำหนดวัตถุประสงค์แนวทางในการวิเคราะห์และ คัดเลือกลูกหนี้ การติดตามดูแล การรายงานผลการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และ นโยบายทางด้านบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ๓.๓ สถาบันการเงินจะต้องกำหนดระเบียบวิธีปฏิบัติเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยว กับหน้าที่และความรับผิดชอบในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การอนุมัติการรายงาน และการติด ตามดูแลที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดแผนการปฏิบัติงาน (Action Plan) ในขั้นตอนต่าง ๆ ให้ ครบถ้วนสมบูรณ์ ๓.๔ สถาบันการเงินจะต้องจัดตั้งหน่วยงานหรือกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์ ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เป็นอิสระจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่ดูแลลูกหนี้รายนั้น เพื่อทำหน้าที่ ปฏิบัติงานตามกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามระเบียบปฏิบัติที่กำหนดในข้อ ๓.๓ หรือ อาจให้สถาบันการเงินอื่น หรือบุคคลที่สามที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นผู้ทำ หน้าที่นั้นก็ได้ ยกเว้นในกรณีที่สถาบันการเงินมีบุคลากรจำกัด อนุดลมให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อทำหน้า ที่ตามกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ แต่ต้องทำตามระเบียนปฏิบัติที่กำหนดไว้ในข้อ ๓.๓ โดยเคร่งครัด ๓.๕ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้ที่สถาบันการเงินกรรมการบุคคลที่ เกี่ยวข้องกับกรรมการ หรือผู้บริหารของสถาบันการเงินนั้น เข้าข่ายมีความสัมพันธ์หรือมีผล ประโยชน์เกี่ยวข้อง ซึ่งหมายถึงบุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินหรือกรรมการ หรือ ผู้บริหารของสถาบันการเงินนั้นตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และพระ ราชบัญญัติประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ รวม ทั้งบุคคลที่ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง คือ เข้าข่ายมีความสัมพันธ์หรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง โดยมี พฤติการณ์ให้บุคคลอื่นถือหุ้นไว้แทนตนในลักษณะของตัวแทนโดยตรงหรือโดยปริยายหรือตัว แทนเชิด หรือเป็นตัวการซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ เป็นการสร้างบริษัทเครือข่าย หรือควบคุม หรือผูกขาด การบริหารงานของบริษัทจำกัดดังกล่าวในการประกอบกิจการอื่นทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม จะต้อง กำหนดให้สถาบันการเงินอื่นหรือบุคคลที่สาม ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์หรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ใด ๆ กันสถาบันการเงินและลูกหนี้ เป็นผู้ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ฐานะและความสามารถในการ จ่ายชำระหนี้ ตลอดจนกระแสเงินสดของลูกหนี้ ทั้งนี้ สถาบันการเงินอื่น หรือบุคคลที่สามจะต้อง เป็นผู้ชำนาญการเฉพาะ ซึ่งประกอบธุรกิจเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการเงินหรือการดำเนินงาน หรือ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน หรือธุรกิจการให้คำปรึกษาทางการเงินหรือเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการ เงินที่มีชื่อเสียง มีความชำนาญ มีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับ ในกรณีสถาบันการเงินเข้าไปมีความสัมพันธ์หรือมีประโยชย์เกี่ยวข้องเนื่องจาก การเข้าไปแก้ไขปัญหาหนี้ของลูกหนี้นั้น ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังจากที่หลักเกณฑ์นี้มีผลบังคับใช้ สถาบันการเงินไม่ต้องกำหนดให้มีสถาบันการเงินอื่นหรือบุคคลที่สามเป็นผู้ทำหน้าที่วิเคราะห์ ฐานะและความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ ตลอดจนกระแสเงินสดของลูกหนี้ก็ได้ ข้อ ๔ ขั้นต้นการปฏิบัติงานและการจัดทำเอกสารประกอบ ในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและเอกสารที่เกี่ยวข้องในแต่ละขั้นตอนให้ถือ ปฏิบัติดังนี้ ๔.๑ ขั้นตอนการวิเคราะห์และการจัดทำเอกสารเมื่อมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ควรมีการจัพทำรายงานการวิเคราะห์ลูกหนี้และเอกสารที่เกี่ยวข้องประกอบการ พิจารณาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ดังนี้ (๑) สาเหตุที่หนี้มีปัญหาและเหตุผลที่มีการจ่ายชำระดอกเบี้ยและ/หรือต้นเงิน ล่าช้ากว่ากำหนด (๒) ความรุนแรงของปัญญา และความเสี่ยงทางด้านการเงินของลูกหนี้ โดย พิจารณาจากงบการเงิน งบกระแสเงินสด และการประมาณการทางการเงิน แล้วแต่กรณี รวมทั้ง การประเมินสถานการณ์ทางการตลาด ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่จำเป็น และเกี่ยวข้องกับฐานะ และการดำเนินงานของลูกหนี้ (๓) การคาดการณ์เกี่ยวกับการรับชำระหนี้คืนเต็มจำนวนทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย ในกรณีที่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และกรณีที่ไม่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (๔) การประเมินคุณภาพการบริหารของลูกหนี้ โดยมุ่งเน้นประสิทธิภาพขององค์ การ ในกรณีที่จำเป็นอาจต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เช่น การเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร การจัดระบบการบริหารใหม่ เป็นต้น กรณีลูกหนี้บุคคลธรรมดา ควรจะ กำหนดให้มีการเรียกหลักประกันเพิ่มเติม หรือกำหนดให้มีการค้ำประกันจากบุคคลที่เชื่อถือได้ เพิ่มเติม (๕) ความครบถ้วนของเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณาปรับปรุงโครง สร้างหนี้ (๖) การประเมินมูลค่าหลักประกัน (ถ้ามี) ตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่า หลักประกันของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๗) แนวคิดหรือสมมติฐานเกี่ยวกับการประมาณการกระแสเงินสด ซึ่งควรตั้งอยู่ บนความสมเหตุสมผลและความเป็นไปได้ ทั้งนี้ ในการประมาณการกระแสเงินสดข้างต้น ไม้ให้สถาบันการเงินนำกระแสเงิน สดที่ยังไม่มีความแน่นอนว่าจะได้รับ ได้แก่ เงินต้นหรือสิทธิในการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย หากกิจ การของลูกหนี้ฟื้นตัวขึ้น หรือสิทธิในการแปลงสภาพของหุ้นกู้แปลงสภาพ เป็นต้น มารวมในการ คำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสด (๘) การพิจารณา ข้อสรุป และการอนุมัติเกี่ยวกับเงื่อนไขผ่อนปรนที่ควรให้ใน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ได้แก่ การลดอัตราดอกเบี้ย การลดต้นเงิน การลดดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ ค้างชำระ และการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ เป็นต้น ทั้งนี้ เงื่อนไขดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับ อายุโครงการของลูกหนี้ (Economic Life) หรือระยะเวลาการให้บริการของโครงการลูกหนี้ รวม ทั้งสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ และช่วยทำให้ฐานะการเงินของลูกหนี้ดี ขึ้นจนมีความสามารถจ่ายชำระหนี้คืนภายใต้เงื่อนไขที่มีการปรับปรุงใหม่ได้ตลอดไป (๙) จัดทำตารางแสดงการชำระหนี้คืนหลังการปรับปรุงเงื่อนไขการชำระหนี้ที่ สอดคล้องกับความสามารถชำระหนี้ของลูกหนี้ (๑๐) รายละเอียดเงื่อนไขทางการเงินต่าง ๆ การห้ามจ่ายเงินปันผล การลดทุน เพื่อให้ผู้ถือหุ้นเดิมรับภาระในส่วนนี้ก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การให้เพิ่มทุน การสงวนสิทธิ สำหรับการปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นตามความสามารถในการจ่ายชำระหรือของลูกหนี้ เป็นต้น (๑๑) จัดทำเอกสารหลักฐานและสัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครง สร้างหนี้ให้ครบถ้วยและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย (๑๒) กรณีมีการให้กู้ยืมเงินเพิ่มเติมภายหลังการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สถาบัน การเงินต้องระบุวัตถุประสงค์ของการใช้เม็ดเงินใหม่อย่างชัดเจนซึ่งจะต้องไม่ใช่การนำเม็ดเงินใหม่ ที่กู้เพิ่มมาใช้เพื่อชำระหนี้เดิม (๑) กำหนดให้มีการจัดทำรายงานความคืบหน้าเสนอผู้บริหารโดยรายงานนี้จะ ต้องแสดงถึงพัฒนาการล่าสุด แผนการปฏิบัติงานที่อยู่ในปัจจุบันและแนวโน้มที่จะได้รับชำระหนี้ คืนในที่สุด (๒) กำหนดให้ลูกหนี้จัดส่งงบการเงิน รวมทั้งกำหนดให้ลูกหนี้ต้องรายงานผล การปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินต่าง ๆ เช่น การห้ามจ่ายเงินปันผล การลดทุน การเพิ่มทุน เป็นต้น (๓) กำหนดวิธีการแก้ไขปัญหาลูกหนี้ที่ไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ตามสัญญาหรือ ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ข้อ ๕ ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบก ษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๒ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๒/๔๔ง/๓๕/๓ มิถุนายน ๒๕๔๒]
328526
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2542
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียน ในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๒ -------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒ (๕) ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑ ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๔๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(๕) เงินสำรองจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินและอาคารตามหลัก เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ซึ่งได้กันไว้ตามนัยประกาศธนาคารแห่ง ประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคา หรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ หรือที่จะแก้ไขเพิ่มเติมภายหลัง ทั้งนี้ ธนาคาร พาณิชย์จะนับเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติเข้าเป็นเงินกองทุนได้ไม่เกินร้อยละ ๑.๒๕ ของยอดสินทรัพย์เสี่ยง" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๒/๔๔ง/๓๑/๓ มิถุนายน ๒๕๔๒]
321460
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกเก็บคืนไม่ได้ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ------------- อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังออกข้อกำหนดไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๑ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๑๑ ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้ (๑) ตัดส่วนสูญเสียออกจากบัญชี หรือกันเงินสำรองดังต่อไปนี้ (ก) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือรับชำระหนี้โดยการรับโอนสินทรัพย์ ตราสารการเงินหรือ รับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุนให้ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายบัญชีลูกหนี้และ บันทึกส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้น พร้อมกับโอนกลับรายการสำรองส่วนเกินที่กันไว้เฉพาะสำหรับลูกหนี้ รายนั้นทั้งจำนวนได้ (ข) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ให้แก่ลูก หนี้โดยลดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราตลาด แต่ไม่ลดต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับ ปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการคำนวณ ราคาตามบัญชีใหม่ของลูกหนี้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดทั้งจำนวน เว้นแต่ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๓ ธนาคารพาณิชย์สามารถทยอยกันเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียดังกล่าวได้ในทำนองเดียว กับข้อ ๑๓ แต่ต้องไม่เกินอายุของสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์สามารถ โอนกลับรายการเงินสำรองที่กันไว้แล้วเดิมก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายนั้นได้ เฉพาะจำนวนที่กันไว้แล้วสูงกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องทยอยกัน และหากเงินสำรองที่กันไว้แล้ว ต่ำกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องทยอยกันก็ให้กันเงินสำรองเพิ่มขึ้นให้ครบจำนวนส่วนสูญเสียที่ ต้องทยอยกันดังกล่าว (ค) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่นการ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือรับชำระหนี้บางส่วนโดยการรับโอนสินทรัพย์ ตราสารการ เงิน หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุน และผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ใน ส่วนที่เหลือให้แก่ลูกหนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตาม (ก) สำหรับกรณีการลดต้นเงินหรือดอก เบี้ย หรือการรับชำระหนี้ดังกล่าว และปฏิบัติตาม (ข) ในส่วนการลดอัตราเงินต้นหรือดอกเบี้ยต่ำ กว่าอัตราตลาด (๒) ในระหว่างติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ซึ่งลูก หนี้ต้องชำระเงินตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๓ เดือน หรือ ๓ งวดการชำระเงิน แล้วแต่ระยะเวลาใดจะนานกว่าให้ดำเนินการดังนี้ (ก) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นสงสัยจะสูญ หรือสงสัย ให้จัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตราฐาน (ข) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน หรือกล่าวถึงเป็นพิเศษ ให้คงจัดชั้น เช่นเดิม ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ตามสถานการจัดชั้นหลัง การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หากเงินสำรองตาม (๒) นี้มีจำนวนสูงกว่าเงินสำรองสำหรับส่วนสูญ เสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตาม (๑) (ข) และ (ค) เมื่อลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ โดยชำระเงิน ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๓ เดือน หรือ ๓ งวด การชำระเงิน แล้ว ให้ถือเป็นลูกหนี้จัดชั้นปกติ ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ ให้นับระยะเวลา การค้างชำระรวมกับระยาเวลาการค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แล้วพิจารณาจัดชั้น ตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นเพื่อการกันเงินสำรองตามเกณฑ์ในประกาศ ฉบับนี้ต่อไป (๓) สำหรับลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้าง หนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดและเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันที่โดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติ ตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (ก) ลูกหนี้ที่สามารถชำระดอกเบี้ยได้ไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด (Market interest rate) โดยไม่มีช่วงปลอดการชำระดอกเบี้ยแต่อาจมีช่วงปลอดชำระเงินต้นได้ (ข) ลูกหนี้ที่มีส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของยอดหนี้ตามบัญชีก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งไม่มีการตัดออกจากบัญชีแล้ว หรือไม่มี การกันเงินสำรองในอัตราดังกล่าวครบถ้วนแล้วโดยหนี้ส่วนที่เหลือได้มีการวิเคราะห์ฐานะและกิจ การของลูกหนี้ตลาดจนกระแสเงินสดอย่างมีหลักเกณฑ์ สมเหตุสมผล และมีหลักฐานประกอบจน เชื่อได้แน่นอนว่าลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ (ค) ลูกหนี้ในลักษณะ หรือมีเจ้าหนี้หลายราย ซึ่งบรรดาเจ้าหนี้ได้ตกลงปรับ ปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกันได้ และสามารถแสดงหลักฐานการวิเคราะห์ฐานะและกิจการของลูกหนี้ ตลอดจนกระแสเงินสดอย่างมีหลักเกณฑ์ สมเหตุสมผล และมีความเป็นไปได้แน่นอนที่ลูกหนี้จะ ปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ (ง) กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องร้องลูกหนี้ ต่อมาได้มีการตกลงทำสัญญา ประนีประนอมยอมความและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้วและกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้อง ร้องลูกหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยการล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบตามคำขอประนอมหนี้ หรือแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ (๔) กรณีที่ะนาคารพาณิชย์ได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยได้รับความเห็น ชอบจากธนาคาแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตาม เงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (๕) ในกรณีที่เห็นว่ามีข้อผิดสังเกตในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ธนาคารแห่ง ประเทศไทยอาจสั่งการให้มีการแก้ไข หรือให้ธนาคารพาณิชย์หาผู้เชี่ยวชาญอิสระมาประเมินหรือ ทบทวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แต่ละรายได้" ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๓ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลง วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๑๓ เว้นแต่สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ (๒) ซึ่งให้ถือปฏิบัติในข้อ ๑๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยกันเงินสำรองให้ครบถ้วน ทั้งในกรณีสินทรัพย์จัดชั้นและกรณีส่วน สูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามข้อ ๑๑ ภายในสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหก เดือนหลังของปี ๒๕๔๓ โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) ภายในสิ้นงวดบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๑ ให้กันเงิน สำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๒) ภายในสิ้นงวดบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๒ ให้กันเงิน สำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๓) ภายในสิ้นงวดบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๒ ให้กันเงิน สำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๔) ภายในสิ้นงวดบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๓ ให้กันเงิน สำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๕) ภายในสิ้นงวดบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๒ ให้กันเงิน สำรองให้ครบถ้วย ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ต้องลดทุนเพราะเหตุที่ทางการใช้อำนาจสั่งการตาม กฎหมาย จำนวนเงินสำรองที่ต้องกันซึ่งจะนำมาใช้ในการพิจารณาลดทุนนั้น คือเงินสำรองที่ต้อง กันเต็มทั้งจำนวน โดยจะไม่นำการทยอยกันตามวรรคแรกมาใช้บังคับ อนึ่ง หากธนาคารพาณิชย์ได้กันเงินสำรองไว้แล้วมากกว่าจำนวนเงินสำรองทยอย กันเงินสำรองในแต่ละงวด ธนาคารพาณิชย์จะต้องคงจำนวนเงินสำรองดังกล่าวไว้ในบัญชีต่อไปจน กว่าจะกันเงินสำรองได้ครบถ้วนแล้ว เว้นแต่เป็นการลดลงของเงินสำรองอันเนื่องมาจากการปรับ ปรุงโครงสร้างหนี้ตามข้อ ๑๑ อย่างไรก็ดีไม่ว่ากรณีใด จำนวนเงินสำรองคงเหลือต้องไม่ต่ำกว่า อัตราที่ให้ทยอยกันตามวรรคแรก" ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๕ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องสิน ทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวัน ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่งวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรก ของปี ๒๕๔๒ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล รองผู้ว่าการ แทน ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๒/พ๒๐ง/๑๙/๓๐ มีนาคม ๒๕๔๒]
320737
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2542
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๒ -------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อ ๓ แห่งประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคาร พาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๑๑) ของข้อ ๑๔ แห่งประกาศธนาคารแห่ง ประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคาร พาณิชย์ ลงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๑ ที่แก้ไขแล้ว (๑๑) การให้เช่าชื้อหรือการให้เช่าแบบลีสซิ่ง ภายใต้ข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ๑. ในข้อกำหนดนี้ "ผู้เช่า" หมายความว่า ผู้เช่าซื้อหรือผู้เช่าแบบลีสซิ่ง "เงินรายงวด" หมายความว่า เงินที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระแก่ธนาคารพาณิชย์ในแต่ ละงวด ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นดอกผลเช่าซื้อและราคาเงินสดประจำงวดตามเงื่อนไขในสัญญา เช่าซื้อ "ค่าเช่า" หมายความว่า ค่าเช่าตามสัญญาเช่าแบบลีสซิ่ง "การปรับปรุงโครงสร้างหนี้" หมายความว่า การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เป็นไป ตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย "เช่าซื้อ" หมายความว่า เช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ "การให้เช่าแบบลีสซิ่ง" หมายความว่า การให้เช่าสินทรัพย์สินเพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้ ประโยชน์ในกิจการอุตสาหกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการบริการอย่างอื่นเป็นทาง ค้าปกติ โดยผู้เช่ามีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่าทั้งนี้ ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญา ก่อนครบกำหนดเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ผู้เช่ามีสิทธิที่จะซื้อหรือเช่าทรัพย์สินนั้นต่อไปในราคา หรือค่าเช่าที่ได้ตกลงกัน ๒. ให้ธนาคารพาณิชย์ให้เช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง ซึ่งทรัพย์สินที่ได้รับโอนมา เพื่อชำระหนี้จากลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ๓. การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง เมื่อผู้เช่าผิดนัดไม่ชำระเงิน รายงวดหรือค่าเช่าสองงวดติด ๆ กัน หรือเมื่อผู้เช่ากระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ ธนาคารพานิชย์ต้องแจ้งการบอกเลิกสัญญาพร้อมด้วยเหตุผลเป็นหนังสือให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าไม่ น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้เช่าได้รับหนังสือดังกล่าว ในหนังสือบอกเลิกสัญญาพร้อมด้วยเหตุ ผลเป็นหนังสือให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้เช่าได้รับหนังสือดังกล่าว ในหนังสือบอกเลิกสัญญานั้นให้ระบุด้วยว่าหากผู้เช่าชำระค่าเช่างวดที่ค้างชำระ หรือแก้ไขการผิด สัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญดังกล่าวแล้วแต่กรณี ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอก เลิกสัญญา การบอกเลิกสัญญานั้นเป็นอันระงับไป ในกรณีที่ผิดนัดไม่ชำระเงินรายงวดหรือค่าเช่าสองงวดติดต่อกัน หรือกระทำผิด สัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ หากผู้เช่าชำระค่าเช่างวดที่ค้างชำระเงินรายงวดที่ค้างชำระหรือแก้ไข การผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา ให้ การบอกเลิกสัญญานั้นเป็นอันระงับไป ๔. เมื่อสิ้นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ จะ ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อ หรือการให้เช่าแบบลีสซิ่งเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๒ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๒/๖ง/๗/๒๑ มกราคม ๒๕๔๒]
320736
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การดำเนินการแก้ไขปัญหาและการปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การดำเนินการแก้ไขปัญหาและการปรับปรุง ระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารพาณิชย์ -------------- เพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่ง ประเทศไทยออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ การงดเว้นการกระทำต่อไปนี้ของธนาคารพาณิชย์ ให้ถือว่าเป็นการงดเว้น กระทำการตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามมาตรา ๒๒ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ คือ (๑) ดำเนินการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อความพร้อม สำหรับปี ค.ศ. ๒๐๐๐ และปฏิบัติตามหนังสือ ที่ ธปท. ง. (ว) ๑๗๒๑/๑๕๔๑ ลงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๔๑ เรื่อง ความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาและการปรับปรุงระบบ คอมพิวเตอร์ เพื่อความพร้อมสำหรับปี ค.ศ. ๒๐๐๐ หนังสือ ที่ ธปท. ง. (ว) ๒๓๙๐/๒๕๔๑ ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๑ เรื่อง การเปิดเผยการดำเนินการแก้ไขปัญหาและการปรับปรุงระบบ คอมพิวเตอร์ เพื่อความพร้อมสำหรับปี ค.ศ. ๒๐๐๐ และหนังสือ ที่ ธปท. ง. (ว) ๔๐๘๕/๒๕๔๑ ลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๑ เรื่อง การจัดทำรายงานการสอบทานการแก้ไขปัญหาและการปรับปรุง ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อความพร้อมสำหรับปี ค.ศ. ๒๐๐๐ ของผู้ตรวจสอบภายใน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ทุกระบบให้เสร็จ สิ้นภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๔๒ โดยระบบสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อฐานะและการดำเนินงาน ของธนาคารพาณิชย์และต่อผลประโยชน์ของประชาชนทั่วไปนั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการ แก้ไขปัญหาและปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมกราคม ๒๕๔๒ (๒) ดำเนินการทดสอบการทำงานร่วมกันของระบบงานสำคัญภายในธนาคาร พาณิชย์นั้นและสาขาที่สำคัญในเมืองหลักที่ทางธนาคารพาณิชย์นั้นเห็นสมควร (๓) ดำเนินการอื่น ๆ เพื่อเตรียมการให้พร้อมสำหรับปี ค.ศ. ๒๐๐๐ ตามที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดต่อไป ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๒ หม่อนราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๒/๖ง/๕/๒๑ มกราคม ๒๕๔๒]
307134
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อ และให้เช่าแบบลีสซิ่ง อันเนื่องมาจากการ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทย อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่า ทรัพย์สินแบบลีสซิ่ง อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ "ผู้เช่า" หมายความว่า ผู้เช่าซื้อหรือผู้เช่าแบบลีสซิ่ง "เงินรายงวด" หมายความว่า เงินที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระแก่ธนาคารพาณิชย์ในแต่ ละงวด ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นดอกผลเช่าซื้อและราคาเงินสดประจำงวดตามเงื่อนไขในสัญญา เช่าซื้อ "ค่าเช่า" หมายความถึง ค่าเช่าตามสัญญาเช่าแบบลีสซิ่ง "การปรับปรุงโครงสร้างหนี้" หมายความว่า การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เป็นไป ตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย "เช่าซื้อ" หมายความว่า เช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ "การให้เช่าแบบลีสซิ่ง" หมายความว่า การให้เช่าทรัพย์สิน เพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้ ประโยชน์ในกิจการอุตสาหกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการบริการอย่างอื่นเป็นทาง ค้าปกติ โดยผู้เช่ามีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่า ทั้งนี้ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญา ก่อนครบกำหนดเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ผู้เช่ามีสิทธิที่จะซื้อหรือเช่าทรัพย์สินนั้นต่อไปในราคา หรือค่าเช่าที่ได้ตกลงกัน ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ให้เช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลิสซิ่ง ซึ่งทรัพย์สินที่ได้รับ โอนมาเพื่อชำระหนี้จากลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ข้อ ๓ การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าแบบลีสซิ่ง เมื่อผู้เช่าผิดนัดไม่ ชำระเงินรายงวดสองงวดหรือค่าเช่าสองงวดติดๆ กัน หรือเมื่อผู้เช่ากระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็น ส่วนสำคัญ ถ้าธนาคารพาณิชย์จะบอกเลิกสัญญา ธนาคารพาณิชย์ต้องแจ้งการบอกเลิกสัญญา พร้อมด้วยเหตุผลเป็นหนังสือให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้เช่าได้รับ หนังสือดังกล่าว ในหนังสือบอกเลิกสัญญานั้นให้ระบุด้วยว่าหากผู้เช่าชำระเงินรายงวดที่ค้างชำระ หรือแก้ไขการผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญดังกล่าว แล้วแต่กรณี ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา การบอกเลิกสัญญานั้นเป็นอันระงับไป ในกรณีที่ผิดนัดไม่ชำระเงินรายงวดสองงวดติดต่อกัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อ ที่เป็นส่วนสำคัญ หากผู้เช่าชำระเงินรายงวดหรือค่าเช่าที่ค้างชำระหรือแก้ไขการผิดสัญญาในข้อที่ เป็นส่วนสำคัญ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา ให้การบอกเลิกสัญญา นั้นเป็นอันระงับไป ข้อ ๔ เมื่อสิ้นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ ธนาคารพาณิชย์จะประกอบธุรกิจการ ให้เช่าซื้อหรือการให้เช่าแบบลีสซิ่งเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันลงนามเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๒ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๒/พ๖ง/๑๐/๒๑ มกราคม ๒๕๔๒]
324392
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การดำรงสินทรัพย์ของสาขาธนาคารต่างประเทศ
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การดำรงสินทรัพย์ของสาขาธนาคารต่างประเทศ ------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกประกาศ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงการคลังออกตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ และให้ใช้ประกาศฉบับนี้แทน ข้อ ๒ สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร พาณิชย์ ตามมาตรา ๖ ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า ๑๒๕ ล้านบาท ข้อ ๓ สินทรัพย์ที่สาขาของธนาคารต่างประเทศต้องดำรงตามข้อ ๒ มีดังนี้ (๑) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หลักทรัพย์รัฐบาลไทย พันธบัตรธนาคาร แห่งประเทศไทย และพันธบัตรกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (๒) หุ้น หุ้นกู้ หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๓) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน ต้นเงินและดอกเบี้ย (๔) หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือ รัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น หรือรัฐวิสาหกิจอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ (๕) อสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือสำหรับพนักงาน และลูกจ้าง โดยหักค่าเสื่อมราคาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ (๖) เงินลงทุนในนิติบุคคลซึ่งในที่สุดจะนำไปลงทุนในหุ้นสามัญ หรือหุ้นบุริมสิทธิ ของธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุนที่จดทะเบียนในประเทศไทยตามโครงการที่ได้รับความเห็นชอบ จากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเงินลงทุนในหุ้นสามัญหรือในหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารพาณิชย์หรือ บริษัทเงินทุนที่จดทะเบียนในประเทศไทย ข้อ ๔ ในการดำรงสินทรัพย์ตามข้อ ๓ สาขาของธนาคารต่างประเทศต้องปฏิบัติ ตามวิธีการและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (๑) สินทรัพย์ที่ดำรงต้องปราศจากภาระผูกพัน (๒) สินทรัพย์ที่ดำรงต้องเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากสินทรัพย์สภาพคล่อง ซึ่งต้อง ดำรงไว้ตามมาตรา ๑๑ ตรี (๓) สำหรับสินทรัพย์ตามข้อ ๓ (๑) - (๔) และ (๖) ให้คำนวณมูลค่าสินทรัพย์โดย ถือตามราคาตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า (๔) สำหรับสินทรัพย์ตามข้อ ๓ (๕) ให้ถือเป็นสินทรัพย์ที่ดำรงได้ไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของสินทรัพย์ที่ต้องดำรง (๕) สินทรัพย์ที่ต้องดำรงต้องจัดหาด้วยเงินทุนตามมาตรา ๖ วรรคสาม (๖) ในการใช้เงินทุนเพื่อดำรงสินทรัพย์ตามข้อ ๓ สาขาของธนาคารต่างประเทศที่มี บัญชีระหว่างกันกับสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นที่เป็นนิติบุคคลเดียวกัน จะต้องมีดุลเป็นลูกหนี้สุทธิต่อ สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นดังกล่าว ในเวลาใดเวลาหนึ่งไม่น้อยกว่าสินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามข้อ ๓ สำหรับการคำนวณหาดุลเป็นลูกหนี้สุทธิดังกล่าวข้างต้นให้นำยอดที่สาขาของ ธนาคารต่างประเทศเป็นลูกหนี้สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นดังกล่าวมาหักด้วย (๑) ยอดที่สาขาของ ธนาคารต่างประเทศนั้นเป็นเจ้าหนี้สำนักงานใหญ่และสาขาอื่นดังกล่าว (ยอดสุทธิบัญชีระหว่างกัน) และ (๒) ผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานประจำปีซึ่งได้ผ่านการรับรองจากผู้สอบบัญชีในประเทศ ไทยแล้ว ข้อ ๕ สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร พาณิชย์ตามมาตรา ๖ เฉพาะกิจการวิเทศธนกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจ การวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ล้านบาทหรือเทียบเท่า และจะดำรงใน รูปสินทรัพย์ใด ๆ ก็ได้ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๔๑/พ๗๓ง/๑๕/๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๑] พรพิมล/พิมพ์ ๑๐/๐๖/๔๕ B+A (C )
308391
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2541
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑ ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ การทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒ และข้อ ๓ ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๒ เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย ได้แก่ (๑) ทุนชำระแล้ว ซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับ และเงินที่ ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น (๒) ทุนสำรองตามกฎหมาย (๓) เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุม ใหญ่ถือหุ้น หรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่รวมเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสิน ทรัพย์ และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้ (๔) กำไรสุทธิคงเหลือจากการจัดสรร (๕) เงินสำรองจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินและอาคาร ตามหลัก เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ซึ่งต้องกันไว้ตามนัยในประกาศธนาคาร แห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มี ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ หรือที่จะแก้ไขเพิ่มเติมภายหลัง โดย ธนาคารพาณิชย์ต้องกันสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย สินทรัพย์ จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน และสินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษได้ครบถ้วนเต็มจำนวนตามอัตรา ส่วนที่ต้องกันสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นแต่ละประเภทที่กล่าวทั้งหมดก่อน ทั้งนี้ ธนาคาร พาณิชย์จะนับเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติเข้าเป็นเงินกองทุนได้ไม่เกินร้อยละ ๑.๒๕ ของยอดสินทรัพย์เสี่ยง (๖) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกตราสารประเภท จำนวนเงินหลัก เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนส่วนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) และ (๔) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นใน ทุกงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) ให้หักเงินตามตราสารใน (๖) ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่น ที่ธนาคารพาณิชย์นั้นถือไว้ และสินทรัพย์อื่นใด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) ถึง (๔) ยกเว้นเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นบุริมสิทธิ ชนิดสะสมเงินปันผล ให้รวมเรียกว่า เงินกองทุนชั้นที่ ๑ ส่วนเงินกองทุนที่ระบุใน (๕) ถึง (๖) และเงินที่ไดรับจากการออกหุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสมเงินปันผล ให้รวมเรียกว่า เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ทั้งนี้ เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ต้องมีจำนวนสูงสุดไม่เกินเงินกองทุนชั้นที่ ๑ และการออกหุ้นบุริมสิทธิ ชนิดสะสมเงินปันผล จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนด ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุนเป็นอัตรา ส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘.๕ โดยมีเงื่อนไขว่าเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ต้อง เป็นอัตราส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔.๒๕ ของสินทรัพย์และภาระผูกพันดังกล่าว ทั้งนี้ การดำรงเงินกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กำหนดไว้ในข้อ ๔ ถึงข้อ ๖" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๑/๗๓ง/๒๓/๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๑]
320735
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการบันทึกบัญชีรับรู้ดอกเบี้ยค้างรับเป็นรายได้
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่อง การบันทึกบัญชีรับรู้ดอกเบี้ยค้างรับเป็นรายได้ ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ และมาตรา ๒๒ (๘) แห่งพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการบัญชีในการ ปรับปรุงวิธีการรับรู้ดอกเบี้ยค้างรับเข้าเป็นรายได้ของธนาคารพาณิชย์ ดังนี้ ข้อ ๑ ในการจัดทำบัญชีรวมทั้งงบการเงินให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตาม เกณฑ์สิทธิทุกสิ้นเดือน เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้ให้ระงับการบันทึกบัญชีเป็นรายได้ (๑) เมื่อลูกหนี้เงินให้กู้ยืมและหรือลูกหนี้ที่เกิดจากการค้ำประกัน หรือการรับ รอง รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินรายใด ค้างชำระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๓ เดือน นับแต่วันครบกำหนดชำระตามสัญญา (๒) เมื่อลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีรายใดที่ไม่มีวงเงิน หรือถูกยกเลิกวงเงินหรือมี วงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน และเกินยอดดอกเบี้ยค้างชำระโดยไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชี เพื่อชำระดอกเบี้ยเกินกว่า ๓ เดือน นับแต่วันที่เริมค้างชำระดอกเบี้ย หรือมีเม็ดเงินนำเข้าบัญชี เพื่อชำระดิกเบี้ยเป็นบางส่วนแต่ดอกเบี้ยคงค้างยังเกิน ๓ เดือน (๓) เมื่อลูกหนี้เงินให้กู้ยืมและหรือลูกหนี้ที่เกิดจากการค้ำประกัน หรือการรับ รอง รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินรายใด หรือลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีรายใดค้างชำระ ดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันไม่เกิน ๓ เดือน นับแต่วันครบกำหนดชำระตามสัญญา แต่ถูกจัดชั้น เป็นประเภทสินทรัพย์จัดชั้นสูญสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ หรือสินทรัพย์จัดชั้นสงสัย ตาม ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ ข้อ ๒ ในกรณีที่ลูกหนี้ค้างชำระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาไม่ถึง ๓ เดือน ธนาคาร พาณิชย์จะบันทึกบัญชีเป็นรายได้ตามจำนวนเงินที่ได้รับชำระก็ได้ ข้อ ๓ ดอกเบี้ยที่ได้รับชำระบางส่วนต้องชำระดอกเบี้ยค้างรับที่ธนาคารพาณิชย์ รับรู้เป็นรายได้แล้วในบัญชีก่อนที่จะนำไปตัดดอกเบี้ยค้างรับที่ยังไม่บันทึกบัญชีเป็นรายได้ ข้อ ๔ ธนาคารพาณิชย์จะบันทึกบัญชีเป็นรายได้ตามเกณฑ์สิทธิได้ใหม่สำหรับลูก หนี้ที่ต้องระงับการบันทึกบัญชีเป็นรายได้ตามข้อ ๑ เมื่อลูกหนี้ได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่รับรู้ เป็นรายได้แล้ว และที่ยังไม่บันทึกบัญชีเป็นรายได้ที่ค้างชำระทั้งหมดแล้ว ข้อ ๕ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๓ เป็นต้นไป ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกยก เลิกรายได้จากการบันทึกบัญชีดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมหรือเงินเบิกเกินบัญชีของลูกหนี้ที่ธนาคาร พาณิชย์บันทึกบัญชีเป็นรายได้ไว้แล้วตามข้อ ๑ ออกจากบัญชีเมื่อลูกหนี้รายดังกล่าวเป็นลูกหนี้ที่ ค้างชำระหรือมีลักษณะตามข้อ ๑ (๑) (๒) และ (๓) ความในวรรคแรกไม่ใช้บังคับกับการบันทึกบัญชีดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมหรือเงิน เบิกเกินบัญชีที่ธนาคารพาณิชย์ได้บันทึกบัญชีเป็นรายได้ก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๓ ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๒ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๑/๑๓๐ง/๓๘/๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๑]
307133
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียม และภาษีอากรในการรวมกิจการระหว่างธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบริษัทเงินทุน 12 บริษัท
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียม และภาษีอากรในการรวมกิจการระหว่าง ธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบริษัทเงินทุน ๑๒ บริษัท ------------- โดยที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๑ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีเพิ่ม เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๑ และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ให้ความเห็นชอบโครงการรวม กิจการระหว่างธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบริษัทเงินทุน ๑๒ บริษัทบรรลุเป้าหมายตามแผนการฟื้นฟูระบบสภาบันการเงิน ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้ความ เห็นชอบการรวมกิจการระหว่างสถาบันการเงินดังกล่าว และมีผลให้ดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๑ นั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๘ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑ คณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้การรวมกิจการระหว่าง ธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบริษัทเงินทุน ๑๒ บริษัท ได้แก่ (๑) บริษัทเงินทุนธนสยาม จำกัด (มหาชน) (๒) บริษัทเงินทุนนวธนกิจ จำกัด (มหาชน) (๓) บริษัทเงินทุนบางกอกเอเซียน จำกัด (๔) บริษัทเงินทุนเฟิสท์ ซิตี้ อินเวสเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (๕) บริษัทเงินทุนมหาทุน จำกัด (๖) บริษัทเงินทุนวชิระธนทุน จำกัด (๗) บริษัทเงินทุนเศรษฐการ จำกัด (๘) บริษัทเงินทุนเอราวัณทรัสต์ จำกัด (๙) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยซัมมิท จำกัด (๑๐) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เคสิท จำกัด (มหาชน) (๑๑) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ จำกัด (มหาชน) (๑๒) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไอเอฟซีที ไฟแนนซ์ จำกัด (มหาชน) ให้ได้รับ การยกเว้นค่าธรรมเนียม และภาษีอากรต่าง ๆ บรรดาที่เกิดจากการรวมกิจการทั้งหมดหรือบาง ส่วน เป็นการเฉพาะราย ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๔๑/๑๐๒ง/๖/๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๑]
306628
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2541
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑ ------------ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอขอให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑ นั้น ในคราว ประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ ๒๐ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๑๘ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๑ ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าว และในคราวประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๗ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันศุกร์ที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติพระ ราชกำหนดดังกล่าว จึงประกาศมาตามความในมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกาศ ณ วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี [รก.๒๕๔๑/๕๕ก/๑๒/๑ กันยายน ๒๕๔๑]
328511
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ให้ความเห็นชอบโครงการโอนกิจการของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ให้ความเห็นชอบโครงการโอนกิจการของธนาคารมหาชน จำกัด (มหาชน) ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ------------ โดยที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน อาศัยอำนาจตามความใน มาตรา ๓๘ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยคำแนะนำของ ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบการดำเนินการตามโครงการโอนกิจการของธนาคารแห่ง ประเทศไทยเห็นชอบการดำเนินการตามโครงการโอนกิจการของธนาคารมหาชน จำกัด (มหาชน) ให้แก่ธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) ดังต่อไปนี้ ๑. การโอนกิจการ ให้โอนสินทรัพย์ และหนี้สินทั้งหมดของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) โดย ให้เร่งดำเนินการและให้ดูแลลูกหนี้ เจ้าหนี้นั้น ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ ตามที่พึงได้โดยครบถ้วน ๒. หนังสือสัญญาการโอน การดำเนินการตามข้อ ๑ ให้ทำเป็นหนังสือสัญญาก่อนดำเนินการโอนสินทรัพย์ และหนี้สิน ทั้งนี้ หนังสือสัญญาดังกล่าวต้องไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับการโอนสินทรัพย์และหนี้สินคืน ให้แก่ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ๓. การคืนในอนุญาต เมื่อดำเนินการตามข้อ ๑ และข้อ ๒ เสร็จสิ้นแล้วให้ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) คืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ให้แก่กระทรวงการคลังเมื่อโอนสิน ทรัพย์ เงินฝากกและเจ้าหนี้สามัญให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ ทั้งนี้ ต้องไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ ๔. กำหนดระยะเวลาการให้ความเห็นชอบ หากธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ไม่เริ่มดำเนินการโอนกิจการตามโครง การนี้ ภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ถือว่า การให้ความเห็น ชอบตามประกาศนี้เป็นอันสิ้นผล ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๔๑/พ๘๒ง/๕/๑๖ กันยายน ๒๕๔๑]
301600
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนดให้ธนาคารพาริชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๑ จัตวา และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความ เห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรง สินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๐ (๒) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรง สินทรัพย์สภาพคล่อง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๑ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์นอกจากกิจการวิเทศธนกิจและกิจการวิเทศธนกิจสาขา ต่างจังหวัดต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของ (๑) ยอดรวมเงินฝากทุกประเภท (๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ก่อน วันครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้า มาในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย ข้อ ๓ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามข้อ ๒ ดังกล่าวต้องประกอบด้วย (๑) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ (๒) เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ แต่ให้ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ไม่เกิน ร้อยละ ๒.๕ (๓) หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกพัน ดังต่อไปนี้ ก. หลักทรัพย์รัฐบาลไทย ข. พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ค. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและ ดอกเบี้ย ง. พันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนาระบบสถาบันการเงิน จ. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนา ระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ฉ หุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจซึ่งธนาคารแห่ง ประเทศไทยให้ความเห็นชอบหรือที่ออกโดยบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ช. ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลก เปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ข้อ ๔ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจ และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดต้อง ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของ (๑) ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ ยกเว้นเงินฝากที่มีข้อตก ลงหรือเงื่อนไขห้ามถอนเงินคืนก่อนครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันฝาก (๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ก่อน ครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับเฉพาะยอดรวมเงินฝาก หรือยอดรวมเงินกู้ยืมของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศและกิจการวิเทศธนกิจเพื่อ การให้กู้ยืมเป็นเงินบาทในต่างจังหวัดเท่านั้น และให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทย จากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตาม (๑) และ (๒) ให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๓ (๓) ยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากทุกประเภท ยกเว้นยอดรวมเงินฝากของกิจการ วิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ และยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศที่ กล่าวใน (๑) แห่งข้อนี้ โดยกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและกิจการวิเทศธนกิจ สาขาต่างจังหวัดจะถือเอาสินทรัพย์ใด ๆ เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงก็ได้ ส่วนกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๓ ข้อ ๕ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามประกาศนี้ให้คิดจากส่วนเฉลี่ยราย ปักษ์ของทุกสิ้นงวด และส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของยอดรวมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ แล้วแต่กรณีทุกสิ้นวันในปักษ์ก่อน ทั้งนี้ ให้ถือเอาวันที่ ๘ ถึงวันที่ ๒๒ ของเดือนเป็นปักษ์หนึ่ง และวันที่ ๒๓ ถึงวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป เป็นอีกปักษ์หนึ่ง และให้นับวันหยุดทำการรวมคำนวณ เข้าด้วย ข้อ ๖ ประการนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๔๑ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๑/พ๖๕ง/๒๒/๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๑]
301599
ประกาศธนารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 5)
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๕) ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๖ ซึ่งแก้ ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติใน เรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๔) ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝาก ดังต่อไปนี้ (๑) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม รวมตลอดถึงเงินฝากที่จ่ายคืนเมื่อสิ้น ระยะเวลาไม่ถึง ๓ เดือน ไม่จ่ายดอกเบี้ย (๒) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม ประเภทออมทรัพย์ที่ไม่ใช้เช็คในการ ถอน ให้จ่ายดอกเบี้ยได้ตามอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ประการกำหนดแต่ทั้งนี้ อัตราดังกล่าวต้องไม่ เกินอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ธนาคารใหญ่จ่ายสำหรับเงินฝากประเภทเดียวกัน ตามที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยประกาศ บวกด้วยอัตราร้อยละ ๒ ต่อปี (๓) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๓ เดือนขึ้นไปให้จ่ายดอกเบี้ย ได้ตามอัตราที่ธนาคารพาณิชย์กำหนด แต่ทั้งนี้ อัตราดังกล่าวต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ ธนาคารใหญ่จ่ายสำหรับเงินฝากระยะเวลาเดียวกันตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศ บวก อัตราร้อยละ ๓ ต่อปี (๔) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาประเภทเงินฝากแบบผูกพัน (Contractual Savings) ที่มีระยะเวลาการฝากต่อเนื่องเป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่า ๒๔ เดือน จ่ายดอกเบี้ยได้ตามอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนด ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่ธนาคารพาณิชย์กำหนด จะจ่ายสำหรับเงินฝากแต่ละประเภท ทั้งที่จ่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไปและลูกค้ารายใหญ่รวมทั้งอัตรา ดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่จะจ่ายสำหรับเงินฝากตามข้อ ๒ (๓) ซึ่งธนาคารพาณิชย์ยินยอมให้ถอน ก่อนครบกำหนดด้วย ทั้งนี้ ประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวต้องบังคับใช้กับสำนักงานใหญ่ และสาขาทุกแห่ง ธนาคารใหญ่ตามข้อนี้ หมายถึงธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกร จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๑/พ๖๑ง/๑๐๐/๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๑]
301598
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องบัตรเงินฝาก (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2541
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย . เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องบัตรเงินฝาก (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ ----------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยยกเลิกข้อกำหนดที่ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับบัตรเงินฝาก ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (๓) ของข้อ ๑ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องบัตรเงินฝาก ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๕ ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๑/พ๖๑ง/๙๖/๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๑]
301596
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2541
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๑ ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้ เป็น (๑๕) ของ ข้อ ๕ น้ำหนักความเสี่ยง ๐ แห่ง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ ดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ "(๑๕) ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กรุงไทยธนกิจจำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลก เปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการในส่วนที่เป็นต้นเงินตามหน้าตั๋วและดอก เบี้ยค้างรับ" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๑/พ๕๘ง/๒/๗ กรกฎาคม ๒๕๔๑]
301595
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2541
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๑ จัตวา และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อ กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้ เป็น (๒.๓) ช. ของ ข้อ ๒ (๒) แห่งประกาศ ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องลงวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๐ "ช. ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลก เปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๑/พ๕๘ง/๑/๗ กรกฎาคม ๒๕๔๑]
301594
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือหรือเรียกคืนไม่ได้
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ----------------------- อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๕ ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็น ชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ภายใต้บังคับข้อ ๑๗ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๐ ข้อ ๒ ในประกาศฉบับนี้ (๑) สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หมายถึง สินทรัพย์จัดชั้นสูญ (๒) สินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หมายถึง (ก) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ (ข) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย (ค) สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน (ง) สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงพิเศษ (จ) สินทรัพย์จัดชั้นปกติ (๓) เงินสำรอง หมายถึง เงินสำรองที่กันไว้เป็นค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ สำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรอง สำหรับสินทรัพย์จัดชั้นแต่ละประเภทตามอัตราและหลักเกณฑ์ที่ระบุในประกาศฉบับนี้ ข้อ ๓ สินทรัพย์จัดชั้นสูญดังต่อไปนี้ให้ตัดออกจากบัญชี (๑) สิทธิเรียกร้องซึ่งได้ปฏิบัติการโดยสมควรเพื่อให้ได้รับชำระหนี้แต่ไม่มีทางที่จะ ได้รับชำระหนี้แล้ว โดยให้พิจารณาตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (ก) ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เป็นคนสาบสูญ หรือมีหลักฐานว่าหายสาบสูญไป และไม่มีทรัพย์สินใด ๆ จะชำระหนี้ได้ (ข) ลูกหนี้เลิกกิจการ และมีหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สิน ทั้งหมดของลูกหนี้อยู่ในลำดับก่อนเป็นจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของลูกหนี้ (ค) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูก เจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง และในกรณีนั้น ๆ ได้มีคำบังคับหรือคำสั่งของศาลแล้วแต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินใด ๆ จะชำระหนี้ได้ (ง) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย และในกรณีนั้น ๆ ได้มีการประนอมหนี้กับลูกหนี้ โดยศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้นั้น หรือลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคล ล้มละลายและได้มีการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ครั้งแรกแล้ว (๒) สิทธิเรียกร้องซึ่งตามพฤติการณ์ไม่อาจเรียกให้ชำระหนี้ได้ (๓) สินทรัพย์อื่นซึ่งชำรุดเสียหาย หรือหมดราคา (๔) ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๔ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงิน สำรองในอัตราร้อยละ ๑๐๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๑๒ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ธนาคาร พาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญแล้ว (๒) สินทรัพย์อื่นเฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาจริงกับราคาตามบัญชีที่สูงกว่า ราคาจริง ทั้งนี้ ราคาจริงของสินทรัพย์นั้นให้ถือตามราคาซื้อขายในตลาดหรือหากไม่มีราคาดังกล่าว ให้ใช้ราคายุติธรรมที่ประเมินโดยผู้ประเมินราคาอิสระหรือที่ประเมินโดยหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ราคาใดจะต่ำกว่า สำหรับเงินลงทุนในหลักทรัพย์หากไม่มีราคายุติธรรมดังกล่าวให้ประเมินตาม มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกิจการ (๓) สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ทั้งจำนวน (๔) ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๕) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นจะเรียกคืนไม่ได้ทั้ง จำนวนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๕ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรองใน อัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๖ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญาหรือวันที่ธนาคาร พาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญหรือ สงสัยจะสูญแล้ว (๒) ลูกหนี้ที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว (๓) ลูกหนี้ที่หยุดดำเนินกิจการหรือเลิกกิจการ หรือกิจการของลูกหนี้อยู่ระหว่าง ชำระบัญชี (๔) ลูกหนี้ที่ประวิงการชำระหนี้ หรือกระทำการใด ๆ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ เช่น ออกไปเสียนอกราชอาณาจักร หรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน (๕) ลูกหนี้ที่มีฐานะการเงินไม่มั่นคง หรือความสามารถในการหารายได้ต่ำ อัน แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้อ่อน (๖) ลูกหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์ติดต่อไม่ได้ หรือตามตัวลูกหนี้ไม่พบ หรือลูกหนี้ไปเสีย จากภูมิลำเนาที่ปรากฏตามสัญญาโดยไม่แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์ทราบ (๗) ผู้ค้ำประกันที่เข้าเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งใน (๑) - (๖) ดังกล่าวข้างต้น (๘) ลูกหนี้ที่ไม่ปรากฏธุรกิจแน่ชัด หรือไม่ได้ประกอบธุรกิจจริงจัง หรือนำเงินไปใช้ ผิดวัตถุประสงค์ (๙) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูก เจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง (๑๐) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลาย หรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ใน คดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย (๑๑) ลูกหนี้ที่ดำเนินธุรกิจขาดทุนเป็นเวลาตั้งแต่สามปีติดต่อกันขึ้นไปหรือลูกหนี้ที่ มียอดขาดทุนสะสมจนทำให้สินทรัพย์ต่ำกว่าหนี้สินที่มี่อยู่ เว้นแต่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่ากิจการ ของลูกหนี้มีโอกาสทำกำไรพอชดเชยผลขาดทุน (๑๒) ลูกหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์มิได้มีการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ ตามหลักการการให้สินเชื่อที่ดี หรือมีเอกสารประกอบการให้สินเชื่อ ไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย หรือมิได้ มีการติดตามฐานะการเงิน ตลอดจนคุณภาพลูกหนี้ตามวิธีปฏิบัติปกติ (๑๓) ลูกหนี้ที่ได้ขอผ่อนเวลาการชำระหนี้ไว้ แต่ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลา ที่ตกลงกัน (๑๔) สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกให้ชำระคืนไม่ได้ครบถ้วน (๑๕) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นคาดว่าจะเรียกคืน ไม่ได้ครบถ้วนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๖ สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ให้กันเงิน สำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๓ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ธนาคาร พาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ หรือสงสัยแล้ว (๒) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันไม่เกิน ๓ เดือน แต่ มีหลักฐานชัดเจนว่ามีปัจจัยบางอย่างที่อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ เช่น ภาวะของภาคอุตสาหกรรมของลูกหนี้เสื่อมถอยลงหรือหลักประกันที่เป็นปัจจัยในการชำระหนี้ เสื่อมค่าลง (๓) ลูกหนี้ที่ดำเนินธุรกิจขาดทุนเป็นเวลาตั้งแต่สองปีติดต่อกันขึ้นไป หรือลูกหนี้ที่มี ยอดขาดทุนสะสมจนทำให้สินทรัพย์หลังหักหนี้สินต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของทุนซึ่งชำระแล้วเว้นแต่มีหลักฐาน ที่แสดงให้เห็นได้ว่ากิจการของลูกหนี้มีโอกาสทำกำไรพอชดเชยผลขาดทุน (๔) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นมีปัญหาในการเรียก ให้ชำระคืน หรือไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามปกติตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๗ สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ให้กัน เงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ (๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๑ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญาหรือวันที่ธนาคาร พาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ สงสัยหรือต่ำกว่ามาตราฐานแล้ว (๒) ลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยแต่มีหลักฐานที่แสดงว่ามีปัจจัยบาง อย่างที่อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้คืน หรือมีความไม่สมบูรณ์ของหลักประกัน (๓) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นมีค่าเสื่อมถอยลง หรือลูกหนี้มีฐานะหรือผลการดำเนินงานอ่อนลงตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๘ สินทรัพย์จัดชั้นปกติตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรองไว้ ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้องละ ๑ (๑) ลูกหนี้ที่ไม่ผิดนัดชำระหนี้และไม่มีสัญญาณใด ๆ แสดงว่าจะมีการผิดนัดชำระ หนี้อันจะเป็นเหตุให้ธนาคารพาณิชย์ได้รับความเสียหาย แต่มีความเสี่ยงต่อความเสียหายตามปกติ (๒) ลูกหนี้อื่นที่ไม่เข้าข่ายเป็นลูกหนี้จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ สงสัย ต่ำกว่า มาตรฐานหรือกล่าวถึงเป็นพิเศษ ข้อ ๙ กรณีที่ลูกหนี้รายใดรายหนึ่งมีหนี้หลายประเภท และหนี้แต่ละประเภทจัดเป็น สินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ต่างประเภทกัน ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดชั้นหนี้ทุก ประเภทของลูกหนี้รายนั้นเป็นสินทรัพย์จัดชั้นในระดับคุณภาพที่ต่ำสุดของลูกหนี้รายนั้น ยกเว้นในกรณี ที่ (๑) ธนาคารพาณิชย์สามารถแบ่งแยกการใช้เงินตามโครงการใดโครงการหนึ่งของ ลูกหนี้ออกจากหนี้ประเภทอื่นที่มีอยู่ได้อย่างชัดเจน โดยให้จัดเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติซึ่งต้องเป็นไป ตามเกณฑ์ทุกข้อ ดังนี้ (ก) ธนาคารพาณิชย์ได้มีการวิเคราะห์การให้สินเชื่ออย่างดี มีการวิเคราะห์ ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ทางการเงิน ตลอดจนวิเคราะห์กระแสเงินสดจนมั่นใจในความสำเร็จของ โครงการนั้น และเชื่อมั่นได้ในแหล่งที่มาหลักของกระแสเงินสดที่จะนำมาเพื่อการชำระหนี้ และ พิจารณาแล้วว่าลูกหนี้จะมีความสามารถในการชำระหนี้ได้อย่างแน่นอน (ข) ธนาคารพาณิชย์มีเอกสารหลักฐานประกอบการวิเคราะห์การให้สินเชื่อ อย่างเพียงพอและพร้อมให้ตรวจสอบได้ (ค) ธนาคารพาณิชย์สามารถติดตามควบคุมการใช้เงินของลูกหนี้ได้อย่าง ใกล้ชิดสม่ำเสมอให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการให้สินเชื่อ และมีเอกสารการติดตามหนี้ชัดเจน (ง) ธนาคารพาณิชย์มีการจัดทำตารางเวลาการจ่ายชำระหนี้อย่างชัดเจนและ สอดคล้องกับรายได้หรือกระแสเงินสดของลูกหนี้ (๒) ลูกหนี้มีหนี้ที่เข้าข่ายเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติมากกว่าร้อยละ ๙๐ ของราคา ตามบัญชีรวมดอกเบี้ยค้างรับของลูกหนี้รายนั้น ธนาคารพาณิชย์สามารถจัดชั้นหนี้ส่วนนี้เป็นสินทรัพย์ จัดชั้นปกติ ข้อ ๑๐ ลูกหนี้ที่มีหนังสือยืนยันการตรวจรับงานจากหน่วยราชการตามระเบียบของ หน่วยราชการนั้นที่มีระยะเวลาไม่เกิน ๖ เดือน นับแต่วันตรวจรับงานเงินให้สินเชื่อส่วนที่มีหนังสือ ยืนยันนั้นให้ถือเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ข้อ ๑๑ ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของ สถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด กรณีมีส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งจัดเป็นสินทรัพย์จัดชั้นสูญตามข้อ ๓ (๔) หรือสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ (๔) ให้ธนาคาร พาณิชย์ถือปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ เว้นแต่กรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ไม่มีส่วนสูญเสีย ให้ถือปฏิบัติ เฉพาะ (๒) และ (๓) (๑) ตัดส่วนสูญเสียออกจากบัญชี หรือกันเงินสำรองดังต่อไปนี้ (ก) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือรับชำระหนี้โดยการรับโอนสินทรัพย์ ตราสารการเงินหรือ รับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุนให้ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายบัญชีลูกหนี้และบันทึก ส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นค่าใช้จ่ายหนี้สูญทันที (ข) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ให้แก่ ลูกหนี้โดยไม่ลดต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ธนาคารพาณิชย์ บันทึกส่วนสูญเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการคำนวณราคาตามบัญชีใหม่ของลูกหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยการกันเงินสำรองเต็มจำนวน ยกเว้นกรณีตามข้อ ๑๕ (ค) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือรับชำระหนี้บางส่วนโดยการรับโอนสินทรัพย์ตราสารการเงิน หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุนและผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ในส่วนที่เหลือ ให้แก่ลูกหนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตาม (ก) สำหรับกรณีการลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยหรือการรับ ชำระหนี้ดังกล่าวและปฏิบัติตาม (ข) ในส่วนการผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ (๒) ในระหว่างติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่ง ลูกหนี้ต้องชำระเงินตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๓ เดือน หรือ ๓ งวด การชำระเงิน แล้วแต่ระยะเวลาใดจะนานกว่า ให้ดำเนินการดังนี้ (ก) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นสงสัยจะสูญ หรือสงสัย ให้จัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน (ข) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน หรือกล่าวถึงเป็นพิเศษให้คงจัดชั้น เช่นเดิม ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ตามสถานะการจัดชั้นหลัง การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หากเงินสำรองตาม (๒) นี้มีจำนวนสูงกว่าเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียจาก การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตาม (๑) (ข) และ (ค) เมื่อลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้แล้วให้ถือเป็น ลูกหนี้จัดชั้นปกติ (๓) ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ ให้นับระยะ เวลาการค้างชำระรวมกับระยะเวลาการค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วพิจารณาจัดชั้น ตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นเพื่อการกันเงินสำรองตามเกณฑ์ในประกาศฉบับนี้ต่อไป ข้อ ๑๒ เว้นแต่สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ (๒) และ (๔) ในการกันเงิน สำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยตามข้อ ๕ และสินทรัพย์ จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานตามข้อ ๖ ให้นำมูลค่าของหลักประกันซึ่งได้ประเมินราคาตามหลักเกณฑ์การ ประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดมาหักออกจาก ราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรอง ดังนี้ (๑) หลักประกันที่เป็นสิทธิในเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์นั้น นำมาหักได้ร้อยละ ๑๐๐ (๒)หลักประกันที่ใกล้เคียงเงินสด เช่น หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดนำมา หักได้ไม่เกินร้อยละ ๙๕ ของราคาตลาด (๓) หลักประกันที่ได้มีการประเมินราคาทุก ๖ เดือน นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือการตีราคา (๔) หลักประกันอื่นนำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าที่ได้จากการประเมิน ราคาหรือการตีราคา ลูกหนี้จัดชั้นรายใดที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน หรือที่รัฐบาลจะจัดสรรเงิน งบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้ หรือที่มีหลักฐานว่าจะได้รับชำระเงินจากหน่วยราชการใดอย่างแน่นอน ให้นำวงเงินที่ได้รับการค้ำประกันหรือที่จะได้ชำระนั้นมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อน คำนวณเงินสำรอง ทั้งนี้ มูลค่าของหลักประกันที่นำมาหักได้ในทุกข้อที่กล่าวข้างต้น จะต้องไม่สูงเกิน กว่ามูลค่าที่ได้มีการจดจำนำ จำนอง หรือมูลค่าที่ธนาคารพาณิชย์มีบุริมสิทธิเหนือหลักประกันนั้น ข้อ ๑๓ เว้นแต่สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ (๒) และ (๔) ซึ่งให้ถือปฏิบัติ ในข้อ ๑๔ และข้อ ๑๕ ให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยกันเงินสำรองให้ครบถ้วน ภายในสิ้นงวดการบัญชีใน รอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๓ โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๑ ให้กัน เงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๒) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๒ ให้กัน เงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๓) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๒ ให้กัน เงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๔) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๓ ให้กัน เงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๕) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๓ ให้กัน เงินสำรองให้ครบถ้วน ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ต้องลดทุนเพราะเหตุที่ทางการใช้อำนาจสั่งการตาม กฎหมาย จำนวนเงินสำรองที่ต้องกันซึ่งจะนำมาใช้ในการพิจารณาลดทุนนั้นคือเงินสำรองที่ต้องกันเต็ม ทั้งจำนวน โดยจะไม่นำการทยอยกันตามวรรคแรกมาใช้บังคับ อนึ่ง หากธนาคารพาณิชย์ได้กันเงินสำรองไว้แล้วมากกว่าจำนวนเงินที่ต้องทยอย กันเงินสำรองในแต่ละงวด ธนาคารพาณิชย์จะต้องคงจำนวนเงินสำรองดังกล่าวไว้ในบัญชีต่อไปจนกว่า จะกันเงินสำรองได้ครบถ้วนแล้ว ข้อ ๑๔ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ (๒) ให้กันเงินสำรองครบจำนวนที่ ต้องกันในทันที ข้อ ๑๕ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔ (๔) ให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยกันเงิน สำรองสำหรับส่วนสูญเสียสุทธิของลูกหนี้ที่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ก่อนสิ้นปี ๒๕๔๓ ภายหลังจาก หักเงินสำรองที่กันไว้แล้วสำหรับลูกหนี้รายนั้นก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ออกก่อน และดำเนินการ ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๑ ให้กัน เงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๒) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๒ ให้กัน เงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๓) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๒ ให้กัน เงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๔) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๓ ให้กัน เงินสำรองไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๕) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๓ ให้กัน เงินสำรองให้ครบถ้วน ข้อ ๑๖ ในระหว่างเวลาที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืน ไม่ได้ออกจากบัญชี หรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ครบ จำนวน ธนาคารพาณิชย์จะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดแก่ผู้ถือหุ้นมิได้ ข้อ ๑๗ ให้ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๐ ยังมีผล ใช้บังคับเฉพาะสำหรับธนาคารพาณิชย์ที่งวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนแรกของปี ๒๕๔๑ สิ้น สุดลงภายหลังวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ จนกว่าจะสิ้นสุดงวดการบัญชีดังกล่าว ข้อ ๑๘ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำรายงานการสอบทานเงินให้สินเชื่อและภาระ ผูกพันส่งไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบรายงานที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังกำหนด ข้อ ๑๙ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่งวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี ๒๕๔๑ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๑ หม่อมราชวงศ์จัตุมลคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๑/พ๕๔ง/๒๔/๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑] พรพิมล/แก้ไข ๐๒/๐๗/๔๕ B+A (C )
301593
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การให้ใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การให้ใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์ --------- จากการที่คณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทเงินทุนที่ถูกสั่งระงับการดำเนินกิจการ จำนวน 56 แห่ง ไม่อาจแก้ไขหรือฟื้นฟูฐานะหรือการดำเนินงานได้ เพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาสถาบัน การเงินที่ถูกสั่งระงับการดำเนินกิจการเป็นการถาวรดังกล่าว รวมทั้ง เพื่อเสริมสร้าง ระบบสถาบันการเงินให้มีความมั่นคงแข็งแรง จึงสมควรให้กระทรวงการคลังดำเนิน การเพื่อจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้น 1 แห่ง มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นในระยะแรก ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ซึ่งนอกจากจะประกอบการธนาคารพาณิชย์แล้วยังมี วัตถุประสงค์ในการประมูลหรือการรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุนที่ถูก สั่งระงับกรดำเนินกิจการจำนวน 56 แห่งข้างต้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ในประกาศนี้ ธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ที่จะได้รับใบอนุญาต ตามประกาศนี้ ข้อ 2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบในการ ที่กระทรวงการคลังจะดำเนินการให้มีการจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด ขึ้น 1 บริษัท เพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์ ข้อ 3 เมื่อได้จัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัก ตามข้อ 2 แล้ว ให้บริษัท มหาชนจำกัดนั้นแจ้งการจดทะเบียนเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งมีวัตถุประสงค์ในการเข้าประมูลหรือรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุน 56 แห่งข้างต้นด้วย ข้อ 4 เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินการไประยะหนึ่งแล้ว กระทรวง การคลังสามารถจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ในกระทรวงพาณิชย์ ให้กับผู้สนใจเข้าร่วมลงทุนในธนาคารพาณิชย์ได้ ข้อ 5 การให้ใบอนุญาตมีเงื่อนไขตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังกำหนดดังนี้ 5.1 ผู้สนใจร่วมลงทุนในธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะถือหุ้นรวมกัน ตามนัยมาตรา 5 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2528 ตั้งแต่ร้อยละ 5 ของทุนจดทะเบียนและชำระแล้วของ ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (1) ไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย (2) ไม่เป็นลูกหนี้ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงิน (3) ไม่เคยมีประวัติเสียหายหรือดำเนินกิจการใดที่มีลักษณะ อันเป็นการหลอกลวงหรือแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบหรือความรอบคอบ หรือ สะท้อนถึงวิธีการทำธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ สำหรับกรณีนิติบุคคล หากได้มีการแก้ไขการดำเนินกิจการหรือการทำธุรกิจดังกล่าวแล้ว รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังอาจพิจารณาผ่อนผันคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามให้แก่นิติบุคคล รายใดรายหนึ่งก็ได้ (4) มีฐานะทางการเงินมั่นคงและสามารถสนับสนุนแหล่ง เงินทุนให้แก่ธนาคารพาณิชย์ได้กรณีผู้สนใจร่วมลงทุนเป็นนิติบุคคลจะต้องมีผลการ ดำเนินงานดี (5) ในกรณีผู้สนใจร่วมลงทุนเป็นสถาบันการเงินต่างชาติ จะต้องเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่ มีชื่อเสียง ที่จดทะเบียนในประเทศที่มีมาตรฐาน การกำกับควบคุมสถาบันการเงินเป็นอย่างดีและน่าเชื่อถือ และต้องเป็นสถาบันการเงิน ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตามการจัดอันดับของสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ อีกด้วย ในกรณีที่มีเหตุผลสมควร เพื่อความมั่นคงของระบบสถาบันการเงินให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจผ่อนผันคุณสมบัติหรือชลักาณะต้องห้ามตาม 5.1 ให้แก่ผู้ร่วมลงทุนรายใดรายหนึ่ง 5.2 การแต่งตั้งและการเปลี่ยนแปลงกรรมการหรือผู้บริหาร ตั้งแต่ระดับผู้จัดการลงมาสองระดับหรือผู้มีอำนาจในการจัดการ ต้องได้รับอนุญาต จากธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้ที่จะดำรงตำแหน่งดังกล่าวต้องมีคุณสมบัติและไม่มี ลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (1) มีความสามารถในการบริหาร โดยมีผลงานบริหารที่ดี ในอดีตจนถึงปัจจุบัน (2) มีความซื่อสัตย์สุจริต (3) ไม่เคยมีประวัติเสียหายหรือดำเนินกิจการใดที่มีลักษณะ อันเป็นการหลอกลวงหรือแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบหรือความรอบคอบ หรือ สะท้อนถึงวิธีการทำธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่น่าเชื่อถือ (4) ไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มลละลาย (5) ไม่เป็นลูกหนี้ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงิน (6) ไม่เคยทำธุกิจหรือเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจที่ทำให้ เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถหรือความรอบคอบของบุคคลนั้น ไม่ว่าในเรื่อง ของประเภทธุรกิจหรือในเรื่องของวิธีการดำเนินธุรกิจ (7) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นการกระทำความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ ข้อ 6 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2541 พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
301592
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ของธนาคารพาณิชย์ ----------- เพื่อให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการ วิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 16 กันยายน 2535 อาศัยอำนาจตามความใน มาตรา 9 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522 ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้ยกเลิก 1) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2536 2) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2538 ลงวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2538 3) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2539 ลงวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2539 4) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2539 ลงวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2539 5) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2540 ลงวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2540 และ 6) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2541 ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541 ข้อ 2 ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ต้องแยกกิจการวิเทศธนกิจออกจากกิจการธนาคารพาณิชย์อื่นเสมือนหนึ่งเป็นคนละ นิติบุคคล เช่น การแยกทรัพย์สิน เอกสาร หลักฐาน และบัญชี เป็นต้น ข้อ 3 ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ต้องแยกกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ และกิจการวิเทศธนกิจ เพื่อการให้กู้ยืมในประเทศออกจากกัน ข้อ 4 ห้ามมิให้กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศของ ธนาคารพาณิชย์ใดๆ โอนเงินของกิจการให้แก่กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการใหกู้ยืมใน ประเทศที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์เดียวกันนั้น หรือให้กู้ยืม หรือฝากเงินกับ กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์อื่น ข้อ 5 ห้ามมิให้กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศของ ธนาคารพาณิชย์ใดๆ ชำระหนี้ตามภาระผูกพันอันเกิดจากการอาวัล รับรอง หรือ ค้ำประกันหนี้ใดๆ แทนกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่เป็นกิจการ ของธนาคารพาณิชย์เดียวกันหรือของธนาคารพาณิชย์อื่น ข้อ 6 ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ (1) เงินรับฝากและเงินกู้ยืมต้องมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ (2) การชำระคืนเงินรับฝาก เงินกู้ยืม และดอกเบี้ยของกิจการวิเทศธนกิจ ต้องกระทำในต่างประเทศ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ การเบิกถอน เงินให้กู้ยืม การชำระคืนเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ย ต้องกระทำในต่างประเทศ และหาก การชำระคืนเงินให้กู้ยืม และดอกเบี้ยดังกล่าวกระทำโดยบุคคลอื่นใดที่ไม่ใช้ผู้กู้ บุคคล นั้นต้องมีถิ่นที่อยู่นอกประเทศด้วย ความใน (1) และ (2) ไม่ใช้บังคับกับกรณีที่เป็นกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือกิจการวิเทศธนกิจอื่น (3) การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศ ของผู้กู้แต่ละรายต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือ เทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนโดยสถาบันการเงิน หรือเป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเทียบเท่า การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศของ ผู้กู้แต่ละรายที่เป็นผู้ส่งออกที่มีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นใน รอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นลูกค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้ บริการแก่กิจการที่ประกอบธุรกิจส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลา บัญชีก่อน ต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า (4) การทำธุรกรรมต่างๆ ระหว่างกิจการวิเทศธนกิจกับลูกค้า กิจการวิเทศ ธนกิจต้องดำเนินการให้ลูกค้าให้ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลที่แท้จริง และในการจัดทำเอกสาร หรือหลักฐานใดๆ ที่เกี่ยวกับลูกค้า กิจการวิเทศธนกิจต้องจัดทำเอกสารหรือหลักฐานดังกล่าว ให้ตรงต่อความเป็นจริง (5) ห้ามรับฝากเงินที่ใช้เช็คในการเบิกถอนเงิน (6) การรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันการชำระหนี้ให้แก่กิจการวิเทศธนกิจ อื่นต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันให้แก่กิจการส่วนใดของ กิจการวิเทศธนกิจอื่นนั้น (7) รายรับจากการประกอบธุรกิจของกิจการวิเทศธนกิจต้องเป็นเงินตรา ต่างประเทศ เว้นแต่เป็นรายรับจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมเงินบาทในต่าง ประเทศ หรือรายรับจากธุรกิจตามข้อ 14 ข้อ 7 ให้กิจการวิเทศธนกิจสามารถรับโอนสินทรัพย์ หนี้สิน หรือกิจการต่างๆ ที่เกิดจากการประกอบธุรกิจที่มีลักษณะเช่นเดียวกับกิจการวิเทศธนกิจ จากกิจการส่วนอื่น ของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้นๆ ได้ ทั้งนี้ให้ดำเนินการดังกล่าว ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับแต่วันเริ่มประกอบกิจการวิเทศธนกิจ หรือวันที่ประกาศ นี้มีผลใช้บังคับ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอย่างอื่น ให้กิจการวิเทศธนกิจแจ้งการรับโอนตามวรรคหนึ่ง ให้บรรดาลูกหนี้ของ ธุรกิจที่รับโอนดังกล่าวทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนวันรับโอน เว้นแต่ในกรณีที่ มีการรับโอนก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ให้แจ้งการรับโอนให้บรรดาลูกหนี้ทราบ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ และให้แจ้งการรับโอนดังกล่าวให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดระยะเวลาการรับโอน ตามวรรคหนึ่ง หรือนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ในกรณีที่มีการรับโอนก่อนวันที่ประกาศ นี้มีผลใชับังคับ ข้อ 8 นอกจากสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทเพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตาม มาตรา 11 ตรี และสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทที่ออกโดยสถาบันการเงินตามโครงการรับ แลกเปลี่ยนตราสารที่ออกโดยบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ทางการมีคำสั่ง ให้ระงับการดำเนินกิจการชั่วคราว กิจการวิเทศธนกิจอาจมีสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทเพื่อ สำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจไวัในประเทศได้ในมูลค่าไม่เกิน 200 ล้าน บาท ทั้งนี้ ในรูปของสินทรัพย์ดังต่อไปนี้ (1) สถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้าง รวมทั้ง เครื่องใช้สำนักงานต่างๆ โดยหักค่าเสื่อมราคาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ (2) หลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพยืที่รัฐบาลไทยค้ำประกันต้นเงินและ ดอกเบี้ย ให้คำนวณตามราคาตามตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า (3) หุ้นกู้ที่ไม่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นไฟ้ บัตรเงินฝาก หรือตราสาร แห่งหนี้ ซึ่งออกโดยนิติบุคคลหรือสถาบันการเงินที่จั้ดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและเสนอขาย ในประเทศไทยให้คำนวณตามราคาตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า (4) เงินสดหรือบัญชีเงินฝากที่เป็นเงินบาทกับสถาบันการเงินในประเทศไทย (5) เงินทดรองจ่ายแก่พนักงาน ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าเกี่ยวกับการดำเนินงาน และเงินค่ามัดจำ ข้อ 9 กิจการวิเทศธนกิจ อาจเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินตราต่างประเทศหรือ เงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทได้ ในกรณีดังต่อไปนี้ (1) เปลี่ยนเงินบาท ซึ่งเป็นผลกำไรหลังหลักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี เพื่อส่งผล กำไรนั้นกลับไปยังกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ที่เป็ฯเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจ ทั้งนี้ กิจการส่วนอื่นนั้นต้องอยู่ในต่างประเทศด้วย (2) เปลี่ยนเงินบาทที่เกิดจากการจำหน่ายสินทรัพย์ตามข้อ 8 หรือที่เกิดจาก การจำหน่ายสินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตาม ข้อ 11 (3) เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนิน ธุรกิจตาม ข้อ 8 หรือเพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา 11 ตรี และเปลี่ยน เงินบาทจากการลดยอดของสินทรัพย์สภาพคลอ่งที่ต้องดำรงตามมาตรา 11 ตรี เพื่อนำ กลัลไปประกอบธุรกรรมตามข้อ 11 รวมทั้งการทำสัญญาประกันความเสี่ยงสำหรับจำนวน เงินที่ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องดังกล่าว (4) เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อปฏิบัติตามโครงการรับแลกเปลี่ยน ตราสารที่ออกโดยบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลุกทรัพย์ที่ทางการมีคำสั่งให้ระงับ การดำเนินกิจการชั่วคราวและเปลี่ยนเงินบาทเพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ 11 การเปลี่ยนเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้ กับธนาคารรับอนุญาตตามกฏหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินในส่วนที่ไม่ใช่กิจการ วิเทศธนกิจ ข้อ 10 สินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้ กู้ยืมในต่างประเทศ หรือกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศให้ถือว่าเป็นสินทรัพย์ ของกิจการวิเทศธนกิจนั้นๆ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ในกรณีที่สินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ เงินบาท สินทรัพย์นั้นไม่ให้นับรวมเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ที่เป็นเงินบาทที่กิจการวิเทศธนกิจ พึงมีได้ตามข้อ 8 สินทรัพย์ตามวรรคหนึ่งที่เป็นเงินบาท ต้องเปลี่ยนเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมทุกประเภทตามที่กิจการวิเทศธนกิจส่วนนั้นจะพึงกระทำได้ ตามข้อ 11 ข้อ 11 ผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี หรือเงินตราต่างประเทศซึ่งได้ มาจากการเปลี่ยนเงินบาทตามข้อ 9 ให้ถือว่ามีแหล่งที่มาจากต่างประเทศซึ่งกิจการ วิเทศธนกิจสามารถนำกลับไปประกอบธุรกรรมทุกประเภทตามที่กิจการวิเทศธนกิจจะพึง กระทำได้ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคาร พาณิชย์ และตามประกาศฉบับนี้แต่ไม่รวมถึงการให้กู้ยืมเงินบาทของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อ การให้กู้ยืมในต่างประเทศ ข้อ 12 การโอนผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชีไปให้ธนาคารพาณิชย์ ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น กิจการวิเทศธนกิจต้องแจ้งการโอนดังกล่าวให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน 30 วันนับแต่วันที่โอน ส่วนการโอนผลขาดทุนจาก การประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ณ สิ้นงวดบัญชีไปให้ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการ วิเทศธนกิจนั้น ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน เว้นแต่เป็นการโอน ผลขาดทุนของกิจการวิเทศธนกิจที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ต่างประเทศ แต่ต้องแจ้งการโอนให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่โอนด้วย ข้อ 13 กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ อาจเปิดบัญชี เงินฝากแบบไม่มีดอกเบี้ยไว้กับกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์เจ้าของกิจการวิเทศธนกิจ นั้นซึ่งอยู่ในประเทศไทย เพื่อใช้ในการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจได้แทน การเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารในต่างประเทศ (nostro account) โดยตรง ทั้งนี้ ณ สิ้นวัน บัญชีเงินฝากดังกล่าวจะต้องไม่มียอดคงค้างใดๆ ข้อ 14 นอกจากการประกอบธุรกิจตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวง การคลังว่าด้วยการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์แล้ว กิจการวิเทศธนกิจ อาจประกอบธุรกิจอื่นที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากกิจการวิเทศธนกิจตามที่ได้รับอนุญาตจาก ธนาคารแห่งประเทศไทยดังต่อไปนี้ด้วย (1) การให้บิรการข่าวสาร ข้อมูลทางการเงินและเศรษฐกิจทั่วไป (2) การให้บริการจัดทำหรือวิเคราะห์โครงการเพื่อการลงทุน (3) การเป็นที่ปรึกษาในการซื้อกิจการ รวมกิจการ หรือควบกิจการ (4) การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (5) การจัดการออก (arranging) หรือการจัดจำหน่าย (underwriting) ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่ออกจำหน่ายในต่างประเทศ แต่ในกรณี ที่ผุ้ออกตราสารอยู่ในประเทศ กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ต่างประเทศต้องประกอบธุรกิจนี้ร่วมกับกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้น ตามกฎหมายไทย (6) การรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินตราต่างประเทศภายใต้ ข้อกำหนดดังนี้ 1) กิจการวิเทศธนกิจสามารถรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืมที่เป็น เงินตราต่างประเทศจากสถาบันการเงินในประเทศ สถาบันการเงินที่จดทะเบียนในต่าง ประเทศ หรือบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน โดยการเบิกถอนเงินให้กู้ยืมที่เป็น เงินให้กู้ยืมในประเทศที่รับซื้อหรือรับโอนของผู้กู้แต่ละรายต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนโดยสถาบัน การเงิน หรือเป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีมียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินให้กู้ยืมในประเทศที่รับซื้อหรือรับโอนของ ผู้กู้แต่ละรายที่เป็นผู้ส่งออกที่มีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นใน รอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นลูกค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้ บริการแก่กิจการที่ประกอบธุรกิจส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลา บัญชีก่อน ต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า 2) การรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืม ต้องเป็นการรับซื้อโดย เด็ดขาดตามสภาพของหนี้ที่เป็นอยู่ทั้งการจัดชั้นและระยะเวลาที่ค้างชำระดอกเบี้ยหรือ เงินต้น 3) ในการรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืม กิจการวิเทศธนกิจต้อง ถือปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืมโดยเคร่งครัด (7) การค้ำประกันการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ไทยหรือจากต่างประเทศ ที่เป็นเงินตราต่างประเทศแก่ลูกค้าในประเทศต้องมีวงเงินขั้นต่ำในการค้ำประกันไม่น้อย กว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เว้นแต่ลูกค้าในประเทศที่เป็นผู้ส่งออกที่มีรายได้ จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็น ลูกค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้บริการแก่กิจการที่ประกอบธุรกิจ ส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนต้องมีวงเงินขั้นต่ำใน การค้ำประกันไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (8) การรับซื้อลดตราสารที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกที่เป็นเงินตราต่างประเทศ เฉพาะกรณีที่ผู้ขายสินค้าเป็นผู้ส่งออกที่มีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียนในประเทศไทยตามข้อ กำหนดดังต่อไปนี้ 1) รับซื้อลดตั๋วแลกเงินที่เกี่ยวกับการส่งออกทั้งกรณีมีเลตเตอร์ออฟ เครดิต (export bill under L/C) และไม่มีเลตเตอร์ออฟเครดิต (export bill under D/A or D/P) 2) รับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการส่งสินค้าออก และได้ออก ตามเอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ 2.1) เลตเตอร์ออฟเครดิตที่เป็นเงินตราต่างประเทศ 2.2) สัญญาซื้อขายหรือคำสั่งซื้อสินค้า 2.3) ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า หรือใบรับจำนำสินค้า ของธนาคารพาณิชย์อันเป็นหลักฐานแสดงว่าผู้ส่งออกมีสินค้าพร้อมจะส่งออกเก็บรักษาไว้ใน คลังสินค้าหรือสถานที่เก็บสินค้าที่ธนาคารพาณิชย์ให้ความเชื่อถือ 2.4) ตั๋วแลกเงินอันเกิดจากการที่ผุ้ส่งออกได้ส่งสินค้าออกแล้ว กิจการวิเทศธนกิจต้องแยกบัญชีในการประกอบธุรกิจตามข้อนี้ต่างหากจาก บัญชีอื่นๆ ของกิจการวิเทศธนกิจอย่างชัดเจน ข้อ 15 สถานที่ทำการของกิจการวิเทศธนกิจต้องมีเพียงแห่งเดียว และต้อง อยู่ในสถานที่เดียวกับที่ทำการของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น ข้อ 16 กิจการวิเทศธนกิจต้องนำส่งค่าธรรมเนียมรายปี ปีละ 500,000 บาท การชำระค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่ง ให้ชำระที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใน 7 วัน ทำการแรกของทุกปี เว้นแต่ปีแรกให้ชำระเมื่อรับใบอนุญาต ข้อ 17 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ในประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2541 จรุง หนูขวัญ แทนผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย
318615
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2541
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2541 ••••••••• อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (6) ของข้อ 14 แห่งประกาศ ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบ กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2536 (6) การรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินตรา ต่างประเทศภายใต้ข้อกำหนดดังต่อไปนี้ 1. กิจการวิเทศธนกิจสามารถรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงิน ให้กู้ยืมที่เป็นเงินตราต่างประเทศจากสถาบันการเงินในประเทศ สถาบันการเงิน ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ หรือบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน โดยการ เบิกถอนเงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินให้กู้ยืมในประเทศที่รับซื้อหรือรับโอนของผู้กู้แต่ละ รายต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือ เทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนโดยสถาบันการเงิน หรือเป็นการเบิกถอน งวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีมียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า 2. การรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืม ต้องเป็นการ รับซื้อโดยเด็ดขาดตามสภาพของหนี้ที่เป็นอยู่ทั้งการจัดชั้นและระยะเวลาที่ค้าง ชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้น 3. ในการรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืม กิจการ วิเทศธนกิจต้องถือปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืมโดยเคร่งครัด ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
301591
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2541
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๑ ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อ ๒ แห่งประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคาร พาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกข้อ ๘ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ลงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๘ กิจการวิเทศธนกิจอาจมีสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทไว้ในประเทศไทยได้ ดังต่อไปนี้ ๑) สินทรัพย์เพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา ๑๑ ตรี ๒) สินทรัพย์สำรองไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจในมูลค่าไม่เกิน ๒๐๐ ล้านบาทในรูปของสินทรัพย์ดังต่อไปนี้ (๑) สถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือสำหรับพนักงานและลูกจ้าง รวมทั้งเครื่องใช้ สำนักงานต่าง ๆ โดยหักค่าเสื่อมราคาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ (๒) หลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่รัฐบาลไทยค้ำประกันต้นเงินและ ดอกเบี้ย ให้คำนวณตามราคาตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า (๓) หุ้นกู้ที่ไม่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นได้ บัตรเงินฝาก หรือตราสารแห่ง หนี้ ซึ่งออกโดยนิติบุคคลหรือสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและเสนอขายในประเทศ ไทย ให้คำนวณตามราคาตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า (๔) เงินสดหรือบัญชีเงินฝากที่เป็นเงินบาทกับสถาบันการเงินในประเทศไทย (๕) เงินทดรองจ่ายแก่พนักงาน ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าเกี่ยวกับการดำเนินงานและ เงินค่ามัดจำ ๓) สินทรัพย์ที่ออกโดยสถาบันการเงินตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตราสารที่ออก โดยบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ทางการมีคำสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการชั่วคราว ๔) พันธบัตรรัฐบาลกรณีพิเศษ" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๑ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๑ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๑/พ๕๔ง/๙/๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑]
301590
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2541
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (๙) ของน้ำหนักความเสี่ยง ๐.๒ ของข้อ ๕ แห่ง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกอง ทุน ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(๙) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต หรือเงินให้สินเชื่อ เพื่อการส่งออก ตามเอกสารประเภทอื่น ที่ธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศรับผิดชอบในการชำระ ค่าสินค้าแทนผู้ซื้อ แต่ในกรณีผู้ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือธนาคารพาณิชย์ที่รับผิดชอบในการ ชำระค่าสินค้า เป็นธนาคารจดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ จะต้องมี ระยะเวลาคงเหลือของเล็ตเตอร์ออฟเครดิต หรือระยะเวลาที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องชำระค่าสินค้า ไม่เกิน ๑ ปี" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๑/พ๑๙ง/๒๔/๖ มีนาคม ๒๕๔๑]
318614
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541
ประกาศ_ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศ_ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 __________ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 และข้อ 3 แห่งประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2535 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (9) และ (10) ของข้อ 14 แห่ง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 17 เมษายน 2541 (9) การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตที่เป็นเงินตราต่างประเทศเฉพาะ กรณีที่ผู้ซื้อสินค้าตามข้อตกลงแห่งเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นมีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียน ในประเทศไทยและต้องมีวงเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 2,000,000ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือเทียบเท่า เว้นแต่ผู้ซื้อสินค้าดังกล่าวเป็นผู้นำเข้าสินค้าเป็นผู้นำเข้าสินค้าเพื่อผลิต สำหรับการส่งออกโดยมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าาครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นใน รอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นผู้นำเข้าสินค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการ ขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้ส่งออก ซึ่งมีรายได้จากการส่งสินค้าออกเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนต้องมีวงเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า (10) การให้กู้ยืมโดยทำสัญญาทรัสตรีซีท (Trust Receipt) ที่เป็น เงินตราต่างประเทศแก่ผู้ซื้อสินค้าที่มีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียนในประเทศไทยทั้งที่มี หรือไม่มีเลตเตอร์ออฟเครดิตประกอบ และต้องมีวงเงินการกู้ยืมขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 2,000,000ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่ผู้ซื้อสินค้าดังกล่าวเป็นผู้ นำเข้าสินค้าเป็นผู้นำเข้าสินค้าเพื่อผลิตสำหรับการส่งออก โดยมีรายได้จากการส่งออก เกินกว่าาครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นผู้นำเข้าสินค้า ที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้จากการ ส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีวงเงินขั้นต่ำ ไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า ข้อ 2 ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2541 หม่อนราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย
301589
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2541
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทยดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (๙) ของน้ำหนักความเสี่ยง ๐.๒ ของข้อ ๕ แห่ง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ ดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(๙) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต หรือเงินให้สินเชื่อ เพื่อการส่งออก ตามเอกสารประเภทอื่น ที่ธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศรับผิดชอบในการชำระ ค่าสินค้าแทนผู้ซื้อ แต่ในกรณีผู้ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือธนาคารพาณิชย์ที่รับผิดชอบในการ ชำระค่าสินค้า เป็นธนาคารจดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ จะต้องมี ระยะเวลาคงเหลือของเล็ตเตอร์ออฟเครดิต หรือระยะเวลาที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องชำระค่าสินค้า ไม่เกิน ๑ ปี" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๑/พ๑๙ง/๒๓/๖ มีนาคม ๒๕๔๑]
314559
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สิน และสินทรัพย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยออกตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ลงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ณ วัน ทำงานวันสุดท้ายของทุกเดือน ดังนี้ (๑) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ที่จดทะเบียนในประเทศ ไทย ให้ทำรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๑ ที่แนบท้าย ประกาศนี้ (๒) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ ให้ทำ รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ตามมาตรา ๑๕ ตามแบบ ธ.พ. ๑.๒ ที่แนบท้ายประกาศนี้ ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ ณ วัน ทำงานวันสุดท้ายของเดือนสุดท้ายของไตรมาสคือ เดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย ๑ ฉบับ ภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่รายงาน ณ วันสิ้นเดือนมกราคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๐ เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก.๒๕๔๐/๘ง/๖๗/๒๘ มกราคม ๒๕๔๐] จารุวรรณ/แก้ไข ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๕ A+B (C)
324389
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนของธนาคารพาณิชย์
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนของธนาคารพาณิชย์ ------------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศเป็นข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกำไร ขาดทุนของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ (๒) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกำไร ขาดทุนของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๘ ลงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนตามแบบงบดุล และบัญชีกำไรขาดทุนของบริษัทมหาชนจำกัด ที่ประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ตามที่กำหนด ในแบบท้ายกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ของกระทรวงพาณิชย์ ออกตามความในพระราช บัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ ลงวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยให้มีรายละเอียด และเป็นไปตามคำชี้แจงที่แนบท้ายประกาศนี้ ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่รอบปีบัญชีซึ่งเริ่มต้นในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๐ เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก.๒๕๔๐/๘ง/๖๖/๒๘ มกราคม ๒๕๔๐] จารุวรรณ/แก้ไข ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๕ A+B (C)
324369
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ---------------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๑ จัตวา และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความ เห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๙ (๒) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๙ ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์นอกจากกิจการวิเทศธนกิจและกิจการวิเทศธนกิจสาขา ต่างจังหวัดต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝาก และยอดเงินกู้ยืมตามหลัก เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้ (๑) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเป็นเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้ว ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗ ของ (๑.๑) ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ ยกเว้นเงิน ฝากที่มีข้อตกลงหรือเงื่อนไขห้ามถอนเงินคืนก่อนครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันฝาก (๑.๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูก เรียกคืนได้ก่อนครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และเงินกู้ยืมที่ได้กระทำก่อนวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๙ และยังไม่ ถึงกำหนดชำระคืน ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอน เข้ามาในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกัน ด้วย (๒) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗ ของยอดรวมทั้ง สิ้นของเงินฝากทุกประเภทนอกจากยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตามที่กล่าวใน (๑.๑) แห่งข้อนี้ โดยสินทรัพย์สภาพคล่องดังกล่าวต้องประกอบด้วย (๒.๑) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ ของยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากตาม (๒) นี้ (๒.๒) เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ แต่ให้ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ไม่ เกินร้อยละ ๒.๕ ของยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากตาม (๒) นี้ (๒.๓) หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกพัน ดังต่อไปนี้ ก. หลักทรัพย์รัฐบาลไทย ข. พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ค. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวงการคลังค้ำ ประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ง. พันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกองทุนฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จ. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กองทุนเพื่อการ ฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ฉ. หุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบหรือที่ออกโดยบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประ เทศไทย ข้อ ๓ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจ และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัด ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ดังนี้ (๑) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเป็นเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ย แล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗ ของ (๑.๑) ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ ยกเว้นเงินฝาก ที่มีข้อตกลงหรือเงื่อนไขห้ามถอนเงินคืนก่อนครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันฝาก (๑.๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียก คืนได้ก่อนครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยกำหนด และเงินกู้ยืมที่ได้กระทำก่อนวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๙ และยังไม่ถึง กำหนดชำระคืน ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับเฉพาะยอดรวมเงิน ฝากหรือยอดรวมเงินกู้ยืมของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศและกิจการวิเทศธนกิจ เพื่อการให้กู้ยืมเป็นเงินบาทในต่างจังหวัดเท่านั้น และให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามาในประเทศ ไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย (๒) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗ ของยอดรวมทั้งสิ้น ของเงินฝากทุกประเภท ยกเว้นยอดรวมเงินฝากของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่าง ประเทศและยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตามที่กล่าวใน (๑.๑) แห่งข้อนี้ โดย กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดจะถือเอา สินทรัพย์ใดๆ เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงก็ได้ ส่วนกิจการวิเทศธนกิจของ ธนาคารพาณิชย์ไทยให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๒ (๒) ข้อ ๔ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามประกาศนี้ให้คิดจากสินทรัพย์สภาพ คล่องที่ดำรงแต่ละวันเฉลี่ยเป็นรายปักษ์ โดยคำนวณเทียบกับส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของยอดรวมเงิน ฝากหรือเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์แล้วแต่กรณีแต่ละวันในปักษ์ก่อนทั้งนี้ ให้ถือเอาวันที่ ๘ ถึง วันที่ ๒๒ ของเดือนเป็นปักษ์หนึ่ง และวันที่ ๒๓ ถึงวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป เป็นอีกปักษ์หนึ่ง และให้ นับวันหยุดทำการรวมคำนวณเข้าด้วย ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๐/๕๐ง/๑๐/๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๐] จารุวรรณ/แก้ไข ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๕ A+B (C)
306897
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องหลักเกณฑ์การยื่นคำขอประกอบกิจการวิเทศธนกิจสำหรับธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาเต็มรูปแบบในประเทศไทย
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์การยื่นคำขอประกอบกิจการวิเทศธนกิจสำหรับธนาคาร ต่างประเทศที่มีสาขาเต็มรูปแบบในประเทศไทย -------------------- เพื่อให้เป็นไปตามแผนพัฒนาระบบการเงิน และเป็นการส่งเสริมกรุงเทพฯ ให้ เป็นศูนย์กลางทางการเงิน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์การยื่นคำขอประกอบกิจการวิเทศธน กิจสำหรับธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาเต็มรูปแบบในประเทศไทยดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ธนาคารที่มีสิทธิ์ยื่นคำขอต้องเป็นธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาเต็มรูป แบบและยังไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจในประเทศไทย ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ ๑.๑ เป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ มีชื่อเสียง มีฐานะมั่นคง และมีผลการ ดำเนินงานดี ๑.๒ เป็นธนาคารที่มีประสบการณ์และความชำนาญในธุรกิจด้านการ ธนาคารระหว่างประเทศ หรือมีบทบาทในศูนย์กลางการเงินอื่นๆ รวมทั้งบทบาทในการพัฒนา ธุรกิจการเงินระหว่างประเทศในประเทศที่ธนาคารนั้นเปิดสาขา ๑.๓ เป็นธนาคารที่ให้ความร่วมมือกับทางการเป็นอย่างดี ๑.๔ เป็นธนาคารที่จดทะเบียนในประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจ กับประเทศไทย ทั้งด้านการเงิน การค้า และการลงทุน ๑.๕ เป็นธนาคารที่จดทะเบียนในประเทศที่มีมาตรฐานการกำกับ ควบคุมสถาบันการเงินเป็นอย่างดี และน่าเชื่อถือ ๑.๖ เป็นธนาคารที่มีอันดับน่าเชื่อถือตามการจัดอันดับของสถาบัน จัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับนานาชาติ ๑.๗ เป็นธนาคารที่จดทะเบียนในประเทศที่มีนโยบายเปิดเสรีทาง การเงิน ๑.๘ เป็นธนาคารที่มีแผนงานที่จะช่วยเสริมสร้าง และพัฒนาให้ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาค ข้อ ๒ ผู้ยื่นคำขอต้องยื่นเอกสารต่อไปนี้พร้อมกับคำขอ ๒.๑ หนังสือยินยอมให้ยื่นคำขอประกอบกิจการวิเทศธนกิจใน ประเทศไทย จากทางการของประเทศที่จดทะเบียนจัดตั้งธนาคาร ๒.๒ รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ ๕ รายแรกของธนาคาร ๒.๓ หลักฐานที่แสดงว่าประเทศนั้นๆ ได้บังคับใช้กฎเกณฑ์ เรื่อง ความเพียงพอของเงินกองทุนตามแนวทางของ Bank for International Settlements พร้อมทั้ง ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนของธนาคารผู้ยื่นคำขอที่คำนวณได้ย้อนหลัง ๓ ปี ๒.๔ รายงานประจำปี ซึ่งประกอบด้วยงบการเงินของธนาคารที่ยื่นคำขอ ย้อนหลัง ๓ ปี ๒.๕ เอกสารวิเคราะห์ความเป็นไปได้เชิงธุรกิจของกิจการวิเทศธนกิจ ตามที่ยื่นคำขอ ๒.๖ เอกสารแสดงอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารผู้ยื่นคำขอโดย สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกย้อนหลัง ๓ ปี ๒.๗ ข้อมูลแสดงการประกอบธุรกิจการเงินในศูนย์กลางทางการเงินที่ สำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการวิเทศธนกิจ หรือธุรกิจทำนองเดียวกัน (ถ้ามี) ข้อ ๓ ให้ธนาคารที่ประสงค์จะประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ทำหนังสือขอ อนุญาตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพร้อมสำเนา ๑ ชุด ยื่นที่ฝ่ายกำกับและพัฒนาสถาบัน การเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ ๒๗๓ ถนนสามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๐๐ ได้ตั้งแต่วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๐ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ในประกาศนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ อำนวย วีรวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๔๐/๕๑ง/๑/๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๐] จารุวรรณ/แก้ไข ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๕ A+B (C)
318613
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ----------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการ ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วย ความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคา หรือเรียกคืนไม่ได้และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๙ ข้อ ๒ สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ได้แก่ (๑) สิทธิเรียกร้องซึ่งได้ปฏิบัติการโดยสมควรเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ แต่ไม่มีทางที่ จะได้รับชำระหนี้แล้ว (๒) สิทธิเรียกร้องซึ่งตามพฤติการณ์ไม่อาจเรียกให้ชำระหนี้ได้ (๓) สินทรัพย์อื่นซึ่งชำรุด เสียหาย หรือหมดราคา ข้อ ๓ สิทธิเรียกร้องที่เรียกคืนไม่ได้ตามข้อ ๒ (๑) นั้น ให้พิจารณาตามเกณฑ์ ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อรวมกัน ดังต่อไปนี้ (๑) ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เป็นคนสาบสูญ หรือมีหลักฐานว่าหายสาบสูญไปและ ไม่มีทรัพย์สินใด ๆ จะชำระหนี้ได้ (๒) ลูกหนี้เลิกกิจการ และมีหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้ง หมดของลูกหนี้อยู่ในลำดับก่อนเป็นจำนวนมากกว่าทรัพย์สินขอลูกหนี้ (๓) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง และในกรณีนั้น ๆ ได้มีคำบังคับหรือคำสั่งของศาลแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์ สินใด ๆ จะชำระหนี้ได้ หรือ (๔) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ใน คดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย และในกรณีนั้น ๆ ได้มีการประนอมหนี้กับลูก หนี้โดยศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้นั้น หรือลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคล ล้มละลาย และได้มีการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ครั้งที่สุดแล้ว ข้อ ๔ สินทรัพย์สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ได้แก่ (๑) สิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ที่ไม่มีทรัพย์สินเป็นประกัน หรือมี ทรัพย์สินเป็นประกันเฉพาะส่วนที่ไม่คุ้มหนี้ หรือไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย (๒) สินทรัพย์อื่นเฉพาะส่วนทีเป็นผลต่างของราคาจริงกับราคาตามบัญชีที่สูงกว่า ราคาจริง ทั้งนี้ ราคาจริงของสินทรัพย์นั้นให้ถือตามราคาซื้อขายในตลาด หรือตามที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยสั่ง (๓) สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่มีปัญหาในการเรียกให้ชำระคืน หรือไม่ก่อให้เกิด รายได้ตามปกติ ข้อ ๕ สิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ตามข้อ ๔ (๑) นั้น ให้พิจารณา ตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อรวมกัน ดังต่อไปนี้ (๑) มีคำสั่งศาลให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ (๒) ลูกหนี้หยุดำเนินกิจการหรือเลิกกิจการ หรือกิจการของลูกหนี้อยู่ระหว่าง ชำระบัญชี (๓) ลูกหนี้ประวิงการชำระหนี้ หรือกระทำการใด ๆ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระ หนี้ เช่น ออกไปเสียนอกราชอาณาจักร หรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน (๔) ลูกหนี้มีฐานะการเงินไม่มั่นคงหรือความสามารถในการหารายได้ต่ำอันแสดง ถึงความสามารถใรการชำระหนี้อ่อน (๕) ธนาคารพาณิชย์ติดต่อลูกหนี้ไม่ได้ หรือตามตัวลูกหนี้ไม่พบ หรือลูกหนี้ไม่ เสียจากภูมิลำเนาที่ปรากฏตามสัญญาโดยไม่แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์ทราย (๖) ผู้ค้ำประกันหนี้เข้าเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังกล่าวข้างต้น (๗) ธุรกิจของลูกหนี้ไม่ปรากฏแน่ชัด หรือไม่ได้ประกอบธุรกิจจริงจัง (๘) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูก เจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง (๙) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ใน คดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย (๑๐) ลูกหนี้ดำเนินธุรกิจขาดทุนเป็นเวลาตั้งแต่สามปีติดต่อกันขึ้นไป เว้นแสดง ให้เห็นได้ว่ากิจการของลูกหนี้มีลู่ทางกำไรพอชดเชยผลขาดทุน (๑๑) ลูกหนี้ค้างชำระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินหนึ่งปี เว้นแต่แสดงให้ เห็นได้ว่าจะได้รับชำระหนี้คืนครบเมื่อมีการเรียกให้ชำระหนี้ (๑๒) ลูกหนี้ได้ขอผ่อนเวลาการชำระหนี้ไว้ แต่ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนด เวลาที่ตกลงกัน หรือ (๑๓) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสิทธิเรียกร้องนั้นคาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ตามที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๖ สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่มีปัญหาในการเรียกให้ชำระคืน หรือไม่ก่อ ให้เกิดรายได้ตามปกติตามข้อ ๔ (๓) นั้น ให้พิจารณาตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ (๑) ลูกหนี้ค้างชำระดอกเบี้ยหรือต้นเงินเป็นระยะเวลารวมกันเกินหกเดือน (๒) ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ภายในหกเดือนนับแต่วันที่ถึงกำหนดชำระตามสัญญาหรือ วันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน (๓) สิทธิเรียกร้องซึ่งเข้าเกณฑ์เช่นเดียวกับที่ระบุในข้อ ๕ เฉพาะส่วนที่มีสิน ทรัพย์เป็นประกัน (๔) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์ หรือสิทธิเรียกร้องนั้นมีปัญหาในการ เรียกให้ชำระคืน หรือไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามปกติตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง ข้อ ๗ เมื่อสิ้นงวดการบัญชีรอบระยะเวลาหกเดือน ให้ธนาคารพาณิชย์กันเงิน สำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้เป็นจำนวนเท่ากับอัตราดังนี้ (๑) ร้อยละหนึ่งร้อยของสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ตาม ข้อ ๔ (๑) และ ๔ (๒) (๒) ร้อยละสิบห้าของสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ตาม ข้อ ๔ (๓) ทั้งนี้ เงินสำรองตามวรรคหนึ่งต้องมีจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละศูนย์จุดสองห้าของ เงินให้สินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น ณ วันสิ้นงวดการบัญชีรอบระยะเวลาหกเดือนนั้น ข้อ ๘ ธนาคารพาณิชย์ใดมีสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่มีปัญหาในการเรียกให้ ชำระคืน หรือไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามปกติตามข้อ ๔ (๓) ในงวดการบัญชีครึ่งแรกของปี ๒๕๔๐ ซึ่งได้มีการจัดชั้นไว้แล้ว โดยธนาคารแห่งประเทศไทยหรือโดยธนาคารพาณิชย์เอง และได้ถือ ปฏิบัติตามคำสั่งหรือตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้ ใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นกันเงินสำรองเป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละสิบห้าของสินทรัพย์ หรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้ครบถ้วนภายในสิ้นงวดการบัญชีครึ่งหลังของปี ๒๕๔๑ โดยต้อง ดำเนินการตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (๑) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีครึ่งหลังของปีบัญชี ๒๕๔๐ ให้กันเงินสำรองไว้ ไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว (๒) ภายในวันสิ้นงวดการบัญชีครึ่งแรกของปีบัญชี ๒๕๔๑ ให้กันเงินสำรองไว้ ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนที่ต้องกันเงินสำรองดังกล่าว ข้อ ๙ ธนาคารพาณิชย์ใดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้สั่งให้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มี ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชีหรือให้กันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคา หรือเรียกคืนไม่ได้รายใดอยู่แล้วก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติตามคำ สั่งดังกล่าวต่อไป เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งเป็นอย่างอื่น ข้อ ๑๐ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่งงวดการบัญชี ครึ่งหลังของปีบัญชี ๒๕๔๐ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก. ๒๕๔๐/พ๑๒๕ง/๒๙/๓๐ ธันวาคม]
301588
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 4)
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๔) ------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๖ ซึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติ ในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝากดังต่อไปนี้ (๑) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม รวมตลอดถึงเงินฝากที่จ่ายคืนเมื่อสิ้น ระยะเวลาไม่ถึง ๓ เดือน ไม่จ่ายดอกเบี้ย (๒) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม ประเภทออมทรัพย์ที่ไม่ใช่เช็คในการ ถอน และเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาประเภทเงินฝากแบบผูกพัน (Contractual Savings) จ่ายดอกเบี้ยได้ตามอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนด (๓) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๓ เดือนขึ้นไป ให้จ่ายดอกเบี้ย ได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ธนาคารใหญ่จ่ายสำหรับเงินฝากระยะเวลาเดียวกัน ตามที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยประกาศในสัปดาห์ก่อนหน้า บวกด้วยอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่ธนาคารพาณิชย์กำหนด จะจ่ายสำหรับเงินฝากแต่ละประเภท ทั้งที่จ่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไปและลูกค้ารายใหญ่ รวมทั้งอัตรา ดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่จะจ่ายสำหรับเงินฝากตามข้อ ๒ (๓) ซึ่งธนาคารพาณิชย์ยินยอมให้ถอน ก่อนครบกำหนดด้วย ธนาคารใหญ่ตามข้อนี้ หมายถึงธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)" ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในข้อ ๕ ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๖ ซึ่งแก้ ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติใน เรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๕ ประกาศนี้ไม่ใช้บังคับแก่กรณีการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงินระหว่าง ธนาคารพาณิชย์กับสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน และกรณีที่ธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินเป็นเงินตราต่างประเทศหรือให้สินเชื่อโดยตกลงกันเป็นเงิน ตราต่างประเทศไม่ว่าจะจ่ายเป็นเงินสกุลใด เว้นแต่ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินด้วยการ ออกบัตรเงินฝาก หรือกู้ยืมด้วยการออกตั๋วแลกเงิน อัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่คิดให้แก่กันจะ ต้องไม่เกินอัตราดอกเบี้ยตามข้อ (๓)" ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๐/พ๘๓ง/๒๒/๑๘ กันยายน ๒๕๔๐]
301587
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2540
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการ วิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๐ ------------- โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบ กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ อาศัยอำนาจตามความใน มาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดดัง ต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๘ และข้อ ๙ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๘ นอกจากสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทเพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตาม มาตรา ๑๑ ตรี และสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทที่ออกโดยสถาบันการเงินตามโครงการรับแลกเปลี่ยน กับตราสารที่ออกโดยบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ทางการมีคำสั่งให้ระงับการ ดำเนินการชั่วคราว กิจการวิเทศธนกิจอาจมีสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายใน การดำเนินธุรกิจไว้ในประเทศไทยได้ในมูลค่าไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในรูปของสินทรัพย์ดัง ต่อไปนี้ (๑) สถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้าง รวมทั้งเครื่อง ใช้สำนักงานต่าง ๆ โดยหักค่าเสื่อมราคาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ (๒) หลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่รัฐบาลไทยค้ำประกันต้นเงินและ ดอกเบี้ย (๓) หุ้นกู้ที่ไม่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นได้ บัตรเงินฝาก หรือตราสารแห่งหนี้ ซึ่งออกโดยนิติบุคคล หรือสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และเสนอขอในประเทศ ไทย (๔) เงินฝากที่เป็นเงินบาทกับสถาบันการเงินในประเทศไทย ทั้งนี้ สินทรัพย์ตาม (๒) และ (๓) ให้คำนวณมูลค่าสินทรัพย์โดยถือตามราคา ตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า ข้อ ๙ กิจการวิเทศธนกิจ อาจเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินตราต่างประเทศหรือเงิน ตราต่างประเทศเป็นเงินบาทได้ ในกรณีดังต่อไปนี้ (๑) เปลี่ยนเงินบาท ซึ่งเป็นผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี เพื่อส่งผลกำไร นั้นกลับไปยังกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่เป็นเจ้า ของกิจการวิเทศธนกิจ ทั้งนี้ กิจการส่วนอื่นนั้นต้องอยู่ในต่างประเทศด้วย (๒) เปลี่ยนเงินบาทที่เกิดจากการจำหน่ายสินทรัพย์ตามข้อ ๘ หรือที่เกิดจากการ จำหน่ายสินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ ๑๑ (๓) เปลี่ยนเงินตราตางประเทศ เพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา ๑๑ ตรี และเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจตามข้อ ๘ (๔) เปลี่ยนเงินบาทจากการลดยอดของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตาม มาตรา ๑๑ ตรี เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ ๑๑ รวมทั้งการทำสัญญาประกันความ เสี่ยงสำหรับจำนวนเงินที่ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องดังกล่าว (๕) เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อปฏิบัติตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตราสาร ที่ออกโดยบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ทางการมีคำสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการ ชั่วคราว (๖) เปลี่ยนเงินบาที่เกิดจากการเปลี่ยนมาตรา (๕) เพื่อนำกลับไปประกอบ ธุรกรรมตามข้อ ๑๑ การเปลี่ยนเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้กับ ธนาคารรับอนุญาตตามกฎหมายควบคุมการและเปลี่ยนเงินในส่วนที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ" ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๑ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ "ข้อ ๑๑ ผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี หรือเงินตราต่างประเทศ ซึ่งได้มา จากการเปลี่ยนเงินบาทตามข้อ ๙ (๒) (๔) และ (๖) ให้ถือว่ามีแหล่งที่มาจากต่างประเทศซึ่ง กิจการวิเทศธนกิจสามารถนำกลับไปประกอบธุรกรรมทุกประเภทตามที่กิจการวิเทศธนกิจจะพึง กระทำได้ ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคาร พาณิชย์ และตามประกาศฉบับนี้ แต่ไม่รวมถึงการให้กู้ยืมเงินบาทของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการ ให้กู้ยืมในประเทศ" ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๐/พ๘๓ง/๒๘/๑๘ กันยายน ๒๕๔๐]
318612
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 2)
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๒) ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (๒) ของข้อ ๒ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๖ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(๒) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม ประเภทออมทรัพย์ซึ่งใช้สมุดคู่ฝากเป็น หลักฐานการรับฝากเงินและไม่ใช้เช็คในการถอน ให้จ่ายดอกเบี้ยได้ตามอัตราที่ธนาคารประกาศ กำหนด เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ ๓ เดือนขึ้นไป ให้จ่ายดอกเบี้ยได้ไม่ เกินร้อยละ ๑๒ ต่อปี" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๐ เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๐/พ๕๔ง/๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๐]
301586
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของบริษัทเงินทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของบริษัทเงินทุน ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงิน ทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออก ข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของ บริษัทเงินทุน ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๙ (๒) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของ บริษัทเงินทุน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๙ ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๙ (๓) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของ บริษัทเงินทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ข้อ ๒ ให้บริษัทเงินทุนดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเป็นอัตราส่วนกับยอดรวมเงิน ที่ได้จาการกู้ยืมหรือได้รับจากประชาชน อันบริษัทเงินทุนมีหน้าที่จะต้องชำระคืน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังนี้ (๑) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเป็นเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ต่ำกว่า ร้อยละ ๗ ของยอดเงินที่ได้จากการกู้ยืมหรือได้รับจากต่างประเทศ เฉพาะที่มีกำหนดชำระคืนเมื่อ ทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาที่มีสิทธิเรียกคืนหรือชำระคืนได้ก่อนครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันที่ กู้ยืมหรือได้รับเงิน เว้นแต่จะได้รับผ่อนผันจากธนาคารแห่งประเทศไทย อนึ่ง ยอดเงินข้างต้นไม่รวมถึงเงินกู้ยืมหรือที่ได้รับจากต่างประเทศ ในสกุลเงิน ตราต่างประเทศที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๙ และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินหรือนิติ บุคคลในต่างประเทศเพื่อการดำเนินงานตามปกติ (commercial borrowing) ในสกุลเงินบาท ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๙ และยังไม่ถึงกำหนดชำระคืน (๒) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗ ของยอดรวมเงินที่ได้จากการ กู้ยืมหรือได้รับจากประชาชนทุกประเภทนอกจากที่กล่าวใน (๑) โดยสินทรัพย์สภาพคล่องดัง กล่าวได้แก่ (๒.๑) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๐.๕ ของยอดเงินที่ ได้จากการกู้ยืมหรือได้รับจากประชาชนดังกล่าว (๒.๒) หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกพันดังต่อไปนี้ รวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕.๕ ของยอดเงินที่ได้จากการกู้ยืมหรือได้รับจากประชาชนดังกล่าว ก. หลักทรัพย์รัฐบาลไทย ข. หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้น เงินและดอกเบี้ย ค. พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนาระบบสถาบันการเงิน ง. หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนาระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย จ. หุ้นกู้ หรือพันธบัตรองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้ง ขึ้น หรือพันธบัตรที่ออกโดยบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๒.๓) เงินฝากที่ธนาคารที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งปราศจากภาระผูกพัน (๒.๔) เงินให้กู้ยืมเผือเรียกแก่ธนาคารที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและกองทุนเพื่อ การฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งปราศจากภาระผูกพัน (๒.๕) บัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปราศจากภาระผูกพัน ข้อ ๓ อัตราส่วนที่ต้องดำรงตามข้อ ๒ (๑) หรือ (๒) ข้างต้น ให้ถือเอาส่วน เฉลี่ยรายสัปดาห์ของสินทรัพย์สภาพคล่องทุกสิ้นวันและส่วนเฉลี่ยรายสัปดาห์ของยอดรวมเงินที่ ได้จากการกู้ยืมหรือได้รับจากประชาชนทุนสิ้นวัน โดยให้ถือเอาวันศุกร์เป็นวันเริ่มต้นของสัปดาห์ และวันพฤหัสบดีเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๐/๕๐ง/๑๔/๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๐]
301585
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๑ จัตวา และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความ เห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๔๐ ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์นอกจากกิจการวิเทศธนกิจและกิจการวิเทศธนกิจสาขา ต่างจังหวัดต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝากและยอดเงินกู้ยืมตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้ (๑) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเป็นเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้ว ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของ (๑.๑) ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศยกเว้นเงินฝากที่มีข้อตก ลงหรือเงื่อนไขห้ามถอนเงินคืนก่อนครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันฝาก (๑.๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ ก่อนครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้า มาในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย (๒) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของยอดรวอทั้งสิ้น ของเงินฝากทุกประเภทนอกจากยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตามที่กล่าวใน (๑.๑) แห่งข้อนี้ โดยสินทรัพย์สภาพคล่องดังกล่าวต้องประกอบด้วย (๒.๑) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ ของยอด เงินฝากตาม (๒) นี้ (๒.๒) เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ แต่ให้ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ไม่เกิน ร้อยละ ๒.๕ ของยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากตาม (๒) นี้ (๒.๓) หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกพัน ดังต่อไปนี้ ก. หลักทรัพย์รัฐบาลไทย ข. พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ค. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตั๋วสัญญาให้เงินที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและ ดอกเบี้ย ง. พันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนาระบบสถาบันการเงิน จ. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนา ระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ฉ. หุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจซึ่งธนาคารแห่ง ประเทศไทยให้ความเห็นชอบหรือที่ออกโดยบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อ ๓ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจ และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัด ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องดังนี้ (๑) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเป็นเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้ว ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของ (๑.๑) ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศยกเว้นเงินฝากที่มีข้อตก ลงหรือเงื่อนไขห้ามถอนเงินคืนก่อนครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันฝาก (๑.๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ ก่อนครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับเฉพาะยอดรวมเงินฝาก หรือยอดรวมเงินกู้ยืมของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศและกิจการวิเทศธนกิจเพื่อ การให้กู้ยืมเป็นเงินบาทในต่างจังหวัดเท่านั้นและให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทย จากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย (๒) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของยอดรวมทั้งสิ้นของ เงินฝากทุกประเภท ยกเว้นยอดรวมเงินฝากของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ และยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตามที่กล่าวใน (๑.๑) แห่งข้อนี้ โดยกิจการ วิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดจะถือเอาสินทรัพย์ใด ๆ เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงก็ได้ ส่วนกิจการวิเทศธนกิจของธนาคาร พาณิชย์ไทยให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๒ (๒) ข้อ ๔ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามประกาศนี้ให้คิดจากสินทรัพย์สภาพ คล่องที่ดำรงแต่ละวันเฉลี่ยเป็นรายปักษ์ โดยคำนวณเทียบกับสวนเฉลี่ยรายปักษ์ของยอดเงินฝาก หรือเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์แล้วแต่กรณีแต่ละวันในปักษ์ก่อนทั้งนี้ ให้ถือเอาวันที่ ๘ ถึงวันที่ ๒๒ ของเดือนเป็นปักษ์หนึ่ง และวันที่ ๒๓ ถึง วันที่ ๗ ของเดือนถัดไป เป็นอีกปักษ์หนึ่ง และให้ นับวันหยุดทำการรวมคำนวณเข้าด้วย ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๔๐/พ๗๘ง/๒๕/๘ กันยายน ๒๕๔๐]
318611
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์เนื่องจากการควบหรือรวมกิจการของสถาบันการเงิน
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากการควบหรือรวมกิจการของสถาบันการเงิน -------------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ในประกาศนี้ "บริษัทแกน" หมายความว่า บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีสิน ทรัพย์สุทธิไม่ต่ำกว่า ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และเงินกองทุนชั้นที่ ๑ สุทธิไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท หรือกลุ่มบริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไม่เกิน ๓ บริษัทที่มีสินทรัพย์สุทธิและเงินกอง ทุนชั้นที่ ๑ สุทธิรวมกันไม่ต่ำกว่า ๗๕,๐๐๐ ล้านบาท และ ๗,๕๐๐ ล้านบาทตามลำดับ "สถาบันการเงิน" หมายความว่า บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หรือ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ข้อ ๒ บริษัทแกนที่ประสงค์จะขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (๑) มีประวัติผลการดำเนินงานดีและมีฐานะการเงินมั่นคง (๒) มีการบริหารงานและผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดการที่รอบคอบและ เชื่อถือได้ มีระบบบัญชี ระบบการควบคุมภายใน และระบบการติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อ ๓ บริษัทแกนที่ประสงค์จะขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ให้ยื่นคำขอ พร้อมแผนงานของบริษัทต่อธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขจะต้องควบหรือรวมกิจการ หรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดหรือบางส่วนจากสถาบันการเงินอื่นตามที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยเห็นชอบเพื่อให้มีสินทรัพย์สุทธิไม่ต่ำกว่า ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และเงินกองทุน ไม่ต่ำกว่าอัตราตามที่กฎหมายกำหนด ในการคำนวณสินทรัพย์สุทธิรวม ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ ๔ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาคัดเลือกเป็นราย ๆ ไปเมื่อได้รับคำขอ และเสนอชื่อบริษัทแกนที่มีแผนงานเหมาะสมต่อรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบ เมื่อรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว บริษัทแกนต้องดำเนินการควบหรือรวมกิจ การหรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดหรือบางส่วนจากสถาบันการเงินอื่นตามแผนงานที่ได้ รับความเห็นชอบ เมื่อได้ดำเนินการตามวรรคสองแล้ว ให้บริษัทแกนยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบ การธนาคารพาณิชย์ และให้สถาบันการเงินที่ควบหรือรวมกันหรือโอนสินทรัพย์และหนี้สินทุก บริษัทยื่นขอเลิกหรือขอผ่อนผันการประกอบธุรกิจเดิมที่ได้รับอนุญาต ข้อ ๕ ก่อนได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ หากปรากฏว่าบริษัท แกนบริษัทใดขาดคุณสมบัติหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด รัฐมนตรีจะเพิกถอนการให้ความ เห็นชอบการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ก็ได้ ข้อ ๖ เมื่อบริษัทแกนบริษัทใดได้ดำเนินการตามข้อ ๔ แล้ว รัฐมนตรีจะออกใบ อนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์ให้ พร้อมกับมีคำสั่งยกเลิกใบอนุญาตประกอบธุรกิจเดิม ทั้งหมดของสถาบันการเงินที่ควบหรือรวมกันนั้นทุกบริษัทเว้นแต่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ หลักทรัพย์ที่รัฐมนตรีอาจผ่อนผันเป็นกรณี ๆ ไป ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๐ อำนวย วีรวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๔๐/พ๔๙ง/๖/๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๐]
301584
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2540
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ ---------- ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอขอให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ นั้น ในคราว ประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ ๒๐ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญ ครั้งที่สอง) วันพุธที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าว และในคราวประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญ ครั้งที่สอง) วันศุกร์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติพระราชกำหนด ดังกล่าว จึงประกาศมาตามมาตรา ๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พุทธศักราช ๒๕๓๘ ประกาศ ณ วันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี [รก. ๒๕๔๐/๓๔ก/๓๒/๘ กรกฎาคม ๒๕๔๐]
318610
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์เนื่องจากการควบหรือรวมกิจการของสถาบันการเงิน
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากการควบหรือรวมกิจการของสถาบันการเงิน --------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ในประกาศนี้ บริษัทแกน หมายความว่า บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ที่มีสินทรัพย์สุทธิไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท และเงินกองทุนชั้นที่ 1 สุทธิไม่ต่ำ กว่า 5,000 ล้านบาท หรือกลุ่มบริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไม่เกิน 3 บริษัทที่มีสินทรัพย์สุทธิและเงินกองทุนชั้นที่ 1 สุทธิรวมกันไม่ต่ำกว่า 75,000 ล้านบาท และ 7,500 ล้านบาทตามลำดับ สถาบันการเงิน หมายความว่า บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ข้อ 2 บริษัทแกนที่ประสงค์จะขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ (1) มีประวัติผลการดำเนินงานดีและมีฐานะการเงินมั่นคง (2) มีการบริหารงานและผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดการ ที่รอบคอบและเชื่อถือได้ มีระบบบัญชี ระบบการควบคุมภายใน และระบบการติดตาม หนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อ 3 บริษัทแกนที่ประสงค์จะขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ให้ยื่น คำขอพร้อมแผนงานของบริษัทต่อธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขจะต้อง ควบหรือรวมกิจการหรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดหรือบางส่วนจากสถาบัน การเงินอื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบเพื่อให้มีสินทรัพย์สุทธิไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท และเงินกองทุนไม่ต่ำกว่าอัตราตามที่กฎหมายกำหนด ในการคำนวณสินทรัพย์สุทธิรวม ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ข้อ 4 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาคัดเลือกเป็นราย ๆ ไปเมื่อได้รับคำขอและเสนอชื่อบริษัทแกนที่มีแผนงานเหมาะสมต่อรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบ เมื่อรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว บริษัทแกนต้องดำเนินการควบ หรือรวมกิจการหรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดหรือบางส่วนจากสถาบัน การเงินอื่นตามแผนงานที่ได้รับความเห็นชอบ เมื่อได้ดำเนินการตามวรรคสองแล้ว ให้บริษัทแกนยื่นขอรับใบ อนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์ และให้สถาบันการเงินที่ควบหรือรวมกัน หรือโอนสินทรัพย์และหนี้สินทุกบริษัทยื่นขอเลิกหรือขอผ่อนผันการประกอบธุรกิจ เดิมที่ได้รับอนุญาต ข้อ 5 ก่อนได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ หาก ปรากฎว่าบริษัทแกนบริษัทใดขาดคุณสมบัติหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด รัฐมนตรีจะเพิกถอนการให้ความเห็นชอบการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ก็ได้ ข้อ 6 เมื่อบริษัทแกนบริษัทใดได้ดำเนินการตามข้อ 4 แล้ว รัฐมนตรีจะออกใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์ให้ พร้อมกับมีคำสั่งยกเลิก ใบอนุญาตประกอบธุรกิจเดิมทั้งหมดของสถาบันการเงินที่ควบหรือรวมกันนั้นทุก บริษัทเว้นแต่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่รัฐมนตรีอาจผ่อนผันเป็นกรณี ๆไป ข้อ 7 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2540 อำนวย วีรวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
301582
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 3)
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 3) --------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลังดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้ยกเลิกความในข้อ 2 ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2536 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2540 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ข้อ 2 ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝาก ดังต่อไปนี้ (1) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม รวมตลอดถึงเงินฝากที่จ่ายคืนเมื่อ สิ้นระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน ไม่จ่ายดอกเบี้ย (2) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม ประเภทออมทรัพย์ที่ไม่ใช้เช็ค ในการถอน และเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาประเภทเงินฝากแบบผูกพัน (Contractual Svaings) จ่ายดอกเบี้ยได้ตามอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนด (3) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป ให้จ่าย ดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 14 ต่อปี ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่ธนาคารพาณิชย์ กำหนดจะจ่ายสำหรับเงินฝากแต่ละประเภท ทั้งที่จ่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไปและลูกค้าราย ใหญ่รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่จะจ่ายสำหรับเงินฝากตามจ้อ 2(3) ซึ่ง ธนาคารพาณิชย์ยินยอมให้ถอนก่อนครบกำหนดด้วย ข้อ 2 ให้ยกเลิกความในข้อ 5 ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2536 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ข้อ 5 ประกาศนี้ไม่ใช้บังคับแก่กรณีการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงิน ระหว่างธนาคารพาณิชย์กับสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม ของสถาบันการเงิน และกรณีที่ธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินเป็นเงินตราต่างประเทศ หรือให้สินเชื่อโดยตกลงกันเป็นเงินตราต่างประเทศไม่ว่าจะจ่ายเป็นเงินสกุลใด ทั้งนี้ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินด้วยการออกบัตรเงินฝาก (Negotiable Certificate of Deposit) หรือกู้ยืมด้วยการออกตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) อัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่คิดให้แก่กันจะต้องไม่เกินร้อยละ 14 ต่อปี ข้อ 3 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 18 กรกฎาคม พุทธศักราช 2540 จรุง หนูขวัญ รองผู้ว่าการ แทน ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
301581
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง --------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 ตรี มาตรา 11 จัตวา และ มาตรา 11 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 ธนาคาร แห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้ยกเลิก (1) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ 25 เมษายน 2539 (2) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคาร พาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2539 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน ข้อ 2 ธนาคารพาณิชย์นอกจากกิจการวิเทศธนกิจและกิจการวิเทศธนกิจ สาขาต่างจังหวัดต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝาก และ ยอดเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้ (1) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเป็นเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ 7 ของ (1.1) ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศยกเว้น เงินฝากที่มีข้อตกลงหรือเงื่อนไขห้ามถอนเงินคืนก่อนครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันฝาก (1.2) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรือ อาจถูกเรียกคืนได้ก่อนครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืนตามหลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และเงินกู้ยืมที่ได้กระทำก่อนวันที่ 23 มิถุนายน 2539 และยังไม่ถึงกำหนดชำระคืน ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับรวมยอดเงินซึ่ง โอนเข้ามาในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ใน บัญชีระหว่างกันด้วย (2) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ 7 ของ ยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากทุกประเภทนอกจากยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่ นอกประเทศตามที่กล่าวใน (1.1) แห่งข้อนี้ โดยสินทรัพย์สภาพคล่องดังกล่าวต้อง ประกอบด้วย (2.1) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 2 ของยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากตาม (2) นี้ (2.2) เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ แต่ให้ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่อง ได้ไม่เกินร้อยละ 2.5 ของยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากตาม (2) นี้ (2.3) หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกพัน ดังต่อไปนี้ ก. หลักทรัพย์รัฐบาลไทย ข. พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ค. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวงการคลัง ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ง. พันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกองทุน ฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จ. หุ้นกู้ พันธบัตรหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กองทุนเพื่อ การฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ฉ. หุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่ออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐ วิสาหกิจ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบหรือที่ออกโดยบรรษัทเงินทุน อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ข้อ 3 ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจ และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่าง จังหวัดธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ดังนี้ (1) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเป็นเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ 7 ของ (1.1) ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศยกเว้น เงินฝากที่มีข้อตกลงหรือเงื่อนไขห้ามถอนเงินคืนก่อนครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันฝาก (1.2) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจ ถูกเรียกคืนได้ก่อนครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และเงินกู้ยืมที่ได้กระทำก่อนวันที่ 23 มิถุนายน 2539 และยังไม่ถึงกำหนดชำระคืน ทั้งนี้ ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับเฉพาะยอดรวม เงินฝากหรือยอดรวมเงินกู้ยืมของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศและ กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมเป็นเงินบาทในต่างจังหวัดเท่านั้น และให้นับรวม ยอดเงินซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ ที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย (2) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 7 ของยอดรวม ทั้งสิ้นของเงินฝากทุกประเภท ยกเว้นยอดรวมเงินฝากของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อ การให้กู้ยืมในต่างประเทศและยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตามที่ กล่าวใน (1.1) แห่งข้อนี้ โดยกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและกิจการ วิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดจะถือเอาสินทรัพย์ใด ๆ เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สภาพ คล่องที่ต้องดำรงก็ได้ ส่วนกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยให้ถือปฏิบัติ ตามข้อ 2(2) ข้อ 4 สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามประกาศนี้ให้คิดจากสินทรัพย์ สภาพคล่องที่ดำรงแต่ละวันเฉลี่ยเป็นรายปักษ์ โดยคำนวณเทียบกับส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ ของยอดรวมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์แล้วแต่กรณีแต่ละวันในปักษ์ก่อน ทั้งนี้ ให้ถือเอาวันที่ 8 ถึงวันที่ 22 ของเดือนเป็นปักษ์หนึ่ง และวันที่ 23 ถึงวันที่ 7 ของเดือนถัดไป เป็นอีกปักษ์หนึ่ง และให้นับวันหยุดทำการรวมคำนวณเข้าด้วย ข้อ 5 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย
318609
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2540
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พุทธศักราช 2505 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2540 ------- ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอขอให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2540 นั้น ในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 20 ปีที่ 1 ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญครั้งที่ 3) วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน 2540 ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าว และ ในคราวประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2540 ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าว จึงประกาศมาตามความในมาตรา 218 ของรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย ประกาศ ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2540 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี
301580
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2540
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ ---------- ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอขอให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ นั้น ในคราว ประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ ๒๐ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญ ครั้งที่สอง) วันพุธที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าว และในคราวประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญ ครั้งที่สอง) วันศุกร์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ที่ประชุมได้ลงมติอนุมัติพระราชกำหนด ดังกล่าว จึงประกาศมาตามมาตรา ๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พุทธศักราช ๒๕๓๘ ประกาศ ณ วันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี [รก. ๒๕๔๐/๓๔ก/๓๒/๘ กรกฎาคม ๒๕๔๐]
314557
ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์การยื่นคำขอประกอบกิจการวิเทศธนกิจรอบสอง
ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์การยื่นคำขอประกอบกิจการวิเทศธนกิจรอบสอง ---------------------------- เพื่อให้เป็นไปตามแผนพัฒนาระบบการเงิน และเป็นการส่งเสริมกรุงเทพ ฯ ให้ เป็นศูนย์กลางทางการเงิน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์ การยื่นคำขอประกอบกิจการ วิเทศธนกิจรอบสองดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ธนาคารที่มีสิทธิ์ยื่นคำขอต้องเป็นธนาคารต่างประเทศที่ยังไม่ได้รับ อนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ ๑.๑ เป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ มีชื่อเสียง มีฐานะมั่นคง และมีผลการดำเนิน งานดี ๑.๒ เป็นธนาคารที่มีประสบการณ์และความชำนาญในธุรกิจด้านการธนาคาร ระหว่างประเทศ หรือมีบทบาทในศูนย์กลางการเงินอื่น ๆ รวมทั้งบทบาทในการพัฒนาธุรกิจการเงิน ระหว่างประเทศในประเทศที่ธนาคารนั้นเปิดสาขา ๑.๓ เป็นธนาคารที่ให้ความร่วมมือกับทางการเป็นอย่างดี ๑.๔ เป็นธนาคารที่จดทะเบียนในประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ ประเทศไทย ทั้งด้านการเงิน การค้า และการลงทุน หรือมีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจ กับประเทศไทยเป็นจำนวนมากในอนาคต ๑.๕ เป็นธนาคารที่จดทะเบียนในประเทศที่มีมาตรฐานการกำกับ ควบคุมสถาบันการเงินเป็นอย่างดี และน่าเชื่อถือ ๑.๖ เป็นธนาคารที่มีอันดับน่าเชื่อถือตามการจัดอันดับของสถาบันจัด อันดับความน่าเชื่อถือระดับนานาชาติ ๑.๗ เป็นธนาคารที่จดทะเบียนในประเทศที่มีนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน ๑.๘ เป็นธนาคารที่มีแผนงานที่จะช่วยเสริมสร้างและพัฒนาให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาค ข้อ ๒ จำนวนทุนของธนาคารพาณิชย์ที่จะเข้ามาประกอบกิจกรวิเทศธนกิจ จะ ต้องมีเงินกองทุนไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ ล้านบาท นับตั้งแต่วันเปิดดำเนินการ ข้อ ๓ ผู้ยื่นคำขอต้องยื่นเอกสารต่อไปนี้พร้อมกับคำขอ ๓.๑ สำเนาใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนบริษัท พร้อมทั้งหลักฐานแสดง สถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของธนาคารผู้ยื่นคำขอ และหลักฐานแสดงสถานที่ประกอบธุรกิจ หลักของธนาคารนั้น ๓.๒ รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ ๑๐ รายแรกของธนาคาร ๓.๓ หนังสือยินยอมให้ยื่นคำขอประกอบกิจการวิเทศธนกิจในประเทศไทยจาก ทางการของประเทศที่จดทะเบียนจัดตั้งธนาคาร ๓.๔ หลักฐานที่แสดงว่าประเทศนั้น ๆ ได้บังคับใช้กฎเกณฑ์ เรื่องความเพียง พอของเงินกองทุนตามแนวทาง ของ Bank for Internationl Settlements พร้อมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับ อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนของธนาคารผู้ยื่นคำขอที่คำนวณได้ย้อนหลัง ๓ ปี ๓.๕ รายงานประจำปี ซึ่งประกอบด้วยงบการเงินของธนาคารที่ยื่นคำขอย้อน หลัง ๓ ปี ๓.๖ ข้อมูลแสดงวงเงินและยอดคงค้างของการให้กู้ยืม หรือร่วมลงทุนกับภาค รัฐบาล ภาคสถาบันการเงิน และภาคเอกชนอื่น ๆ ในประเทศไทยของธนาคารผู้ยื่นคำขอ ณ วันสิ้น เดือนมิถุนายน และธันวาคมของทุกปี ย้อนหลัง ๓ ปี ๓.๗ เอกสารวิเคราะห์ความเป็นไปได้เชิงธุรกิจของกิจการวิเทศธนกิจตามที่ยื่น คำขอ ๓.๘ เอกสารแสดงอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารผู้ยื่นคำขอ โดยสถานบัน การเงินจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกย้อนหลัง ๓ ปี ๓.๙ ข้อมูลแสดงการประกอบธุรกิจการเงินในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญ ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการวิเทศธนกิจ หรือธุรกิจทำนองเดียวกัน (ถ้ามี) ๓.๑๐ ข้อมูลแสดงสัดส่วนปริมาณธุรกิจกิจการวิเทศธนกิจต่อปริมาณธุรกิจ ทั้งสิ้นของธนาคาร (ถ้ามี) ข้อ ๔ ให้ธนาคารที่ประสงค์จะประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ทำหนังสือขอ อนุญาตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมสำเนา ๑ ชุด ยื่นที่ผ่ายกำกับและพัฒนา สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ ๒๗๓ ถนนสามเสน แขวงบางขุมพรหม เขตพระ นคร กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๐๐ ได้ตั้งแต่วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๙ ถึงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๓๙ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ในประกาศนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [รก.๒๕๓๙/๓๔ง/๕/๒๕ เมษายน ๒๕๓๖] ฐาปนี / แก้ไข ๕ สิงหาคม ๒๕๔๕ A+B(C)
314526
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการ วิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙ ------------------ เพื่อให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศ ธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๘ และข้อ ๙ แห่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ข้อ ๘ นอกจากสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทเพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ตามมาตรา ๑๑ ตรี กิจการวิเทศธนกิจอาจมีสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่าย ในการดำเนินธุรกิจไว้ในประเทศไทยได้ในมูลค่าไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในรูปของสินทรัพย์ ดังต่อไปนี้ (๑) สถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างรวมทั้ง เครื่องใช้สำนักงานต่าง ๆ โดยหักค่าเสื่อมราคาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ (๒) หลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่รัฐบาลไทยค้ำประกันต้นเงินและ ดอกเบี้ย (๓) หุ้นกู้ที่ไม่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นได้ บัตรเงินฝากหรือตราสาร แห่งหนี้ซึ่งออกโดยนิติบุคคล หรือสถาบันการเงิน ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และเสนอขาย ในประเทศไทย (๔) บัญชีเงินฝากที่เป็นเงินบาทกับสถาบันการเงินในประเทศไทย อนึ่ง สำหรับสินทรัพย์ตาม (๒) และ (๓) ให้คำนวณมูลค่าสินทรัพย์ โดยถือตามราคา ตลาด หรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า ข้อ ๙ กิจการวิเทศธนกิจ อาจเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินตราต่างประเทศหรือเงินตรา ต่างประเทศเป็นเงินบาทได้ ในกรณีดังต่อไปนี้ (๑) เปลี่ยนเงินบาท ซึ่งเป็นผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี เพื่อส่ง ผลกำไรนั้นกลับไปยังกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจ ทั้งนี้ กิจการส่วนอื่นนั้นต้องอยู่ในต่างประเทศด้วย (๒) เปลี่ยนเงินบาทที่เกิดจากการจำหน่ายสินทรัพย์ตามข้อ ๘ หรือที่เกิดจาก การจำหน่ายสินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ ๑๑ (๓) เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตาม มาตรา ๑๑ ตรี และเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจตามข้อ ๘ การเปลี่ยนเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้กับ ธนาคารรับอนุญาตตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินในส่วนที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ" ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๙ วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [รก.๒๕๓๙/๓๕ง/๔๕/๓๐ เมษายน ๒๕๓๙] ธิดาวรรณ / แก้ไข ๒๓ ก.ค. ๔๕ B+A (C)
308392
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน ------------ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่าง ประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๓๕ (๒) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่าง ประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๓๖ (๓) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่าง ประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๖ (๔) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่าง ประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๔) ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ (๕) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่าง ประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๕) ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๗ (๖) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่าง ประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๖) ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๗ (๗) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคาร ต่างประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๗) ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๙ ข้อ ๒ เงินกองทุนของสาขาของธนาคารต่างประเทศประเทศที่ได้รับใบอนุญาต ให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์หมายความถึงสินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามมาตรา ๖ แห่งพระราช บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๓ ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธนาคาร พาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗.๕ ทั้งนี้ การดำรงเงินกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กำหนดไว้ในข้อ ๔ ถึงข้อ ๖ สินทรัพย์และภาระผูกพันตามวรรคหนึ่ง มิให้รวมถึงสินทรัพย์และภาระผูกพัน ของกิจการวิเทศธนกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของ ธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป และสินทรัพย์ และภาระผูกพันของกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจ การวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๗ หรือที่จะมีการ แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ข้อ ๔ ในการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันตามข้อ ๓ ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ปฏบัติตาม หลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไปนี้ (๑) นำรายการในงบการเงินทางด้านสินทรัพย์ทุกรายการ และภาระผูกพันทุก รายการโดยใช้มูลค่าตามบัญชี ณ วันที่รายงานมาคำนวณกับน้ำหนักความเสี่ยง ส่วนสินทรัพย์และ ภาระผูกพันที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้แปลงค่าเป็นเงินบาทก่อน โดยใช้อัตราเฉลี่ยระหว่างอัตรา ซื้อขั้นต่ำกับอัตราขายขั้นสูงตามประกาศของทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ณ วันที่ราย งาน สำหรับสกุลเงินซึ่งทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามิได้ประกาศอัตราซื้อขั้นต่ำและ อัตราขายขั้นสูงให้ใช้วิธีคำนวณจากอัตราไขว้ (Cross Rate) (๒) คูณสินทรัพย์แต่ละรายการด้วยน้ำหนักความเสี่ยงตามที่กำหนดในข้อ ๕ (๓) คูณภาระผูกพันแต่ละรายการด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดในข้อ ๖ แล้วนำค่าที่ได้คูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละ ประเภทตามที่ได้กำหนดในข้อ ๕ อีกครั้งหนึ่ง (๔) รวมผลคูณของสินทรัพย์ (๒) และภาระผูกพันตาม (๓) ทุกรายการและนำ เงินกองทุนมาคำนวณอัตราส่วนกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยเงินกองทุนต้องเป็นอัตราส่วนกับผลลัพธ์ดัง กล่าวไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในข้อ ๓ ข้อ ๕ น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท น้ำหนักความเสี่ยง ๐ (๑) เงินสดที่เป็นเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ (๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (๓) เงินลงทุนในตลาดซื้อขายพันธบัตร โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืนหรือขายคืน ซึ่ง ดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (๔) เงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังค้ำ ประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหลักทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือเงินให้สินเชื่อที่มีหลัก ทรัพย์ข้างต้นเป็นการประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินให้สินเชื่อที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยหรือเงินให้ สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางที่ กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อในส่วนที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกัน โดยปราศจากเงื่อนไข หรือในส่วนที่มีหลักทรัพย์รัฐบาล หรือธนาคารกลางดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางนอก จากที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกัน โดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องเป็นสกุลเงินของประเทศนั้น และไม่เกิน กว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินทุนในหลักทรัพย์กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือเงินให้สินเชื่อซึ่งนิติบุคคลดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำ ประกัน หรือเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้าง รับ (๙) เงินให้สินเชื่อที่มีสิทธิ ซึ่งมีตราสารการฝากเงินซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ นั้นเป็นประกัน ทั้งนี้เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าตามตราสารนั้น (๑๐) ยอดเหลื่อมบัญชีระหว่างสำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น (๑๑) ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (๑๒) เงินให้สินเชื่อเฉพาะส่วนซึ่งเท่ากับจำนวนที่ได้กันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (๑๓) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (๑๔) เงินสดระหว่างเรียกเก็บเพื่อประโยชน์ของลูกค้า น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๒ (๑) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคาร พาณิชย์ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคารพาณิชย์รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งให้สินเชื่อที่ มีตราสาร ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์เป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคาร อาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือธนาคาร เพื่อการส่งออก และนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคารดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยบริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรองรับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อซึ่ง ตราสารที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๔) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐ หรือ รัฐวิสาหกิจ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้ สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยสถาบันที่กล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคาร พาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคารพาณิชย์ ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคาร พาณิชย์จดทะเบียนในกลุ่มประเทศตามที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ย ค้างรับ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐใน ประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำ ประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสาร ซึ่งออกโดยองค์การดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ย ค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การระหว่าง ประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๒ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำ ประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยองค์การดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ย ค้างรับ (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคาร พาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคาร พาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือไม่เกิน ๑ ปี (๙) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต ซึ่งได้ส่งสินค้าตาม เงื่อนไขแล้ว แต่ในกรณีผู้ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตเป็นธนาคารจดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่ กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ จะต้องมีระยะเวลาคงเหลือของเล็ตเตอร์ออฟเครดิตนั้นไม่เกิน ๑ ปี (๑๐) เงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระ หนี้ แต่สำนักงบประมาณมิได้จัดสรรเงินชำระหนี้ให้จนล่วงพ้นระยะเวลาที่ถึงกำหนดชำระเกินกว่า ๒ ปีขึ้นไป น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๕ (๑) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยเทศบาลหรือเงินให้สิน เชื่อที่มีเทศบาลรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อ ที่มีตราสารซึ่งออกโดยเทศ บาลเป็นประกัน (๒) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา โดยธนาคาร พาณิชย์รับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน ทั้งนี้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังกล่าวต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อยอดคงค้าง รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) ภาระผูกพันที่เป็นสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน หรืออัตราดอกเบี้ยซึ่งได้ คูณด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้ว เว้นแต่ คู่สัญญาจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีน้ำหนักความเสี่ยงต่ำกว่า ๐.๕ น้ำหนักความเสี่ยง ๑.๐ (๑) เงินให้สินเชื่อแก่ภาคเอกชนและดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคาร พาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคาร พาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน ซึ่งมีระยะเวลาคงเหลือเกิน ๑ ปี (๓) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาล หรือธนาคารกลางนอก กลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำ ประกันโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมิใช่เงินสกุลของประเทศนั้น หรือมีจำนวน เกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๔) ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินทรัพย์ประจำอื่น ๆ และทรัพย์สินรอการขาย (๕) สินทรัพย์อื่น ๆ ที่มิได้ระบุน้ำหนักความเสี่ยงไว้ข้อ ๕ นี้ ข้อ ๖ ค่าแปลสภาพ (Credit Conversion Factor) ของภาระผูกพันแต่ละ ประเภท Credit Conversion Factor ๑.๐ (๑) การรับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ค้ำประกันการกู้ยืมเงินและค้ำประกันการ ขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน (๒) การสลักหลังตั๋วเงินแบบผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย (With Recourse) (๓) สัญญาการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามโดยปราศจาก เงื่อนไข (๔) การค้ำประกัน การรับประกัน หรือการก่อภาระผูกพันในรูปแบบใด ๆ ของ ธนาคารพาณิชย์ อันเนื่องมาจากการขายสินทรัพย์ Credit Conversion Factor ๐.๕ (๑) ภาระผูกพันซึ่งขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของลูกค้า เช่นค้ำประกันการรับ เหมา ก่อสร้าง ค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา เป็นต้น (๒) ค้ำประกันการจำหน่ายตราสารหรือหลักทรัพย์ Credit Conversion Factor ๐.๒ ภาระผูกพันเพื่อการนำสินค้าเข้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตทั้งที่มีเอกสารประกอบ แล้ว และยังไม่มีเอกสารประกอบ Credit Conversion Factor ๐ (๑) ตั๋วเงินเพื่อเรียกเก็บ (๒) วงเงินที่ลูกค้ายังมิได้ใช้ (๓) ค้ำประกันการออกของ (Shipping Guarantee) (๔) ภาระผูกพันที่ธนาคารพาณิชย์สามารถบอกเลิกเมื่อใดก็ได้ (๕) ภาระผูกพันอื่น ๆ ที่มิได้ระบุค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ไว้ในข้อ ๖ นี้ Credit Conversion Factor สำหรับสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนและอัตรา ดอกเบี้ย อายุสัญญาที่เหลือ สัญญาอัตราแลกเปลี่ยน สัญญาอัตราดอกเบี้ย ไม่เกิน ๑๔ วัน ๐ ๐ ไม่เกิน ๑ ปี ๐.๐๒ ๐.๐๐๕ ตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๐.๐๕ ๐.๐๑ สัญญาอัตราแลกเปลี่ยนได้แก่สัญญาดังต่อไปนี้ Cross Currency interest rate swaps Forward foreign exchange contracts Currency futures Currency option purchase สัญญาอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน สัญญาอัตราดอกเบี้ยได้แก่ Single currency interest rate swaps Basis swaps Forward rate agreements Interest rate futures Interest rate option purchase สัญญาอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน ในกรณีที่ลูกค้ารายเดียวกันทำสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนหรือสัญญาอัตราดอกเบี้ย ทั้งทางด้านซื้อและด้านขาย ให้คูณจำนวนเงินด้านซื้อและด้านขายด้วย Credit Conversion Factor ก่อน และนำค่าที่ได้มาหักกลบกัน แล้วจึงนำจำนวนสุทธิไปคูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์ แต่ละประเภทตามที่กำหนดในข้อ ๕ ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๙ เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก. ๒๕๓๙/๙๕ง/๗๘/๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๙]
308388
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ ดำรงเงินกองทุน ----------- อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิก (๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จด ทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๓๕ (๒) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จด ทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๖ (๓) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จด ทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ (๔) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จด ทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๔) ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๗ (๕) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จด ทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๕) ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๙ (๖) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จด ทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน (ฉบับที่ ๖) ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๙ ข้อ ๒ เงินกองทุนธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ ได้แก่ (๑) ทุนชำระแล้ว ซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับและเงินที่ ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น (๒) ทุนสำรองตามกฎหมาย (๓) เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุม ใหญ่ผู้ถือหุ้น หรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่รวมเงินสำรองสำหรับการลดค่าสิน ทรัพย์ และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้ (๔) กำไรสุทธิคงเหลือจากการจัดสรร (๕) เงินสำรองจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดิน และอาคาร ตามหลัก เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (๖) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกตราสารตามประเภทจำนวนเงิน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนส่วนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) และ (๔) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นใน ทุกงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคาร แห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) ให้หักเงินตามตราสารใน (๖) ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่น ที่ธนาคารพาณิชย์นั้นถือไว้ และสินทรัพย์อื่นใด ทั้ง นี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) ถึง (๔) ยกเว้นเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นบุริมสิทธิ ชนิดสะสมเงินปันผล ให้รวมเรียกว่า เงินกองทุนชั้นที่ ๑ ส่วนเงินกองทุนที่ระบุใน (๕) ถึง (๖) และเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสมเงินปันผลให้รวมเรียกว่า เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ทั้งนี้ เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ต้องมีจำนวนสูงสุดไม่เกินเงินกองทุนชั้นที่ ๑ และการออกหุ้นบุริมสิทธิ ชนิดสะสมเงินปันผล จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนด ข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุนเป็นอัตรา ส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘.๕ โดยมีเงื่อนไขว่าเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ต้อง เป็นอัตราส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ ของสินทรัพย์และภาระผูกพันดังกล่าว ทั้งนี้ การดำรงเงินกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กำหนดไว้ในข้อ ๔ ถึงข้อ ๖ ข้อ ๔ ในการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันตามข้อ ๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้ (๑) นำรายการในงบการเงินทางด้านสินทรัพย์ทุกรายการ และภาระผูกพันทุก รายการ ทั้งนี้ ให้รวมทุกสำนักงานทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยใช้มูลค่าตามบัญชี ณ วันที่ รายงานมาคำนวณกันน้ำหนักความเสี่ยง ส่วนสินทรัพย์และภาระผูกพันที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ให้แปลงค่าเป็นเงินบาทก่อน โดยใช้อัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อขั้นต่ำและอัตราขายขั้นสูงตาม ประกาศของทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ณ วันที่รายงาน สำหรับสกุลเงินซึ่งทุนรักษา ระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามิได้ประกาศอัตราซื้อขั้นต่ำและอัตราขายขั้นสูง ให้ใช้วิธีการคำนวณ จากอัตราไขว้ (Cross Rate) (๒) คูณสินทรัพย์แต่ละรายการด้วยน้ำหนักความเสี่ยงตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ (๓) คูณภาระผูกพันแต่ละรายการด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้วนำค่าที่ได้คูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละ ประเภทตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๕ อีกครั้งหนึ่ง (๔) รวมผลคูณของสินทรัพย์ตาม (๒) และภาระผูกพันตาม (๓) ทุกรายการ และนำเงินกองทุนมาคำนวณอัตราส่วนกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยเงินกองทุนต้องเป็นอัตราส่วนกับผล ลัพธ์ดังกล่าวไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในข้อ ๓ ข้อ ๕ น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท น้ำหนักความเสี่ยง ๐ (๑) เงินสดที่เป็นเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ (๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (๓) เงินลงทุนในตลาดซื้อขายพันธบัตร โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืนหรือขายคืน ซึ่ง ดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (๔) เงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังค้ำ ประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหลักทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีหลัก ทรัพย์ข้างต้นเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินให้สินเชื่อที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยหรือเงินให้ สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางที่ กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อในส่วนที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกัน โดยปราศจากเงื่อนไข หรือในส่วนที่มีหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางนอก จากที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกัน โดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องเป็นสกุลเงินของประเทศนั้น และไม่เกิน กว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์กองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือเงินให้สินเชื่อซึ่งนิติบุคคลดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำ ประกัน หรือเงินให้สินเชื่อที่ทมีตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ย ค้างรับ (๙) เงินให้สินเชื่อที่มีสิทธิ ซึ่งมีตราสารการฝากเงินซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ นั้นเป็นประกัน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าตามตราสารนั้น (๑๐) ยอดเหลื่อมบัญชีระหว่างสำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น (๑๑) ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (๑๒) เงินให้สินเชื่อเฉพาะส่วนซึ่งเท่ากันจำนวนที่ได้กันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (๑๓) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (๑๔) เงินสดระหว่างเรียกเก็บเพื่อประโยชน์ของลูกค้า น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๒ (๑) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคาร อาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือธนาคาร เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่ธนาคารดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคาร สงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือธนาคารเพื่อการ ส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคารดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำ ประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ย ค้างรับ (๓) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยบริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อซึ่ง มีตราสารที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๔) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐ หรือ รัฐวิสาหกิจ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้ สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยสถาบันที่กล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๕) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคาร พาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทยที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคาร พาณิชย์ดังกล่าว รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในกลุ่มประเทศตามที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ เป็นประกัน รวมทั้ง ดอกเบี้ยค้างรับ (๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐใน ประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำ ประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสาร ซึ่งออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ย ค้างรับ (๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การระหว่าง ประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๒ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำ ประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสาร ซึ่งออกโดยองค์การดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ย ค้างรับ (๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคาร พาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มี ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออก โดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือไม่ เกิน ๑ ปี (๙) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต ซึ่งได้ส่งสินค่าตาม เงื่อนไขแล้ว แต่ในกรณีผู้ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตเป็นธนาคารจดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่ กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ จะต้องมีระยะเวลาคงเหลือของเล็ตเตอร์ออฟเครดิตนั้นไม่เกิน ๑ ปี (๑๐) เงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระ หนี้ แต่สำนักงานงบประมาณมิได้จัดสรรเงินชำระหนี้ให้จนล่วงพ้นระยะเวลาที่ถึงกำหนดชำระเกิน กว่า ๒ ปีขึ้นไป น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๕ (๑) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยเทศบาลหรือเงินให้สิน เชื่อที่มีเทศบาลรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยเทศ บาลเป็นประกัน (๒) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา โดยธนาคาร พาณิชย์รับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน ทั้งนี้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังกล่าวต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อคงค้าง รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ (๓) ภาระผูกพันที่เป็นสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน หรืออัตราดอกเบี้ยซึ่งได้ คูณด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๖ แล้ว เว้นแต่คู่ สัญญาจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีน้ำหนักความเสี่ยงต่ำกว่า ๐.๕ น้ำหนักความเสี่ยง ๑.๐ (๑) เงินให้สินเชื่อแก่ภาคเอกชนและดอกเบี้ยค้างรับ (๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคาร พาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่มีธนาคาร พาณิชย์ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดย ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน ซึ่งมีระยะเวลาคงเหลือเกิน ๑ ปี (๓) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาล หรือธนาคารกลางนอก กลุ่มประเทศที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ๑ หรือเงินให้สินเชื่อที่รัฐบาล หรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำ ประกันโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมิใช่เงินสกุลของประเทศนั้น หรือมีจำนวน เกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น (๔) ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินทรัพย์ประจำอื่น และทรัพย์สินรอการขาย (๕) สินทรัพย์อื่น ๆ ที่มิได้ระบุน้ำหนักความเสี่ยงไว้ข้อ ๕ นี้ ข้อ ๖ ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ของภาระผูกพันแต่ละ ประเทศ Credit Conversion Factor ๑.๐ (๑) การรับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ค้ำประกันการกู้ยืมเงินและค้ำประกันการ ขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน (๒) การสลักหลังตั๋วเงินแบบผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย (With Recourse) (๓) สัญญาการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามโดยปราศจาก เงื่อนไข (๔) การค้ำประกัน การรับประกัน หรือการก่อภาระผูกพันในรูปแบบใด ๆ ของ ธนาคารพาณิชย์ อันเนื่องมาจากการขายสินทรัพย์ Credit Conversion Factor ๐.๕ (๑) ภาระผูกพันซึ่งขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของลูกค้า เช่นค้ำประกันการรับ เหมา ก่อสร้าง ค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา เป็นต้น (๒) ค้ำประกันการจำหน่ายตราสารหรือหลักทรัพย์ Credit Conversion Factor ๐.๒ ภาระผูกพันเพื่อการนำสินค้าเข้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตทั้งที่มีเอกสารประกอบ แล้ว และยังไม่มีเอกสารประกอบ Credit Conversion Factor ๐ (๑) ตั๋วเงินเพื่อเรียกเก็บ (๒) วงเงินที่ลูกค้ายังมิได้ใช้ (๓) ค้ำประกันการออกของ (Shipping Guarantee) (๔) ภาระผูกพันที่ธนาคารพาณิชย์สามารถบอกเลิกเมื่อใดก็ได้ (๕) ภาระผูกพันอื่น ๆ ที่มิได้ระบุค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ไว้ในข้อ ๖ นี้ Credit Conversion Factor สำหรับสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนและอัตรา ดอกเบี้ย อายุสัญญาที่เหลือ สัญญาอัตราแลกเปลี่ยน สัญญาอัตราดอกเบี้ย ไม่เกิน ๑๔ วัน ๐ ๐ ไม่เกิน ๑ ปี ๐.๐๒ ๐.๐๐๕ ตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๐.๐๕ ๐.๐๑ สัญญาอัตราแลกเปลี่ยนได้แก่สัญญาดังต่อไปนี้ Cross Currency interest rate swaps Forward foreign exchange contracts Currency futures Currency option purchase สัญญาอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน สัญญาอัตราดอกเบี้ยได้แก่ Single currency interest rate swaps Basis swaps Forward rate agreements Interest rate futures Interest rate option purchase สัญญาอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน ในกรณีที่ลูกค้ารายเดียวกันทำสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนหรือสัญญาอัตราดอกเบี้ย ทั้งทางด้านซื้อและด้านขาย ให้คูณจำนวนเงินด้านซื้อและด้านขายด้วย Credit Conversion Factor ก่อน และนำค่าที่ได้มาหักกลบกัน แล้วจึงนำจำนวนสุทธิไปคูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์ แต่ละประเภทตามที่กำหนดในข้อ ๕ ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๙ เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย [ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย] [รก. ๒๕๓๙/๙๕ง/๖๖/๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๙]