sysid
stringlengths 1
6
| title
stringlengths 8
870
| txt
stringlengths 0
257k
|
---|---|---|
500140 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่างๆ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2548
| ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่างๆ
(ฉบับที่
๕)
พ.ศ.
๒๕๔๘
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่างๆ ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และข้อ ๑๓
แห่งระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือบริการ และความสะดวกต่างๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือบริการ และความสะดวกต่างๆ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๕
กรกฎาคม ๒๕๔๘ เป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือบริการ และความสะดวกต่างๆ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๘
และใช้ข้อความต่อไปนี้แทน
ภาคผนวก ก. ข้อ ๑ ค่าเช่า ค่าบริการ เครื่องมือ อุปกรณ์
และค่าธรรมเนียมต่างๆ ของท่าเรือกรุงเทพ
ลำดับที่
ค่าเช่า
ค่าบริการ ค่าธรรมเนียม
อัตรา
๑.๑๓
ค่าบริการชั่งตู้มีสินค้า
(CONTAINER WEIGHING SERVICE)เป็นค่าใช้เครื่องชั่งตู้มีสินค้าชั่งตู้สินค้าขาออก(รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
บาท/ตู้/ครั้ง
๓๐.-
ข้อ ๔
ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง
และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ประกาศ
ณ วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
ยงยศ
ปาละนิติเสนา
กรรมการการท่าเรือฯ
รักษาการในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พชร/ผู้จัดทำ
๗
ธันวาคม ๒๕๔๘
[๑] รก.๒๕๔๘/๑๑๐ง/๔๘/๑
ธันวาคม ๒๕๔๘ |
462666 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่างๆ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2548
| ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ
(ฉบับที่ ๔)
พ.ศ. ๒๕๔๘
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และข้อ ๑๓ แห่งระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงให้วางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ
๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม
๒๕๔๘ เป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกความในภาคผนวก ก. ข้อ ๑ ลำดับที่
๑.๑๓ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และใช้ความต่อไปนี้แทน
ภาคผนวก
ก. ข้อ ๑ ค่าเช่า ค่าบริการ เครื่องมือ อุปกรณ์
และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของท่าเรือกรุงเทพ
ลำดับที่
ค่าเช่า ค่าบริการ
ค่าธรรมเนียม
อัตรา
๑.๑๓
ค่าบริการชั่งตู้สินค้า
(CONTAINER
WEIGHING SERVICE)
เป็นค่าใช้เครื่องชั่งตู้สินค้า
ชั่งตู้สินค้าขาออก
บาท/ตู้/ครั้ง
๓๐
ข้อ
๔ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง
และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ
แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ประกาศ ณ
วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘
ยงยศ ปาละนิติเสนา
กรรมการการท่าเรือฯ
รักษาการในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ฐิติพงษ์/ผู้จัดทำ
๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๘
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอนที่ ๘๔ ง/หน้า ๑๓๔/๖ ตุลาคม ๒๕๔๘ |
458922 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการขุดลอกและทิ้งดินภายในอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2548
| ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการขุดลอกและทิ้งดินภายในอาณาบริเวณ
ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๘
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการขุดลอกและทิ้งดินภายในอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๗ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยจึงให้วางระเบียบไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการขุดลอกและทิ้งดินภายในอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ
๒[๑] ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม
๒๕๔๘ เป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิก
๓.๑
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการขุดลอกและทิ้งดินภายในอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๗
๓.๒
ระเบียบหรือคำสั่งอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ
๔ ในระเบียบนี้
การท่าเรือ หมายถึง การท่าเรือแห่งประเทศไทย
อาณาบริเวณ หมายถึง
อาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ณ ท่าเรือกรุงเทพ พ.ศ.
๒๔๙๙ และให้หมายความถึง พื้นที่ปฏิบัติงาน ที่กำหนดเป็นที่จอดเรือ ขุดลอก และทิ้งดินด้วย
ผู้ประกอบการ หมายถึง
ผู้ประกอบกิจการท่าเรือหรืออื่น ๆ
ทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาภายในอาณาบริเวณ
เรือ หมายถึง
เรือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการขุดลอกประเภทต่าง ๆ พร้อมพนักงานประจำเรือซึ่งมีรายละเอียดตามเอกสารแนบท้ายข้อตกลง
ค่าธรรมเนียม หมายถึง
ค่าชดเชยการทิ้งดินที่ขุดลอกในอาณาบริเวณ
โดยคิดตามจำนวนดินที่ขออนุญาตขุดลอกหรือตามจำนวนที่ขุดลอกจริงเป็นลูกบาศก์เมตร
เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในการปฏิบัติตามระเบียบฯ
ที่ทิ้งดิน หมายถึง
ตำบลที่ภายในอาณาบริเวณที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย กำหนดให้เป็นที่ทิ้งดินภายในอาณาบริเวณ
ตามแผนที่กำหนดตำบลที่สำหรับที่ทิ้งดินในภาคผนวก ก.
ข้อ
๕ ให้ผู้ประกอบการยื่นคำร้องขออนุญาตทำการขุดลอกและทิ้งดินภายในอาณาบริเวณตามแบบที่กำหนดไว้ในภาคผนวก
ข. ต่อกองการสำรวจร่องน้ำ ฝ่ายการร่องน้ำ และให้ผู้อำนวยการกองการสำรวจร่องน้ำแจ้งผู้ประกอบการมาทำข้อตกลง
ตามแบบและรายละเอียดที่กำหนดไว้ในภาคผนวก ค.
ข้อ
๖ ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้ทำการขุดลอกและทิ้งดินตามระเบียบนี้
จะต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตรา ๒๐ (ยี่สิบ) บาทต่อลูกบาศก์เมตร โดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ทิ้งดินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ตามระเบียบนี้
ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตต้องชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ ๒๕ (ยี่สิบห้า)
ของอัตราค่าธรรมเนียมข้างต้น
ข้อ
๗ กรณีผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตดำเนินการขุดลอกดินมากกว่าจำนวนดินที่ได้อนุญาตไว้
ผู้ประกอบการจะต้องชำระค่าธรรมเนียมตามจำนวนดินที่เกินกว่าที่ขออนุญาตเป็นจำนวน ๒ เท่าของอัตราค่าธรรมเนียมปกติ
ข้อ
๘ การท่าเรือสงวนสิทธิในการคืนเงินค่าธรรมเนียมในกรณีที่ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตขุดลอกดินได้น้อยกว่าจำนวนดินที่ได้ขออนุญาตไว้
ข้อ
๙ ให้รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายงานกิจการพิเศษ
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ประกาศ ณ
วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
ยงยศ ปาละนิติเสนา
กรรมการการท่าเรือฯ
รักษาการในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
แผนที่กำหนดตำบลที่สำหรับที่ทิ้งดิน (ภาคผนวก ก.)
๒.
คำร้องขออนุญาตทำการขุดลอกและทิ้งดินภายในอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ภาคผนวก
ข.)
๓.
ข้อตกลงการอนุญาตให้ประกอบการขุดลอกและทิ้งดินในอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ภาคผนวก ค.)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
พัชรินทร์/ผู้จัดทำ
๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๔ พฤศจิกายน
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/หน้า ๕๔ ง/หน้า ๗๐/๗ กรกฎาคม ๒๕๔๘ |
456663 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การซื้อและการจ้างโดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2548
| ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยหลักเกณฑ์การซื้อและการจ้างโดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ.
๒๕๔๘
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินการจัดหาพัสดุในรูปแบบการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
(e-Auction) ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงการคลังลงวันที่
๑๓ มกราคม ๒๕๔๘ เรื่อง หลักเกณฑ์การซื้อและการจ้างโดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์อาศัยอำนาจตามความในข้อ
๔ แห่งระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๓
จึงให้วางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การซื้อและการจ้างโดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ลงวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖เรื่อง การกำหนดแนวทาง ขั้นตอน และหลักเกณฑ์สำหรับการดำเนินการจัดหาพัสดุในรูปแบบการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
(e-Auction) และระเบียบ หรือคำสั่งอื่นที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ ๔ ระเบียบนี้ไม่ใช้บังคับกับงานจ้างที่ปรึกษา
งานจ้างออกแบบและคุมงานและการซื้อการจ้างด้วยวิธีพิเศษหรือกรณีพิเศษ
ข้อ ๕ ในระเบียบนี้
การท่าเรือ หมายความว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้ค้า หมายความว่า บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่เข้าเสนอราคาในการซื้อ
การจ้าง ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
การประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หมายความว่า การแข่งขันเสนอราคาด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายในระยะเวลาที่กำหนด
โดยวิธีการ ดังต่อไปนี้
(๑) ประมูลแบบเปิดราคา (Reverse Auction) เป็นการประมูลแข่งขันเสนอราคาต่ำสุดโดยแสดงตัวเลขที่มีการเสนอราคา แต่ไม่แสดงว่าผู้ใดเป็นผู้เสนอราคา
(๒) ประมูลแบบปิดราคา (Sealed Bid Auction) เป็นการประมูลแข่งขันเสนอราคาต่ำสุดโดยแสดงชื่อผู้เสนอราคาต่ำสุด แต่ไม่แสดงตัวเลขที่มีการเสนอราคา
คณะกรรมการดำเนินการประมูล หมายความว่า คณะกรรมการดำเนินการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ข้อ ๖ ในการซื้อหรือการจ้างแต่ละครั้งของหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดหาพัสดุที่มีวงเงินรวมเกินสองล้านบาท
ให้ใช้การประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่หน่วยงานที่มีหน้าที่จัดหาพัสดุใดเห็นสมควรจะใช้การประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการซื้อ
หรือการจ้างที่มีวงเงินรวมไม่เกินสองล้านบาทก็ได้
ข้อ ๗ ในการดำเนินการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์แต่ละครั้ง
ให้ผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ประกอบด้วยรองผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไปเป็นประธานกรรมการ กรรมการอย่างน้อย
ประกอบด้วย ผู้แทนของฝ่ายประมวลผลข้อมูล หรือผู้แทนของแผนกคอมพิวเตอร์ ท่าเรือแหลมฉบัง
ผู้แทนของหน่วยงานที่ต้องการจัดหาพัสดุ และให้เจ้าหน้าที่พัสดุเป็นกรรมการและเลขานุการ
ให้แต่งตั้งผู้ช่วยเลขานุการได้ตามความจำเป็น ทั้งนี้ ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการดำเนินการประมูล
ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบการท่าเรือว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๓ ข้อ ๒๙ - ๓๐ โดยอนุโลม
ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ผู้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
ทำหน้าที่ประธานกรรมการแทน
ข้อ ๘ ให้คณะกรรมการดำเนินการประมูลคัดเลือกผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์จากทะเบียนรายชื่อผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์
กระทรวงการคลัง แล้วเสนอชื่อผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการประมูลให้ความเห็นชอบ
ข้อ ๙ ให้คณะกรรมการดำเนินการประมูลจัดทำประกาศเชิญชวนผู้ค้าอย่างเปิดเผยเป็นการทั่วไป
ณ สถานที่ทำการของหน่วยงานที่จัดหาพัสดุ รวมทั้งประกาศผ่านเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th ของกรมบัญชีกลาง และเว็บไซต์ www.pat.co.th ของการท่าเรือ
ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนด
หน่วยงานที่จัดหาพัสดุต้องดำเนินการให้หรือขายเอกสารการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่วันที่เริ่มประกาศเชิญชวนตามวรรคหนึ่ง
การดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่าเจ็ดวันทำการ
ข้อ ๑๐ รายการในเอกสารข้อเสนอของผู้ค้า ต้องมีสาระสำคัญอย่างน้อยเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้ค้าข้อเสนอด้านเทคนิค
หนังสือข้อตกลงเข้าร่วมประมูล หลักประกันซอง เอกสารที่ใช้ตรวจสอบคุณสมบัติการไม่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
และเอกสารอื่นที่จำเป็น ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการดำเนินการประมูลกำหนด
ในกรณีที่ผู้ค้าเป็นผู้ซึ่งมีรายชื่อในบัญชีผู้ค้าที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นสำหรับการซื้อหรือการจ้างที่การท่าเรือได้จัดทำไว้เป็นการประจำก่อนวันยื่นเอกสารข้อเสนอ
ผู้ค้านั้นไม่ต้องยื่นเอกสารเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ค้าอีก
ข้อ ๑๑ ในการกำหนดวันรับเอกสารข้อเสนอของผู้ค้า
จะต้องมีช่วงเวลาสำหรับการคำนวณราคาของผู้ค้าภายหลังวันปิดการให้หรือขายเอกสารการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่น้อยกว่าห้าวันทำการ
ข้อ ๑๒ ให้คณะกรรมการดำเนินการประมูลดำเนินการดังนี้
(๑) ตรวจสอบมาตรฐานทางเทคนิค ซึ่งอย่างน้อยประกอบด้วย คุณสมบัติของผู้ค้า
เอกสารหลักฐานต่าง ๆ พัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อกหรือแบบรูป และรายการละเอียด
(๒) คัดเลือกผู้ค้าที่มีมาตรฐานทางเทคนิคครบถ้วนตามเอกสารการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
(๓) คัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างซึ่งมีคุณภาพและคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อการท่าเรือ
(๔) รายงานผลการพิจารณาและความเห็น พร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ
โดยเสนอผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ
(๕) ประกาศรายชื่อผู้ค้าที่ผ่านการคัดเลือกตามวันและเวลาที่กำหนดไว้ในประกาศประมูลโดยปิดประกาศ
ณ สถานที่ทำการของหน่วยงานที่จัดหาพัสดุและประกาศผ่านทางเว็บไซต์
www.gprocurement.go.th ของกรมบัญชีกลาง
(๖) แจ้งผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือกเนื่องจากมีมาตรฐานทางเทคนิคไม่ครบถ้วน
หรือมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทราบข้อเท็จจริงและเหตุผลในการพิจารณา
ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ค้า คณะกรรมการดำเนินการประมูลจะสอบถามข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากผู้ค้ารายใดก็ได้
แต่ไม่อาจให้ผู้ค้ารายใดเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญที่เสนอไว้แล้ว
ข้อ ๑๓ ผู้ค้าที่ไม่ผ่านการคัดเลือกตามข้อ ๑๒ (๖) มีสิทธิอุทธรณ์ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ เว้นแต่ในกรณีที่เป็นผู้ที่ไม่ผ่านคัดเลือกเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน ให้อุทธรณ์ต่อผู้อำนวยการภายในสามวัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง พร้อมทั้งแสดงเหตุผลของการอุทธรณ์และเอกสารที่เกี่ยวข้องไว้ด้วย
ข้อ ๑๔ ก่อนจัดให้มีการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) แจ้งให้ผู้ผ่านการคัดเลือกเข้ารับการอบรมการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
(๒) มอบหมายเลขประจำตัว (User ID) และรหัส
(Password) ให้แก่ผู้ค้าที่ผ่านการคัดเลือก
(๓) จัดให้คณะกรรมการดำเนินการประมูลและผู้ค้าที่ผ่านการคัดเลือกทดสอบการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ข้อ ๑๕ ให้คณะกรรมการดำเนินการประมูลประกาศกำหนดวัน
เวลา และสถานที่ พร้อมทั้งเงื่อนไขการประมูล ซึ่งต้องมีสาระสำคัญอย่างน้อยเกี่ยวกับวงเงิน
การจัดหา ระยะเวลาประมูล ช่วงราคาประมูลขั้นต่ำ และช่วงเวลาประมูลสุดท้ายก่อนปิดการประมูล
ให้ผู้ค้าที่ผ่านการคัดเลือกทราบ
ข้อ ๑๖ วิธีการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ให้เป็นไปดังนี้
(๑) ในกรณีที่มีผู้ค้าผ่านการคัดเลือกไม่น้อยกว่าสามราย ให้คณะกรรมการดำเนินการประมูลหารือกับผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อกำหนดวิธีการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เหมาะสมกับการซื้อหรือการจ้างครั้งนั้น
(๒) ในกรณีที่มีผู้ค้าผ่านการคัดเลือกไม่เกินสองราย ให้ใช้วิธีการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบปิดราคา
หรือถ้าคณะกรรมการดำเนินการประมูลเห็นว่า ไม่สมควรใช้วิธีการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์จะกำหนดให้ผู้ค้ายื่นซองข้อเสนอราคาภายในวงเงินงบประมาณ
หรือราคาเริ่มต้นการประมูล หรือราคากลางของการท่าเรือก็ได้ แล้วแต่กรณี
ราคาเริ่มต้นการประมูลให้ใช้วงเงินงบประมาณสำหรับการจัดหาพัสดุหรือการจ้างนั้น
ๆ ในกรณีที่มีผู้ค้าผ่านการคัดเลือกหนึ่งราย หรือมีผู้เสนอราคาในการประมูลหนึ่งราย
ให้คณะกรรมการดำเนินการประมูลเสนอต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อยกเลิกการประมูล แต่ถ้าคณะกรรมการดำเนินการประมูลเห็นว่า
มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการซื้อหรือจ้างต่อไป ให้คณะกรรมการดำเนินการประมูลต่อรองราคากับผู้ค้ารายนั้น
แล้วเสนอผู้แต่งตั้งคณะกรรมการต่อไป
ข้อ ๑๗ ในการดำเนินการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ต้องมีกรรมการดำเนินการประมูลอย่างน้อยหนึ่งคนเข้าร่วมสังเกตการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นการประมูล
ข้อ ๑๘ เมื่อได้ผู้ชนะการประมูลแล้ว
ให้คณะกรรมการดำเนินการประมูลสรุปผลการประมูลเสนอต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ
และปิดประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูล ณ สถานที่ทำการของหน่วยงานที่จัดหาพัสดุ และประกาศผ่านทางเว็บไซต์
www.gprocurement.go.th ของกรมบัญชีกลาง
ข้อ ๑๙ คณะกรรมการดำเนินการประมูล ต้องรายงานผลการประมูลให้สำนักพัฒนามาตรฐานระบบพัสดุภาครัฐ
กรมบัญชีกลาง ทราบโดยเร็ว โดยจัดทำเป็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail)
รายงานตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญเกี่ยวกับราคาพัสดุที่จัดหาได้โดยวิธีการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนลดหรือส่วนเพิ่มเพื่อเปรียบเทียบกับวงเงินงบประมาณ งบประมาณที่ประหยัดได้คิดเป็นร้อยละของวงเงินงบประมาณ
รายชื่อผู้ชนะการประมูล และผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อร่วมประสานงานในการรายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อ ๒๐ สัญญาซื้อจ้าง ให้เป็นไปตามแบบที่การท่าเรือกำหนด
ในกรณีที่ไม่อาจทำสัญญาตามแบบที่กำหนด และจำเป็นต้องร่างสัญญาขึ้นใหม่
ให้ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน เว้นแต่ผู้อำนวยการเห็นสมควรทำสัญญาตามแบบที่เคยผ่านการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดมาแล้ว
ข้อ ๒๑ ให้ผู้อำนวยการรักษาการตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๘
ยงยศ ปาละนิติเสนา
กรรมการการท่าเรือฯ รักษาการในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ศุภสรณ์/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๔๘
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๔ พฤศจิกายน
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/ตอนที่ ๓๒ ง/หน้า ๑๑๒/๒๑ เมษายน ๒๕๔๘ |
456527 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2548
| ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๘
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๖ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ (๒) และมาตรา ๒๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยจึงให้วางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ
๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ
๓ นับแต่วันใช้ระเบียบนี้ ให้ยกเลิก
๓.๑
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๖
๓.๒
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๖
๓.๓
ระเบียบ มติ คำสั่ง หรือประกาศอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ
๔ ในระเบียบนี้
การท่าเรือ หมายความว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ทรัพย์สิน หมายความว่า ที่ดิน อาคาร สิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่น
ๆ ของการท่าเรือ รวมถึงสิทธิต่าง ๆ ในทรัพย์สินนั้น
จัดให้เช่าทรัพย์สิน หมายความว่า การจัดการหาประโยชน์จากทรัพย์สินของการท่าเรือ
โดยการให้เช่าทรัพย์สิน การต่อสัญญาเช่า การให้สิทธิการเช่าแก่ทายาทโดยธรรมของผู้เช่าเดิมที่ถึงแก่กรรม
รวมทั้งการโอนสิทธิการเช่า และการเช่าช่วงในทรัพย์สินนั้น ๆ
หน่วยงานของรัฐ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม
ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา
ค่าเช่า หมายความว่า เงินที่การท่าเรือเรียกเก็บจากผู้เช่าเพื่อเป็นการตอบแทนที่การท่าเรือจัดให้เช่าทรัพย์สิน
ผลประโยชน์ตอบแทน หมายความว่า ค่าเช่า ค่าธรรมเนียมและผลประโยชน์ตอบแทนอื่น
ๆ
ข้อ
๕ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งมีหน้าที่พิจารณาจัดให้เช่าทรัพย์สินเรียกว่า
คณะกรรมการบริหารทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย จำนวน ๗ คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการเป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และกรรมการซึ่งแต่งตั้งจากพนักงานระดับผู้อำนวยการฝ่ายขึ้นไป
ไม่เกิน ๔ คน เป็นกรรมการ
ข้อ
๖ การจัดให้เช่าทรัพย์สินให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังนี้
๖.๑
เป็นที่ดินตามแผนแม่บทการใช้ประโยชน์จากที่ดิน ตามที่คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
๖.๒
ระยะเวลาการเช่าไม่เกิน ๓ ปี และผลประโยชน์ตอบแทนรวมตลอดอายุสัญญาเช่าวงเงินไม่เกิน
๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้เป็นอำนาจของผู้อำนวยการ โดยกรณีผลประโยชน์ตอบแทนรวมตลอดอายุสัญญาเช่าวงเงินเกิน
๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้เสนอคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยเพื่อทราบด้วย
๖.๓
ระยะเวลาการเช่าเกิน ๓ ปีขึ้นไป ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
โดยให้คณะกรรมการตามข้อ ๕ พิจารณาก่อน
ข้อ
๗ อัตราค่าเช่าและผลประโยชน์ตอบแทนการเช่าทรัพย์สิน
ให้เรียกเก็บไม่น้อยกว่าอัตราที่คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ
๘ สำหรับผู้เช่าที่มิใช่หน่วยงานของรัฐต้องมีหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาเช่าตามที่การท่าเรือกำหนด
ข้อ
๙ การจัดหาประโยชน์จากทรัพย์สินของการท่าเรือที่ได้ดำเนินการก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปจนสัญญาสิ้นสุด
แต่ทั้งนี้ ผลประโยชน์ที่การท่าเรือได้รับต้องไม่น้อยกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามระเบียบนี้
ข้อ
๑๐ ให้ผู้อำนวยการรักษาการตามระเบียบนี้
และให้มีอำนาจออกคำสั่งเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ
วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘
วันชัย ศารทูลทัต
ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ฐิติพงษ์/ผู้จัดทำ
๑๐
มิถุนายน ๒๕๔๘
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๒/ตอนที่ ๒๘ ง/หน้า ๘๑/๗ เมษายน ๒๕๔๘ |
454115 | ระเบียบ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2547 | ระเบียบ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ระเบียบ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่างๆ
(ฉบับที่
๓) พ.ศ. ๒๕๔๗
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่างๆ ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และข้อ ๑๓
แห่งระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่างๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่างๆ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๒[๑]
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๔ ของระเบียบ
การท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่างๆ
พ.ศ. ๒๕๔๕ และใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๔ การจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้า (Inward
Container List)
๔.๑
เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
ต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้าที่ถูกต้องและครบถ้วนด้วยระบบ EDI
ตามรูปแบบมาตรฐานกลาง (Format) ที่กำหนดโดยคณะทำงานด้านศุลกากร
(Customs Working Group - CWG)
ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๖ ชั่วโมง โดยจะใช้เวลาที่ผู้ใช้บริการส่งข้อมูลไปยัง
Mail Box เป็นเวลารับข้อมูลจากผู้ใช้บริการ
กรณีที่ข้อมูลบางรายการที่จัดส่งไม่ถูกต้อง
และ/หรือไม่ครบถ้วน เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือต้องขอยกเลิกหรือแก้ไขหรือเพิ่มเติมรายการนั้นโดยยื่นเอกสารแสดงรายการที่ขอแก้ไข
หรือโดยทางโทรสาร ณ กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ
หรือจัดส่งใหม่ทั้งหมดด้วยระบบ EDI ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า
๓ ชั่วโมง ทั้งนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะไม่ดำเนินการขนถ่ายตู้สินค้าจนกว่าจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน
ส่วนการขอแก้ไขหลังจากเรือทำการขนถ่ายตู้สินค้าแล้ว
ทำให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเกิดกิจกรรมต้องปฏิบัติ
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะเรียกเก็บค่าภาระตามความเป็นจริง
๔.๒
เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือรายใดมีปัญหาข้อขัดข้องในการจัดส่งข้อมูลด้วยระบบ
EDI ตามข้อ ๔.๑ ให้จัดส่งข้อมูลด้วย Diskette
ที่มีรูปแบบ (Format) เป็น EDI
ที่เป็นมาตรฐานกลาง ซึ่งกำหนดโดยคณะทำงานด้านศุลกากร (Customs Working
Group - CWG) หรือเป็น Text File ตามแบบ
๑ แนบท้ายระเบียบนี้ ณ กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ
ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๕ ชั่วโมง
พร้อมทำบันทึกแจ้งให้ทราบถึงสาเหตุข้อขัดข้องดังกล่าว
กองท่าบริการตู้สินค้า
๒ ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพจะดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นในทันทีที่ได้รับ Diskette
หากปรากฏว่ามีข้อผิดพลาด (Error)
ผู้ใช้บริการต้องจัดส่งให้ใหม่ ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง
๔.๓
เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
ต้องจัดส่งเอกสารบัญชีตู้สินค้าขาเข้าที่ถูกต้องและครบถ้วนจำนวน ๑ ชุด ณ
กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๓
ชั่วโมง
๔.๔
กรณีที่จัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้าไม่ทันกำหนดเวลาตามข้อ ๔.๑ หรือข้อ ๔.๒
หรือข้อ ๔.๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
จะไม่ดำเนินการขนถ่ายตู้สินค้าจนกว่าจะได้รบข้อมูลและเอกสารเป็นที่เรียบร้อย
ข้อ ๔ ให้ยกเลิกความในข้อ ๕ ของระเบียบ
การท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่างๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๕
การจัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือ (Inward Cargo
Manifest)
๕.๑
เจ้าของตู้สินค้าหรือตัวแทนเจ้าของตู้สินค้า ต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือที่ถูกต้องและครบถ้วนด้วยระบบ
EDI ตามรูปแบบมาตรฐานกลาง (Format)
ที่กำหนดโดยคณะทำงานด้านศุลกากร (Customs Working Group - CWG)
ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง โดยจะใช้เวลาที่ผู้ใช้บริการส่งข้อมูลไปยัง
Mail Box เป็นเวลารับข้อมูลจากผู้ใช้บริการ
กรณีที่ข้อมูลบางรายการที่จัดส่งไม่ถูกต้อง
และ/หรือไม่ครบถ้วน
เจ้าของตู้สินค้าหรือตัวแทนเจ้าของตู้สินค้าต้องขอยกเลิกหรือแก้ไขหรือเพิ่มเติมรายการนั้น
โดยยื่นเอกสารแสดงรายการที่ขอแก้ไข หรือโดยทางโทรสาร ณ กองท่าบริการตู้สินค้า ๒
ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ หรือจัดส่งใหม่ทั้งหมดด้วยระบบ EDI
ก่อนเรือเทียบท่า
๕.๒
เจ้าของตู้สินค้าหรือตัวแทนเจ้าของตู้สินค้ารายใดมีปัญหาข้อขัดข้องในการจัดส่งข้อมูลด้วยระบบ
EDI ตามข้อ ๕.๑ ให้จัดส่งข้อมูลด้วย Diskette
ที่มีรูปแบบ (Format) เป็น EDI
ที่เป็นมาตรฐานกลาง ซึ่งกำหนดโดยคณะทำงานด้านศุลกากร (Customs Working
Group - CWG) หรือเป็น Text File ตามแบบ
๒ แนบท้ายระเบียบนี้ ณ กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ
ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง
พร้อมทำบันทึกแจ้งให้ทราบถึงสาเหตุข้อขัดข้องดังกล่าว
กองท่าบริการตู้สินค้า
๒ ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ จะดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นในทันทีที่ได้รับ Diskette
หากปรากฏว่ามีข้อผิดพลาด (Error)
ผู้ใช้บริการต้องจัดส่งให้ใหม่ก่อนเรือเทียบท่า
๕.๓
เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ ต้องจัดส่งเอกสารบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือที่ถูกต้องและครบถ้วน
จำนวน ๑ ชุด ณ กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ
ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง
๕.๔
กรณีที่จัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือไม่ทันกำหนดเวลาตามข้อ ๕.๑ หรือข้อ
๕.๒ หรือข้อ ๕.๓ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะไม่ดำเนินการขนถ่ายตู้สินค้าจนกว่าจะได้รับข้อมูลและเอกสารเป็นที่เรียบร้อย
ข้อ ๕ ให้ยกเลิกความในข้อ ๖ ของระเบียบ
การท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่างๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖ การจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ
(Container Loading List)
๖.๑
เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ ต้องยื่นเอกสารบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือตามแบบ
๓ แนบท้ายระเบียบนี้ พร้อมกับจัดส่งข้อมูลด้วย Diskette
ต่อกองท่าบริการตู้สินค้า ๑ หรือกองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ
ที่บริษัทเจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือทำพิธีการ
ก่อนเรือบรรทุกตู้สินค้าลงเรือไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง
กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงจากรายการตู้สินค้าที่ยื่นไว้เดิมเจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
จะต้องส่งบัญชีตู้สินค้าที่ขอเปลี่ยนแปลงก่อนเริ่มบรรทุกตู้สินค้าลงเรือ
ถ้ามิได้มาดำเนินการขอเปลี่ยนแปลง
หากตู้สินค้าใดไม่ปรากฏในบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะไม่อนุญาตให้บรรทุกลงเรือและจะเรียกเก็บค่าภาระตามหลักเกณฑ์
ดังนี้
๖.๑.๑
จำนวนตู้สินค้าที่บรรทุกลงเรือมีจำนวนน้อยกว่าในบัญชีตู้สินค้าที่ยื่นไว้
จะเรียกเก็บค่าภาระเฉพาะตามจำนวนที่บรรทุกลงเรือจริง
๖.๑.๒
ตู้สินค้าที่บรรทุกลงเรือไม่สำแดงสถานภาพของตู้สินค้าไว้ในบัญชีตู้สินค้าหรือสำแดงสถานภาพไว้แต่ผิดจากความเป็นจริง
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะเรียกเก็บค่าภาระตู้สินค้านั้นในสถานภาพ LCL (Less
Than Container Load)
๖.๑.๓
กรณีตู้สินค้าขาออกที่ผ่านด่านตรวจสอบภายในเข้ามากองเก็บในลานวางพักตู้สินค้าเพื่อรอบรรทุกลงเรือ
แต่ไม่นำบรรทุกลงเรือที่แจ้งหรือมีการแจ้งเปลี่ยนการบรรทุกลงเรือลำอื่นในภายหลัง
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะเรียกเก็บค่าภาระตู้สินค้าที่ยกเลิก (Shut Out
Container Charge) ตามอัตราที่กำหนด
และหากมีการเคลื่อนย้ายตู้สินค้าที่ขอยกเลิกนั้น
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะเรียกเก็บค่าภาระเคลื่อนย้ายตู้สินค้ากรณีพิเศษ (Extra
Container Movement Charge) ตามอัตราที่กำหนดด้วย
การเคลื่อนย้ายตู้สินค้ากรณีพิเศษ
เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
เจ้าของตู้สินค้าหรือตัวแทนเจ้าของตู้สินค้าต้องแจ้งขอเคลื่อนย้ายตู้สินค้ากรณีพิเศษ
เว้นแต่ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วน
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะดำเนินการเคลื่อนย้ายตู้สินค้าดังกล่าว
โดยคิดค่าบริการตามอัตราค่าภาระที่กำหนด
ข้อ ๖ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗ ของระเบียบ
การท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่างๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อ ๓ ของระเบียบ
การท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่างๆ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ และใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗ เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
ต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้าหรือขาออกที่บรรจุสินค้าเกินขนาดตัวตู้สินค้า
(Overheight / Overwidth / Overlength Container)
หรือมีน้ำหนักรวมกันเกินกว่า ๓๒.๕ เมตริกตันต่อตู้ หรือหมายเหตุลงในบัญชีตู้สินค้าสำหรับเรือ
ก่อนทำการบรรทุกหรือขนถ่าย
หากเจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
มิได้ดำเนินการดังกล่าวข้างต้น หรือจัดส่งข้อมูลน้ำหนักรวมต่ำกว่าข้อเท็จจริง
โดยมีน้ำหนักจริงเกินกว่า ๓๒.๕ เมตริกตันต่อตู้
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะไม่ดำเนินการบรรทุกหรือขนถ่ายตู้สินค้าดังกล่าว
ข้อ ๗ ให้ยกเลิกความในข้อ ๘ ของระเบียบ
การท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่างๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๘
เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือสินค้าทั่วไป ต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือ
(Inward Cargo Manifest) ที่ถูกต้องและครบถ้วนด้วยระบบ EDI
หรือ Diskette และยื่นเอกสารจำนวน ๑ ชุด ณ
กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๓
ชั่วโมง
กรณีที่มีการขนถ่ายสินค้าลงจากเรือเข้าเก็บในที่เก็บสินค้ามีจำนวนใบตราส่ง
(Bill of Lading) ไม่เกิน ๑๕ รายการต่อเที่ยวเรือ
ให้จัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือด้วยวิธีการยื่นเอกสารเพียงอย่างเดียวก็ได้
ข้อ ๘ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๐ ของระเบียบ
การท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ทาเรือ บริการ
และความสะดวกต่างๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๐
กรณีที่จัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือไม่ทันกำหนดเวลาตามข้อ ๘
หรือข้อ ๙
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะไม่ดำเนินการขนถ่ายสินค้าจนกว่าจะได้รับข้อมูลเป็นที่เรียบร้อย
ข้อ ๙ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทราบ
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ยงยศ ปาละนิติเสนา
กรรมการ
การท่าเรือฯ รักษาการในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
แบบ
1 แบบข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้า (Inward Container List)
เป็น Text File
Inward Container List
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
แบบ
2 แบบข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือ (Inward Cargo Manifest)
เป็น Text File
Inward Cargo Manifest
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
PAGE 1
แบบ
3 แบบบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ (CONTAINER LOADING LIST)
CONTAINER LOADING
LIST
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
PAGE 2
แบบ
3 แบบบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ (CONTAINER LOADING LIST)
CONTAINER LOADING
LIST SUMMARY
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
ญาณี/พิมพ์
๑๖
มิถุนายน ๒๕๔๘
ธัญกมล/สุนันทา/ตรวจ
๒๙
มิถุนายน ๒๕๔๘
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๑๔๔ง/๗๙/๓๑
ธันวาคม ๒๕๔๗ |
441872 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่างๆ ของท่าเรือเชียงแสน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547
| ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่างๆ
ของท่าเรือเชียงแสน
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ.
๒๕๔๗
โดยที่เป็นการสมควรเพิ่มเติมวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่างๆ ของท่าเรือเชียงแสน ให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน
อาศัยอำนาจตามมาตรา ๓๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
และข้อ ๑๓ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่างๆ พ.ศ. ๒๕๔๔
จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ ดังนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่างๆ ของท่าเรือเชียงแสน (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๒[๑] ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่
๔ พฤษภาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้เพิ่มเติมข้อความต่อไปนี้ ในภาคผนวก ข.
ส่วนที่ ๔ ค่าธรรมเนียมและค่าเช่าเครื่องมือทุ่นแรงเรียกเก็บจากผู้ขออนุญาต
แนบท้ายระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่างๆ ของท่าเรือเชียงแสน พ.ศ. ๒๕๔๖
๔๐๔
ค่าเช่ารถยนต์บรรทุกขนาด ๕-๗ ตัน
เป็นค่าเช่ารถยนต์บรรทุกขนาด
๕-๗ ตัน ของท่าเรือเชียงแสนในอัตรา
๔๐๔.๑
กรณีใช้งานภายในเขตรั้วศุลกากรท่าเรือเชียงแสน เรียกเก็บในอัตรา ๓๐๐ บาท/ชั่วโมง
๔๐๔.๒
กรณีใช้งานภายนอกเขตรั้วศุลกากรท่าเรือเชียงแสน เรียกเก็บในอัตรา ๕๐๐ บาท/ชั่วโมง
ข้อ ๔
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานท่าเรือภูมิภาคและผู้จัดการท่าเรือเชียงแสนรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ประกาศ
ณ วันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ยงยศ ปาละนิติเสนา
กรรมการการท่าเรือฯ
รักษาการในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มัตติกา/พิมพ์
๒๗
กันยายน ๒๕๔๗
ศุภสรณ์/ธัญกมล/ตรวจ
๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/๕๓ง/๑๔๖/๑ กรกฎาคม ๒๕๔๗ |
429994 | ระเบียบท่าเรือแหลมฉบังว่าด้วยการออกบัตรอนุญาตผ่านเข้าออกในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง พ.ศ. 2546
| ระเบียบท่าเรือแหลมฉบัง
ว่าด้วยการออกบัตรอนุญาตผ่านเข้าออกในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
พ.ศ.
๒๕๔๖
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบเกี่ยวกับการออกบัตรอนุญาตผ่านเข้าออกในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน จึงให้วางระเบียบไว้ดังนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบท่าเรือแหลมฉบัง
ว่าด้วยการออกบัตรอนุญาตผ่านเข้าออกในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง พ.ศ. ๒๕๔๖
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓ นับแต่วันใช้ระเบียบนี้ให้ยกเลิกระเบียบท่าเรือแหลมฉบัง
ว่าด้วยการออกบัตรอนุญาตผ่านเข้าออกในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง พ.ศ. ๒๕๓๙ รวมทั้งระเบียบหรือคำสั่ง
หรือประกาศอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ ๔ ให้รองผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
หมวดที่ ๑
ประเภทบัตรอนุญาต
ข้อ ๕ บัตรอนุญาต แบ่งเป็น ๔ ประเภทคือ
๕.๑ บัตรอนุญาตบุคคล
สำหรับผู้ประกอบการหรือลูกจ้างของผู้ประกอบการทุกประเภทที่เข้ามาปฏิบัติงานในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
ซึ่งต้องขอทำบัตรอนุญาตแสดงตนเพื่อผ่านเข้าออก
๕.๒
บัตรอนุญาตบุคคลชั่วคราว สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องเข้าไปในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังเป็นการชั่วคราว
นอกจากบุคคลตามข้อ ๕.๑
๕.๓
บัตรอนุญาตยานพาหนะส่วนบุคคล สำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์
ซึ่งเป็นยานพาหนะส่วนบุคคลของพนักงานท่าเรือแหลมฉบัง การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ข้าราชการ หรือพนักงานองค์กรของรัฐ ผู้ประกอบการ บริษัท ห้างหุ้นส่วน และร้านค้าต่าง
ๆ ที่ต้องนำยานพาหนะเข้าไปปฏิบัติงานในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
๕.๔
บัตรอนุญาตยานพาหนะชั่วคราว
สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องนำยานพาหนะเข้าไปในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังเป็นการชั่วคราว
แต่ไม่มีบัตรอนุญาตยานพาหนะส่วนบุคคลตามข้อ ๕.๓
หมวดที่ ๒
การออกบัตรอนุญาต
ข้อ ๖ ข้าราชการ พนักงานองค์กรของรัฐ
ผู้ประกอบการหรือลูกจ้างของผู้ประกอบการ บริษัท ห้างหุ้นส่วน และร้านต่าง ๆ
ที่เข้ามาปฏิบัติงานในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังเป็นประจำ
ต้องยื่นคำขอมีบัตรอนุญาตพร้อมเอกสาร ดังต่อไปนี้
๖.๑ บัตรอนุญาตบุคคล
๖.๑.๑ หนังสือรับรองผู้ยื่นคำขออนุญาตจากบริษัท ห้างหุ้นส่วน ร้านต่าง ๆ
เสนอผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง โดยระบุลักษณะการประกอบการ รายชื่อผู้ขอมีบัตร
ตำแหน่ง และจำนวนผู้ขอ และให้มีข้อความในหนังสือรับรองว่า หากบุคคลดังกล่าวฝ่าฝืนระเบียบ
คำสั่ง ประกาศ หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้ท่าเรือแหลมฉบังเสียหายบริษัทยินยอมรับผิดชอบและยินดีชดใช้ค่าเสียหายนั้น
ๆ ทุกประการ ลงนามโดยผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท
หรือห้างหุ้นส่วน หรือผู้ได้รับมอบอำนาจ
พร้อมทั้งประทับตราของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน (ถ้ามี)
๖.๑.๒ สำเนาทะเบียนการค้าของกรมสรรพากร
๖.๑.๓ สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนจากกระทรวงพาณิชย์
๖.๑.๔ หนังสือรับรองตัวอย่างลายมือชื่อผู้จัดการ จำนวน ๓
ตัวอย่างพร้อมประทับตราบริษัท หรือห้างหุ้นส่วน (ถ้ามี)
๖.๑.๕ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ขออนุญาต
๖.๑.๖ รูปถ่ายผู้ขออนุญาตขนาด ๑ นิ้ว จำนวน ๒ รูป
๖.๒
บัตรอนุญาตยานพาหนะส่วนบุคคลของพนักงานท่าเรือแหลมฉบังการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ข้าราชการ และพนักงานองค์กรของรัฐ
๖.๒.๑ สำเนาทะเบียนยานพาหนะที่ผู้ขออนุญาตมีกรรมสิทธิ์หรือสำเนาสัญญาเช่าซื้อ
และสำเนาทะเบียนยานพาหนะพร้อมแบบคำขออนุญาตหากผู้ขอมิใช่ผู้มีกรรมสิทธิ์
และมิใช่กรณีเช่าซื้อ
ผู้ขออนุญาตจะต้องยื่นใบยินยอมให้ใช้ยานพาหนะจากผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ประกอบการขออนุญาตด้วย
๖.๒.๒ สำเนาบัตรประจำตัวข้าราชการ หรือสำเนาบัตรประจำตัวพนักงานองค์กรของรัฐ
ยกเว้นผู้ขอทำบัตรที่เป็นพนักงานท่าเรือแหลมฉบัง การท่าเรือแห่งประเทศไทย
๖.๒.๓ หนังสือรับรองจากผู้บังคับบัญชาซึ่งต้องเป็นพนักงานระดับหัวหน้าแผนก
หรือข้าราชการระดับ ๖ ขึ้นไป
๖.๓
บัตรอนุญาตยานพาหนะส่วนบุคคล
ให้นำหลักฐานมาแสดงเช่นเดียวกับข้อ
๖.๑
โดยระบุชื่อ - สกุล ผู้ใช้รถ ตำแหน่ง หมายเลขทะเบียนรถ และจำนวนรวม หากผู้ขอมิใช่เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในยานพาหนะส่วนบุคคล
จะต้องให้ผู้มีกรรมสิทธิ์ให้ความยินยอมให้ใช้ยานพาหนะดังกล่าวประกอบคำขอด้วย
ข้อ ๗
บุคคลใดประสงค์จะเข้าไปในบริเวณเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังเพื่อติดต่อธุรกิจ
หรือกิจส่วนตัวเป็นการชั่วคราวให้แจ้งความจำนงพร้อมแสดงหลักฐานหรือความจำเป็นดังกล่าว
เพื่อขอรับบัตรอนุญาตชั่วคราว ณ หมวดรักษาความปลอดภัยกองกลาง ท่าเรือแหลมฉบัง
ให้หมวดรักษาความปลอดภัย
กองกลาง ท่าเรือแหลมฉบัง ตรวจสอบเอกสารหลักฐาน
หรือบุคคลที่ต้องการเข้าไปติดต่อธุรกิจ
หรือกิจส่วนตัวโดยละเอียดเมื่อทราบแน่ชัดและมีเหตุผลสมควร
ให้ออกบัตรอนุญาตผ่านชั่วคราวดังนี้
๗.๑
บัตรอนุญาตยานพาหนะชั่วคราว ในกรณีนำยานพาหนะของตนเองผ่านเข้าไป
โดยบุคคลนั้นต้องมอบบัตรประจำตัวประชาชน
หรือใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นหลักฐานและให้นำมาแลกเปลี่ยนคืนเมื่อผ่านออก
๗.๒
บัตรอนุญาตบุคคลชั่วคราว ในกรณีผ่านเข้าไปโดยยานพาหนะรับจ้าง
โดยบุคคลนั้นต้องมอบบัตรประจำตัวประชาชน
หรือเอกสารอย่างหนึ่งอย่างใดของทางราชการที่ระบุสถานะของผู้ขออนุญาตไว้เป็นหลักฐาน
และให้นำมาแลกเปลี่ยนคืนเมื่อผ่านออก
๗.๓
กรณีลูกเรือที่มีความประสงค์จะขึ้นบกโดยผ่านเข้าออกเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
ให้แสดงหนังสือเดินทางและเอกสารที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองออกให้ต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
หมวดที่ ๓
การทำบัตร
ค่าธรรมเนียม และอายุบัตร
ข้อ ๘
ผู้ที่ประสงค์จะขอทำบัตรอนุญาตผ่านเข้าออกในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
สำหรับบุคคลและยานพาหนะทุกประเภท เพื่อปฏิบัติงานหรือประกอบธุรกิจภายในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
ให้ติดต่อขอทำบัตรได้ที่หมวดรักษาความปลอดภัยกองกลาง ท่าเรือแหลมฉบัง
ข้อ ๙ อัตราค่าธรรมเนียมบัตรอนุญาต
๙.๑ บัตรอนุญาตบุคคล
อัตรา ๒๐๐ บาท/บัตร
๙.๒
รถยนต์นั่งหรือรถบรรทุก ๔ ล้อ อัตรา
๒๐๐ บาท/บัตร
๙.๓ รถจักรยานยนต์ อัตรา ๒๐๐ บาท/บัตร
๙.๔ รถยนต์บรรทุก ๖
ล้อ อัตรา ๔๐๐ บาท/บัตร
ค่าธรรมเนียมดังกล่าวยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
(VAT) ที่จัดเก็บตามกฎหมาย สำหรับยานพาหนะส่วนบุคคลของพนักงานท่าเรือแหลมฉบัง
การท่าเรือแห่งประเทศไทย ข้าราชการ หรือพนักงานองค์กรของรัฐ ให้ได้รับการยกเว้นการเสียค่าธรรมเนียม
ข้อ ๑๐ อายุบัตรอนุญาต
๑๐.๑ บัตรอนุญาตบุคคล
๑๐.๑.๑ บัตรอนุญาตบุคคล สำหรับพนักงานบริษัทผู้ประกอบการท่า
กำหนดให้หมดอายุภายใน ๕ ปี โดยสิ้นสุดภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ของทุก ๕ ปี
โดยเริ่มในปีที่ประกาศแก้ไขระเบียบเป็นต้นไป
๑๐.๑.๒ บัตรอนุญาตบุคคล นอกจากข้อ ๑๐.๑.๑ กำหนด ให้มีอายุ ๒ ปี โดยสิ้นสุดภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ของทุก ๒ ปี
๑๐.๒
บัตรอนุญาตยานพาหนะ กำหนดให้หมดอายุภายใน ๒ ปี โดยสิ้นสุดภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม
ของทุก ๒ ปี
๑๐.๓
การต่อบัตรอนุญาต ให้ดำเนินการยื่นคำร้องขอทำบัตรใหม่ก่อนวันหมดอายุไม่น้อยกว่า ๓๐
วัน พร้อมยื่นหลักฐานเช่นเดียวกับข้อ ๖ และบัตรอนุญาตเดิม
หมวดที่ ๔
การเดินรถในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
ข้อ ๑๑
ยานพาหนะทุกชนิดที่เข้ามาในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง นอกจากต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรแล้วยังต้องปฏิบัติ
ดังต่อไปนี้
๑๑.๑
ภายในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังให้รถยนต์ใช้ความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ ๔๐ กิโลเมตร
และรถจักรยานยนต์ไม่เกินชั่วโมงละ ๓๐ กิโลเมตร
๑๑.๒
ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และผู้โดยสารที่จะผ่านเข้าออกภายในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
สวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่
๑๑.๓
ต้องปฏิบัติตามกฎและเครื่องหมายจราจรที่ท่าเรือแหลมฉบังติดตั้งหรือแสดงไว้
หากละเมิดหรือฝ่าฝืนท่าเรือแหลมฉบังจะทำหนังสือเตือน ๓ ครั้ง
รวมทั้งอาจพิจารณาห้ามนำยานพาหนะผ่านเข้าออกในเขตศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังต่อไป
๑๑.๔
ต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ คำสั่ง ประกาศของท่าเรือแหลมฉบังโดยเคร่งครัด
๑๑.๕
ขณะผ่านประตูเพื่อเข้าหรือออกจากเขตศุลกากร ต้องหยุดหรือชะลอความเร็ว
รวมทั้งในเวลากลางคืนให้หรี่หรือปิดไฟใหญ่
เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจสอบบัตรอนุญาตและตรวจภายในยานพาหนะได้
ความในวรรคก่อนนี้ไม่ใช้บังคับแก่ยานพาหนะที่ต้องปฏิบัติงานในกรณีฉุกเฉินและจำเป็น
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ.
๒๕๔๖
ธีรยุทธ ทุมมานนท์
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง
ปฏิบัติการแทน
ผู้อำนวยการ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
มยุรี/พิมพ์
๒๖ กุมภาพันธ์
๒๕๔๗
สุมลรัตน์/ศุภสรณ์/ตรวจ
๑๒ เมษายน ๒๕๔๗
A+B
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ
๑๒๐ ง/หน้า
๕๐/๑๕
ตุลาคม ๒๕๔๖ |
412974 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2543
| ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๔๓[๑]
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ (๑) และมาตรา
๒๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยจึงวางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๓
ข้อ
๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘
บรรดาข้อบังคับ
ระเบียบ มติ หรือคำสั่งอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
ข้อ
๔
ให้ผู้อำนวยการรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีหน้าที่ตีความ
และวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ รวมทั้งให้มีอำนาจออกคำสั่ง
หรือระเบียบปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบนี้
หมวด ๑
ข้อความทั่วไป
ข้อ
๕ ในระเบียบนี้
การท่าเรือ หมายความว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้อำนวยการ หมายความว่า
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พนักงาน หมายความว่า พนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ หมายความว่า
ผู้อำนวยการกองพัสดุ ผู้อำนวยการกองบริการ ฝ่ายการร่องน้ำ ผู้อำนวยการกองกลาง
ท่าเรือแหลมฉบัง
หรือพนักงานอื่นซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้อำนวยการให้เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ
แล้วแต่กรณี
เจ้าหน้าที่พัสดุ หมายความว่า
เจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการพัสดุ หรือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง หรือได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการ
ให้มีหน้าที่หรือปฏิบัติงานเกี่ยวกับพัสดุ ตามระเบียบนี้
พัสดุ หมายความว่า ที่ดิน สิ่งก่อสร้างหรืออาคาร
ครุภัณฑ์ อุปกรณ์ วัสดุและของใช้สิ้นเปลือง ซึ่งใช้ในกิจการของการท่าเรือ
การพัสดุ หมายความว่า
การซื้อ การจ้าง การจ้างที่ปรึกษา การจัดทำเอง การแลกเปลี่ยน การเช่า
การควบคุม การจำหน่ายและการดำเนินการอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้
การซื้อ หมายความว่า การซื้อพัสดุทุกชนิด
ทั้งที่มีการติดตั้ง ทดลองและบริการที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ แต่ไม่รวมถึงการจัดหาพัสดุในลักษณะการจ้าง
การจ้าง หมายความรวมถึง การจ้างทำของ และการรับขน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการจ้างเหมาบริการ
แต่ไม่รวมถึงการจ้างลูกจ้างของส่วนงาน ตามระเบียบของการท่าเรือ
และการจ้างที่ปรึกษา
การจ้างที่ปรึกษา หมายความถึง
การจ้างบริการจากที่ปรึกษา
ที่ปรึกษา หมายความว่า
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจหรือสามารถให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางวิศวกรรม
สถาปัตยกรรม เศรษฐศาสตร์ หรือสาขาอื่น รวมทั้งให้บริการด้านศึกษา สำรวจ
ออกแบบและควบคุมงาน และการวิจัย
ส่วนงาน หมายความว่า หน่วยงานระดับกองขึ้นไป
หรือหน่วยงานที่มีฐานะเทียบเท่ากองขึ้นไป
หัวหน้าส่วนงาน หมายความว่า
หัวหน้าของหน่วยงานระดับกองขึ้นไปหรือหัวหน้าของหน่วยงานที่มีฐานะเทียบเท่ากองขึ้นไป
และให้หมายความรวมถึงรองผู้อำนวยการการท่าเรือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่าเรือ
ผู้ช่วยผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ รองผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง
และผู้ช่วยผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง
การจัดทำเอง หมายความว่า การจัดทำขึ้นมาใหม่
การประกอบ การติดตั้งหรือการซ่อมบำรุงรักษาทรัพย์สินเดิม
ให้คงสภาพจนสามารถใช้งานได้โดยพนักงาน
การขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หมายความว่า
การที่ผู้เสนอราคารายหนึ่งหรือหลายรายกระทำการอย่างใด
ๆ อันเป็นการขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคหรือไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมในการเสนอราคา
หรือเสนองานต่อการท่าเรือ ไม่ว่าจะกระทำโดยการสมยอมกันหรือโดยการให้ ขอให้
หรือรับว่างจะให้เรียก รับ หรือยอมจะรับเงินหรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
หรือใช้กำลังประทุษร้ายหรือข่มขู่ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือแสดงเอกสารอันเป็นเท็จ
หรือกระทำการใดโดยทุจริต ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะแสวงหาประโยชน์ในระหว่างผู้เสนอราคาด้วยกัน
หรือเพื่อให้ประโยชน์แก่ผู้เสนอราคารายหนึ่งรายใดเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับการท่าเรือ
หรือเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมหรือเพื่อให้เกิดความได้เปรียบ
โดยมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ
ผู้เสนอราคา หมายความว่า บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่เข้าเสนอราคาในการซื้อการจ้าง
หรือเข้าเสนองานในการจ้างที่ปรึกษาของการท่าเรือ
ผู้เสนอราคาที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน หมายความว่า
ผู้เสนอราคา ซึ่ง ณ วันประกาศเผยแพร่การสอบราคา ประกวดราคา หรือเสนองาน
เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในกิจการของผู้เสนอราคาอื่นที่เข้าเสนอราคา
หรือเสนองานในคราวเดียวกัน
การมีส่วนได้ส่วนเสีย
ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมดังกล่าว ได้แก่ การที่ผู้เสนอราคานั้น ๆ
มีความสัมพันธ์กันในลักษณะ ดังต่อไปนี้
(๑) มีความสัมพันธ์กันในเชิงบริหาร โดยผู้จัดการ
หุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร
หรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลรายหนึ่ง
มีอำนาจหรือสามารถใช้อำนาจในการบริหารจัดการกิจการของบุคคลธรรมดา
หรือนิติบุคคลอื่นที่เข้าเสนอราคา หรือเสนองานในคราวเดียวกัน
(๒) มีความสัมพันธ์กันในเชิงทุน โดยผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ
หรือผู้เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดชอบในห้างหุ้นส่วนจำกัด
หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด
เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด
หรือเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัดอื่นที่เข้าเสนอราคา
หรือเสนองานในคราวเดียวกัน
คำว่า
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ให้ความหมายว่า
ผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าในกิจการนั้น
หรือในอัตราอื่นตามที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้น
เห็นสมควรประกาศกำหนดสำหรับกิจการบางประเภทหรือบางขนาด
(๓) มีความสัมพันธ์กันในลักษณะไขว้กันระหว่าง
(๑) และ (๒)
โดยผู้จัดการหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร
หรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของบุคคลธรรมดา
หรือนิติบุคคลเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทจำกัด
หรือบริษัทมหาชนจำกัดอื่นที่เข้าเสนอราคา หรือเสนองานในคราวเดียวกัน
หรือในนัยกลับกัน
การดำรงตำแหน่งการเป็นหุ้นส่วน
หรือการเข้าถือหุ้นดังกล่าวข้างต้นของคู่สมรสหรือบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลใน
(๑) (๒) หรือ (๓) ให้ถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่ง การเป็นหุ้นส่วน
หรือการถือหุ้นของบุคคลดังกล่าว
ในกรณีบุคคลใดใช้ชื่อบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการ
หุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้น
โดยที่ตนเองเป็นผู้ใช้อำนาจในการบริหารที่แท้จริงหรือเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นที่แท้จริงของห้างหุ้นส่วน
หรือบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด แล้วแต่กรณี และห้างหุ้นส่วน
หรือบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัดที่เกี่ยวข้องเข้าเสนอราคา
หรือเสนองานในคราวเดียวกัน ให้ถือว่าผู้เสนอราคานั้น ๆ มีความสัมพันธ์กันตาม (๑) (๒) หรือ (๓) แล้วแต่กรณี
ข้อ
๖ ในกรณีที่ผู้อำนวยการกองพัสดุ
หรือผู้อำนวยการกองบริการ ฝ่ายการร่องน้ำ หรือผู้อำนวยการกองกลาง ท่าเรือแหลมฉบัง
หรือพนักงานที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ
ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ได้
ก็ให้ผู้ดำรงตำแหน่งระดับเหนือขึ้นไป
ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุแทน
ข้อ
๗ ผู้มีอำนาจหรือหน้าที่ดำเนินการตามระเบียบนี้
หรือพนักงานผู้ใดกระทำการโดยจงใจ หรือประมาท เลินเล่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้
หรือกระทำการโดยมีเจตนาทุจริตหรือปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่
รวมทั้งมีพฤติกรรมที่เอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าเสนอราคาให้มีการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยตามข้อบังคับ
ว่าด้วยระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น
การลงโทษทางวินัยข้างต้น ไม่เป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดหลุดพ้นจากความรับผิดทางอาญาหรือทางแพ่ง (ถ้ามี)
แต่ประการใด
ข้อ
๘ ระเบียบนี้
ใช้สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุ โดยใช้เงินงบประมาณของการท่าเรือ เงินงบประมาณเพิ่มเติม
เงินกู้ หรือเงินที่ได้รับตามพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
หากมีการพัสดุใดที่ไม่มีกำหนดไว้ในระเบียบนี้
ก็ให้นำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการพัสดุที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นมาใช้ปฏิบัติ โดยอนุโลม
หมวด ๒
การจัดหา
ข้อ ๙
ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในแต่ละขั้นตอนของการจัดหา ต้องดำเนินการโดยเปิดเผย
โปร่งใส และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
โดยคำนึงถึงคุณสมบัติและความสามารถของผู้เสนอราคา
เว้นแต่กรณีที่มีลักษณะเฉพาะอันเป็นข้อยกเว้นตามที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้
ในการดำเนินการแต่ละขั้นตอน ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต้องมีการบันทึกหลักฐานในการดำเนินการ
พร้อมทั้งต้องระบุเหตุผลในการพิจารณาสั่งการในขั้นตอนที่สำคัญไว้เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม
ผู้เสนอราคาที่มีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาในการซื้อหรือจ้างโดยวิธีสอบราคา
ประกวดราคา หรือการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือกในแต่ละครั้ง
จะต้องไม่เป็นผู้เสนอราคาที่มีผลประโยชน์ร่วมกันในการตรวจสอบคุณสมบัติ ให้ระบุในเอกสารสอบราคา
เอกสารประกวดราคา หรือหนังสือเชิญชวนเสนองาน
กำหนดให้ผู้เสนอราคายื่นเอกสารแสดงคุณสมบัติแยกมาต่างหาก โดยอย่างน้อยต้องมีเอกสาร
ดังต่อไปนี้
(๑) ในกรณีผู้เสนอราคาเป็นนิติบุคคล
ให้ยื่นสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล หนังสือบริคณห์สนธิ
บัญชีรายชื่อหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้มีอำนาจควบคุม
และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ พร้อมทั้งรับรองสำเนาถูกต้อง
(๒) ในกรณีผู้เสนอราคาเป็นบุคคลธรรมดา
หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลให้ยื่นสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้นั้น
สำเนาข้อตกลงที่แสดงถึงการเข้าเป็นหุ้นส่วน (ถ้ามี) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เป็นหุ้นส่วน พร้อมทั้งรับรองสำเนาถูกต้อง
(๓) ในกรณีที่ผู้เสนอราคาเป็นผู้เสนอราคาร่วมกันในฐานะเป็นผู้ร่วมค้าให้ยื่นสำเนาสัญญาของการเข้าร่วมค้า
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ร่วมค้าและในกรณีที่ผู้เข้าร่วมค้าฝ่ายใดเป็นบุคคลธรรมดาที่มิได้ถือสัญชาติไทย
ก็ให้ยื่นสำเนาหนังสือเดินทางหรือถ้าผู้ร่วมค้าฝ่ายใดเป็นนิติบุคคลให้ยื่นเอกสารตาม
(๑)
การยื่นเอกสารแสดงคุณสมบัติดังกล่าว
ให้ยื่นพร้อมกับการยื่นซองสอบราคาประกวดราคา หรือเสนองาน
สำหรับการจ้างที่ปรึกษาที่กำหนดให้ยื่นซองข้อเสนอด้านเทคนิคเพียงซองเดียวตามข้อ ๗๘
(๒) ให้ยื่นมาพร้อมกับการยื่นซองดังกล่าว
ให้คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาหรือคณะกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
แล้วแต่กรณี ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคาว่าเป็นผู้เสนอราคาที่มีผลประโยชน์ร่วมกันหรือไม่
โดยดำเนินการไปพร้อมกับการดำเนินการตามข้อ ๓๔ (๒) ข้อ ๔๒ (๑) ข้อ ๗๙ หรือข้อ ๘๐ แล้วแต่กรณี หากปรากฏว่ามีผู้เสนอราคา เป็นผู้เสนอราคาที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
ให้ตัดผู้เสนอราคาดังกล่าวทุกรายออกจากการเป็นผู้มีสิทธิได้รับการพิจารณาในการเสนอราคา
หรือเสนองานครั้งนั้น พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้เสนอราคาดังกล่าวทราบโดยพลัน
ผู้เสนอราคาที่ถูกต้องออกจากการเป็นผู้มีสิทธิได้รับการพิจารณา
เพราะเหตุเป็นผู้เสนอราคาที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน อาจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้อำนวยการภายใน
๓ วันทำการ นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
พร้อมทั้งแสดงเหตุผลของการอุทธรณ์และเอกสารที่เกี่ยวข้องมาด้วย
ให้ผู้อำนวยการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พร้อมทั้งแจ้งผลให้ผู้อุทธรณ์ทราบโดยพลัน
การวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้อำนวยการ
ถือเป็นที่สุดสำหรับการเสนอราคาหรือเสนองานครั้งนั้น
ในกรณีที่ผู้อำนวยการพิจารณาเห็นด้วยกับคำคัดค้านของผู้ยื่นอุทธรณ์
และเห็นว่าการยกเลิกการสอบราคา ประกวดราคาหรือเสนองานครั้งนั้น
จะเป็นประโยชน์แก่การท่าเรืออย่างยิ่ง ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจยกเลิกการสอบราคา
ประกวดราคา หรือเสนองานครั้งนั้นได้
นอกจากการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคาว่าเป็นผู้เสนอราคาที่มีผลประโยชน์ร่วมกันหรือไม่แล้ว
หากปรากฏว่า ก่อนหรือในขณะที่ทำการเปิดซองสอบราคา ประกวดราคา หรือเสนองาน
ได้มีผู้เสนอราคากระทำการอันเป็นการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ให้คณะกรรมการตามวรรคสี่ ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง
และหากเชื่อได้ว่ามีการกระทำการเช่นนั้นจริง ให้คณะกรรมการตามวรรคสี่ตัดผู้เสนอราคาที่กระทำการดังกล่าวทุกรายออกจากการเป็นผู้มีสิทธิได้รับการพิจารณาในการเสนอราคา
หรือเสนองานครั้งนั้น พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้เสนอราคาดังกล่าวทราบโดยพลัน
เว้นแต่กรณีที่วินิจฉัยได้ว่าผู้เสนอราคานั้นเป็นผู้ที่ให้ความร่วมมือเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา
และมิได้เป็นผู้ริเริ่มให้มีการกระทำดังกล่าว
จะไม่ตัดผู้เสนอราคานั้นออกจากการเป็นผู้มีสิทธิได้รับการพิจารณาก็ได้
ผู้เสนอราคาที่ถูกตัดออกจากการเป็นผู้มีสิทธิได้รับการพิจารณา
เพราะเหตุเป็นผู้กระทำการอันเป็นการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
อาจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ ทั้งนี้
ให้นำความในวรรคห้า มาใช้กับกรณีนี้โดยอนุโลม
ผู้เสนอราคาที่เป็นผู้กระทำการอันเป็นการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมหรือกระทำการโดยไม่สุจริต
หรือมีการสมยอมกันในการเสนอราคา จะถูกพิจารณาลงโทษเสมือนเป็นผู้ทิ้งงานตามข้อ ๑๐๖
ข้อ
๑๐ การจัดหาในหมวดนี้
ให้ส่งเสริมพัสดุที่ผลิตภายในประเทศ หรือกิจการของคนไทย
และให้ถือปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุเกี่ยวกับการใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศและกิจการของคนไทย
โดยอนุโลม
ส่วนที่ ๑ : การซื้อและการจ้าง
วิธีซื้อและวิธีจ้าง
ข้อ ๑๑
การซื้อหรือการจ้าง กระทำได้ ๕ วิธี คือ
(๑) วิธีตกลงราคา
(๒) วิธีสอบราคา
(๓) วิธีประกวดราคา
(๔) วิธีพิเศษ
(๕) วิธีการพิเศษ
ข้อ ๑๒
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา ได้แก่
การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ
๑๓ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา
ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ
๑๔
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา ได้แก่
การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ
๑๕ การซื้อหรือการจ้างตามข้อ ๑๒
และข้อ ๑๓
ถ้าผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจตามข้อ
๕๙ เห็นสมควร จะสั่งให้กระทำโดยวิธีที่กำหนดไว้สำหรับวงเงินที่สูงกว่าก็ได้
การแบ่งซื้อหรือแบ่งจ้างโดยลดวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งเดียวกัน
เพื่อให้วงเงินต่ำกว่าที่กำหนด โดยวิธีหนึ่งวิธีใด
หรือเพื่อให้อำนาจสั่งซื้อหรือสั่งจ้างเปลี่ยนไปจะกระทำมิได้
การซื้อหรือจ้างที่จะมีการตกลงซื้อหรือจ้างเป็นระยะเวลา
รวมถึงการเช่าสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ครั้งหนึ่ง
จะมีกำหนดระยะเวลาในการซื้อหรือจ้าง หรือเช่าเกินกว่า ๑ ปีก็ได้
ข้อ
๑๖ การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่
การซื้อครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใด ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นพัสดุที่จะขายทอดตลาด โดยส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
รัฐวิสาหกิจ องค์การระหว่างประเทศ หรือหน่วยงานของต่างประเทศ
(๒) เป็นพัสดุเพื่อใช้ในงานลับ
(๓) เป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การท่าเรือ
(๔) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ
หรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ
(๕) เป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ
ซึ่งหมายความรวมถึง อะไหล่ หรือรถประจำตำแหน่ง
(๖) เป็นพัสดุที่เป็นที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างที่จำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง
(๗) เป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ข้อ
๑๗ การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่
การจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใด
ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นงานที่ต้องจ้างช่างผู้มีฝีมือโดยเฉพาะ
หรือผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษ
(๒) เป็นงานจ้างซ่อมพัสดุที่จำเป็นต้องถอดตรวจให้ทราบความชำรุดเสียหายเสียก่อน
จึงจะประมาณค่าซ่อมได้ เช่น งานจ้างซ่อมเครื่องจักร เครื่องมือกล เครื่องยนต์ เครื่องไฟฟ้า
เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ หรือตัวเรือและอุปกรณ์ใต้แนวน้ำ เป็นต้น
(๓) เป็นงานที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การท่าเรือ
(๔) เป็นงานที่ต้องปกปิดเป็นความลับของการท่าเรือ
หรือของทางราชการ
(๕) เป็นงานที่ได้ดำเนินการจ้างโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ข้อ
๑๘ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างในกรณี ดังต่อไปนี้
(๑) การซื้อหรือการจ้างจากส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจ
ซึ่งเป็นผู้ทำหรือผลิตพัสดุนั้น ๆ ขึ้นเอง
(๒) การซื้อหรือการจ้างที่มีกฎหมายหรือมีมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ต้องซื้อหรือจ้างจากส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจ
รายงานขอซื้อหรือขอจ้าง
ข้อ ๑๙
ส่วนงานที่มีความประสงค์จะให้จัดซื้อพัสดุหรือจ้าง
จะต้องจัดทำคำขอตามแบบหรือจัดทำเป็นรายงาน
แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการต่อไป
ข้อ
๒๐
นอกจากการซื้อที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้าง แบบคำขอหรือรายงานอย่างน้อยให้มีรายละเอียด
ดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อหรือจ้าง
(๒) รายการละเอียดของพัสดุที่จะซื้อหรืองานที่จะจ้าง
(๓) ข้อกำหนดมาตรฐานของพัสดุหรือแบบรูปของงานที่จะจ้าง
(๔) ราคาต่อหน่วยหรือต่อรายการ (ถ้ามี) วงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง โดยให้ระบุประเภทรายการและวงเงินงบประมาณที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งนั้น
(๕) กำหนดเวลาที่ต้องการใช้พัสดุนั้น
หรือใช้งานนั้นแล้วเสร็จ
ข้อ
๒๑ แบบคำขอหรือรายงานซื้อที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างอย่างน้อยให้มีรายละเอียด
ดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อ
(๒) รายละเอียดของที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างที่ต้องการซื้อ
รวมทั้งเนื้อที่และท้องที่ที่ต้องการ
(๓) ราคาประเมินของทางราชการในท้องที่นั้น
ข้อ
๒๒
เมื่อเจ้าหน้าที่พัสดุได้รับคำขอหรือรายงานตามข้อ ๒๐ หรือ ๒๑
แล้วให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) ตรวจสอบราคาที่เคยซื้อหรือจ้างครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา
๒ ปีงบประมาณ หรือราคามาตรฐานของทางราชการ (ถ้ามี)
(๒) กำหนดวิธีที่จะซื้อหรือจ้างและข้อเสนออื่น ๆ เช่น
การขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จำเป็นในการซื้อหรือจ้าง
การออกประกาศสอบราคา หรือประกาศประกวดราคา สำหรับการซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง
ให้เสนอให้ดำเนินการติดต่อกับเจ้าของโดยตรง
(๓) รายงานผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจตามข้อ
๕๙ เพื่อขออนุมัติดำเนินการตามขั้นตอนของแต่ละวิธี
การคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้น
ข้อ ๒๓ การซื้อหรือการจ้างที่จำเป็นต้องจำกัดเฉพาะผู้ที่มีความสามารถ
โดยคัดเลือกคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิเข้าเสนอราคาก่อนที่จะดำเนินการจัดซื้อหรือจ้างให้ส่วนงานเจ้าของเรื่องจัดทำรายงานเสนอขออนุมัติผู้อำนวยการ
พร้อมด้วยเอกสารการคัดเลือกคุณสมบัติเบื้องต้น โดยให้มีรายละเอียดอย่างน้อย
ดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้น
(๒) ประเภท วงเงิน
และรายละเอียดของพัสดุที่จะซื้อหรืองานที่จะจ้าง
(๓) คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก
ซึ่งเป็นเกณฑ์ความต้องการขั้นต่ำ เช่น ประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมา
สมรรถภาพในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ เครื่องมือและโรงงาน ฐานะการเงิน
เป็นต้น
(๔) หลักเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือก
ข้อ
๒๔ เมื่อผู้อำนวยการอนุมัติในข้อ ๒๓
แล้ว ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดทำประกาศเชิญชวนเพื่อคัดเลือกคุณสมบัติเบื้องต้น
พร้อมทั้งเสนอผู้อำนวยการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้นด้วย
ข้อ
๒๕ ใบประกาศเชิญชวนเพื่อการคัดเลือกคุณสมบัติเบื้องต้น
อย่างน้อยให้แสดงรายการ ดังต่อไปนี้
(๑) รายละเอียดเฉพาะของพัสดุที่ต้องการซื้อหรืองานที่ต้องการจ้าง
(๒) ประสบการณ์และผลงานของผู้เสนอที่มีลักษณะและประเภทเดียวกัน
(๓) สมรรถภาพในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่
เครื่องมือและโรงงาน
(๔) ฐานะการเงิน
(๕) หลักเกณฑ์ทั่วไปในการพิจารณาคัดเลือก
(๖) สถานที่ขอรับหรือขอซื้อเอกสารคุณสมบัติเบื้องต้น
พร้อมวันหมดเขตการขอรับเอกสาร
(๗) สถานที่ วันและเวลารับข้อเสนอ
ปิดการรับข้อเสนอและเปิดซองข้อเสนอ
ให้ประกาศโฆษณาและแจ้งลักษณะโดยย่อของพัสดุที่ต้องการซื้อ
หรืองานที่ต้องการจ้างและกำหนดเวลาให้พอเพียง เพื่อเปิดโอกาสให้แก่ผู้ที่สนใจจัดเตรียมข้อเสนอ ทั้งนี้
จะต้องกระทำก่อนวันรับซองข้อเสนอไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน
โดยประกาศทางวิทยุกระจายเสียงหรือลงประกาศในหนังสือพิมพ์ของทางราชการ หากเห็นสมควรจะส่งใบประกาศไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
หรือโฆษณาด้วยวิธีอื่นอีกก็ได้
ข้อ
๒๖
ให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้นโดยให้มีองค์ประกอบเช่นเดียวกับคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
เพื่อทำหน้าที่พิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น
ตามหลักเกณฑ์และภายในระยะเวลาที่ผู้อำนวยการกำหนด
เมื่อได้ดำเนินการไปแล้วได้ผลประการใด
ให้เสนอความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับทั้งหมดต่อผู้อำนวยการผ่านหัวหน้าส่วนงานที่รับผิดชอบในการจัดหาครั้งนั้นเพื่อสั่งการต่อไป
ข้อ
๒๗ ในกรณีที่มีการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง
ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบเกี่ยวกับการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้างของการท่าเรือ
กรรมการ
ข้อ ๒๘ ในการดำเนินการซื้อหรือจ้างแต่ละครั้ง
ให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อปฏิบัติตามระเบียบนี้
พร้อมกับกำหนดระยะเวลาในการพิจารณาของคณะกรรมการ แล้วแต่กรณี คือ
(๑) คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
(๒) คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา
(๓) คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
(๔) คณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ
(๕) คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ
(๖) คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ
(๗) คณะกรรมการตรวจการจ้าง
การดำเนินการซื้อหรือจ้างภายในวงเงินที่อยู่ในอำนาจสั่งการของผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจตามข้อ
๕๙ ให้ผู้ที่ได้รับมอบอำนาจนั้น ๆ เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ
ให้คณะกรรมการแต่ละคณะ
รายงานผลการพิจารณาต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการภายในระยะเวลาที่กำหนด
ถ้ามีเหตุผลที่ทำให้การรายงานล่าช้า
ให้เสนอผู้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาขยายเวลาให้ตามความจำเป็น
แต่ถ้าผู้แต่งตั้งคณะกรรมการไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้รายงานต่อผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจตามข้อ ๕๙
ระดับเหนือขึ้นไป แล้วแต่กรณี
ในกรณีที่ผู้อำนวยการเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ
ผู้อำนวยการอาจมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งรองลงไปเป็นผู้รับทราบรายงานของคณะกรรมการตาม
(๖) หรือ (๗) แทนก็ได้
ข้อ
๒๙ คณะกรรมการตามข้อ ๒๘
แต่ละคณะให้ประกอบด้วย ประธานกรรมการ ๑ คน และกรรมการอย่างน้อย ๒ คน
โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานตั้งแต่ระดับ ๖ ขึ้นไป ในกรณีจำเป็น
หรือเพื่อประโยชน์ของการท่าเรือ
จะแต่งตั้งบุคคลที่มิใช่พนักงานร่วมเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ถ้าประธานกรรมการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้ผู้แต่งตั้งคณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นทำหน้าที่ประธานกรรมการแทน
ในกรณีเมื่อถึงกำหนดเวลาการเปิดซองสอบราคา
หรือรับซองประกวดราคาแล้วประธานกรรมการยังไม่มาปฏิบัติหน้าที่
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานกรรมการในเวลานั้น
โดยให้คณะกรรมการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่เฉพาะข้อ ๓๔ (๑) หรือข้อ ๔๑ แล้วแต่กรณี แล้วรายงานประธานกรรมการ เพื่อดำเนินการต่อไป
ในการซื้อหรือจ้างครั้งเดียวกัน
ห้ามแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาเป็นกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
หรือแต่งตั้งผู้ที่เป็นกรรมการเปิดซองสอบราคา หรือกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา
เป็นกรรมการตรวจรับพัสดุ
คณะกรรมการทุกคณะ
เว้นแต่คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาควรแต่งตั้งผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
ๆ เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย
สำหรับการซื้อหรือจ้างในวงเงินไม่เกิน
๑๐,๐๐๐ บาท จะแต่งตั้งพนักงานตั้งแต่ระดับ ๖ ขึ้นไปคนหนึ่ง ซึ่งมิใช่ผู้จัดซื้อหรือจัดจ้างเป็นผู้ตรวจรับพัสดุหรือผู้ตรวจงานจ้างนั้น
โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ
หรือคณะกรรมการตรวจการจ้างก็ได้
ข้อ ๓๐
ในการประชุมพิจารณาและรายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการแต่ละคณะ
ต้องมีประธานกรรมการและกรรมการอีกไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด
เป็นองค์ประชุมและลงนามในรายงานนั้น
การประชุมตามวรรคหนึ่ง
ให้ประธานกรรมการและกรรมการแต่ละคนมีเสียงหนึ่งในการลงมติ
มติของที่ประชุมถือเป็นมติของคณะกรรมการโดยให้ถือเสียงข้างมาก
ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานกรรมการออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
เว้นแต่มติของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุและคณะกรรมการตรวจการจ้าง ให้ถือมติเอกฉันท์
ในกรณีกรรมการบางคนไม่ยอมรับพัสดุหรืองานจ้างนั้น
โดยทำความเห็นแย้งไว้ให้นำความในข้อ ๕๒ (๗) หรือข้อ ๕๔ (๕) แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ สำหรับกรรมการคณะอื่นถ้าผู้ใดไม่เห็นด้วย
ให้ทำบันทึกความเห็นแย้งไว้ด้วย
วิธีตกลงราคา
ข้อ ๓๑ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุต่อรอง และตกลงราคากับผู้ขายหรือผู้รับจ้างโดยตรง
แล้วนำเสนอเพื่อขออนุมัติซื้อหรือจ้างต่อผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจตามข้อ
๕๙
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา
ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายไว้ก่อนและไม่อาจดำเนินการตามปกติได้
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้นดำเนินการไปก่อน
แล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจตามข้อ ๕๙
และเมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วให้ถือว่ารายงานดังกล่าวเป็นหลักฐานการตรวจรับหรือตรวจการจ้าง
โดยอนุโลม
วิธีสอบราคา
ข้อ ๓๒ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดทำเอกสารสอบราคา โดยอย่างน้อยให้แสดงรายการ ดังต่อไปนี้
(๑) รายละเอียดและคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุที่ต้องการซื้อหรืองานที่ต้องการจ้าง
และจำนวนที่ต้องการ
(๒) คุณสมบัติของผู้เสนอราคา
ซึ่งจะต้องไม่เป็นผู้เสนอราคาที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยระบุให้แสดงเอกสารตามข้อ ๙
วรรคสอง และจะต้องมีอาชีพขายหรือรับจ้างตาม (๑) และไม่เป็นผู้ได้รับเอกสิทธิ์หรือความคุ้มกัน
ซึ่งอาจปฏิเสธไม่ยอมขึ้นศาลไทย
เว้นแต่รัฐบาลของผู้เสนอราคาจะได้มีคำสั่งให้สละเอกสิทธิ์และความคุ้มกันเช่นว่านั้น
(๓) ในกรณีจำเป็นให้ระบุให้ผู้เสนอราคาส่งตัวอย่าง
แคตตาล็อก หรือแบบรูปและรายการละเอียดไปพร้อมกับใบเสนอราคา
(๔) ถ้าจำเป็นต้องทำการทดสอบหรือตรวจทดลอง
ให้กำหนดจำนวนตัวอย่างให้พอแก่การทดสอบหรือตรวจทดลอง และให้มีเหลือไว้สำหรับทำสัญญาด้วย ทั้งนี้ ให้มีข้อกำหนดไว้ด้วยว่าทางการท่าเรือไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด
ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตัวอย่างที่ส่งมาให้ทดสอบหรือตรวจทดลอง
(๕) ข้อกำหนดให้ผู้เสนอราคา
เสนอราคารวมทั้งสิ้นและราคาต่อหน่วยหรือต่อรายการ (ถ้าทำได้)
พร้อมทั้งระบุหลักเกณฑ์โดยชัดเจนว่าจะพิจารณาราคารวมหรือราคาต่อหน่วยหรือต่อรายการไว้ด้วย
ในการจ้างก่อสร้าง
ให้กำหนดแบบบัญชีรายการก่อสร้างตามความเหมาะสมของลักษณะและประเภทของงาน
เพื่อให้ผู้เสนอราคากรอกปริมาณวัสดุและราคาด้วย
(๖) กำหนดระยะเวลายืนราคาเท่าที่จำเป็นต่อทางการท่าเรือ
และมีเงื่อนไขด้วยว่าซองเสนอราคาที่ยื่นและได้ลงทะเบียนรับซองแล้วจะถอนคืนมิได้
(๗) กำหนดสถานที่ วัน เวลารับซอง ปิดการรับซอง
และเปิดซองสอบราคา
(๘) กำหนดสถานที่ส่งมอบพัสดุและวันส่งมอบโดยประมาณ (สำหรับการซื้อ) หรือกำหนดวันที่จะเริ่มทำงานและวันแล้วเสร็จโดยประมาณ
(สำหรับการจ้าง)
(๙) กำหนดเงื่อนไขการสงวนสิทธิ์
ที่จะถือว่าผู้ที่ไม่ยอมไปทำสัญญาหรือข้อตกลงกับการท่าเรือภายในกำหนด
จะถูกลงโทษว่าเป็นผู้ทิ้งงาน
(๑๐) กำหนดเงื่อนไขและอัตราการจ่ายเงินล่วงหน้า (ถ้ามี)
(๑๑) ข้อกำหนดว่าผู้เสนอราคาที่ได้รับการคัดเลือก
จะต้องวางหลักประกันสัญญาตามที่กำหนดในข้อ ๖๐ และข้อ ๖๑
(๑๒) ใบเสนอราคาให้ลงราคารวมทั้งสิ้นเป็นตัวเลขและต้องมีตัวหนังสือกำกับถ้าตัวเลขและตัวหนังสือไม่ตรงกันให้ถือตัวหนังสือเป็นสำคัญ
(๑๓) ซองสอบราคาต้องผนึกให้เรียบร้อยก่อนยื่นต่อเจ้าหน้าที่พัสดุด้วยตนเอง
หรือผู้แทนได้รับมอบหมายเป็นหนังสือ
และจะต้องจัดทำบัญชีรายการเอกสารที่ได้ยื่นนั้นแนบมาพร้อมซองเสนอราคาด้วย
(๑๔) สถานที่ติดต่อเกี่ยวกับแบบรูปและรายการละเอียด
พร้อมทั้งแบบสัญญาการแบ่งงวดงานและการจ่ายเงิน
ในกรณีที่มีการขายให้ระบุราคาขายไว้ด้วย
(๑๕) อัตราค่าปรับตามที่กำหนดในข้อ ๑๐๒
(๑๖) ข้อสงวนสิทธิ์ว่าการท่าเรือทรงไว้ซึ่งสิทธิ์ที่จะงดซื้อหรือจ้างหรือเลือกซื้อหรือเลือกจ้าง
โดยไม่จำเป็นต้องซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคาต่ำสุดเสมอไป
รวมทั้งจะพิจารณายกเลิกการสอบราคา
หากมีเหตุที่เชื่อได้ว่าการดำเนินการสอบราคากระทำไปโดยไม่สุจริต
หรือมีการสมยอมกันในการเสนอราคา
(๑๗) ในกรณีที่จำเป็นต้องดูสถานที่หรือชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม
ให้กำหนดสถานที่ วัน เวลาที่นัดหมายไว้ในประกาศด้วย สำหรับผู้ที่ไม่ได้ไปดูสถานที่หรือรับฟังคำชี้แจง
ให้ถือว่าผู้นั้นได้เข้าใจในสภาพของสถานที่และหรือรายละเอียดโดยถ่องแท้แล้ว
ข้อ
๓๓ เมื่อดำเนินการตามข้อ ๓๒ แล้ว
ให้ดำเนินการ ดังนี้
(๑) ก่อนวันรับซองไม่น้อยกว่า ๑๐ วัน
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุปิดใบประกาศสอบราคาไว้โดยเปิดเผย ณ
ที่ทำการของหน่วยงานที่รับผิดชอบในการออกประกาศของการท่าเรือ
กับให้ส่งใบประกาศดังกล่าวไปยังผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
หรือโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือไปรษณีย์รับรองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
(๒) ให้เจ้าหน้าที่พัสดุรับซองใบเสนอราคาที่ยื่นมาทุกราย
โดยไม่เปิดซองเมื่อครบกำหนดเวลารับซองตามประกาศสอบราคาแล้ว
ให้ส่งมอบซองใบเสนอราคาพร้อมทั้งรายงานผลการรับซองต่อคณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
เพื่อดำเนินการต่อไป
เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองแล้ว
ห้ามรับซองใบเสนอราคาจากผู้หนึ่งผู้ใดอีก
ข้อ
๓๔ คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา
มีหน้าที่ ดังนี้
(๑) เปิดซองใบเสนอราคา
ข้อกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคและตัวอย่างตามที่ได้ระบุไว้ในเงื่อนไขโดยเปิดเผยต่อหน้าผู้ยื่นซอง
หรือผู้แทนเมื่อถึงเวลาเปิดซองแล้วจดราคาจากใบเสนอราคาทุกฉบับลงไว้ในบัญชีเปรียบเทียบราคา
และให้คณะกรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาและบัญชีเปรียบเทียบราคาทุกแผ่น ส่วนเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น
ให้คณะกรรมการจำนวนไม่น้อยกว่า ๒ คน ลงลายมือชื่อกำกับไว้
(๒) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา
แคตตาล็อก หรือแบบรูปและรายการละเอียด แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารสอบราคา
(๓) พิจารณาคัดเลือกพัสดุหรืองานจ้างของผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตาม
(๒) ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อการท่าเรือเป็นหลักก่อน
แล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากรายที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่งเสนอราคาต่ำสุดและอยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการที่จะต่อรองราคาหรือไม่ก็ได้
โดยคำนึงถึงราคาที่เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอตามข้อ ๒๒ เป็นเครื่องประกอบการพิจารณา
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดดังกล่าว
ไม่ยอมเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงกับการท่าเรือในเวลาที่กำหนดตามเอกสารสอบราคา
ให้อยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการที่จะพิจารณาจากผู้เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคา
ถ้าปรากฏว่าราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาดำเนินการตามข้อ ๓๕
(๔) ในกรณีที่มีผู้เสนอราคาถูกต้อง
ตรงตามรายการละเอียด และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบประกาศสอบราคาเพียงรายเดียว
ให้คณะกรรมการดำเนินการตาม (๓) โดยอนุโลม
(๕) เมื่อได้ดำเนินการไปแล้วได้ผลประการใด
ให้รายงานผลการพิจารณาและความเห็น พร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสั่งการโดยเสนอผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ
ข้อ
๓๕
การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคาที่ปรากฏว่า
ราคาของผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างยังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการเปิดซองสอบราคาดำเนินการตามลำดับ ดังนี้
(๑) เรียกผู้เสนอราคารายนั้น
มาต่อรองราคาให้ต่ำสุดเท่าที่จะทำได้ หากผู้เสนอราคารายนั้นยอมลดราคาลงอยู่ภายในวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคารายนั้น
(๒) ถ้าผู้เสนอราคาตาม (๑)
ไม่ยอมลดราคา หรือลดราคาแล้วแต่ยังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้เรียกผู้เสนอราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างทุกรายมาต่อรองราคาใหม่พร้อมกัน
ด้วยวิธียื่นซองเสนอราคาภายในกำหนดระยะเวลาอันสมควร
หากรายใดไม่มายื่นซองให้ถือว่ารายนั้นยืนตามราคาที่เสนอไว้เดิม ทั้งนี้ ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้ที่ลดราคาลงต่ำสุดอยู่ภายในวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
(๓) ถ้าปรากฏว่า
ราคาต่ำสุดของรายที่ได้ต่อรองราคาใหม่ยังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างหรือไม่มีผู้ใดยินยอมลดราคาเลย
ให้เสนอความเห็นต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการว่าจะสมควรลดรายการหรือจำนวนหรือเนื้องานลง
หรือขอเงินงบประมาณเพิ่มเติม หรือยกเลิกการสอบราคา เพื่อดำเนินการสอบราคาใหม่
วิธีประกวดราคา
ข้อ ๓๖ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดทำเอกสารประกวดราคา
โดยให้มีรายการทำนองเดียวกับเอกสารสอบราคาตามข้อ ๓๒ และให้มีรายการดังต่อไปนี้ด้วย
(๑) กำหนดให้ผู้เสนอราคาวางหลักประกันซอง
และให้มีเงื่อนไขว่าถ้าผู้เข้าประกวดราคาถอนการเสนอราคา
หรือไม่ไปทำสัญญาหรือข้อตกลงกับการท่าเรือภายในกำหนด
การท่าเรือจะริบหลักประกันซองหรือเรียกร้องจากผู้ออกหนังสือค้ำประกัน
และอาจพิจารณาเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายอื่น (ถ้ามี)
(๒) คุณสมบัติของผู้เข้าประกวดราคา
สำหรับงานจ้างก่อสร้างให้จำกัดเฉพาะผู้มีกิจการรับเหมาก่อสร้างเป็นของตนเองและดำเนินงานส่วนใหญ่ด้วยตนเองเท่านั้น
(๓) การประกวดราคาจ้างก่อสร้างซึ่งมีวงเงินตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป
ในกรณีจำเป็นต้องให้ผู้เข้าประกวดราคามีผลงานก่อสร้างมาก่อน
ให้กำหนดได้ไม่เกินร้อยละห้าสิบของวงเงินที่จะจ้างครั้งนั้น
ข้อ
๓๗
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดทำใบประกาศประกวดราคา โดยให้มีสาระ ดังนี้
(๑) รายการพัสดุที่ต้องการซื้อหรืองานที่ต้องการจ้าง
(๒) คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าประกวดราคาอย่างชัดแจ้ง
(๓) วัน เวลา รับซอง ปิดรับซอง และเปิดซองประกวดราคา
(๔) สถานที่และระยะเวลาในการขอรับหรือขอซื้อเอกสารประกวดราคา
และราคาของเอกสาร
ก่อนวันเริ่มให้หรือขายเอกสารประกวดราคา
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเผยแพร่ข่าวการประกวดราคา โดยให้ดำเนินการ ดังนี้
(๑) ปิดใบประกาศประกวดราคาโดยเปิดเผย ณ
ที่ทำการของการท่าเรือ
(๒) ส่งไปประกาศทางวิทยุกระจายเสียง และ/หรือประกาศในหนังสือพิมพ์
(๓) ส่งไปเผยแพร่ทางกรมประชาสัมพันธ์
และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย
(๔) ส่งไปเผยแพร่ทางศูนย์รวมข่าวประกวดราคาของทางราชการ
(๕) ส่งให้สำนักตรวจสอบรัฐวิสาหกิจ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
พร้อมส่งเอกสารประกวดราคาไปด้วย
นอกจากการเผยแพร่ตามวิธีข้างต้น
หากเห็นสมควรจะส่งใบประกาศประกวดราคาไปยังผู้มีอาชีพขายพัสดุหรือรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง
หรือจะโฆษณาโดยวิธีอื่นอีกด้วยก็ได้
ในกรณีที่การซื้อหรือการจ้างใดมีรายละเอียดที่มีความซับซ้อน
หรือมีความจำเป็นโดยสภาพของการซื้อหรือการจ้างที่ต้องการชี้แจงรายละเอียดหรือชี้สถานที่
ให้กำหนดวัน เวลา และสถานที่ในการชี้แจงรายละเอียด
หรือชี้สถานที่ไว้ในประกาศประกวดราคาด้วย
ข้อ
๓๘ การให้หรือขายเอกสารประกวดราคา
รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวกับคุณลักษณะเฉพาะหรือรายละเอียด ให้กระทำ ณ
สถานที่ที่สามารถติดต่อได้โดยสะดวกและไม่เป็นเขตหวงห้าม
และจะต้องจัดเตรียมไว้ให้มากพอ
สำหรับความต้องการของผู้มาขอรับหรือขอซื้อที่มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานนั้นรายละ
๑ ชุด โดยไม่มีเงื่อนไขอื่นในการให้หรือขาย
การให้หรือขายเอกสารประกวดราคา
ต้องมีช่วงเวลาในการให้หรือขายไม่น้อยกว่า ๗ วันทำการ
และจะต้องมีช่วงเวลาสำหรับการคำนวณราคาของผู้ประสงค์จะเข้าเสนอราคาหลังวันปิดการให้หรือขาย
ก่อนถึงวันรับซองประกวดราคาไม่น้อยกว่า ๗ วันทำการ โดยคำนึงถึงขนาด ปริมาณ
และลักษณะของพัสดุที่จะซื้อหรืองานที่จะจ้าง
ในกรณีที่มีการขาย
ให้กำหนดราคาพอสมควรกับค่าใช้จ่ายที่เสียไปในการจัดทำเอกสารประกวดราคานั้น
ถ้ามีการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้นและมีการประกวดราคาใหม่
ให้ผู้รับหรือซื้อเอกสารประกวดราคาครั้งก่อนมีสิทธิ์ใช้เอกสารประกวดราคานั้น
หรือได้รับเอกสารประกวดราคาใหม่ โดยไม่ต้องเสียค่าซื้อเอกสารประกอบราคาอีก
ข้อ
๓๙ ก่อนวันเปิดซองประกวดราคา
หากมีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงหรือให้รายละเอียดเพิ่มเติม
เพื่อประโยชน์ของการท่าเรือ หรือมีความจำเป็นต้องแก้ไขคุณลักษณะเฉพาะ
หรือรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญ ซึ่งมิได้กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคาตั้งแต่ต้น
ให้จัดทำเป็นเอกสารประกวดราคาเพิ่มเติม
แล้วแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ที่ขอรับหรือขอซื้อเอกสารประกวดราคาไปแล้วทุกราย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
หากจะเป็นเหตุให้เสนอราคาไม่สามารถยื่นซองประกวดราคาได้ทันตามกำหนดเดิม
ให้เลื่อนวัน เวลารับซอง ปิดการรับซอง และเปิดซองประกวดราคา ตามความจำเป็นด้วย
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
โดยมีการเลื่อนวัน เวลารับซอง ปิดการรับซอง และเปิดซองประกวดราคาดังกล่าว
หากเป็นการดำเนินการก่อนวันปิดการให้ หรือขายเอกสารประกวดราคา
ก็ให้มีการเผยแพร่ข่าว โดยดำเนินการตามข้อ ๓๗ วรรคสอง โดยอนุโลม
ข้อ
๔๐ นอกจากกรณีที่กำหนดไว้ตามข้อ ๓๙
เมื่อถึงกำหนดวันรับซองประกวดราคาห้ามมิให้ร่นหรือเลื่อน
หรือเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลารับซองและเปิดซองประกวดราคา
ข้อ
๔๑
คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา มีหน้าที่ ดังนี้
(๑) รับซองประกวดราคา ลงทะเบียนรับซองไว้เป็นหลักฐาน
ลงชื่อกำกับซองกับบันทึกไว้ที่หน้าซองว่าเป็นของผู้ใด
(๒) ตรวจสอบหลักประกันซองร่วมกับเจ้าหน้าที่การเงิน
และให้เจ้าหน้าที่การเงินออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นซองไว้เป็นหลักฐาน
หากไม่ถูกต้องให้หมายเหตุในใบรับและบันทึกในรายงานด้วย กรณีหลักประกันซองเป็นหนังสือค้ำประกัน
ให้ส่งสำเนาหนังสือค้ำประกันให้ธนาคารหรือบริษัทเงินทุนผู้ออกหนังสือค้ำประกันทราบ
โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับด้วย
(๓) รับเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
ตามบัญชีรายการเอกสารของผู้เสนอราคาพร้อมทั้งพัสดุตัวอย่าง
แคตตาล็อก หรือแบบรูปและรายการละเอียด (ถ้ามี) หากไม่ถูกต้องให้บันทึกในรายงานด้วย
(๔) เมื่อพ้นกำหนดเวลารับซองแล้ว
ห้ามรับซองประกวดราคาหรือเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
ตามเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาอีก
การรับซองประกวดราคาทางไปรษณีย์จะกระทำมิได้
(๕) เปิดซองใบเสนอราคา และอ่านแจ้งราคา
พร้อมบัญชีรายการเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของผู้เสนอราคาทุกราย
โดยเปิดเผยตามเวลาและสถานที่ที่กำหนดและให้คณะกรรมการทุกคนลงลายมือชื่อกำกับไว้ในใบเสนอราคาทุกแผ่น
ส่วนเอกสารประกอบใบเสนอราคาทุกแผ่น ให้คณะกรรมการจำนวนไม่น้อยกว่า ๒ คน
ลงลายมือชื่อกำกับไว้
ในกรณีที่มีการยื่นซองข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนออื่น
ๆ แยกจากซองข้อเสนอด้านราคาซึ่งต้องพิจารณาทางเทคนิคและอื่น ๆ ก่อน
ตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ตามข้อ ๔๖ และข้อ ๔๘
คณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคาไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
โดยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาที่จะต้องดำเนินการต่อไป
(๖) ส่งมอบใบเสนอราคาทั้งหมด และเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
พร้อมบันทึกรายงานการดำเนินการต่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทันทีในวันเดียวกัน
ข้อ
๔๒ คณะกรรมการพิจารณาผลประกวดราคา
มีหน้าที่ ดังนี้
(๑) ตรวจคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ใบเสนอราคา เอกสาร
หลักฐานต่าง ๆ พัสดุตัวอย่าง แคตตาล็อก หรือแบบรูปและรายการละเอียด
แล้วคัดเลือกผู้เสนอราคาที่ถูกต้องตามเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคา
ในกรณีที่ผู้เสนอราคารายใด
เสนอรายละเอียดแตกต่างไปจากเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ
และความแตกต่างนั้นไม่มีผลทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบต่อผู้เสนอราคารายอื่น
หรือเป็นการผิดพลาดเล็กน้อยให้พิจารณาผ่อนปรน
โดยไม่ตัดผู้เข้าประกวดราคารายนั้นออก
ในการพิจารณาคณะกรรมการอาจสอบถามข้อเท็จจริงจากผู้เสนอราคารายใดก็ได้แต่จะให้ผู้เสนอราคารายใดเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญที่เสนอไว้แล้วมิได้
(๒) พิจารณาคัดเลือกสิ่งของหรืองานจ้าง
หรือคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่ตรวจสอบแล้วตาม (๑) ซึ่งมีคุณภาพและคุณสมบัติเป็นประโยชน์ต่อการท่าเรือแล้วเสนอให้ซื้อหรือจ้างจากผู้เสนอราคารายที่คัดเลือกไว้แล้ว
ซึ่งเสนอราคาต่ำสุด
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาต่ำสุดดังกล่าวไม่ยอมเข้าทำสัญญา
หรือข้อตกลงกับการท่าเรือในเวลาที่กำหนดตามเอกสารประกวดราคา
ให้คณะกรมการพิจารณาผู้เสนอราคาต่ำรายถัดไปตามลำดับ
ถ้ามีผู้เสนอราคาเท่ากันหลายราย
ให้เรียกผู้เสนอราคาดังกล่าวมาขอให้เสนอราคาใหม่พร้อมกันด้วยวิธียื่นซองเสนอราคา
ถ้าปรากฏว่า
ราคาของผู้เสนอราคา รายที่คณะกรรมการเห็นสมควรซื้อหรือจ้างสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง
ให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาดำเนินการตามข้อ ๓๕ โดยอนุโลม
(๓) ให้คณะกรรมการ รายงานผลการพิจารณา
และความเห็นพร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสั่งการหรือดำเนินการต่อไปโดยเสนอผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ
ข้อ
๔๓
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาได้พิจารณาตามข้อ ๔๒ (๑) แล้วปรากฏว่า
มีผู้เสนอราคารายเดียวหรือมีผู้เสนอราคาหลายรายแต่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาเพียงรายเดียว
โดยปกติให้เสนอผู้แต่งตั้งคณะกรรมการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
แต่ถ้าคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่จะดำเนินการต่อไป
โดยไม่ต้องยกเลิกประกวดราคา ก็ให้ดำเนินการตามข้อ ๔๒ (๒) โดยอนุโลม
ข้อ
๔๔ ในกรณีไม่มีผู้เสนอราคา หรือมีแต่ไม่ถูกต้องตรงตามรายการละเอียดและเงื่อนไขกำหนด
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุหรือคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา แล้วแต่กรณี
เสนอผู้แต่งตั้งคณะกรรมการยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
หากการประกวดราคาใหม่จะไม่ได้ผลดีจะดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ
๑๖ (๗) หรือข้อ ๑๗ (๕) แล้วแต่กรณี ก็ได้
ข้อ
๔๕
หลังจากการประกวดราคาแล้วแต่ยังไม่ได้ทำสัญญาหรือตกลงซื้อหรือจ้างกับผู้เสนอราคารายใด
ถ้ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของการท่าเรือ
เป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในรายการละเอียด หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคา
ซึ่งทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้เข้าเสนอราคาด้วยกันให้เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอผู้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณายกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น
ข้อ
๔๖
การซื้อหรือการจ้างที่มีลักษณะจำเป็นจะต้องคำนึงถึงเทคโนโลยีของพัสดุและหรือข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าเสนอราคา
ซึ่งอาจจะมีข้อเสนอที่ไม่อยู่ในฐานะเดียวกัน เป็นเหตุให้มีปัญหาในการพิจารณาตัดสิน
และเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องให้มีการปรับปรุงข้อเสนอให้ครบถ้วนและเป็นไปตามความต้องการก่อนพิจารณาด้านราคา
ให้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับการประกวดราคาทั่วไป เว้นแต่กำหนดให้ผู้เข้าเสนอราคายื่นซองประกวดราคาโดยแยกเป็น
(๑) ซองข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนออื่น ๆ
(๒) ซองข้อเสนอด้านราคา
ทั้งนี้ ให้กำหนดวิธีการ ขั้นตอน
และหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารประกอบราคาด้วย
ข้อ
๔๗ เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๔๖
ให้คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาทำหน้าที่เปิดซองประกวดราคาของผู้เสนอราคาแทนคณะกรรมการรับและเปิดซองตามข้อ
๔๑ (๕) และพิจารณาผลการประกวดราคาตามข้อ ๔๖
โดยถือปฏิบัติตามข้อ ๔๒ ในส่วนที่ไม่ขัดกับการดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนออื่นของผู้เข้าเสนอราคาทุกรายและคัดเลือกเฉพาะรายที่เสนอได้ตรง
หรือใกล้เคียง ตามมาตรฐานความต้องการของการท่าเรือมากที่สุด
ในกรณีจำเป็นสามารถเรียกผู้เสนอราคามาชี้แจงในรายละเอียด
ข้อเสนอเป็นการเพิ่มเติมข้อหนึ่งข้อใดก็ได้
(๒) เปิดซองราคาเฉพาะรายที่ได้ผ่านการพิจารณาคัดเลือกตาม
(๑) แล้ว
สำหรับรายที่ไม่ผ่านการพิจารณา ให้ส่งคืนซองข้อเสนอด้านราคาโดยไม่เปิดซอง
ข้อ
๔๘
การซื้อหรือการจ้างที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าเสนอราคา
ยื่นข้อเสนอทางการเงินมาด้วย
ให้กำหนดให้ผู้เสนอราคายื่นซองข้อเสนอทางการเงินแยกมาต่างหากและให้เปิดซองข้อเสนอทางการเงิน
พร้อมกับการเปิดซองราคาตามข้อ ๔๗ (๒) เพื่อทำการประเมินเปรียบเทียบต่อไป ทั้งนี้ ให้กำหนดวิธีการ ขั้นตอน
และหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารการประกวดราคาด้วย
วิธีพิเศษ
ข้อ
๔๙ การซื้อโดยวิธีพิเศษ
ให้คณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษดำเนินการ ดังนี้
(๑) ในกรณีเป็นพัสดุจะขายทอดตลาด
ให้เจรจาตกลงราคากับหน่วยงานที่จะขายโดยตรง
(๒) ในกรณีเป็นพัสดุเพื่อใช้งานลับ
ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ (๓)
(๓) ในกรณีเป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วนหากล่าช้าอาจเสียหายแก่การท่าเรือให้เชิญผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาด
หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๔) ในกรณีเป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ
ให้เสนอผู้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อติดต่อสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ
หรือสืบราคาจากต่างประเทศโดยขอความร่วมมือให้สถานเอกอัครราชทูตหรือส่วนราชการอื่นในต่างประเทศช่วยสืบราคา
คุณภาพ ตลอดจนรายละเอียด
ส่วนการซื้อโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศให้ติดต่อกับสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศที่มีอยู่ในประเทศโดยตรง
เว้นแต่กรณีที่ไม่มีสำนักงานในประเทศ ให้ติดต่อกับสำนักงานในต่างประเทศได้
(๕) ในกรณีเป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ
ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ (๓)
(๖) ในกรณีพัสดุที่เป็นที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่งให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
สำหรับการจัดซื้อที่ดิน
และหรือสิ่งก่อสร้างในต่างประเทศ ในกรณีจำเป็นจะติดต่อกับนายหน้า
หรือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามกฎหมาย หรือประเพณีนิยมท้องถิ่น แทนเจ้าของที่ดินก็ได้
(๗) ในกรณีเป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพขายพัสดุนั้นโดยตรง และผู้เสนอราคาในการสอบราคา
หรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป (ถ้ามี) หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรซื้อ เสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาด
หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณา
และความเห็น พร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ
เพื่อสั่งการหรือดำเนินการต่อไป โดยเสนอผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ
ข้อ
๕๐ การจ้างโดยวิธีพิเศษ
ให้คณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษดำเนินการ ดังนี้
(๑) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๑) (๒) (๓) และ (๔) ให้เชิญผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรงมาเสนอราคา
หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องถิ่นหรือราคาที่ประมาณได้หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
(๒) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ ๑๗ (๕) กรณีเป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการจ้างโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี
ให้สืบราคาจากผู้มีอาชีพรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง และผู้เสนอราคาในการสอบราคา
หรือประกวดราคาซึ่งถูกยกเลิกไป (ถ้ามี)
หากเห็นว่าผู้เสนอราคารายที่เห็นสมควรจ้างเสนอราคาสูงกว่าราคาในท้องถิ่นหรือราคาที่ประมาณได้หรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้
ให้คณะกรรมการรายงานผลการพิจารณา
และความเห็น
พร้อมด้วยเอกสารที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสั่งการหรือดำเนินการต่อไป
โดยเสนอผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ
วิธีกรณีพิเศษ
ข้อ ๕๑
การดำเนินการซื้อหรือจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ ให้ผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจตามข้อ ๕๙
สั่งซื้อหรือสั่งจ้างจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามข้อ ๑๘ ได้โดยตรง
การตรวจรับพัสดุ
ข้อ
๕๒ คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ มีหน้าที่
ดังนี้
(๑) ตรวจรับพัสดุ ณ ที่ทำการของผู้ใช้พัสดุนั้น
หรือสถานที่ซึ่งกำหนดไว้ในสัญญาหรือข้อตกลง
การตรวจรับพัสดุ
ณ สถานที่อื่น
ในกรณีที่ไม่มีสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้แต่งตั้งคณะกรรมการก่อน
(๒) ตรวจรับพัสดุให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักฐานที่ตกลงกันไว้
ในกรณีที่มีการทดลองหรือตรวจสอบในทางเทคนิคหรือทางวิทยาศาสตร์
จะเชิญผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับพัสดุนั้นมาให้คำปรึกษา
หรือส่งพัสดุนั้นไปทดลองหรือตรวจสอบ ณ สถานที่ของผู้ชำนาญการหรือผู้ทรงคุณวุฒินั้น
ๆ ก็ได้
ในกรณีจำเป็นที่ไม่สามารถตรวจนับเป็นจำนวนหน่วยทั้งหมดได้
ให้ตรวจรับตามหลักวิชาการสถิติ
(๓) โดยปกติให้ตรวจรับพัสดุในวันที่ผู้ขายนำพัสดุมาส่ง
และให้ทำการตรวจรับให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๔) เมื่อตรวจถูกต้องครบถ้วนแล้ว ให้รับพัสดุไว้
และถือว่าผู้ขายได้ส่งมอบพัสดุถูกต้องครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้ขายนำพัสดุนั้นมาส่ง
แล้วมอบแก่เจ้าหน้าที่พัสดุพร้อมกับทำใบตรวจรับ โดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อยสองฉบับ
มอบแก่ผู้ขาย ๑ ฉบับ และเจ้าหน้าที่พัสดุ ๑ ฉบับ เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินและรายงานให้ผู้แต่งตั้งคณะกรรมการทราบ
ในกรณีที่เห็นว่าพัสดุที่ส่งมอบมีรายละเอียดไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาหรือข้อตกลง
ให้รายงานผู้แต่งตั้งคณะกรรมการผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุเพื่อทราบหรือสั่งการ
แล้วแต่กรณี
(๕) ในกรณีที่ผู้ขายส่งมอบพัสดุถูกต้อง
แต่ไม่ครบจำนวน หรือส่งมอบครบจำนวน แต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด
ถ้าสัญญาหรือข้อตกลงมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นให้ตรวจรับไว้เฉพาะจำนวนที่ถูกต้องโดยถือปฏิบัติตาม
(๔) และให้รีบรายงานผู้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อแจ้งให้ผู้ขายทราบภายใน
๓ วันทำการ นับแต่วันตรวจพบ แต่ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิของการท่าเรือที่จะปรับผู้ขาย
ในจำนวนที่ส่งมอบไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องนั้น
(๖) การตรวจรับพัสดุที่ประกอบกันเป็นชุดหรือเป็นหน่วย
ถ้าขาดส่วนประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว จะไม่สามารถใช้การได้โดยสมบูรณ์
ให้ถือว่าผู้ขายยังไม่ได้ส่งมอบพัสดุนั้น
และให้รีบรายงานผู้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อแจ้งให้ผู้ขายทราบภายใน ๓ วันทำการ
นับแต่วันที่ตรวจพบ
(๗) ถ้ากรรมการตรวจรับพัสดุบางคนไม่ยอมรับพัสดุ
โดยทำความเห็นแย้งไว้ให้เสนอผู้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาสั่งการ
ถ้าผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสั่งการให้รับพัสดุนั้นได้ จึงดำเนินการตาม (๔) หรือ (๕) แล้วแต่กรณี
ข้อ
๕๓
การตรวจรับพัสดุที่ผลิตและนำเข้ามาจากต่างประเทศ
ให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่าพัสดุที่ซื้อเป็นของใหม่และเป็นของจากต่างประเทศ
ในกรณีที่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ มีปัญหาสงสัยว่าพัสดุที่ผู้ขายนำมาส่งมอบจะเป็นของใหม่
และหรือเป็นของที่ผลิตจากประเทศที่ระบุไว้ในสัญญาหรือไม่ ให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุขอให้ผู้ขายนำบัญชีราคาสินค้า
(INVOICE) และใบขนสินค้าของกรมศุลกากรที่มีรายการสิ่งของที่จะส่งมอบมาแสดงประกอบการพิจารณาตรวจรับด้วย
การตรวจการจ้าง
ข้อ
๕๔ คณะกรรมการตรวจการจ้าง มีหน้าที่
ดังนี้
(๑) ตรวจและควบคุมงานให้เป็นไปตามแบบรูป
รายการละเอียด และข้อกำหนดในสัญญาหรือข้อตกลง โดยจะสั่งเปลี่ยนแปลง แก้ไขเพิ่มเติม
หรือตัดทอนงานจ้างได้ตามที่เห็นสมควร
เพื่อให้เป็นตามแบบรูปรายการละเอียดหรือข้อกำหนดในสัญญาหรือข้อตกลง
ถ้าผู้รับจ้างขัดขืนไม่ปฏิบัติตาม
ก็สั่งให้หยุดงานนั้นเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมด แล้วแต่กรณี ไว้ก่อน
จนกว่าผู้รับจ้างจะยอมปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสั่ง
ในกรณีที่แบบรูปรายการละเอียดหรือข้อกำหนดในสัญญาหรือข้อตกลงมีความขัดแย้งกัน
ให้พิจารณาวินิจฉัย แล้วสั่งให้ทำไปตามแบบรูปรายการละเอียด
หรือข้อกำหนดที่เห็นว่าเหมาะสม
ในกรณีที่เห็นว่า
แม้งานนั้นจะได้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาหรือข้อตกลง
แต่เมื่อสำเร็จลงแล้วจะไม่เหมาะสมต่อการใช้งาน ให้สั่งพักงานนั้นไว้ก่อน แล้วปรึกษาส่วนงานเจ้าของงาน
และจัดทำรายละเอียดในการปรับปรุงแบบรูปรายการละเอียดหรือข้อกำหนด
พร้อมราคาและระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเนื่องจากการปรับปรุง
เสนอต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อสั่งการหรือดำเนินการต่อไป
ในการดำเนินการ
ให้มีการจดบันทึกการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง และเหตุการณ์แวดล้อมเป็นรายวัน
บันทึกดังกล่าวต้องเก็บรักษาไว้โดยถือว่าเป็นเอกสารสำคัญเพื่อประกอบการตรวจสอบของผู้มีหน้าที่
(๒) ควบคุม
ดูแลการปฏิบัติงานของผู้ควบคุมงาน ในกรณีที่มีการแต่งตั้งผู้ควบคุมงาน
(๓) ให้ตรวจผลงานที่ผู้รับจ้างส่งมอบภายใน ๓ วันทำการ
นับแต่วันที่ประธานกรรมการตรวจการจ้างได้รับทราบการส่งมอบงาน
และให้ทำการตรวจรับให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
(๔) เมื่อตรวจเห็นเป็นการถูกต้อง
ครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาหรือข้อตกลงแล้ว
ให้ถือว่าผู้รับจ้างได้ส่งมอบงานครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้รับจ้างส่งงานจ้างนั้น
และให้ทำใบรับรองผลการปฏิบัติงานทั้งหมดหรือเฉพาะงวด แล้วแต่กรณี
โดยลงชื่อไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย ๒ ฉบับ มอบให้แก่ผู้รับจ้าง ๑ ฉบับ
และเจ้าหน้าที่พัสดุ ๑ ฉบับ
เพื่อทำการเบิกจ่ายเงินและรายงานให้ผู้แต่งตั้งคณะกรรมการทราบ
ในกรณีที่เห็นว่าผลงานที่ส่งมอบทั้งหมด
หรืองวดใดก็ตาม ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาหรือข้อตกลง
ให้รายงานผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อทราบหรือสั่งการ แล้วแต่กรณี
(๕) ในกรณีที่กรรมการตรวจการจ้างบางคนไม่ยอมรับงานโดยทำความเห็นแย้งไว้
ให้เสนอผู้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาสั่งการ
ถ้าผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสั่งการให้รับงานนั้นได้ จึงดำเนินการตาม (๔)
ข้อ
๕๕ ในกรณีที่คณะกรรมการตรวจการจ้าง
เห็นความจำเป็นต้องมีผู้ควบคุมงานโดยเฉพาะ
ให้ขออนุมัติแต่งตั้งผู้ควบคุมงานขึ้นจากพนักงานที่มีความรู้
ความชำนาญเกี่ยวกับงานนั้น ๆ
ให้ผู้ควบคุมงาน
รับหน้าที่แทนคณะกรรมการตรวจการจ้างตามข้อ ๕๔ (๑) เฉพาะวรรคหนึ่งและวรรคสี่
และให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการตรวจการจ้างทุกสัปดาห์
หรือตามระยะเวลาที่คณะกรรมการตรวจการจ้างกำหนด
อำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง
ข้อ ๕๖ การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างครั้งหนึ่ง
นอกจากวิธีพิเศษและวิธีกรณีพิเศษให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่ง และภายในวงเงิน
ดังต่อไปนี้
(๑) ผู้อำนวยการ ไม่เกิน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการการท่าเรือ
เกิน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการการท่าเรือ เกิน ๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ
๕๗ การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีพิเศษครั้งหนึ่ง
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงิน ดังต่อไปนี้
(๑) ผู้อำนวยการ ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการการท่าเรือ
เกิน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) คณะกรรมการการท่าเรือ เกิน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ
๕๘
การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ
ให้ผู้อำนวยการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างโดยไม่จำกัดวงเงิน
ข้อ
๕๙ ผู้อำนวยการจะมอบอำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างภายในวงเงินที่มีอำนาจสั่งการตามข้อ ๕๖ (๑) หรือ ๕๗ (๑) หรือ ๕๘
ให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งใดเป็นจำนวนเท่าใดก็ได้ โดยคำนึงถึงระดับ ตำแหน่ง หน้าที่
และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบอำนาจเป็นสำคัญ
หลักประกัน
ข้อ ๖๐ หลักประกันซองหรือหลักประกันสัญญา
ให้ใช้หลักประกันอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
(๑) เงินสด
(๒) เช็คที่ธนาคารเซ็นสั่งจ่าย ซึ่งเป็นเช็คลงวันที่ที่ใช้เช็คนั้นชำระต่อเจ้าหน้าที่หรือก่อนวันนั้นไม่เกิน
๓ วันทำการ
(๓) หนังสือค้ำประกันของธนาคารภายในประเทศ
ตามแบบที่การท่าเรือกำหนด
(๔) หนังสือค้ำประกันของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือบริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์
และประกอบธุรกิจค้ำประกัน
ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยตามรายชื่อบริษัทเงินทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งเวียนให้ส่วนราชการต่าง
ๆ ทราบแล้ว โดยอนุโลมให้ใช้ ตามตัวอย่างหนังสือค้ำประกันของธนาคาร
ตามแบบที่การท่าเรือกำหนด
(๕) พันธบัตรรัฐบาลไทย
สำหรับการประกวดราคานานาชาติ
ให้ใช้หนังสือค้ำประกันของธนาคารในต่างประเทศที่มีหลักฐานดี
เป็นหลักประกันซองได้อีกประการหนึ่ง
ข้อ
๖๑
หลักประกันซองและหลักประกันสัญญาในข้อ ๖๐
ให้กำหนดมูลค่าเป็นจำนวนเต็มในอัตราร้อยละห้าของวงเงินหรือราคาพัสดุที่จัดหาครั้งนั้น
แล้วแต่กรณี เว้นแต่การจัดหาพัสดุที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ
จะกำหนดอัตราสูงกว่าร้อยละห้าแต่ไม่เกินร้อยละสิบก็ได้
ในการทำสัญญาจัดหาพัสดุที่มีระยะเวลาผูกพันตามสัญญาเกิน
๑ ปี และพัสดุนั้นไม่ต้องมีการประกันเพื่อความชำรุดบกพร่อง เช่น พัสดุใช้สิ้นเปลืองให้กำหนดหลักประกันในอัตราร้อยละห้าของราคาพัสดุที่ส่งมอบในแต่ละปีของสัญญาโดยให้ถือว่าหลักประกันนี้เป็นการค้ำประกันตลอดอายุสัญญา
และหากในปีต่อไปราคาพัสดุที่ส่งมอบแตกต่างไปจากราคาในรอบปีก่อน
ให้ปรับปรุงหลักประกันตามอัตราส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก่อนครบรอบปีในกรณีที่หลักประกันต้องปรับปรุงในทางที่เพิ่มขึ้นและคู่สัญญาไม่นำหลักประกันมาเพิ่มให้ครบจำนวนภายใน
๑๕ วันก่อนการส่งมอบพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้น
ให้การท่าเรือหักจากเงินค่าพัสดุงวดสุดท้ายของปีนั้นที่การท่าเรือจะต้องจ่ายให้เป็นหลักประกันในส่วนที่เพิ่มขึ้น
การกำหนดหลักประกันตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคา หรือเอกสารประกวดราคา
และหรือในสัญญาด้วย
ในกรณีที่ผู้เสนอราคาหรือคู่สัญญาวางหลักประกันที่มีมูลค่าสูงกว่าที่กำหนดไว้ในระเบียบหรือเอกสารสอบราคาหรือเอกสารประกวดราคาหรือสัญญา
ให้อนุโลมรับได้
ข้อ ๖๒ ให้คืนหลักประกันให้แก่ผู้เสนอราคา
หรือผู้ขาย หรือผู้รับจ้าง ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
(๑) หลักประกันซองให้คืนแก่ผู้เสนอราคาภายใน ๑๕ วัน
นับแต่วันที่ได้พิจารณาคัดเลือกตามข้อ ๔๒ (๒) เรียบร้อยแล้ว เว้นแต่ผู้เสนอราคารายที่คัดเลือกไว้ซึ่งเสนอราคาต่ำสุด ๓
ราย ให้คืนได้ต่อเมื่อได้ทำสัญญาหรือข้อตกลงกับผู้เสนอราคารายหนึ่งรายใดแล้ว
(๒) หลักประกันสัญญาให้คืนให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างโดยเร็ว
และอย่างช้าต้องไม่เกิน ๑๕ วัน
นับแต่วันที่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญาแล้ว
การซื้อหรือการจ้างที่ไม่ต้องมีการประกันเพื่อความชำรุดบกพร่อง
ให้คืนหลักประกันให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างตามอัตราส่วนของพัสดุ
ซึ่งทางการท่าเรือได้รับมอบไว้แล้ว แต่ทั้งนี้
จะต้องระบุไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือเอกสารประกวดราคาและในสัญญาด้วย
การคืนหลักประกันที่เป็นหนังสือค้ำประกัน ในกรณีที่ผู้เสนอราคาหรือผู้ขายหรือผู้รับจ้างไม่มารับภายในกำหนดเวลาข้างต้น
ให้รีบส่งต้นฉบับหนังสือค้ำประกันคืนให้แก่ผู้เสนอราคา หรือผู้ขายหรือผู้รับจ้าง
โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนโดยเร็วพร้อมกับแจ้งให้ผู้ออกหนังสือค้ำประกันทราบด้วย
ข้อ
๖๓ ในกรณีที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้เสนอราคาหรือเป็นผู้ขายหรือเป็นผู้รับจ้าง
ไม่ต้องวางหลักประกัน
การจ่ายเงินล่วงหน้า
ข้อ ๖๔ การจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะกระทำมิได้
เว้นแต่การท่าเรือมีความจำเป็นจะต้องจ่าย ให้กระทำได้เฉพาะกรณีและตามหลักเกณฑ์
ดังต่อไปนี้
(๑) การซื้อหรือการจ้างจากหน่วยราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจ
จ่ายได้ไม่เกินร้อยละห้าสิบของราคาซื้อหรือค่าจ้าง
(๒) การซื้อพัสดุจากต่างประเทศ
โดยดำเนินการผ่านองค์การระหว่างประเทศให้จ่ายได้ตามที่ตกลงกับองค์การนั้น
(๓) การบอกรับวารสาร หรือการสั่งจองหนังสือ
หรือการจัดซื้อฐานข้อมูลสำเร็จรูป (CD-ROM) ที่มีลักษณะจะต้องบอกรับเป็นสมาชิกก่อนและมีกำหนดการออกเป็นวาระดังเช่นวารสารหรือการบอกรับเป็นสมาชิก
INTERNET เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์เรียกค้นหาข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข้อมูลต่าง
ๆ โดยอาศัยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ให้จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง
(๔) การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคาหรือประกวดราคา
จ่ายได้ไม่เกินร้อยละยี่สิบห้าของราคาซื้อหรือค่าจ้าง แต่ทั้งนี้ จะต้องกำหนดอัตราการจ่ายเงินล่วงหน้าไว้เป็นเงื่อนไขในเอกสารสอบราคาหรือประกวดราคาด้วย
(๕) การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษ
ให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละยี่สิบห้าของราคาซื้อหรือราคาจ้าง
การจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตาม
(๑) (๒) และ
(๓) ไม่ต้องเรียกหลักประกัน ส่วนการจ่ายเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้างล่วงหน้าตาม
(๔) และ (๕) ผู้ขายหรือผู้รับจ้างจะต้องนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารในประเทศมาค้ำประกันเงินที่รับล่วงหน้าไปนั้น
ข้อ
๖๕
การจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้าง ตามแบบธรรมเนียมการค้าระหว่างประเทศ
โดยเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตตามราคาสินค้า หรือโดยวิธีใช้ดร๊าฟ กรณีที่วงเงินไม่เกิน
๕๐,๐๐๐ บาท
หรือการจ่ายเงินตามความก้าวหน้าของการจัดหาให้กระทำได้โดยไม่ถือเป็นการจ่ายเงินล่วงหน้า
การจ้างต่อเนื่องจากสัญญาเดิม
ข้อ ๖๖ ในกรณีที่เห็นเป็นการสมควรที่จะจ้างงานซึ่งมีสัญญาตกลงจ้างกันเป็นระยะเวลาต่อเนื่องไปอีก
โดยไม่ต้องมีการดำเนินการจัดจ้าง
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้อำนวยการที่จะพิจารณาอนุมัติให้จ้างงานตามสัญญานั้น ๆ
ต่อเนื่องไปอีกได้ โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) การจ้างต่อเนื่องจากสัญญาเดิม
ให้กระทำได้กับงานจ้างทำของ งานจ้างซ่อมแซมบำรุง รักษา หรืองานจ้างบริการ
ไม่ว่างานนั้น ๆ จะมีการจัดหาพัสดุให้ด้วยหรือไม่
(๒) การจ้างต่อเนื่องจากสัญญาเดิม ให้กระทำได้ครั้งละไม่เกิน ๑ ปี แต่ไม่เกิน
๒ ครั้ง
(๓) รายละเอียดของงาน
ค่าจ้าง ตลอดจนเงื่อนไขต่าง ๆ ในการจ้างต่อเนื่องจะต้องเป็นไปตามสัญญาเดิมทุกประการ
เว้นแต่จะเปลี่ยนแปลงในทางเป็นประโยชน์แก่การท่าเรือ
(๔) ก่อนการจ้างตามสัญญาเดิมจะสิ้นสุดลง
ให้ส่วนงานที่มีความประสงค์จะขอให้มีการจ้างต่อเนื่องจัดทำคำขอตามข้อ ๒๐
ส่งให้เจ้าหน้าที่พัสดุ
(๕) ให้เจ้าหน้าที่พัสดุประสานงานกับคณะกรรมการตรวจการจ้าง
และเจรจากับคู่สัญญา แล้วรายงานขออนุมัติต่อผู้อำนวยการ
โดยเสนอผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ
(๖) เมื่อผู้อำนวยการอนุมัติแล้ว
ให้ส่งกองกฎหมายดำเนินการต่อไป
ส่วนที่ ๒ : การจ้างที่ปรึกษา
วิธีจ้าง
ข้อ ๖๗ การจ้างที่ปรึกษา กระทำได้ ๒ วิธี คือ
(๑) วิธีตกลง
(๒) วิธีคัดเลือก
รายงานขอจ้าง
ข้อ ๖๘ ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานขอจ้างที่ปรึกษาเสนอผู้อำนวยการ
ตามรายการ ดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษา
(๒) ขอบเขตโดยละเอียดของงานที่จะจ้างที่ปรึกษา
(Terms Of Reference)
(๓) คุณสมบัติของที่ปรึกษาที่จะจ้าง
(๔) วงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาโดยประมาณ
(๕) กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงาน
(๖) วิธีจ้างที่ปรึกษาและเหตุผลที่ต้องจ้างโดยวิธีนั้น
(๗) รายนามคณะกรรมการที่เสนอ
ตลอดจนข้อเสนออื่น ๆ (ถ้ามี)
กรรมการ
ข้อ ๖๙ ในการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาแต่ละครั้ง
ให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น เพื่อปฏิบัติการตามระเบียบนี้ แล้วแต่กรณี คือ
(๑) คณะกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
(๒) คณะกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
(๓) คณะกรรมการตรวจการจ้างที่ปรึกษา
ข้อ ๗๐ คณะกรรมการตามข้อ ๖๙ ให้ประกอบด้วย
ประธานกรรมการ ๑ คน และกรรมการอย่างน้อย ๔ คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากพนักงานระดับ ๖
ขึ้นไป ในกรณีจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์ของการท่าเรือ
จะแต่งตั้งบุคคลอื่นที่มิใช่พนักงานร่วมเป็นกรรมการด้วยก็ได้
ข้อ ๗๑ ในการประชุมพิจารณาและรายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการแต่ละคณะ ต้องมีประธานกรรมการและกรรมการอีกไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเป็นองค์ประชุมและลงนามในรายงานนั้น
การประชุมตามวรรคหนึ่ง
ให้ประธานกรรมการและกรรมการแต่ละคนมีเสียงหนึ่งในการลงมติ
มติของที่ประชุมถือเป็นมติของคณะกรรมการ
โดยให้ถือเสียงข้างมากถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานกรรมการออกเสียเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
วิธีตกลง
ข้อ ๗๒ การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง ได้แก่
การจ้างที่ปรึกษาโดยการเชิญที่ปรึกษารายใดรายหนึ่งซึ่งได้ทราบความสามารถและผลงานแล้วว่า
เป็นผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้ ให้ยื่นข้อเสนอเข้ารับงาน
ข้อ ๗๓ การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงให้กระทำได้เฉพาะกรณีใดกรณีหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นการจ้างที่มีค่างานจ้างไม่เกิน
๑๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) เป็นการจ้างเพื่อทำงานต่อเนื่อง
หรือเกี่ยวเนื่องอย่างใกล้ชิดกับงานที่ได้ทำไว้แล้ว
(๓) เป็นการจ้างเพื่อทำงานที่ทราบแน่ชัดว่ามีผู้เชี่ยวชาญจำนวนจำกัด
ไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการโดยวิธีคัดเลือก
(๔) เป็นการจ้างที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน
หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่การท่าเรือ
(๕) เป็นการจ้างส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
หรือหน่วยงานอื่นใดที่มีกฎหมาย หรือมติคณะรัฐมนตรีสนับสนุนให้จ้าง
(๖) เป็นการจ้างองค์การในประเทศ
หรือองค์การระหว่างประเทศ
ข้อ ๗๔
ให้คณะกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงออกหนังสือเชิญที่ปรึกษารายที่พิจารณาไว้ ให้ยื่นข้อเสนอเข้ารับงาน ประกอบด้วย
ข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านราคา โดยจะแยกเป็น ๒ ซอง
หรือเสนอมาในซองเดียวกันก็ได้
ข้อ ๗๕ คณะกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง
มีหน้าที่ ดังนี้
(๑) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษา
(๒) พิจารณาอัตราค่าจ้างและค่าใช้จ่ายอื่น
ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับบริการที่จะจ้างและเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
(๓) พิจารณารายละเอียดที่จะกำหนดในสัญญา
(๔) รายงานผลการพิจารณาและความเห็น พร้อมด้วยเอกสารทั้งหมดต่อผู้อำนวยการ เพื่อสั่งการหรือดำเนินการต่อไป
โดยเสนอผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ
วิธีคัดเลือก
ข้อ ๗๖ การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก ได้แก่
การจ้างที่ปรึกษาโดยการคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานนั้นให้เหลือน้อยราย
และเชิญชวนที่ปรึกษาที่ได้รับการคัดเลือกไว้ดังกล่าว ให้ยื่นข้อเสนอเข้ารับงานนั้น
ๆ เพื่อพิจารณาคัดเลือกรายที่ดีที่สุด
ในกรณีที่มีเหตุผลอันสมควร
หรือในกรณีที่มีรายชื่อที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานนั้นไม่เกิน ๖ ราย
จะเชิญชวนที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้ยื่นข้อเสนอเข้ารับงาน
โดยไม่ต้องทำการคัดเลือกให้เหลือน้อยรายก่อนก็ได้
ข้อ ๗๗
เพื่อให้ได้รายชื่อของที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากรายที่สุดให้คณะกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือกดำเนินการขอรายชื่อที่ปรึกษา
โดย
(๑) ที่ปรึกษาต่างประเทศ
ให้ขอจากสถาบันการเงิน หรือองค์การระหว่างประเทศ หรือลงประกาศในหนังสือพิมพ์
หรือแจ้งไปยังสมาคม หรือสถาบันอาชีพ หรือสถานทูตที่เกี่ยวข้อง หรือขอความร่วมมือจากส่วนราชการ
หรือรัฐวิสาหกิจซึ่งเคยดำเนินการจ้างที่ปรึกษาในงานประเภทเดียวกัน
(๒) ที่ปรึกษาไทย
ให้ขอจากศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษา กระทรวงการคลัง
ในกรณีที่มีรายชื่อที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพียงพออยู่แล้ว
อาจจะทำการคัดเลือกให้เหลือน้อยราย โดยไม่ต้องดำเนินการขอรายชื่อตาม (๑) หรือ
(๒) ก็ได้
การคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้เหลือน้อยราย
ให้คณะกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือกพิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาให้เหลืออย่างมากไม่เกิน
๖ ราย
ข้อ ๗๘
ให้คณะกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือกออกหนังสือเชิญที่ปรึกษาตามรายชื่อที่ได้พิจารณาไว้
ให้ยื่นเอกสารตามข้อ ๙ วรรคสอง และยื่นซองข้อเสนอเข้ารับงานตามวิธีใดวิธีหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
(๑) ยื่นข้อเสนอด้านเทคนิค
และข้อเสนอด้านราคาพร้อมกัน โดยแยกเป็น ๒ ซอง
(๒) ยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคเพียงซองเดียว
ข้อ ๗๙ คณะกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือก
มีหน้าที่ ดังนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก
(๒) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาทุกราย
และจัดอันดับ
(๓) ในกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ
๗๘ (๑) ให้เปิดซองข้อเสนอด้านราคาของรายที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคดีที่สุด
และเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
ในกรณีที่ใช้วิธีตามข้อ
๗๘ (๒) ให้เชิญรายที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคดีที่สุดมายื่นข้อเสนอด้านราคา
และเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
หากเจรจาไม่ได้ผล
ให้ยกเลิกการเจรจากับที่ปรึกษารายนั้น
แล้วเปิดซองข้อเสนอด้านราคาของรายที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคดีรายถัดไป
หรือเชิญที่ปรึกษาที่มีข้อเสนอด้านเทคนิคดีรายถัดไป ให้ยื่นข้อเสนอด้านราคา
แล้วแต่กรณี และเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
(๔) เมื่อเจรจาได้ราคาที่เหมาะสมแล้ว ให้พิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ
ที่จะกำหนดในสัญญา
(๕) รายงานผลการพิจารณาและความเห็นพร้อมเอกสารทั้งหมดต่อผู้อำนวยการเพื่อสั่งการหรือดำเนินการต่อไป
โดยเสนอผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ
ในกรณีที่ใช้วิธีการยื่นข้อเสนอตามข้อ
๗๘ (๑) หลังจากตัดสินให้ทำสัญญากับรายใดแล้ว
ให้ส่งคืนซองข้อเสนอด้านราคาของรายอื่น ๆ โดยไม่เปิดซอง
ข้อ ๘๐ การจ้างที่ปรึกษาที่เป็นงานไม่ยุ่งยากซับซ้อน
และมีที่ปรึกษาซึ่งสามารถทำงานนั้นได้เป็นการทั่วไป
ให้คณะกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีคัดเลือกออกหนังสือเชิญชวนที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามรายชื่อที่ได้พิจารณาไว้
ให้ยื่นเอกสารตามข้อ ๙ วรรคสอง และยื่นข้อเสนอเข้ารับงานโดยยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านราคาพร้อมกัน
แยกเป็น ๒ ซอง แล้วดำเนินการ ดังนี้
(๑) กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก
(๒) พิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาทุกราย
และจัดอันดับ
(๓) เปิดซองราคาของรายที่ได้รับการจัดอันดับไว้อันดับหนึ่งถึงอันดับสามพร้อมกัน
แล้วเชิญรายที่เสนอราคาต่ำสุดมาเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม
(๔) หากเจรจาตาม
(๓) แล้วไม่ได้ผล
ให้ยกเลิกแล้วเจรจากับรายที่เสนอราคาต่ำถัดไปตามลำดับ
(๕) ดำเนินการตามข้อ
๗๙ (๔) และ (๕)
การตรวจการจ้าง
ข้อ ๘๑ คณะกรรมการตรวจการจ้างที่ปรึกษา มีหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(๑) ประสานงานกับที่ปรึกษา
และติดตาม ดูแลการทำงานของที่ปรึกษาให้เป็นไปตามขอบเขตโดยละเอียดของงาน
ตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนด
(๒) ตรวจ
พิจารณาเอกสารการรายงานของที่ปรึกษาร่วมกับส่วนงานเจ้าของงานท้วงติงหรือเสนอแนะให้มีการปรับปรุงเพิ่มเติมรายละเอียดเพื่อให้รายงานนั้น
ๆ เป็นไปอย่างสมบูรณ์
(๓) ปฏิบัติหน้าที่อื่น
ๆ โดยนำข้อกำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจการจ้างตามข้อ ๕๔ มาใช้บังคับ โดยอนุโลม
อำนาจสั่งจ้าง
ข้อ ๘๒ การสั่งจ้างที่ปรึกษาครั้งหนึ่ง
ให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงิน ดังต่อไปนี้
(๑) ผู้อำนวยการ
ไม่เกิน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) ประธานกรรมการการท่าเรือ เกิน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๘๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท
(๓) คณะกรรมการการท่าเรือ
เกิน ๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ค่าจ้างที่ปรึกษา
ข้อ ๘๓ อัตราค่าจ้างที่ปรึกษา
ให้เป็นไปตามความเหมาะสมและประหยัดโดยคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ลักษณะของงาน
อัตราค่าจ้างในงานลักษณะเดียวกันที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเคยจ้าง จำนวนคน-เดือน (man-months) เท่าที่จำเป็น ดัชนีค่าครองชีพ เป็นต้น
ข้อ ๘๔
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้า
ให้จ่ายได้ไม่เกินร้อยละสิบห้าของค่าจ้างตามสัญญา
ที่ปรึกษาจะต้องจัดให้ธนาคารในประเทศเป็นผู้ค้ำประกันเงินค่าจ้างที่ได้รับไปนั้นหนังสือค้ำประกันดังกล่าวจะคืนให้แก่ที่ปรึกษาเมื่อได้หักเงินที่ได้จ่ายล่วงหน้าจากเงินค่าจ้างที่จ่ายตามผลงานแต่ละงวดครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ ให้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วย
การจ้างส่วนราชการ
ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐให้จ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้าได้ตามวรรคหนึ่ง
โดยไม่ต้องมีหลักประกันตามวรรคสอง
หลักประกันผลงาน
ข้อ ๘๕ การจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ที่ปรึกษาที่แบ่งการชำระเงินออกเป็นงวดให้หักเงินที่จะจ่ายแต่ละครั้งในอัตราร้อยละห้าถึงร้อยละสิบของเงินค่าจ้างไว้เพื่อเป็นการประกันผลงาน
หรือจะให้ปรึกษาใช้หนังสือค้ำประกันของธนาคารในประเทศวางค้ำประกันแทนเงินที่หักไว้ก็ได้ ทั้งนี้ ให้กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาด้วย
ส่วนที่ ๓ : การจัดทำเอง
ข้อ ๘๖ ในการจัดทำเอง ให้หัวหน้าส่วนงานแต่งตั้งผู้ควบคุมรับผิดชอบในการจัดทำเองนั้น
และแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจการปฏิบัติงานโดยมีคุณสมบัติและหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจการจ้าง
เว้นแต่ส่วนงานที่กำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยเฉพาะอยู่แล้ว
ส่วนที่ ๔ : การแลกเปลี่ยน
ข้อ ๘๗ การแลกเปลี่ยนพัสดุ
ให้กระทำได้เฉพาะกรณีจำเป็น และเป็นประโยชน์แก่การท่าเรือ
โดยให้นำวิธีการจัดซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่การแลกเปลี่ยนพัสดุที่จะนำไปแลกครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน
๓๐๐,๐๐๐ บาท
จะใช้วิธีตกลงราคาก็ได้
ข้อ ๘๘ ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอรายงานขอแลกเปลี่ยนพัสดุต่อผู้อำนวยการโดยมีรายละเอียด
ดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องแลกเปลี่ยน
(๒) รายละเอียดของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยน
(๓) ราคาซื้อหรือได้มาของพัสดุที่จะนำไปแลกเปลี่ยน
และราคาตามสภาพที่จะแลกเปลี่ยนได้โดยประมาณ
(๔) พัสดุที่จะรับแลกเปลี่ยน
และให้ระบุด้วยว่าจะแลกเปลี่ยนกับส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หรือหน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน
(๕) ข้อเสนออื่น
ๆ (ถ้ามี)
ข้อ ๘๙ ให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งคณะกรรมการแลกเปลี่ยนพัสดุ
โดยให้มีหน้าที่ ดังนี้
(๑) ตรวจสอบและประเมินราคาพัสดุที่ต้องการแลกเปลี่ยนตามสภาพปัจจุบันของพัสดุนั้น
(๒) ตรวจสอบรายละเอียดพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนว่าเป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยใช้งานมาก่อน
เว้นแต่พัสดุเก่าที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนนั้นจะเป็นความจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่การท่าเรือ
หรือไม่ทำให้การท่าเรือต้องเสียประโยชน์
(๓) เปรียบเทียบราคาพัสดุที่แลกเปลี่ยนกัน
โดยพิจารณาจากราคาที่ประเมินตาม (๑) และราคาพัสดุที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนซึ่งถือตามราคาในท้องตลาดโดยทั่วไป
(๔) ต่อรองกับผู้เสนอราคารายที่คณะกรรมการเห็นสมควรแลกเปลี่ยน
(๕) เสนอความเห็นต่อผู้อำนวยการ
เพื่อสั่งการหรือดำเนินการต่อไป
(๖) ตรวจรับพัสดุโดยปฏิบัติตามข้อ
๕๒ โดยอนุโลม
การปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งหรือหลายคณะตามความจำเป็น โดยถือปฏิบัติตามข้อ
๒๘ โดยอนุโลม
ข้อ ๙๐
การแลกเปลี่ยนพัสดุให้เป็นอำนาจอนุมัติของผู้อำนวยการ
แต่ถ้าราคาที่ซื้อหรือได้พัสดุนั้นมารวมกับวงเงินที่การท่าเรือต้องจ่ายเพิ่ม
หรือหักด้วยวงเงินที่การท่าเรือจะได้รับจากการแลกเปลี่ยนเกินกว่าอำนาจในการสั่งซื้อของผู้อำนวยการก็ให้ขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการท่าเรือก่อน
ข้อ ๙๑
การแลกเปลี่ยนพัสดุที่ทำให้การท่าเรือได้รับเงินจากการแลกเปลี่ยนให้ปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ถ้าพัสดุนั้นจัดหาโดยเงินงบประมาณของการท่าเรือทั้งหมดหรือบางส่วนให้นำส่งเข้าเป็นรายได้ของการท่าเรือ
(๒) ถ้าพัสดุนั้นได้มาโดยการรับบริจาคหรือได้รับตามความช่วยเหลือในลักษณะให้เปล่า โดยจะมีข้อผูกพันหรือไม่ก็ตาม
ให้นำส่งเข้าเป็นรายได้ของการท่าเรือ แต่ถ้าเป็นการบริจาคหรือให้เปล่า
เพื่อสวัสดิการของพนักงานหรือด้วยวัตถุประสงค์ใดให้นำส่งเป็นรายได้ตามวัตถุประสงค์นั้น
ข้อ ๙๒ การตรวจรับพัสดุ
ให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับพัสดุที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยน
โดยให้คณะกรรมการปฏิบัติตามข้อ ๕๒ โดยอนุโลม
ข้อ ๙๓
พัสดุที่ได้รับหรือจ่ายไปเนื่องจากการแลกเปลี่ยน
ให้นำลงรับเข้าหรือจ่ายออกจากบัญชี แล้วแต่กรณี
ส่วนที่ ๕ : การเช่า
การเช่าสังหาริมทรัพย์
ข้อ ๙๔ การดำเนินการสำหรับการเช่าสังหาริมทรัพย์
ให้นำข้อกำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
อำนาจสั่งการในการเช่าสังหาริมทรัพย์
ให้เป็นไปตามอำนาจในการสั่งซื้อหรืออำนาจที่ได้รับมอบในการสั่งซื้อ โดยอนุโลม
การเช่าอสังหาริมทรัพย์
ข้อ ๙๕ การเช่าอสังหาริมทรัพย์ ให้กระทำได้ในกรณี
ดังต่อไปนี้
(๑) เช่าที่ดิน
เพื่อใช้ประโยชน์ของการท่าเรือ
(๒) เช่าสถานที่
เพื่อใช้เป็นที่ทำการในกรณีที่ไม่มีสถานที่ของการท่าเรือหรือมีแต่ไม่เพียงพอ
และถ้าสถานที่ที่เช่านั้นกว้างขวางพอ จะใช้เป็นที่พักของผู้ซึ่งมีสิทธิ์เบิกค่าเช่าบ้านตามระเบียบของการท่าเรือด้วยก็ได้
(๓) เช่าสถานที่
เพื่อใช้เป็นที่พัก สำหรับผู้มีสิทธิ์เบิกค่าเช่าที่พักตามระเบียบของการท่าเรือ
ในกรณีที่ต้องการประหยัดเงินงบประมาณ
(๔) เช่าสถานที่
เพื่อใช้เป็นที่เก็บพัสดุของการท่าเรือ ในกรณีที่ไม่มีสถานที่เก็บเพียงพอ
การเช่าอสังหาริมทรัพย์
ให้ดำเนินการโดยวิธีตกลงราคา
ข้อ ๙๖
ส่วนงานที่มีความประสงค์จะขอเช่าอสังหาริมทรัพย์
จะต้องจัดทำคำขอแล้วส่งให้เจ้าหน้าที่พัสดุดำเนินการต่อไป
ข้อ ๙๗ การรายงานขอเช่าอสังหาริมทรัพย์
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุจัดทำรายงานเสนอต่อผู้อำนวยการ ตามรายการ ดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องเช่า
(๒) ราคาเช่าที่ผู้ให้เช่าเสนอ
(๓) รายละเอียดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะเช่า
เช่น สภาพของสถานที่ บริเวณที่ต้องการใช้ พร้อมทั้งภาพถ่าย (ถ้ามี)
และราคาค่าเช่าครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา ๒ ปี เป็นต้น
(๔) อัตราค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีขนาดและสภาพใกล้เคียงกับที่จะเช่า (ถ้ามี)
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ในส่วนภูมิภาค
ให้ขอความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของสถานที่และอัตราค่าเช่าจากอำเภอหรือจังหวัดนั้น
ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
ข้อ ๙๘ การเช่าอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นอำนาจอนุมัติของผู้อำนวยการ
แต่ถ้าการเช่านั้นมีอัตราค่าเช่า
รวมทั้งค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่าตามที่จะกำหนดไว้ในสัญญาเกินกว่าเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท
ก็ให้รายงานคณะกรรมการการท่าเรือทราบด้วย
การจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้า
ข้อ ๙๙ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้า
ในการเช่าสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์
ให้กระทำได้เฉพาะกรณีการเช่าซึ่งมีกำหนดระยะเวลาไม่เกิน ๓ ปี ตามหลักเกณฑ์
ดังต่อไปนี้
(๑) การเช่าจากหน่วยงานตามกฎหมาย
ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจ
จ่ายได้ไม่เกินร้อยละห้าสิบของค่าเช่าทั้งสัญญา
(๒) การเช่าจากเอกชน
จ่ายได้ไม่เกินร้อยละยี่สิบของค่าเช่าทั้งสัญญา
การจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้า
นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ข้างต้น ให้ขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการท่าเรือก่อน
ส่วนที่ ๖ : สัญญา
ข้อ ๑๐๐ การจัดหาในกรณี ดังต่อไปนี้
จะทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันโดยไม่ต้องทำเป็นสัญญาก็ได้
โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้อำนวยการ หรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจตามข้อ ๕๙
แล้วแต่กรณี
(๑) การซื้อ
การจ้าง หรือการแลกเปลี่ยนโดยวิธีตกลงราคา หรือการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงที่มีวงเงินไม่เกิน
๑๐๐,๐๐๐ บาท
(๒) การจัดหาที่คู่สัญญาสามารถส่งมอบพัสดุหรืองานจ้างได้ครบถ้วนภายใน
๗ วันทำการของการท่าเรือ นับตั้งแต่วันถัดจากวันทำข้อตกลงเป็นหนังสือ
(๓) การซื้อ
การจ้าง หรือการแลกเปลี่ยนที่มีวงเงินไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
แต่ให้เรียกหลักประกันตามที่กำหนดในข้อ ๖๑ โดยอนุโลม
และให้ส่งหรือเก็บหลักประกันนั้นไว้ที่หน่วยการเงิน
(๔) การซื้อ
หรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ และการจัดหาจากส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
(๕) การซื้อโดยวิธีพิเศษตามข้อ
๑๖ (๑) (๒) (๓)
และ (๔)
(๖) การจ้างโดยวิธีพิเศษตามข้อ
๑๗ (๑) (๒) (๓)
และ (๔)
ข้อตกลงเป็นหนังสือตามวรรคหนึ่ง
ได้แก่ ใบสั่งซื้อ หรือใบสั่งจ้างของการท่าเรือซึ่งลงนามโดยหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ
โดยมีการระบุรายการละเอียดของพัสดุที่จะซื้อหรืองานที่จะจ้าง ราคา
กำหนดและสถานที่ส่งมอบ ตลอดจนเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น การรับประกันค่าปรับอย่างครบถ้วน
และมีการลงนามรับข้อตกลงนั้น
โดยผู้มีอำนาจหรือผู้ได้รับมอบอำนาจผูกพันในนามผู้ขายหรือผู้รับจ้าง
ในกรณีการจัดหาซึ่งมีราคาไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท
หรือในกรณีการซื้อหรือการจ้างซึ่งใช้วิธีดำเนินการตามข้อ ๓๑ วรรคสอง
จะไม่ทำข้อตกลงเป็นหนังสือไว้ต่อกันก็ได้
ข้อ ๑๐๑ การทำสัญญารายใด
ถ้าจำเป็นต้องมีข้อความหรือรายการแตกต่างไปจากแบบที่กำหนดไว้
โดยมีสาระสำคัญตามกำหนดไว้ในตัวอย่างสัญญา
และไม่ทำให้ทางการท่าเรือเสียเปรียบก็ให้กระทำได้
เว้นแต่ผู้อำนวยการเห็นว่าจะมีปัญหาในทางเสียเปรียบหรือไม่รัดกุมพอ
ก็ให้ส่งร่างสัญญานั้นไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน
ในกรณีที่ไม่อาจทำสัญญาตามแบบที่กำหนด
และจำเป็นต้องร่างสัญญาขึ้นใหม่ต้องส่งร่างสัญญานั้นให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน
เว้นแต่การทำสัญญาตามแบบที่เคยผ่านการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดมาแล้ว
ในกรณีจำเป็นต้องทำสัญญาเป็นภาษาต่างประเทศ
ให้ทำเป็นภาษาอังกฤษแต่ต้องมีคำแปลตัวสัญญาและเอกสารแนบท้ายสัญญา
เฉพาะที่สำคัญเป็นภาษาไทยไว้ด้วย เว้นแต่เป็นการทำสัญญาตามแบบที่กำหนด
ไม่ต้องแปลเป็นภาษาไทย
ข้อ ๑๐๒
การทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือสำหรับการซื้อ ให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ
๐.๒๐
ของราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มของพัสดุที่ยังไม่ได้รับมอบ ส่วนการจ้างให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ ๐.๑๐
ของราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มของงานจ้างนั้น แต่ต้องไม่ต่ำกว่าวันละ
๑๐๐ บาท
ในกรณีการจัดหาพัสดุที่ประกอบเป็นชุด
ถ้าขาดส่วนประกอบส่วนหนึ่งส่วนใดไปแล้วจะไม่สามารถใช้ได้โดยสมบูรณ์
แม้คู่สัญญาของการท่าเรือจะส่งมอบสิ่งของภายในกำหนดตามสัญญา
แต่ยังขาดส่วนประกอบบางส่วน ต่อมาได้ส่งมอบส่วนประกอบที่ยังขาดนั้นเกินกำหนดสัญญา
ให้ถือว่าไม่ได้ส่งมอบพัสดุนั้นเลย ให้ปรับเต็มราคาของพัสดุทั้งชุด
ในกรณีที่ใช้การได้แต่ไม่สมบูรณ์
แต่การท่าเรือจำเป็นต้องใช้เฉพาะส่วนที่ส่งมอบเพื่อประโยชน์ของการท่าเรือ
และได้รับอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาแล้ว ให้ปรับเฉพาะส่วนของที่ยังขาดส่ง
ในกรณีพัสดุที่จัดหาคิดราคาค่าติดตั้งหรือทดลองด้วย
ถ้าติดตั้งหรือทดลองไม่แล้วเสร็จตามกำหนดในสัญญาเป็นจำนวนวันเท่าใด
ให้ปรับเป็นรายวันในอัตราที่กำหนดของราคาทั้งหมด
ในการทำสัญญาจ้างที่ปรึกษา
โดยปกติไม่ต้องมีการกำหนดค่าปรับ
เว้นแต่ในกรณีที่เห็นว่าถ้าไม่กำหนดค่าปรับไว้จะเกิดความเสียหายแก่การท่าเรือ
ให้กำหนดค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ ๐.๑๐ ของราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มของงานจ้างนั้น
เมื่อครบกำหนดส่งมอบพัสดุหรืองานจ้างตามสัญญา
หรือข้อตกลง ให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ หรือคณะกรรมการตรวจการจ้าง
หรือคณะกรรมการตรวจการจ้างที่ปรึกษา แล้วแต่กรณี
รีบแจ้งการเรียกค่าปรับตามสัญญาหรือข้อตกลงจากคู่สัญญา
และเมื่อคู่สัญญาได้ส่งมอบพัสดุหรืองานจ้าง
ก็ให้แจ้งสงวนสิทธิ์การเรียกค่าปรับในขณะที่รับมอบนั้นด้วย
ข้อ ๑๐๓
สัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือที่ได้ลงนามแล้ว จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้
เว้นแต่การแก้ไขนั้นจะเป็นความจำเป็น โดยไม่ทำให้การท่าเรือต้องเสียประโยชน์ หรือเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์แก่การท่าเรือ
ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้ามีการเพิ่มวงเงิน
จะต้องปฏิบัติตามระเบียบเกี่ยวกับการงบประมาณหรือขอทำความตกลงในส่วนที่ใช้เงินกู้หรือเงินช่วยเหลือ
แล้วแต่กรณี ด้วย
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญา
หรือข้อตกลง ตามวรรคหนึ่ง หากมีความจำเป็นต้องเพิ่มหรือลดวงเงิน และ/หรือเพิ่ม
หรือลดระยะเวลาส่งมอบ ก็ให้ตกลงพร้อมกันไป
สำหรับการจัดหาที่เกี่ยวกับความมั่นคง
แข็งแรงหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่างจะต้องได้รับการรับรองจากวิศวกร สถาปนิก
และวิศวกรผู้ชำนาญการ หรือผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรับผิดชอบหรือสามารถรับรองคุณลักษณะเฉพาะ
แบบและรายการของงานก่อสร้างหรืองานเทคนิคเฉพาะอย่างนั้น แล้วแต่กรณี ด้วย
ข้อ ๑๐๔ การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา
หรือการขยายระยะเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลง
ให้อยู่ในอำนาจของผู้อำนวยการที่จะพิจารณาได้
ตามจำนวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริงเฉพาะกรณี ดังต่อไปนี้
(๑) เหตุเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของการท่าเรือ
(๒) เหตุสุดวิสัย
(๓) เหตุเกิดจากพฤติการณ์อันหนึ่งอันใดที่คู่สัญญาไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย
ให้มีการระบุไว้ในสัญญา
กำหนดให้คู่สัญญาต้องแจ้งเหตุดังกล่าวให้การท่าเรือทราบภายใน ๑๕ วัน นับแต่เหตุนั้นได้สิ้นสุดลง
หากมิได้แจ้งภายในระยะเวลาที่กำหนด คู่สัญญาจะยกมากล่าวอ้างเพื่อของดหรือลดค่าปรับ
หรือขอขยายระยะเวลาในภายหลังมิได้ เว้นแต่กรณีตาม (๑) ซึ่งมีหลักฐานชัดแจ้ง
หรือการท่าเรือทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
ข้อ ๑๐๕
ในกรณีที่ไม่มีระเบียบกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ
และเป็นความจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่การท่าเรือที่จะใช้สิทธิตามเงื่อนไขของสัญญา
หรือข้อตกลง หรือข้อกฎหมาย
ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้อำนวยการที่จะใช้สิทธิดังกล่าวสั่งการได้ตามความจำเป็น
ส่วนที่ ๗ : การลงโทษผู้ทิ้งงาน
ข้อ ๑๐๖
ผู้ที่ได้รับการพิจารณาจากการท่าเรือให้เป็นผู้ขาย ผู้รับจ้าง
ผู้ให้เช่าหรือผู้ให้แลกเปลี่ยน
แล้วไม่ยอมทำสัญญาหรือข้อตกลงภายในเวลาที่การท่าเรือกำหนดหรือไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุรายงานผู้อำนวยการ หากผู้อำนวยการได้ชี้ขาดให้ผู้นั้นเป็นผู้ทิ้งงานแล้ว
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุแจ้งเวียนให้หน่วยงานในการท่าเรือทราบ
และรายงานให้คณะกรรมการการท่าเรือเพื่อทราบ
แล้วส่งชื่อไปให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการต่อไป
ห้ามติดต่อผู้ทิ้งงานที่การท่าเรือและทางราชการแจ้งเวียนให้ทราบ
เว้นแต่จะได้มีคำสั่งของผู้อำนวยการ
หรือประกาศของทางราชการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำโดยไม่สุจริต
หรือมีการสมยอมกันในการเข้าเสนอราคากับการท่าเรือ
ให้พิจารณาลงโทษผู้เสนอราคาที่มีการกระทำดังกล่าวเสมือนเป็นผู้ทิ้งงาน
และดำเนินการตามขั้นตอนในวรรคหนึ่งและวรรคสองโดยอนุโลม
หมวด ๓
การยืม การควบคุม
และการจำหน่ายพัสดุ
ส่วนที่ ๑ : การยืม
ข้อ ๑๐๗ การให้ยืมหรือนำพัสดุไปใช้ในกิจการ
ซึ่งมิใช่เพื่อประโยชน์ของทางราชการหรือรัฐวิสาหกิจจะกระทำมิได้
ข้อ ๑๐๘ การยืมหรือการให้ยืม จะต้องทำหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรแสดงเหตุผลและกำหนดวันส่งคืน
โดยมีหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑) การยืมหรือการให้ยืมระหว่างหน่วยราชการ
รัฐวิสาหกิจ จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบหมายก่อน
(๒) การยืมหรือการให้ยืมระหว่างหน่วยงานของการท่าเรือ
เพื่อใช้งานทั้งภายในและภายนอกสถานที่ทำการ จะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าส่วนงาน
ซึ่งรับผิดชอบพัสดุนั้น ๆ
ข้อ ๑๐๙ ผู้ยืมพัสดุประเภทใช้คงรูป
จะต้องนำพัสดุนั้นมาส่งคืนให้ในสภาพที่ใช้การได้เรียบร้อย
หากเกิดการชำรุดเสียหายหรือใช้การไม่ได้หรือสูญหายไป ให้ผู้ยืมจัดการแก้ไข
ซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม โดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง หรือชดใช้เป็นพัสดุประเภท ชนิด
ขนาด ลักษณะ และคุณภาพอย่างเดียวกัน หรือชดใช้เป็นเงินตามราคาที่เป็นอยู่ในขณะยืม
ข้อ ๑๑๐
การยืมพัสดุประเภทใช้สิ้นเปลืองระหว่างส่วนราชการ
หรือรัฐวิสาหกิจหรือระหว่างหน่วยงานของการท่าเรือ
ให้กระทำได้ในกรณีที่หน่วยงานผู้ยืมมีความจำเป็นต้องใช้พัสดุนั้นเป็นการรีบด่วน
จะดำเนินการจัดหาได้ไม่ทันการ และหน่วยงานผู้ให้ยืมมีพัสดุนั้น ๆ พอที่จะให้ยืมได้
โดยไม่เป็นการเสียหายแก่หน่วยงาน ทั้งนี้
โดยปกติผู้ยืมจะต้องจัดหาพัสดุเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกัน
ส่งคืนให้ผู้ให้ยืม
ข้อ ๑๑๑ เมื่อครบกำหนดยืม
ให้หัวหน้าส่วนงานผู้ให้ยืมมีหน้าที่ติดตามทวงพัสดุที่ให้ยืมไปคืนภายใน ๗ วัน นับแต่วันครบกำหนด
และให้ทำหลักฐานการส่งคืนด้วยทุกครั้ง
ส่วนที่ ๒ : การควบคุม
การเก็บรักษาพัสดุ
ข้อ ๑๑๒ พัสดุของการท่าเรือไม่ว่าจะได้มาด้วยประการใด
ให้อยู่ในความควบคุมตามระเบียบนี้ เว้นแต่จะมีระเบียบของการท่าเรือ
หรือกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ข้อ ๑๑๓ เมื่อเจ้าหน้าที่พัสดุได้รับมอบพัสดุแล้ว
ให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) ลงบัญชีหรือทะเบียนเพื่อควบคุมพัสดุ
แล้วแต่กรณี แยกเป็นชนิดและแสดงรายการตามแบบตัวอย่างท้ายระเบียบนี้
โดยให้มีหลักฐานการรับเข้าบัญชีหรือทะเบียนไว้ประกอบรายการด้วย
สำหรับพัสดุประเภทอาหารสด
จะลงรายการอาหารสดทุกชนิดในบัญชีเดียวกันก็ได้
(๒) เก็บรักษาพัสดุให้เป็นระเบียบ เรียบร้อย ปลอดภัย และให้ครบถ้วนถูกต้อง
ตรงตามบัญชีหรือทะเบียน
การเบิกจ่ายพัสดุ
ข้อ ๑๑๔
ส่วนงานที่ประสงค์จะเบิกพัสดุจากหน่วยงานคลังพัสดุ
ให้หัวหน้าส่วนงานเป็นผู้เบิก และให้หัวหน้าหน่วยพัสดุเป็นผู้สั่งจ่าย
ข้อ ๑๑๕
ผู้จ่ายพัสดุต้องตรวจสอบความถูกต้องของใบเบิก และเอกสารประกอบ (ถ้ามี) แล้วลงบัญชีหรือทะเบียนทุกครั้งที่มีการจ่าย
และเก็บใบเบิกจ่ายไว้เป็นหลักฐานด้วย
การตรวจสอบพัสดุประจำปี
ข้อ ๑๑๖ ก่อนสิ้นเดือนกันยายนทุกปี
ให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุงวดตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคมปีก่อน จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายนปีปัจจุบัน
และตรวจนับพัสดุประเภทที่คงเหลืออยู่เพียงวันสิ้นงวดนั้น
ในการตรวจสอบตามวรรคหนึ่ง
ให้เริ่มดำเนินการตรวจสอบพัสดุในวันเปิดทำการวันแรกของเดือนตุลาคมเป็นต้นไป
ว่าการรับจ่ายถูกต้องหรือไม่ พัสดุคงเหลือมีตัวอยู่ตรงตามบัญชีหรือทะเบียนหรือไม่
มีพัสดุใดชำรุด เสื่อมสภาพ
หรือสูญไปเพราะเหตุใดหรือพัสดุใดไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไปแล้ว
ให้เสนอรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวตามลำดับชั้นจนถึงผู้อำนวยการภายในเดือนพฤศจิกายน
ข้อ ๑๑๗
เมื่อผู้อำนวยการได้รับรายงานดังกล่าวตามข้อ ๑๑๖ และปรากฏว่ามีพัสดุชำรุด
เสื่อมสภาพ หรือสูญไป หรือไม่จำเป็นต้องใช้งานต่อไป
ก็ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง โดยให้นำความในข้อ ๒๙ และข้อ
๓๐ มาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่กรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
เป็นการเสื่อมสภาพเนื่องมาจากการใช้งานตามปกติหรือสูญไปตามธรรมชาติ ให้ผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจตามข้อ
๑๑๘ และ ๑๑๙ พิจารณาสั่งการให้ดำเนินการจำหน่ายต่อไปได้
ถ้าผลการพิจารณาปรากฏว่า
จะต้องหาตัวผู้รับผิดด้วย
ให้ผู้อำนวยการดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบของการท่าเรือที่เกี่ยวข้องต่อไป
ส่วนที่ ๓ : การจำหน่าย
ข้อ ๑๑๘ หลังจากการตรวจสอบแล้ว พัสดุใดหมดความจำเป็นหรือหากใช้งานต่อไปจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอรายงานต่อผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจตามวรรคสอง
เพื่อพิจารณาสั่งให้ดำเนินการตามวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(๑) ขาย
ให้ดำเนินการขายโดยวิธีทอดตลาดก่อน แต่ถ้าขายโดยวิธีทอดตลาดแล้วไม่ได้ผลดี
ให้นำวิธีที่กำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
เว้นแต่การขายพัสดุครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท จะขายโดยวิธีตกลงราคาโดยไม่ต้องทอดตลาดก่อนก็ได้
การขายให้แก่ส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การสถานสาธารณกุศล ตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร หรือพนักงาน ให้ขายโดยวิธีตกลงราคา
(๒) แลกเปลี่ยน
ให้ดำเนินการตามวิธีการแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้
(๓) โอน
ให้โอนแก่ส่วนราชการ หน่วยงานตามกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
หรือองค์การสถานสาธารณกุศล ตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร ที่แจ้งความประสงค์ขอมา ทั้งนี้ ให้มีหลักฐานการส่งมอบไว้ต่อกันด้วย
(๔) แปรสภาพหรือทำลาย
ผู้อำนวยการจะมอบอำนาจในการสั่งการตาม
(๑) และ (๔) ให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งใด
ในขอบเขตเท่าใดก็ได้ โดยคำนึงถึงระดับ ตำแหน่ง หน้าที่
และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบเป็นสำคัญ
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
โดยปกติให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน
นับแต่วันที่ผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจตามวรรคสอง สั่งการ
การจำหน่ายเป็นสูญ
ข้อ ๑๑๙ ในกรณีที่พัสดุสูญไป
โดยไม่ปรากฏตัวผู้รับผิด หรือมีตัวผู้รับผิดแต่ไม่สามารถชดใช้ได้
หรือมีตัวพัสดุอยู่แต่ไม่สมควรดำเนินการตามข้อ ๑๑๘ ให้จำหน่ายพัสดุนั้นเป็นสูญ
ตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑) ถ้าพัสดุนั้น
มีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ
(๒) ถ้าพัสดุนั้น
มีราคาซื้อหรือได้มารวมกันเกินกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ให้นำเรื่องเสนอคณะกรรมการการท่าเรือ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
ผู้อำนวยการ
จะมอบอำนาจในการสั่งการตาม (๑) ให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งใดในขอบเขตเท่าใดก็ได้
โดยคำนึงถึงระดับ ตำแหน่ง หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบเป็นสำคัญ
การลงจ่ายออกจากบัญชีหรือทะเบียน
ข้อ ๑๒๐ เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ ๑๑๘ หรือข้อ ๑๑๙
แล้ว ให้เจ้าหน้าที่พัสดุลงจ่ายพัสดุนั้นออกจากบัญชีหรือทะเบียนทันที
แล้วแจ้งให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้องทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันลงจ่ายพัสดุนั้น
สำหรับพัสดุซึ่งต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย
ให้แจ้งแก่นายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
ข้อ ๑๒๑ ในกรณีที่พัสดุของการท่าเรือเกิดการชำรุด
เสื่อมสภาพ สูญไปหรือหมดความจำเป็นต้องใช้งานต่อไป ก่อนมีการตรวจสอบตามข้อ ๑๑๖
และได้ดำเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบของการท่าเรือที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นแล้ว
ถ้าไม่มีระเบียบอื่นใดกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ ให้ดำเนินการตามข้อ ๑๑๘ ข้อ ๑๑๙
และข้อ ๑๒๐ โดยอนุโลม
หมวด ๔
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๑๒๒
การพัสดุใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จในวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการต่อไป ตามระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘
จนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ หรือจนกว่าจะสามารถดำเนินการตามระเบียบนี้ได้
ประกาศ ณ วันที่ ๓๐
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๓
พลเอก วิโรจน์ แสงสนิท
ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. ตัวอย่างบัญชีวัสดุ
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
นุสรา/ปรับปรุง
๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๐/ตอนที่ ๔๓ ง/หน้า ๙๖/๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๖ |
412946 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2546
| ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ.
๒๕๔๖
เพื่อให้การนำทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยไปจัดหาประโยชน์และเพิ่มพูนรายได้
มีความเหมาะสมและสะดวกในทางปฏิบัติ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ (๒) และมาตรา ๒๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔
โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยจึงให้วางระเบียบไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๖
ข้อ
๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ
๓ บรรดาระเบียบ มติ คำสั่ง
หรือประกาศอื่นใดที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
การจัดหาประโยชน์จากทรัพย์สินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่ได้ดำเนินการก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ
ให้ดำเนินการต่อไปจนสัญญาสิ้นสุด
ในกรณีที่มีปัญหาในทางปฏิบัติเกี่ยวกับระเบียบนี้หรือที่ระเบียบนี้มิได้กำหนดไว้โดยแจ้งชัด
ให้คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้วินิจฉัยหรือพิจารณาสั่งการ
ข้อ
๔ ในระเบียบนี้
การท่าเรือ หมายความว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการ หมายความว่า
คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ผู้อำนวยการ หมายความว่า
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ทรัพย์สิน หมายความว่า ที่ดิน อาคาร
สิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่น ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย รวมถึงสิทธิต่าง ๆ
ในทรัพย์สินนั้น
หน่วยงานของรัฐ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม
หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค
ราชการส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา
ค่าเช่า หมายความว่า เงินที่การท่าเรือเรียกเก็บจากผู้เช่าเพื่อเป็นการตอบแทนที่การท่าเรือจัดให้เช่าทรัพย์สิน
ผลประโยชน์ตอบแทน หมายความว่า ค่าเช่า
ค่าธรรมเนียมและผลประโยชน์ตอบแทนอื่น ๆ
ข้อ
๕ การจัดให้เช่าทรัพย์สินให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังนี้
(๑) ระยะเวลาการเช่าหรือการต่อสัญญาเช่าแต่ละครั้งไม่เกิน
๓ ปี ให้เป็นอำนาจของผู้อำนวยการ หรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบอำนาจ
โดยในการต่อสัญญาเช่าแต่ละครั้ง ให้เสนอคณะกรรมการเพื่อทราบก่อน
(๒) ระยะเวลาการเช่าหรือการต่อสัญญาเช่าเกิน ๓
ปีขึ้นไป ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการ
ข้อ
๖ การจัดให้เช่าให้กระทำโดยวิธีประมูล
เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้จะจัดให้เช่าโดยไม่ต้องใช้วิธีประมูลก็ได้ คือ
(๑) การให้เช่าเพื่อกิจการท่าเรือ
และหรือกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการท่าเรือตามที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทการใช้ทรัพย์สิน
(Master Plan) ของแต่ละท่าเรือ
(๒) การให้เช่าเพื่อกิจการสาธารณูปโภค
หรือระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ถนน ทางเดิน ทางภารจำยอม
ฯลฯ
(๓) การให้เช่าเพื่อประโยชน์ของหน่วยราชการ
รัฐวิสาหกิจ โรงเรียน วัด องค์การสาธารณกุศลที่มิได้มุ่งแสวงหากำไร
(๔) การให้เช่าเพื่อปลูกสร้างบ้านพักอาศัยในพื้นที่ไม่เกิน
๕๐ ตารางวา การให้เช่าอาคารพาณิชย์ ตลาด
อาคารสิ่งปลูกสร้างและหรือการให้เช่าพื้นที่ต่อเนื่องจากสัญญาเช่าเดิม
เพื่อประกอบกิจการค้าและหรือพักอาศัย ระยะเวลาการให้เช่าไม่เกินคราวละ ๓ ปี
(๕) การให้เช่าเพื่อปลูกบ้านพักคนงานชั่วคราว
เพื่อใช้ประโยชน์ในลักษณะเป็นการต่อเนื่องกับกิจการก่อสร้างในที่ดินของการท่าเรือ
(๖) การให้สิทธิการเช่าแก่ทายาทโดยธรรมของผู้เช่าเดิมที่ถึงแก่กรรม
(๗) การให้เช่าที่ดินที่มีพื้นที่เล็กน้อยที่ไม่สามารถนำไปหาประโยชน์โดยการปลูกสร้างอาคารขนาดมาตรฐานตามเทศบัญญัติได้
(๘) การให้เช่าอย่างอื่นที่การท่าเรือเห็นว่า
โดยสภาพไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการประมูล แต่ทั้งนี้
ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเสียก่อน
ข้อ
๗ การให้เช่าโดยวิธีประมูลให้กำหนดเงื่อนไขดังนี้
(๑) อัตราค่าเช่าต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่การท่าเรือกำหนด
(๒) ผลประโยชน์ตอบแทนจะต้องไม่ต่ำกว่าที่การท่าเรือกำหนด
(ถ้ามี)
(๓) หลักประกันซองต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าตลอดอายุของค่าเช่า
ตามข้อ ๗ (๑) และหรือผลประโยชน์ตอบแทน (ถ้ามี) ตามที่การท่าเรือกำหนดตลอดอายุสัญญาเช่า
ตามข้อ ๗ (๒)
(๔) ข้อสงวนสิทธิที่การท่าเรือทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะเลือกผู้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนรายหนึ่งรายใดให้เป็นผู้ชนะการประมูล
โดยไม่จำเป็นต้องเลือกผู้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด
รวมทั้งจะพิจารณายกเลิกการประมูลก็ได้
หากมีเหตุเชื่อได้ว่าการดำเนินการกระทำไปโดยไม่สุจริต
หรือมีการสมยอมกันในการเสนอราคาหรือมีผลประโยชน์ร่วมกันกับผู้เสนอราคารายอื่น
หรือมีผู้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนมาเพียงรายเดียว
หรือผลประโยชน์ตอบแทนที่ผู้เสนอมานั้นยังไม่เหมาะสมกับมูลค่าของทรัพย์สินที่จะให้เช่า
(๕) เงื่อนไขอื่น ๆ
ตามที่การท่าเรือเห็นสมควรเป็นกรณีไป ทั้งนี้
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับการท่าเรือ
ข้อ
๘ อัตราค่าเช่าและผลประโยชน์ตอบแทนการเช่าทรัพย์สิน
กรณีให้เช่าโดยมิได้ประมูล ให้เรียกเก็บตามประกาศของการท่าเรือ
การปรับเพิ่มหรือลดอัตราค่าเช่าและผลประโยชน์ตอบแทน
ให้กองจัดการทรัพย์สิน ฝ่ายการพัสดุและกองนิติการและจัดการทรัพย์สิน
ท่าเรือแหลมฉบังพิจารณาและให้เสนอคณะกรรมการทุก ๆ ๓ ปี หากอัตราที่เรียกเก็บอยู่เหมาะสมแล้วจะไม่ปรับปรุงก็ได้
ข้อ
๙
สำหรับผู้เช่าที่มิใช่หน่วยงานของรัฐต้องมีหลักประกันเพื่อให้ปฏิบัติตามสัญญาได้
ตามที่การท่าเรือกำหนด
ข้อ
๑๐
การโอนสิทธิการเช่าและการเช่าช่วงจะกระทำได้ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจตามข้อ
๕ ก่อน
ข้อ
๑๑
ให้การท่าเรือกำหนดแผนแม่บทการใช้ทรัพย์สิน (Master Plan) ของท่าเรือกรุงเทพ
และท่าเรือแหลมฉบังเสนอคณะกรรมการให้ความเห็นชอบเพื่อใช้เป็นกรอบในการให้เช่าหรือใช้ทรัพย์สิน
และต้องควบคุมให้เป็นไปตามแผนแม่บทการใช้ทรัพย์สิน (Master Plan) ที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว
ข้อ
๑๒
ให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยรักษาการตามระเบียบนี้และให้มีอำนาจออกคำสั่งเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามระเบียบนี้
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖
วันชัย ศารทูลทัต
ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สุภาพร/พิมพ์
๑๐ ตุลาคม
๒๕๔๖
สุภาพร/แก้ไข
๒๙
ตุลาคม ๒๕๔๖
สราวุฒิ/พัชรินทร์/ตรวจ
๓๑ ตุลาคม ๒๕๔๖
A+B
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๐/ตอนที่ ๔๓ ง/หน้า ๑๖๒/๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๖ |
412940 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2546
| ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๖[๑]
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๓
ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและเหมาะสมกับปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ (๑) และมาตรา ๒๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยจึงวางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๖
ข้อ
๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๖) ในข้อ ๑๑ แห่งระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๓
(๖) วิธีประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ตามหลักเกณฑ์ที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖
วันชัย ศารทูลทัต
ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
วริญา/ปรับปรุง
๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙
นุสรา/ตรวจ
๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๐/ตอนที่ ๔๓ ง/หน้า ๑๖๑/๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๖ |
339676 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการรับฝากและส่งมอบสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการรับฝากและส่งมอบสินค้า
ในคลังสินค้าทัณฑ์บน
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๕
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงวิธีปฏิบัติในการรับฝากและส่งมอบสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บนให้เหมาะสมกับปัจจุบัน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๔๙๔ จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ดังนี้
ข้อ ๑
ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการรับฝากและส่งมอบสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บน (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๕"
ข้อ ๒[๑]
ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกความในข้อ ๔ แห่งระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการรับฝากและส่งมอบสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บน
พ.ศ. ๒๕๔๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
"ข้อ ๔ การนำสินค้าเข้าฝากในคลังสินค้าทัณฑ์บนของการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้ปฏิบัติ
ดังนี้
๔.๑ ให้ผู้นำของเข้ายื่นคำร้องขอนำสินค้าเข้าฝากในคลังสินค้าทัณฑ์บนต่อผู้อำนวยการกองคลังสินค้า
ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ โดยยื่นผ่านหัวหน้าแผนกคลังสินค้าทัณฑ์บน กองคลังสินค้า
ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ ตามแบบคำร้องขอแนบท้ายระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการรับฝากและส่งมอบสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บน พ.ศ. ๒๕๔๔ พร้อมเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้
๔.๑.๑ สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทพร้อมวัตถุประสงค์
ซึ่งทางราชการออกให้ไม่เกิน ๖ เดือน และสำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภพ. ๒๐ หรือ
ภพ. ๐๑) พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง
๔.๑.๒ หนังสือมอบอำนาจซึ่งปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมายในกรณีที่ผู้นำของเข้ามอบอำนาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทน
พร้อมรับรองสำเนาถูกต้องบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ
โดยหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมีอายุสิ้นสุด ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคมของทุกปี
๔.๒ ให้ผู้อำนวยการกองคลังสินค้า ฝ่ายสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพเป็นผู้พิจารณาอนุญาตในการนำสินค้าเข้าฝากเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บน
๔.๓ เมื่อผู้อำนวยการกองคลังสินค้า ฝ่ายสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพ อนุญาตให้นำสินค้าเข้าฝากเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนและแจ้งการอนุญาตดังกล่าวแล้วก่อนนำสินค้าเข้าฝาก
ผู้นำของเข้าจะต้องแจ้งให้หัวหน้าแผนกคลังสินค้าทัณฑ์บนกองคลังสินค้า ฝ่ายสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพ ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย ๓ วัน
เพื่อเตรียมสถานที่ในการรับฝากสินค้านั้น พร้อมทั้งต้องนำใบขนสินค้าทัณฑ์บนจากกรมศุลกากรมาแสดงเป็นหลักฐาน
๔.๔ ในวันนำสินค้าเข้าฝาก
ผู้นำของเข้าต้องนำคำร้องขอนำสินค้าเข้าฝากในคลังสินค้าทัณฑ์บน
สำเนาใบรับของจากเรือ (WHARF RECEIPT) ใบอนุญาตนำของเข้าคลังสินค้าทัณฑ์บนจากกรมศุลกากร
(PERMIT FOR ENTRY IN BOND) สำเนาใบกำกับสินค้า และรายการสำรวจสินค้า (SURVEY NOTE)
ในกรณีมีสินค้าเสียหายเพื่อให้แผนกคลังสินค้าทัณฑ์บนเก็บไว้เป็นหลักฐาน"
ข้อ ๔
ให้ผู้อำนวยการกองคลังสินค้า ฝายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕
พยุงกิจ
จิวะมิตร
รองผู้อำนวยการการท่าเรือฯ ฝ่ายปฏิบัติการ
รักษาการแทน
ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พุทธชาด / แก้ไข
๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๕
A+B (C)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๘๔ ง/หน้า ๑๐๘/๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๕ |
339792 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. 2544 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๔
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงระเบียบเกี่ยวกับวิธีการชำระเงิน
หรือขอคืนเงินค่าภาระการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมอาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๙ (๓) และมาตรา ๒๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
คณะกรรมการ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔"
ข้อ ๒[๑]
ให้ใช้ระเบียบนี้ เมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิก ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีการชำระเงินหรือขอคืนเงินค่าภาระการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๓๙
ระเบียบ หรือคำสั่ง หรือประกาศอื่นใดที่เหมือน หรือขัด หรือแย้งกับระเบียบนี้ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
ข้อ ๔
การปรับปรุงค่าเช่าเครื่องมือ อุปกรณ์ และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่มิได้อยู่ในโครงสร้างอัตราค่าภาระซึ่งมีอัตราขั้นสูงและขั้นต่ำที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นไปตามอัตราที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
การส่งข้อมูลหรือเอกสารการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่าง ๆ
ข้อ ๕
เรือขาเข้า เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ หรือเจ้าของตู้สินค้าหรือตัวแทนเจ้าของตู้สินค้า
ต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้า (Inward Container List) และข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือ
(Inward Cargo manifest) เป็นเอกสารหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic)
ตามรูปแบบ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๖
เรือขาออก เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ ต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ
(Container Loading List) และบัญชีตู้สินค้าขาออก (Outward Container List) ตามรูปแบบ
หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
การชำระเงินค่าภาระการใช้ท่าเรือ หรือค่าบริการ
ข้อ ๗
ส่วนราชการที่ใช้บริการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย หากมีความประสงค์ขอใช้บริการก่อนแล้วชำระเงินภายหลัง
ให้ยื่นหนังสือขออนุมัติผ่อนผันการขอใช้บริการดังกล่าวจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นคราว
ๆ ไป ตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๘
รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ หรือผู้ใช้บริการทั่วไป ที่ใช้ท่าเรือบริการ
และความสะดวกต่าง ๆ ต้องชำระค่าภาระหรือค่าบริการด้วยประเภทเงินสด หากไม่ประสงค์จะชำระค่าภาระหรือค่าบริการด้วยประเภทเงินสด
ให้ยื่นหนังสือขออนุมัติใช้บริการประเภทบัญชีเงินเชื่อ ตามหลักเกณฑ์
และเงื่อนไขที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๙
รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ หรือผู้ใช้บริการทั่วไป ที่มิได้เปิดบริการประเภทบัญชีเงินเชื่อกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หากประสงค์จะขอใช้บริการแต่ไม่สามารถชำระเงินหรือคิดคำนวณค่าภาระ หรือค่าบริการ ที่ถูกต้องได้ทันให้วางหลักประกันประเภทเงินสดเป็นประกันการใช้บริการเฉพาะครั้งตามหลักเกณฑ์
และเงื่อนไขที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
การยกเลิกการให้บริการประเภทบัญชีเงินเชื่อ
ข้อ ๑๐
การท่าเรือแห่งประเทศไทย สงวนสิทธิในการยกเลิกหรืองดการให้บริการประเภทบัญชีเงินเชื่อ
เมื่อผู้ใช้บริการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
การขอแก้ไขใบแจ้งหนี้และการขอคืนเงินที่ชำระไว้เกิน
ข้อ ๑๑ ผู้ใช้บริการที่ตรวจพบว่าจำนวนค่าภาระ
หรือค่าบริการ ตามใบแจ้งหนี้ที่ได้รับไม่ถูกต้อง หรือได้ชำระค่าภาระ หรือค่าบริการไว้เกินกว่าที่ใช้บริการจริงให้ขอแก้ไขใบแจ้งหนี้
หรือขอคืนเงินที่ชำระไว้เกิน แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๑๒
ผู้ใช้บริการที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะคิดค่าเบี้ยปรับตามหลักเกณฑ์
และเงื่อนไขที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำหนด
ค่าเบี้ยปรับอันเกิดจากการชำระหนี้เกินกำหนดเวลาของใบแจ้งหนี้ค่าภาระ
หรือค่าบริการ ที่ได้จัดทำขึ้นก่อนระเบียบนี้มีผลบังคับใช้
ให้ดำเนินการตามระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีการชำระเงินหรือขอคืนเงินค่าภาระการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๓๙
ข้อ ๑๓
ให้ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
และให้มีอำนาจกำหนดอัตรา หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการให้บริการและวางระเบียบปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบนี้
แล้วรายงานให้คณะกรรมการ การท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
วิชัย
สังข์ประไพ
ประธานกรรมการ
ธิดาวรรณ / แก้ไข
๒๘
พฤศจิกายน ๒๕๔๕
A+B(C)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙
พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๖๓ ง/หน้า ๓๒/๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ |
340008 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน พ.ศ. 2545 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน
พ.ศ. ๒๕๔๕
เพื่อให้การปฏิบัติงานตามคำขอประชาชนที่ไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน
๑ วันทำการ นับแต่เวลาที่ได้รับคำขอเป็นไปด้วยความสะดวก
ประหยัดเพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชน ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๒ ฉะนั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๔๙๔ จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ดังนี้
ข้อ ๑
ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน
พ.ศ. ๒๕๔๕"
ข้อ ๒[๑]
ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓ นับแต่วันใช้ระเบียบนี้ให้ยกเลิกระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๒
รวมทั้งข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง หรือประกาศอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ ๔
ในระเบียบนี้
"การปฏิบัติงานเพื่อประชาชน"
หมายถึง การดำเนินการให้บริการของหน่วยงานต่าง ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยจนแล้วเสร็จตามคำขอที่ประชาชนยื่นตามข้อบังคับ ระเบียบ
คำสั่ง หรือประกาศ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับเรือ
หรือสินค้าหรือกิจการอื่นที่เกี่ยวข้อง
"ประชาชน" หมายถึง บุคคลธรรมดา นิติบุคคล
หรือคณะบุคคลที่กฎหมายรับรอง ซึ่งเป็นผู้ยื่นคำขอ
ข้อ ๕
ให้หน่วยงานต่าง ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยอำนวยความสะดวกและเร่งรัดการปฏิบัติงานตามคำขอของประชาชนให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว
ข้อ ๖
งานที่ไม่สามารถดำเนินการตามคำขอให้แล้วเสร็จภายใน ๑ วันทำการนอกเหนือจากที่ได้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการไว้แล้ว
มีดังนี้
๖.๑ การวางเงินสดหรือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
(กรณีเปิดใช้บริการเงินเชื่อ)
๖.๒ การต่ออายุสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
๖.๓ การคืนเงินสดหรือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
(กรณีเลิกใช้บริการ)
๖.๔ การคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
๖.๕
การคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของสินค้าหรือตัวแทนเจ้าของสินค้า
๖.๖ การขอบัตรอนุญาตเข้าบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทย
๖.๗
การขอทำบัตรประจำตัวผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามขั้นตอนแนบท้ายระเบียบนี้
ข้อ ๗
ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัย
ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้
อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือหน่วยงานของรัฐหรือประชาชน
ให้ถือว่าเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ข้อ ๘
ให้รองผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ฝ่ายบริหารเป็นผู้รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕
พยุงกิจ จิวะมิตร
รองผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ฝ่ายปฏิบัติการ รักษาการในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ขั้นตอนการวางเงินสด หรือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
(กรณีเปิดใช้บริการเงินเชื่อ)
๒.
ขั้นตอนการต่ออายุสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
๓.
ขั้นตอนการคืนเงินสดหรือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ (กรณีเลิกใช้บริการ)
๔.
ขั้นตอนการคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
๕.
ขั้นตอนการคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของสินค้าหรือตัวแทนเจ้าของสินค้า
๖.
ขั้นตอนการขอบัตรอนุญาตเข้าบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทย
๗.
ขั้นตอนการขอทำบัตรประจำตัวผู้ทำหน้าที่บรรทุก
หรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ฐาปนี/แก้ไข
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
A+B(C)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๖๓ ง/หน้า ๔๖/๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ |
316477 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการรับฝากและส่งมอบสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บน พ.ศ. 2544 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการรับฝากและส่งมอบสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บน
พ.ศ. ๒๕๔๔
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงวิธีปฏิบัติในการรับฝากและส่งมอบสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บนให้เหมาะสมกับปัจจุบัน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๔๙๔ จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ดังนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
"ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติ
ในการรับฝากและส่งมอบสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บน พ.ศ.
๒๕๔๔"
ข้อ ๒[๑] ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓ นับแต่วันใช้ระเบียบนี้ให้ยกเลิก
๓.๑
ระเบียบว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการรับฝากและส่งมอบสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บน พ.ศ.
๒๕๒๐
๓.๒ บรรดาระเบียบ คำสั่ง และประกาศอื่น ๆ
ที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ ๔ ผู้นำของเข้าจะฝากสินค้าเข้าเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บน
ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
๔.๑
นำเอกสารสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทของกระทรวงพาณิชย์ที่ทางราชการออกให้ไม่เกิน
๖ เดือน พร้อมวัตถุประสงค์ สำเนาใบทะเบียนการค้า สำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ภ.พ. ๒๐ หรือ ภ.พ. ๐๑) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคล
ในกรณีที่ผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคลให้ผู้อื่นดำเนินการแทน จะต้องมีหนังสือมอบอำนาจติดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามกฎหมาย
พร้อมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและของผู้รับมอบอำนาจ
และรับรองสำเนาถูกต้อง โดยหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว มีอายุสิ้นสุด ณ วันที่ ๓๑
ธันวาคมของทุกปี (สำเนาเอกสารของนิติบุคคลที่นำมายื่นทุกฉบับ
จะต้องให้ผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคลนั้นรับรองสำเนาถูกต้องพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัท)
๔.๒
ยื่นคำร้องขอนำสินค้าเข้าฝากเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนต่อผู้อำนวยการกองคลังสินค้า
ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ ตามแบบคำร้องขอแนบท้ายระเบียบนี้ โดยยื่นผ่านหัวหน้าแผนกคลังสินค้าทัณฑ์บน
กองคลังสินค้า ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ ก่อนวันขอนำเข้าเก็บอย่างน้อย ๓ วัน
เพื่อให้แผนกคลังสินค้าทัณฑ์บน กองคลังสินค้า ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ พิจารณาและเตรียมสถานที่ในการรับฝากสินค้านั้น
ๆ
๔.๓
เมื่อได้รับแจ้งการอนุญาตนำสินค้าเข้าฝากจากผู้อำนวยการกองคลังสินค้า ฝ่ายสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพ แล้ว ผู้นำของเข้าจะต้องนำใบขนสินค้าทัณฑ์บนจากกรมศุลกากร มาแสดงต่อหัวหน้าแผนกคลังสินค้าทัณฑ์บน
กองคลังสินค้า ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ เป็นหลักฐาน
๔.๔ ก่อนนำสินค้าเข้าคลังสินค้าทัณฑ์บน
ผู้นำเข้าจะต้องนำหลักประกันเป็นเงินสดหรือหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยเชื่อถือมามอบให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยยึดถือไว้
เว้นแต่ในกรณีที่ได้รับอนุมัติจากผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ เป็นลายลักษณ์อักษร
จำนวนเงินที่เป็นหลักประกันจะต้องเท่ากับจำนวนค่าภาษีทุกประเภทของสินค้าที่นำเข้าฝากรวมกับค่าภาระในการฝากสินค้า
คิดคำนวณเป็นรายเดือนโดยคิดดอกเบี้ยทบต้น ทุก ๆ เดือน เป็นเวลา ๑๒ ปี ตามข้อ ๗
แห่งระเบียบนี้
หลักประกันตามข้อนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
จะคืนให้เมื่อผู้นำของเข้าพ้นจากภาระผูกพันกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย
และกรมศุลกากรแล้ว
๔.๕ ในวันนำสินค้าเข้าฝาก
ผู้นำของเข้าต้องนำคำร้องขอนำสินค้าเข้าฝากเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บน
สำเนาใบรับของจากท่าเรือ (WHARF RECEIPT) ใบอนุญาตนำของเข้าคลังสินค้าทัณฑ์บนจากกรมศุลกากร
(PERMIT FOR ENTRY IN BOND) สำเนาใบกำกับสินค้า สำเนาหนังสือสัญญาค้ำประกันจากธนาคาร
(เฉพาะสินค้าที่ต้องมีหนังสือสัญญาค้ำประกัน) และรายการสำรวจสินค้า (SURVEY NOTE)
ถ้ามีสินค้าเสียหาย เพื่อให้คลังสินค้าทัณฑ์บนเก็บไว้เป็นหลักฐาน
๔.๖ ผู้นำของเข้าจะต้องรับมอบสินค้าจากโรงพักสินค้า
เพื่อนำสินค้ามาฝากเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนภายใน ๓๐ วัน
นับแต่วันเรือเข้าตามที่กรมศุลกากรกำหนด ถ้าพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว
จะไม่อนุญาตให้นำสินค้านั้นเข้าฝากเก็บ ณ คลังสินค้าทัณฑ์บน
ข้อ ๕ เมื่อมีผู้นำสินค้ามาฝากเก็บตามข้อ
๔ ให้หัวหน้าแผนกคลังสินค้าทัณฑ์บน กองคลังสินค้า ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ
ปฏิบัติดังนี้
๕.๑
ทำการนับและเปิดตรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำคลังสินค้าทัณฑ์บน
และผู้นำของเข้าฝาก เพื่อตรวจสอบสภาพของสินค้าทุกหีบห่อ
๕.๒ ออกใบประทวนสินค้า (BONDED STORAGE WARRANT) ใบรับของเข้าคลังสินค้าทัณฑ์บน
(BONDED WAREHOUSE RECEIPT) เพื่อให้ผู้นำของเข้าฝากยึดถือไว้เป็นหลักฐาน
๕.๓ ลงรายการรับฝากในบัญชีสินค้าคงคลัง สินค้ามีทัณฑ์บน (BONDED
STORAGE BOOK)
ข้อ ๖ การเก็บรักษาสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บน
ให้ปฏิบัติตามระเบียบการเก็บรักษาสินค้าที่ขนถ่ายจากเรือเท่าที่จะปฏิบัติกับคลังสินค้าทัณฑ์บนได้
ข้อ ๗ ภายใน ๗
วัน หลังจากที่ครบกำหนดงวดหนึ่งเดือนนับจากวันนำสินค้ามาฝากที่คลังสินค้าทัณฑ์บน
ผู้นำของเข้าต้องนำเงินมาชำระค่าภาระในการฝากสินค้าสำหรับงวดหนึ่งเดือนที่แล้ว
ถ้าผู้ฝากไม่ปฏิบัติตามวรรคแรก การท่าเรือแห่งประเทศไทย
จะคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี สำหรับค่าภาระในการฝากสินค้าที่ค้างชำระทุก ๆ เดือน
การคิดดอกเบี้ยนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทย จะคิดทบต้นทุก ๆ เดือน ที่ค้างชำระด้วย
ข้อ ๘ เมื่อผู้นำของเข้าประสงค์จะนำสินค้าที่ฝากไว้
ออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน ให้ปฏิบัติดังนี้
๘.๑
ชำระค่าอากรขาเข้าให้กรมศุลกากรตามจำนวนที่ต้องการจะนำออก
๘.๒
นำคำสั่งปล่อยของกรมศุลกากรมาให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำคลังสินค้าทัณฑ์บนลงนาม
แล้วนำมามอบให้เจ้าหน้าที่คลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อปล่อยสินค้าให้ตามคำสั่งนั้น พร้อมทั้งต้องนำใบประทวนสินค้า
(BONDED STORAGE WARRANT) และใบรับของเข้าคลังสินค้าทัณฑ์บน (BONDED WAREHOUSE
RECEIPT) มาด้วย เพื่อตัดจำนวนที่นำออกจากยอดที่รับฝากไว้
ข้อ ๙ เมื่อผู้นำของเข้าได้ปฏิบัติตามพิธีการนำออกตามข้อ
๘ แล้ว ให้หัวหน้าแผนกคลังสินค้าทัณฑ์บน กองคลังสินค้า ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ
ปฏิบัติดังนี้
๙.๑ ทำใบสั่งปล่อย (DELIVERY ORDER)
ตามจำนวนในใบคำสั่งปล่อยของกรมศุลกากร และให้ผู้อำนวยการกองคลังสินค้า ฝ่ายสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพ ลงนามสั่งปล่อย
๙.๒ ผู้นำของเข้านำใบสั่งปล่อย (DELIVERY ORDER) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและบัญชี
ตรวจสอบหลักฐานและคิดค่าภาระต่าง ๆ และเรียกเก็บเงินจากผู้ฝาก
๙.๓ ออกใบรับของจากท่าเรือ (WHARF RECEIPT) และใบกำกับสินค้าให้แก่ผู้ที่มารับมอบไปเพื่อเป็นหลักฐานผ่านด่านตรวจสอบสินค้า
ในเมื่อมีหลักฐานการชำระเงินค่าภาระต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว
๙.๔ ตัดรายการปล่อยสินค้าในบัญชีสินค้าคงคลัง
สินค้ามีทัณฑ์บน (BONDED STORAGE BOOK)
ข้อ ๑๐ สินค้าที่ฝากเก็บเป็นระยะเวลา ๑๑ เดือน
แล้วยังนำสินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนไม่หมด หัวหน้าแผนกคลังสินค้าทัณฑ์บน
กองคลังสินค้า ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ จะมีหนังสือเตือนไปยังผู้นำของเข้าให้รีบนำสินค้าออกภายในกำหนด
เว้นแต่ผู้นำของเข้าขอขยายระยะเวลาการฝากเก็บ
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะอนุญาตไม่เกิน ๖ เดือน แต่เจ้าของสินค้าจะต้องชำระค่าภาระต่าง
ๆ ที่ค้างอยู่ให้ครบก่อนจึงจะอนุญาต
ข้อ ๑๑ เมื่อสินค้าที่ฝากเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนครบหนึ่งปีแล้ว
ผู้นำของเข้าจะต้องชำระค่าภาษีศุลกากร แสตมป์สรรพสามิต ภาษีการค้า ภาษีเทศบาล
และภาษีอื่น ๆ ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งชำระค่าภาระต่าง ๆ
ให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทยแล้วต้องนำสินค้าที่ฝากเก็บดังกล่าวออกไปจากคลังสินค้าทัณฑ์บนทันที
มิฉะนั้นให้ถือว่ากรรมสิทธิ์ในสินค้านั้นตกเป็นของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
เว้นแต่การท่าเรือแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ขยายเวลาการฝากเก็บเป็นลายลักษณ์อักษร
ข้อ ๑๒ ให้ผู้อำนวยการกองคลังสินค้า
ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๔
พยุงกิจ
จิวะมิตร
รองผู้อำนวยการ การท่าเรือฯ ฝ่ายปฏิบัติการ
รักษาการในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
พรพิมล/แก้ไข
๐๕/๐๘/๔๕
A+B (C )
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๑๙ ง/หน้า ๑๐๒/๔ มีนาคม ๒๕๔๕ |
749827 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฎิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕[๑]
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และข้อ ๑๓ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔
จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๔๕
ข้อ
๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑๓ กันยายน ๒๕๔๕ เป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๗
เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
ต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้าหรือขาออกที่บรรจุสินค้าเกินขนาดตัวตู้สินค้า
(Overheight / Overwidth / Overlength Container)
หรือมีน้ำหนักรวมกันเกินกว่า ๓๒.๕ เมตริกตันต่อตู้
หรือหมายเหตุลงในบัญชีตู้สินค้าสำหรับเรือก่อนทำการบรรทุกหรือขนถ่าย
หากเจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
มิได้ดำเนินการดังกล่าวข้างต้น หรือจัดส่งข้อมูลน้ำหนักรวมต่ำกว่าข้อเท็จจริง
โดยมีน้ำหนักจริงเกินกว่า ๓๒.๕ เมตริกตันต่อตู้ ต้องชำระเบี้ยปรับตู้ละ ๑,๐๐๐ บาท
ข้อ
๔ ให้ยกเลิกความในข้อ ๑๙
ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑๙ ผู้ใช้บริการที่ตรวจพบว่าได้ชำระเงินไว้เกิน
ให้ส่งต้นฉบับหรือสำเนาใบเสร็จรับเงินพร้อมกับเอกสารมูลหนี้และคำชี้แจง
ระบุเหตุผิดพลาดไปยังกองผลประโยชน์ ๑ หรือกองผลประโยชน์ ๒ ฝ่ายการเงินและบัญชี
หรือกองการเงิน ท่าเรือแหลมฉบัง แล้วแต่กรณี ภายใน ๓๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับชำระเงิน หากพ้นระยะเวลาดังกล่าว
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะถือว่าการชำระเงินนั้นถูกต้องแล้ว
ข้อ
๕ ให้ยกเลิกความในผนวก ก. ข้อ ๑
ลำดับที่ ๑.๑ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ทาเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และใช้ความต่อไปนี้แทน
ภาคผนวก ก. ๑. ค่าเช่า ค่าบริการ เครื่องมือ อุปกรณ์และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
ของท่าเรือกรุงเทพ
ลำดับที่
ค่าเช่า ค่าบริการ
ค่าธรรมเนียม
อัตรา
๑.๑
ค่าเช่า
ปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่า
(RAIL
MOUNTED SHORESIDE
CONTAINER
CRANE)
๑.๑.๑
ยกตู้สินค้าน้ำหนักเกินกว่า ๓๒.๕
แต่ไม่เกิน ๓๘ เมตริกตัน
๑.๑.๒
ยกสินค้าทั่วไป
๑.๑.๒.๑ สินค้าน้ำหนักไม่เกิน
๒๐ เมตริกตัน
๑.๑.๒.๒ สินค้าน้ำหนักเกินกว่า ๒๐
แต่ไม่เกิน ๓๘ เมตริกตัน
๑.๑.๓
ยกฝาระวาง
๑.๑.๓.๑ เปิดหรือปิดวางพักบนเรือ
๑.๑.๓.๒ เปิดหรือปิดวางพักบนท่า
๑.๑.๔
กรณีการใช้ปั้นจั่นของเรือหรือเอกชน
ยกตู้สินค้าหรือสินค้าตาม ๑.๑.๑ หรือ
๑.๑.๒ หรือ ๑.๑.๓.๒ คิดค่าธรรมเนียม
ร้อยละ ๒๕ ของอัตราที่กำหนด
บาท/ครั้ง
๒,๕๕๐
๑,๕๐๐
๓,๐๐๐
บาท/ฝา/ครั้ง
๑,๕๐๐
๒,๐๐๐
ข้อ
๖ ให้ยกเลิกความในผนวก ข. ข้อ ๑
ลำดับที่ ๑๕ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ทาเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และใช้ความต่อไปนี้แทน
ภาคผนวก ข. ค่าเช่า ค่าบริการ เครื่องมือ อุปกรณ์ และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
ของท่าเรือแหลมฉบัง
ลำดับที่
ค่าเช่า ค่าบริการ
ค่าธรรมเนียม
อัตรา
๑๕
ค่าธรรมเนียมยานพาหนะและเครื่องมือยกขนผ่านท่า
(ADMISSION FEE FOR
VEHICLES AND
EQUIPMENT)
๑๕.๑
ค่าธรรมเนียมผ่านท่า
เป็นค่านำยาพาหนะและเครื่องมือยกขน
เข้ามาในเขตศุลกากร
เรียกเก็บในอัตราดังนี้
๑๕.๑.๑
รถยนต์บรรทุกไม่เกิน ๑๐ ล้อ
๑๕.๑.๒ รถยนต์หัวลาก
หรือรถยนต์
หัวลากพร้อมรถพ่วง
๑๕.๑.๒ รถยก
หรือรถยกตู้สินค้า
๑๕.๑.๔ รถปั้นจั่นทุกขนาด
๑๕.๑.๕ รถไฟทุกประเภท
ค่าธรรมเนียมตามลำดับที่
๑๕.๑ ได้รวมภาษี
มูลค่าเพิ่ม
(VAT) ไว้ด้วยแล้ว
๑๕.๒
ค่าธรรมเนียมอยู่ในเขตศุลกากร
เป็นค่าอยู่ใยเขตศุลกากรของยาพาหนะ
และเครื่องมือยกขนเกิน ๒๔
ชั่วโมง นับตั้งแต่เวลา
ที่นำเข้า
เรียกเก็บเป็นรายวันในอัตราดังนี้
๑๕.๒.๑
รถยนต์บรรทุกไม่เกิน ๑๐ ล้อ
๑๕.๒.๒ รถยนต์หัวลาก
หรือรถยนต์
หัวลากพร้อมรถพ่วง
๑๕.๒.๒ รถยก
หรือรถยกตู้สินค้า
๑๕.๒.๔ รถปั้นจั่นทุกขนาด
๑๕.๑.๕ รถไฟทุกประเภท
บาท/คัน/เที่ยว
๓๕
๑๐๐
๑๑๐
๓๓๐
บาท/แคร่/เที่ยว
๓๕
บาท/คัน/วัน
๒๐๐
๓๐๐
๒๐๐
๕๐๐
บาท/แคร่/เที่ยว
๒๐
ข้อ
๗ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทราบ
ประกาศ ณ วันที่ ๑๓
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
มานะ ภัทรธรรม
ผู้อำนวยการ
ปริยานุช/พิมพ์
๒๘ เมษายน ๒๕๕๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๙๒ ง/หน้า ๑๘/๑ ตุลาคม ๒๕๔๕ |
749823 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ
พ.ศ. ๒๕๔๕[๑]
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒
(๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และข้อ ๑๓
แห่งระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง
ๆ พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ
๒ ให้ใช้ระเบียบนี้ นับแต่วันที่ ๒๗
มกราคม ๒๕๔๕
ข้อ
๓ ให้ยกเลิก
๓.๑
ประกาศ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ เรื่อง
การจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ
๓.๒
ประกาศ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ เรื่อง
การจัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้า ณ ท่าเรือกรุงเทพ
๓.๓
ค่าเช่าเครื่องมือทุ่นแรง และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ในภาคผนวกตามประกาศ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๒ เรื่อง
หนังสือค่าภาระของท่าเรือกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๔๓ และส่วนที่ ๔
ค่าบริการเช่าใช้เครื่องมอยกขนและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
ภายในเขตรั้วศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ตามประกาศ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ เรื่อง กำหนดอัตราค่าภาระของท่าเรือแหลมฉบัง
โดยให้ใช้อัตราค่าเช่าเครื่องมือ อุปกรณ์ และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของท่าเรือกรุงเทพ
และท่าเรือแหลมฉบัง ตามภาคผนวก ก. และ ข. ตามลำดับท้ายระเบียบนี้
บรรดาระเบียบ
คำสั่ง หรือประกาศอื่นใดที่เหมือน หรือขัด หรือแย้งกับระเบียบนี้
ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
การส่งข้อมูลหรือเอกสารการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ
ข้อ
๔[๒] การจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้า (Inward Container List)
๔.๑
เจ้าของเรือ หรือตัวแทนเจ้าของเรือ ต้องจัดส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์บัญชี
ตู้สินค้าขาเข้าที่ถูกต้องและครบถ้วน ตามรูปแบบมาตรฐานที่ศุลกากรกำหนด
ผ่านระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (National Single Window : NSW) ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๖ ชั่วโมง
โดยจะใช้เวลาที่ระบบคอมพิวเตอร์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ได้รับข้อมูลจากระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว
ของกรมศุลกากรเป็นเวลาของการรับข้อมูล
๔.๒
เจ้าของเรือ หรือตัวแทนเจ้าของเรือรายใดที่จัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้าผ่านระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
ณ จุดเดียว และพบปัญหาที่ไม่สามารถส่งได้สมบูรณ์
ให้จัดส่งข้อมูลใหม่ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๖ ชั่วโมง
๔.๓
กรณีที่ข้อมูลบางรายการที่จัดส่งไม่ถูกต้อง และ/หรือ ไม่ครบถ้วน
เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือต้องขอยกเลิก หรือแก้ไข หรือเพิ่มเติมรายการ
โดยให้ยื่นขอแก้ไขข้อมูลรายการนั้น
หรือจัดส่งใหม่ทั้งหมดผ่านทางระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว
ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง
๔.๔
เจ้าของเรือ หรือตัวแทนเจ้าของเรือ
จัดส่งเอกสารบัญชีตู้สินค้าขาเข้าที่ถูกต้องและครบถ้วนจำนวน ๑ ชุด ณ
กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ
ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง
๔.๕
กรณีที่จัดส่งข้อมูลตู้สินค้าขาเข้าไม่ทันกำหนดเวลาตามข้อ ๔.๑ หรือข้อ ๔.๒ หรือข้อ
๔.๓ หรือข้อ ๔.๔
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะไม่ดำเนินการขนถ่ายตู้สินค้าจนกว่าจะได้รับข้อมูลและเอกสารเป็นที่เรียบร้อย
เจ้าของเรือ หรือตัวแทนเจ้าของเรือต้องชำระเบี้ยปรับเป็นเงิน ๒,๐๐๐
บาท (สองพันบาทถ้วน) ต่อเที่ยวเรือ
ส่วนการขอแก้ไขข้อมูลหลังจากเรือเริ่มทำการขนถ่ายตู้สินค้าแล้ว
เป็นเหตุให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเกิดกิจกรรมต้องปฏิบัติ
จะเรียกเก็บค่าภาระและค่าบริการตามความเป็นจริง
๔.๖ กรณีที่เจ้าของเรือ
หรือตัวแทนเจ้าของเรือไม่จัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้าทำให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยต้องดำเนินการบันทึกข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้า
เจ้าของเรือ หรือตัวแทนเจ้าของเรือต้องชำระค่าบริการบันทึกข้อมูล ๒๐ บาท
(ยี่สิบบาทถ้วน) ต่อตู้ ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อ
๕[๓]
การจัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือ (Inward Cargo Manifest)
๕.๑
เจ้าของตู้สินค้า หรือตัวแทนเจ้าของตู้สินค้าต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือของเรือตู้สินค้า
หรือเจ้าของเรือ
หรือตัวแทนเจ้าของเรือต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือ
ของเรือสินค้าทั่วไปที่ถูกต้องและครบถ้วน
ตามรูปแบบมาตรฐานที่ศุลกากรกำหนดผ่านระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (National Single Window : NSW) ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง
โดยจะใช้เวลาที่ระบบคอมพิวเตอร์ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รับข้อมูลจากระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
ณ จุดเดียว ของกรมศุลกากร เป็นเวลาของการรับข้อมูล
๕.๒
การขอแก้ไขข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือ
๕.๒.๑
ภายในกำหนด ๔๘ ชั่วโมง นับแต่กรมศุลกากรได้รับการรายงานเรือเข้าสำเร็จ
หากมีข้อมูลบางรายการที่จัดส่งไม่ถูกต้อง และ/หรือ ไม่ครบถ้วน
(การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะอนุญาตให้แก้ไขได้ในกรณีที่ไม่ส่งผลกระทบต่อบัญชีตู้สินค้าขาเข้า)
ให้เจ้าของตู้สินค้า หรือตัวแทนเจ้าของตู้สินค้า
หรือเจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือจัดส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ขอแก้ไขข้อมูลรายการนั้น
หรือจัดส่งใหม่ทั้งหมดผ่านทางระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว
๕.๒.๒
การขอแก้ไขข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือภายหลัง ๔๘ ชั่วโมง
นับแต่กรมศุลกากรได้รับการรายงานเรือเข้าสำเร็จ ให้เจ้าของตู้สินค้า
หรือตัวแทนเจ้าของตู้สินค้ายื่นเอกสารคำร้องขอแก้ไข (Amend Should Be/Shortlanded/Overlanded) ณ แผนกโรงพักสินค้าพิธีการ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้าท่าเรือกรุงเทพ
๕.๓
เจ้าของเรือ
หรือตัวแทนเจ้าของเรือต้องจัดส่งเอกสารบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือที่ถูกต้องและครบถ้วน
จำนวน ๑ ชุด ณ กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง
๕.๔
กรณีที่จัดส่งข้อมูล และ/หรือ เอกสารบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือไม่ทันกำหนดเวลาตามข้อ
๕.๑ หรือข้อ ๕.๓ เจ้าของเรือ หรือตัวแทนเจ้าของเรือต้องชำระเบี้ยปรับเป็นเงิน ๒,๐๐๐
บาท (สองพันบาทถ้วน) ต่อเที่ยวเรือ
ส่วนการขอแก้ไขข้อมูลหลังจากเรือเริ่มทำการขนถ่ายตู้สินค้าแล้ว
เป็นเหตุให้การท่าเรือประเทศไทยเกิดกิจกรรมต้องปฏิบัติ
จะเรียกเก็บค่าภาระและค่าบริการตามความเป็นจริง
๕.๕
กรณีที่เจ้าของตู้สินค้า หรือตัวแทนเจ้าของตู้สินค้า หรือเจ้าของเรือ
หรือตัวแทนเจ้าของเรือไม่จัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือ
ทำให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยต้องดำเนินการบันทึกข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือเอง
เจ้าของตู้สินค้า หรือตัวแทนเจ้าของตู้สินค้าต้องชำระค่าบริการบันทึกข้อมูล ๑๐๐
บาท (หนึ่งร้อยบาทถ้วน) ต่อใบตราส่ง ซึ่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อ
๖[๔]
การจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ (Container Loading List)
๖.๑
เจ้าของเรือ หรือตัวแทนเจ้าของเรือต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ
โดยทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ infor_ter๑@port.co.th สำหรับเรือพิธีการกองท่าบริการตู้สินค้า ๑ หรือ infor_ter๒@port.co.th
สำหรับเรือพิธีการกองท่าบริการตู้สินค้า ๒ หรือโดยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามแบบบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ
[ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๒) และทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๓)] แนบท้ายระเบียบนี้
ก่อนบรรทุกตู้สินค้าลงเรือไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง
กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงจากรายการตู้สินค้าที่ยื่นไว้เดิม
เจ้าของเรือ หรือตัวแทนเจ้าของเรือจะต้องส่งบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือที่ขอเปลี่ยนแปลงก่อนเริ่มบรรทุกตู้สินค้าลงเรือ
ถ้ามิได้มาดำเนินการขอเปลี่ยนแปลง
หากตู้สินค้าใดไม่ปรากฏในบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะไม่อนุญาตให้บรรทุกลงเรือและจะเรียกเก็บค่าภาระตามหลักเกณฑ์
ดังนี้
๖.๑.๑
จำนวนตู้สินค้าที่บรรทุกลงเรือมีจำนวนน้อยกว่าในบัญชีตู้สินค้าที่ยื่นไว้
จะเรียกเก็บค่าภาระเฉพาะตามจำนวนที่บรรทุกลงเรือจริง
๖.๑.๒
ตู้สินค้าที่บรรทุกลงเรือไม่สำแดงสถานภาพของตู้สินค้าไว้ในบัญชีตู้สินค้าหรือสำแดงสถานภาพไว้แต่ผิดจากความเป็นจริง
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะเรียกเก็บค่าภาระตู้สินค้านั้นในสถานภาพ LCL (Less than Container Load)
๖.๑.๓
กรณีตู้สินค้าขาออกที่ผ่านด่านตรวจสอบภายในเข้ามากองเก็บในลานวางพักตู้สินค้าเพื่อรอบรรทุกลงเรือ
แต่ไม่นำบรรทุกลงเรือที่แจ้ง
หรือมีการแจ้งเปลี่ยนการบรรทุกลงเรือลำอื่นในภายหลังเรือเสร็จสิ้นการบรรทุก
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะเรียกเก็บค่าภาระตู้สินค้าที่ยกเลิก (Shut - Out Container Charge) ตามอัตราที่กำหนด
และหากมีการเคลื่อนย้ายตู้สินค้าที่ขอยกเลิกนั้น
การท่าเรือแห่งประเทศไทยเรียกเก็บค่าภาระเคลื่อนย้ายตู้สินค้ากรณีพิเศษ (Extra Container Movement Charge) ตามอัตราที่กำหนดด้วย
การเคลื่อนย้ายตู้สินค้ากรณีพิเศษ
เจ้าของเรือ หรือตัวแทนเจ้าของเรือ เจ้าของตู้สินค้า
หรือตัวแทนเจ้าของตู้สินค้าต้องแจ้งขอเคลื่อนย้ายตู้สินค้ากรณีพิเศษ
เว้นแต่ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วน
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะดำเนินการเคลื่อนย้ายตู้สินค้าดังกล่าว
โดยคิดค่าบริการตามอัตราค่าภาระที่กำหนด
ข้อ
๗[๕] เจ้าของเรือ หรือตัวแทนเจ้าของเรือ
ต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีตู้สินค้าขาเข้า
หรือขาออกที่บรรจุสินค้าเกินขนาดตัวตู้สินค้า (Overheight/Overwidth/Overlength Container) หรือมีน้ำหนักรวม (Gross Weight) เกินกว่า ๓๒.๕ เมตริกตันต่อตู้
หรือหมายเหตุลงในบัญชีตู้สินค้าสำหรับเรือ ก่อนทำการบรรทุกลงเรือหรือขนถ่าย
หากเจ้าของเรือ
หรือตัวแทนเจ้าของเรือ มิได้ดำเนินการดังกล่าวข้างต้น
หรือจัดส่งข้อมูลน้ำหนักรวมต่ำกว่าข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ
หรือความเสียหาย เจ้าของเรือ หรือตัวแทนเจ้าของเรือต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหาย
และถ้าการท่าเรือแห่งประเทศไทยตรวจพบว่าน้ำหนักตู้สินค้าจริงเกินกว่า ๓๒.๕
เมตริกตันต่อตู้ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะเรียกเก็บเบี้ยปรับตู้ละ ๑,๐๐๐
บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) และจะไม่ดำเนินการบรรทุกหรือขนถ่ายตู้สินค้าดังกล่าว
จนกว่าจะได้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง
ข้อ ๘[๖]
เจ้าของเรือหรือตัวแทนเจ้าของเรือสินค้าทั่วไป
ต้องจัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือ (Inward Cargo Manifest) ที่ถูกต้องและครบถ้วนด้วยระบบ EDI หรือ Diskette และยื่นเอกสารจำนวน ๑ ชุด ณ
กองท่าบริการตู้สินค้า ๒ ฝ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ ก่อนเรือเทียบท่าไม่น้อยกว่า ๓
ชั่วโมง
กรณีที่มีการขนถ่ายสินค้าลงจากเรือเข้าเก็บในที่เก็บสินค้ามีจำนวนใบตราส่ง
(Bill of Lading) ไม่เกิน ๑๕
รายการต่อเที่ยวเรือ
ให้จัดส่งข้อมูลบัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือด้วยวิธีการยื่นเอกสารเพียงอย่างเดียวก็ได้
ข้อ
๙[๗] เจ้าของเรือ
หรือตัวแทนเจ้าของเรือสินค้าทั่วไปที่จอด ณ
ที่จอดเรือของท่าเรือกรุงเทพเพื่อทำการขนถ่ายสินค้าข้างลำทั้งลำ (All Overside)
หรือจอดเพื่อทำการขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือเอกชนภายในอาณาบริเวณท่าเรือกรุงเทพ
หรือจอดเพื่อทำการขนถ่ายสินค้าข้างลำบริเวณเกาะสีชัง หรือที่อื่น
ที่ทำพิธีการศุลกากร ณ ท่าเรือกรุงเทพต้องจัดส่งเอกสารข้อมูลขนาดของเรือ
บัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือที่ถูกต้องและครบถ้วน จำนวน ๑ ชุด ณ แผนกกลาง
กองปฏิบัติการสินค้า ๑ ฝ่ายปฏิบัติการเรือและสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ ก่อนเรือเข้าจอด
ข้อ
๑๐[๘] กรณีที่จัดส่งข้อมูลขนาดของเรือ
บัญชีสินค้าขาเข้าสำหรับเรือไม่ทันกำหนดเวลาตามข้อ ๙ ต้องชำระเบี้ยปรับเป็นเงิน ๒,๐๐๐
บาท (สองพันบาทถ้วน) ต่อเที่ยวเรือ และการท่าเรือแห่งประเทศไทย
มีสิทธิงดเว้นการให้บริการและจะดำเนินการเรียกเก็บค่าภาระจากเจ้าของเรือ
หรือตัวแทนเจ้าของเรือ
ข้อ ๑๑ เรือขาเข้า
และเรือขาออก ต้องจัดส่งข้อมูลตามข้อ ๔ ถึงข้อ ๙ ต่อท่าเรือกรุงเทพ
หรือท่าเรือแหลมฉบังเฉพาะท่าเทียบเรือ ที่อยู่ภายใต้การประกอบการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย สำหรับบัญชีตู้สินค้าขาออก (Onward Container List) ให้จัดส่งเฉพาะท่าเรือแหลมฉบัง
การชำระเงินค่าภาระการใช้ท่าเรือ หรือค่าบริการ
ข้อ ๑๒
ส่วนราชการที่ได้รับอนุมัติผ่อนผันจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ใช้บริการก่อนการชำระเงิน ต้องดำเนินการชำระเงินค่าภาระ
หรือค่าบริการดังกล่าวให้เสร็จสิ้นภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้
ถ้าไม่ชำระภายในเวลาที่กำหนด การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะพิจารณางดให้การผ่อนผัน
ข้อ ๑๓ รัฐวิสาหกิจ
หรือหน่วยงานของรัฐ
หรือผู้ใช้บริการทั่วไปที่ประสงค์ขอเปิดใช้บริการประเภทบัญชีเงินเชื่อ
ให้วางหลักประกันการชำระหนี้เป็นเงินสด หรือเช็คธนาคาร หรือหนังสือค้ำประกันของธนาคาร ตามแบบ ๔ ท้ายระเบียบนี้ เป็นจำนวนเงินที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยเห็นสมควร โดยผู้ขอจะได้รับการผ่อนผันให้ชำระหนี้ได้ภายใน
๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้
ข้อ ๑๔ รัฐวิสาหกิจ
หรือหน่วยงานของรัฐ หรือผู้ใช้บริการทั่วไป ที่มิได้เปิดใช้บริการประเภทบัญชีเงินเชื่อ
หากประสงค์ขอใช้บริการของท่าเรือระนอง การท่าเรือแห่งประเทศไทย
แต่ไม่สามารถชำระเงิน หรือคิดคำนวณค่าภาระ หรือค่าบริการ ที่ถูกต้องได้ทัน
ให้วางเงินสด หรือเช็คธนาคารเป็นหลักประกันการใช้บริการเฉพาะครั้งนี้
๑๔.๑ กรณีที่สามารถคิดคำนวณค่าภาระ หรือค่าบริการ
ที่ถูกต้องตามจริงได้ ให้วางเงินสดหรือเช็คธนาคารเป็นหลักประกันการใช้บริการ
ในจำนวนเท่ากับค่าภาระหรือค่าบริการที่ถูกต้องตามจริง
๑๔.๒ กรณีไม่สามารถคิดคำนวณค่าภาระ หรือค่าบริการ
ที่ถูกต้องตามจริงได้ ให้วางเงินสด หรือเช็คธนาคารเป็นหลักประกันการใช้บริการในจำนวนที่สูงกว่าค่าภาระ
หรือค่าบริการที่คิดคำนวณโดยประมาณอีก ๑ ใน ๓
และให้ขอรับเงินหลักประกันส่วนที่เหลือคืนภายใน ๒ เดือน
นับตั้งแต่วันที่ใช้บริการนั้นเสร็จสิ้น ถ้ามิได้ดำเนินการภายในกำหนดเวลาดังกล่าว
ให้ถือว่าเงินที่เหลือเป็นรายได้ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ข้อ ๑๕
ผู้ใช้บริการประเภทเงินเชื่อ
มิได้ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่ได้รับการผ่อนผัน ต้องชำระค่าเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ
๑๘ ต่อปี ของจำนวนเงินตามใบแจ้งหนี้ค้างชำระจนกว่าจะได้ชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว
และหากพ้นระยะเวลา ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้ ยังไม่ชำระหนี้
และค่าเบี้ยปรับ การท่าเรือแห่งประเทศไทยสงวนสิทธิในการงดให้บริการเงินเชื่อ
และจะหักชำระหนี้จากเงินสด หรือเช็คธนาคารที่วางประกัน
หรือใช้สิทธิเรียกเก็บจากธนาคารผู้ค้ำประกัน แล้วแต่กรณี
การยกเลิกการให้บริการประเภทบัญชีเงินเชื่อ
ข้อ ๑๖
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
สงวนสิทธิในการยกเลิกการให้บริการประเภทบัญชีเงินเชื่อ
เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
๑๖.๑ หนี้ค้างชำระเกินเงินที่วางไว้เป็นหลักประกันการชำระหนี้
หรือเกินวงเงินที่ธนาคารค้ำประกันตามข้อ ๑๓
๑๖.๒ ไม่ชำระหนี้ หรือค่าเบี้ยปรับตามข้อกำหนดในข้อ ๑๕
๑๖.๓ หนังสือสัญญาค้ำประกันหมดอายุ
ข้อ ๑๗
ผู้ใช้บริการที่ถูกยกเลิกการให้บริการประเภทบัญชีเงินเชื่อ
ถ้าประสงค์จะขอใช้บริการประเภทบัญชีเงินเชื่ออีก จะต้องชำระหนี้ค้างอยู่ให้หมดสิ้น
และต้องชำระค่าธรรมเนียมการขอใช้บริการประเภทบัญชีเงินเชื่อครั้งใหม่จำนวน ๓,๐๐๐
บาท
การขอแก้ไขใบแจ้งหนี้
และการขอคืนเงินที่ชำระไว้เกิน
ข้อ ๑๘
ผู้ใช้บริการที่ตรวจพบว่า หนี้ตามใบแจ้งหนี้ไม่ถูกต้อง
ให้ส่งใบแจ้งหนี้พร้อมกับเอกสารมูลหนี้และคำชี้แจง
ระบุเหตุผิดพลาดไปยังกองผลประโยชน์ ๑ หรือกองผลประโยชน์ ๒ ฝ่ายการเงินและบัญชี
หรือกองการเงิน ท่าเรือแหลมฉบัง ภายใน ๑๐ วัน นับแต่วันได้รับใบแจ้งหนี้
หากพ้นระยะเวลาดังกล่าว ผู้ใช้บริการต้องชำระเงินตามใบแจ้งหนี้นั้น
ข้อ
๑๙[๙]
ผู้ใช้บริการที่ตรวจพบว่าได้ชำระเงินไว้เกิน
ให้ส่งต้นฉบับหรือสำเนาใบเสร็จรับเงินพร้อมกับเอกสารมูลหนี้และคำชี้แจง
ระบุเหตุผิดพลาดไปยังกองผลประโยชน์ ๑ หรือกองผลประโยชน์ ๒ ฝ่ายการเงินและบัญชี
หรือกองการเงิน ท่าเรือแหลมฉบัง แล้วแต่กรณี ภายใน ๓๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับชำระเงิน หากพ้นระยะเวลาดังกล่าว
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะถือว่าการชำระเงินนั้นถูกต้องแล้ว
ข้อ ๒๐
การทักท้วงใบแจ้งหนี้ตามข้อ ๑๘ หากผลตรวจสอบปรากฏว่า
การออกใบแจ้งหนี้นั้นถูกต้องแล้ว ผู้ใช้บริการต้องชำระหนี้ตามใบแจ้งหนี้นั้น ภายใน
๓ วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้คืน และต้องชำระค่าเบี้ยปรับเพิ่มอีกในอัตราร้อยละ
๕ ของจำนวนเงินตามใบแจ้งหนี้ฉบับนั้น แต่ไม่เกินฉบับละ ๒,๐๐๐ บาท
แต่ถ้ามีการผิดพลาดตามที่ทักท้วง
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะแก้ไขใบแจ้งหนี้ให้ถูกต้อง และผ่อนผันให้ชำระหนี้ภายใน
๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้ใหม่
ข้อ ๒๑
ใบแจ้งหนี้ค่าภาระ หรือค่าบริการ ซึ่งออกตามเอกสารมูลหนี้ที่ผู้ใช้บริการแจ้งไว้
หากมีการทักท้วงภายหลังว่าข้อมูลที่แจ้งไว้ผิดพลาด
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะไม่พิจารณาคำร้อง
จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ตามใบแจ้งหนี้นั้นเสียก่อน
หากมิได้ดำเนินการจนพ้นระยะเวลาผ่อนผัน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้
การท่าเรือแห่งประเทศไทยจะดำเนินการตามข้อ ๑๕
ข้อ ๒๒
ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง
และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติแล้วรายงานให้ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ทราบ
ประกาศ
ณ วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕
พยุงกิจ จิวะมิตร
รองผู้อำนวยการ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ฝ่ายปฏิบัติการ
รักษาการในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ภาคผนวก ก.[๑๐] (ข้อ ๑
ลำดับที่ ๑.๓)[๑๑]
๒.
ภาคผนวก ข.[๑๒] (ลำดับที่
๑๒)[๑๓]
๓.
แบบบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ (CONTAINER LOADING LIST) CONTAINER LOADING LIST (ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๒)) [๑๔]
๔. แบบบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ
(CONTAINER LOADING LIST) CONTAINER LOADING LIST SUMMARY สรุปจำนวนตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ (ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๓)) [๑๕]
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๔๕[๑๖]
ข้อ
๒
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๕ เป็นต้นไป
ข้อ
๗ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ
แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทราบ
ระเบียบ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ
และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๗[๑๗]
ข้อ
๒
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ
๙ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.
๒๕๔๘[๑๘]
ข้อ
๒
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เป็นต้นไป
ข้อ
๔ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ
แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือบริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.
๒๕๔๘[๑๙]
ข้อ
๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เป็นต้นไป
ข้อ
๔ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ
แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.
๒๕๔๘[๒๐]
ข้อ
๒
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เป็นต้นไป
ข้อ
๕ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ
แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.
๒๕๕๓[๒๑]
ข้อ
๒
ให้ใช้ระเบียบนี้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๓ เป็นต้นไป
ข้อ
๗ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ.
๒๕๕๘[๒๒]
ข้อ
๒ ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่ ๔
มกราคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ข้อ
๔ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ
แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการและความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ.
๒๕๕๙[๒๓]
ข้อ
๒ ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่ ๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ข้อ
๙
ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติแล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ.
๒๕๕๙[๒๔]
ข้อ
๒ ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่ ๑
พฤษภาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ข้อ
๔ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติแล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทราบ
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ.
๒๕๕๙[๒๕]
ข้อ
๒ ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่ ๑๖
พฤษภาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ข้อ
๔ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และผู้อำนวยการ ฝ่ายการเงินและบัญชี
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติแล้วรายงาน
ให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทราบ
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ.
๒๕๕๙[๒๖]
ข้อ
๒ ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่ ๑
สิงหาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
ข้อ
๔ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ
ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง และผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และมีอำนาจกำหนดวิธีปฏิบัติ
แล้วรายงานให้ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยทราบ
กัญฑรัตน์/จัดทำ
๔
พฤษภาคม ๒๕๕๙
ปัญญา/ตรวจ
๑๐
พฤษภาคม ๒๕๕๙
วิศนี/เพิ่มเติม
๑๔
มิถุนายน ๒๕๕๙
กัญฑรัตน์/เพิ่มเติม
๒๙
กันยายน ๒๕๕๙
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๑๗
พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๖๓ ง/หน้า ๓๕/๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕
[๒] ข้อ ๔
แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๕๙
[๓] ข้อ ๕
แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ.
๒๕๕๙
[๔] ข้อ ๖
แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ
บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๕๙
[๕] ข้อ ๗
แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๕๙
[๖] ข้อ ๘
แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๔๗
[๗] ข้อ ๙
แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๕๙
[๘] ข้อ ๑๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๕๙
[๙] ข้อ ๗
แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๔๕
[๑๐] ภาคผนวก
ก. แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ.
๒๕๕๘
[๑๑]
ภาคผนวก ก (ข้อ ๑ ลำดับที่ ๑.๓) แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ.
๒๕๕๙
[๑๒] ภาคผนวก
ข. แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ.
๒๕๕๘
[๑๓] ภาคผนวก
ข (ลำดับที่ ๑๒). แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ.
๒๕๕๙
[๑๔]
แบบบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ (CONTAINER LOADING LIST) CONTAINER LOADING LIST (ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๒)) เพิ่มโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ.
๒๕๕๙
[๑๕]
แบบบัญชีตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ (CONTAINER LOADING LIST) CONTAINER LOADING LIST SUMMARY
สรุปจำนวนตู้สินค้าบรรทุกลงเรือ (ทกท. ๐๑.๐๐.๐๑ (๒๓)) เพิ่มโดยระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ.
๒๕๕๙
[๑๖]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนพิเศษ ๙๒ ง/หน้า ๑๘/๑ ตุลาคม ๒๕๔๕
[๑๗]
ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๒๑/ตอนพิเศษ ๑๔๔ ง/หน้า ๗๙/๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๗
[๑๘]
ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๒๒/ตอนที่ ๘๔ ง/หน้า ๑๓๔/๖ ตุลาคม ๒๕๔๘
[๑๙]
ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๒๒/ตอนที่ ๑๑๐ ง/หน้า ๔๘/๑ ธันวาคม ๒๕๔๘
[๒๐]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๒๔ ง/หน้า ๑/๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙
[๒๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๒๔ ง/หน้า ๓/๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙
[๒๒]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๒๔ ง/หน้า ๖/๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙
[๒๓]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๒๔ ง/หน้า ๘/๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙
[๒๔] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๔๐ ง/หน้า ๑/๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙
[๒๕]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๔๐ ง/หน้า ๒/๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙
[๒๖] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๗๕ ง/หน้า ๑/๑๕ กันยายน ๒๕๕๙ |
325257 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2544 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ.
๒๕๔๔
-------------------------
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการ
จดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง พ.ศ. ๒๕๔๓ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓๒ (๒) ของพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้วางระเบียบแก้ไขเพิ่ม
เติมไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการจด
ทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔"
ข้อ
๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๓๖ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วย
การจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง พ.ศ. ๒๕๔๓
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
"ข้อ
๓๖ การจ้างเหมาก่อสร้างของการท่าเรือตามข้อ ๒๕ และข้อ ๒๖ ให้ใช้
บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๕ เป็นต้นไป"
ข้อ
๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๓๗ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง พ.ศ. ๒๕๔๓
"ข้อ
๓๗ ผู้รับเหมาก่อสร้างที่ยื่นขอจดทะเบียนภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม
๒๕๔๕
และได้รับอนุมัติการจดทะเบียน ให้ประธานกรรมการ กพจม. ออกหนังสือสำคัญการจด
ทะเบียนตามประเภทและชั้นที่ได้รับอนุมัติ โดยให้มีอายุ ๕ ปี
นับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๕"
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๔
พยุงกิจ จิวะมิตร
รองผู้อำนวยการ
การท่าเรือ ฯ ฝ่ายปฏิบัติการ
รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
[รก.๒๕๔๕/พ๑๙ง/๑๐๘/๔ มีนาคม ๒๕๔๕]
พรพิมล/แก้ไข
๒๖/๐๗/๔๕
A+B
(C) |
312657 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการปฏิบัติงานเพื่อประชาชนในการให้บริการเกี่ยวกับที่ดินและอาคาร พ.ศ. 2543 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน
ในการให้บริการเกี่ยวกับที่ดินและอาคาร
พ.ศ. ๒๕๔๓
เพื่อให้การปฏิบัติงานตามคำขอของประชาชนที่ไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน
๑ วันทำการ นับแต่เวลาที่ได้รับคำขอเป็นไปด้วยความสะดวก ประหยัด เพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชน
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนของหน่วยงานของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๓๒ ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้วางระเบียบไว้ดังนี้
ข้อ ๑
ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชนในการให้บริการเกี่ยวกับที่ดินและอาคาร
พ.ศ. ๒๕๔๓"
ข้อ ๒[๑]
ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓
นับแต่วันใช้ระเบียบนี้ให้ยกเลิก
๓.๑ ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชนในการให้บริการเกี่ยวกับที่ดินและอาคาร
พ.ศ. ๒๕๓๖
๓.๒ ระเบียบ คำสั่ง หรือประกาศ ที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ ๔
ในระเบียบนี้
"การปฏิบัติงานเพื่อประชาชน"
หมายถึง การดำเนินการให้บริการของหน่วยงานต่าง ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยจนแล้วเสร็จ ตามคำขอที่ประชาชนยื่นตามข้อบังคับ ระเบียบ
คำสั่ง หรือประกาศ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการเช่า โอนสิทธิการเช่า หรือรับช่วงสิทธิการเช่า
ที่ดิน คลังสินค้า อาคาร หรืออาคารพาณิชย์
"ประชาชน" หมายถึง
ผู้เช่าไม่ว่าในฐานะบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล
"ที่ดิน" หมายถึง
ที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่อยู่นอกเขตรั้วศุลกากร
"อาคาร" หมายถึง อาคารสำนักงาน หรืออาคารแฟลต
ที่ปลูกสร้างในที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกเขตรั้วศุลกากร
"คลังสินค้า" หมายถึง
อาคารคลังสินค้าที่ใช้สำหรับเก็บสินค้าต่าง ๆ ที่ปลูกสร้างในที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกเขตรั้วศุลกากร
"อาคารพาณิชย์" หมายถึง
อาคารตึกแถวที่ปลูกสร้างในที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกเขตรั้วศุลกากร
ข้อ ๕
ให้หน่วยงานต่าง ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยอำนวยความสะดวกและเร่งรัดการปฏิบัติงานตามคำขอของประชาชนให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว
ข้อ ๖
งานที่ไม่สามารถดำเนินการตามคำขอให้แล้วเสร็จภายใน ๑ วันทำการนอกเหนือจากที่ได้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการไว้แล้ว
มีดังนี้
๖.๑ การต่อสัญญาเช่าที่ดิน
๖.๒ การต่อสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามขั้นตอนแนบท้ายระเบียบนี้
ข้อ ๗
ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้
โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัย
ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือหน่วยงานของรัฐ หรือประชาชน ให้ถือว่าเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ข้อ ๘
ให้รองผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ฝ่ายบริหารเป็นผู้รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
พยุงกิจ จิวะมิตร
รองผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ฝ่ายปฏิบัติการ รักษาการในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. ขั้นตอนและระยะเวลาการต่อสัญญาเช่าที่ดิน
๒. ขั้นตอนและระยะเวลาการต่อสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๙ พฤศจิกายน
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๘/ตอนพิเศษ ๒๐ ง/หน้า ๖๗/๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ |
312656 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง พ.ศ. 2543 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง
พ.ศ. ๒๕๔๓
------------
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดระเบียบว่าด้วยการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง
เพื่อคัดเลือกคุณสมบัติของผู้รับเหมาก่อสร้างที่จะเข้าเสนอราคา
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓๒ (๒) ของพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้วางระเบียบไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
"ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการ
จดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง พ.ศ. ๒๕๔๓"
ข้อ
๒
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ
๓ นับแต่วันใช้ระเบียบนี้ให้ยกเลิก
๓.๑
ประกาศการท่าเรือแห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๗
เรื่อง หลักเกณฑ์การจดทะเบียนผู้รับเหมา พ.ศ. ๒๕๓๗
๓.๒
บรรดาระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งอื่นใด ที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ
๔ ในระเบียบนี้
"การท่าเรือ"
หมายความว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย
"ผู้อำนวยการ"
หมายความว่า ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
"เจ้าหน้าที่พัสดุ"
หมายความว่า เจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการพัสดุ หรือผู้ที่
ได้รับการแต่งตั้งหรือได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการ
ให้มีหน้าที่หรือปฏิบัติงานเกี่ยวกับการ
พัสดุ
ตามระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการพัสดุ
"ผู้รับเหมาก่อสร้าง"
หมายความว่า บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วน หรือนิติบุคคล
ซึ่งมีความประสงค์จะผูกนิติสัมพันธ์กับการท่าเรือเกี่ยวกับการก่อสร้างทั้งการจ้างทำของหรือจ้าง
แรงงาน
"ผู้รับเหมาจดทะเบียน"
หมายความว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างที่ได้ผ่านการพิจารณา
คุณสมบัติและได้รับหนังสือสำคัญจากคณะกรรมการพิจารณาการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง
"หนังสือสำคัญ"
หมายความว่า หนังสือที่ออกให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง เพื่อแสดง
ว่าเป็นผู้รับเหมาจดทะเบียนตามระเบียบนี้แล้ว
ข้อ
๕ ให้รองผู้อำนวยการ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย ฝ่ายปฏิบัติการเป็น
ผู้รักษาการตามระเบียบนี้
และให้มีอำนาจหน้าที่ตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติ
ตามระเบียบนี้
หมวด ๑
ประเภทและชั้นของผู้รับเหมาก่อสร้าง
------------
ข้อ
๖ ให้แบ่งประเภทผู้รับเหมาก่อสร้าง
เป็น ๓ ประเภท ดังนี้
๖.๑
งานทาง
๖.๒
งานอาคาร
๖.๓
งานไฟฟ้า
ข้อ
๗ ผู้รับเหมาก่อสร้างงานทาง ได้แก่
ผู้ที่รับดำเนินงานต่าง ๆ ดังนี้
๗.๑
งานถนน ได้แก่ งานก่อสร้าง ปรับปรุง หรือบูรณะถนนลูกรัง ถนน
ลาดยางแอสฟัลต์ ถนนคอนกรีต รวมทั้งสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ
ที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอย
สำหรับถนน
๗.๒
งานพื้นวางสินค้า ได้แก่ งานก่อสร้าง ปรับปรุงหรือบูรณะพื้นที่ โดยใช้
วัสดุต่าง ๆ ให้สามารถรับน้ำหนักได้ตามต้องการ
รวมทั้งสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบ
ของพื้นวางสินค้า
๗.๓
งานระบายน้ำ ได้แก่ งานก่อสร้าง ปรับปรุง หรือบูรณะเกี่ยวกับระบบ
ระบายน้ำ เช่น การวางท่อระบายน้ำ อุโมงค์ระบายน้ำ ประตูน้ำ
การขุดลอกคูคลอง การทำ
ความสะอาดท่อระบายน้ำ หรืองานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
๗.๔
งานเขื่อน ได้แก่ งานก่อสร้าง ปรับปรุง หรือบูรณะเขื่อนกันดิน
เขื่อนกันน้ำ รวมทั้งส่วนประกอบของเขื่อน
ข้อ
๘ ผู้รับเหมาก่อสร้างงานอาคาร
ได้แก่ ผู้ที่รับดำเนินการก่อสร้าง ปรับปรุง
หรือบูรณะอาคาร สิ่งก่อสร้างอื่น ๆ นอกจากที่ระบุไว้ในข้อ ๗
รวมทั้งงานตกแต่งภายใน ภายนอก
อาคาร บริเวณต่อเนื่อง ตลอดจนงานติดตั้ง ก่อสร้าง ปรับปรุง
หรือบูรณะอุปกรณ์เกี่ยวกับอาคารและ
สถานที่ด้วย
ข้อ
๙ ผู้รับเหมาก่อสร้างงานไฟฟ้า
ได้แก่ ผู้ที่รับดำเนินงานระบบไฟฟ้า แสงสว่าง
ไฟฟ้ากำลัง ระบบปรับอากาศ และระบบโทรศัพท์
ข้อ
๑๐
ให้แบ่งชั้นผู้รับเหมาก่อสร้างงานทาง เป็น ๔ ชั้น ดังนี้
๑๐.๑
ชั้นที่ ๑ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่จำกัดวงเงิน
๑๐.๒
ชั้นที่ ๒ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
๑๐.๓
ชั้นที่ ๓ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่เกิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
๑๐.๔
ชั้นที่ ๔ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ
๑๑
ให้แบ่งชั้นผู้รับเหมาก่อสร้างงานอาคาร เป็น ๔ ชั้น ดังนี้
๑๑.๑
ชั้นที่ ๑ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่จำกัดวงเงิน
๑๑.๒
ชั้นที่ ๒ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
๑๑.๓
ชั้นที่ ๓ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่เกิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
๑๑.๔
ชั้นที่ ๔ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ข้อ
๑๒ ให้แบ่งชั้นผู้รับเหมาก่อสร้างงานไฟฟ้า
เป็น ๔ ชั้น ดังนี้
๑๒.๑
ชั้นที่ ๑ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่จำกัดวงเงิน
๑๒.๒
ชั้นที่ ๒ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
๑๒.๓
ชั้นที่ ๓ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่เกิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
๑๒.๔
ชั้นที่ ๔ รับงานจ้างเหมาแต่ละครั้งได้ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
หมวด ๒
การจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง
--------------
ข้อ
๑๓
ให้มีคณะกรรมการพิจารณาการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้างเรียกโดย
ย่อว่า "กพจม." ประกอบด้วย
๑๓.๑
ผู้อำนวยการฝ่ายการช่าง เป็นประธานกรรมการ
๑๓.๒
รองผู้อำนวยการฝ่ายการช่าง เป็นรองประธานกรรมการ
๑๓.๓
ผู้แทนกองช่างโยธา เป็นกรรมการ
๑๓.๔
ผู้แทนกองแบบแผนและคำนวณ เป็นกรรมการ
๑๓.๕
ผู้แทนกองช่างไฟฟ้า เป็นกรรมการ
๑๓.๖
ผู้แทนกองพัสดุ เป็นกรรมการ
๑๓.๗
ผู้แทนกองกฎหมาย เป็นกรรมการ
๑๓.๘
ผู้แทนท่าเรือแหลมฉบัง เป็นกรรมการ
๑๓.๙
ผู้แทนฝ่ายการช่าง เป็นกรรมการและ
เลขานุการ
สำหรับกรรมการลำดับที่
๑๓.๓ - ๑๓.๙ ต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่า
ระดับ ๑๐
ข้อ
๑๔ ให้ กพจม. มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑๔.๑
พิจารณากำหนดคุณสมบัติของผู้รับเหมาก่อสร้างแต่ละประเภท
แต่ละชั้น
๑๔.๒
ดำเนินการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง
๑๔.๓
พิจารณาเลื่อนหรือลดชั้นของผู้รับเหมาจดทะเบียน
๑๔.๔
พิจารณาโทษผู้รับเหมาจดทะเบียนที่กระทำผิดระเบียบนี้
๑๔.๕
เชิญบุคคลผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล คำแนะนำ คำปรึกษา หรือข้อ
เสนอแนะได้ตามความจำเป็น
๑๔.๖
ปฏิบัติงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
ข้อ
๑๕ ในการประชุม กพจม. แต่ละครั้ง
ต้องมีกรรมการเข้าประชุมไม่น้อยกว่า
กึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงเป็นองค์ประชุมได้
ข้อ
๑๖ การลงมติในที่ประชุม กพจม.
ให้ถือเสียงข้างมาก โดยให้กรรมการคน
หนึ่งมีหนึ่งเสียงในการลงมติ
ถ้าเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่ง
เป็นเสียงชี้ขาด
ข้อ
๑๗ ให้ กพจม.
พิจารณากำหนดคุณสมบัติของผู้รับเหมาก่อสร้างแต่ละ
ประเภทและชั้น แล้วเสนอขอความเห็นชอบต่อผู้อำนวยการ
หรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบหมาย
ข้อ
๑๘
คุณสมบัติของผู้รับเหมาก่อสร้างตามข้อ ๑๗ ให้เป็นไปตามที่การท่าเรือ
กำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
๑๘.๑
ฐานะการเงิน
๑๘.๒
สมรรถภาพในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ และ/หรือโรงงาน
๑๘.๓
ประสบการณ์ และผลงานที่มีลักษณะและประเภทเดียวกันกับที่ขอจดทะเบียน
ข้อ
๑๙ ให้ กพจม.
ดำเนินการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้างใหม่ ต่ออายุ
หนังสือสำคัญ เลื่อนหรือลดชั้นผู้รับเหมาจดทะเบียน
แก้ไขเปลี่ยนแปลงฐานะกิจการและ
คุณสมบัติที่ผิดไปจากที่แสดงหลักฐานไว้เดิม
และยกเลิกการจดทะเบียนแล้วรายงานให้ผู้อำนวย
การ
หรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบหมายเพื่ออนุมัติให้เสร็จสิ้นภายใน ๖๐ วัน
นับแต่วันรับคำขอ หรือ
ได้รับรายงานขอให้ยกเลิกการจดทะเบียน
ข้อ
๒๐
เมื่อได้รับอนุมัติการจดทะเบียนใหม่ หรือต่ออายุ เลื่อนหรือลดชั้น
ให้ประธานกรรมการ กพจม. ออกหนังสือสำคัญการจดทะเบียนตามประเภทและชั้นที่ได้รับอนุมัติ
โดยให้มีอายุ ๓ ปีนับจากวันที่ได้รับอนุมัติ
ในกรณีแก้ไขเปลี่ยนแปลงฐานะกิจการหรือคุณสมบัติที่ผิดไปจากที่แสดง
หลักฐานไว้เดิม ให้แจ้งการเปลี่ยนแปลงต่อ กพจม. และ กพจม.
อาจพิจารณาจดทะเบียนใหม่
หรือให้ใช้หนังสือสำคัญต่อไปจนหมดอายุก็ได้
ข้อ
๒๑
ผู้รับเหมาจดทะเบียนที่ไม่ยื่นคำขอต่ออายุก่อนที่หนังสือสำคัญหมดอายุ
ให้ถือว่าพ้นสภาพการเป็นผู้รับเหมาจดทะเบียน
ผู้รับเหมาก่อสร้างซึ่งพ้นสภาพตามวรรคแรก
ถ้าประสงค์จะจดทะเบียนใหม่ จะ
ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนตามระเบียบนี้เป็นผู้รับเหมาจดทะเบียนรายใหม่
ข้อ
๒๒
ผู้รับเหมาจดทะเบียนที่ประสงค์จะขอเลื่อนชั้นให้แจ้งความประสงค์เป็น
หนังสือพร้อมหลักฐาน
คุณสมบัติประกอบตามชั้นที่ประสงค์จะขอเลื่อนต่อ กพจม. เพื่อพิจารณา
ดำเนินการต่อไป
ข้อ
๒๓ ห้าม กพจม.
รับจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้างที่ถูกเพิกถอนชื่อจาก
ทะเบียนเป็นการถาวร ตามข้อ ๒๘.๑
การรับจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้างที่ถูกเพิกถอนชื่อจากทะเบียนเป็นการ
ชั่วคราว ตามข้อ ๒๘.๒ จะกระทำมิได้จนกว่าเวลาผ่านพ้นไปแล้ว
๕ ปี นับแต่วันที่ประกาศ
เพิกถอนชื่อจากทะเบียน
ข้อ
๒๔
ในการจดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้าง ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการ
จดทะเบียนผู้รับเหมาก่อสร้างทุกประเภท
และลำดับชั้นตามอัตราที่การท่าเรือกำหนดค่าธรรม
เนียมการจดทะเบียนดังกล่าวให้เป็นรายได้ของการท่าเรือ
หมวด ๓
การยื่นเอกสารเสนอราคา
------------
ข้อ
๒๕ ในการจ้างเหมาก่อสร้างของการท่าเรือ
ตามระเบียบการท่าเรือ
แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุ
ให้ผู้รับเหมาจดทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิซื้อหรือรับเอกสาร และ
ยื่นเอกสารเสนอราคา
โดยจะต้องแสดงหนังสือสำคัญต่อเจ้าหน้าที่หรือคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งแนบสำเนาหนังสือสำคัญประกอบการยื่นเอกสารทุกครั้ง
ผู้รับเหมาจดทะเบียนแต่ละชั้นจะซื้อหรือรับเอกสารและยื่นเสนอราคาในชั้นที่
สูงกว่าชั้นที่จดทะเบียนไว้ไม่ได้
แต่มีสิทธิซื้อหรือรับเอกสารและยื่นเสนอราคาในชั้นที่ต่ำกว่า
ชั้นที่จดทะเบียนไว้ได้
ข้อ
๒๖
การท่าเรือขอสงวนสิทธิ์ที่จะเปิดโอกาสให้บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วน
หรือนิติบุคคลทั่วไปมีสิทธิซื้อหรือรับเอกสารและยื่นเสนอราคาได้ในกรณีดังต่อไปนี้
๒๖.๑
เป็นงานต้องจำกัดเฉพาะผู้ที่มีความสามารถพิเศษ
๒๖.๒
ลักษณะของงานไม่ตรงกับประเภทของผู้รับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนไว้
๒๖.๓
งานอื่นๆ ที่การท่าเรือเห็นสมควร
การดำเนินการตามวรรคแรก
ให้เจ้าหน้าที่พัสดุพิจารณาเสนอขออนุมัติต่อ
ผู้อำนวยการ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการ
เป็นกรณีๆ ไป
ข้อ
๒๗
การพิจารณาผลการยื่นซองเสนอราคาในคราวใด หากปรากฏว่ามี
ผู้เสนอราคาที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
ให้เจ้าหน้าที่หรือคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องแจ้งให้ กพจม.
พิจารณาโทษผู้รับเหมาจดทะเบียนรายนั้น
หมวด ๔
บทกำหนดโทษ
------------
ข้อ
๒๘ โทษของผู้รับเหมาจดทะเบียน
มีดังนี้
๒๘.๑
เพิกถอนชื่อจากทะเบียนเป็นการถาวร
๒๘.๒
เพิกถอนชื่อจากทะเบียนเป็นการชั่วคราว
๒๘.๓
ตัดสิทธิมิให้เข้ารับเหมาก่อสร้างในระยะเวลาที่กำหนด
ข้อ
๒๙
ผู้รับเหมาจดทะเบียนที่จะได้รับโทษตามข้อ ๒๘.๑ จะต้องปรากฏการ
กระทำผิดดังต่อไปนี้
๒๙.๑
ได้รับการแจ้งเวียนชื่อให้เป็นผู้ทิ้งงานของทางราชการ
๒๙.๒
เป็นผู้ทิ้งงานของการท่าเรือ โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ข้อ
๓๐
ผู้รับเหมาจดทะเบียนที่จะได้รับโทษตามข้อ ๒๘.๒ จะต้องปรากฏการ
กระทำผิดดังต่อไปนี้
๓๐.๑
เป็นผู้ถูกบอกเลิกสัญญาเว้นแต่ไม่ใช่การกระทำผิดของผู้รับเหมา
จดทะเบียน
๓๐.๒
เป็นผู้รับเหมาจดทะเบียนที่กระทำผิดตามข้อ ๒๗
๓๐.๓
มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าเป็นผู้ไร้สมรรถภาพในการบริหารงาน
ข้อ
๓๑ การตัดสิทธิมิให้เข้ารับเหมาก่อสร้างตามข้อ ๒๘.๓ ให้เป็นไปตามที่
กำหนดไว้ดังต่อไปนี้
๓๑.๑
เป็นผู้รับเหมาจดทะเบียนที่ทำผิดแบบรายการอยู่เสมอ ทำงานล่าช้า
หรือไม่ต่อเนื่อง
หรือปฏิบัติงานที่อาจเกิดความเสียหายแก่การท่าเรือโดยไม่มีเหตุอันสมควร
ให้ตัดสิทธิรับเหมาก่อสร้างเป็นเวลา ๒
ปีนับแต่วันที่มีประกาศตามข้อ ๓๒
๓๑.๒
เป็นผู้รับเหมาจดทะเบียนที่ได้รับแจ้งให้แก้ไขหรือซ่อมแซมงานที่
อยู่ในระหว่างรับประกันผลงานแล้วไม่ดำเนินการตามกำหนด
ให้ตัดสิทธิเข้ารับเหมาก่อสร้าง
เป็นเวลา๒ ปี นับแต่วันที่มีประกาศตามข้อ ๓๒
๓๑.๓.
เป็นผู้รับเหมาจดทะเบียนที่ไม่มาชี้แจงตามที่การท่าเรือแจ้งไป
โดยไม่มีเหตุอันควร
ให้ตัดสิทธิเข้าเสนอราคาเป็นเวลา ๑ ปีนับแต่วันที่มีประกาศตามข้อ ๓๒
ข้อ
๓๒ เมื่อ กพจม.
ได้พิจารณาโทษผู้รับเหมาจดทะเบียนแล้ว ให้รายงานต่อ
ผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวยการมอบหมาย
เพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนประกาศให้ผู้รับเหมา
จดทะเบียนทราบโดยทั่วกัน
ข้อ
๓๓
ผู้รับเหมาจดทะเบียนที่ถูกลงโทษมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อ กพจม. ภายใน
๓๐ วันนับแต่วันประกาศลงโทษ และให้ กพจม.
พิจารณาเสนอผู้อำนวยการหรือผู้ที่ผู้อำนวย
การมอบหมาย เพื่อวินิจฉัยชี้ขาดภายใน ๙๐
วันนับจากวันได้รับคำอุทธรณ์
คำวินิจฉัยชี้ขาดตามวรรคแรกให้ถือเป็นที่สุด
หมวด ๕
บทเฉพาะกาล
------------
ข้อ
๓๔
ผู้รับเหมาก่อสร้างที่ยื่นขอจดทะเบียนไว้ตามประกาศการท่าเรือ
แห่งประเทศไทย ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๗ เรื่อง
หลักเกณฑ์การจดทะเบียนผู้รับเหมา
พ.ศ. ๒๕๓๗ และได้รับความเห็นชอบแล้ว
ให้ได้รับสิทธิการจดทะเบียนโดยเสียค่าธรรมเนียม
การจดทะเบียนตามข้อ ๒๔ เฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้น
และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามระเบียบนี้
ข้อ
๓๕ การพิจารณากำหนดคุณสมบัติของผู้รับเหมาก่อสร้างตามข้อ
๑๗ ให้
กพจม. ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑๒๐
วันนับแต่วันประกาศใช้ระเบียบนี้
ข้อ
๓๖
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับกับการจ้างเหมาก่อสร้างของท่าเรือแหลมฉบัง
เมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้ระเบียบนี้
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
พยุงกิจ จิวะมิตร
รองผู้อำนวยการ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ฝ่ายปฏิบัติการ
รักษาการในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
[รก.๒๕๔๔/พ๒๐ง/๗๐/๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔]
ปรียนันท์/แก้ไข |
311852 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชนของท่าเรือแหลมฉบัง พ.ศ. 2542 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงาน
เพื่อประชาชนของท่าเรือแหลมฉบัง
พ.ศ. ๒๕๔๒
เพื่อการปฏิบัติงานตามคำขอของประชาชนที่ไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน
๑ วันทำการ นับแต่เวลาที่ได้รับคำขอเป็นไปด้วยความสะดวก ประหยัด เพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชน
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนของหน่วยงานของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๓๒ ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒)แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ดังนี้
ข้อ ๑
ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน
ของท่าเรือแหลมฉบัง พ.ศ. ๒๕๔๒"
ข้อ ๒[๑]
ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓
นับแต่วันใช้ระเบียบนี้ ให้ยกเลิกระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชนของท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง
พ.ศ. ๒๕๓๖ รวมทั้งข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง หรือประกาศอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ ๔
ในระเบียบนี้
"การปฏิบัติงานเพื่อประชาชน"
หมายถึง การดำเนินการให้บริการของหน่วยงานต่าง ๆ ของท่าเรือแหลมฉบังจนแล้วเสร็จ ตามคำขอที่ประชาชนยื่นตามข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง
หรือประกาศ ของท่าเรือแหลมฉบัง การท่าเรือแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับเรือหรือสินค้าหรือกิจการอื่นที่เกี่ยวข้อง
"ประชาชน" หมายถึง บุคคลธรรมดา นิติบุคคล
หรือคณะบุคคลที่กฎหมายรับรอง ซึ่งเป็นผู้ยื่นคำขอ
ข้อ ๕
ให้หน่วยงานต่าง ๆ ของท่าเรือแหลมฉบังอำนวยความสะดวก และเร่งรัดการปฏิบัติงานตามคำขอของประชาชนให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว
ข้อ ๖
งานที่ไม่สามารถดำเนินการตามคำขอให้แล้วเสร็จภายใน ๑ วันทำการ
นอกเหนือจากที่ได้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการไว้แล้ว มีดังนี้
๖.๑
การคืนเงินหรือหนังสือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
๖.๒
การคืนเงินมัดจำค่าภาระให้แก่เจ้าของหรือตัวแทนเจ้าของเรือหรือเจ้าของสินค้า
๖.๓ การคืนเงินหรือสัญญาค้ำประกัน สัญญาซื้อขายหรือจัดจ้าง
๖.๔ การขอจดทะเบียนสำหรับผู้ประกอบกิจการส่งเสบียง
และของใช้ให้แก่เรือเดินทะเลต่างประเทศ
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามขั้นตอนแนบท้ายระเบียบนี้
ข้อ ๗
ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัย
ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้
อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อท่าเรือแหลมฉบัง
การท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานของรัฐ หรือประชาชน
ให้ถือว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ข้อ ๘
ให้ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง เป็นผู้รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๙
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒
ถาวร
จุณณานนท์
ผู้อำนวยการ
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ขั้นตอนการคืนเงินหรือหนังสือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
๒.
ขั้นตอนการคืนเงินมัดจำค่าภาระให้เจ้าของหรือตัวแทนเจ้าของเรือหรือเจ้าของสินค้า
๓.
ขั้นตอนการคืนเงินหรือหนังสือสัญญาค้ำประกัน สัญญาซื้อขายหรือจัดจ้าง
๔.
ขั้นตอนการขอจดทะเบียนสำหรับผู้ประกอบกิจการส่งเสบียงและของใช้ให้แก่เรือเดินทะเลต่างประเทศ
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๘ พฤศจิกายน
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนพิเศษ ๔๔ ง/หน้า ๖๒/๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๓ |
323044 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน พ.ศ. 2542 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน
พ.ศ. ๒๕๔๒
เพื่อให้การปฏิบัติงานตามคำขอของประชาชนที่ไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน
๑ วันทำการ นับแต่เวลาที่ได้รับคำขอเป็นไปด้วยความสะดวก ประหยัด เพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชน
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนของหน่วยงานของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๓๒ ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒)แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ดังนี้
ข้อ ๑
ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน
พ.ศ. ๒๕๔๒"
ข้อ ๒[๑]
ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓ นับแต่วันใช้ระเบียบนี้ให้ยกเลิกระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน พ.ศ. ๒๕๓๒ และ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๓๖ รวมทั้งข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง หรือประกาศอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ ๔
ในระเบียบนี้
"การปฏิบัติงานเพื่อประชาชน"
หมายถึง การดำเนินการให้บริการของหน่วยงานต่าง ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยจนแล้วเสร็จตามคำขอที่ประชาชนยื่นตามข้อบังคับ
ระเบียบ คำสั่ง หรือประกาศ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับเรือหรือสินค้า
หรือกิจการอื่นที่เกี่ยวข้อง
"ประชาชน" หมายถึง บุคคลธรรมดา นิติบุคคล
หรือคณะบุคคลที่กฎหมายรับรอง ซึ่งเป็นผู้ยื่นคำขอ
ข้อ ๕ ให้หน่วยงานต่าง
ๆ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยอำนวยความสะดวกและเร่งรัดการปฏิบัติงานตามคำขอของประชาชนให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว
ข้อ ๖
งานที่ไม่สามารถดำเนินการตามคำขอให้แล้วเสร็จภายใน ๑ วันทำการนอกเหนือจากที่ได้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการไว้แล้ว
มีดังนี้
๖.๑ การวางเงินหรือสัญญาค้ำประกัน
หรือต่ออายุสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
๖.๒ การคืนเงินหรือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
(กรณีต่อสัญญาค้ำประกัน)
๖.๓ การคืนเงินหรือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
(กรณีเลิกใช้บริการเงินเชื่อ)
๖.๔ การคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของหรือตัวแทน
๖.๕ การคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของสินค้า
๖.๖ การเปิดใช้บริการเงินประกันธรรมเนียมล่วงหน้า
๖.๗ การขอบัตรอนุญาตเข้าบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทย
๖.๘ การขอบัตรประจำตัวผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามขั้นตอนแนบท้ายระเบียบนี้
ข้อ ๗
ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัย
ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือหน่วยงานของรัฐ หรือประชาชน ให้ถือว่าเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ข้อ ๘
ให้รองผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ฝ่ายบริหาร เป็นผู้รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๙
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒
ถาวร
จุณณานนท์
ผู้อำนวยการ
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ขั้นตอนการวางเงินหรือสัญญาค้ำประกัน
หรือต่ออายุสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
๒.
ขั้นตอนการคืนเงินหรือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ (กรณีต่อสัญญาค้ำประกัน)
๓.
ขั้นตอนการคืนเงินหรือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
(กรณีเลิกใช้บริการเงินเชื่อ)
๔.ขั้นตอนการคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
๕.
ขั้นตอนการคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของสินค้า
๖.
ขั้นตอนการเปิดใช้บริการเงินประกันธรรมเนียมล่วงหน้า
๗.
ขั้นตอนการขอบัตรอนุญาตเข้าบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทย
๘.
ขั้นตอนการขอทำบัตรประจำตัวผู้ทำหน้าที่บรรทุก
หรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๘ พฤศจิกายน
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนพิเศษ ๔๔ ง/หน้า ๕๙/๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๓ |
311851 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยวิธีการปฏิบัติในการให้บริการข้อมูลข่าวสารของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2542 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยวิธีการปฏิบัติในการให้บริการข้อมูลข่าวสารของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๒
----------
เพื่อให้การให้บริการข้อมูลข่าวสารของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
สอดคล้อง
กับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒
(๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้กำหนดระเบียบ
เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการให้บริการข้อมูลข่าวสารไว้ดังนี้
ข้อ
๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
"ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วย
วิธีปฏิบัติในการให้บริการข้อมูลข่าวสารของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๒"
ข้อ
๒ ให้ใช้ระเบียบนี้
ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ
๓ ในระเบียบนี้
"กทท." หมายถึง การท่าเรือแห่งประเทศไทย
"คณะกรรมการ" หมายถึง คณะกรรมการที่ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่ง
ประเทศไทย
แต่งตั้งเพื่อพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
"ศบก." หมายถึง ศูนย์บริการการให้บริการและข้อมูลข่าวสารของ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
"ข้อมูลข่าวสาร" หมายถึง
ข้อมูลข่าวสารของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
"อ.ศบก." หมายถึง ผู้อำนวยการศูนย์บริการการให้บริการและข้อมูล
ข่าวสารของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
"พนักงาน" หมายถึง พนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย
"ผู้ร้องขอ" หมายถึง ผู้ใช้บริการหรือประชาชนทั่วไป
"หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง" หมายถึง หน่วยงานต่าง ๆ
ในสังกัดการท่าเรือ
แห่งประเทศไทย
ข้อ
๔ ให้ ศบก.
เป็นหน่วยงานกลางในการติดต่อประสานงานเกี่ยวกับ
การให้ข้อมูลข่าวสาร
ข้อ
๕ ให้ ศบก.
มีอำนาจหน้าที่ให้บริการข้อมูลข่าวสาร โดยดำเนินการ
ดังนี้
๕.๑ รวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและทันสมัย
๕.๒ รวบรวมข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยได้ไว้เพื่อจำหน่าย หรือจ่ายแจก
๕.๓ อำนวยความสะดวก ให้คำแนะนำแก่ผู้ร้องขอ
๕.๔ ข้อมูลข่าวสารใดที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ให้แจ้งแก่ผู้ร้องขอทราบ
พร้อมเหตุผล
๕.๕ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวก
ในการให้ข้อมูลข่าวสาร
๕.๖ กำหนดหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติในการขอข้อมูลข่าวสาร
ข้อ
๖
เมื่อมีผู้มาติดต่อขอข้อมูลข่าวสารด้วยตนเอง ให้ ศบก. ดำเนินการ
กรอกแบบการให้บริการข้อมูลข่าวสารของ กทท.
และให้ผู้ร้องขอลงนามก่อนนำเสนอ
อ.ศบก. พิจารณาดำเนินการ
ในกรณีแจ้งการร้องขอทางโทรศัพท์
โทรสาร หรือวิธีการอื่นใด นอกจาก
การติดต่อโดยตรงด้วยตนเอง ให้ ศบก.
ดำเนินการกรอกแบบการให้บริการข้อมูลข่าวสาร
ของ กทท. แล้วนำเสนอ อ.ศบก. พิจารณาดำเนินการ
ข้อ
๗ ให้ ศบก.
ดำเนินการในการให้ข้อมูลข่าวสาร ดังนี้
๗.๑ ให้ข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยได้ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติข้อมูล
ข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ แก่ผู้ร้องขอ
โดยผู้ร้องขอต้องมาลงนามเพื่อรับเอกสาร
ภายในกำหนด ๗ วันทำการ
๗.๒ ในกรณีที่ข้อมูลข่าวสารใดที่ ศบก. ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าจะเปิดเผย
ได้หรือไม่
ให้ส่งข้อมูลข่าวสารนั้นให้คณะกรรมการเป็นผู้วินิจฉัยแล้วเสนอผู้อำนวยการกทท.
สั่งการ
๗.๓ อำนวยความสะดวก
และ/หรือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อขอข้อมูลในกรณีที่ไม่มีข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานนั้น ๆ
ที่ ศบก.
ข้อ
๘
ในกรณีผู้ร้องขอข้อมูลข่าวสารประสงค์ให้รับรองสำเนาข้อมูล
ข่าวสาร ให้หน่วยงานที่เป็นเจ้าของเอกสารหรือพนักงานในสังกัด
ศบก. ตั้งแต่ระดับหัวหน้า
แผนกหรือเทียบเท่าขึ้นไป เป็นผู้ลงนามรับรองสำเนาเอกสาร
ข้อ
๙
หน่วยงานที่เป็นเจ้าของเอกสารหรือครอบครองเอกสารข้อมูล
ข่าวสารจะต้องปฏิบัติ
และให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลข่าวสารกับ ศบก. เพื่อปฏิบัติ
ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ข้อ
๑๐ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
หรือยกเว้นค่าธรรมเนียมการขอ
ข้อมูลข่าวสารให้เป็นไปตามที่ กทท.กำหนด
ข้อ
๑๑ ให้ผู้อำนวยการ กทท.
รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๒
ถาวร จุณณานนท์
ผู้อำนวยการ
[รกง๒๕๔๓/พ.๔๔ง/๕๕/๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๓] |
311850 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการจดทะเบียนผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ พ.ศ. 2542 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการจดทะเบียนผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้า
เรือเดินทะเลต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบเกี่ยวกับการจดทะเบียนผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบันและถูกต้องตามกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๐๐)
อาศัยอำนาจตามมาตรา ๓๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
จึงให้ตราระเบียบขึ้นไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑
ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการจดทะเบียนผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๔๒"
ข้อ ๒[๑]
ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓
นับแต่วันใช้ระเบียบนี้ให้ยกเลิกระเบียบว่าด้วยการจดทะเบียนผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ พ.ศ.
๒๕๐๓ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๐๖ และ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๑๐ รวมทั้งบรรดาระเบียบ
คำสั่ง หรือประกาศอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
ข้อ ๔
บุคคลซึ่งต้องจดทะเบียนเป็นผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
คือ
๔.๑ หัวหน้าซึ่งชำนาญงาน
๔.๒ หัวหน้าสาย
๔.๓ คนให้สัญญาปากระวาง
๔.๔ คนใช้กว้าน
๔.๕ คนปลดขอหน้าท่า
๔.๖ กรรมกรท้องเรือ
ข้อ ๕
บุคคลใดประสงค์ขอจดทะเบียนเพื่อทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนที่แผนกบรรทุกและขนส่งถ่ายสินค้าท่าเรือกรุงเทพ
ในเวลาปฏิบัติงานพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้
๕.๑
ใบรับรองของผู้ประกอบกิจการบรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศ
๕.๒ รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ขนาด ๓ x ๔ ซม. ๓
รูป และลงลายมือชื่อผู้ขอจดทะเบียนกำกับบนด้านหลังของรูป
๕.๓ สำเนาทะเบียนบ้านที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ในขณะขอจดทะเบียน
๕.๔ ใบสำคัญที่ทางราชการออกให้ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน
หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวหรือใบสำคัญทหารกองหนุน หรือใบสำคัญทหารกองเกินอย่างใดอย่างหนึ่ง
ข้อ ๖
บุคคลซึ่งประสงค์ขอจดทะเบียน ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
๖.๑ มีความประพฤติเรียบร้อย
๖.๒ ไม่เป็นผู้วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
๖.๓ ไม่เป็นผู้มีร่างกายพิการ
ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความเหมาะสม
๖.๔ ไม่เป็นโรคเรื้อน วัณโรคในระยะอันตราย
โรคยาเสพติดให้โทษร้ายแรงหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง
ข้อ ๗
เมื่อแผนกบรรทุกและขนถ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ ตรวจหลักฐานและเอกสารต่าง ๆ
ถูกต้องแล้วให้ส่งผู้ขอจดทะเบียนไปตรวจสุขภาพที่กองการแพทย์ฝ่ายการบุคคล
ข้อ ๘
บุคคลซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยรับจดทะเบียน สามารถรับบัตรใบสำคัญการจดทะเบียนผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศจากแผนกบรรทุกและขนถ่ายสินค้า
ท่าเรือกรุงเทพ ได้ภายในสิบห้าวันนับแต่ยื่นคำขอโดยต้องชำระค่าธรรมเนียมฉบับละ ๕๐
บาท และมีอายุ ๕ ปี
ข้อ ๙
ให้บุคคลในข้อ ๔.๒, ๔.๓, ๔.๔, ๔.๕ และ ๔.๖ ซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยรับจดทะเบียนเป็นผู้ทำหน้าที่บรรทุกหรือขนถ่ายสินค้าเรือเดินทะเลต่างประเทศแล้ว
ติดแผ่นป้ายทำด้วยโลหะหรือพลาสติกขนาดกว้าง ๒.๕ ซม. ยาว ๗ ซม.พื้นสีแดงตัวอักษรสีขาวแสดงชื่อ
บริษัท ห้าง ร้าน นิติบุคคล ซึ่งบุคคลนั้นสังกัดอยู่นอกเสื้อด้านขวาให้เห็นได้โดยชัดเจนตลอดเวลาที่ปฏิบัติงานอยู่ในอาณาบริเวณของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ณ ท่าเรือกรุงเทพ
สำหรับบุคคลในข้อ ๔.๑
ให้ติดแผ่นป้ายเช่นเดียวกับที่กล่าวในวรรคแรกแต่ให้เพิ่มข้อความว่า
"หัวหน้าซึ่งชำนาญงาน" ไว้ใต้อักษรแสดงชื่อบริษัท ห้าง ร้านนิติบุคคล
ข้อ ๑๐
เมื่อข้อความในคำขอจดทะเบียนนอกจากที่เกี่ยวกับคุณสมบัติได้เปลี่ยนแปลงไป
หรือบัตรใบสำคัญการจดทะเบียนสูญหาย ให้ผู้ถือบัตรยื่นคำร้องขอเปลี่ยนแปลงหรือออกใบแทนบัตรใบสำคัญการจดทะเบียนที่สูญหาย
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือทราบว่าบัตรใบสำคัญการจดทะเบียนสูญหาย
ต่อแผนกบรรทุกและขนถ่ายสินค้า ท่าเรือกรุงเทพ ในกรณีใบสำคัญสูญหายให้นำหลักฐานการแจ้งความสูญหายต่อพนักงานสอบสวนมาแสดงด้วยพร้อมกับชำระค่าธรรมเนียมตามข้อ
๘ ด้วย
ข้อ ๑๑
ให้ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้และให้มีอำนาจออกคำสั่งหรือประกาศเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๒
ถาวร จุณณานนท์
ผู้อำนวยการ
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๗/ตอนพิเศษ ๔๔ ง/หน้า ๕๑/๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๓ |
301564 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชนในการให้บริการเกี่ยวกับที่ดินและอาคาร พ.ศ. 2536 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน
ในการให้บริการเกี่ยวกับที่ดินและอาคาร
พ.ศ. ๒๕๓๖
เพื่อให้การปฏิบัติงานตามคำขอของประชาชนที่ไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน
๑ วันทำการนับแต่เวลาที่ได้รับคำขอเป็นไปด้วยความสะดวก ประหยัดเพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชน
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนของหน่วยงานของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๓๒ ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ดังนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชนในการให้บริการเกี่ยวกับที่ดินและอาคาร
พ.ศ. ๒๕๓๖
ข้อ ๒[๑] ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓ นับแต่วันใช้ระเบียบนี้ ให้ยกเลิกระเบียบ
ข้อบังคับ คำสั่ง หรือประกาศที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ ๔ ในระเบียบนี้
การปฏิบัติงานเพื่อประชาชน หมายถึง
การดำเนินการให้บริการของหน่วยงานต่าง ๆ ของท่าเรือแห่งประเทศไทยจนแล้วเสร็จ
ตามคำขอที่ประชาชนยื่นตามระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือประกาศ
ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการเช่า โอนสิทธิการเช่า
หรือรับช่วงสิทธิการเช่า ที่ดิน คลังสินค้า อาคารหรืออาคารพาณิชย์
ประชาชน หมายถึง
ผู้เช่าไม่ว่าในฐานะบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
ที่ดิน หมายถึง ที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ที่อยู่นอกเขตรั้วศุลกากร
อาคาร หมายถึง อาคารสำนักงาน หรืออาคารแฟลต ที่ปลูกสร้างในที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกเขตรั้วศุลกากร
คลังสินค้า หมายถึง
อาคารคลังสินค้าที่ใช้สำหรับเก็บสินค้าต่าง ๆ ที่ปลูกสร้างในที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกเขตรั้วศุลกากร
อาคารพาณิชย์ หมายถึง
อาคารตึกแถวที่ปลูกสร้างในที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนอกเขตรั้วศุลกากร
ข้อ ๕ ให้หน่วยงานต่าง ๆ
ของท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบังอำนวยความสะดวกและเร่งรัดการปฏิบัติงานตามคำขอของประชาชนให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว
ข้อ ๖ งานที่ไม่สามารถดำเนินการตามคำขอให้แล้วเสร็จภายใน
๑ วันทำการ นอกเหนือจากที่ได้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการไว้แล้ว มีดังนี้
๖.๑ การขอเช่า โอนสิทธิการเช่า รับช่วงสิทธิการเช่า ที่ดิน
คลังสินค้า อาคาร หรืออาคารพาณิชย์
๖.๒ การทำสัญญาเช่า โอนสิทธิการเช่า รับช่วงสิทธิการเช่า
ที่ดิน คลังสินค้า อาคาร หรืออาคารพาณิชย์
๖.๓ การออกหนังสือรับรองการเช่าที่ดิน
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามขั้นตอนแนบท้ายระเบียบนี้
ข้อ ๗ ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้
โดยไม่มีเหตุผลอันควรให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัย
ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการท่าเรือแห่งประเทศไทย
หรือหน่วยงานของรัฐหรือประชาชน ให้ถือว่าเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ข้อ ๘ ให้รองผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย
ฝ่ายบริหาร เป็นผู้รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๓๗
พลเรือโท สมนึก
เทพวัลย์
ผู้อำนวยการ
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ขั้นตอน การขอเช่า โอนสิทธิการเช่า รับช่วงสิทธิการเช่า ที่ดิน คลังสินค้า อาคาร
อาคารพาณิชย์
๒.
ขั้นตอน การทำสัญญาเช่า โอนสิทธิการเช่า รับช่วงสิทธิการเช่า ที่ดิน คลังสินค้า
อาคารหรืออาคารพาณิชย์
๓.
ขั้นตอนการออกหนังสือรับรองการเช่าที่ดิน
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๘ พฤศจิกายน
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๑/ตอนพิเศษ ๓๐ ง/หน้า ๒๘/๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓๗ |
318604 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน (ฉบับที่2) พ.ศ. 2536 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๓๖
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ดังนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๓๖
ข้อ ๒[๑] ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓
ให้ยกเลิกความในข้อ ๖ ของระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน พ.ศ. ๒๕๓๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๖ งานที่ไม่สามารถดำเนินการตามคำขอให้แล้วเสร็จภายใน ๑
วัน ทำการนอกเหนือจากที่ได้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการไว้แล้วมีดังนี้
๖.๑ การวางเงินหรือสัญญาค้ำประกัน หรือต่ออายุสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
๖.๒ การคืนเงินหรือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
(กรณีต่อสัญญาค้ำประกัน)
๖.๓ การคืนเงินหรือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ(กรณีเลิกใช้บริการเงินเชื่อ)
๖.๔ การคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
๖.๕ การคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของสินค้า
๖.๖ การเปิดใช้บริการเงินประกันธรรมเนียมล่วงหน้า
๖.๗ การขอบัตรอนุญาตเข้าบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามขั้นตอนแนบท้ายระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๓๗
พลเรือโท สมนึก
เทพวัลย์
ผู้อำนวยการ
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ขั้นตอนการวางเงินหรือสัญญาค้ำประกัน
หรือต่ออายุสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
๒.
ขั้นตอนการคืนเงินหรือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ (กรณีต่อสัญญาค้ำประกัน)
๓.
ขั้นตอนการคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของหรือตัวแทนเจ้าของเรือ
๔.
ขั้นตอนการคืนเงินประกันค่าภาระและค่าบริการให้เจ้าของสินค้า
๕.
ขั้นตอนการเปิดใช้บริการเงินประกันธรรมเนียมล่วงหน้า
๖.
ขั้นตอนการขอบัตรอนุญาตเข้าบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๘ พฤศจิกายน
๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๑/ตอนพิเศษ ๓๐ ง/หน้า ๒๓/๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓๗ |
301563 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชนของท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง พ.ศ. 2536 | ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน
ของท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง
พ.ศ. ๒๕๓๖
เพื่อให้การปฏิบัติงานตามคำขอของประชาชนที่ไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน
๑ วันทำการนับแต่เวลาที่ได้รับคำขอเป็นไปด้วยความสะดวก ประหยัดเพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชน
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนของหน่วยงานของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๓๒ ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงให้วางระเบียบขึ้นไว้ดังนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานเพื่อประชาชนของท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง
พ.ศ. ๒๕๓๖
ข้อ ๒[๑] ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓ นับแต่วันใช้ระเบียบนี้ ให้ยกเลิกระเบียบ ข้อบังคับ
คำสั่ง หรือประกาศที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้
ข้อ ๔ ในระเบียบนี้
การปฏิบัติงานเพื่อประชาชน หมายถึง
การดำเนินการให้บริการของหน่วยงานต่าง ๆ ของท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบังจนแล้วเสร็จ
ตามคำขอที่ประชาชนยื่นตามระเบียบข้อบังคับ คำสั่ง หรือประกาศของท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง
การท่าเรือแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับเรือหรือสินค้าหรือกิจการอื่นที่เกี่ยวข้อง
ประชาชน หมายถึง บุคคลธรรมดา นิติบุคคล
หรือคณะบุคคลที่กฎหมายรับรองซึ่งเป็นผู้ยื่นคำขอ
ข้อ ๕ ให้หน่วยงานต่าง ๆ
ของท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบังอำนวยความสะดวกและเร่งรัดการปฏิบัติงานตามคำขอของประชาชนให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว
ข้อ ๖ งานที่ไม่สามารถดำเนินการตามคำขอให้แล้วเสร็จภายใน
๑ วันทำการนอกเหนือจากที่ได้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการไว้แล้วมีดังนี้
๖.๑ การวางเงินหรือสัญญาค้ำประกัน
หรือต่ออายุสัญญาค้ำประกัน เพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
๖.๒ การคืนเงินหรือหนังสือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
๖.๓ การคืนเงินมัดจำค่าภาระให้แก่เจ้าของหรือตัวแทนเจ้าของเรือหรือเจ้าของสินค้า
๖.๔ การคืนเงินหรือหนังสือสัญญาค้ำประกัน
สัญญาซื้อขายหรือจัดจ้าง
๖.๕ การขอจดทะเบียนสำหรับผู้ประกอบกิจการส่งเสบียงและของใช้ให้แก่เรือเดินทะเลต่างประเทศ
ข้อ ๗ ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้
โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัย
ในกรณีที่พนักงานของหน่วยงานใดจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้
อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง
การท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานของรัฐหรือประชาชน
ให้ถือว่าเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ข้อ ๘ ให้ผู้อำนวยการท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง
เป็นผู้รักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๓๗
พลเรือโท สมนึก
เทพวัลย์
ผู้อำนวยการ
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ขั้นตอนการคืนเงินหรือหนังสือสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
๒. ขั้นตอนการคืนเงินหือหนังสือสัญญาค้ำประกัน
สัญญาซื้อขายหรือจัดจ้าง
๓. ขั้นตอนการคืนเงินมัดจำค่าภาระให้เจ้าของหรือตัวแทนเจ้าของเรือหรือเจ้าของสินค้า
๔.
ขั้นตอนการขอจดทะเบียนสำหรับผู้ประกอบกิจการส่งเสบียงและของใช้ให้แก่เรือเดินทะเลต่างประเทศ
๕.
ขั้นตอนการวางเงินหรือหนังสือสัญญาค้ำประกันหรือต่ออายุสัญญาค้ำประกันเพื่อใช้บริการเงินเชื่อ
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ปิยะธิดา/ปรับปรุง
๘
พฤศจิกายน ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑๑/ตอนพิเศษ ๓๐ ง/หน้า ๒๕/๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓๗ |
389319 | พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 (ฉบับ Update ล่าสุด) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.
๒๕๐๕
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๕
เป็นปีที่
๑๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.๒๕๐๕
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๘๘
มาตรา ๓ ทวิ[๒]
พระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการจำกัดเสรีภาพในเคหสถาน
สิทธิในทรัพย์สินของบุคคล และเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพ ซึ่งตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา
๓๕ วรรคสอง มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๔[๓] ในพระราชบัญญัตินี้
การธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า
การประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
และใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น (ก) ให้สินเชื่อ (ข) ซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด
(ค) ซื้อขายเงินปริวรรตต่างประเทศ
ธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า
ธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์
และหมายความรวมถึงสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ด้วย
บริษัทมหาชนจำกัด หมายความว่า
บริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
บริษัทจำกัด หมายความรวมถึงบริษัทมหาชนจำกัดด้วย
เงินกองทุน[๔] หมายความว่า
(๑) ทุนชำระแล้วซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับและเงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๒) ทุนสำรอง
(๓) เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุมใหญ่
ผู้ถือหุ้นหรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้
(๔) กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรร
(๕) เงินสำรองจากการตีราคาสินทรัพย์
เงินสำรองอื่น และ
(๖) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับเนื่องจากการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาว
เกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญ
เงินกองทุนตาม (๑) (๒) (๓) และ (๔)
ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกก่อน
และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ชนิด ประเภทและการคำนวณเงินกองทุนตาม (๕) หรือ
(๖) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เงินกองทุนตาม (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖)
ให้หักเงินตามตราสารใน (๖)
ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่นที่ธนาคารพาณิชย์นั้นถือไว้และสินทรัพย์อื่นใด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ให้สินเชื่อ หมายความว่า ให้กู้ยืมเงิน ซื้อ ซื้อลด
รับช่วงซื้อลดตั๋วเงิน เป็นเจ้าหนี้
เนื่องจากได้จ่ายหรือสั่งให้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของผู้เคยค้า
หรือเป็นเจ้าหนี้เนื่องจากได้จ่ายเงินตาม
ภาระผูกพันตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต
บัตรเงินฝาก[๕] หมายความว่า ตราสารซึ่งเปลี่ยนมือได้ที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่
ผู้ฝากเงินเพื่อเป็นหลักฐานการรับฝากเงินและเพื่อแสดงสิทธิของผู้ทรงตราสารที่จะได้รับเงินฝากคืนเมื่อ
สิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ โดยจะมีการกำหนดดอกเบี้ยไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้
สถาบันการเงิน[๖] หมายความว่า
(๑) บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(๒) นิติบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕[๗] ภายใต้บังคับมาตรา ๕ จัตวา และมาตรา ๕
เบญจ
ธนาคารพาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งขึ้นได้ก็แต่ในรูปบริษัทมหาชนจำกัดและโดยได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
และจะดำเนินการเพื่อจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัดได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
เมื่อได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว
ให้บริษัทมหาชนจำกัดนั้นแจ้งการจดทะเบียนเพื่อขอรับใบอนุญาต
ในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง
และการอนุญาตตามวรรคสามรัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้
มาตรา ๕ ทวิ[๘] บุคคลใดจะถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ใดเกินร้อยละห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้
เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ถือหุ้นเป็นส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้น
รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจผ่อนผันให้มีการถือหุ้นเป็นอย่างอื่นได้
ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใดๆ ไว้ด้วยก็ได้
หุ้นธนาคารพาณิชย์ที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ถืออยู่
ให้นับรวมเป็นหุ้นของบุคคลตามวรรคหนึ่งด้วย
(๑) คู่สมรสของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๒) บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๓) ห้างหุ้นส่วนสามัญที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม
(๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วน
(๔) ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม
(๑) หรือ (๒)เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดรวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕) บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม
(๑) หรือ (๒)หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
(๖) บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม
(๑) หรือ (๒)หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) หรือบริษัทจำกัดตาม (๕) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
มาตรา ๕ ตรี[๙]
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ใดจำหน่ายหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นแก่บุคคลใดซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดตามมาตรา
๕ ทวิ
ทุกครั้งที่มีการชี้ชวนให้เข้าชื่อซื้อหุ้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ระบุจำนวนหุ้นที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะถือหุ้นได้ทั้งสิ้นโดยชอบด้วยมาตรา
๕ ทวิ ไว้ให้ทราบในคำชี้ชวน
มาตรา ๕ จัตวา[๑๐]
หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารพาณิชย์ต้องเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อผู้ถือ
มีมูลค่าของหุ้นไม่เกินหุ้นละหนึ่งร้อยบาทและข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ต้องไม่มีข้อจำกัดในการโอนหุ้น
เว้นแต่เพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ หรือมาตรา ๕ เบญจ
หรือตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
มาตรา ๕ เบญจ[๑๑]
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่
ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และต้องมีกรรมการเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใด
รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจผ่อนผัน
ให้มีจำนวนหุ้นหรือกรรมการเป็นอย่างอื่นได้ ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใดๆ
ไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๕ ฉ[๑๒]
เมื่อปรากฏว่าบุคคลใดได้หุ้นของธนาคารพาณิชย์ใดมาและการได้มานั้นเป็นเหตุให้ถือหุ้นเกินจำนวนที่จะถือได้ตามมาตรา
๕ ทวิ บุคคลนั้นจะยกเอาการถือหุ้นในส่วนที่เกินจำนวนดังกล่าวขึ้นใช้ยันต่อธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้
และธนาคารพาณิชย์นั้นจะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดให้แก่บุคคลนั้น
หรือให้บุคคลนั้นออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมของผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นส่วนที่เกินมิได้
มาตรา ๕ สัตต[๑๓] เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ
มาตรา ๕ เบญจ และมาตรา ๕ ฉ ให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นทุกคราวก่อนจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใด
และก่อนการประชุมผู้ถือหุ้น
แล้วแจ้งผลการตรวจสอบต่อธนาคารแห่งประเทศไทยตามรายการและภายในเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และในกรณีที่พบว่าผู้ถือหุ้นรายใดถือหุ้นเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา ๕ ทวิ
ให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งให้ผู้นั้นทราบเพื่อดำเนินการจำหน่ายหุ้นส่วนที่เกินนั้นเสีย
มาตรา ๕ อัฏฐ[๑๔] บทบัญญัติแห่งมาตรา ๕ ทวิ มาตรา ๕ ตรี
มาตรา ๕ จัตวา มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ และมาตรา ๕ สัตต
มิให้นำมาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ
มาตรา ๖[๑๕]
การประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยตั้งเป็นสาขาของธนาคารที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
ในการอนุญาตรัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยตามจำนวน
ชนิด วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดใน ราชกิจจานุเบกษา
สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามวรรคสองต้องจัดหาด้วย (๑)
เงินที่นำเข้ามาจากสำนักงานใหญ่และหรือสาขาอื่นนอกประเทศไทยของธนาคารต่างประเทศนั้น(๒)
เงินสำรองต่างๆ
แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้หรือ
(๓)
เงินกำไรสุทธิแต่ละงวดการบัญชีของสาขาอันได้โอนเป็นส่วนของสำนักงานใหญ่แล้วและไม่ต้องส่งออก
ทั้งนี้ เมื่อหักผลขาดทุน ที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว
ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ถือว่าสินทรัพย์ตามวรรคสองเป็นเงินกองทุน
มาตรา ๗
ธนาคารพาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อาจเปิดสาขาได้
แต่ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
ในการนี้รัฐมนตรีจะอนุญาตโดยมีเงื่อนไขก็ได้
มาตรา ๗ ทวิ[๑๖]
ผู้ใดจะกระทำการแทนธนาคารต่างประเทศโดยมีสำนักงานติดต่อกับบุคคลทั่วไปในราชอาณาจักร
หรือธนาคารพาณิชย์ใดนอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งสำนักงานเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร
ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๗ ตรี[๑๗]
เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตให้ตั้งสำนักงานใหญ่หรือสำนักงานสาขา ณ
ที่ใดแล้ว จะย้ายสำนักงานนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๘
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ประกอบการธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๙
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อในธุรกิจว่า ธนาคาร
หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๙ ทวิ[๑๘] นอกจากการธนาคารพาณิชย์แล้ว
ธนาคารพาณิชย์อาจกระทำธุรกิจที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำ
เช่น การเรียกเก็บเงินตามตั๋วเงิน การรับอาวัลตั๋วเงิน การรับรองตั๋วเงิน
การออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือ การค้ำประกันหรือธุรกิจทำนองเดียวกันด้วยก็ได้
เมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่จะประกอบการค้าหรือธุรกิจอื่นใดมิได้
มาตรา ๙ ตรี[๑๙]
ธนาคารพาณิชย์จะรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
โดยวิธีออกบัตรเงินฝากก็ได้
บัตรเงินฝากต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(๑) คำบอกชื่อว่าเป็นบัตรเงินฝาก
(๒) ชื่อธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
(๓) วันที่ออกบัตรเงินฝาก
(๔) จังหวัดที่ออกบัตรเงินฝาก
(๕) ข้อตกลงอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะจ่ายเงินเป็นจำนวนหนึ่งที่แน่นอนพร้อมด้วยดอกเบี้ย
(ถ้ามี)
(๖) วันถึงกำหนดจ่ายเงิน
(๗) สถานที่จ่ายเงิน
(๘) ชื่อของผู้ฝากเงิน
หรือคำจดแจ้งว่าให้จ่ายเงินแก่ผู้ถือ
(๙) ลายมือชื่อผู้มีอำนาจลงนามแทนธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
มาตรา ๙ จัตวา[๒๐]
ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๙๙ ถึงมาตรา ๙๐๗
มาตรา ๙๑๑ มาตรา ๙๑๓(๑) และ (๒) มาตรา ๙๑๔ ถึงมาตรา ๙๑๖ มาตรา ๙๑๗
วรรคหนึ่งและวรรคสาม มาตรา ๙๑๘ ถึงมาตรา ๙๒๒ มาตรา ๙๒๕ มาตรา ๙๒๖ มาตรา ๙๓๘
ถึงมาตรา ๙๔๒ มาตรา ๙๔๕ มาตรา ๙๔๖ มาตรา ๙๔๘ มาตรา ๙๔๙ มาตรา ๙๕๙ มาตรา ๙๖๗ มาตรา
๙๗๑ มาตรา ๙๗๓มาตรา ๙๘๖ มาตรา ๙๙๔ ถึงมาตรา ๑๐๐๐ มาตรา ๑๐๐๖ ถึงมาตรา ๑๐๐๘ มาตรา
๑๐๑๐ และมาตรา ๑๐๑๑ มาใช้บังคับแก่บัตรเงินฝากโดยอนุโลม
มาตรา ๑๐[๒๑]
ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์
หนี้สินหรือภาระผูกพันตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้สูงขึ้น
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
มาตรา ๑๑[๒๒]
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินสดสำรองเป็นอัตราส่วนกับเงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืมตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ ทวิ ไม่ต่ำกว่าอัตราส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราส่วนที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า และไม่เกินร้อยละห้าสิบของเงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืมแล้วแต่กรณี
และจะกำหนดให้เป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม
ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือหลายประเภทรวมกันหรือแยกกันก็ได้
เพื่อประโยชน์ในการดำรงเงินสดสำรองตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดให้ถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทยเป็นส่วนหนึ่งของเงินสดสำรองที่พึงดำรงนั้นก็ได้
มาตรา ๑๑ ทวิ[๒๓]
เงินฝากและหรือเงินกู้ยืมซึ่งธนาคารพาณิชย์จะต้องดำรงเงินสดสำรองให้ได้อัตราส่วน
ได้แก่เงินฝาก และหรือเงินกู้ยืม ดังต่อไปนี้
(๑) ยอดรวมเงินฝากทั้งหมด
(๒) เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
(๓) เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
(๔) ยอดรวมเงินกู้ยืมทั้งหมด
(๕) เงินกู้ยืมแต่ละประเภท
การคำนวณยอดเงินฝากหรือเงินกู้ยืมตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีจะกำหนดให้คำนวณรวมกับยอดเงินให้เบิกเกินบัญชีที่ยังไม่ได้จ่ายไป
โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินฝากหรือเงินกู้ยืมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
มาตรา ๑๑ ตรี[๒๔]
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามที่ระบุไว้ใน มาตรา ๑๑ จัตวา
เป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝาก และหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท
ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าและไม่เกินร้อยละห้าสิบของยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท
แล้วแต่กรณี
การกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องแต่เพียงบางประเภทหรือทุกประเภทก็ได้
และจะกำหนดอัตราส่วนของแต่ละประเภทในอัตราใดก็ได้
มาตรา ๑๑ จัตวา[๒๕] สินทรัพย์สภาพคล่องได้แก่
(๑) เงินสด
(๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓) เงินฝากสุทธิที่ธนาคารพาณิชย์อื่น
(๔) หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่ปราศจากภาระผูกพัน
(๕) หุ้นกู้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยและปราศจากภาระผูกพัน
(๖) สินทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
มาตรา ๑๑ เบญจ[๒๖] การดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑
ให้ได้อัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา
๑๑ ตรี ให้ได้อัตราส่วนกับยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืม แล้วแต่กรณี ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑ ทวิ วรรคสอง
และมาตรา ๑๑ ตรี วรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และถ้ามีผลเป็นการเพิ่มอัตราส่วนเงินสดสำรองและอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
มาตรา ๑๑ ฉ[๒๗]
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพของเงินตรา
รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสดสำรองพิเศษไม่ต่ำกว่าอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต่างหากจากการดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา
๑๑
การกำหนดอัตราตามวรรคหนึ่ง
ให้กำหนดเป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืมตามมาตรา ๑๑ ทวิ
ทั้งหมดหรือแต่ละประเภทเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้นจากยอดเงินดังกล่าวเมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่ง
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๒[๒๘] ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการดังต่อไปนี้
(๑) ลดทุนโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
(๒) ให้สินเชื่อแก่กรรมการ หรือประกันหนี้ใดๆ
ของกรรมการหรือรับรอง รับอาวัล
หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินที่กรรมการเป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วหรือผู้สลักหลัง
(๓) รับหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกัน
หรือรับหุ้นของธนาคารพาณิชย์จากธนาคารพาณิชย์อื่นเป็นประกัน
(๔) ซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์
เว้นแต่
(ก) เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ
หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการให้ความเห็นชอบนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใดๆไว้ด้วยก็ได้
(ข) เป็นการได้มาจากการชำระหนี้หรือจากการประกันการให้สินเชื่อหรือจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้นจากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
(๕)[๒๙] ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดเกินร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
หรือซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนทั้งหมดหรือเงินกองทุนชนิดหนึ่งชนิดใดหรือหลายชนิดตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาตนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใดๆ
ไว้ด้วยก็ได้
(๖) ซื้อหรือมีหุ้นธนาคารพาณิชย์อื่น
เว้นแต่เป็นการได้มาจากการชำระหนี้หรือการประกันการให้สินเชื่อแต่ต้องจำหน่ายภายในเวลาหกเดือนนับแต่วันที่ได้มา
หรือเป็นการได้มาโดยได้รับผ่อนผันจากรัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใดๆไว้ด้วยก็ได้
(๗) จ่ายเงินหรือทรัพย์สินอื่นให้แก่กรรมการ
พนักงาน หรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
เป็นค่านายหน้าหรือค่าตอบแทนสำหรับหรือเนื่องจากการกระทำหรือการประกอบธุรกิจใดๆ
ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้
นอกจากบำเหน็จ เงินเดือน เงินรางวัล และเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ
(๘) ขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์ใดๆ
หรือสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ารวมกันสูงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดแก่กรรมการหรือซื้อทรัพย์สินจากกรรมการ ทั้งนี้
รวมถึงบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมการ ตามมาตรา ๑๒ ทวิ ด้วย
เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(๙) กระทำการใดๆ
อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือแก่ประโยชน์ของประชาชน
หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม
หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน
หรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๒ ทวิ[๓๐] การให้สินเชื่อแก่หรือการประกันหนี้ใดๆ
ของบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ หรือการรับรอง รับอาวัล
หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้เป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วหรือผู้สลักหลัง
ให้ถือว่าเป็นการให้สินเชื่อ หรือการประกัน หรือการรับรองรับอาวัล
หรือสอดเข้าแก้หน้าแก่กรรมการตามมาตรา ๑๒ (๒) ด้วย
(๑) คู่สมรสของกรรมการ
(๒) บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของกรรมการ
(๓) ห้างหุ้นส่วนสามัญที่กรรมการหรือบุคคลตาม
(๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วน
(๔) ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม
(๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วนจำพวก ไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดรวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕) บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑)
หรือ (๒) หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
(๖) บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑)
หรือ (๒) หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) หรือบริษัทจำกัดตาม (๕)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
มาตรา ๑๒ ตรี[๓๑] ธนาคารพาณิชย์ต้องจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่ตกเป็นของธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา
๑๒ (๔) (ข) ภายในห้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกเป็นของธนาคารพาณิชย์
เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะขยายระยะเวลาให้หรือให้ความเห็นชอบเพื่อใช้เป็นสถานที่ตามมาตรา
๑๒ (๔) (ก)
มาตรา ๑๒ จัตวา[๓๒] ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งหรือยอมให้บุคคลซึ่งมีคุณสมบัติหรือลักษณะดังต่อไปนี้เป็นหรือทำหน้าที่กรรมการ
ผู้จัดการ รองผู้จัดการผู้ช่วยผู้จัดการ หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์
(๑) เป็นบุคคลล้มละลาย
(๒) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต
(๓) เคยถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกจากราชการ
หรือองค์การหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ฐานทุจริตต่อหน้าที่
(๔) เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ
ผู้ช่วยผู้จัดการของธนาคารพาณิชย์ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(๕) ถูกถอดถอนจากธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีตามมาตรา
๒๕
(๖) เป็นข้าราชการการเมือง
(๗) เป็นข้าราชการซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
เว้นแต่เป็นกรณีของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
หรือเป็นกรณีที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์
(๘)[๓๓] เป็นผู้จัดการ รองผู้จัดการ
ผู้ช่วยผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด ซึ่งตนหรือบุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ
ถือหุ้นอยู่ เว้นแต่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์
ซึ่งไม่มีอำนาจลงนามผูกพันธนาคารพาณิชย์ด้วยตนเองหรือร่วมกับผู้อื่น
มาตรา ๑๓[๓๔]
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการของผู้อื่นหรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ เกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนทั้งหมดหรือเงินกองทุนชนิดหนึ่งชนิดใด
หรือหลายชนิดตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ทั้งนี้
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนด
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้ต่ำลง
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
ให้นำความในมาตรา ๑๒ ทวิ
มาใช้บังคับแก่การกระทำตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๓ ทวิ[๓๕] บทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๓
ไม่ให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ธนาคารพาณิชย์
(๑) ให้กู้ยืมเงินโดยการซื้อหลักทรัพย์รัฐบาลไทย
หรือหลักทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒) ให้กู้ยืมเงินโดยมีประกันด้วยหลักทรัพย์รัฐบาลไทย
หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้
เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินมูลค่าแห่งหลักทรัพย์
หรือทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นได้ตีราคารับไว้เป็นประกัน
(๓) ให้สินเชื่อตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
หรือ
(๔) รับอาวัลตั๋วเงิน
รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน
หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
ทั้งนี้ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๓ ตรี[๓๖]
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศหรือเพื่อแก้ไขภาวะเศรษฐกิจ
รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดการดังต่อไปนี้ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอ
(๑) ให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการประเภทใดๆ
ไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนด
(๒) ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการใดๆ
เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นเกินอัตราที่กำหนด
การกำหนดตาม (๑)
ทุกครั้งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอัตราที่กำหนดตาม (๑)
รวมกันทั้งสิ้นทุกประเภทของกิจการต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบของยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในวันสิ้นปีก่อนหน้านั้น
การกำหนดตาม (๒)
ให้กำหนดเป็นร้อยละของยอดเงินให้สินเชื่อในแต่ละกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และจะกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และระยะเวลาเพื่อปฏิบัติการไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๑๓ จัตวา[๓๗]
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝากเงิน
การกู้ยืมเงิน หรือการซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใดได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่งจะกำหนดตามประเภทของเงินฝากหรือเงินกู้ยืมประเภทของบุคคล
ประเภทของเอกสารการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงิน หรือประเภทของตราสารก็ได้
มาตรา ๑๔[๓๘]
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑) ดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์อาจจ่ายได้
(๒) ดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๓) ค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๔) เงินมัดจำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
(๕) หลักประกันเป็นทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
บรรดาเงิน ทรัพย์สิน
หรือสิ่งอื่นใดที่อาจกำหนดเป็นเงินได้
ที่ผู้ฝากเงินหรือบุคคลอื่นได้รับจากธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นเนื่องจากการฝากเงินหรือที่ธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นได้รับเนื่องจากการประกอบธุรกิจนั้นของธนาคารพาณิชย์
ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลด หรือค่าบริการตามความใน (๑) หรือ (๒) หรือ (๓) แล้วแต่กรณี
เว้นแต่ค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม
(๓) ไม่ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ตาม (๒)
การกำหนดตามมาตรานี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๕[๓๙]
ให้ธนาคารพาณิชย์จดแจ้งบัญชีแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ให้ครบถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง
และประกาศรายการย่อตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ในวันทำงานวันสุดท้ายของทุกเดือน
หรือในวันอื่นที่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศตามวรรคหนึ่งให้เสนอต่อธนาคารแห่งประเทศไทยหนึ่งฉบับและให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป
และให้ลงในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับด้วย
เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น
มาตรา ๑๕ ทวิ
ให้ธนาคารพาณิชย์ปิดบัญชีทุกงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือน
ถ้าธนาคารพาณิชย์ใดมีสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้หรือที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวออกจากบัญชี
หรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวเมื่อสิ้นงวดการบัญชีนั้น
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ปฏิบัติเป็นอย่างอื่น
ในการอนุญาตนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใดๆ ไว้ด้วยก็ได้[๔๐]
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ถ้านำสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้ตัดออกจากบัญชีหรือสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้กันเงินสำรองมาหักออกจากเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้นแล้ว
หากปรากฏว่าเงินกองทุนที่คงเหลือมีจำนวนต่ำกว่าเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามมาตรา ๑๐
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดมาตรการใดๆ
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถือปฏิบัติจนกว่าจะได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นหมดสิ้นไป
หรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นครบจำนวนแล้ว[๔๑]
มาตรา ๑๖[๔๒]
ภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีบัญชีให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๕
ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่แล้ว
ตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ประกาศดังกล่าวให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ
สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้นลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
และเสนอต่อรัฐมนตรีและธนาคารแห่งประเทศไทยภายในยี่สิบเอ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่
ทั้งนี้ เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
งบดุลตามวรรคหนึ่งจะต้องมีการรับรองของผู้สอบบัญชีซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้ความเห็นชอบในแต่ละปีบัญชี
และต้องมิใช่กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๖
ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนของธนาคารในต่างประเทศที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นสาขาภายในเวลาสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีบัญชีของธนาคารต่างประเทศนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุขัดข้องอันสมควร ประกาศดังกล่าวให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น
มาตรา ๑๗[๔๓]
ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดทำการตามเวลาและหยุดทำการตามวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการหรือหยุดทำการในเวลาหรือวันอื่นจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตดังกล่าวธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศเวลาทำการและวันหยุดทำการดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงาน
มาตรา ๑๗ ทวิ[๔๔]
เพื่อแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
หรือเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินหรือระบบสถาบันการเงิน
ให้รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ระงับการดำเนินกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวภายในระยะเวลาที่กำหนด
และในการนี้จะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใดๆ ไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๑๘ ธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแจ้งให้รัฐมนตรีทราบทันที
และห้ามมิให้ทำกิจการใดๆ
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากรัฐมนตรีแล้วให้รายงานโดยละเอียดแสดงเหตุที่ต้องหยุดทำการจ่ายเงินภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่หยุดทำการจ่ายเงิน
มาตรา ๑๙[๔๕] ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคารพาณิชย์ใดเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคารพาณิชย์อื่นอีกในเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เป็นตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย
หรือตำแหน่งที่ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติหรือให้ความเห็นเกี่ยวแก่การดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
(๒) ได้รับการผ่อนผันจากรัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย
โดยในการผ่อนผันต้องกำหนดเป็นระยะเวลาไม่เกินสามปี และจะกำหนดเงื่อนไขใดๆ
ไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๒๐
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๕ มาตรา ๖
หรือมาตรา ๗ รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งให้เลิกสาขาตามที่ได้อนุญาตไปแล้ว
แล้วแต่กรณี หรือจะสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นก็ได้แต่ถ้าเห็นสมควร
รัฐมนตรีจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติการเพื่อแก้ไขให้เป็นไปตามเงื่อนไขเสียก่อนภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้
มาตรา ๒๑ ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๐
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งธนาคารพาณิชย์นั้นมิให้แจกหรือจำหน่ายเงินกำไรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
โดยให้นำเงินกำไรนั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปเพิ่มทุนสำรอง
หรือไปเพิ่มสินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามมาตรา ๖ แล้วแต่กรณี
และรัฐมนตรีจะสั่งห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์นั้นให้กู้ยืมหรือลงทุน
หรือให้ทำได้ภายใต้เงื่อนไขใดๆ จนกว่าธนาคารพาณิชย์นั้นจะปฏิบัติถูกต้องด้วยก็ได้
มาตรา ๒๒[๔๖] ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า
ธนาคารพาณิชย์ใด
(๑) ดำรงเงินสดสำรองไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๒) ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๓) รับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินหรือก่อภาระผูกพันโดยไม่ลงบัญชีให้ถูกต้องและครบถ้วน
หรือสร้างรายการให้สินเชื่อไม่ตรงต่อความเป็นจริง
(๔) ให้สินเชื่อหรือลงทุนเกินอัตราที่กำหนด
หรือให้สินเชื่อในลักษณะที่เล็งเห็นได้ว่าจะเรียกคืนไม่ได้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๕) ให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่ธนาคารพาณิชย์หรือกรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
หรือให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นในปริมาณเกินสมควรหรือมีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดพิเศษผิดไปจากปกติ
(๖) ไม่ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี
(๗) ไม่กันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
(๘) กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดขึ้นเพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นกระทำการหรืองดเว้นกระทำการ
หรือแก้ไขการดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ในการนี้จะกำหนดเงื่อนไขและระยะเวลาไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๒๓
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ยื่นรายงานลับมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
ทั้งนี้จะให้ยื่นตามระยะเวลาหรือเป็นครั้งคราวและจะให้ทำคำชี้แจงข้อความเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานนั้นก็ได้
รายงานลับและคำชี้แจงนี้ให้ยื่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๔[๔๗]
รัฐมนตรีมีอำนาจตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์เพื่อตรวจสอบและรายงานกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือจะมอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ก็ได้
แต่ไม่ว่าในกรณีใดๆ
รัฐมนตรีจะตั้งหรือมอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ให้ทำการตรวจเพื่อทราบกิจการหรือทรัพย์สินของเอกชนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะที่มีหรือปรากฏอยู่ในธนาคารพาณิชย์ใดๆ
มิได้ เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๓๕ (๓)
มาตรา ๒๔ ทวิ[๔๘]
เมื่อปรากฏหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่าธนาคารพาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการดังกล่าวได้ภายในระยะเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ในการนี้จะสั่งให้เพิ่มทุนหรือลดทุนด้วยก็ได้
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่เพิ่มทุนหรือลดทุนภายในกำหนดเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลาตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าว
ในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องให้ธนาคารพาณิชย์ใดเพิ่มทุนหรือลดทุน
เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์นั้นสามารถพยุงฐานะและการดำเนินการต่อไปได้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มทุนหรือลดทุนทันทีก็ได้โดยให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวเป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ในการเพิ่มทุนหรือลดทุนตามวรรคสองหรือวรรคสาม
หรือการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน มิให้นำมาตรา ๑๑๑๗ มาตรา ๑๒๒๐ มาตรา ๑๒๒๒ มาตรา ๑๒๒๔
มาตรา ๑๒๒๕ และมาตรา ๑๒๒๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมาตรา ๕๐ มาตรา ๑๓๖
วรรคสอง (๒) มาตรา ๑๓๗ มาตรา ๑๓๙ และมาตรา ๑๔๑ แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ[๔๙]
มาตรา ๒๔ ตรี[๕๐]
เมื่อปรากฏหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่าธนาคารพาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
หรือกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามมาตรา ๒๔ ทวิ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถอดถอนกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ผู้เป็นต้นเหตุดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแต่งตั้งบุคคลอื่นโดยความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทนภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันถอดถอน
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่ง
หรือถอดถอนแล้วไม่แต่งตั้งบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทนตามวรรคสอง
ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งถอดถอนบุคคลดังกล่าวหรือแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคนไปดำรงตำแหน่งแทน
ในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใดซึ่งหากปล่อยเนิ่นช้าอาจเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งถอดถอนกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์นั้นและแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคนไปดำรงตำแหน่งแทนได้ทันทีตามที่เห็นสมควร
ให้ผู้ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งตามวรรคสามหรือวรรคสี่อยู่ในตำแหน่งเป็นเวลาไม่เกินสามปี
และมิให้นำความในมาตรา ๑๒ จัตวา (๘) มาใช้บังคับ
และให้บุคคลดังกล่าวได้รับค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด
โดยให้จ่ายจากทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์นั้น
และในระหว่างเวลาที่บุคคลดังกล่าวดำรงตำแหน่งอยู่
ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์จะมีมติเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้
บุคคลซึ่งถูกถอดถอนตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการใดๆ
ในธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม
และต้องอำนวยความสะดวกและให้ข้อเท็จจริงแก่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งแทนหรือตามที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์กำหนด
ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้ถอดถอนหรือแต่งตั้งตามมาตรานี้เป็นมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น
มาตรา ๒๕[๕๑]
เมื่อรัฐมนตรีได้รับรายงานการตรวจสอบของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์และเห็นว่าฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใดอยู่ในลักษณะอันจะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์ของประชาชน
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
แต่ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขการบริหารงานรวมทั้งย้ายหรือถอดถอนกรรมการหรือพนักงานของธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด
รัฐมนตรีจะยังไม่สั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นหรือยังไม่สั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
ในการนี้รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขใดๆ
เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๒๖
เมื่อปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลที่รัฐมนตรีเห็นสมควรเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนพฤติการณ์
และเมื่อได้รับรายงานการสอบสวนจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นได้
มาตรา ๒๗ ในการสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด
ให้รัฐมนตรีแจ้งคำสั่งเป็นหนังสือให้ธนาคารพาณิชย์นั้นทราบ
และปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น
กับทั้งให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๒๘ ในการควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด
ให้รัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้น ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคนและกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่าสองคน
คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่จัดดำเนินกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นได้ทุกประการ
และให้ประธานกรรมการเป็นผู้แทนของธนาคารพาณิชย์นั้น
ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งและกำหนดอำนาจและหน้าที่พนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์คนหนึ่งหรือหลายคนให้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
การตั้งคณะกรรมการและการแต่งตั้งกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทนประธานกรรมการให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๙
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด
ห้ามมิให้กรรมการและพนักงานของธนาคารพาณิชย์กระทำกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นอีกต่อไป
เว้นแต่จะได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๓๐
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด ให้กรรมการ
พนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นจัดการอันสมควรเพื่อปกปักรักษาทรัพย์และประโยชน์ของธนาคารพาณิชย์ไว้
และรีบรายงานกิจการและมอบสินทรัพย์ พร้อมด้วยสมุดบัญชี เอกสาร ดวงตรา
และสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ให้แก่คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์โดยมิชักช้า
มาตรา ๓๑ เมื่อธนาคารพาณิชย์ใดถูกควบคุม
ให้ผู้ครอบครองทรัพย์สินหรือเอกสารของธนาคารพาณิชย์นั้นแจ้งการครอบครองให้คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์ทราบโดยมิชักช้า
มาตรา ๓๒
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุมสมควรจะดำเนินกิจการของตนเองได้
ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ ถ้ารัฐมนตรีเห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกการควบคุม
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๓
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุมไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้
ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ ถ้ารัฐมนตรีเห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกธนาคารพาณิชย์นั้น
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๔
เมื่อรัฐมนตรีสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งเลิกธนาคารพาณิชย์ ให้มีการชำระบัญชี
และให้รัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีธนาคารพาณิชย์นั้น
การชำระบัญชีให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ว่าด้วยการชำระบัญชีบริษัทจำกัด
เว้นแต่การใดที่เป็นอำนาจและหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของรัฐมนตรี
มาตรา ๓๕[๕๒] เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๔ หรือมาตรา ๒๖
ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วแต่กรณีมีอำนาจดังต่อไปนี้
(๑) สั่งให้กรรมการ
พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์ ผู้สอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์
และผู้รวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือด้วยเครื่องมืออื่นใด
มาให้ถ้อยคำ
หรือส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการ
สินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารพาณิชย์
(๒) เข้าไปในสถานที่ประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์
หรือในสถานที่ซึ่งรวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือด้วยเครื่องมืออื่นใด
ในเวลาทำการของสถานที่นั้น เพื่อตรวจสอบกิจการ
สินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งเอกสาร
หลักฐานหรือข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์
(๓) เข้าไปตรวจสอบฐานะหรือการดำเนินงานในสถานที่ประกอบธุรกิจของลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์
รวมทั้งสั่งให้ลูกหนี้หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชี
เอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องได้ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าธนาคารพาณิชย์กระทำการตามมาตรา
๒๒ (๓) (๔) หรือ (๕)
ในการดำเนินการตาม (๓) ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือรัฐมนตรี
แล้วแต่กรณี ก่อน
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
มาตรา ๓๕ ทวิ[๕๓]
ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใดๆ
ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา ๗ ทวิ หรือมาตรา ๘
เพื่อตรวจสอบได้
และให้มีอำนาจยึดหรืออายัดเอกสารหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดีได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามวรรคหนึ่งให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นมีหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามสมควร
มาตรา ๓๖ เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๘
ให้คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจ มีอำนาจสั่งให้บุคคลใดๆ
มาให้ถ้อยคำ หรือให้แสดงหรือส่งสมุด บัญชี เอกสาร
ดวงตราและหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุม
มาตรา ๓๗ กรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
พนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์
และผู้ชำระบัญชีอาจได้รับเงินค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๓๘
ค่าใช้จ่ายและเงินค่าตอบแทนในการควบคุมหรือชำระบัญชีธนาคารพาณิชย์ใด
ให้จ่ายจากสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์นั้น
มาตรา ๓๘ ทวิ[๕๔]
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ควบกิจการเข้าด้วยกันหรือควบกิจการเข้ากับสถาบันการเงิน
ไม่มีผลเป็นการโอนใบอนุญาตของธนาคารพาณิชย์เดิมไปเป็นของธนาคารพาณิชย์ใหม่หรือสถาบันการเงิน
มาตรา ๓๘ ตรี[๕๕]
การโอนกิจการของธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดหรือบางส่วนที่สำคัญให้แก่ธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบันการเงิน
ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
เมื่อได้รับความเห็นชอบการโอนกิจการจากรัฐมนตรีแล้ว
ให้ดำเนินการโอนกิจการได้
ทั้งนี้การโอนสิทธิเรียกร้องในการโอนกิจการนี้ไม่ต้องบอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้ตามมาตรา
๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แต่ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของลูกหนี้ที่จะยกข้อต่อสู้ตามมาตรา ๓๐๘ วรรคสอง
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๓๘ จัตวา[๕๖]
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะควบกิจการกับธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบันการเงินหรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่สำคัญให้แก่ธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบันการเงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน
ให้คณะกรรมการธนาคารพาณิชย์นั้นจัดทำโครงการแสดงรายละเอียดการดำเนินงานเสนอต่อรัฐมนตรี
ถ้ารัฐมนตรีโดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบกับโครงการดังกล่าว
ให้รัฐมนตรีประกาศการให้ความเห็นชอบในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ในประกาศดังกล่าวจะกำหนดระยะเวลาดำเนินการและเงื่อนไขใดๆ
ก็ได้
ในการดำเนินการตามโครงการที่ได้รับความเห็นชอบตามวรรคหนึ่ง
ถ้าธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับบทบัญญัติดังต่อไปนี้
ให้ได้รับยกเว้นมิให้นำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับ แล้วแต่กรณี
(๑) มาตรา ๒๓๗ มาตรา ๑๑๑๗ มาตรา ๑๑๘๕ มาตรา
๑๒๒๐ มาตรา ๑๒๒๒ มาตรา ๑๒๒๔ มาตรา ๑๒๒๕ มาตรา ๑๒๒๖ และมาตรา ๑๒๔๐
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(๒) มาตรา ๕๐ มาตรา ๕๒ มาตรา ๑๐๒
ประกอบกับมาตรา ๓๓ วรรคสอง มาตรา ๑๓๗ มาตรา ๑๓๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๔๐ มาตรา ๑๔๑ มาตรา
๑๔๗ และมาตรา ๑๔๘ แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕
(๓) มาตรา ๙๔ (๒) มาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๑๑๕
แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ทั้งนี้
เฉพาะที่เกี่ยวกับการโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใดๆ
เกี่ยวกับทรัพย์สินเนื่องในการควบกิจการหรือโอนกิจการ
ในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นแก่บุคคลใดในการดำเนินการตามวรรคสอง
ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ควบกันหรือที่รับโอนกิจการต้องร่วมกันรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น
มาตรา ๓๘ เบญจ[๕๗]
เมื่อได้มีประกาศการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีตามมาตรา ๓๘ จัตวา แล้ว
ให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่จะควบกิจการหรือโอนหรือรับโอนกิจการ
จัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาการควบกิจการหรือโอนหรือรับโอนกิจการ
ในการนี้มิให้นำบทกฎหมายเกี่ยวกับการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อควบกิจการหรือโอนหรือรับโอนกิจการของธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินนั้นมาใช้บังคับ
และให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินนั้นงดรับลงทะเบียนการโอนหุ้นเมื่อพ้นเจ็ดวันนับแต่วันที่มีประกาศการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีตามมาตรา
๓๘ จัตวา จนถึงวันประชุมผู้ถือหุ้น
และเรียกประชุมผู้ถือหุ้นโดยจัดส่งหนังสือนัดให้ผู้ถือหุ้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันแต่ต้องไม่เกินสิบสี่วัน
ทั้งนี้
ให้โฆษณาคำบอกกล่าวนัดประชุมในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันที่แพร่หลายอย่างน้อยหนึ่งฉบับเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสามวันก่อนวันประชุมด้วย
ในการประชุมถ้ามีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนเสียงของผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุม
ให้ถือว่าการควบกิจการหรือโอนหรือรับโอนกิจการนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมาย
ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจมีหุ้นในธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินใดไม่ต่ำกว่าร้อยละเก้าสิบ
เมื่อได้มีประกาศการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีตามมาตรา ๓๘ จัตวา แล้ว
ให้ถือว่าการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีเป็นมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น
และการควบกิจการหรือโอนหรือรับโอนกิจการนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมายโดยไม่ต้องดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ห้ามมิให้บุคคลใดฟ้องธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินตามมาตรา
๓๘ จัตวา
เป็นคดีล้มละลายในระหว่างการดำเนินการเพื่อควบกิจการหรือโอนกิจการตามที่ได้มีประกาศการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีตามมาตรา
๓๘ จัตวา
ให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินตามมาตรา ๓๘
จัตวา ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีอากรต่างๆ บรรดาที่เกิดจากควบกิจการหรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยจะกำหนดเป็นการทั่วไปหรือเป็นการเฉพาะรายก็ได้
คณะกรรมการของสถาบันการเงินที่ควบกันแล้วมีสิทธิยื่นขอจดทะเบียนการควบกิจการได้ภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ได้มีประกาศการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีตามมาตรา
๓๘ จัตวา
มาตรา ๓๘ ฉ[๕๘]
ในการควบกิจการของธนาคารพาณิชย์เข้าด้วยกันหรือควบกิจการเข้ากับสถาบันการเงิน
หรือโอนกิจการของธนาคารพาณิชย์ให้แก่ธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบันการเงิน
หากมีการโอนสินทรัพย์ที่มีหลักประกันอย่างอื่นที่มิใช่สิทธิจำนอง สิทธิจำนำ หรือสิทธิอันเกิดขึ้นแต่การค้ำประกัน
ให้หลักประกันนั้นตกแก่ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่ควบกันหรือที่รับโอนกิจการแล้วแต่กรณี
มาตรา ๓๘ สัตต[๕๙]
ในการควบกิจการของธนาคารพาณิชย์เข้าด้วยกันหรือควบกิจการเข้ากับสถาบันการเงิน
หรือโอนกิจการของธนาคารพาณิชย์ให้แก่ธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบันการเงิน
ถ้ามีการฟ้องบังคับสิทธิเรียกร้องเป็นคดีอยู่ในศาล
ให้ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่ควบกันหรือที่รับโอนกิจการ
แล้วแต่กรณีเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนในคดีดังกล่าว
และอาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดงคัดค้านเอกสารที่ได้ยื่นไว้แล้ว ถามค้านพยานที่สืบมาแล้ว
และคัดค้านพยานหลักฐานที่ได้สืบไปแล้วได้และในกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาบังคับตามสิทธิเรียกร้องนั้นแล้ว
ก็ให้เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้น
มาตรา ๓๙[๖๐] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗ ทวิ มาตรา ๙
หรือ มาตรา ๑๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๐[๖๑] ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๘
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกิน ห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๑[๖๒]
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่แจ้งแก่ผู้ถือหุ้นอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา
๕ สัตต หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
หรือปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งในการยื่นรายงานลับ หรือให้คำชี้แจงตามมาตรา ๒๓
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๔๒[๖๓]
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗ หรือมาตรา ๑๒ (๑)
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๕ วรรคสี่ หรือมาตรา
๖ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
มาตรา ๔๓[๖๔]
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ ฉ หรือมาตรา ๑๘
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
มาตรา ๔๔[๖๕]
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรีวรรคหนึ่ง มาตรา ๕ เบญจ
มาตรา ๕ ฉ มาตรา ๗ ทวิ มาตรา ๙ ทวิ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๒ (๒)
(๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) หรือ (๙) มาตรา ๑๒ ตรี มาตรา ๑๒ จัตวา มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๓
จัตวา มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่งมาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา
๕ ทวิ มาตรา ๗ มาตรา ๑๒ (๖) มาตรา ๑๓ ตรี มาตรา ๑๗ ทวิ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓
หรือมาตรา ๒๕
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยตามมาตรา
๑๒ (๔) (ก) หรือ (๕) มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๗ วรรคหนึ่งมาตรา ๒๒ วรรคสอง
มาตรา ๒๔ ทวิ หรือมาตรา ๒๔ ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
มาตรา ๔๕[๖๖] ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี
วรรคสอง มาตรา ๗ ตรี หรือมาตรา ๑๕ วรรคสอง
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามมาตรา ๗ ทวิ
หรือมาตรา ๗ ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
มาตรา ๔๖[๖๗] ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔
หรือมาตรา ๔๕ ถ้าเป็นกรณีการกระทำความผิดต่อเนื่อง
ให้ปรับอีกไม่เกินวันละสามพันบาท สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๒ หรือมาตรา ๔๓
หรือให้ปรับอีกไม่เกินวันละสองพันบาท สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๔ หรือมาตรา
๔๕ แล้วแต่กรณี ตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
มาตรา ๔๖ ทวิ[๖๘]
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔
หรือมาตรา ๔๕ กรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้น
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของธนาคารพาณิชย์นั้นด้วย
มาตรา ๔๖ ตรี[๖๙] ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา
๔๔มาตรา ๔๕ หรือมาตรา ๔๖ ทวิ ถ้ามิได้ฟ้องต่อศาลหรือมิได้มีการเปรียบเทียบตามมาตรา
๔๖ อัฏฐ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตรวจพบการกระทำความผิด
หรือเกินกำหนดห้าปีนับแต่วันกระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ
มาตรา ๔๖ จัตวา[๗๐] ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๔ ตรี วรรคห้า มาตรา
๒๙มาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๖ เบญจ[๗๑]
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา
๓๕ หรือขัดขวางมิให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือสอบสวนและตรวจสอบตามมาตรา ๓๕ หรือให้ถ้อยคำ หรือแสดงสมุด บัญชี
เอกสารและหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือส่งสำเนาสิ่งเหล่านั้นตามมาตรา ๓๕ อันเป็นเท็จ
หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา
๓๕ ทวิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๖ ฉ[๗๒]
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจซึ่งสั่งตามมาตรา
๓๖ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๖ สัตต[๗๓]
ผู้ใดได้ล่วงรู้กิจการของธนาคารพาณิชย์ใดเนื่องจากการปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
อันเป็นกิจการที่ตามปกติวิสัยของธนาคารพาณิชย์จะพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย
ถ้าผู้นั้นนำไปเปิดเผยนอกจากตามหน้าที่ หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือ
การพิจารณาคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๖ อัฏฐ[๗๔] ความผิดตามมาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ มาตรา
๔๓มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ หรือมาตรา ๔๖ ทวิ
ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้[๗๕]
คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ให้มีจำนวนสามคนและคนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด
และผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว
ให้คดีนั้นเป็นอันเลิกกัน
มาตรา ๔๖ นว[๗๖]
ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑) ในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์
กรรมการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในธนาคารพาณิชย์กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามบทบัญญัติในหมวด
๑ หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ หรือหมวด ๗ ของลักษณะ ๑๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือมาตรา
๔๐ มาตรา ๔๑ หรือมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด
บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙ หรือมาตรา ๒๔๓ หรือมาตรา ๒๔๔
แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๒๑
(๒) ในการสอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์
ผู้สอบบัญชีผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๒๖๙ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือมาตรา ๓๑
แห่งพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด
บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙
(๓) ผู้ใดเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดหรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม
(๑) หรือ (๒)
ให้ถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ในความผิดตามมาตรานี้
เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ให้พนักงานอัยการมีอำนาจเรียกทรัพย์สิน
หรือราคา หรือค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแทนผู้ได้รับความเสียหายด้วย ในการนี้
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๔๖ ทศ[๗๗]
ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๖ นว
และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่าหากปล่อยเนิ่นช้าไว้อาจเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลนั้นหรือทรัพย์สินซึ่งตามกฎหมายอาจถือได้ว่าเป็นของบุคคลนั้นแต่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้เกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันไม่ได้
เว้นแต่ในกรณีมีการฟ้องคดีต่อศาลให้คำสั่งยึดหรืออายัดดังกล่าวยังคงมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น
ในกรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถฟ้องคดีได้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
ศาลที่มีเขตอำนาจจะสั่งขยายระยะเวลาออกไปอีกตามคำขอของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็นผู้ดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
การยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า
บุคคลดังกล่าวจะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยร้องขอ
ให้ศาลอาญามีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลนั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนได้
ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน
เมื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือบุคคลที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมายแจ้งให้อธิบดีกรมตำรวจทราบ
ให้อธิบดีกรมตำรวจมีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลนั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวได้เป็นเวลาไม่เกินสิบห้าวันจนกว่าศาลอาญาจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของศาลอาญาหรือของอธิบดีกรมตำรวจที่สั่งตามวรรคสี่ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
และปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
มาตรา ๔๗
ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๑) ความในวรรคสองของมาตรา ๖
ไม่ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ
ซึ่งประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๒) ในการปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓
ให้ถือว่าสินทรัพย์ที่ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงอยู่ในประเทศไทยตามชนิดที่รัฐมนตรีกำหนดเป็นเงินกองทุน
มาตรา ๔๘
ภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๑๙
ไม่ใช้บังคับแก่บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งอันต้องห้ามตามมาตราดังกล่าวอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับสำหรับตำแหน่งที่ดำรงอยู่นั้น
มาตรา ๔๙ ในระหว่างเวลาที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยตามมาตรา
๑๑ และมาตรา ๑๔ (๑) ยังไม่ใช้บังคับ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๓๑
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๘๘ มาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๕๐
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ส. ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
ในปัจจุบันการธนาคารและการเศรษฐกิจได้ขยายตัวขึ้นเป็นลำดับ
จึงสมควรได้ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ให้เหมาะสม เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ
ตลอดจนให้ความคุ้มครองแก่ผู้ฝากเงินกับธนาคาร
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๒๒[๗๘]
มาตรา ๒๒
บุคคลใดถือหุ้นธนาคารพาณิชย์รวมกันเกินอัตราที่กำหนดตามมาตรา ๕ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้คงมีสิทธิถือหุ้นนั้นได้ต่อไป
แต่ถ้าได้จำหน่ายหุ้นนั้นไปเท่าใดก็ให้คงมีสิทธิถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดได้เท่าจำนวนหุ้นที่เหลือนั้น
ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งได้รับมรดกในหุ้นนั้นในวันหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
บทบัญญัติมาตรา ๕ ฉ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
มิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งและวรรคสอง
มาตรา ๒๓
ธนาคารพาณิชย์ใดที่จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงเป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไปได้ และถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นได้ออกหุ้นซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา
๕ จัตวา และหรือมีผู้ถือหุ้นหรือกรรมการซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา ๕ เบญจ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามมาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕
เบญจ แล้วแต่กรณี ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑) ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยรายโดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๒) ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยรายโดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวองถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละสี่สิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๓) ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย
โดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง (๑) (๒) หรือ (๓)
ถ้ามีเหตุจำเป็นและสมควร รัฐมนตรีจะขยายระยะเวลาให้คราวละไม่เกินหกเดือนก็ได้
แต่เมื่อนับระยะเวลารวมกันทั้งหมดแล้วจะต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๔ ภายในห้าปี
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับธนาคารพาณิชย์ใดที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติใช้บังคับประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่
ถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นยังมิได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ให้ธนาคารพาณิชย์ออกหนังสือชี้ชวนให้ประชาชนเข้าชื่อซื้อหุ้นได้
ในการออกหนังสือชี้ชวนดังกล่าว ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยหนังสือชี้ชวน
ในกรณีเพิ่มทุนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดมาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๒) หุ้นที่ออกในการเพิ่มทุนนั้น
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการขายให้แก่บุคคลธรรมดาซึ่งไม่เป็นผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจำนวนหุ้นที่ออกใหม่
และจะขายให้แต่ละคนเกินร้อยละศูนย์จุดห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ได้
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามมิให้บริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ชี้ชวนประชาชนให้ซื้อหุ้นและบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่
มิให้นำมาใช้บังคับแก่การเพิ่มทุนตามมาตรานี้
ความในมาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
มาตรา ๒๕
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ดำเนินการแก้ไขหุ้นหรือผู้ถือหุ้นหรือกรรมการให้ถูกต้องตามมาตรา
๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาตามมาตรา ๒๓
กำหนดหรือที่รัฐมนตรีผ่อนผันต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ถ้าเป็นการกระทำผิดต่อเนื่องให้ปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
มาตรา ๒๖ ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๔
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๒๗ ความผิดตามมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖
ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจเปรียบเทียบได้ และให้นำมาตรา ๔๖
ตรี ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๒๘ สำนักงานที่ได้ตั้งขึ้นแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศในการติดต่อกับบุคคลทั่วไปตามมาตรา
๗ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ถ้าประสงค์จะดำเนินการต่อไป ให้ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศหรือผู้จัดตั้งสำนักงานนั้นแล้วแต่กรณียื่นคำขอรับอนุญาตให้ถูกต้องภายในเวลาสามเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๙
ธนาคารพาณิชย์ใดมีหุ้นหรือหุ้นกู้ของบริษัทจำกัดอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา
๑๒ (๕) หรือถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์อื่นอันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา ๑๒ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นยื่นคำขอผ่อนผันต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ในการผ่อนผันธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๓๐
ธนาคารพาณิชย์ใดให้สินเชื่อหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย
ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน แก่หรือเพื่อกรรมการหรือบุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้ที่กระทำได้โดยชอบอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา ๑๒ (๒) และมาตรา ๑๒ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๓๑
อสังหาริมทรัพย์ใดที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและต้องจำหน่ายไปตามมาตรา
๑๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ให้ธนาคารพาณิชย์จำหน่ายเสียภายในเก้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกมาเป็นของธนาคารพาณิชย์หรือภายในระยะเวลาที่ได้รับการขยาย
มาตรา ๓๒
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐
มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ หรือมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
หรือออกประกาศแล้วแต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา
๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ไปพลางก่อน
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา
๑๐ และมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ตามวรรคหนึ่ง คำว่า เงินกองทุน
ตามประกาศดังกล่าวให้หมายความถึงเงินกองทุนตามมาตรา ๔
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๓๓
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ประกาศใช้บังคับมานานแล้วมีบทบัญญัติหลายมาตราไม่เหมาะสมกับกาลสมัย
สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติเดิม
และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่ขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงและเป็นหลักประกันแก่การประกอบการธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการได้จากรัฐบาลนั้นเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของประเทศย่อมเป็นการสมควรที่ธนาคารพาณิชย์จะพึงมีบทบาทในการใช้เงินทุนนั้นไปทางอำนวยประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มากยิ่งขึ้น
และอีกประการหนึ่ง
การธนาคารพาณิชย์นับว่าเป็นกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน
เป็นการสมควรที่จะให้สาธารณชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการประกอบกิจการด้วย
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘[๗๙]
มาตรา ๑๙
ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
หากประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่และเสนอขายแก่ประชาชน
ก็ให้เสนอขายต่อประชาชนและออกหนังสือชี้ชวนได้
โดยให้นำกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดเกี่ยวกับหนังสือชี้ชวนและบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๒๐
ผู้ใดเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์อยู่ในวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
ซึ่งเป็นการขัดต่อมาตรา ๑๒ จัตวา (๘)แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้ ให้ยื่นขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
เมื่อได้ยื่นขออนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ทำหน้าที่ต่อไปได้จนกว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งไม่อนุญาต
มาตรา ๒๑
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
ยังมีมาตรการไม่เพียงพอแก่การควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์
และขาดมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยแก้ไขปัญหาของธนาคารพาณิชย์หากจะพึงมีขึ้น
สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องเหมาะสมกับภาวการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนและก่อให้เกิดเสถียรภาพในระบบธนาคารพาณิชย์อย่างแท้จริง
รวมทั้งเพื่อประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นส่วนรวม
และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๓๕[๘๐]
มาตรา ๑๓ ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศตามมาตรา
๑๐ มาตรา ๑๒ (๕) หรือมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
หรือออกประกาศแล้วแต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศซึ่งออกตามมาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๓
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
และมาตรา ๑๒ (๕) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕พ.ศ. ๒๕๒๘ ไปพลางก่อน
มาตรา ๑๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่เพื่อขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์
โดยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถออกบัตรเงินฝากชนิดเปลี่ยนมือในการรับฝากเงินได้
เพื่อให้เกิดตราสารทางการเงินที่มีความคล่องตัว นอกจากนี้
ได้ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการกระจายหุ้นให้บุคคลธรรมดารายย่อยเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดและปรับปรุงข้อกำหนดในเรื่องเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางสากล
ตามข้อเสนอของ BANK FOR INTERNATIONAL SETTLEMENTS(BIS) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่ช่วยพัฒนาและกำกับสถาบันการเงินที่ดำเนินกิจการในตลาดต่างประเทศให้มีความมั่นคงเป็นมาตรฐานเดียวกัน
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์พ.ศ.
๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐[๘๑]
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕
ได้บัญญัติห้ามมิให้ผู้ที่มีสัญชาติอื่นนอกจากสัญชาติไทยถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์หรือเป็นกรรมการธนาคารพาณิชย์ได้เกินหนึ่งในสี่ของจำนวนหุ้นและกรรมการทั้งหมด
และห้ามมิให้กรรมการธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นในขณะเดียวกัน
แต่สถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤติการณ์ความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน
และปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ในสถาบันการเงินเสื่อมลงอย่างรวดเร็วตามภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการระดมเงินทุนนอกประเทศมาสร้างเสริมระบบสถาบันการเงินให้มั่นคงยิ่งขึ้น
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้ที่มีสัญชาติอื่นนอกจากสัญชาติไทยถือหุ้นและเป็นกรรมการธนาคารพาณิชย์ได้เกินอัตราส่วนดังกล่าว
และให้กรรมการธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งไปดำรงตำแหน่งกรรมการในธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นได้
และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินมีความจำเป็นเร่งด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์พ.ศ.
๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๓)พ.ศ. ๒๕๔๐[๘๒]
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ เนื่องจากการแก้ไขปัญหาของธนาคารพาณิชย์ที่ประสบปัญหาด้านฐานะ
หรือการดำเนินการอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชนตามบทบัญญัติของกฎหมายปัจจุบันไม่อาจดำเนินการให้ทันต่อความเร่งด่วนของสถานการณ์ได้
ซึ่งความล่าช้าของการดำเนินการจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางแก่เศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
สมควรให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าแก้ไขปัญหาของธนาคารพาณิชย์ที่ประสบภาวะวิกฤตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ในอันที่จะรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑[๘๓]
หมายเหตุ
:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
โดยที่การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับฐานะหรือการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์
เพื่อให้เกิดความมั่นคงและเข้มแข็งจำเป็นต้องให้ธนาคารพาณิชย์สามารถควบกิจการเข้าด้วยกันหรือควบกิจการเข้ากับสถาบันการเงินอื่น
หรือโอนกิจการระหว่างกันหรือกับสถาบันการเงินอื่นได้
จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวและโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ในอันที่จะรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
สัญชัย/ปรับปรุง
๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๔๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๗๙/ตอนที่ ๓๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๓๐ เมษายน ๒๕๐๕
[๒] มาตรา ๓ ทวิ
เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑
[๓] มาตรา ๔
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๔] มาตรา ๔ นิยามคำว่า เงินกองทุน
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
[๕] มาตรา ๔ นิยามคำว่า บัตรเงินฝาก
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
[๖] มาตรา ๔ นิยามคำว่า สถาบันการเงิน
เติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑
[๗] มาตรา ๕
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๘] มาตรา ๕ ทวิ
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๙] มาตรา ๕ ตรี
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๑๐] มาตรา ๕ จัตวา
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๑๑] มาตรา ๕ เบญจ
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๑๒] มาตรา ๕ ฉ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๑๓] มาตรา ๕ สัตต เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๑๔] มาตรา ๕ อัฏฐ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๑๕] มาตรา ๖
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๑๖] มาตรา ๗ ทวิ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๑๗] มาตรา ๗ ตรี
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๑๘] มาตรา ๙ ทวิ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๑๙] มาตรา ๙ ตรี
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
[๒๐] มาตรา ๙ จัตวา
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
[๒๑] มาตรา ๑๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
[๒๒] มาตรา ๑๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๒๓] มาตรา ๑๑ ทวิ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๒๔] มาตรา ๑๑ ตรี
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๒๕] มาตรา ๑๑ จัตวา
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๒๖] มาตรา ๑๑ เบญจ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๒๗] มาตรา ๑๑ ฉ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๒๘] มาตรา ๑๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๒๙] มาตรา ๑๒ (๕)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
[๓๐] มาตรา ๑๒ ทวิ
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๓๑] มาตรา ๑๒ ตรี
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๓๒] มาตรา ๑๒ จัตวา
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๓๓] มาตรา ๑๒ จัตวา (๘)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๓๔] มาตรา ๑๓
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
[๓๕] มาตรา ๑๓ ทวิ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๓๖] มาตรา ๑๓ ตรี
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๓๗] มาตรา ๑๓ จัตวา
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
[๓๘] มาตรา ๑๔
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๓๙] มาตรา ๑๕
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๔๐] มาตรา ๑๕ ทวิ
วรรคหนึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๔๑] มาตรา ๑๕ ทวิ วรรคสอง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
[๔๒] มาตรา ๑๖
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๔๓] มาตรา ๑๗
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๔๔] มาตรา ๑๗ ทวิ เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๔๕] มาตรา ๑๙
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๔๖] มาตรา ๒๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๔๗] มาตรา ๒๔
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๔๘] มาตรา ๒๔ ทวิ
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๔๙] มาตรา ๒๔ ทวิ วรรคสี่
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๔๐ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๕๐] มาตรา ๒๔ ตรี
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๔๐ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๐
[๕๑] มาตรา ๒๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๕๒] มาตรา ๓๕
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๕๓] มาตรา ๓๕ ทวิ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๕๔] มาตรา ๓๘ ทวิ เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑
[๕๕] มาตรา ๓๘ ตรี
เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑
[๕๖] มาตรา ๓๘ จัตวา
เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑
[๕๗] มาตรา ๓๘ เบญจ
เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑
[๕๘] มาตรา ๓๘ ฉ
เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑
[๕๙] มาตรา ๓๘ สัตต
เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑
[๖๐] มาตรา ๓๙
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๖๑] มาตรา ๔๐
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๖๒] มาตรา ๔๑
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๖๓] มาตรา ๔๒
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๖๔] มาตรา ๔๓
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๖๕] มาตรา ๔๔
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
[๖๖] มาตรา ๔๕
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๖๗] มาตรา ๔๖
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๖๘] มาตรา ๔๖ ทวิ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๖๙] มาตรา ๔๖ ตรี
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๗๐] มาตรา ๔๖ จัตวา
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๗๑] มาตรา ๔๖ เบญจ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๗๒] มาตรา ๔๖ ฉ
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๗๓] มาตรา ๔๖ สัตต
เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๗๔] มาตรา ๔๖ อัฏฐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
[๗๕] มาตรา ๔๖ อัฏฐ
วรรคหนึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
[๗๖] มาตรา ๔๖ นว
เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ.
๒๕๒๘
[๗๗] มาตรา ๔๖ ทศ
เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ.
๒๕๒๘
[๗๘] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๙๖/ตอนที่ ๓๑/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๗ มีนาคม ๒๕๒๒
[๗๙] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๐๒/ตอนที่ ๑๗๗/ฉบับพิเศษ หน้า ๑/๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๘
[๘๐] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๐๙/ตอนที่ ๔๔/หน้า ๑/๙ เมษายน ๒๕๓๕
[๘๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๑๔/ตอนที่ ๒๙ ก/หน้า ๑๒/๒๘ มิถุนายน ๒๕๔๐
[๘๒] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๑๔/ตอนที่ ๖๐ ก/หน้า ๒๖/๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๐
[๘๓] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๑๕/ตอนที่ ๕๑ ก/หน้า ๔/๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๑ |
301571 | พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2541 | พระราชกำหนด
พระราชกำหนด
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๔)
พ.ศ. ๒๕๔๑
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑
เป็นปีที่ ๕๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชกำหนดนี้เรียกว่า พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๑
มาตรา ๒[๑]
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๓ ทวิ พระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการจำกัดเสรีภาพในเคหสถาน
สิทธิในทรัพย์สินของบุคคล และเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพ ซึ่งตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา
๓๕ วรรคสอง มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๔
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นบทนิยามคำว่า สถาบันการเงิน ระหว่างบทนิยามคำว่า บัตรเงินฝาก และบทนิยามคำว่า รัฐมนตรี ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
สถาบันการเงิน หมายความว่า
(๑) บริษัทเงินทุน
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(๒)
นิติบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๕
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓๘ ทวิ มาตรา ๓๘ ตรี มาตรา ๓๘ จัตวา มาตรา ๓๘ เบญจ
มาตรา ๓๘ ฉ และมาตรา ๓๘ สัตต แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๓๘ ทวิ
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ควบกิจการเข้าด้วยกันหรือควบกิจการเข้ากับสถาบันการเงิน
ไม่มีผลเป็นการโอนใบอนุญาตของธนาคารพาณิชย์เดิมไปเป็นของธนาคารพาณิชย์ใหม่หรือสถาบันการเงิน
มาตรา ๓๘ ตรี การโอนกิจการของธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดหรือบางส่วนที่สำคัญให้แก่ธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบันการเงิน
ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
เมื่อได้รับความเห็นชอบการโอนกิจการจากรัฐมนตรีแล้ว
ให้ดำเนินการโอนกิจการได้
ทั้งนี้การโอนสิทธิเรียกร้องในการโอนกิจการนี้ไม่ต้องบอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้ตามมาตรา
๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของลูกหนี้ที่จะยกข้อต่อสู้ตามมาตรา
๓๐๘ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๓๘ จัตวา
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะควบกิจการกับธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบันการเงินหรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่สำคัญให้แก่ธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบันการเงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน
ให้คณะกรรมการธนาคารพาณิชย์นั้นจัดทำโครงการแสดงรายละเอียดการดำเนินงานเสนอต่อรัฐมนตรี
ถ้ารัฐมนตรีโดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบกับโครงการดังกล่าว ให้รัฐมนตรีประกาศการให้ความเห็นชอบในราชกิจจานุเบกษา
ทั้งนี้ ในประกาศดังกล่าวจะกำหนดระยะเวลาดำเนินการและเงื่อนไขใด ๆ ก็ได้
ในการดำเนินการตามโครงการที่ได้รับความเห็นชอบตามวรรคหนึ่ง
ถ้าธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับบทบัญญัติดังต่อไปนี้
ให้ได้รับยกเว้นมิให้นำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับ แล้วแต่กรณี
(๑) มาตรา ๒๓๗ มาตรา ๑๑๑๗
มาตรา ๑๑๘๕ มาตรา ๑๒๒๐ มาตรา ๑๒๒๒ มาตรา ๑๒๒๔ มาตรา ๑๒๒๕ มาตรา ๑๒๒๖ และมาตรา ๑๒๔๐
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(๒) มาตรา ๕๐ มาตรา ๕๒
มาตรา ๑๐๒ ประกอบกับมาตรา ๓๓ วรรคสอง มาตรา ๑๓๗ มาตรา ๑๓๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๔๐
มาตรา ๑๔๑ มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๔๘ แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕
(๓) มาตรา ๙๔ (๒) มาตรา ๑๑๔
และมาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ทั้งนี้ เฉพาะที่เกี่ยวกับการโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด
ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินเนื่องในการควบกิจการหรือโอนกิจการ
ในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นแก่บุคคลใดในการดำเนินการตามวรรคสอง
ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ควบกันหรือที่รับโอนกิจการต้องร่วมกันรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น
มาตรา ๓๘ เบญจ
เมื่อได้มีประกาศการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีตามมาตรา ๓๘ จัตวา แล้ว
ให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่จะควบกิจการหรือโอนหรือรับโอนกิจการ
จัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาการควบกิจการหรือโอนหรือรับโอนกิจการ
ในการนี้มิให้นำบทกฎหมายเกี่ยวกับการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อควบกิจการหรือโอนหรือรับโอนกิจการของธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินนั้นมาใช้บังคับ
และให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินนั้นงดรับลงทะเบียนการโอนหุ้นเมื่อพ้นเจ็ดวันนับแต่วันที่มีประกาศการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีตามมาตรา
๓๘ จัตวา จนถึงวันประชุมผู้ถือหุ้น
และเรียกประชุมผู้ถือหุ้นโดยจัดส่งหนังสือนัดให้ผู้ถือหุ้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันแต่ต้องไม่เกินสิบสี่วัน
ทั้งนี้ ให้โฆษณาคำบอกกล่าวนัดประชุมในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันที่แพร่หลายอย่างน้อยหนึ่งฉบับเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสามวันก่อนวันประชุมด้วย
ในการประชุมถ้ามีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนเสียงของผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุม
ให้ถือว่าการควบกิจการหรือโอนหรือรับโอนกิจการนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมาย
ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจมีหุ้นในธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินใดไม่ต่ำกว่าร้อยละเก้าสิบ
เมื่อได้มีประกาศการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีตามมาตรา ๓๘ จัตวา แล้ว
ให้ถือว่าการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีเป็นมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น และการควบกิจการหรือโอนหรือรับโอนกิจการนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมายโดยไม่ต้องดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
ห้ามมิให้บุคคลใดฟ้องธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินตามมาตรา
๓๘ จัตวา เป็นคดีล้มละลายในระหว่างการดำเนินการเพื่อควบกิจการหรือโอนกิจการตามที่ได้มีประกาศการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีตามมาตรา
๓๘ จัตวา
ให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินตามมาตรา
๓๘ จัตวา ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีอากรต่าง ๆ
บรรดาที่เกิดจากควบกิจการหรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยจะกำหนดเป็นการทั่วไปหรือเป็นการเฉพาะรายก็ได้
คณะกรรมการของสถาบันการเงินที่ควบกันแล้วมีสิทธิยื่นขอจดทะเบียนการควบกิจการได้ภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ได้มีประกาศการให้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีตามมาตรา
๓๘ จัตวา
มาตรา ๓๘ ฉ
ในการควบกิจการของธนาคารพาณิชย์เข้าด้วยกันหรือควบกิจการเข้ากับสถาบันการเงิน
หรือโอนกิจการของธนาคารพาณิชย์ให้แก่ธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบันการเงิน
หากมีการโอนสินทรัพย์ที่มีหลักประกันอย่างอื่นที่มิใช่สิทธิจำนอง สิทธิจำนำ
หรือสิทธิอันเกิดขึ้นแต่การค้ำประกัน
ให้หลักประกันนั้นตกแก่ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่ควบกันหรือที่รับโอนกิจการแล้วแต่กรณี
มาตรา ๓๘ สัตต
ในการควบกิจการของธนาคารพาณิชย์เข้าด้วยกันหรือควบกิจการเข้ากับสถาบันการเงิน
หรือโอนกิจการของธนาคารพาณิชย์ให้แก่ธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบันการเงิน
ถ้ามีการฟ้องบังคับสิทธิเรียกร้องเป็นคดีอยู่ในศาล ให้ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่ควบกันหรือที่รับโอนกิจการ
แล้วแต่กรณี เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนในคดีดังกล่าว และอาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดงคัดค้านเอกสารที่ได้ยื่นไว้แล้ว
ถามค้านพยานที่สืบมาแล้ว และคัดค้านพยานหลักฐานที่ได้สืบไปแล้วได้และในกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาบังคับตามสิทธิเรียกร้องนั้นแล้ว
ก็ให้เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้น
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับฐานะหรือการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์
เพื่อให้เกิดความมั่นคงและเข้มแข็งจำเป็นต้องให้ธนาคารพาณิชย์สามารถควบกิจการเข้าด้วยกันหรือควบกิจการเข้ากับสถาบันการเงินอื่น
หรือโอนกิจการระหว่างกันหรือกับสถาบันการเงินอื่นได้
จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ในอันที่จะรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
สุนันทา/แก้ไข
๑๑/๑๒/๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
[๑] รก.๒๕๔๑/๕๑ก/๔/๒๓
สิงหาคม ๒๕๔๑ |
315591 | พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 (Update ณ วันที่ 24/10/2540) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
---------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๕
เป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ
และยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๐๕/๓๙/๑พ/๓๐
เมษายน ๒๕๐๕]
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๘๘
มาตรา ๔*
ในพระราชบัญญัตินี้
การธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า การประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงิน
ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
และใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่ง
หรือหลายทาง เช่น (ก)ให้สินเชื่อ (ข) ซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด
(ค) ซื้อขายเงินปริวรรตต่างประเทศ
ธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า
ธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการ
ธนาคารพาณิชย์
และหมายความรวมถึงสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบ
การธนาคารพาณิชย์ด้วย
บริษัทมหาชนจำกัด หมายความว่า บริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วย
บริษัทมหาชนจำกัด
บริษัทจำกัด หมายความรวมถึงบริษัทมหาชนจำกัดด้วย
เงินกองทุน หมายความว่า
(๑)
ทุนชำระแล้วซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับและเงินที่
ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๒) ทุนสำรอง
(๓)
เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุม
ใหญ่ผู้ถือหุ้นหรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์
แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของ
สินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้
(๔)
กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรร
(๕)
เงินสำรองจากการตีราคาสินทรัพย์ เงินสำรองอื่น และ
(๖)
เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับเนื่องจากการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะ
ยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญ
เงินกองทุนตาม (๑)
(๒) (๓) และ (๔) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการ
บัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ชนิด
ประเภทและการคำนวณเงินกองทุนตาม (๕) หรือ (๖) ให้เป็นไปตามหลัก
เกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เงินกองทุนตาม (๑)
(๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) ให้หักเงินตามตราสารใน
(๖)
ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่นที่ธนาคารพาณิชย์นั้นถือไว้และสินทรัพย์อื่นใด
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ให้สินเชื่อ หมายความว่า ให้กู้ยืมเงิน ซื้อ ซื้อลด
รับช่วงซื้อลดตั๋วเงิน เป็นเจ้า
หนี้ เนื่องจากได้จ่ายหรือสั่งให้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของผู้เคยค้า
หรือเป็นเจ้าหนี้เนื่องจากได้จ่าย
เงินตามภาระผูกพันตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต
บัตรเงินฝาก หมายความว่า
ตราสารซึ่งเปลี่ยนมือได้ที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้
แก่ผู้ฝากเงินเพื่อเป็นหลักฐานการรับฝากเงินและเพื่อแสดงสิทธิของผู้ทรงตราสารที่จะได้รับเงิน
ฝากคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
โดยจะมีการกำหนดดอกเบี้ยไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
*[มาตรา ๔
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒ นิยามคำว่า เงินกองทุน แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ และนิยามคำว่า บัตรเงินฝาก
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๕*
ภายใต้บังคับ มาตรา ๕ จัตวา และมาตรา ๕ เบญจ ธนาคารพาณิชย์
นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งขึ้นได้ก็แต่ในรูปบริษัทมหาชนจำกัดและโดยได้รับใบ
อนุญาตจากรัฐมนตรี
คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
และจะดำเนินการเพื่อจัดตั้ง
บริษัทมหาชนจำกัดได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
เมื่อได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว
ให้บริษัทมหาชนจำกัดนั้นแจ้ง
การจดทะเบียนเพื่อขอรับใบอนุญาต
ในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง
และการอนุญาตตามวรรคสาม รัฐมนตรี
จะกำหนดเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้
*[มาตรา ๕
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๒๒]
มาตรา ๕ ทวิ*
บุคคลใดจะถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ใดเกินร้อยละห้าของจำนวน
หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้
เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ถือหุ้นเป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้น
รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจผ่อนผันให้มีการถือหุ้นเป็นอย่างอื่นได้
ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
หุ้นธนาคารพาณิชย์ที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ถืออยู่
ให้นับรวมเป็นหุ้น
ของบุคคลตามวรรคหนึ่งด้วย
(๑)
คู่สมรสของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๒)
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๓)
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วน
(๔)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็น
หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดรวมกันเกินร้อยละ
สามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕)
บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้าง
หุ้นส่วนตาม (๓)หรือ (๔)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้ง
หมดของบริษัทจำกัดนั้น
(๖)
บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้าง
หุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) หรือบริษัทจำกัดตาม (๕)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
*[มาตรา ๕ ทวิ
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการ
ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๕ ตรี*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ใดจำหน่ายหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น
แก่บุคคลใดซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดตามมาตรา ๕ ทวิ
ทุกครั้งที่มีการชี้ชวนให้เข้าชื่อซื้อหุ้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ระบุจำนวนหุ้นที่บุคคล
หนึ่งบุคคลใดจะถือหุ้นได้ทั้งสิ้นโดยชอบด้วยมาตรา ๕ ทวิ ไว้ให้ทราบในคำชี้ชวน
*[มาตรา ๕ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ จัตวา*
หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารพาณิชย์ต้องเป็นหุ้น
ชนิดระบุชื่อผู้ถือ
มีมูลค่าของหุ้นไม่เกินหุ้นละหนึ่งร้อยบาทและข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ต้องไม่มีข้อจำกัดในการโอนหุ้น
เว้นแต่เพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ หรือมาตรา ๕ เบญจ หรือตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
*[มาตรา ๕ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ เบญจ*
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถือ
อยู่ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และต้องมีกรรมการเป็นบุคคลผู้มี
สัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องแก้ไข
ฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใด รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศ
ไทยมีอำนาจผ่อนผันให้มีจำนวนหุ้นหรือกรรมการเป็นอย่างอื่นได้
ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนด
เงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๕ เบญจ
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ ]
มาตรา ๕ ฉ* เมื่อปรากฏว่าบุคคลใดได้หุ้นของธนาคารพาณิชย์ใดมาและการได้
มานั้นเป็นเหตุให้ถือหุ้นเกินจำนวนที่จะถือได้ตามมาตรา ๕ ทวิ
บุคคลนั้นจะยกเอาการถือหุ้นใน
ส่วนที่เกินจำนวนดังกล่าวขึ้นใช้ยันต่อธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้
และธนาคารพาณิชย์นั้นจะจ่ายเงิน
ปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดให้แก่บุคคลนั้นหรือให้บุคคลนั้นออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุม
ของผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นส่วนที่เกินมิได้
*[มาตรา ๕ ฉ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ สัตต*
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ มาตรา ๕ เบญจ
และมาตรา ๕ ฉ
ให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นทุกคราวก่อนจ่ายเงินปันผลหรือ
เงินตอบแทนอื่นใด และก่อนการประชุมผู้ถือหุ้น
แล้วแจ้งผลการตรวจสอบต่อธนาคารแห่ง
ประเทศไทยตามรายการและภายในเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และในกรณีที่พบว่าผู้
ถือหุ้นรายใดถือหุ้นเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา 5 ทวิ
ให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งให้ผู้นั้นทราบเพื่อ
ดำเนินการจำหน่ายหุ้นส่วนที่เกินนั้นเสีย
*[มาตรา ๕ สัตต
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๕)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ อัฏฐ*
บทบัญญัติแห่งมาตรา ๕ ทวิ มาตรา ๕ ตรี มาตรา ๕ จัตวา
มาตรา ๕ เบญจมาตรา ๕ ฉ และมาตรา ๕ สัตต
มิให้นำมาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสาขา
ของธนาคารต่างประเทศ
*[มาตรา ๕ อัฎฐ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๖*
การประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยตั้งเป็นสาขาของธนาคารที่ตั้ง
อยู่ในต่างประเทศจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีในการอนุญาตรัฐมนตรีจะ
กำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยตามจำนวน ชนิด วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามวรรคสองต้องจัดหาด้วย
(๑) เงินที่นำเข้ามาจากสำนัก
งานใหญและหรือสาขาอื่นนอกประเทศไทยของธนาคารต่างประเทศนั้น (๒) เงินสำรองต่าง
ๆ แต่
ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์ และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้หรือ
(๓) เงิน
กำไรสุทธิแต่ละงวดการบัญชีของสาขาอันได้โอนเป็นส่วนของสำนักงานใหญ่แล้วและไม่ต้องส่ง
ออก ทั้งนี้
เมื่อหักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว
ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ถือว่าสินทรัพย์ตามวรรคสองเป็นเงินกอง
ทุน
*[มาตรา ๖
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๒๒]
มาตรา ๗
ธนาคารพาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับ
อนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อาจเปิดสาขาได้
แต่ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี คำขอ
อนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด ในการนี้รัฐมนตรีจะอนุญาตโดยมีเงื่อนไขก็ได้
มาตรา ๗ ทวิ*
ผู้ใดจะกระทำการแทนธนาคารต่างประเทศโดยมีสำนักงานติด
ต่อกับบุคคลทั่วไปในราชอาณาจักร
หรือธนาคารพาณิชย์ใดนอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งสำนักงานเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร
ต้องได้รับ
อนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๗ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๗ ตรี*
เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตให้ตั้งสำนักงานใหญ่หรือสำนัก
งานสาขา ณ ที่ใดแล้ว จะย้ายสำนักงานนั้นไม่ได้
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศ
ไทย ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๗ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๘
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์
มาตรา ๙
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อใน
ธุรกิจว่าธนาคาร หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๙ ทวิ*
นอกจากการธนาคารพาณิชย์แล้ว ธนาคารพาณิชย์อาจกระทำ
ธุรกิจที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึง
กระทำ เช่นการเรียกเก็บเงินตามตั๋วเงิน การรับอาวัลตั๋วเงิน การรับรองตั๋วเงิน
การออกเล็ตเตอร์
ออฟเครดิตหรือการค้ำประกันหรือธุรกิจทำนองเดียวกันด้วยก็ได้ เมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคาร
แห่งประเทศไทย แต่จะประกอบการค้าหรือธุรกิจอื่นใดมิได้
*[มาตรา ๙ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๙ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์จะรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอัน
กำหนดไว้ โดยวิธีออกบัตรเงินฝากก็ได้
บัตรเงินฝากต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(๑)
คำบอกชื่อว่าเป็นบัตรเงินฝาก
(๒)
ชื่อธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
(๓)
วันที่ออกบัตรเงินฝาก
(๔)
จังหวัดที่ออกบัตรเงินฝาก
(๕)
ข้อตกลงอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะจ่ายเงินเป็นจำนวนหนึ่งที่แน่นอนพร้อม
ด้วยดอกเบี้ย(ถ้ามี)
(๖)
วันถึงกำหนดจ่ายเงิน
(๗)
สถานที่จ่ายเงิน
(๘)
ชื่อของผู้ฝากเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้จ่ายเงินแก่ผู้ถือ
(๙)
ลายมือชื่อผู้มีอำนาจลงนามแทนธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
*[มาตรา ๙ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๙ จัตวา*
ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๘๙๙ ถึงมาตรา ๙๐๗ มาตรา
๙๑๑ มาตรา ๙๑๓ (๑) และ (๒) มาตรา ๙๑๔ ถึงมาตรา ๙๑๖ มาตรา ๙๑๗ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
มาตรา ๙๑๘ ถึงมาตรา ๙๒๒ มาตรา ๙๒๕ มาตรา ๙๒๖ มาตรา ๙๓๘ ถึงมาตรา ๙๔๒ มาตรา ๙๔๕ มาตรา ๙๔๖ มาตรา ๙๔๘ มาตรา ๙๔๙ มาตรา ๙๕๙
มาตรา ๙๖๗ มาตรา ๙๗๑ มาตรา ๙๗๓ มาตรา ๙๘๖ มาตรา ๙๙๔ ถึงมาตรา ๑๐๐๐ มาตรา ๑๐๐๖ ถึงมาตรา ๑๐๐๘
มาตรา ๑๐๑๐ และมาตรา ๑๐๑๑ มาใช้บังคับแก่บัตรเงินฝากโดยอนุโลม
*[มาตรา ๙ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๐*
ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ หนี้
สิน หรือภาระผูกพันตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วย
ความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถ้ามีผลเป็นการ
เปลี่ยนแปลงอัตราให้สูงขึ้น จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
*[มาตรา ๑๐
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๑*
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินสดสำรองเป็นอัตราส่วนกับเงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืมตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ ทวิ
ไม่ต่ำกว่าอัตราส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราส่วนที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า และไม่เกินร้อยละ
ห้าสิบของเงินฝาก และหรือเงินกู้ยืมแล้วแต่กรณี
และจะกำหนดให้เป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและ
หรือเงินกู้ยืม ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือหลายประเภทรวมกันหรือแยกกันก็ได้
เพื่อประโยชน์ในการดำรงเงินสดสำรองตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทย
จะกำหนดให้ถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทยเป็นส่วนหนึ่งของเงินสดสำรองที่พึงดำรงนั้นก็ได้
*[มาตรา ๑๑
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ทวิ*
เงินฝากและหรือเงินกู้ยืมซึ่งธนาคารพาณิชย์จะต้องดำรงเงินสด
สำรองให้ได้อัตราส่วน ได้แก่เงินฝาก และหรือเงินกู้ยืม ดังต่อไปนี้
(๑)
ยอดรวมเงินฝากทั้งหมด
(๒)
เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
(๓) เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
(๔)
ยอดรวมเงินกู้ยืมทั้งหมด
(๕)
เงินกู้ยืมแต่ละประเภท
การคำนวณยอดเงินฝากหรือเงินกู้ยืมตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีจะกำหนดให้คำนวณรวมกับยอดเงินให้เบิกเกินบัญชีที่ยังไม่ได้
จ่ายไป โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินฝากหรือเงินกู้ยืมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
*[มาตรา ๑๑ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามที่ระบุไว้ใน
มาตรา ๑๑ จัตวา
เป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝาก และหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท
ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าและไม่เกินร้อยละห้า
สิบของยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท แล้วแต่กรณี
การกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศ
ไทยจะกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องแต่เพียงบางประเภทหรือทุกประเภทก็ได้
และจะ
กำหนดอัตราส่วนของแต่ละประเภทในอัตราใดก็ได้
*[มาตรา ๑๑ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ จัตวา*
สินทรัพย์สภาพคล่องได้แก่
(๑) เงินสด
(๒)
เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓)
เงินฝากสุทธิที่ธนาคารพาณิชย์อื่น
(๔)
หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่ปราศจากภาระผูกพัน
(๕)
หุ้นกู้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยและ
ปราศจากภาระผูกพัน
(๖)
สินทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดด้วยความเห็นชอบของ
รัฐมนตรี
*[มาตรา ๑๑ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ เบญจ* การดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑
ให้ได้อัตราส่วนกับ
เงินฝากและหรือเงินกู้ยืม และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา ๑๑ ตรี
ให้ได้อัตราส่วน
กับยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืม แล้วแต่กรณี ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไข
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามมาตรา
๑๑ มาตรา ๑๑ ทวิ วรรคสอง และมาตรา ๑๑ ตรี วรรค
หนึ่ง
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และถ้ามีผลเป็นการเพิ่มอัตราส่วนเงินสดสำรองและอัตรา
ส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
*[มาตรา ๑๑ เบญจ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ฉ*
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพของเงินตรา
รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสดสำรองพิเศษไม่ต่ำกว่าอัตราที่รัฐมนตรี
กำหนดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต่างหากจากการดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑
การกำหนดอัตราตามวรรคหนึ่ง
ให้กำหนดเป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงิน
กู้ยืมตามมาตรา ๑๑ ทวิ
ทั้งหมดหรือแต่ละประเภทเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้นจากยอดเงินดังกล่าวเมื่อ
สิ้นวันใดวันหนึ่ง และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๑ ฉ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๒*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการดังต่อไปนี้
(๑)
ลดทุนโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
(๒)
ให้สินเชื่อแก่กรรมการ หรือประกันหนี้ใด ๆ ของกรรมการหรือรับรอง รับ
อาวัล
หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินที่กรรมการเป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วหรือผู้สลักหลัง
(๓)
รับหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกัน หรือรับหุ้นของธนาคารพาณิชย์
จากธนาคารพาณิชย์อื่นเป็นประกัน
(๔)
ซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่
(ก)
เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้าง
ของธนาคารพาณิชย์นั้น โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการให้ความเห็น
ชอบนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
(ข)
เป็นการได้มาจากการชำระหนี้หรือจากการประกันการให้สินเชื่อหรือจาก
การซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้นจากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลหรือ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
(๕)*
ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดเกินร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้
แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
หรือซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเกินอัตราส่วนกับเงิน
กองทุนทั้งหมดหรือเงินกองทุนชนิดหนึ่งชนิดใดหรือหลายชนิดตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อน
ไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
(๖)
ซื้อหรือมีหุ้นธนาคารพาณิชย์อื่น เว้นแต่เป็นการได้มาจากการชำระหนี้หรือ
การประกันการให้สินเชื่อแต่ต้องจำหน่ายภายในเวลาหกเดือนนับแต่วันที่ได้มา
หรือเป็นการได้มา
โดยได้รับผ่อนผันจากรัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการผ่อนผันนั้นจะ
กำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
(๗)
จ่ายเงินหรือทรัพย์สินอื่นให้แก่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้างของธนาคาร
พาณิชย์นั้น
เป็นค่านายหน้าหรือค่าตอบแทนสำหรับหรือเนื่องจากการกระทำหรือการประกอบ
ธุรกิจใด ๆ ของธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ นอกจากบำเหน็จ เงินเดือน เงินรางวัล และเงินเพิ่มอย่าง
อื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ
(๘)
ขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์ใด ๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ารวมกันสูง
กว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดแก่กรรมการหรือซื้อทรัพย์สินจากกรรมการ ทั้งนี้ รวมถึง
บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมการ ตามมาตรา 12 ทวิ ด้วย
เว้นแต่ได้รับความเห็น
ชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(๙) กระทำการใด ๆ
อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ
หรือแก่ประโยชน์ของประชาชน
หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็น
ธรรม หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน
หรือเป็นการผูก
ขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็น
ชอบของคณะรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๒
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘และมาตรา ๒(๕) แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๒ ทวิ*
การให้สินเชื่อแก่หรือการประกันหนี้ใด ๆ ของบุคคลหรือห้าง
หุ้นส่วนดังต่อไปนี้ หรือการรับรอง รับอาวัล
หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินที่บุคคลหรือห้างหุ้น
ส่วนดังต่อไปนี้เป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วหรือผู้สลักหลัง
ให้ถือว่าเป็นการให้สินเชื่อ หรือการ
ประกัน หรือการรับรอง รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้าแก่กรรมการตามมาตรา ๑๒ (๒)
ด้วย
(๑)
คู่สมรสของกรรมการ
(๒)
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของกรรมการ
(๓)
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วน
(๔) ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม
(๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วน
จำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดรวมกันเกินร้อยละสามสิบ
ของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕)
บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้างหุ้นส่วนตาม
(๓) หรือ
(๔)ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท
จำกัดนั้น
(๖)
บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้างหุ้นส่วนตาม
(๓) หรือ (๔) หรือบริษัทจำกัดตาม
(๕) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
*[มาตรา ๑๒ ทวิ
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๑๒ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์ต้องจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่ตกเป็นของ
ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๑๒ (๔) ( ข ) ภายในห้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกเป็นของ
ธนาคารพาณิชย์
เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะขยายระยะเวลาให้หรือให้ความเห็นชอบเพื่อ
ใช้เป็นสถานที่ตามมาตรา ๑๒ (๔) (ก)
*[มาตรา ๑๒ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๒ จัตวา*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งหรือยอมให้บุคคลซึ่งมีคุณ
สมบัติหรือลักษณะดังต่อไปนี้เป็นหรือทำหน้าที่กรรมการ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ
ผู้ช่วยผู้จัดการ หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์
(๑)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(๒)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับ
ทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต
(๓)
เคยถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกจากราชการ หรือองค์การหรือหน่วยงาน
อื่นของรัฐ ฐานทุจริตต่อหน้าที่
(๔) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการของธนาคารพาณิชย์
ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(๕)
ถูกถอดถอนจากธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีตามมาตรา
๒๕
(๖)
เป็นข้าราชการการเมือง
(๗)
เป็นข้าราชการซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมธนาคารพาณิชย์ หรือ
พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
เว้นแต่เป็นกรณีของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
หรือเป็นกรณีที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์
(๘)* เป็นผู้จัดการ
รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ของห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท
จำกัด ซึ่งตนหรือบุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ ถือหุ้นอยู่ เว้นแต่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของ
ธนาคารพาณิชย์
ซึ่งไม่มีอำนาจลงนามผูกพันธนาคารพาณิชย์ด้วยตนเองหรือร่วมกับผู้อื่น
*[มาตรา ๑๒ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๒ จัตวา (๘)
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๑๓*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการของผู้อื่น
หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เมื่อสิ้นวัน
หนึ่ง ๆ เกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนทั้งหมดหรือเงินกองทุนชนิดหนึ่งชนิดใด
หรือหลายชนิดตาม
หลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
ทั้งนี้
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนดในการ
อนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและถ้ามีผลเป็นการ
เปลี่ยนแปลงอัตราให้ต่ำลง จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
ให้นำความในมาตรา
๑๒ ทวิ มาใช้บังคับแก่การกระทำตามวรรคหนึ่งด้วยโดย
อนุโลม
*[มาตรา ๑๓
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๓ ทวิ*
บทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๓ ไม่ให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ธนาคาร
พาณิชย์
(๑)
ให้กู้ยืมเงินโดยการซื้อหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์อื่นที่ธนาคาร
แห่งประเทศไทยกำหนด
(๒)
ให้กู้ยืมเงินโดยมีประกันด้วยหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ หรือ
ทรัพย์สินอื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้
เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินมูลค่าแห่งหลัก
ทรัพย์ หรือทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นได้ตีราคารับไว้เป็นประกัน
(๓)
ให้สินเชื่อตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด หรือ
(๔)
รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์มี
ความผูกพันในการชำระเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย
ขายลดหรือขาย
ช่วงลดตั๋วเงิน ทั้งนี้
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๓ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๓ ตรี*
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศหรือเพื่อแก้ไขภาวะ
เศรษฐกิจ รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดการดังต่อไปนี้ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอ
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการประเภทใด ๆ ไม่น้อยกว่าอัตราที่
กำหนด
(๒)
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการใด ๆ เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นเกิน
อัตราที่กำหนด
การกำหนดตาม (๑)
ทุกครั้งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี อัตราที่
กำหนดตาม(๑) รวมกันทั้งสิ้นทุกประเภทของกิจการต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบของยอดเงินฝากของ
ธนาคารพาณิชย์ในวันสิ้นปีก่อนหน้านั้น
การกำหนดตาม (๒)
ให้กำหนดเป็นร้อยละของยอดเงินให้สินเชื่อในแต่ละกิจ
การของธนาคารพาณิชย์นั้นในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และจะกำหนดหลัก
เกณฑ์ เงื่อนไข และระยะเวลาเพื่อปฏิบัติการไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๑๓ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๓ จัตวา*
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุ
เบกษา กำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝาก
เงิน การกู้ยืมเงิน หรือการซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใดได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่งจะกำหนดตามประเภทของเงินฝากหรือเงินกู้ยืม
ประเภทของบุคคล
ประเภทของเอกสารการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงินหรือประเภทของตราสาร
ก็ได้
*[มาตรา ๑๓ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๔*
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์
ปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑)
ดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์อาจจ่ายได้
(๒)
ดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๓) ค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๔)
เงินมัดจำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
(๕)
หลักประกันเป็นทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
บรรดาเงิน
ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่นใดที่อาจกำหนดเป็นเงินได้ ที่ผู้ฝากเงินหรือ
บุคคลอื่นได้รับจากธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นเนื่องจากการ
ฝากเงินหรือที่ธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นได้รับเนื่องจาก
การประกอบธุรกิจนั้นของธนาคารพาณิชย์ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลด
หรือค่าบริการตาม
ความใน (๑) หรือ (๒) หรือ (๓)
แล้วแต่กรณี เว้นแต่ค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม (๓)
ไม่ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์
อาจเรียกได้ตาม (๒)
การกำหนดตามมาตรานี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
และให้ประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๔
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๕*
ให้ธนาคารพาณิชย์จดแจ้งบัญชีแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ให้
ครบถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง
และประกาศรายการย่อตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดโดยแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ในวันทำงานวันสุดท้ายของทุกเดือน
หรือในวันอื่นที่
ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศตามวรรคหนึ่งให้เสนอต่อธนาคารแห่งประเทศไทยหนึ่งฉบับและให้ปิด
ไว้ในที่เปิดเผย ณ
สำนักงานภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไปและให้ลงในหนังสือพิมพ์รายวัน
อย่างน้อยหนึ่งฉบับด้วย เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น
*[มาตรา ๑๕
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๕ ทวิ*
ให้ธนาคารพาณิชย์ปิดบัญชีทุกงวดการบัญชีในรอบระยะเวลา
หกเดือน
ถ้าธนาคารพาณิชย์ใดมีสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้หรือที่สงสัยว่าจะไม่มี
ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
ให้
ธนาคารพาณิชย์นั้นตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวออกจากบัญชี
หรือกันเงิน
สำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวเมื่อสิ้นงวดการบัญชีนั้น
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ปฏิบัติเป็นอย่างอื่น
ในการอนุญาตนั้นจะ
กำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
*ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ถ้านำสินทรัพย์
ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้ตัดออกจากบัญชีหรือสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคา
หรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้กันเงินสำรองมาหักออกจากเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น
แล้ว
หากปรากฏว่าเงินกองทุนที่คงเหลือมีจำนวนต่ำกว่าเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามมาตรา
๑๐
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดมาตรการใด
ๆให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถือปฏิบัติจน
กว่าจะได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นหมดสิ้นไป
หรือกันเงินสำรองสำหรับสิน
ทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นครบจำนวนแล้ว
*[มาตรา ๑๕ ทวิ
วรรคหนึ่ง
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๒๘ และมาตรา ๑๕ ทวิ วรรคสอง แก้ไขโดย
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๖*
ภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีบัญชีให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา
๕ ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่แล้ว
ตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศดังกล่าวให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้นลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
และเสนอต่อรัฐมนตรีและธนาคารแห่ง
ประเทศไทยภายในยี่สิบเอ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ ทั้งนี้ เว้นแต่ธนาคาร
แห่งประเทศไทยจะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
งบดุลตามวรรคหนึ่งจะต้องมีการรับรองของผู้สอบบัญชีซึ่งธนาคารแห่งประเทศ
ไทยได้ให้ความเห็นชอบในแต่ละปีบัญชี และต้องมิใช่กรรมการ
พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคาร
พาณิชย์นั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา
๖ ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนของ
ธนาคารในต่างประเทศที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นสาขาภายในเวลาสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีบัญชีของ
ธนาคารต่างประเทศนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุขัดข้องอันสมควร ประกาศดังกล่าวให้ปิดไว้
ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น
*[มาตรา ๑๖
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๑๗*
ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดทำการตามเวลาและหยุดทำการตามวันที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการหรือหยุดทำการในเวลา
หรือวันอื่นจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาตดังกล่าวธนาคารแห่งประเทศไทยจะ
กำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศเวลาทำการและวันหยุดทำการดังกล่าวไว้ในที่เปิด
เผย ณ สำนักงาน
*[มาตรา ๑๗
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๗ ทวิ* เพื่อแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
หรือ
เพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินหรือระบบสถาบันการเงิน
ให้รัฐมนตรีด้วยคำ
แนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ระงับการดำเนินกิจการทั้งหมด
หรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวภายในระยะเวลาที่กำหนด และในการนี้จะกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ
และเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๑๗ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๑๘ ธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแจ้ง
ให้รัฐมนตรีทราบทันที และห้ามมิให้ทำกิจการใด ๆ
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากรัฐมนตรีแล้วให้รายงานโดยละเอียดแสดงเหตุที่ต้องหยุดทำการจ่ายเงินภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่หยุดทำการจ่ายเงิน
มาตรา ๑๙*
ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคาร
พาณิชย์ใดเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคารพาณิชย์อื่นอีกในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ เว้น
แต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
เป็นตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย หรือตำแหน่งที่ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติหรือให้
ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
(๒)
ได้รับการผ่อนผันจากรัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย
โดยในการผ่อนผันต้องกำหนดเป็นระยะเวลาไม่เกินสามปี และจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ
ไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๑๙
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๐]
มาตรา ๒๐ ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา
๕
มาตรา ๖ หรือมาตรา ๗
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งให้เลิกสาขาตามที่ได้
อนุญาตไปแล้ว แล้วแต่กรณี หรือจะสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นก็ได้
แต่ถ้าเห็นสมควร รัฐมนตรีจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติการเพื่อแก้ไขให้เป็นไปตามเงื่อนไขเสียก่อนภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้
มาตรา ๒๑ ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๐
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งธนาคาร
พาณิชย์นั้นมิให้แจกหรือจำหน่ายเงินกำไรทั้งหมดหรือแต่บางส่วนโดยให้นำเงินกำไรนั้นทั้งหมด
หรือแต่บางส่วนไปเพิ่มทุนสำรอง หรือไปเพิ่มสินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามมาตรา ๖
แล้วแต่กรณี และ
รัฐมนตรีจะสั่งห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์นั้นให้กู้ยืมหรือลงทุน
หรือให้ทำได้ภายใต้เงื่อนไขใด ๆ
จนกว่าธนาคารพาณิชย์นั้นจะปฏิบัติถูกต้องด้วยก็ได้
มาตรา ๒๒*
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า ธนาคารพาณิชย์ใด
(๑) ดำรงเงินสดสำรองไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๒)
ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๓)
รับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินหรือก่อภาระผูกพันโดยไม่ลงบัญชีให้ถูกต้องและ
ครบถ้วน หรือสร้างรายการให้สินเชื่อไม่ตรงต่อความเป็นจริง
(๔) ให้สินเชื่อหรือลงทุนเกินอัตราที่กำหนด
หรือให้สินเชื่อในลักษณะที่เล็งเห็น
ได้ว่าจะเรียกคืนไม่ได้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๕)
ให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่ธนาคารพาณิชย์หรือกรรมการของ
ธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง หรือให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นใน
ปริมาณเกินสมควรหรือมีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดพิเศษผิดไปจากปกติ
(๖)
ไม่ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี
(๗)
ไม่กันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
(๘) กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ขึ้นเพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นกระทำการหรือ
งดเว้นกระทำการ หรือแก้ไขการดังกล่าวในวรรคหนึ่ง
ในการนี้จะกำหนดเงื่อนไขและระยะเวลาไว้
ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๒๒
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๒๓
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ยื่นรายงานลับมีรายการ
ตามที่รัฐมนตรีกำหนด
ทั้งนี้จะให้ยื่นตามระยะเวลาหรือเป็นครั้งคราวและจะให้ทำคำชี้แจงข้อความเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานนั้นก็ได้
รายงานลับและคำชี้แจงนี้ให้ยื่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๔*
รัฐมนตรีมีอำนาจตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์เพื่อตรวจสอบและ
รายงานกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือจะมอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทย
ตั้งพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ก็ได้
แต่ไม่ว่าในกรณีใดๆ
รัฐมนตรีจะตั้งหรือมอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ให้ทำ
การตรวจเพื่อทราบกิจการหรือทรัพย์สินของเอกชนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะที่มีหรือปรากฏอยู่ใน
ธนาคารพาณิชย์ใด ๆ มิได้ เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๓๕ (๓)
*[มาตรา ๒๔
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๒๔ ทวิ*
เมื่อปรากฏหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่าธนาคาร
พาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่
ประโยชน์ของประชาชน
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแก้ไขฐานะ
หรือการดำเนินการดังกล่าวได้ภายในระยะเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ในการนี้จะสั่ง
ให้เพิ่มทุนหรือลดทุนด้วยก็ได้
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่เพิ่มทุนหรือลดทุนภายในกำหนดเวลาที่ธนาคาร
แห่งประเทศไทยสั่งตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นมติที่ประชุมผู้
ถือหุ้นนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลาตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าว
ในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องให้ธนาคารพาณิชย์ใดเพิ่มทุนหรือลดทุน
เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์นั้นสามารถพยุงฐานะและการดำเนินการต่อไปได้
ธนาคารแห่งประเทศ
ไทยจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มทุนหรือลดทุนทันทีก็ได้โดยให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่ง
ประเทศไทยดังกล่าวเป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
*ในการเพิ่มทุนหรือลดทุนตามวรรคสองหรือวรรคสาม
หรือการเสนอขายหุ้น
เพิ่มทุน มิให้นำมาตรา ๑๑๑๗ มาตรา ๑๒๒๐ มาตรา ๑๒๒๒ มาตรา ๑๒๒๔ มาตรา ๑๒๒๕ และมาตรา
๑๒๒๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมาตรา ๕๐ มาตรา ๑๓๖ วรรคสอง (๒) มาตรา ๑๓๗
มาตรา ๑๓๙ และมาตรา ๑๔๑ แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน พ.ศ.
๒๕๓๕ แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ
*[มาตรา ๒๔
ทวิ วรรคสี่
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราช
บัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๐]
มาตรา ๒๔ ตรี*
เมื่อปรากฎหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่าธนาคาร
พาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่
ประโยชน์ของประชาชน
หรือกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคาร
พาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตาามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามมาตรา ๒๔ ทวิ ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถอดถอนกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการ
ดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ผู้เป็นต้นเหตุดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่ง ใหัธนาคาร
พาณิชย์นั้นแต่งตั้งบุคคลอื่นโดยความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าดำรงตำแหน่งดัง
กล่าวแทนภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันถอดถอน
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ถอดถอนตามวรรคหนึ่ง หรือถอดถอนแล้วไม่
แต่งตั้งบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทนตามวรรคสอง ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็น
ชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งถอดถอนบุคคลดังกล่าวหรือแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลาย
คนไปดำรงตำแหน่งแทน
ในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของ
ธนาคารพาณิชย์ใดซึ่งหากปล่อยเนิ่นช้าอาจเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน ธนาคาร
แห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งถอดถอนกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับ
ผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์นั้นและแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคนไป
ดำรงตำแหน่งได้ทันที่ตามที่เห็นสมควร
ให้ผู้ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งตามวรรคสามหรือวรรคสี่อยู่ในตำแหน่ง
เป็นเวลาไม่เกินสามปี
และมิให้นำความในมาตรา ๑๒ จัตวา (๘) มาใชับังคับ และให้บุคคลดัง
กล่าวได้รับค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด
โดยให้จ่ายจากทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์นั้น
และในระหว่างเวลาที่บุคคลดังกล่าวดำรงตำแหน่งอยู่ ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์จะมีมติเพิก
ถอนหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้
บุคคลซึ่งถูกถอดถอนตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้าไปเกี่ยวข้อง
หรือดำเนินการใดๆ ในธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม และต้องอำนวย
ความสะดวกและให้ข้อเท็จจริงแก่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งแทนหรือตามที่ผู้ตรวจการธนาคาร
พาณิชย์กำหนด
ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้ถอดถอนหรือแต่งตั้งตามมาตรา
นี้เป็นมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น
[มาตรา ๒๔ ตรี
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการ
ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๐
มาตรา ๒๕*
เมื่อรัฐมนตรีได้รับรายงานการตรวจสอบของผู้ตรวจการธนาคาร
พาณิชย์และเห็นว่าฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใดอยู่ในลักษณะอันจะเป็นเหตุให้
เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์ของประชาชน
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งควบคุมธนาคาร
พาณิชย์หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
แต่ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขการบริหาร
งานรวมทั้งย้ายหรือถอดถอนกรรมการหรือพนักงานของธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐ
มนตรีภายในระยะเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด
รัฐมนตรีจะยังไม่สั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นหรือยัง
ไม่สั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้ ในการนี้
รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการ
ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๒๕
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๒๖
เมื่อปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงินให้รัฐมนตรี
แต่งตั้งบุคคลที่รัฐมนตรีเห็นสมควรเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนพฤติการณ์
และเมื่อได้รับรายงานการสอบสวนจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นได้
มาตรา ๒๗ ในการสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด
ให้รัฐมนตรีแจ้งคำสั่งเป็น
หนังสือให้ธนาคารพาณิชย์นั้นทราบ และปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ
สำนักงานของธนาคาร
พาณิชย์นั้น
กับทั้งให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๒๘ ในการควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด
ให้รัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการ
ควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้น
ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคนและกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่าสองคน คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่จัดดำเนินกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นได้ทุกประการ
และให้ประธานกรรมการเป็นผู้แทนของธนาคารพาณิชย์นั้น
ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการ
คนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งและกำหนดอำนาจและหน้าที่พนักงานควบคุม
ธนาคารพาณิชย์คนหนึ่งหรือหลายคนให้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
การตั้งคณะกรรมการและการแต่งตั้งกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทนประธาน
กรรมการให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๙
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด ห้ามมิให้
กรรมการและพนักงานของธนาคารพาณิชย์กระทำกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นอีกต่อไป
เว้นแต่
จะได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๓๐
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด ให้
กรรมการ พนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นจัดการอันสมควรเพื่อปกปักรักษาทรัพย์และประโยชน์ของธนาคารพาณิชย์ไว้
และรีบรายงานกิจการและมอบสินทรัพย์ พร้อมด้วยสมุดบัญชี เอกสาร ดวงตราและสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ให้แก่คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์โดยมิชักช้า
มาตรา ๓๑ เมื่อธนาคารพาณิชย์ใดถูกควบคุม
ให้ผู้ครอบครองทรัพย์สินหรือ
เอกสารของธนาคารพาณิชย์นั้นแจ้งการครอบครองให้คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์ทราบโดยมิชักช้า
มาตรา ๓๒
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า ธนาคารพาณิชย์
ที่ถูกควบคุมสมควรจะดำเนินกิจการของตนเองได้ ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ
ถ้ารัฐมนตรีเห็น
สมควรก็ให้สั่งเลิกการควบคุม
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวัน
อย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๓
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า ธนาคารพาณิชย์
ที่ถูกควบคุมไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้ ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ
ถ้ารัฐมนตรีเห็นสมควรก็
ให้สั่งเลิกธนาคารพาณิชย์นั้นและให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันอย่าง
น้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๔
เมื่อรัฐมนตรีสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งเลิกธนาคารพาณิชย์ ให้
มีการชำระบัญชี และให้รัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีธนาคารพาณิชย์นั้น
การชำระบัญชีให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ว่าด้วยการชำระบัญชีบริษัทจำกัด
เว้นแต่การใดที่เป็นอำนาจและหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่ให้เป็น
อำนาจและหน้าที่ของรัฐมนตรี
มาตรา ๓๕*
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๔ หรือมาตรา ๒๖ ให้ผู้ตรวจการ
ธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วแต่กรณีมีอำนาจดังต่อไปนี้
(๑) สั่งให้กรรมการ
พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์ ผู้สอบบัญชีของ
ธนาคารพาณิชย์
และผู้รวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
หรือด้วยเครื่องมืออื่นใด มาให้ถ้อยคำ
หรือส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่น
อันเกี่ยวกับกิจการ สินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารพาณิชย์
(๒)
เข้าไปในสถานที่ประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ หรือในสถานที่ซึ่งรวบ
รวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือด้วยเครื่องมืออื่นใด
ใน
เวลาทำการของสถานที่นั้น เพื่อตรวจสอบกิจการ
สินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้ง
เอกสาร หลักฐานหรือข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์
(๓)
เข้าไปตรวจสอบฐานะหรือการดำเนินงานในสถานที่ประกอบธุรกิจของลูก
หนี้ของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งสั่งให้ลูกหนี้หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือส่งสำเนาหรือ
แสดงสมุดบัญชี เอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องได้
ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าธนาคาร
พาณิชย์กระทำการตามมาตรา ๒๒ (๓) (๔) หรือ (๕)
ในการดำเนินการตาม
(๓) ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี
ก่อน
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม
วรรคหนึ่ง
ให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตาม
สมควร
*[มาตรา ๓๕ แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๓๕ ทวิ*
ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ ที่
มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา ๗ ทวิ หรือมาตรา ๘
เพื่อตรวจสอบ
ได้ และให้มีอำนาจยึดหรืออายัดเอกสารหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าวเพื่อ
ประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดีได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามวรรคหนึ่ง
ให้เจ้าของ
หรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นมีหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามสมควร
*[มาตรา ๓๕ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๓๖ เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๘
ให้คณะกรรมการควบคุมธนาคาร
พาณิชย์ หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจ
มีอำนาจสั่งให้บุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ หรือให้แสดงหรือส่งสมุด บัญชี เอกสาร
ดวงตราและหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุม
มาตรา ๓๗ กรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
พนักงานควบคุมธนาคาร
พาณิชย์ และผู้ชำระบัญชีอาจได้รับเงินค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๓๘ ค่าใช้จ่ายและเงินค่าตอบแทนในการควบคุมหรือชำระบัญชี
ธนาคารพาณิชย์ใด ให้จ่ายจากสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์นั้น
มาตรา ๓๙*
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗ ทวิ มาตรา
๙ หรือมาตรา ๑๙ ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๓๙ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๐*
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่
เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๐
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๑* ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่แจ้งแก่ผู้
ถือหุ้นอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๕ สัตต หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
หรือปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งในการยื่นรายงานลับ หรือให้คำชี้แจงตามมาตรา ๒๓
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
*[มาตรา ๔๑
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๒*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗ หรือมาตรา
๑๒ (๑) หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๕
วรรคสี่ หรือมาตรา
๖ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
*[มาตรา ๔๒
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๓*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ ฉ หรือ
มาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
*[มาตรา ๔๓
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๔*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี วรรคหนึ่ง
มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ มาตรา ๗
ทวิ มาตรา ๙ ทวิ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑ ตรี
มาตรา ๑๒ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) หรือ (๙) มาตรา ๑๒ ตรี มาตรา ๑๒ จัตวา
มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๓ จัตวา มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่งมาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๖
หรือ
มาตรา ๑๗
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตาม
มาตรา ๕ ทวิ มาตรา ๗ มาตรา ๑๒ (๖) มาตรา ๑๓ ตรี มาตรา ๑๗ ทวิ มาตรา ๒๑ มาตรา
๒๓ หรือมาตรา ๒๕ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของธนาคาร
แห่งประเทศไทยตามมาตรา ๑๒ (๔) (ก) หรือ (๕) มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๗
วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๒ วรรคสอง
มาตรา ๒๔ ทวิหรือมาตรา ๒๔ ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
สามแสนบาท
*[มาตรา ๔๔
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๔๕*
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี วรรคสอง มาตรา ๗
ตรี หรือมาตรา ๑๕ วรรคสอง
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดตามมาตรา ๗ ทวิหรือมาตรา ๗ ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
*[มาตรา ๔๕
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖*
ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕
ถ้าเป็นกรณีการกระทำความผิดต่อเนื่อง ให้ปรับอีกไม่เกินวันละสามพันบาท
สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๒ หรือมาตรา ๔๓ หรือให้ปรับอีกไม่เกินวันละสองพันบาท สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๔
หรือมาตรา ๔๕ แล้วแต่กรณี ตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
*[มาตรา ๔๖
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ทวิ*
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๔๒
มาตรา ๔๓มาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕
กรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้น หรือบุคคลใดซึ่งรับผิด
ชอบในการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกิน
สามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของ
ธนาคารพาณิชย์นั้นด้วย
*[มาตรา ๔๖ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ตรี*
ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕
หรือมาตรา ๔๖
ทวิถ้ามิได้ฟ้องต่อศาลหรือมิได้มีการเปรียบเทียบตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ ภายใน
หนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตรวจพบการกระทำความผิด
หรือเกินกำหนดห้าปี
นับแต่วันกระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ
*[มาตรา ๔๖ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ จัตวา*
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๔ ตรี วรรคห้า มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐
หรือมาตรา ๓๑ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ จัตวา
โดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๔๖ เบญจ*
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงาน
เจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา ๓๕ หรือขัดขวางมิให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือสอบสวนและตรวจสอบตามมาตรา ๓๕ หรือให้ถ้อยคำ หรือแสดงสมุด บัญชี
เอกสารและหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือส่งสำเนาสิ่งเหล่านั้นตามมาตรา ๓๕ อันเป็นเท็จ หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์
ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา ๓๕ ทวิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ เบญจ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ฉ*
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่ง คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือ
พนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจซึ่งสั่งตามมาตรา ๓๖
ต้องระวางโทษจำคุกไม่
เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ ฉ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ สัตต*
ผู้ใดได้ล่วงรู้กิจการของธนาคารพาณิชย์ใดเนื่องจากการ
ปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
อันเป็นกิจการที่ตามปกติวิสัยของธนาคารพาณิชย์จะพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย
ถ้าผู้นั้นนำไปเปิดเผยนอกจากตามหน้าที่ หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือการพิจารณาคดี
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ สัตต
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ อัฏฐ*
ความผิดตามมาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔
มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ หรือมาตรา ๔๖
ทวิ ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบ
เทียบได้
คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ให้มีจำนวนสามคนและคนหนึ่ง
ต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด
และผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับ
ตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว
ให้คดีนั้นเป็นอันเลิกกัน
[มาตรา ๔๖
อัฎฐวรรคหนึ่งแก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราช
บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ และมาตรา ๔๖ อัฏฐ วรรคสองและวรรคสาม แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ นว*
ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ดัง
ต่อไปนี้
(๑)
ในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ กรรมการหรือบุคคลใดซึ่ง
รับผิดชอบในธนาคารพาณิชย์กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามบทบัญญัติในหมวด ๑
หมวด ๓
หมวด ๔ หมวด ๕ หรือหมวด ๗ ของลักษณะ ๑๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือมาตรา ๔๐
มาตรา ๔๑ หรือมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙ หรือมาตรา ๒๔๓
หรือมาตรา
๒๔๔ แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๒๑
(๒)
ในการสอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์ ผู้สอบบัญชีผู้ใดกระทำความผิดตาม
มาตรา ๒๖๙ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติกำหนดความผิด
เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม
และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙
(๓)
ผู้ใดเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดหรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม
(๑) หรือ (๒)
ให้ถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา
ในความผิดตามมาตรานี้
เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ให้พนักงาน
อัยการมีอำนาจเรียกทรัพย์สิน หรือราคา
หรือค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแทนผู้ได้รับ
ความเสียหายด้วย ในการนี้
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม
*[มาตรา ๔๖ นว
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๔๖ ทศ*
ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามที่
บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๖ นว และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่าหากปล่อยเนิ่นช้าไว้อาจเกิดความ
เสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สิน
ของบุคคลนั้นหรือทรัพย์สินซึ่งตามกฎหมายอาจถือได้ว่าเป็นของบุคคลนั้น
แต่จะยึดหรืออายัด
ทรัพย์สินไว้เกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันไม่ได้
เว้นแต่ในกรณีมีการฟ้องคดีต่อศาลให้คำสั่งยึดหรือ
อายัดดังกล่าวยังคงมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น
ในกรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถฟ้อง
คดีได้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
ศาลที่มีเขตอำนาจจะสั่งขยายระยะเวลาออกไปอีกตามคำขอของ
ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานของธนาคารแห่งประเทศ
ไทย
เป็นผู้ดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
การยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง
เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลดังกล่าวจะหลบหนีออก
นอกราชอาณาจักรเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยร้องขอ
ให้ศาลอาญามีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคล
นั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนได้ ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน
เมื่อผู้ว่าการธนาคาร
แห่งประเทศไทยหรือบุคคลที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมายแจ้งให้อธิบดีกรมตำรวจ
ทราบ
ให้อธิบดีกรมตำรวจมีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลนั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนเป็นการชั่ว
คราวได้เป็นเวลาไม่เกินสิบห้าวันจนกว่าศาลอาญาจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของศาลอาญาหรือของอธิบดีกรมตำรวจที่สั่งตามวรรคสี่
ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
*[มาตรา ๔๖ ทศ
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๔๗
ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๑)
ความในวรรคสองของมาตรา ๖ ไม่ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสาขา
ของธนาคารต่างประเทศ
ซึ่งประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๒)
ในการปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓ ให้ถือว่าสินทรัพย์ที่
ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงอยู่ในประเทศไทยตามชนิดที่รัฐมนตรี
กำหนดเป็นเงินกองทุน
มาตรา ๔๘
ภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับบท
บัญญัติมาตรา ๑๙
ไม่ใช้บังคับแก่บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งอันต้องห้ามตามมาตราดังกล่าวอยู่แล้ว
ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับสำหรับตำแหน่งที่ดำรงอยู่นั้น
มาตรา ๔๙ ในระหว่างเวลาที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยตามมาตรา
๑๑ และมาตรา ๑๔ (๑) ยังไม่ใช้บังคับ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ และมาตรา
๓๑
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๘๘ มาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๕๐ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัติ
นี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ส.ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี
----------------------------------------------------
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
ในปัจจุบันการธนาคารและการ
เศรษฐกิจได้ขยายตัวขึ้นเป็นลำดับ
จึงสมควรได้ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ให้
เหมาะสม เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ
ตลอดจนให้ความคุ้มครองแก่ผู้
ฝากเงินกับธนาคาร
----------------------------------------------------------
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๒๒
บุคคลใดถือหุ้นธนาคารพาณิชย์รวมกันเกินอัตราที่กำหนดตาม
มาตรา ๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราช
บัญญัตินี้อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้คงมีสิทธิถือหุ้นนั้นได้ต่อไป
แต่ถ้าได้
จำหน่ายหุ้นนั้นไปเท่าใดก็ให้คงมีสิทธิถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดได้เท่าจำนวนหุ้นที่เหลือนั้น
ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งได้รับมรดกในหุ้นนั้น
ในวันหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
บทบัญญัติมาตรา ๕
ฉ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
มิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นตามหลักเกณฑ์ที่
กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งและวรรคสอง
มาตรา ๒๓
ธนาคารพาณิชย์ใดที่จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทจำกัดตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงเป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไปได้ และถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นได้ออกหุ้นซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา
๕ จัตวา และหรือมีผู้ถือหุ้นหรือ
กรรมการซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา ๕ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการแก้ไขเสียให้ถูกต้องตาม
มาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ แล้วแต่กรณี
ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้
บังคับ โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(๑)
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือ
หุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยรายโดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกัน
เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๒)
ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือ
หุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยรายโดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกัน
เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละสี่สิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๓) ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือ
หุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย
โดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้น
รวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
(๑) (๒) หรือ (๓) ถ้ามีเหตุจำเป็นและสมควร
รัฐมนตรีจะขยายระยะเวลาให้คราวละไม่เกินหกเดือนก็ได้
แต่เมื่อนับระยะเวลารวมกันทั้งหมด
แล้วจะต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๔ ภายในห้าปี
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับธนาคารพาณิชย์
ใดที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่
ถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นยังมิได้จดทะเบียนเป็นบริษัท
มหาชนจำกัด ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ให้ธนาคารพาณิชย์ออกหนังสือชี้ชวนให้ประชาชนเข้าชื่อซื้อหุ้นได้ในการ
ออกหนังสือชี้ชวนดังกล่าว ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยหนังสือชี้ชวน
ในกรณีเพิ่มทุนตามกฎหมายว่า
ด้วยบริษัทมหาชนจำกัดมาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๒)
หุ้นที่ออกในการเพิ่มทุนนั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการขายให้แก่บุคคล
ธรรมดาซึ่งไม่เป็นผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจำนวนหุ้นที่ออก
ใหม่
และจะขายให้แต่ละคนเกินร้อยละศูนย์จุดห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ได้
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามมิให้บริษัทจำกัดตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ชี้ชวนประชาชนให้ซื้อหุ้นและบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหุ้น
ที่ออกใหม่ มิให้นำมาใช้บังคับแก่การเพิ่มทุนตามมาตรานี้
ความในมาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตาม
กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
มาตรา ๒๕ ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ดำเนินการแก้ไขหุ้นหรือผู้ถือหุ้นหรือ
กรรมการให้ถูกต้องตามมาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาตามมาตรา ๒๓
กำหนดหรือที่รัฐมนตรีผ่อนผันต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ถ้าเป็นการกระทำผิดต่อเนื่องให้ปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
มาตรา ๒๖ ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๔
ต้องระวางโทษปรับ
ไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๒๗ ความผิดตามมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖ ให้คณะกรรมการตาม
มาตรา ๔๖ อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระ
ราชบัญญัตินี้ มีอำนาจเปรียบเทียบได้ และให้นำมาตรา ๔๖ ตรี
ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้
บังคับด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๒๘
สำนักงานที่ได้ตั้งขึ้นแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เพื่อ
กระทำการแทนธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศในการติดต่อกับบุคคลทั่วไปตามมาตรา
๗ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
นี้ ถ้าประสงค์จะดำเนินการต่อไป ให้ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศหรือผู้จัดตั้งสำนัก
งานนั้นแล้วแต่กรณียื่นคำขอรับอนุญาตให้ถูกต้องภายในเวลาสามเดือนนับแต่วันที่พระราช
บัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๙
ธนาคารพาณิชย์ใดมีหุ้นหรือหุ้นกู้ของบริษัทจำกัดอยู่ก่อนวันที่พระ
ราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา ๑๒ (๕) หรือถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์อื่น
อันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา ๑๒ (๖)แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นยื่นคำขอผ่อนผันต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ในการผ่อนผันธนาคารแห่งประเทศไทยจะ
กำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๓๐
ธนาคารพาณิชย์ใดให้สินเชื่อหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำ
ประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
แก่หรือเพื่อกรรมการหรือบุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่
กระทำได้โดยชอบอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา ๑๒ (๒) และมาตรา ๑๒ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๓๑
อสังหาริมทรัพย์ใดที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับและต้องจำหน่ายไปตามมาตรา ๑๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ธนาคารพาณิชย์จำหน่ายเสียภายในเก้าปี
นับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกมาเป็นของธนาคารพาณิชย์หรือภายในระยะเวลาที่ได้รับ
การขยาย
มาตรา ๓๒
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศโดยอาศัย
อำนาจตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ หรือมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร
พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
หรือออกประกาศแล้วแต่ประกาศ
ดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓และมาตรา ๑๔ แห่งพระราช
บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ไปพลางก่อน
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งออก
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ ตามวรรคหนึ่ง คำว่า เงินกองทุน ตามประกาศดังกล่าวให้หมายความถึงเงินกองทุนตามมาตรา
๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๓๓
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัติ
นี้
หมายเหตุ:-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติการ
ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ ๒๕๐๕ ได้ประกาศใช้บังคับมานานแล้ว มีบทบัญญัติหลายมาตราไม่
เหมาะสมกับกาลสมัย สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติเดิม
และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่
ขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงและเป็นหลักประกันแก่การประกอบการธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้
ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการได้จากรัฐบาลนั้นเป็นแหล่งระดมทุนที่
สำคัญของประเทศย่อมเป็นการสมควรที่ธนาคารพาณิชย์จะพึงมีบทบาทในการใช้เงินทุนนั้นไป
ทางอำนวยประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มากยิ่งขึ้น
และอีกประการหนึ่ง การ
ธนาคารพาณิชย์นับว่าเป็นกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน
เป็นการสมควรที่จะให้สาธารณชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการประกอบกิจการด้วย จึงจำ
เป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๒๒/๓๑/๑พ/๗
มีนาคม ๒๕๒๒]
-------------------------------------------------------------
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
มาตรา ๑๙
ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้
บังคับ หากประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่และเสนอขายแก่ประชาชน ก็ให้เสนอขายต่อ
ประชาชนและออกหนังสือชี้ชวนได้
โดยให้นำกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดเกี่ยวกับหนังสือ
ชี้ชวน และบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๒๐
ผู้ใดเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์อยู่ในวันที่พระ
ราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ซึ่งเป็นการขัดต่อมาตรา ๑๒ จัตวา (๘)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร
พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้
ให้ยื่นขออนุญาตต่อธนาคารแห่ง
ประเทศไทยภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
เมื่อได้ยื่นขออนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ทำหน้าที่ต่อไปได้จนกว่าธนาคาร
แห่งประเทศไทยจะสั่งไม่อนุญาต
มาตรา ๒๑
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการ
ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๒
ยังมีมาตรการไม่เพียงพอแก่การควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจ
ของธนาคารพาณิชย์ และขาดมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยแก้ไขปัญหาของธนาคารพาณิชย์
หากจะพึงมีขึ้น
สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้อง
เหมาะสมกับภาวการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนและ
ก่อให้เกิดเสถียรภาพในระบบธนาคารพาณิชย์อย่างแท้จริง
รวมทั้งเพื่อประโยชน์แก่การพัฒนา
เศรษฐกิจของประเทศเป็นส่วนรวม
และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะ
รักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
[รก.๒๕๒๘/๑๗๗/๑พ/๒๖
พฤศจิกายน ๒๕๒๘]
----------------------------------------------------------
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๓ ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศตามมาตรา
๑๐ มาตรา ๑๒ (๕) หรือมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้
ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
หรือออกประกาศแล้วแต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ ให้
ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศซึ่งออกตามมาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๓ แห่งพระราช
บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคาร
พาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๒ (๕)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคาร
พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ไปพลางก่อน
มาตรา ๑๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัติ
นี้
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขบท
บัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่เพื่อขยายขอบเขต
การประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์
โดยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถออกบัตรเงินฝากชนิดเปลี่ยน
มือในการรับฝากเงินได้ เพื่อให้เกิดตราสารทางการเงินที่มีความคล่องตัว นอกจากนี้ ได้ยกเลิกข้อ
กำหนดเกี่ยวกับการกระจายหุ้นให้บุคคลธรรมดารายย่อยเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วย
บริษัทมหาชนจำกัด
และปรับปรุงข้อกำหนดในเรื่องเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้เป็นไป
ตามแนวทางสากล ตามข้อเสนอของ BANK FOR INTERNATIONAL SETTLEMENTS
(BIS) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่ช่วยพัฒนาและกำกับสถาบันการเงินที่ดำเนินกิจการใน
ตลาดต่างประเทศให้มีความมั่นคงเป็นมาตรฐานเดียวกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๓๕/๔๔/๑/๙
เมษายน ๒๕๓๕]
-----------------------------------------------------
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่
๒)
พ.ศ. ๒๕๔๐
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
โดยที่พระราชบัญญัติการ
ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕
ได้บัญญัติห้ามมิให้ผู้ที่มีสัญชาติอื่นนอกจากสัญชาติไทยถือหุ้นใน
ธนาคารพาณิชย์หรือเป็นกรรมการธนาคารพาณิชย์ได้เกินหนึ่งในสี่ของจำนวนหุ้นและกรรมการทั้ง
หมด และห้ามมิให้กรรมการธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการธนาคาร
พาณิชย์แห่งอื่นในขณะเดียวกัน
แต่สถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤติการณ์
ความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน
และปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ในสถาบันการเงินเสื่อมลงอย่าง
รวดเร็วตามภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการระดมเงินทุน
นอกประเทศมาสร้างเสริมระบบสถาบันการเงินให้มั่นคงยิ่งขึ้น
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้ที่มี
สัญชาติอื่นนอกจากสัญชาติไทยถือหุ้นและเป็นกรรมการธนาคารพาณิชย์ได้เกินอัตราส่วนดังกล่าว
และให้กรรมการธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งไปดำรงตำแหน่งกรรมการในธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นได้
และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินมีความจำเป็นเร่งด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของ
ประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
[รก.๒๕๔๐/๒๙ก/๑๒/๒๘
มิถุนายน ๒๕๔๐]
-------------------------------------------------------
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่
๓)
พ.ศ. ๒๕๔๐
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ
เนื่องจากการแก้ไขปัญหาของ
ธนาคารพาณิชย์ที่ประสบปัญหาด้านฐานะ หรือการดำเนินการอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย
แก่ประโยชน์ของประชาชนตามบทบัญญัติของกฎหมายปัจจุบันไม่อาจดำเนินการให้ทันต่อ
ความเร่งด่วนของสถานการณ์ได้
ซึ่งความล่าช้าของการดำเนินการจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง
แก่เศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
สมควรให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าแก้ไขปัญหาของ
ธนาคารพาณิชย์ที่ประสบภาวะวิกฤตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบ
ด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ในอันที่จะรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้อง
ตราพระราชกำหนดนี้
[รก.๒๕๔๐/๖๐ก/๒๖/๒๔
ตุลาคม ๒๕๔๐]
สุนันทา/แก้ไข
๐๗/๐๙/๔๔ |
301570 | พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2540 | พระราชกำหนด
พระราชกำหนด
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๔๐
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๐
เป็นปีที่ ๕๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่
๓) พ.ศ. ๒๕๔๐
มาตรา ๒[๑]
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในวรรคสี่ของมาตรา ๒๔ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ในการเพิ่มทุนหรือลดทุนตามวรรคสองหรือวรรคสาม
หรือการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน มิให้นำมาตรา ๑๑๑๗ มาตรา ๑๒๒๐ มาตรา ๑๒๒๒ มาตรา ๑๒๒๔
มาตรา ๑๒๒๕ และมาตรา ๑๒๒๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมาตรา ๕๐ มาตรา ๑๓๖
วรรคสอง (๒) มาตรา ๑๓๗ มาตรา ๑๓๙ และมาตรา ๑๔๑ แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.
๒๕๓๕ แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ
มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๔ ตรี
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๔ ตรี
เมื่อปรากฎหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่าธนาคารพาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
หรือกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามมาตรา ๒๔ ทวิ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถอดถอนกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ผู้เป็นต้นเหตุดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแต่งตั้งบุคคลอื่นโดยความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทนภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันถอดถอน
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่ง
หรือถอดถอนแล้วไม่แต่งตั้งบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทนตามวรรคสอง
ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งถอดถอนบุคคลดังกล่าวหรือแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคนไปดำรงตำแหน่งแทน
ในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใดซึ่งหากปล่อยเนิ่นช้าอาจเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งถอดถอนกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์นั้นและแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคนไปดำรงตำแหน่งแทนได้ทันทีตามที่เห็นสมควร
ให้ผู้ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งตามวรรคสามหรือวรรคสี่อยู่ในตำแหน่งเป็นเวลาไม่เกินสามปี
และมิให้นำความในมาตรา ๑๒ จัตวา (๘) มาใช้บังคับ และให้บุคคลดังกล่าวได้รับค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด
โดยให้จ่ายจากทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์นั้น และในระหว่างเวลาที่บุคคลดังกล่าวดำรงตำแหน่งอยู่
ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์จะมีมติเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้
บุคคลซึ่งถูกถอดถอนตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการใด
ๆ ในธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม และต้องอำนวยความสะดวกและให้ข้อเท็จจริงแก่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งแทนหรือตามที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์กำหนด
ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้ถอดถอนหรือแต่งตั้งตามมาตรานี้เป็นมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ เนื่องจากการแก้ไขปัญหาของธนาคารพาณิชย์ที่ประสบปัญหาด้านฐานะ
หรือการดำเนินการอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชนตามบทบัญญัติของกฎหมายปัจจุบันไม่อาจดำเนินการให้ทันต่อความเร่งด่วนของสถานการณ์ได้
ซึ่งความล่าช้าของการดำเนินการจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางแก่เศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
สมควรให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าแก้ไขปัญหาของธนาคารพาณิชย์ที่ประสบภาวะวิกฤตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ในอันที่จะรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
สุนันทา/แก้ไข
๑๑/๑๒/๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
[๑] รก.๒๕๔๐/๖๐ก/๒๖/๒๔
ตุลาคม ๒๕๔๐ |
318165 | พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 (Update ณ วันที่ 28/06/2540) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
------
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๕
เป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ
และยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๐๕/๓๙/๑พ/๓๐
เมษายน ๒๕๐๕]
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๘๘
มาตรา ๔* ในพระราชบัญญัตินี้
การธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า การประกอบธุรกิจประเภท
รับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ และ
ใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น (ก) ให้สินเชื่อ (ข)
ซื้อขายตั๋วแลกเงิน
หรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด (ค) ซื้อขายเงินปริวรรตต่างประเทศ
ธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า
ธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการ
ธนาคารพาณิชย์ และหมายความรวมถึงสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้
ประกอบการธนาคารพาณิชย์ด้วย
บริษัทมหาชนจำกัด หมายความว่า บริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมาย
ว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
บริษัทจำกัด หมายความรวมถึงบริษัทมหาชนจำกัดด้วย
เงินกองทุน* หมายความว่า
(๑)
ทุนชำระแล้วซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับและ
เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๒) ทุนสำรอง
(๓)
เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติ
ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นหรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่รวมถึงเงิน
สำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้
(๔)
กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรร
(๕)
เงินสำรองจากการตีราคาสินทรัพย์ เงินสำรองอื่น และ
(๖)
เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับเนื่องจากการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้
ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญ
เงินกองทุนตาม (๑)
(๒) (๓) และ (๔) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นใน
ทุกงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และ
เงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ชนิด
ประเภทและการคำนวณเงินกองทุนตาม (๕) หรือ (๖) ให้เป็นไป
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เงินกองทุนตาม (๑)
(๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) ให้หักเงินตาม
ตราสารใน (๖) ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่นที่ธนาคารพาณิชย์นั้นถือไว้
และสินทรัพย์อื่นใด ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยกำหนด
ให้สินเชื่อ หมายความว่า ให้กู้ยืมเงิน ซื้อ ซื้อลด
รับช่วงซื้อลด
ตั๋วเงิน เป็นเจ้าหนี้ เนื่องจากได้จ่ายหรือสั่งให้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของ
ผู้เคยค้า
หรือเป็นเจ้าหนี้เนื่องจากได้จ่ายเงินตามภาระผูกพันตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต
บัตรเงินฝาก* หมายความว่า
ตราสารซึ่งเปลี่ยนมือได้ที่ธนาคาร
พาณิชย์ออกให้แก่ผู้ฝากเงินเพื่อเป็นหลักฐานการรับฝากเงินและเพื่อแสดงสิทธิ
ของผู้ทรงตราสารที่จะได้รับเงินฝากคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ โดยจะมี
การกำหนดดอกเบี้ยไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
*[มาตรา ๔
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒ นิยามคำว่า เงินกองทุน แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ และนิยามคำว่า บัตรเงินฝาก
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๕*
ภายใต้บังคับ มาตรา ๕ จัตวา และมาตรา ๕ เบญจ
ธนาคารพาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งขึ้นได้ก็แต่ในรูป
บริษัทมหาชนจำกัดและโดยได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
และจะดำเนินการ
เพื่อจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัดได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
เมื่อได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว
ให้บริษัทมหาชนจำกัดนั้น
แจ้งการจดทะเบียนเพื่อขอรับใบอนุญาต
ในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง
และการอนุญาตตามวรรคสาม
รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้
*[มาตรา ๕
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ ทวิ* บุคคลใดจะถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ใดเกินร้อยละห้า
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้ เว้นแต่เป็น
กรณีที่ผู้ถือหุ้นเป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคาร
แห่งประเทศไทย หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น แต่ในกรณีที่มีเหตุ
จำเป็นต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้น รัฐมนตรี
ด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจผ่อนผันให้มีการถือหุ้นเป็น
อย่างอื่นได้ ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
หุ้นธนาคารพาณิชย์ที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ถืออยู่
ให้นับรวม
เป็นหุ้นของบุคคลตามวรรคหนึ่งด้วย
(๑)
คู่สมรสของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๒)
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๓) ห้างหุ้นส่วนสามัญที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม
(๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วน
(๔)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด
รวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕)
บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวน
หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
(๖)
บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) หรือบริษัทจำกัดตาม (๕) ถือหุ้นรวมกัน
เกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
*[มาตรา ๕ ทวิ
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๕ ตรี*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ใดจำหน่ายหุ้นของธนาคารพาณิชย์
นั้นแก่บุคคลใดซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดตามมาตรา ๕ ทวิ
ทุกครั้งที่มีการชี้ชวนให้เข้าชื่อซื้อหุ้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ระบุจำนวน
หุ้นที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะถือหุ้นได้ทั้งสิ้นโดยชอบด้วยมาตรา ๕ ทวิ
ไว้ให้ทราบ
ในคำชี้ชวน
*[มาตรา ๕ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕
จัตวา*
หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารพาณิชย์ต้อง
เป็นหุ้นชนิดระบุชื่อผู้ถือ มีมูลค่าของหุ้นไม่เกินหุ้นละหนึ่งร้อยบาท
และข้อบังคับ
ของธนาคารพาณิชย์ต้องไม่มีข้อจำกัดในการโอนหุ้น เว้นแต่เพื่อเป็นการปฏิบัติ
ตามมาตรา ๕ ทวิ หรือมาตรา ๕ เบญจ หรือตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
*[มาตรา ๕ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ เบญจ*
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทย
ถืออยู่ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และต้องมีกรรมการ
เป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด แต่ในกรณี
ที่มีเหตุจำเป็นต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใด รัฐมนตรี
ด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจผ่อนผันให้มีจำนวนหุ้นหรือ
กรรมการเป็นอย่างอื่นได้ ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๕ เบญจ
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๐]
มาตรา ๕ ฉ*
เมื่อปรากฏว่าบุคคลใดได้หุ้นของธนาคารพาณิชย์ใดมา
และการได้มานั้นเป็นเหตุให้ถือหุ้นเกินจำนวนที่จะถือได้ตามมาตรา ๕ ทวิ บุคคล
นั้นจะยกเอาการถือหุ้นในส่วนที่เกินจำนวนดังกล่าวขึ้นใช้ยันต่อธนาคารพาณิชย์
นั้นมิได้ และธนาคารพาณิชย์นั้นจะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดให้แก่
บุคคลนั้น หรือให้บุคคลนั้นออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมของผู้ถือหุ้นตามจำนวน
หุ้นส่วนที่เกินมิได้
*[มาตรา ๕ ฉ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ สัตต* เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ
มาตรา ๕ เบญจ และมาตรา ๕ ฉ ให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบทะเบียน
ผู้ถือหุ้นทุกคราวก่อนจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใด และก่อนการประชุม
ผู้ถือหุ้น แล้วแจ้งผลการตรวจสอบต่อธนาคารแห่งประเทศไทยตามรายการและ
ภายในเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และในกรณีที่พบว่าผู้ถือหุ้นรายใด
ถือหุ้นเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา ๕ ทวิ ให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งให้ผู้นั้นทราบ
เพื่อดำเนินการจำหน่ายหุ้นส่วนที่เกินนั้นเสีย
*[มาตรา ๕ สัตต
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ อัฏฐ* บทบัญญัติแห่งมาตรา ๕ ทวิ มาตรา ๕ ตรี
มาตรา ๕
จัตวา มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ และมาตรา ๕ สัตต มิให้นำมาใช้บังคับแก่ธนาคาร
พาณิชย์ที่เป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ
*[มาตรา ๕ อัฎฐ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๖*
การประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยตั้งเป็นสาขาของ
ธนาคารที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
ในการอนุญาตรัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยตามจำนวน ชนิด วิธีการและเงื่อนไข
ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามวรรคสองต้องจัดหาด้วย
(๑) เงินที่นำเข้ามา
จากสำนักงานใหญ่และหรือสาขาอื่นนอกประเทศไทยของธนาคารต่างประเทศนั้น
(๒) เงินสำรองต่าง ๆ แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์
และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้หรือ (๓) เงินกำไรสุทธิแต่ละงวดการบัญชี
ของสาขาอันได้โอนเป็นส่วนของสำนักงานใหญ่แล้วและไม่ต้องส่งออก ทั้งนี้
เมื่อหักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว
ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ถือว่าสินทรัพย์ตามวรรคสองเป็น
เงินกองทุน
*[มาตรา ๖
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๗ ธนาคารพาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศ
ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อาจเปิดสาขาได้ แต่ต้องได้รับ
อนุญาตจากรัฐมนตรี คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด ในการนี้
รัฐมนตรีจะอนุญาตโดยมีเงื่อนไขก็ได้
มาตรา ๗ ทวิ* ผู้ใดจะกระทำการแทนธนาคารต่างประเทศโดยมี
สำนักงานติดต่อกับบุคคลทั่วไปในราชอาณาจักร หรือธนาคารพาณิชย์ใดนอกจาก
สาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งสำนักงานเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์
ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๗ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๗ ตรี*
เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตให้ตั้งสำนักงานใหญ่
หรือสำนักงานสาขา ณ ที่ใดแล้ว จะย้ายสำนักงานนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับ
อนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย
จะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๗ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๘
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ประกอบการ
ธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๙ ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ใช้ชื่อหรือ
คำแสดงชื่อในธุรกิจว่า ธนาคาร หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๙ ทวิ* นอกจากการธนาคารพาณิชย์แล้ว ธนาคารพาณิชย์
อาจกระทำธุรกิจที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็น
ประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำ เช่น การเรียกเก็บเงินตามตั๋วเงิน การรับ
อาวัลตั๋วเงิน การรับรองตั๋วเงิน การออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือการ
ค้ำประกันหรือธุรกิจทำนองเดียวกันด้วยก็ได้ เมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคาร
แห่งประเทศไทย แต่จะประกอบการค้าหรือธุรกิจอื่นใดมิได้
*[มาตรา ๙ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๙ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์จะรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้น
ระยะเวลาอันกำหนดไว้ โดยวิธีออกบัตรเงินฝากก็ได้
บัตรเงินฝากต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(๑) คำบอกชื่อว่าเป็นบัตรเงินฝาก
(๒)
ชื่อธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
(๓)
วันที่ออกบัตรเงินฝาก
(๔)
จังหวัดที่ออกบัตรเงินฝาก
(๕)
ข้อตกลงอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะจ่ายเงินเป็นจำนวนหนึ่งที่แน่นอน
พร้อมด้วยดอกเบี้ย (ถ้ามี)
(๖)
วันถึงกำหนดจ่ายเงิน
(๗)
สถานที่จ่ายเงิน
(๘)
ชื่อของผู้ฝากเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้จ่ายเงินแก่ผู้ถือ
(๙)
ลายมือชื่อผู้มีอำนาจลงนามแทนธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
*[มาตรา ๙ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๙
จัตวา*
ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๘๙๙ ถึงมาตรา ๙๐๗ มาตรา ๙๑๑ มาตรา ๙๑๓(๑) และ (๒) มาตรา ๙๑๔
ถึงมาตรา ๙๑๖ มาตรา ๙๑๗ วรรคหนึ่งและวรรคสาม มาตรา ๙๑๘ ถึงมาตรา ๙๒๒
มาตรา ๙๒๕ มาตรา ๙๒๖ มาตรา ๙๓๘ ถึงมาตรา ๙๔๒ มาตรา ๙๔๕ มาตรา ๙๔๖
มาตรา ๙๔๘ มาตรา ๙๔๙ มาตรา ๙๕๙ มาตรา ๙๖๗ มาตรา ๙๗๑ มาตรา ๙๗๓
มาตรา ๙๘๖ มาตรา ๙๙๔ ถึงมาตรา ๑๐๐๐ มาตรา ๑๐๐๖ ถึงมาตรา ๑๐๐๘
มาตรา ๑๐๑๐ และมาตรา ๑๐๑๑ มาใช้บังคับแก่บัตรเงินฝากโดยอนุโลม
*[มาตรา ๙ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๐*
ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์
หนี้สินหรือภาระผูกพัน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถ้ามีผลเป็นการ
เปลี่ยนแปลงอัตราให้สูงขึ้น จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
*[มาตรา ๑๐
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๑*
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินสดสำรองเป็นอัตราส่วน
กับเงินฝาก และหรือเงินกู้ยืมตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ ทวิ ไม่ต่ำกว่าอัตราส่วนที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราส่วนที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า และ
ไม่เกินร้อยละห้าสิบของเงินฝาก และหรือเงินกู้ยืมแล้วแต่กรณี และจะกำหนด
ให้เป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือ
หลายประเภทรวมกันหรือแยกกันก็ได้
เพื่อประโยชน์ในการดำรงเงินสดสำรองตามวรรคหนึ่ง
ธนาคาร
แห่งประเทศไทยจะกำหนดให้ถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทยเป็นส่วนหนึ่งของ
เงินสดสำรองที่พึงดำรงนั้นก็ได้
*[มาตรา ๑๑
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ทวิ*
เงินฝากและหรือเงินกู้ยืมซึ่งธนาคารพาณิชย์จะต้อง
ดำรงเงินสดสำรองให้ได้อัตราส่วน ได้แก่เงินฝาก และหรือเงินกู้ยืม ดังต่อไปนี้
(๑)
ยอดรวมเงินฝากทั้งหมด
(๒)
เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
(๓)
เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
(๔)
ยอดรวมเงินกู้ยืมทั้งหมด
(๕)
เงินกู้ยืมแต่ละประเภท
การคำนวณยอดเงินฝากหรือเงินกู้ยืมตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีจะกำหนดให้คำนวณรวมกับยอดเงิน
ให้เบิกเกินบัญชีที่ยังไม่ได้จ่ายไป โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินฝากหรือเงิน
กู้ยืมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
*[มาตรา ๑๑ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ตรี* ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามที่
ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ จัตวา เป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝาก และหรือยอดเงิน
กู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าและไม่เกิน
ร้อยละห้าสิบของยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท
แล้วแต่กรณี
การกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยจะกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องแต่เพียงบางประเภทหรือ
ทุกประเภทก็ได้ และจะกำหนดอัตราส่วนของแต่ละประเภทในอัตราใดก็ได้
*[มาตรา ๑๑ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑
จัตวา* สินทรัพย์สภาพคล่องได้แก่
(๑) เงินสด
(๒)
เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓)
เงินฝากสุทธิที่ธนาคารพาณิชย์อื่น
(๔)
หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่ปราศจากภาระผูกพัน
(๕)
หุ้นกู้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
และปราศจากภาระผูกพัน
(๖)
สินทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดด้วยความเห็นชอบ
ของรัฐมนตรี
*[มาตรา ๑๑ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ เบญจ* การดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑ ให้ได้
อัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตาม
มาตรา ๑๑ ตรี ให้ได้อัตราส่วนกับยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืม แล้วแต่กรณี
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามมาตรา
๑๑ มาตรา ๑๑ ทวิ วรรคสอง และมาตรา ๑๑ ตรี
วรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และถ้ามีผลเป็นการเพิ่มอัตราส่วน
เงินสดสำรองและอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่
วันประกาศมิได้
*[มาตรา ๑๑ เบญจ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ฉ* ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพ
ของเงินตรา
รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสดสำรองพิเศษ
ไม่ต่ำกว่าอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต่างหากจากการ
ดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑
การกำหนดอัตราตามวรรคหนึ่ง
ให้กำหนดเป็นอัตราส่วนกับเงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืมตามมาตรา ๑๑ ทวิ
ทั้งหมดหรือแต่ละประเภทเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้น
จากยอดเงินดังกล่าวเมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่ง และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๑ ฉ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๒*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการดังต่อไปนี้
(๑)
ลดทุนโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
(๒)
ให้สินเชื่อแก่กรรมการ หรือประกันหนี้ใด ๆ ของกรรมการหรือ
รับรอง รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินที่กรรมการเป็นผู้สั่งจ่าย
หรือผู้ออกตั๋วหรือผู้สลักหลัง
(๓)
รับหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกัน หรือรับหุ้นของธนาคาร
พาณิชย์จากธนาคารพาณิชย์อื่นเป็นประกัน
(๔)
ซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่
(ก)
เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับ
พนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น โดยได้รับความเห็นชอบจาก
ธนาคารแห่งประเทศไทย ในการให้ความเห็นชอบนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ
ไว้ด้วยก็ได้
(ข)
เป็นการได้มาจากการชำระหนี้หรือจากการประกัน
การให้สินเชื่อหรือจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้น
จากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
(๕)*
ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดเกินร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
หรือซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกัน
ทั้งสิ้นเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนทั้งหมดหรือเงินกองทุนชนิดหนึ่งชนิดใด
หรือหลายชนิดตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนด ทั้งนี้
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการ
อนุญาตนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้'
(๖)
ซื้อหรือมีหุ้นธนาคารพาณิชย์อื่น เว้นแต่เป็นการได้มาจากการ
ชำระหนี้หรือการประกันการให้สินเชื่อแต่ต้องจำหน่ายภายในเวลาหกเดือน
นับแต่วันที่ได้มา หรือเป็นการได้มาโดยได้รับผ่อนผันจากรัฐมนตรีด้วยคำแนะนำ
ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
(๗)
จ่ายเงินหรือทรัพย์สินอื่นให้แก่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้าง
ของธนาคารพาณิชย์นั้น เป็นค่านายหน้าหรือค่าตอบแทนสำหรับหรือเนื่องจาก
การกระทำหรือการประกอบธุรกิจใด ๆ ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ นอกจาก
บำเหน็จ เงินเดือน เงินรางวัล และเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ
(๘)
ขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์ใด ๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่า
รวมกันสูงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดแก่กรรมการหรือซื้อทรัพย์สิน
จากกรรมการ ทั้งนี้
รวมถึงบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมการ ตาม
มาตรา ๑๒ ทวิ ด้วย เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(๙) กระทำการใด ๆ
อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ
ของประเทศหรือแก่ประโยชน์ของประชาชน หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือ
บุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการ
แข่งขันในระบบสถาบันการเงิน หรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทาง
เศรษฐกิจ ทั้งนี้
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของ
คณะรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๒
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ และ (๕) แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๒ ทวิ* การให้สินเชื่อแก่หรือการประกันหนี้ใด ๆ
ของ
บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ หรือการรับรอง รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้า
ในตั๋วเงินที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้เป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วหรือ
ผู้สลักหลัง ให้ถือว่าเป็นการให้สินเชื่อ หรือการประกัน หรือการรับรอง
รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้าแก่กรรมการตามมาตรา ๑๒ (๒) ด้วย
(๑)
คู่สมรสของกรรมการ
(๒)
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของกรรมการ
(๓)
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วน
(๔)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด
รวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕)
บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือ
ห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้น
ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
(๖)
บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือ
ห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) หรือบริษัทจำกัดตาม (๕) ถือหุ้นรวมกันเกิน
ร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
*[มาตรา ๑๒ ทวิ
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๑๒ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์ต้องจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่ตกเป็น
ของธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๑๒ (๔) ( ข ) ภายในห้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์
นั้นตกเป็นของธนาคารพาณิชย์ เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะขยายระยะเวลา
ให้หรือให้ความเห็นชอบเพื่อใช้เป็นสถานที่ตามมาตรา ๑๒ (๔) (ก)
*[มาตรา ๑๒ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๒
จัตวา*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งหรือยอมให้บุคคล
ซึ่งมีคุณสมบัติหรือลักษณะดังต่อไปนี้เป็นหรือทำหน้าที่กรรมการ ผู้จัดการ
รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์
(๑)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(๒)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิด
เกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต
(๓)
เคยถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกจากราชการ หรือองค์การหรือ
หน่วยงานอื่นของรัฐ ฐานทุจริตต่อหน้าที่
(๔) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการของ
ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากธนาคาร
แห่งประเทศไทย
(๕)
ถูกถอดถอนจากธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีตาม
มาตรา ๒๕
(๖)
เป็นข้าราชการการเมือง
(๗)
เป็นข้าราชการซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เว้นแต่เป็นกรณีของธนาคารพาณิชย์ที่เป็น
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือเป็นกรณีที่ได้รับความ
เห็นชอบจากรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์
(๘)* เป็นผู้จัดการ
รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ของห้างหุ้นส่วน
หรือบริษัทจำกัด ซึ่งตนหรือบุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ ถือหุ้นอยู่ เว้นแต่เป็น
กรรมการหรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่มีอำนาจลงนามผูกพันธนาคาร
พาณิชย์ด้วยตนเองหรือร่วมกับผู้อื่น
*[มาตรา ๑๒ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และ (๘) แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๑๓* ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการ
ของผู้อื่น หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ
หลายอย่างรวมกัน เมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ เกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนทั้งหมดหรือ
เงินกองทุนชนิดหนึ่งชนิดใด หรือหลายชนิดตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ทั้งนี้ เว้นแต่
จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนด
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและ
ถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้ต่ำลง จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วัน
ประกาศมิได้
ให้นำความในมาตรา
๑๒ ทวิ มาใช้บังคับแก่การกระทำตามวรรคหนึ่ง
ด้วยโดยอนุโลม
*[มาตรา ๑๓ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๓ ทวิ* บทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๓
ไม่ให้ใช้บังคับแก่กรณีที่
ธนาคารพาณิชย์
(๑)
ให้กู้ยืมเงินโดยการซื้อหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์อื่นที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒)
ให้กู้ยืมเงินโดยมีประกันด้วยหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์
หรือทรัพย์สินอื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่
ไม่เกินมูลค่าแห่งหลักทรัพย์
หรือทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นได้ตีราคารับไว้
เป็นประกัน
(๓)
ให้สินเชื่อตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด หรือ
(๔)
รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคาร
พาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกัน
การขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน ทั้งนี้ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๓ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๓ ตรี*
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศหรือเพื่อแก้ไข
ภาวะเศรษฐกิจ รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดการดังต่อไปนี้ได้ตามที่ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยเสนอ
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการประเภทใด ๆ ไม่น้อยกว่า
อัตราที่กำหนด
(๒)
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการใด ๆ เพิ่มขึ้นหรือ
เพิ่มขึ้นเกินอัตราที่กำหนด
การกำหนดตาม (๑)
ทุกครั้งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดตาม (๑) รวมกันทั้งสิ้นทุกประเภทของกิจการต้องไม่เกินร้อยละ
ยี่สิบของยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในวันสิ้นปีก่อนหน้านั้น
การกำหนดตาม (๒)
ให้กำหนดเป็นร้อยละของยอดเงินให้สินเชื่อ
ในแต่ละกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และจะกำหนด
หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและระยะเวลาเพื่อปฏิบัติการไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๑๓ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๓
จัตวา*
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติ
เกี่ยวกับการรับฝากเงิน การกู้ยืมเงิน หรือการซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสาร
เปลี่ยนมืออื่นใดได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่งจะกำหนดตามประเภทของเงินฝากหรือเงินกู้ยืม
ประเภทของบุคคล ประเภทของเอกสารการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงินหรือ
ประเภทของตราสารก็ได้
*[มาตรา ๑๓ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๔* ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดให้ธนาคาร
พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑)
ดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์อาจจ่ายได้
(๒) ดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๓)
ค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๔)
เงินมัดจำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
(๕)
หลักประกันเป็นทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
บรรดาเงิน
ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่นใดที่อาจกำหนดเป็นเงินได้ ที่ผู้ฝากเงิน
หรือบุคคลอื่นได้รับจากธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคาร
พาณิชย์นั้นเนื่องจากการฝากเงินหรือที่ธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้าง
ของธนาคารพาณิชย์นั้นได้รับเนื่องจากการประกอบธุรกิจนั้นของธนาคารพาณิชย์
ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลด หรือค่าบริการตามความใน (๑) หรือ (๒)
หรือ (๓) แล้วแต่กรณี เว้นแต่ค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม (๓) ไม่ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลด
ที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ตาม (๒)
การกำหนดตามมาตรานี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
และให้
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๔
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๕*
ให้ธนาคารพาณิชย์จดแจ้งบัญชีแสดงหนี้สินและสินทรัพย์
ให้ครบถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง และประกาศรายการย่อตามแบบที่ธนาคาร
แห่งประเทศไทยกำหนดโดยแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ในวันทำงานวันสุดท้าย
ของทุกเดือน หรือในวันอื่นที่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศตามวรรคหนึ่งให้เสนอต่อธนาคารแห่งประเทศไทยหนึ่งฉบับ
และให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ
สำนักงานภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไปและให้ลงใน
หนังสือพิมพ์รายวัยอย่างน้อยหนึ่งฉบับด้วย
เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนด
เป็นอย่างอื่น
*[มาตรา ๑๕
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๕ ทวิ* ให้ธนาคารพาณิชย์ปิดบัญชีทุกงวดการบัญชีในรอบ
ระยะเวลาหกเดือน ถ้าธนาคารพาณิชย์ใดมีสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืน
ไม่ได้หรือที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นตัดสินทรัพย์ที่ไม่มี
ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวออกจากบัญชี หรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์
ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวเมื่อสิ้นงวดการบัญชีนั้น
เว้นแต่
จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ปฏิบัติเป็นอย่างอื่น ในการอนุญาตนั้น
จะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
*ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ถ้านำสินทรัพย์
ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้ตัดออกจากบัญชีหรือสินทรัพย์ที่สงสัยว่า
จะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้กันเงินสำรองมาหักออกจากเงิน
กองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้นแล้ว หากปรากฏว่าเงินกองทุนที่คงเหลือมีจำนวน
ต่ำกว่าเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามมาตรา ๑๐ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมี
อำนาจกำหนดมาตรการใด ๆ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถือปฏิบัติจนกว่าจะได้ตัด
สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นหมดสิ้นไป หรือกันเงินสำรองสำหรับ
สินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นครบจำนวนแล้ว
*[มาตรา ๑๕ ทวิ
วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ และวรรคสอง
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๖* ภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีบัญชีให้ธนาคารพาณิชย์ตาม
มาตรา ๕ ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่แล้ว
ตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ประกาศดังกล่าวให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้นลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
และเสนอต่อรัฐมนตรีและธนาคารแห่งประเทศไทยภายในยี่สิบเอ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติ
จากที่ประชุมใหญ่ ทั้งนี้
เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
งบดุลตามวรรคหนึ่งจะต้องมีการรับรองของผู้สอบบัญชีซึ่งธนาคารแห่ง
ประเทศไทยได้ให้ความเห็นชอบในแต่ละปีบัญชี และต้องมิใช่กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้าง
ของธนาคารพาณิชย์นั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา
๖ ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน
ของธนาคารในต่างประเทศที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นสาขาภายในเวลาสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปี
บัญชีของธนาคารต่างประเทศนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุขัดข้องอันสมควร
ประกาศ
ดังกล่าวให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น
*[มาตรา ๑๖
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ.
๒๕๒๘]
มาตรา ๑๗* ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดทำการตามเวลาและหยุดทำการ
ตามวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการหรือ
หยุดทำการในเวลาหรือวันอื่นจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาตดังกล่าว
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศเวลาทำการและวันหยุดทำการดังกล่าวไว้
ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน
*[มาตรา ๑๗
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๗ ทวิ* เพื่อแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
หรือเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินหรือระบบสถาบันการเงิน
ให้รัฐมนตรีด้วย
คำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ระงับการดำเนินกิจการ
ทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวภายในระยะเวลาที่กำหนด และในการนี้จะกำหนด
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๑๗ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๑๘ ธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน
ให้ธนาคารพาณิชย์
นั้นแจ้งให้รัฐมนตรีทราบทันที และห้ามมิให้ทำกิจการใด ๆ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
เป็นหนังสือจากรัฐมนตรีแล้วให้รายงานโดยละเอียดแสดงเหตุที่ต้องหยุดทำการ
จ่ายเงินภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่หยุดทำการจ่ายเงิน
มาตรา ๑๙*
ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่น
ในธนาคารพาณิชย์ใดเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคารพาณิชย์อื่นอีก
ในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
เป็นตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย หรือตำแหน่งที่ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติ
หรือให้ความเห็นเกี่ยวแก่การดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
(๒)
ได้รับการผ่อนผันจากรัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่ง
ประเทศไทย โดยในการผ่อนผันต้องกำหนดเป็นระยะเวลาไม่เกินสามปี และจะกำหนด
เงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๑๙
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐]
มาตรา ๒๐
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตาม
มาตรา ๕ มาตรา ๖ หรือมาตรา ๗ รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งให้เลิก
สาขาตามที่ได้อนุญาตไปแล้ว แล้วแต่กรณี หรือจะสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นก็ได้
แต่ถ้าเห็นสมควร รัฐมนตรีจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติการเพื่อแก้ไขให้เป็นไป
ตามเงื่อนไขเสียก่อนภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้
มาตรา ๒๑ ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๐
รัฐมนตรีมีอำนาจ
สั่งธนาคารพาณิชย์นั้นมิให้แจกหรือจำหน่ายเงินกำไรทั้งหมดหรือแต่บางส่วนโดยให้
นำเงินกำไรนั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปเพิ่มทุนสำรอง หรือไปเพิ่มสินทรัพย์ที่ต้องดำรง
ตามมาตรา ๖ แล้วแต่กรณี และรัฐมนตรีจะสั่งห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์นั้นให้กู้ยืมหรือ
ลงทุน หรือให้ทำได้ภายใต้เงื่อนไขใด ๆ จนกว่าธนาคารพาณิชย์นั้นจะปฏิบัติถูกต้อง
ด้วยก็ได้
มาตรา ๒๒* ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า
ธนาคาร
พาณิชย์ใด
(๑)
ดำรงเงินสดสำรองไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๒)
ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๓)
รับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินหรือก่อภาระผูกพันโดยไม่ลงบัญชีให้ถูกต้อง
และครบถ้วน หรือสร้างรายการให้สินเชื่อไม่ตรงต่อความเป็นจริง
(๔)
ให้สินเชื่อหรือลงทุนเกินอัตราที่กำหนด หรือให้สินเชื่อในลักษณะ
ที่เล็งเห็นได้ว่าจะเรียกคืนไม่ได้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๕)
ให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่ธนาคารพาณิชย์หรือกรรมการของ
ธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
หรือให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร
พาณิชย์นั้นในปริมาณเกินสมควรหรือมีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดพิเศษผิดไปจากปกติ
(๖)
ไม่ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี
(๗)
ไม่กันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืน
ไม่ได้
(๘)
กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดขึ้นเพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นกระทำการ
หรืองดเว้นกระทำการ หรือแก้ไขการดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ในการนี้จะกำหนดเงื่อนไขและ
ระยะเวลาไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๒๒
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๒๓
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ยื่นรายงานลับมีรายการ
ตามที่รัฐมนตรีกำหนด ทั้งนี้จะให้ยื่นตามระยะเวลาหรือเป็นครั้งคราวและจะให้ทำคำชี้แจง
ข้อความเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานนั้นก็ได้ รายงานลับและคำชี้แจงนี้ให้ยื่น
ต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๔*
รัฐมนตรีมีอำนาจตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์เพื่อตรวจสอบ
และรายงานกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ หรือจะมอบอำนาจให้ธนาคาร
แห่งประเทศไทยตั้งพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ตรวจการธนาคาร
พาณิชย์ก็ได้ แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ รัฐมนตรีจะตั้งหรือมอบอำนาจให้ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ให้ทำการตรวจเพื่อทราบกิจการหรือทรัพย์สิน
ของเอกชนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะที่มีหรือปรากฏอยู่ในธนาคารพาณิชย์ใด ๆ
มิได้ เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๓๕ (๓)
*[มาตรา ๒๔
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๒๔ ทวิ* เมื่อปรากฏหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่า
ธนาคารพาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย
แก่ประโยชน์ของประชาชน ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแก้ไขฐานะ
หรือการดำเนินการดังกล่าวได้ภายในระยะเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ในการนี้จะสั่ง
ให้เพิ่มทุนหรือลดทุนด้วยก็ได้
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่เพิ่มทุนหรือลดทุนภายในกำหนดเวลาที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลาตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าว
ในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องให้ธนาคารพาณิชย์ใดเพิ่มทุนหรือ
ลดทุน เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์นั้นสามารถพยุงฐานะและการดำเนินการต่อไปได้ธนาคาร
แห่งประเทศไทยจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มทุนหรือลดทุนทันทีก็ได้โดยให้ถือว่าคำสั่ง
ของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวเป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ในการเพิ่มทุนหรือลดทุนตามวรรคสองหรือวรรคสาม
มิให้นำมาตรา
๑๒๒๐ มาตรา ๑๒๒๔ มาตรา ๑๒๒๕ และมาตรา ๑๒๒๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ และมาตรา ๑๔๙ วรรคสอง (๒) มาตรา ๑๕๒ และมาตรา ๑๕๔ แห่ง
พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน พ.ศ.๒๕๒๑ แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ
*[มาตรา ๒๔ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๒๔ ตรี*
เมื่อปรากฏหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่า
ธนาคารพาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิด
ความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน หรือกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบ
ในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของธนาคารแห่ง
ประเทศไทยตามมาตรา ๒๔ ทวิ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคาร
พาณิชย์นั้นถอดถอนกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคาร
พาณิชย์ผู้เป็นต้นเหตุดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแต่งตั้งบุคคลอื่นโดยความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
เข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทนภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันถอดถอน
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่งหรือถอดถอนแล้ว
ไม่แต่งตั้งบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทนตามวรรคสอง ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย
ความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งถอดถอนบุคคลดังกล่าวหรือแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
หรือหลายคนไปดำรงตำแหน่งแทนเป็นเวลาไม่เกินสามปี และมิให้นำความในมาตรา ๑๒
จัตวา (๘) มาใช้บังคับ
ให้ผู้ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งตามวรรคสามได้รับค่าตอบแทน
ตามที่รัฐมนตรีกำหนด โดยให้จ่ายจากทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์นั้น และในระหว่าง
เวลาที่บุคคลดังกล่าวดำรงตำแหน่งอยู่ ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์จะมีมติเพิกถอนหรือ
เปลี่ยนแปลงคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้
บุคคลซึ่งถูกถอดถอนตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้าไป
เกี่ยวข้องหรือดำเนินการใด ๆ ในธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม
และต้องอำนวยความสะดวกและให้ข้อเท็จจริงแก่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งแทน หรือตามที่
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์กำหนด
ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้ถอดถอนหรือแต่งตั้ง
ตามมาตรานี้เป็นมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น
*[มาตรา ๒๔ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๒๕*
เมื่อรัฐมนตรีได้รับรายงานการตรวจสอบของผู้ตรวจการ
ธนาคารพาณิชย์และเห็นว่าฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใดอยู่ในลักษณะ
อันจะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์ของประชาชน
รัฐมนตรีมีอำนาจ
สั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
แต่ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์
ดำเนินการแก้ไขการบริหารงานรวมทั้งย้ายหรือถอดถอนกรรมการหรือพนักงานของธนาคาร
พาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด รัฐมนตรีจะยังไม่สั่ง
ควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นหรือยังไม่สั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้ ในการนี้รัฐมนตรีจะกำหนด
เงื่อนไขใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นให้
ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๒๕
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๒๖
เมื่อปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงินให้รัฐมนตรี
แต่งตั้งบุคคลที่รัฐมนตรีเห็นสมควรเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนพฤติการณ์
และเมื่อ
ได้รับรายงานการสอบสวนจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์
นั้นได้
มาตรา ๒๗ ในการสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด
ให้รัฐมนตรีแจ้งคำสั่ง
เป็นหนังสือให้ธนาคารพาณิชย์นั้นทราบ และปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของ
ธนาคารพาณิชย์นั้น กับทั้งให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย
หนึ่งฉบับ
มาตรา ๒๘ ในการควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด
ให้รัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการ
ควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้น ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคนและกรรมการอื่นอีกไม่น้อย
กว่าสองคน คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่จัดดำเนินกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นได้
ทุกประการ และให้ประธานกรรมการเป็นผู้แทนของธนาคารพาณิชย์นั้น
ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้รัฐมนตรีแต่งตั้ง
กรรมการคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งและกำหนดอำนาจและหน้าที่พนักงานควบคุม
ธนาคารพาณิชย์คนหนึ่งหรือหลายคนให้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
การตั้งคณะกรรมการและการแต่งตั้งกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทนประธาน
กรรมการให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๙
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด
ห้ามมิให้กรรมการและพนักงานของธนาคารพาณิชย์กระทำกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้น
อีกต่อไป เว้นแต่จะได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๓๐
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด
ให้กรรมการ พนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นจัดการอันสมควรเพื่อ
ปกปักรักษาทรัพย์และประโยชน์ของธนาคารพาณิชย์ไว้ และรีบรายงานกิจการ
และมอบสินทรัพย์ พร้อมด้วยสมุดบัญชี เอกสาร ดวงตราและสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับ
กิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ให้แก่คณะกรรมการควบคุมธนาคาร
พาณิชย์โดยมิชักช้า
มาตรา ๓๑ เมื่อธนาคารพาณิชย์ใดถูกควบคุม
ให้ผู้ครอบครอง
ทรัพย์สินหรือเอกสารของธนาคารพาณิชย์นั้นแจ้งการครอบครองให้คณะกรรมการ
ควบคุมธนาคารพาณิชย์ทราบโดยมิชักช้า
มาตรา ๓๒
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า
ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุมสมควรจะดำเนินกิจการของตนเองได้ ให้รายงานให้
รัฐมนตรีทราบ ถ้ารัฐมนตรีเห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกการควบคุม และให้ประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๓
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า
ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุมไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้
ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ
ถ้ารัฐมนตรีเห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกธนาคารพาณิชย์นั้น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๔
เมื่อรัฐมนตรีสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งเลิกธนาคารพาณิชย์
ให้มีการชำระบัญชี และให้รัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีธนาคารพาณิชย์นั้น
การชำระบัญชีให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ว่าด้วยการชำระบัญชีบริษัทจำกัด เว้นแต่การใดที่เป็นอำนาจและหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่
ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของรัฐมนตรี
มาตรา ๓๕* เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๔ หรือมาตรา ๒๖
ให้ผู้ตรวจการ
ธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วแต่กรณีมีอำนาจดังต่อไปนี้
(๑) สั่งให้กรรมการ
พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์ ผู้สอบบัญชี
ของธนาคารพาณิชย์ และผู้รวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วยเครื่อง
คอมพิวเตอร์หรือด้วยเครื่องมืออื่นใด มาให้ถ้อยคำ หรือส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชี
เอกสารหรือหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการ สินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารพาณิชย์
(๒)
เข้าไปในสถานที่ประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ หรือในสถานที่
ซึ่งรวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือด้วยเครื่องมือ
อื่นใด ในเวลาทำการของสถานที่นั้น เพื่อตรวจสอบกิจการ สินทรัพย์และหนี้สินของธนาคาร
พาณิชย์ รวมทั้งเอกสาร หลักฐานหรือข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์
(๓)
เข้าไปตรวจสอบฐานะหรือการดำเนินงานในสถานที่ประกอบธุรกิจ
ของลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งสั่งให้ลูกหนี้หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือ
ส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชี เอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องได้ในกรณีที่มีเหตุอันควร
สงสัยว่าธนาคารพาณิชย์กระทำการตามมาตรา ๒๒ (๓) (๔)หรือ (๕)
ในการดำเนินการตาม
(๓) ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงาน
เจ้าหน้าที่จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี
ก่อน
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวก
ตามสมควร
*[มาตรา ๓๕ แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๓๕ ทวิ*
ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์มีอำนาจเข้าไปในสถานที่
ใด ๆ ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา ๗ ทวิ หรือมาตรา
๘
เพื่อตรวจสอบได้ และให้มีอำนาจยึดหรืออายัดเอกสารหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำ
ความผิดดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดีได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามวรรคหนึ่ง
ให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นมีหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ตรวจการ
ธนาคารพาณิชย์ตามสมควร
*[มาตรา ๓๕
ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๓๖ เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๘
ให้คณะกรรมการควบคุม
ธนาคารพาณิชย์ หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจ มีอำนาจ
สั่งให้บุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ หรือให้แสดงหรือส่งสมุด บัญชี เอกสารดวงตรา
และหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุม
มาตรา ๓๗ กรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
พนักงานควบคุมธนาคาร
พาณิชย์ และผู้ชำระบัญชีอาจได้รับเงินค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๓๘
ค่าใช้จ่ายและเงินค่าตอบแทนในการควบคุมหรือชำระบัญชี
ธนาคารพาณิชย์ใด ให้จ่ายจากสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์นั้น
มาตรา ๓๙* ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗ ทวิ มาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๙
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๓๙ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๐* ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๘
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือ
ปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๐
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒)พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๑*
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่แจ้ง
แก่ผู้ถือหุ้นอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๕ สัตต หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิด
ความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งในการยื่นรายงานลับ หรือให้คำชี้แจงตามมาตรา ๒๓
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
*[มาตรา ๔๑
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๒*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗ หรือ
มาตรา ๑๒ (๑) หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๕
วรรคสี่ หรือมาตรา ๖ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
*[มาตรา ๔๒ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๓* ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๑๑ ฉ
หรือมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
*[มาตรา ๔๓ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๔*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี
วรรคหนึ่ง มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ มาตรา ๗ ทวิ มาตรา ๙ ทวิ มาตรา ๑๐
มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๒ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) หรือ (๙)
มาตรา ๑๒ ตรี มาตรา ๑๒ จัตวา มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๓ จัตวามาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕
วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม
ข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา ๕ ทวิ มาตรา ๗ มาตรา ๑๒ (๖)
มาตรา ๑๓ ตรี มาตรา ๑๗ ทวิ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓ หรือมาตรา ๒๕ หรือฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามมาตรา ๑๒ (๔) (ก) หรือ (๕) มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง
มาตรา ๒๒ วรรคสองมาตรา ๒๔ ทวิ หรือมาตรา ๒๔ ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
สามแสนบาท
*[มาตรา ๔๔
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๔๕* ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี
วรรคสอง
มาตรา ๗ ตรี หรือมาตรา ๑๕ วรรคสอง หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามมาตรา ๗ ทวิ หรือมาตรา ๗ ตรี ต้องระวาง
โทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
*[มาตรา ๔๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖* ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔
หรือ มาตรา ๔๕
ถ้าเป็นกรณีการกระทำความผิดต่อเนื่อง ให้ปรับอีกไม่เกินวันละสามพันบาท
สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๒ หรือ มาตรา ๔๓ หรือให้ปรับอีกไม่เกินวันละสองพันบาท
สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕ แล้วแต่กรณี ตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
*[มาตรา ๔๖ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ทวิ* ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดกระทำความผิดตาม
มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕ กรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้น
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตน
มิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของธนาคารพาณิชย์นั้นด้วย
*[มาตรา ๔๖ ทวิ
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ตรี*
ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔
มาตรา ๔๕ หรือมาตรา ๔๖ ทวิ ถ้ามิได้ฟ้องต่อศาลหรือมิได้มีการเปรียบเทียบ
ตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตรวจพบ
การกระทำความผิด หรือเกินกำหนดห้าปีนับแต่วันกระทำความผิด เป็นอันขาด
อายุความ
*[มาตรา ๔๖ ตรี
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒)พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖
จัตวา* ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๔ ตรี
วรรคห้า มาตรา ๒๙
มาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ จัตวา
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๔๖
เบญจ*
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือ
พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา ๓๕ หรือขัดขวางมิให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ หรือ
สอบสวนและตรวจสอบตามมาตรา ๓๕ หรือให้ถ้อยคำ หรือแสดงสมุด บัญชี เอกสาร
และหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ หรือส่งสำเนา
สิ่งเหล่านั้นตามมาตรา ๓๕ อันเป็นเท็จ หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา ๓๕ ทวิ ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ เบญจ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ฉ* ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่ง
คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจซึ่งสั่งตามมาตรา
๓๖ ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน
หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ ฉ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖
สัตต*
ผู้ใดได้ล่วงรู้กิจการของธนาคารพาณิชย์ใดเนื่องจาก
การปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ อันเป็นกิจการที่ตาม
ปกติวิสัยของธนาคารพาณิชย์จะพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย ถ้าผู้นั้นนำไปเปิดเผยนอกจาก
ตามหน้าที่ หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือการพิจารณาคดี ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ สัตต
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖
อัฏฐ* ความผิดตามมาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒
มาตรา ๔๓
มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ หรือมาตรา ๔๖ ทวิ ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง
มีอำนาจเปรียบเทียบได้
คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ให้มีจำนวนสามคนและ
คนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด
และผู้ต้องหาได้ชำระ
ค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว ให้คดีนั้น
เป็นอันเลิกกัน
*[มาตรา ๔๖
อัฏฐ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และวรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๔๖ นว*
ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดอย่างใด
อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑)
ในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ กรรมการหรือบุคคลใดซึ่ง
รับผิดชอบในธนาคารพาณิชย์กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามบทบัญญัติในหมวด ๑
หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ หรือหมวด ๗ ของลักษณะ ๑๒ แห่งประมวลกฎหมาย
อาญา หรือมาตรา ๔๐ มาตรา ๔๑ หรือมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติกำหนด
ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม
และมูลนิธิ พ.ศ.๒๔๙๙ หรือมาตรา ๒๔๓ หรือมาตรา ๒๔๔ แห่งพระราชบัญญัติ
บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.๒๕๒๑
(๒)
ในการสอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์ ผู้สอบบัญชีผู้ใดกระทำความผิด
ตามมาตรา ๒๖๙ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติกำหนด
ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัดสมาคม
และมูลนิธิ
พ.ศ.๒๔๙๙
(๓)
ผู้ใดเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดหรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
ตาม (๑) หรือ (๒)
ให้ถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา
ในความผิดตามมาตรานี้
เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ให้พนักงาน
อัยการมีอำนาจเรียกทรัพย์สิน หรือราคา หรือค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย
แทนผู้ได้รับความเสียหายด้วย
ในการนี้ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการฟ้องคดีแพ่งที่
เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม
*[มาตรา ๔๖ นว
เพิ่มเติ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๔๖ ทศ*
ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานว่าบุคคลใดกระทำความผิด
ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๖ นว และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่าหากปล่อยเนิ่นช้า
ไว้อาจเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจ
สั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลนั้นหรือทรัพย์สินซึ่งตามกฎหมายอาจถือได้ว่าเป็นของ
บุคคลนั้น แต่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้เกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันไม่ได้
เว้นแต่ในกรณี
มีการฟ้องคดีต่อศาลให้คำสั่งยึดหรืออายัดดังกล่าวยังคงมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งเป็น
อย่างอื่น ในกรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถฟ้องคดีได้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
ศาลที่มีเขต
อำนาจจะสั่งขยายระยะเวลาออกไปอีกตามคำขอของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานของธนาคารแห่ง
ประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
การยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวล
รัษฎากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง
เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลดังกล่าวจะ
หลบหนีออกนอกราชอาณาจักรเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยร้องขอ ให้ศาลอาญา
มีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลนั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนได้ ในกรณีฉุกเฉินที่มี
ความจำเป็นรีบด่วน เมื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือบุคคลที่ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมายแจ้งให้อธิบดีกรมตำรวจทราบ ให้อธิบดีกรม
ตำรวจมีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลนั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว
ได้เป็นเวลาไม่เกินสิบห้าวันจนกว่าศาลอาญาจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของศาลอาญาหรือของอธิบดีกรมตำรวจที่สั่งตามวรรคสี่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
*[มาตรา ๔๖ ทศ
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๔๗
ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๑)
ความในวรรคสองของมาตรา ๖ ไม่ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็น
สาขาของธนาคารต่างประเทศ ซึ่งประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับ
(๒)
ในการปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓ ให้ถือว่าสินทรัพย์
ที่ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงอยู่ในประเทศไทยตามชนิดที่
รัฐมนตรีกำหนดเป็นเงินกองทุน
มาตรา ๔๘
ภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้
บังคับบทบัญญัติมาตรา ๑๙ ไม่ใช้บังคับแก่บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งอันต้องห้ามตาม
มาตราดังกล่าวอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับสำหรับตำแหน่งที่ดำรงอยู่นั้น
มาตรา ๔๙
ในระหว่างเวลาที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ (๑) ยังไม่ใช้บังคับ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐
มาตรา ๑๒ และมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พุทธศักราช
๒๔๘๘ มาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๕๐
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม
พระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ส.ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี
--------------------------------------------------------
หมายเหตุ:-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ ในปัจจุบัน
การธนาคารและการเศรษฐกิจได้ขยายตัวขึ้นเป็นลำดับ จึงสมควรได้ปรับปรุง
กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ให้เหมาะสม เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจ
และการเงินของประเทศ ตลอดจนให้ความคุ้มครองแก่ผู้ฝากเงินกับธนาคาร
---------------------------
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๒
มาตรา ๒๒
บุคคลใดถือหุ้นธนาคารพาณิชย์รวมกันเกินอัตราที่กำหนด
ตามมาตรา ๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้คงมีสิทธิถือหุ้นนั้นได้ต่อไป
แต่ถ้าได้จำหน่ายหุ้นนั้นไปเท่าใดก็ให้คงมีสิทธิ
ถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดได้เท่าจำนวนหุ้นที่เหลือนั้น
ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่ทายาทโดยธรรม
ซึ่งได้รับ
มรดกในหุ้นนั้นในวันหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
บทบัญญัติมาตรา ๕
ฉ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มิให้นำมาใช้บังคับแก่
ผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งและวรรคสอง
มาตรา ๒๓
ธนาคารพาณิชย์ใดที่จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทจำกัดตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงเป็นบริษัทจำกัดตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไปได้ และถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นได้ออกหุ้น
ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา ๕ จัตวา และหรือมีผู้ถือหุ้นหรือกรรมการซึ่งไม่เป็น
ไปตามมาตรา ๕ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการแก้ไข
เสียให้ถูกต้องตามมาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ แล้วแต่กรณี ภายใน
สามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไข
ดังต่อไปนี้
(๑)
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยรายโดยผู้ถือหุ้น
ดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๒)
ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยรายโดยผู้ถือหุ้น
ดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละสี่สิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๓)
ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย โดย
ผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวน
หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
(๑) (๒) หรือ (๓) ถ้ามีเหตุ
จำเป็นและสมควร รัฐมนตรีจะขยายระยะเวลาให้คราวละไม่เกินหกเดือน
ก็ได้ แต่เมื่อนับระยะเวลารวมกันทั้งหมดแล้วจะต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๔ ภายในห้าปี
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับธนาคาร
พาณิชย์ใดที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราช
บัญญัตินี้ใช้บังคับประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่ ถ้าธนาคารพาณิชย์นั้น
ยังมิได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการตาม
หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ออกหนังสือชี้ชวนให้ประชาชนเข้าชื่อซื้อหุ้นได้
ในการออกหนังสือชี้ชวนดังกล่าว ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยหนังสือชี้ชวน ในกรณี
เพิ่มทุนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดมาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๒)
หุ้นที่ออกในการเพิ่มทุนนั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการขาย
ให้แก่บุคคลธรรมดาซึ่งไม่เป็นผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นไม่น้อยกว่าร้อยละ
ยี่สิบห้าของจำนวนหุ้นที่ออกใหม่ และจะขายให้แต่ละคนเกินร้อยละศูนย์จุดห้า
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ได้
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามมิให้บริษัทจำกัด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ชี้ชวนประชาชนให้ซื้อหุ้นและบทบัญญัติ
ว่าด้วยการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ มิให้นำมาใช้บังคับแก่การเพิ่มทุนตามมาตรานี้
ความในมาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ
ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
มาตรา ๒๕
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ดำเนินการแก้ไขหุ้นหรือผู้ถือหุ้น
หรือกรรมการให้ถูกต้องตามมาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ แห่ง
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาตามมาตรา ๒๓ กำหนด
หรือที่รัฐมนตรีผ่อนผันต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท ถ้าเป็นการ
กระทำผิดต่อเนื่องให้ปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังกระทำ
การฝ่าฝืนอยู่
มาตรา ๒๖ ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๔
ต้องระวาง
โทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๒๗ ความผิดตามมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖
ให้คณะกรรมการ
ตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจเปรียบเทียบได้ และให้นำ
มาตรา ๔๖ ตรี ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๒๘
สำนักงานที่ได้ตั้งขึ้นแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศในการติดต่อกับ
บุคคลทั่วไปตามมาตรา ๗ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ถ้าประสงค์จะดำเนินการต่อไป ให้ธนาคาร
พาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศหรือผู้จัดตั้งสำนักงานนั้นแล้วแต่กรณียื่นคำขอ
รับอนุญาตให้ถูกต้องภายในเวลาสามเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๙
ธนาคารพาณิชย์ใดมีหุ้นหรือหุ้นกู้ของบริษัทจำกัดอยู่ก่อน
วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา ๑๒ (๕) หรือถือหุ้น
ของธนาคารพาณิชย์อื่นอันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา ๑๒ (๖) แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้
ธนาคารพาณิชย์นั้นยื่นคำขอผ่อนผันต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ในการผ่อนผันธนาคารแห่งประเทศไทยจะ
กำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๓๐ ธนาคารพาณิชย์ใดให้สินเชื่อหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
หรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน แก่หรือเพื่อกรรมการหรือ
บุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่กระทำได้โดยชอบอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติ
นี้ใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา ๑๒ (๒) และ
มาตรา ๑๒ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๓๑ อสังหาริมทรัพย์ใดที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และต้องจำหน่ายไปตามมาตรา ๑๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้
ธนาคารพาณิชย์จำหน่ายเสียภายในเก้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกมาเป็น
ของธนาคารพาณิชย์หรือภายในระยะเวลาที่ได้รับการขยาย
มาตรา ๓๒
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศ
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ หรือมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัตินี้ หรือออกประกาศแล้วแต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งออก
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ไปพลางก่อน
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งออกโดยอาศัยโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓ แห่งพระราช
บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ตามวรรคหนึ่ง คำว่า เงินกองทุน
ตามประกาศดังกล่าวให้หมายความถึงเงินกองทุนตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕
มาตรา ๓๓
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม
พระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ:-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ได้ประกาศใช้บังคับมานานแล้ว
มีบทบัญญัติหลายมาตราไม่เหมาะสมกับกาลสมัย สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข
บทบัญญัติเดิม
และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่ขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงและเป็นหลัก
ประกันแก่การประกอบการธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็น
ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการได้จากรัฐบาลนั้นเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญ
ของประเทศย่อมเป็นการสมควรที่ธนาคารพาณิชย์จะพึงมีบทบาทในการใช้
เงินทุนนั้นไปทางอำนวยประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มาก
ยิ่งขึ้น และอีกประการหนึ่ง
การธนาคารพาณิชย์นับว่าเป็นกิจการค้าขายอัน
กระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน เป็นการสมควรที่จะให้
สาธารณชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการประกอบกิจการด้วย จึงจำเป็น
ต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๒๒/๓๑/๑พ/๗
มีนาคม ๒๕๒๒]
--------------------
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.๒๕๐๕
พ.ศ.๒๕๒๘
มาตรา ๑๙ ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่
พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ หากประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่และเสนอ
ขายแก่ประชาชน ก็ให้เสนอขายต่อประชาชนและออกหนังสือชี้ชวนได้ โดยให้
นำกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดเกี่ยวกับหนังสือชี้ชวนและบทกำหนดโทษ
ที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๒๐
ผู้ใดเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์อยู่
ในวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ซึ่งเป็นการขัดต่อมาตรา ๑๒ จัตวา (๘)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชกำหนดนี้ ให้ยื่นขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
เมื่อได้ยื่นขออนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ทำหน้าที่ต่อไปได้จนกว่า
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งไม่อนุญาต
มาตรา ๒๑ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม
พระราชกำหนดนี้
หมายเหตุ:-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๒ ยังมีมาตรการ
ไม่เพียงพอแก่การควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ และ
ขาดมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยแก้ไขปัญหาของธนาคารพาณิชย์หากจะ
พึงมีขึ้น สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและ
สอดคล้องเหมาะสมกับภาวการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพื่อเป็นการคุ้มครอง
ประโยชน์ของประชาชนและก่อให้เกิดเสถียรภาพในระบบธนาคารพาณิชย์
อย่างแท้จริง รวมทั้งเพื่อประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็น
ส่วนรวม และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษา
ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
[รก.๒๕๒๘/๑๗๗/๑พ/๒๖
พฤศจิกายน ๒๕๒๘]
--------------------
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๓๕
มาตรา ๑๓
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศ
ตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ (๕) หรือมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร
พาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ หรือออกประกาศแล้ว
แต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศ
ซึ่งออกตามมาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ.๒๕๒๒ และมาตรา ๑๒ (๕) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.๒๕๐๕ พ.ศ.๒๕๒๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ไปพลางก่อน
มาตรา ๑๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม
พระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ:-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการ
สมควรแก้ไขบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์และเพิ่มเติมบทบัญญัติ
ใหม่เพื่อขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ โดยให้ธนาคารพาณิชย์
สามารถออกบัตรเงินฝากชนิดเปลี่ยนมือในการรับฝากเงินได้ เพื่อให้เกิดตราสาร
ทางการเงินที่มีความคล่องตัว
นอกจากนี้ ได้ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการกระจาย
หุ้นให้บุคคลธรรมดารายย่อยเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชน จำกัด
และปรับปรุงข้อกำหนดในเรื่องเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตาม
แนวทางสากล ตามข้อเสนอของ
BANK FOR INTERNATIONAL SETTLEMENTS (BIS) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่ช่วยพัฒนาและ
กำกับสถาบันการเงินที่ดำเนินกิจการในตลาดต่างประเทศให้มีความมั่นคงเป็นมาตรฐาน
เดียวกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๓๕/๔๔/๑/๙
เมษายน ๒๕๓๕]
--------------------
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๐
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕
ได้บัญญัติห้ามมิให้ผู้ที่มีสัญชาติอื่นนอกจากสัญชาติ
ไทยถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์หรือเป็นกรรมการธนาคารพาณิชย์ได้เกินหนึ่งในสี่ของ
จำนวนหุ้นและกรรมการทั้งหมด และห้ามมิให้กรรมการธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งไป
ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นในขณะเดียวกัน แต่สถานการณ์
ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤติการณ์ความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน
และปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ในสถาบันการเงินเสื่อมลงอย่างรวดเร็วตามภาวะตกต่ำ
ทางเศรษฐกิจ ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการระดมเงินทุน
นอกประเทศมาสร้างเสริมระบบสถาบันการเงินให้มั่นคงยิ่งขึ้น สมควรแก้ไข
เพิ่มเติมเพื่อให้ผู้ที่มีสัญชาติอื่นนอกจากสัญชาติไทยถือหุ้นและเป็นกรรมการธนาคาร
พาณิชย์ได้เกินอัตราส่วนดังกล่าว และให้กรรมการธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งไป
ดำรงตำแหน่งกรรมการในธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นได้ และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉิน
มีความจำเป็นเร่งด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
[รก.๒๕๔๐/๒๙ก/๑๒/๒๘
มิถุนายน ๒๕๔๐]
สุนันทา/แก้ไข
๑๑/๑๒/๔๔ |
301569 | พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2540 | พระราชกำหนด
พระราชกำหนด
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๐
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๐
เป็นปีที่ ๕๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พุทธศักราช
๒๕๓๘ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ.๒๕๔๐
มาตรา ๒[๑]
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕ เบญจ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๕ เบญจ
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และต้องมีกรรมการเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใด
รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจผ่อนผันให้มีจำนวนหุ้นหรือกรรมการเป็นอย่างอื่นได้
ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๙
ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคารพาณิชย์ใดเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคารพาณิชย์อื่นอีกในเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
เป็นตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย หรือตำแหน่งที่ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติหรือให้ความเห็นเกี่ยวแก่การดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
(๒)
ได้รับการผ่อนผันจากรัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย
โดยในการผ่อนผันต้องกำหนดเป็นระยะเวลาไม่เกินสามปี และจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ
ไว้ด้วยก็ได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ชวลิต
ยงใจยุทธ
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ:-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.๒๕๐๕ ได้บัญญัติห้ามมิให้ผู้ที่มีสัญชาติอื่นนอกจากสัญชาติไทยถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์หรือเป็นกรรมการธนาคารพาณิชย์ได้เกินหนึ่งในสี่ของจำนวนหุ้นและกรรมการทั้งหมด
และห้ามมิให้กรรมการธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นในขณะเดียวกัน
แต่สถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤติการณ์ความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน
และปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ในสถาบันการเงินเสื่อมลงอย่างรวดเร็วตามภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการระดมเงินทุนนอกประเทศมาสร้างเสริมระบบสถาบันการเงินให้มั่นคงยิ่งขึ้น
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้ที่มีสัญชาติอื่นนอกจากสัญชาติไทยถือหุ้นและเป็นกรรมการธนาคารพาณิชย์ได้เกินอัตราส่วนดังกล่าว
และให้กรรมการธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งไปดำรงตำแหน่งกรรมการในธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นได้ และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินมีความจำเป็นเร่งด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
สุนันทา/แก้ไข
๑๑/๑๒/๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
[๑] รก.๒๕๔๐/๒๙ก/๑๒/๒๘
มิถุนายน ๒๕๔๐ |
300310 | พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 (Update ณ วันที่ 09/04/2535) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
------
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๕
เป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ
และยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.๒๕๐๕
มาตรา ๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๐๕/๓๙/๑พ/๓๐
เมษายน ๒๕๐๕]
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๘๘
มาตรา ๔* ในพระราชบัญญัตินี้
การธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า การประกอบธุรกิจประเภท
รับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ และใช้ประโยชน์เงินนั้น
ในทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น (ก) ให้สินเชื่อ (ข) ซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด
(ค) ซื้อขายเงินปริวรรตต่างประเทศ
ธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า ธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการ
ธนาคารพาณิชย์ และหมายความรวมถึงสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้
ประกอบการธนาคารพาณิชย์ด้วย
บริษัทมหาชนจำกัด หมายความว่า บริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมาย
ว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
บริษัทจำกัด หมายความรวมถึงบริษัทมหาชนจำกัดด้วย
*เงินกองทุน หมายความว่า
(๑)
ทุนชำระแล้วซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับและ
เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๒) ทุนสำรอง
(๓)
เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติ
ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นหรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์
แต่ไม่รวมถึงเงินสำรอง
สำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้
(๔)
กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรร
(๕)
เงินสำรองจากการตีราคาสินทรัพย์ เงินสำรองอื่น และ
(๖)
เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับเนื่องจากการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้
ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญ
เงินกองทุนตาม (๑)
(๒) (๓) และ (๔) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นใน
ทุกงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ชนิด
ประเภทและการคำนวณเงินกองทุนตาม (๕) หรือ (๖) ให้เป็นไป
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เงินกองทุนตาม (๑)
(๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) ให้หักเงินตาม
ตราสารใน (๖) ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่นที่ธนาคารพาณิชย์นั้นถือไว้
และสินทรัพย์อื่นใด ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนด
ให้สินเชื่อ หมายความว่า ให้กู้ยืมเงิน ซื้อ ซื้อลด รับช่วงซื้อลดตั๋วเงิน
เป็นเจ้าหนี้
เนื่องจากได้จ่ายหรือสั่งให้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของผู้เคยค้าหรือเป็นเจ้าหนี้
เนื่องจากได้จ่ายเงินตามภาระผูกพันตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต
บัตรเงินฝาก หมายความว่า ตราสารซึ่งเปลี่ยนมือได้ที่ธนาคาร
พาณิชย์ออกให้แก่ผู้ฝากเงินเพื่อเป็นหลักฐานการรับฝากเงินและเพื่อแสดงสิทธิ
ของผู้ทรงตราสารที่จะได้รับเงินฝากคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ โดยจะมี
การกำหนดดอกเบี้ยไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
*[มาตรา ๔ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒ นิยามคำว่า เงินกองทุน
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ และนิยามคำว่า บัตรเงินฝาก เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๕* ภายใต้บังคับมาตรา ๕ จัตวา และมาตรา ๕
เบญจ ธนาคาร
พาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งขึ้นได้ก็แต่ในรูปบริษัทมหาชน จำกัด
และโดยได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
และจะดำเนินการ
เพื่อจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัดได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
เมื่อได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว
ให้บริษัทมหาชนจำกัดนั้น
แจ้งการจดทะเบียนเพื่อขอรับใบอนุญาต
ในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง
และการอนุญาตตามวรรคสาม
รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้
*[มาตรา ๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ ทวิ*
บุคคลใดจะถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ใดเกินร้อยละห้าของ
จำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ถือหุ้น
เป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณกองทุนเพื่อการฟื้นฟู
และพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย หรือนิติบุคคล
ที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของ
ธนาคารพาณิชย์นั้น รัฐมนตรี ด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจผ่อนผันให้มี
การถือหุ้นเป็นอย่างอื่นได้ ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
หุ้นธนาคารพาณิชย์ที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ถืออยู่
ให้นับรวม
เป็นหุ้นของบุคคลตามวรรคหนึ่งด้วย
(๑)
คู่สมรสของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๒)
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๓)
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ
(๒) เป็นหุ้นส่วน
(๔)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดรวมกัน
เกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕)
บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่าย
ได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
(๖)
บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) หรือบริษัทจำกัดตาม (๕) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละ
สามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
*[มาตรา ๕ ทวิ
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๕ ตรี*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ใดจำหน่ายหุ้นของธนาคารพาณิชย์
นั้นแก่บุคคลใดซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดตามมาตรา ๕ ทวิ
ทุกครั้งที่มีการชี้ชวนให้เข้าชื่อซื้อหุ้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ระบุจำนวนหุ้น
ที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะถือหุ้นได้ทั้งสิ้นโดยชอบด้วยมาตรา ๕ ทวิ
ไว้ให้ทราบในคำชี้ชวน
*[มาตรา ๕ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕
จัตวา*
หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารพาณิชย์ต้องเป็น
หุ้นชนิดระบุชื่อผู้ถือมีมูลค่าของหุ้นไม่เกินหุ้นละหนึ่งร้อยบาทและข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์
ต้องไม่มีข้อจำกัดในการโอนหุ้น เว้นแต่เพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ
หรือมาตรา ๕
เบญจ หรือตามกฎหมาย่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
*[มาตรา ๕ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๕ เบญจ*
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทย
ถืออยู่ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และต้องมีกรรมการเป็นบุคคล
ผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
*[มาตรา ๕ เบญจ
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๕ ฉ*
เมื่อปรากฏว่าบุคคลใดได้หุ้นของธนาคารพาณิชย์ใดมา
และการได้มานั้นเป็นเหตุให้ถือหุ้นเกินจำนวนที่จะถือได้ตามมาตรา ๕ ทวิ
บุคคลนั้น
จะยกเอาการถือหุ้นในส่วนที่เกินจำนวนดังกล่าวขึ้นใช้ยันต่อธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้
และธนาคารพาณิชย์นั้นจะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดให้แก่บุคคลนั้น หรือ
ให้บุคคลนั้นออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมของผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นส่วนที่เกินมิได้
*[มาตรา ๕ ฉ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ สัตต* เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ
มาตรา ๕
เบญจ และมาตรา ๕ ฉ ให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นทุกคราวก่อนจ่ายเ
งินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใด และก่อนการประชุมผู้ถือหุ้น แล้วแจ้งผลการตรวจสอบ
ต่อธนาคารแห่งประเทศไทยตามรายการและภายในเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และในกรณีที่พบว่าผู้ถือหุ้นรายใดถือหุ้นเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา ๕ ทวิ
ให้ธนาคาร
พาณิชย์แจ้งให้ผู้นั้นทราบเพื่อดำเนินการจำหน่ายหุ้นส่วนที่เกินนั้นเสีย
*[มาตรา ๕ สัตต
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ อัฏฐ* บทบัญญัติแห่งมาตรา ๕
ทวิ มาตรา ๕ ตรี มาตรา ๕
จัตวา มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ และมาตรา ๕ สัตต มิให้นำมาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์
ที่เป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ
*[มาตรา ๕ อัฏฐ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๖*
การประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยตั้งเป็นสาขาของธนาคารที่ตั้ง
อยู่ในต่างประเทศจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีในการอนุญาตรัฐมนตรีจะ
กำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยตามจำนวน ชนิด วิธีการและเงื่อนไข
ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามวรรคสองต้องจัดหาด้วย (๑) เงินที่นำเข้ามา
จากสำนักงานใหญ่และหรือสาขาอื่นนอกประเทศไทยของธนาคารต่างประเทศนั้น
(๒) เงินสำรองต่าง ๆ แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์
และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้ หรือ
(๓) เงินกำไรสุทธิแต่ละงวดการบัญชี
ของสาขาอันได้โอนเป็นส่วนของสำนักงานใหญ่แล้ว และไม่ต้องส่งออก ทั้งนี้
เมื่อหักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว
ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ถือว่าสินทรัพย์ตามวรรคสองเป็น
เงินกองทุน
*[มาตรา ๖
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๗
ธนาคารพาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศที่
ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อาจเปิดสาขาได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตจาก
รัฐมนตรี คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด ในการนี้รัฐมนตรีจะ
อนุญาตโดยมีเงื่อนไขก็ได้
มาตรา ๗ ทวิ* ผู้ใดจะกระทำการแทนธนาคารต่างประเทศโดยมี
สำนักงานติดต่อกับบุคคลทั่วไปในราชอาณาจักร หรือธนาคารพาณิชย์ใดนอกจาก
สาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งสำนักงานเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์
ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๗ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๗ ตรี*
เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตให้ตั้งสำนักงานใหญ่
หรือสำนักงานสาขา ณ ที่ใดแล้ว จะย้ายสำนักงานนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
จากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไข
ให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๗ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๘
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์
มาตรา ๙
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อ
ในธุรกิจว่า ธนาคาร หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๙ ทวิ* นอกจากการธนาคารพาณิชย์แล้ว ธนาคารพาณิชย์
อาจกระทำธุรกิจที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็นประเพณี
ที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำ เช่นการเรียกเก็บเงินตามตั๋วเงิน การรับอาวัลตั๋วเงิน
การรับรองตั๋วเงิน การออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือการค้ำประกันหรือธุรกิจทำนอง
เดียวกันด้วยก็ได้ เมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่จะประกอบ
การค้าหรือธุรกิจอื่นใดมิได้
*[มาตรา ๙ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๙ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์จะรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะ
เวลาอันกำหนดไว้ โดยวิธีออกบัตรเงินฝากก็ได้
บัตรเงินฝากต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(๑)
คำบอกชื่อว่าเป็นบัตรเงินฝาก
(๒)
ชื่อธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
(๓)
วันที่ออกบัตรเงินฝาก
(๔)
จังหวัดที่ออกบัตรเงินฝาก
(๕)
ข้อตกลงอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะจ่ายเงินเป็นจำนวนหนึ่งที่แน่นอน
พร้อมด้วยดอกเบี้ย (ถ้ามี)
(๖)
วันถึงกำหนดจ่ายเงิน
(๗)
สถานที่จ่ายเงิน
(๘)
ชื่อของผู้ฝากเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้จ่ายเงินแก่ผู้ถือ
(๙)
ลายมือชื่อผู้มีอำนาจลงนามแทนธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
*[มาตรา ๙ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๙
จัตวา*
ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๘๙๙ ถึงมาตรา ๙๐๗ มาตรา ๙๑๑ มาตรา ๙๑๓(๑) และ (๒) มาตรา ๙๑๔
ถึงมาตรา ๙๑๖ มาตรา ๙๑๗ วรรคหนึ่งและวรรคสาม มาตรา ๙๑๘ ถึงมาตรา ๙๒๒
มาตรา ๙๒๕ มาตรา ๙๒๖ มาตรา ๙๓๘ ถึงมาตรา ๙๔๒ มาตรา ๙๔๕ มาตรา ๙๔๖
มาตรา ๙๔๘ มาตรา ๙๔๙ มาตรา ๙๕๙ มาตรา ๙๖๗ มาตรา ๙๗๑ มาตรา ๙๗๓
มาตรา ๙๘๖ มาตรา ๙๙๔ ถึงมาตรา ๑๐๐๐ มาตรา ๑๐๐๖ ถึงมาตรา ๑๐๐๘
มาตรา ๑๐๑๐ และมาตรา ๑๐๑๑ มาใช้บังคับแก่บัตรเงินฝากโดยอนุโลม
*[มาตรา ๙ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๐*
ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์
หนี้สินหรือภาระผูกพันตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถ้ามีผลเป็นการ
เปลี่ยนแปลงอัตราให้สูงขึ้น จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
*[มาตรา ๑๐
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๑* ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินสดสำรองเป็นอัตราส่วน
กับเงินฝาก และหรือเงินกู้ยืมตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ ทวิ ไม่ต่ำกว่าอัตราส่วนที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราส่วนที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า และ
ไม่เกินร้อยละห้าสิบของเงินฝาก และหรือเงินกู้ยืมแล้วแต่กรณี และจะกำหนด
ให้เป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือ
หลายประเภทรวมกันหรือแยกกันก็ได้
เพื่อประโยชน์ในการดำรงเงินสดสำรองตามวรรคหนึ่ง
ธนาคาร
แห่งประเทศไทยจะกำหนดให้ถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทยเป็นส่วนหนึ่งของ
เงินสดสำรองที่พึงดำรงนั้นก็ได้
*[มาตรา ๑๑
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ทวิ*
เงินฝากและหรือเงินกู้ยืมซึ่งธนาคารพาณิชย์จะต้อง
ดำรงเงินสดสำรองให้ได้อัตราส่วน ได้แก่เงินฝาก และหรือเงินกู้ยืม ดังต่อไปนี้
(๑)
ยอดรวมเงินฝากทั้งหมด
(๒)
เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
(๓)
เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
(๔)
ยอดรวมเงินกู้ยืมทั้งหมด
(๕)
เงินกู้ยืมแต่ละประเภท
การคำนวณยอดเงินฝากหรือเงินกู้ยืมตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีจะกำหนดให้คำนวณรวมกับยอดเงิน
ให้เบิกเกินบัญชีที่ยังไม่ได้จ่ายไป โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินฝากหรือเงินกู้ยืม
อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
*[มาตรา ๑๑ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามที่
ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ จัตวา เป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝาก
และหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมด
หรือแต่ละประเภท ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความ
เห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าและไม่เกิน
ร้อยละห้าสิบของยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภทแล้วแต่กรณี
การกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยจะกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องแต่เพียงบางประเภทหรือทุกประเภท
ก็ได้ และจะกำหนดอัตราส่วนของแต่ละประเภทในอัตราใดก็ได้
*[มาตรา ๑๑ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑
จัตวา* สินทรัพย์สภาพคล่องได้แก่
(๑) เงินสด
(๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓)
เงินฝากสุทธิที่ธนาคารพาณิชย์อื่น
(๔)
หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่ปราศจากภาระผูกพัน
(๕)
หุ้นกู้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
และปราศจากภาระผูกพัน
(๖)
สินทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดด้วยความเห็นชอบ
ของรัฐมนตรี
*[มาตรา ๑๑ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ เบญจ* การดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑
ให้ได้
อัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตาม
มาตรา ๑๑ ตรี ให้ได้อัตราส่วนกับยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืม แล้วแต่
กรณี ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามมาตรา
๑๑ มาตรา ๑๑ ทวิ วรรคสอง และมาตรา ๑๑ ตรี
วรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และถ้ามีผลเป็นการเพิ่มอัตราส่วนเงินสดสำรอง
และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
*[มาตรา ๑๑ เบญจ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ฉ* ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพ
ของเงินตรา รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสดสำรองพิเศษ
ไม่ต่ำกว่าอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต่างหากจากการ
ดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑
การกำหนดอัตราตามวรรคหนึ่ง
ให้กำหนดเป็นอัตราส่วนกับเงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืมตามมาตรา ๑๑ ทวิ
ทั้งหมดหรือแต่ละประเภทเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้น
จากยอดเงินดังกล่าวเมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่ง และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๑ ฉ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๒* ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการดังต่อไปนี้
(๑)
ลดทุนโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
(๒)
ให้สินเชื่อแก่กรรมการ หรือประกันหนี้ใด ๆ ของกรรมการหรือ
รับรอง รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินที่กรรมการเป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋ว
หรือผู้สลักหลัง
(๓) รับหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกัน
หรือรับหุ้นของธนาคาร
พาณิชย์จากธนาคารพาณิชย์อื่นเป็นประกัน
(๔)
ซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่
(ก)
เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงาน
และลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการให้ความเห็นชอบนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆไว้ด้วยก็ได้
(ข)
เป็นการได้มาจากการชำระหนี้หรือจากการประกันการให้สินเชื่อ
หรือจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้นจากการขายทอดตลาด
โดยคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
(๕)*
ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดเกินร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
หรือซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้น
เกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนทั้งหมดหรือเงินกองทุนชนิดหนึ่งชนิดใดหรือหลายชนิด
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ เว้นแต่
จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาตนั้นจะกำหนดเงื่อนไข
ใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
(๖)
ซื้อหรือมีหุ้นธนาคารพาณิชย์อื่น เว้นแต่เป็นการได้มาจากการ
ชำระหนี้หรือการประกันการให้สินเชื่อแต่ต้องจำหน่ายภายในเวลาหกเดือน
นับแต่วันที่ได้มา หรือเป็นการได้มาโดยได้รับผ่อนผันจากรัฐมนตรีด้วยคำแนะนำ
ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
(๗)
จ่ายเงินหรือทรัพย์สินอื่นให้แก่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้าง
ของธนาคารพาณิชย์นั้น เป็นค่านายหน้าหรือค่าตอบแทนสำหรับหรือเนื่องจาก
การกระทำหรือการประกอบธุรกิจใด ๆ ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ นอกจาก
บำเหน็จ เงินเดือน เงินรางวัล และเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ
(๘)
ขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์ใด ๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่า
รวมกันสูงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดแก่กรรมการหรือซื้อทรัพย์สิน
จากกรรมการ ทั้งนี้
รวมถึงบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมการ ตาม
มาตรา ๑๒ ทวิ ด้วย เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(๙) กระทำการใด ๆ
อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของ
ประเทศหรือแก่ประโยชน์ของประชาชน หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคล
ที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขัน
ในระบบสถาบันการเงิน หรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๒
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ และ (๕) แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๒ ทวิ* การให้สินเชื่อแก่หรือการประกันหนี้ใด ๆ
ของบุคคล
หรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ หรือการรับรอง รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินที่
บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้เป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วหรือผู้สลักหลัง
ให้ถือว่า
เป็นการให้สินเชื่อ หรือการประกัน หรือการรับรองรับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้า
แก่กรรมการตามมาตรา ๑๒ (๒) ด้วย
(๑)
คู่สมรสของกรรมการ
(๒)
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของกรรมการ
(๓)
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วน
(๔)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด
รวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕)
บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือ
ห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้น
ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
(๖)
บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือ
ห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) หรือบริษัทจำกัดตาม (๕) ถือหุ้นรวมกันเกิน
ร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
*[มาตรา ๑๒ ทวิ
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๑๒ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์ต้องจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่ตกเป็น
ของธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๑๒ (๔) (ข) ภายในห้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์
นั้นตกเป็นของธนาคารพาณิชย์ เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะขยายระยะเวลา
ให้หรือให้ความเห็นชอบเพื่อใช้เป็นสถานที่ตามมาตรา ๑๒ (๔) (ก)
*[มาตรา ๑๒ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๒
จัตวา*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งหรือยอมให้บุคคลซึ่งมี
คุณสมบัติหรือลักษณะดังต่อไปนี้เป็นหรือทำหน้าที่กรรมการ ผู้จัดการ
รองผู้จัดการ
ผู้ช่วยผู้จัดการ หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์
(๑)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(๒)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิด
เกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต
(๓)
เคยถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกจากราชการ หรือองค์การหรือ
หน่วยงานอื่นของรัฐ ฐานทุจริตต่อหน้าที่
(๔) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการของ
ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(๕)
ถูกถอดถอนจากธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีตาม
มาตรา ๒๕
(๖)
เป็นข้าราชการการเมือง
(๗)
เป็นข้าราชการซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เว้นแต่เป็นกรณีของธนาคารพาณิชย์ที่เป็น
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือเป็นกรณีที่ได้รับความ
เห็นชอบจากรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์
(๘)* เป็นผู้จัดการ
รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ ของห้างหุ้นส่วน
หรือบริษัทจำกัดซึ่งตนหรือบุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ ถือหุ้นอยู่ เว้นแต่เป็นกรรมการ
หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่มีอำนาจลงนามผูกพันธนาคารพาณิชย์ด้วยตนเอง
หรือร่วมกับผู้อื่น
*[มาตรา ๑๒ จัตวา
(๑)-(๗) เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และ (๘)
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๑๓*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการของ
ผู้อื่น หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
รวมกัน เมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ เกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนทั้งหมดหรือเงินกองทุนชนิดหนึ่งชนิดใด
หรือหลายชนิดตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนด ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนด
เงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและถ้ามีผล
เป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้ต่ำลง
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
ให้นำความในมาตรา
๑๒ ทวิ มาใช้บังคับแก่การกระทำตามวรรคหนึ่งด้วย
โดยอนุโลม
*[มาตรา ๑๓
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๓ ทวิ* บทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๓
ไม่ให้ใช้บังคับแก่กรณีที่
ธนาคารพาณิชย์
(๑)
ให้กู้ยืมเงินโดยการซื้อหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์อื่นที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒)
ให้กู้ยืมเงินโดยมีประกันด้วยหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์
หรือทรัพย์สินอื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินมูลค่า
แห่งหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นได้ตีราคารับไว้เป็นประกัน
(๓)
ให้สินเชื่อตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด หรือ
(๔)
รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคาร
พาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย
ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน ทั้งนี้ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๓ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๓ ตรี*
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศหรือเพื่อแก้ไข
ภาวะเศรษฐกิจรัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดการดังต่อไปนี้ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
เสนอ
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการประเภทใด ๆ ไม่น้อยกว่า
อัตราที่กำหนด
(๒)
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการใด ๆ เพิ่มขึ้นหรือ
เพิ่มขึ้นเกินอัตราที่กำหนด
การกำหนดตาม (๑)
ทุกครั้งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดตาม (๑) รวมกันทั้งสิ้นทุกประเภทของกิจการต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบ
ของยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในวันสิ้นปีก่อนหน้านั้น
การกำหนดตาม (๒)
ให้กำหนดเป็นร้อยละของยอดเงินให้สินเชื่อ
ในแต่ละกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และจะ
กำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขและระยะเวลาเพื่อปฏิบัติการไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๑๓ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๓ จัตวา* ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติ
เกี่ยวกับการรับฝากเงิน การกู้ยืมเงิน หรือการซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสาร
เปลี่ยนมืออื่นใดได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่งจะกำหนดตามประเภทของเงินฝากหรือเงินกู้ยืม
ประเภทของบุคคล ประเภทของเอกสารการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงินหรือประเภทของ
ตราสารก็ได้
*[มาตรา ๑๓ จัตวา
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๔* ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดให้ธนาคาร
พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑)
ดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์อาจจ่ายได้
(๒)
ดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๓)
ค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๔)
เงินมัดจำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
(๕)
หลักประกันเป็นทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
บรรดาเงิน
ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่นใดที่อาจกำหนดเป็นเงินได้ ที่ผู้ฝากเงิน
หรือบุคคลอื่นได้รับจากธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
เนื่องจากการฝากเงินหรือที่ธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคาร
พาณิชย์นั้นได้รับเนื่องจากการประกอบธุรกิจนั้นของธนาคารพาณิชย์ ให้ถือว่า
เป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลด หรือค่าบริการตามความใน (๑) หรือ (๒) หรือ (๓)
แล้วแต่กรณี เว้นแต่ค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อที่ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยกำหนดตาม (๓) ไม่ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคาร
พาณิชย์อาจเรียกได้ตาม (๒)
การกำหนดตามมาตรานี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
และให้
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๔
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๕* ให้ธนาคารพาณิชย์จดแจ้งบัญชีแสดงหนี้สินและสินทรัพย์
ให้ครบถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง และประกาศรายการย่อตามแบบที่ธนาคาร
แห่งประเทศไทยกำหนดโดยแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ในวันทำงานวันสุดท้าย
ของทุกเดือน หรือในวันอื่นที่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศตามวรรคหนึ่งให้เสนอต่อธนาคารแห่งประเทศไทยหนึ่งฉบับ
และให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ
สำนักงานภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไปและให้ลง
ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับด้วย เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้
กำหนดเป็นอย่างอื่น
*[มาตรา ๑๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๕ ทวิ*
ให้ธนาคารพาณิชย์ปิดบัญชีทุกงวดการบัญชีในรอบ
ระยะเวลาหกเดือน ถ้าธนาคารพาณิชย์ใดมีสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืน
ไม่ได้หรือที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นตัดสินทรัพย์ที่ไม่มี
ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวออกจากบัญชี หรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์
ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวเมื่อสิ้นงวดการบัญชีนั้น
เว้นแต่
จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ปฏิบัติเป็นอย่างอื่น ในการ
อนุญาตนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
*ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ถ้านำ
สินทรัพย์ที่ไม่ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้ตัดออกจากบัญชีหรือสินทรัพย์
ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้กันสำรองมาหักออกจากเงิน
กองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้นแล้ว
หากปรากฏว่าเงินกองทุนที่คงเหลือมีจำนวนต่ำกว่า
เงินกองทุนที่ดำรงตามมาตรา ๑๐ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนด
มาตรการใดๆ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติจนกว่าจะได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่ราคาหรือ
เรียกคืนไม่ได้นั้นหมดสิ้นไป
หรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคา
หรือเรียกคืนไม่ได้นั้นครบจำนวนแล้ว
*[มาตรา ๑๕ ทวิ
วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ และวรรคสอง แก้ไข
โดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๑๖*
ภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีบัญชีให้ธนาคารพาณิชย์ตาม
มาตรา ๕ ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่แล้ว
ตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ประกาศดังกล่าวให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้นลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย
หนึ่งฉบับ และเสนอต่อรัฐมนตรีและธนาคารแห่งประเทศไทยภายในยี่สิบเอ็ดวัน
นับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ ทั้งนี้ เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทย
จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
งบดุลตามวรรคหนึ่งจะต้องมีการรับรองของผู้สอบบัญชีซึ่งธนาคารแห่ง
ประเทศไทยได้ให้ความเห็นชอบในแต่ละปีบัญชี และต้องมิใช่กรรมการ พนักงาน
หรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา
๖ ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน
ของธนาคารในต่างประเทศที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นสาขาภายในเวลาสี่เดือน
นับแต่วันสิ้นปีบัญชีของธนาคารต่างประเทศนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุขัดข้อง
อันสมควร ประกาศดังกล่าวให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของธนาคาร
พาณิชย์นั้น
*[มาตรา ๑๖
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๑๗*
ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดทำการตามเวลาและหยุดทำการ
ตามวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการ
หรือหยุดทำการในเวลาหรือวันอื่นจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาต
ดังกล่าวธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศเวลาทำการและวันหยุดทำการดังกล่าวไว้
ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน
*[มาตรา ๑๗
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๗ ทวิ* เพื่อแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคาร
พาณิชย์ หรือเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินหรือระบบสถาบัน
การเงิน ให้รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้
ธนาคารพาณิชย์ระงับการดำเนินกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว
ภายในระยะเวลาที่กำหนด และในการนี้จะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และ
เงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๑๗ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๘ ธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน
ให้ธนาคารพาณิชย์
นั้นแจ้งให้รัฐมนตรีทราบทันที และห้ามมิให้ทำกิจการใด ๆ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
เป็นหนังสือจากรัฐมนตรีแล้วให้รายงานโดยละเอียดแสดงเหตุที่ต้องหยุดทำการ
จ่ายเงินภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่หยุดทำการจ่ายเงิน
มาตรา ๑๙
ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นใน
ธนาคารพาณิชย์ใดเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคารพาณิชย์อื่นอีกในเวลา
เดียวกัน
ทั้งนี้เว้นแต่ตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย หรือตำแหน่งที่ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติ
หรือให้ความเห็นเกี่ยวแก่การดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๒๐
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๕
มาตรา ๖ หรือมาตรา ๗ รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งให้เลิก
สาขาตามที่ได้อนุญาตไปแล้ว แล้วแต่กรณี
หรือจะสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นก็ได้
แต่ถ้าเห็นสมควร
รัฐมนตรีจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติการเพื่อแก้ไขให้เป็นไป
ตามเงื่อนไขเสียก่อนภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้
มาตรา ๒๑ ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๐
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่ง
ธนาคารพาณิชย์นั้นมิให้แจกหรือจำหน่ายเงินกำไรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
โดยให้นำเงิน
กำไรนั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปเพิ่มทุนสำรอง
หรือไปเพิ่มสินทรัพย์ที่ต้องดำรงตาม
มาตรา ๖ แล้วแต่กรณี และรัฐมนตรีจะสั่งห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์นั้นให้กู้ยืมหรือ
ลงทุน หรือให้ทำได้ภายใต้เงื่อนไขใด ๆ จนกว่าธนาคารพาณิชย์นั้นจะปฏิบัติถูกต้อง
ด้วยก็ได้
มาตรา ๒๒* ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า
ธนาคาร
พาณิชย์ใด
(๑)
ดำรงเงินสดสำรองไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๒)
ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๓)
รับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินหรือก่อภาระผูกพันโดยไม่ลงบัญชีให้ถูกต้อง
และครบถ้วน หรือสร้างรายการให้สินเชื่อไม่ตรงต่อความเป็นจริง
(๔)
ให้สินเชื่อหรือลงทุนเกินอัตราที่กำหนด หรือให้สินเชื่อในลักษณะ
ที่เล็งเห็นได้ว่าจะเรียกคืนไม่ได้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๕)
ให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่ธนาคารพาณิชย์หรือกรรมการของ
ธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง หรือให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร
พาณิชย์นั้นในปริมาณเกินสมควรหรือมีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดพิเศษผิดไปจากปกติ
(๖)
ไม่ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี
(๗)
ไม่กันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืน
ไม่ได้
(๘)
กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดขึ้นเพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นกระทำการ
หรืองดเว้นกระทำการ หรือแก้ไขการดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ในการนี้จะกำหนดเงื่อนไขและ
ระยะเวลาไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๒๒
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๒๓
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ยื่นรายงานลับมี
รายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
ทั้งนี้จะให้ยื่นตามระยะเวลาหรือเป็นครั้งคราวและจะให้ทำ
คำชี้แจงข้อความเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานนั้นก็ได้
รายงานลับและคำชี้แจงนี้
ให้ยื่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๔*
รัฐมนตรีมีอำนาจตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์เพื่อ
ตรวจสอบและรายงานกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ หรือจะมอบอำนาจ
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ตรวจการ
ธนาคารพาณิชย์ก็ได้ แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ รัฐมนตรีจะตั้งหรือมอบอำนาจให้ธนาคาร
แห่งประเทศไทยตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ให้ทำการตรวจเพื่อทราบกิจการหรือ
ทรัพย์สินของเอกชนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะที่มีหรือปรากฏอยู่ในธนาคารพาณิชย์ใด ๆ
มิได้ เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๓๕ (๓)
*[มาตรา ๒๔ แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๒๔ ทวิ*
เมื่อปรากฏหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่า
ธนาคารพาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้
เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจ
สั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการดังกล่าวได้ภายในระยะ
เวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ในการนี้จะสั่งให้เพิ่มทุนหรือลดทุนด้วยก็ได้
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่เพิ่มทุนหรือลดทุนภายในกำหนดเวลาที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลาตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย
ดังกล่าว
ในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องให้ธนาคารพาณิชย์ใดเพิ่มทุน
หรือลดทุน เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์นั้นสามารถพยุงฐานะและการดำเนินการต่อไปได้
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มทุนหรือลดทุนทันทีก็ได้โดยให้ถือว่า
คำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวเป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ในการเพิ่มทุนหรือลดทุนตามวรรคสองหรือวรรคสาม
มิให้นำ
มาตรา ๑๒๒๐ มาตรา ๑๒๒๔ มาตรา ๑๒๒๕ และมาตรา ๑๒๒๖ แห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมาตรา ๑๔๙ วรรคสอง (๒) มาตรา ๑๕๒ และ
มาตรา ๑๕๔ แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน พ.ศ. ๒๕๒๑ แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ
*[มาตรา ๒๔ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๒๔ ตรี*
เมื่อปรากฏหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่า
ธนาคารพาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิด
ความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน หรือกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบ
ในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของธนาคารแห่ง
ประเทศไทยตามมาตรา ๒๔ ทวิ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคาร
พาณิชย์นั้นถอดถอนกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคาร
พาณิชย์ผู้เป็นต้นเหตุดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่ง
ให้
ธนาคารพาณิชย์นั้นแต่งตั้งบุคคลอื่นโดยความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
เข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทนภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันถอดถอน
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่งหรือถอดถอนแล้ว
ไม่แต่งตั้งบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทนตามวรรคสอง ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย
ความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งถอดถอนบุคคลดังกล่าวหรือแต่งตั้งบุคคลใด
บุคคลหนึ่งหรือหลายคนไปดำรงตำแหน่งแทนเป็นเวลาไม่เกินสามปี และมิให้นำความ
ในมาตรา ๑๒ จัตวา (๘) มาใช้บังคับ
ให้ผู้ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งตามวรรคสามได้รับค่าตอบแทน
ตามที่รัฐมนตรีกำหนด โดยให้จ่ายจากทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์นั้น และในระหว่าง
เวลาที่บุคคลดังกล่าวดำรงตำแหน่งอยู่ ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์จะมีมติเพิกถอน
หรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้
บุคคลซึ่งถูกถอดถอนตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้าไป
เกี่ยวข้องหรือดำเนินการใด ๆ ในธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม
และต้องอำนวยความสะดวกและให้ข้อเท็จจริงแก่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งแทน หรือตามที่
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์กำหนด
ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้ถอดถอนหรือแต่งตั้ง
ตามมาตรานี้เป็นมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น
*[มาตรา ๒๔ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๒๕*
เมื่อรัฐมนตรีได้รับรายงานการตรวจสอบของผู้ตรวจการ
ธนาคารพาณิชย์ และเห็นว่าฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใด อยู่ในลักษณะ
อันจะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์ของประชาชน รัฐมนตรี
มีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้ แต่ในกรณีที่
ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขการบริหารงานรวมทั้งย้ายหรือถอดถอนกรรมการ
หรือพนักงานของธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่รัฐมนตรี
กำหนด รัฐมนตรีจะยังไม่สั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นหรือยังไม่สั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
ในการนี้รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขฐานะหรือการ
ดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๒๕
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๒๖ เมื่อปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน
ให้
รัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลที่รัฐมนตรีเห็นสมควรเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสอบสวน
พฤติการณ์ และเมื่อได้รับรายงานการสอบสวนจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว รัฐมนตรี
มีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นได้
มาตรา ๒๗ ในการสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด
ให้รัฐมนตรีแจ้งคำสั่งเป็น
หนังสือให้ธนาคารพาณิชย์นั้นทราบ และปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของธนาคาร
พาณิชย์นั้น กับทั้งให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย
หนึ่งฉบับ
มาตรา ๒๘ ในการควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด ให้รัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการ
ควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้น ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคนและกรรมการอื่นอีก
ไม่น้อยกว่าสองคน คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่จัดดำเนินกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้น
ได้ทุกประการ และให้ประธานกรรมการเป็นผู้แทนของธนาคารพาณิชย์นั้น
ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการ
คนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งและกำหนดอำนาจและหน้าที่พนักงานควบคุม
ธนาคารพาณิชย์คนหนึ่งหรือหลายคนให้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
การตั้งคณะกรรมการและการแต่งตั้งกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทนประธาน
กรรมการให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๙
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด ห้าม
มิให้กรรมการและพนักงานของธนาคารพาณิชย์กระทำกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้น
อีกต่อไป เว้นแต่จะได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๓๐
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด ให้
กรรมการ พนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นจัดการอันสมควรเพื่อปกปัก
รักษาทรัพย์และประโยชน์ของธนาคารพาณิชย์ไว้ และรีบรายงานกิจการและมอบ
สินทรัพย์ พร้อมด้วยสมุดบัญชี เอกสาร ดวงตราและสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและ
สินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ให้แก่คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์โดยมิชักช้า
มาตรา ๓๑ เมื่อธนาคารพาณิชย์ใดถูกควบคุม
ให้ผู้ครอบครองทรัพย์สิน
หรือเอกสารของธนาคารพาณิชย์นั้นแจ้งการครอบครองให้คณะกรรมการควบคุม
ธนาคารพาณิชย์ทราบโดยมิชักช้า
มาตรา ๓๒
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า ธนาคารพาณิชย์
ที่ถูกควบคุมสมควรจะดำเนินกิจการของตนเองได้ ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ ถ้ารัฐมนตรี
เห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกการควบคุม และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์
รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๓
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า ธนาคาร
พาณิชย์ที่ถูกควบคุมไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้ ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ ถ้ารัฐมนตรี
เห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกธนาคารพาณิชย์นั้น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและใน
หนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๔
เมื่อรัฐมนตรีสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งเลิกธนาคารพาณิชย์
ให้มีการชำระบัญชี และให้รัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีธนาคารพาณิชย์นั้น
การชำระบัญชีให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ว่าด้วยการชำระบัญชีบริษัทจำกัด เว้นแต่การใดที่เป็นอำนาจและหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่
ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของรัฐมนตรี
มาตรา ๓๕* เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๔ หรือมาตรา ๒๖
ให้
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วแต่กรณีมีอำนาจดังต่อไปนี้
(๑) สั่งให้กรรมการ
พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์ ผู้สอบบัญชี
ของธนาคารพาณิชย์ และผู้รวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วย
เครื่องคอมพิวเตอร์หรือด้วยเครื่องมืออื่นใด มาให้ถ้อยคำ หรือส่งสำเนาหรือแสดง
สมุดบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการ สินทรัพย์และหนี้สินของ
ธนาคารพาณิชย์
(๒)
เข้าไปในสถานที่ประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ หรือในสถานที่
ซึ่งรวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือด้วย
เครื่องมืออื่นใด ในเวลาทำการของสถานที่นั้น เพื่อตรวจสอบกิจการ สินทรัพย์
และหนี้สินของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งเอกสาร หลักฐานหรือข้อมูลเกี่ยวกับธนาคาร
พาณิชย์
(๓)
เข้าไปตรวจสอบฐานะหรือการดำเนินงานในสถานที่ประกอบธุรกิจ
ของลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งสั่งให้ลูกหนี้หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ
หรือส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชี เอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องได้ในกรณีที่มีเหตุ
อันควรสงสัยว่าธนาคารพาณิชย์กระทำการตามมาตรา ๒๒ (๓)(๔) หรือ (๕)
ในการดำเนินการตาม
(๓) ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงาน
เจ้าหน้าที่จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือรัฐมนตรี
แล้วแต่กรณี ก่อน
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอำนวย
ความสะดวกตามสมควร
*[มาตรา ๓๕
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๓๕ ทวิ* ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์มีอำนาจเข้าไป
ในสถานที่ใด ๆ ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา ๗ ทวิ
หรือมาตรา ๘ เพื่อตรวจสอบได้ และให้มีอำนาจยึดหรืออายัดเอกสารหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง
กับการกระทำความผิดดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดีได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามวรรคหนึ่ง
ให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นมีหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามสมควร
*[มาตรา ๓๕ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๓๖ เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๘
ให้คณะกรรมการควบคุม
ธนาคารพาณิชย์ หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจ มีอำนาจ
สั่งให้บุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ หรือให้แสดงหรือส่งสมุด บัญชี เอกสาร ดวงตรา
และหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุม
มาตรา ๓๗ กรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
พนักงานควบคุมธนาคาร
พาณิชย์ และผู้ชำระบัญชีอาจได้รับเงินค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๓๘ ค่าใช้จ่ายและเงินค่าตอบแทนในการควบคุมหรือชำระบัญชี
ธนาคารพาณิชย์ใด ให้จ่ายจากสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์นั้น
มาตรา ๓๙* ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗ ทวิ มาตรา ๙ หรือ
มาตรา ๑๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๓๙ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๐* ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๘
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๐
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๑*
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่แจ้ง
แก่ผู้ถือหุ้นอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๕ สัตต หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิด
ความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งในการยื่นรายงานลับ หรือให้คำชี้แจงตามมาตรา ๒๓
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
*[มาตรา ๔๑ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๒*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗ หรือ
มาตรา ๑๒ (๑) หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๕
วรรคสี่
หรือมาตรา ๖ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
*[มาตรา ๔๒ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๓*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ ฉ
หรือมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
*[มาตรา ๔๓ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๔*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี
วรรคหนึ่ง มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ มาตรา ๗ ทวิ มาตรา ๙ ทวิ มาตรา ๑๐
มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๒ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) หรือ (๙)
มาตรา ๑๒ ตรี มาตรา ๑๒ จัตวา มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๓ จัตวา มาตรา ๑๔
มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ หรือฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา ๕ ทวิ
มาตรา ๗ มาตรา ๑๒ (๖) มาตรา ๑๓ ตรี มาตรา ๑๗ ทวิ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓
หรือมาตรา ๒๕ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของ
ธนาคารแห่งประเทศไทยตามมาตรา ๑๒ (๔) (ก) หรือ (๕) มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ ทวิ
มาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๒ วรรคสอง มาตรา ๒๔ ทวิ หรือมาตรา ๒๔ ตรี
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
*[มาตรา ๔๔ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕]
มาตรา ๔๕* ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี
วรรคสอง
มาตรา ๗ ตรี หรือมาตรา ๑๕ วรรคสอง หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามมาตรา ๗ ทวิ หรือมาตรา ๗ ตรี ต้อง
ระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
*[มาตรา ๔๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖* ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔
หรือ
มาตรา ๔๕ ถ้าเป็นกรณีการกระทำความผิดต่อเนื่อง
ให้ปรับอีกไม่เกินวันละสามพันบาท
สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๒ หรือ มาตรา ๔๓ หรือให้ปรับอีกไม่เกิน
วันละสองพันบาท สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕ แล้วแต่กรณี
ตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
*[มาตรา ๔๖ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ทวิ* ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดกระทำความผิดตาม
มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕ กรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้น
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้
มีส่วนในการกระทำความผิดของธนาคารพาณิชย์นั้นด้วย
*[มาตรา ๔๖ ทวิ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ตรี* ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔
มาตรา ๔๕ หรือมาตรา ๔๖ ทวิ ถ้ามิได้ฟ้องต่อศาลหรือมิได้มีการเปรียบเทียบ
ตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตรวจพบ
การกระทำความผิด หรือเกินกำหนดห้าปีนับแต่วันกระทำความผิด เป็นอันขาด
อายุความ
*[มาตรา ๔๖ ตรี
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖
จัตวา* ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๔ ตรี
วรรคห้า มาตรา ๒๙
มาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖
จัตวาแก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ.
๒๕๒๘]
มาตรา ๔๖
เบญจ*
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือ
พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา ๓๕
หรือขัดขวางมิให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือ
พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ หรือ
สอบสวนและตรวจสอบตามมาตรา ๓๕ หรือให้ถ้อยคำ หรือแสดงสมุด บัญชี เอกสาร
และหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ หรือส่งสำเนา
สิ่งเหล่านั้นตามมาตรา ๓๕ อันเป็นเท็จ หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา ๓๕ ทวิ ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ เบญจ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ฉ* ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่ง
คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจซึ่งสั่งตามมาตรา ๓๖ ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ ฉ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖
สัตต*
ผู้ใดได้ล่วงรู้กิจการของธนาคารพาณิชย์ใดเนื่องจาก
การปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
อันเป็นกิจการที่ตามปกติ
วิสัยของธนาคารพาณิชย์จะพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย ถ้าผู้นั้นนำไปเปิดเผยนอกจาก
ตามหน้าที่ หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือการพิจารณาคดี ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ สัตต
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖
อัฏฐ* ความผิดตามมาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒
มาตรา ๔๓
มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ หรือมาตรา ๔๖ ทวิ ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรี
แต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้
คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ให้มีจำนวนสามคนและ
คนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด
และผู้ต้องหาได้ชำระ
ค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว ให้คดีนั้น
เป็นอันเลิกกัน
*[มาตรา ๔๖
อัฏฐ
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และวรรคหนึ่ง
แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๔๖ นว* ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดอย่างใด
อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑)
ในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ กรรมการหรือบุคคลใดซึ่ง
รับผิดชอบในธนาคารพาณิชย์กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามบทบัญญัติในหมวด ๑
หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ หรือหมวด ๗ ของลักษณะ ๑๒ แห่งประมวลกฎหมาย
อาญา หรือมาตรา ๔๐ มาตรา ๔๑ หรือมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติกำหนด
ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม
และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙ หรือมาตรา ๒๔๓ หรือมาตรา ๒๔๔ แห่งพระราชบัญญัติ
บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๒๑
(๒) ในการสอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์
ผู้สอบบัญชีผู้ใดกระทำความผิด
ตามมาตรา ๒๖๙ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติ
กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด
สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙
(๓)
ผู้ใดเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดหรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
ตาม (๑) หรือ (๒)
ให้ถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา
ในความผิดตามมาตรานี้
เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ให้พนักงาน
อัยการมีอำนาจเรียกทรัพย์สิน หรือราคา หรือค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย
แทนผู้ได้รับความเสียหายด้วย
ในการนี้ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการฟ้องคดีแพ่งที่
เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดย
อนุโลม
*[มาตรา ๔๖ นว
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา ๔๖ ทศ*
ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานว่าบุคคลใดกระทำความผิด
ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๖ นว และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่าหากปล่อยเนิ่นช้า
ไว้อาจเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจ
สั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลนั้นหรือทรัพย์สินซึ่งตามกฎหมายอาจถือได้ว่าเป็นของ
บุคคลนั้น แต่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้เกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันไม่ได้
เว้นแต่ในกรณีมี
การฟ้องคดีต่อศาลให้คำสั่งยึดหรืออายัดดังกล่าวยังคงมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น
ในกรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถฟ้องคดีได้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
ศาลที่มีเขตอำนาจจะสั่ง
ขยายระยะเวลาออกไปอีกตามคำขอของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานของธนาคารแห่ง
ประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
การยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวล
รัษฎากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง
เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลดังกล่าวจะ
หลบหนีออกนอกราชอาณาจักรเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยร้องขอ ให้ศาลอาญา
มีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลนั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนได้ ในกรณีฉุกเฉิน
ที่มีความจำเป็นรีบด่วน เมื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือบุคคลที่ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมายแจ้งให้อธิบดีกรมตำรวจทราบ ให้อธิบดีกรมตำรวจ
มีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลนั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวได้เป็นเวลา
ไม่เกินสิบห้าวันจนกว่าศาลอาญาจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของศาลอาญาหรือของอธิบดีกรมตำรวจที่สั่งตามวรรคสี่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
*[มาตรา ๔๖ ทศ
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ.
๒๕๒๘]
มาตรา ๔๗
ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๑)
ความในวรรคสองของมาตรา ๖ ไม่ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็น
สาขาของธนาคารต่างประเทศ ซึ่งประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับ
(๒)
ในการปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓ ให้ถือว่าสินทรัพย์
ที่ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงอยู่ในประเทศไทยตามชนิด
ที่รัฐมนตรีกำหนดเป็นเงินกองทุน
มาตรา ๔๘ ภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
บทบัญญัติมาตรา ๑๙ ไม่ใช้บังคับแก่บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งอันต้องห้ามตามมาตรา
ดังกล่าวอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับสำหรับตำแหน่งที่ดำรงอยู่นั้น
มาตรา ๔๙
ในระหว่างเวลาที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ (๑) ยังไม่ใช้บังคับ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐
มาตรา ๑๒ และมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พุทธศักราช
๒๔๘๘ มาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๕๐
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ส. ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี
--------------------------------------------------------
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ ในปัจจุบัน
การธนาคารและการเศรษฐกิจได้ขยายตัวขึ้นเป็นลำดับ จึงสมควรได้ปรับปรุง
กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ให้เหมาะสม เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจ
และการเงินของประเทศ ตลอดจนให้ความคุ้มครองแก่ผู้ฝากเงินกับธนาคาร
--------------------
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๒๒
บุคคลใดถือหุ้นธนาคารพาณิชย์รวมกันเกินอัตราที่กำหนด
ตามมาตรา ๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้คงมีสิทธิถือหุ้นนั้นได้ต่อไป
แต่ถ้าได้จำหน่ายหุ้นนั้นไปเท่าใดก็ให้คงมีสิทธิ
ถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดได้เท่าจำนวนหุ้นที่เหลือนั้น
ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งได้รับ
มรดกในหุ้นนั้นในวันหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
บทบัญญัติมาตรา ๕ ฉ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มิให้นำมาใช้บังคับแก่
ผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งและวรรคสอง
มาตรา ๒๓
ธนาคารพาณิชย์ใดที่จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทจำกัดตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงเป็นบริษัทจำกัดตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไปได้ และถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นได้ออกหุ้น
ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา ๕ จัตวา และหรือมีผู้ถือหุ้นหรือกรรมการซึ่งไม่เป็น
ไปตามมาตรา ๕ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการแก้ไข
เสียให้ถูกต้องตามมาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ แล้วแต่กรณี ภายใน
สามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไข
ดังต่อไปนี้
(๑)
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยรายโดยผู้ถือหุ้นดังกล่าว
ต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๒)
ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยรายโดยผู้ถือหุ้น
ดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละสี่สิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๓)
ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย โดย
ผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวน
หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
(๑) (๒) หรือ (๓) ถ้ามีเหตุ
จำเป็นและสมควร รัฐมนตรีจะขยายระยะเวลาให้คราวละไม่เกินหกเดือน
ก็ได้ แต่เมื่อนับระยะเวลารวมกันทั้งหมดแล้วจะต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๔ ภายในห้าปี
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับธนาคาร
พาณิชย์ใดที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่ ถ้าธนาคารพาณิชย์นั้น ยังมิได้จดทะเบียน
เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ออกหนังสือชี้ชวนให้ประชาชนเข้าชื่อซื้อหุ้นได้
ในการออกหนังสือชี้ชวนดังกล่าว ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยหนังสือชี้ชวน ในกรณี
เพิ่มทุนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดมาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๒)
หุ้นที่ออกในการเพิ่มทุนนั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการขาย
ให้แก่บุคคลธรรมดาซึ่งไม่เป็นผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นไม่น้อยกว่าร้อยละ
ยี่สิบห้าของจำนวนหุ้นที่ออกใหม่ และจะขายให้แต่ละคนเกินร้อยละศูนย์จุดห้า
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ได้
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามมิให้บริษัทจำกัด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ชี้ชวนประชาชนให้ซื้อหุ้นและบทบัญญัติ
ว่าด้วยการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ มิให้นำมาใช้บังคับแก่การเพิ่มทุนตามมาตรานี้
ความในมาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ
ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
มาตรา
๒๕
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ดำเนินการแก้ไขหุ้นหรือผู้ถือหุ้น
หรือกรรมการให้ถูกต้องตามมาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
แล้วแต่กรณี
ภายในระยะเวลาตามมาตรา ๒๓ กำหนด หรือที่รัฐมนตรีผ่อนผันต้องระวางโทษปรับ
ไม่เกินหนึ่งแสนบาท ถ้าเป็นการกระทำผิดต่อเนื่องให้ปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาท
ตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
มาตรา ๒๖ ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๔
ต้องระวาง
โทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๒๗ ความผิดตามมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖
ให้คณะกรรมการ
ตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจเปรียบเทียบได้ และให้นำมาตรา
๔๖ ตรี ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๒๘
สำนักงานที่ได้ตั้งขึ้นแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศในการติดต่อกับ
บุคคลทั่วไปตามมาตรา ๗ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ถ้าประสงค์จะดำเนินการต่อไป ให้ธนาคาร
พาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศหรือผู้จัดตั้งสำนักงานนั้นแล้วแต่กรณียื่นคำขอ
รับอนุญาตให้ถูกต้องภายในเวลาสามเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๙
ธนาคารพาณิชย์ใดมีหุ้นหรือหุ้นกู้ของบริษัทจำกัดอยู่ก่อน
วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา ๑๒ (๕) หรือถือหุ้น
ของธนาคารพาณิชย์อื่นอันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา ๑๒ (๖) แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้
ธนาคารพาณิชย์นั้นยื่นคำขอผ่อนผันต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ในการผ่อนผันธนาคารแห่งประเทศไทยจะ
กำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๓๐
ธนาคารพาณิชย์ใดให้สินเชื่อหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
หรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน แก่หรือเพื่อกรรมการหรือ
บุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่กระทำได้โดยชอบอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติ
นี้ใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา ๑๒ (๒) และ
มาตรา ๑๒ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับ
มาตรา ๓๑
อสังหาริมทรัพย์ใดที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและต้องจำหน่ายไปตามมาตรา ๑๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้
ธนาคารพาณิชย์จำหน่ายเสียภายในเก้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกมาเป็น
ของธนาคารพาณิชย์หรือภายในระยะเวลาที่ได้รับการขยาย
มาตรา ๓๒
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศ
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ หรือมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
หรือออกประกาศ
แล้วแต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศของธนาคาร
แห่งประเทศไทยซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ไปพลางก่อน
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งออกโดยอาศัยโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ตามวรรคหนึ่ง คำว่า เงินกองทุน ตามประกาศ
ดังกล่าวให้หมายความถึงเงินกองทุนตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร
พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๓๓
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม
พระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ประกาศใช้บังคับมานานแล้ว
มีบทบัญญัติหลายมาตราไม่เหมาะสมกับกาลสมัย สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข
บทบัญญัติเดิม
และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่ขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงและเป็นหลัก
ประกันแก่การประกอบการธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็น
ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการได้จากรัฐบาลนั้นเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญ
ของประเทศย่อมเป็นการสมควรที่ธนาคารพาณิชย์จะพึงมีบทบาทในการใช้
เงินทุนนั้นไปทางอำนวยประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มาก
ยิ่งขึ้น และอีกประการหนึ่ง
การธนาคารพาณิชย์นับว่าเป็นกิจการค้าขายอัน
กระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน เป็นการสมควรที่จะให้
สาธารณชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการประกอบกิจการด้วย จึงจำเป็น
ต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๒๒/๓๑/๑พ/๗
มีนาคม ๒๕๒๒]
--------------------
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
พ.ศ. ๒๕๒๘
มาตรา ๑๙
ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่
พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ หากประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่และเสนอ
ขายแก่ประชาชน ก็ให้เสนอขายต่อประชาชนและออกหนังสือชี้ชวนได้ โดยให้
นำกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดเกี่ยวกับหนังสือชี้ชวนและบทกำหนดโทษ
ที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๒๐
ผู้ใดเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์อยู่
ในวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ซึ่งเป็นการขัดต่อมาตรา ๑๒ จัตวา (๘)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชกำหนดนี้ ให้ยื่นขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
เมื่อได้ยื่นขออนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ทำหน้าที่ต่อไปได้จนกว่า
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งไม่อนุญาต
มาตรา ๒๑
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม
พระราชกำหนดนี้
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดนี้ คือ โดยที่
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ยังมีมาตรการ
ไม่เพียงพอแก่การควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ และ
ขาดมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยแก้ไขปัญหาของธนาคารพาณิชย์หากจะ
พึงมีขึ้น สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและ
สอดคล้องเหมาะสมกับภาวการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพื่อเป็นการคุ้มครอง
ประโยชน์ของประชาชนและก่อให้เกิดเสถียรภาพในระบบธนาคารพาณิชย์
อย่างแท้จริง รวมทั้งเพื่อประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็น
ส่วนรวม และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษา
ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
[รก.๒๕๒๘/๑๗๗/๑พ/๒๖
พฤศจิกายน ๒๕๒๘]
--------------------
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๓
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศ
ตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ (๕) หรือมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร
พาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ หรือออกประกาศแล้ว
แต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศ
ซึ่งออกตามมาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๒ (๕) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ไปพลางก่อน
มาตรา ๑๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม
พระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการ
สมควรแก้ไขบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์และเพิ่มเติมบทบัญญัติ
ใหม่เพื่อขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ โดยให้ธนาคารพาณิชย์
สามารถออกบัตรเงินฝากชนิดเปลี่ยนมือในการรับฝากเงินได้ เพื่อให้เกิดตราสาร
ทางการเงินที่มีความคล่องตัว
นอกจากนี้ ได้ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการกระจาย
หุ้นให้บุคคลธรรมดารายย่อยเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
และปรับปรุงข้อกำหนดในเรื่องเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตาม
แนวทางสากล ตามข้อเสนอของ
BANK FOR INTERNATIONAL SETTLEMENTS (BIS) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่ช่วยพัฒนาและ
กำกับสถาบันการเงินที่ดำเนินกิจการในตลาดต่างประเทศให้มีความมั่นคงเป็นมาตรฐาน
เดียวกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๓๕/๔๔/๑/๙
เมษายน ๒๕๓๕]
ลัดดาพร/แก้ไข
๒๔/๐๑/๔๕ |
301568 | พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๕
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕
เป็นปีที่ ๔๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกบทนิยามคำว่า เงินกองทุน ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
เงินกองทุน หมายความว่า
(๑)
ทุนชำระแล้วซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับและเงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๒) ทุนสำรอง
(๓)
เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นหรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์
แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้
(๔)
กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรร
(๕)
เงินสำรองจากการตีราคาสินทรัพย์ เงินสำรองอื่น และ
(๖) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับเนื่องจากการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญ
เงินกองทุนตาม (๑) (๒) (๓)
และ (๔) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกก่อน
และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ชนิด
ประเภทและการคำนวณเงินกองทุนตาม (๕) หรือ (๖) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เงินกองทุนตาม (๑) (๒) (๓)
(๔) (๕) และ (๖) ให้หักเงินตามตราสารใน (๖)
ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่นที่ธนาคารพาณิชย์นั้นถือไว้และสินทรัพย์อื่นใด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
มาตรา ๔ ให้เพิ่มบทนิยามคำว่า บัตรเงินฝาก ระหว่างคำว่า ให้สินเชื่อ
และคำว่า รัฐมนตรี ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๒๒
บัตรเงินฝาก หมายความว่า ตราสารซึ่งเปลี่ยนมือได้ที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ฝากเงินเพื่อเป็นหลักฐานการรับฝากเงินและเพื่อแสดงสิทธิของผู้ทรงตราสารที่จะได้รับเงินฝากคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
โดยจะมีการกำหนดดอกเบี้ยไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้
มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕ เบญจ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๕ เบญจ
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และต้องมีกรรมการเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
มาตรา ๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๙ ตรี
และมาตรา ๙ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๙ ตรี
ธนาคารพาณิชย์จะรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
โดยวิธีออกบัตรเงินฝากก็ได้
บัตรเงินฝากต้องมีรายการดังต่อไปนี้
(๑)
คำบอกชื่อว่าเป็นบัตรเงินฝาก
(๒)
ชื่อธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
(๓) วันที่ออกบัตรเงินฝาก
(๔)
จังหวัดที่ออกบัตรเงินฝาก
(๕)
ข้อตกลงอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะจ่ายเงินเป็นจำนวนหนึ่งที่แน่นอนพร้อมด้วยดอกเบี้ย
(ถ้ามี)
(๖) วันถึงกำหนดจ่ายเงิน
(๗) สถานที่จ่ายเงิน
(๘) ชื่อของผู้ฝากเงิน
หรือคำจดแจ้งว่าให้จ่ายเงินแก่ผู้ถือ
(๙)
ลายมือชื่อผู้มีอำนาจลงนามแทนธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝาก
มาตรา ๙ จัตวา
ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๙๙ ถึงมาตรา ๙๐๗
มาตรา ๙๑๑ มาตรา ๙๑๓(๑) และ (๒) มาตรา ๙๑๔ ถึงมาตรา ๙๑๖ มาตรา ๙๑๗
วรรคหนึ่งและวรรคสาม มาตรา ๙๑๘ ถึงมาตรา ๙๒๒ มาตรา ๙๒๕ มาตรา ๙๒๖ มาตรา ๙๓๘
ถึงมาตรา ๙๔๒ มาตรา ๙๔๕ มาตรา ๙๔๖ มาตรา ๙๔๘ มาตรา ๙๔๙ มาตรา ๙๕๙ มาตรา ๙๖๗ มาตรา
๙๗๑ มาตรา ๙๗๓ มาตรา ๙๘๖ มาตรา ๙๙๔ ถึงมาตรา ๑๐๐๐ มาตรา ๑๐๐๖ ถึงมาตรา ๑๐๐๘ มาตรา
๑๐๑๐ และมาตรา ๑๐๑๑ มาใช้บังคับแก่บัตรเงินฝากโดยอนุโลม
มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๐
ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์หนี้สินหรือภาระผูกพันตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้สูงขึ้น
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความใน (๕) ของมาตรา ๑๒
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๕)
ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดเกินร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
หรือซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนทั้งหมดหรือเงินกองทุนชนิดหนึ่งชนิดใดหรือหลายชนิดตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๓
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๓
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการของผู้อื่นหรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ
เกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนทั้งหมดหรือเงินกองทุนชนิดหนึ่งชนิดใด
หรือหลายชนิดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนด
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้ต่ำลง
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
ให้นำความในมาตรา ๑๒ ทวิ
มาใช้บังคับแก่การกระทำตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๐ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๓ จัตวา
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๑๓ จัตวา
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝากเงิน
การกู้ยืมเงิน หรือการซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใดได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่งจะกำหนดตามประเภทของเงินฝากหรือเงินกู้ยืมประเภทของบุคคล
ประเภทของเอกสารการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงินหรือประเภทของตราสารก็ได้
มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๑๕ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ถ้านำสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้ตัดออกจากบัญชีหรือสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้กันเงินสำรองมาหักออกจากเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้นแล้ว
หากปรากฏว่าเงินกองทุนที่คงเหลือมีจำนวนต่ำกว่าเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามมาตรา ๑๐
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดมาตราการใด ๆ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถือปฏิบัติจนกว่าจะได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นหมดสิ้นไป
หรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นครบจำนวนแล้ว
มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๔
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๔๔
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี วรรคหนึ่ง มาตรา ๕ เบญจ
มาตรา ๕ ฉ มาตรา ๗ ทวิ มาตรา ๙ ทวิ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๒ (๒)
(๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) หรือ (๙) มาตรา ๑๒ ตรี มาตรา ๑๒ จัตวา มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๓
จัตวา มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา ๕
ทวิ มาตรา ๗ มาตรา ๑๒ (๖) มาตรา ๑๓ ตรี มาตรา ๑๗ ทวิ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓ หรือมาตรา
๒๕ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยตามมาตรา
๑๒ (๔) (ก) หรือ (๕) มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๒ วรรคสอง
มาตรา ๒๔ ทวิ หรือมาตรา ๒๔ ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
มาตรา ๑๓ ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศตามมาตรา
๑๐ มาตรา ๑๒ (๕) หรือมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ หรือออกประกาศแล้วแต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศซึ่งออกตามมาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๒๒ และมาตรา ๑๒ (๕) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ไปพลางก่อน
มาตรา ๑๔
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
อานันท์ ปันยารชุน
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้
คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่เพื่อขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์
โดยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถออกบัตรเงินฝากชนิดเปลี่ยนมือในการรับฝากเงินได้
เพื่อให้เกิดตราสารทางการเงินที่มีความคล่องตัว นอกจากนี้
ได้ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการกระจายหุ้นให้บุคคลธรรมดารายย่อยเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดและปรับปรุงข้อกำหนดในเรื่องเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางสากล
ตามข้อเสนอของ BANK FOR
INTERNATIONAL SETTLEMENTS (BIS) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่ช่วยพัฒนาและกำกับสถาบันการเงินที่ดำเนินกิจการในตลาดต่างประเทศให้มีความมั่นคงเป็นมาตรฐานเดียวกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สุนันทา/แก้ไข
๗/๑๒/๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
[๑] รก.๒๕๓๕/๔๔/๑/๙
เมษายน ๒๕๓๕ |
300309 | พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 (Update ณ วันที่ 26/11/2528) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
------
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๐๕
เป็นปีที่
๑๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ
และยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา
๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.๒๕๐๕
มาตรา
๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๐๕/๓๙/๑พ/๓๐
เมษายน ๒๕๐๕]
มาตรา
๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๘๘
มาตรา
๔* ในพระราชบัญญัตินี้
การธนาคารพาณิชย์
หมายความว่า การประกอบธุรกิจประเภท
รับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
และใช้ประโยชน์
เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น (ก) ให้สินเชื่อ (ข)
ซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสาร
เปลี่ยนมืออื่นใด (ค) ซื้อขายเงินปริวรรตต่างประเทศ
ธนาคารพาณิชย์
หมายความว่า
ธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการ
ธนาคารพาณิชย์
และหมายความรวมถึงสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับ
อนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ด้วย
บริษัทมหาชนจำกัด
หมายความว่า
บริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมาย
ว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
บริษัทจำกัด
หมายความรวมถึงบริษัทมหาชนจำกัดด้วย
เงินกองทุน
หมายความว่า (๑)
ทุนชำระแล้วซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำ
มูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับ (๒) ทุนสำรอง (๓) เงินสำรองที่ได้จัดสรร
จากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น
หรือตามข้อบังคับ
ของธนาคารพาณิชย์
แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และ
เงินสำรองเพื่อการชำระหนี้ และ (๔) กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการ
จัดสรรแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อหักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว
ให้สินเชื่อ
หมายความว่า ให้กู้ยืมเงิน ซื้อ
ซื้อลด รับช่วงซื้อลด
ตั๋วเงิน เป็นเจ้าหนี้
เนื่องจากได้จ่ายหรือสั่งให้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของผู้เคยค้า
หรือเป็นเจ้าหนี้เนื่องจากได้จ่ายเงินตามภาระผูกพันตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต
รัฐมนตรี
หมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
*[มาตรา
๔ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๕* ภายใต้บังคับ มาตรา ๕ จัตวา
และมาตรา ๕ เบญจ ธนาคาร
พาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งขึ้นได้ก็แต่ในรูปบริษัทมหาชน
จำกัดและโดยได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
และจะดำเนินการ
เพื่อจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัดได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
เมื่อได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว
ให้บริษัทมหาชนจำกัดนั้น
แจ้งการจดทะเบียนเพื่อขอรับใบอนุญาต
ในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง
และการอนุญาตตามวรรคสาม
รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้
*[มาตรา
๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๕ ทวิ* บุคคลใดจะถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ใดเกินร้อยละห้า
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้
เว้นแต่เป็น
กรณีที่ผู้ถือหุ้นเป็นส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคาร
แห่งประเทศไทย หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
แต่ในกรณีที่มีเหตุ
จำเป็นต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้น
รัฐมนตรี
ด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจผ่อนผันให้มีการถือหุ้นเป็น
อย่างอื่นได้ ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
หุ้นธนาคารพาณิชย์ที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ถืออยู่
ให้นับรวม
เป็นหุ้นของบุคคลตามวรรคหนึ่งด้วย
(๑)
คู่สมรสของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๒)
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๓)
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วน
(๔)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด
รวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕)
บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวน
หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
(๖)
บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) หรือบริษัทจำกัดตาม (๕)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละ
สามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
*[มาตรา
๕ ทวิ แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๕ ตรี*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ใดจำหน่ายหุ้นของธนาคารพาณิชย์
นั้นแก่บุคคลใดซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดตามมาตรา
๕ ทวิ
ทุกครั้งที่มีการชี้ชวนให้เข้าชื่อซื้อหุ้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ระบุจำนวนหุ้น
ที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะถือหุ้นได้ทั้งสิ้นโดยชอบด้วยมาตรา ๕
ทวิ ไว้ให้ทราบในคำชี้ชวน
*[มาตรา
๕ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๕ จัตวา*
หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารพาณิชย์ต้องเป็น
หุ้นชนิดระบุชื่อผู้ถือมีมูลค่าของหุ้นไม่เกินหุ้นละหนึ่งร้อยบาทและข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์
ต้องไม่มีข้อจำกัดในการโอนหุ้น
เว้นแต่เพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ หรือมาตรา ๕ เบญจ
หรือตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
*[มาตรา
๕ จัตวา เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๕ เบญจ*
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา
ไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย โดย
(๑)
ผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบ
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และ
(๒)
ผู้ถือหุ้นแต่ละรายต้องถือหุ้นไม่เกินร้อยละศูนย์จุดห้าของจำนวนหุ้น
ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
จำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดตามวรรคหนึ่ง
(๑) ไม่นับรวมจำนวน
หุ้นที่ผู้ถือหุ้นเป็นส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคาร
แห่งประเทศไทย หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
ธนาคารพาณิชย์ใดมีผู้ถือหุ้นหรือการถือหุ้นไม่เป็นไปตามวรรคหนึ่งใน
ขณะใดขณะหนึ่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นขอผ่อนผันจากรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการแก้ไข
ให้ถูกต้องภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด
ๆ
ไว้ด้วยก็ได้
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่ไม่ต่ำกว่า
สามในสี่ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และต้องมีกรรมการเป็นบุคคล
ผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตาม
กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
*[มาตรา
๕ เบญจ แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๕ ฉ*
เมื่อปรากฏว่าบุคคลใดได้หุ้นของธนาคารพาณิชย์ใดมา
และการได้มานั้นเป็นเหตุให้ถือหุ้นเกินจำนวนที่จะถือได้ตามมาตรา
๕ ทวิ บุคคลนั้น
จะยกเอาการถือหุ้นในส่วนที่เกินจำนวนดังกล่าวขึ้นใช้ยันต่อธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้
และธนาคารพาณิชย์นั้นจะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดให้แก่บุคคลนั้น
หรือ
ให้บุคคลนั้นออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมของผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นส่วนที่เกินมิได้
*[มาตรา
๕ ฉ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๕ สัตต*
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ มาตรา ๕
เบญจ และมาตรา ๕ ฉ ให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นทุกคราว
ก่อนจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใด
และก่อนการประชุมผู้ถือหุ้น แล้วแจ้งผล
การตรวจสอบต่อธนาคารแห่งประเทศไทยตามรายการและภายในเวลาที่ธนาคาร
แห่งประเทศไทยกำหนด
และในกรณีที่พบว่าผู้ถือหุ้นรายใดถือหุ้นเกินจำนวนที่กำหนด
ในมาตรา ๕ ทวิ ให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งให้ผู้นั้นทราบเพื่อดำเนินการจำหน่ายหุ้น
ส่วนที่เกินนั้นเสีย
*[มาตรา
๕ สัตต เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๕ อัฏฐ* บทบัญญัติแห่งมาตรา ๕
ทวิ มาตรา ๕ ตรี มาตรา ๕
จัตวา มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ และมาตรา ๕ สัตต
มิให้นำมาใช้บังคับ
แก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ
*[มาตรา
๕ อัฏฐ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๖*
การประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยตั้งเป็นสาขาของ
ธนาคารที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
ในการอนุญาตรัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยตามจำนวน ชนิด
วิธีการและเงื่อนไข
ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามวรรคสองต้องจัดหาด้วย (๑) เงินที่นำเข้ามา
จากสำนักงานใหญ่และหรือสาขาอื่นนอกประเทศไทยของธนาคารต่างประเทศนั้น
(๒) เงินสำรองต่าง ๆ
แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์
และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้หรือ (๓) เงินกำไรสุทธิแต่ละงวดการบัญชี
ของสาขาอันได้โอนเป็นส่วนของสำนักงานใหญ่แล้วและไม่ต้องส่งออก ทั้งนี้
เมื่อหักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว
ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ถือว่าสินทรัพย์ตามวรรคสอง
เป็นเงินกองทุน
*[มาตรา
๖ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๗
ธนาคารพาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศที่
ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อาจเปิดสาขาได้
แต่ต้องได้รับอนุญาตจาก
รัฐมนตรี คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด ในการนี้รัฐมนตรีจะ
อนุญาตโดยมีเงื่อนไขก็ได้
มาตรา
๗ ทวิ*
ผู้ใดจะกระทำการแทนธนาคารต่างประเทศโดยมี
สำนักงานติดต่อกับบุคคลทั่วไปในราชอาณาจักร
หรือธนาคารพาณิชย์ใดนอกจาก
สาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งสำนักงานเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์
ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร
ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา
๗ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๗ ตรี*
เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตให้ตั้งสำนักงานใหญ่
หรือสำนักงานสาขา ณ ที่ใดแล้ว จะย้ายสำนักงานนั้นไม่ได้
เว้นแต่จะได้รับ
อนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย
จะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา
๗ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๘
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์
มาตรา
๙
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อ
ในธุรกิจว่า ธนาคารหรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา
๙ ทวิ* นอกจากการธนาคารพาณิชย์แล้ว
ธนาคารพาณิชย์
อาจกระทำธุรกิจที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็น
ประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำ
เช่นการเรียกเก็บเงินตามตั๋วเงิน การรับ
อาวัลตั๋วเงิน การรับรองตั๋วเงิน
การออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือการ
ค้ำประกันหรือธุรกิจทำนองเดียวกันด้วยก็ได้
เมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคาร
แห่งประเทศไทย แต่จะประกอบการค้าหรือธุรกิจอื่นใดมิได้
*[มาตรา
๙ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๐*
ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับ
(๑)
สินทรัพย์ทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดนั้นจะต่ำกว่าร้อยละห้าหรือเกิน
ร้อยละสิบห้าไม่ได้
(๒)
สินทรัพย์แต่ละประเภทไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
(๓)
จำนวนเงินที่รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟ
เครดิตที่ธนาคารพาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน
ค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
หรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ
หลายอย่างรวมกัน ไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วย
ความเห็นชอบของรัฐมนตรี
สินทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง
(๑) และ (๒) ไม่รวมเงินสด เงินฝากที่
ธนาคารแห่งประเทศไทย
เงินฝากที่ธนาคารอื่นในหรือนอกราชอาณาจักร
หลักทรัพย์รัฐบาลไทย
และสินทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วย
ความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราตามวรรคหนึ่ง
(๒) หรือ (๓) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะ
กำหนดหรือไม่กำหนดก็ได้
และจะกำหนดเฉพาะประเภทใดประเภทหนึ่งก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ถ้ามีผล
เป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้สูงขึ้น
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วัน
ประกาศมิได้
*[มาตรา
๑๐ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๑*
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินสดสำรองเป็นอัตราส่วน
กับเงินฝาก และหรือเงินกู้ยืมตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ ทวิ
ไม่ต่ำกว่า
อัตราส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราส่วนที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า และ
ไม่เกินร้อยละห้าสิบของเงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืมแล้วแต่กรณี และจะกำหนด
ให้เป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม
ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือ
หลายประเภทรวมกันหรือแยกกันก็ได้
เพื่อประโยชน์ในการดำรงเงินสดสำรองตามวรรคหนึ่ง
ธนาคาร
แห่งประเทศไทยจะกำหนดให้ถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทยเป็นส่วนหนึ่งของ
เงินสดสำรองที่พึงดำรงนั้นก็ได้
*[มาตรา
๑๑ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๑ ทวิ* เงินฝากและหรือเงินกู้ยืมซึ่งธนาคารพาณิชย์จะต้อง
ดำรงเงินสดสำรองให้ได้อัตราส่วน ได้แก่เงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืม ดังต่อไปนี้
(๑)
ยอดรวมเงินฝากทั้งหมด
(๒)
เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
(๓)
เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
(๔)
ยอดรวมเงินกู้ยืมทั้งหมด
(๕)
เงินกู้ยืมแต่ละประเภท
การคำนวณยอดเงินฝากหรือเงินกู้ยืมตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีจะกำหนดให้คำนวณรวมกับยอดเงิน
ให้เบิกเกินบัญชีที่ยังไม่ได้จ่ายไป
โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินฝากหรือเงิน
กู้ยืมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
*[มาตรา
๑๑ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๑ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามที่
ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ จัตวา เป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝาก
และหรือยอดเงิน
กู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท
ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าและไม่เกิน
ร้อยละห้าสิบของยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท
แล้วแต่กรณี
การกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยจะกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องแต่เพียงบางประเภทหรือ
ทุกประเภทก็ได้
และจะกำหนดอัตราส่วนของแต่ละประเภทในอัตราใดก็ได้
*[มาตรา
๑๑ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๑ จัตวา* สินทรัพย์สภาพคล่องได้แก่
(๑)
เงินสด
(๒)
เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓)
เงินฝากสุทธิที่ธนาคารพาณิชย์อื่น
(๔)
หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่ปราศจากภาระผูกพัน
(๕)
หุ้นกู้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
และปราศจากภาระผูกพัน
(๖)
สินทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนด ด้วยความเห็นชอบ
ของรัฐมนตรี
*[มาตรา
๑๑ จัตวา เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ เบญจ* การดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑
ให้ได้
อัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม
และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตาม
มาตรา ๑๑ ตรี
ให้ได้อัตราส่วนกับยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืม แล้วแต่
กรณี ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามมาตรา
๑๑ มาตรา ๑๑ ทวิ วรรคสอง และมาตรา
๑๑ ตรี วรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และถ้ามีผลเป็นการเพิ่มอัตราส่วน
เงินสดสำรองและอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่
วันประกาศมิได้
*[มาตรา
๑๑ เบญจ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๑ ฉ*
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพ
ของเงินตรา
รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสดสำรองพิเศษ
ไม่ต่ำกว่าอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต่างหากจากการ
ดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑
การกำหนดอัตราตามวรรคหนึ่ง
ให้กำหนดเป็นอัตราส่วนกับเงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืมตามมาตรา ๑๑ ทวิ
ทั้งหมดหรือแต่ละประเภทเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้น
จากยอดเงินดังกล่าวเมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่ง
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา
๑๑ ฉ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๒*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการดังต่อไปนี้
(๑)
ลดทุนโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
(๒)
ให้สินเชื่อแก่กรรมการ หรือประกันหนี้ใด ๆ ของกรรมการ หรือ
รับรอง รับอาวัล
หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินที่กรรมการเป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋ว
หรือผู้สลักหลัง
(๓)
รับหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกัน หรือรับหุ้นของธนาคาร
พาณิชย์จากธนาคารพาณิชย์อื่นเป็นประกัน
(๔)
ซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่
(ก)
เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงาน
และลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่ง
ประเทศไทย ในการให้ความเห็นชอบนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ
ไว้ด้วยก็ได้
(ข)
เป็นการได้มาจากการชำระหนี้หรือจากการประกัน
การให้สินเชื่อหรือจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้น
จากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
(๕)
ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดเกินร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
หรือซื้อหรือมีหุ้นหรือหุ้นกู้มีมูลค่ารวมกัน
ทั้งสิ้นเกินร้อยละยี่สิบของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น ทั้งนี้ เว้นแต่
จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตนั้นจะกำหนด
เงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
(๖)
ซื้อหรือมีหุ้นธนาคารพาณิชย์อื่น เว้นแต่เป็นการได้มาจากการ
ชำระหนี้หรือการประกันการให้สินเชื่อแต่ต้องจำหน่ายภายในเวลาหกเดือน
นับแต่วันที่ได้มา
หรือเป็นการได้มาโดยได้รับผ่อนผันจากรัฐมนตรีด้วยคำแนะนำ
ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด
ๆ ไว้ด้วยก็ได้
(๗)
จ่ายเงินหรือทรัพย์สินอื่นให้แก่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้าง
ของธนาคารพาณิชย์นั้น
เป็นค่านายหน้าหรือค่าตอบแทนสำหรับหรือเนื่องจาก
การกระทำหรือการประกอบธุรกิจใด ๆ ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ นอกจาก
บำเหน็จ เงินเดือน เงินรางวัล
และเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ
(๘)
ขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์ใด ๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่า
รวมกันสูงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดแก่กรรมการหรือซื้อทรัพย์สิน
จากกรรมการ
ทั้งนี้ รวมถึงบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมการ ตาม
มาตรา ๑๒ ทวิ ด้วย เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(๙)
กระทำการใด ๆ อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของ
ประเทศหรือแก่ประโยชน์ของประชาชน
หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคล
ที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม
หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขัน
ในระบบสถาบันการเงิน หรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา
๑๒ แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๑๒ ทวิ* การให้สินเชื่อแก่หรือการประกันหนี้ใด
ๆ ของ
บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ หรือการรับรอง รับอาวัล
หรือสอดเข้าแก้หน้า
ในตั๋วเงินที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้เป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วหรือ
ผู้สลักหลัง ให้ถือว่าเป็นการให้สินเชื่อ หรือการประกัน
หรือการรับรอง รับอาวัล
หรือสอดเข้าแก้หน้าแก่กรรมการตามมาตรา ๑๒ (๒) ด้วย
(๑)
คู่สมรสของกรรมการ
(๒)
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของกรรมการ
(๓)
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็น
หุ้นส่วน
(๔)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็น
หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด
รวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕)
บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้าง
หุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่าย
ได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
(๖)
บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้าง
หุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔) หรือบริษัทจำกัดตาม (๕)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบ
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
*[มาตรา
๑๒ ทวิ แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๑๒ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์ต้องจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่ตกเป็นของ
ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๑๒ (๔) (ข) ภายในห้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์
นั้นตกเป็นของธนาคารพาณิชย์
เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะขยายระยะเวลา
ให้หรือให้ความเห็นชอบเพื่อใช้เป็นสถานที่ตามมาตรา ๑๒ (๔)
(ก)
*[มาตรา
๑๒ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๒ จัตวา*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งหรือยอมให้บุคคลซึ่งมี
คุณสมบัติหรือลักษณะดังต่อไปนี้เป็นหรือทำหน้าที่กรรมการ
ผู้จัดการ รองผู้จัดการ
ผู้ช่วยผู้จัดการ หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์
(๑)
เป็นบุคคลล้มละลาย
(๒)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิด
เกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต
(๓)
เคยถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกจากราชการ หรือองค์การหรือ
หน่วยงานอื่นของรัฐ ฐานทุจริตต่อหน้าที่
(๔)
เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการของ
ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากธนาคาร
แห่งประเทศไทย
(๕)
ถูกถอดถอนจากธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีตาม
มาตรา ๒๕
(๖)
เป็นข้าราชการการเมือง
(๗)
เป็นข้าราชการซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เว้นแต่เป็นกรณีของธนาคารพาณิชย์ที่เป็น
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
หรือเป็นกรณีที่ได้รับความ
เห็นชอบจากรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์
(๘)*
เป็นผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการของห้างหุ้นส่วน หรือ
บริษัทจำกัด ซึ่งตนหรือบุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ ถือหุ้นอยู่
เว้นแต่เป็นกรรมการ
หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์
ซึ่งไม่มีอำนาจลงนามผูกพันธนาคารพาณิชย์
ด้วยตนเองหรือร่วมกับผู้อื่น
*[มาตรา
๑๒ จัตวา (๑)-(๗) เพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และ (๘) แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๑๓* ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์
(๑)
ให้สินเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันแก่บุคคลใด
บุคคลหนึ่ง
เมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่งเป็นจำนวนเงินเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุน
ตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
(๒)
รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน
ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่
ธนาคารพาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน
หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
หรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือหลายอย่างรวมกัน เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
เมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่ง เป็น
จำนวนเงินเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
ทั้งนี้
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตามหลักเกณฑ์
ที่รัฐมนตรีกำหนด
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไข
ให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
อัตราตามวรรคหนึ่ง
(๒) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดหรือไม่ก็ได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง
(๑) หรือ (๒) ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้ต่ำลง จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่
วันประกาศมิได้
ให้นำความในมาตรา
๑๒ ทวิ มาใช้บังคับแก่การกระทำตามวรรคหนึ่ง
(๑) และ (๒) ด้วย โดยอนุโลม
*[มาตรา
๑๓ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๓ ทวิ* บทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๓ ไม่ให้ใช้บังคับแก่กรณีที่
ธนาคารพาณิชย์
(๑)
ให้กู้ยืมเงินโดยการซื้อหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์อื่นที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒)
ให้กู้ยืมเงินโดยมีประกันด้วยหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์
หรือทรัพย์สินอื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้
เฉพาะในส่วนที่
ไม่เกินมูลค่าแห่งหลักทรัพย์
หรือทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นได้ตีราคารับไว้
เป็นประกัน
(๓)
ให้สินเชื่อตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด หรือ
(๔)
รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคาร
พาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน
หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกัน
การขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน ทั้งนี้
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนด
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา
๑๓ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๓ ตรี*
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศหรือเพื่อแก้ไข
ภาวะเศรษฐกิจ
รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดการดังต่อไปนี้ได้ตามที่ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยเสนอ
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการประเภทใด ๆ ไม่น้อยกว่า
อัตราที่กำหนด
(๒)
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการใด ๆ เพิ่มขึ้นหรือ
เพิ่มขึ้นเกินอัตราที่กำหนด
การกำหนดตาม
(๑) ทุกครั้งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดตาม (๑)
รวมกันทั้งสิ้นทุกประเภทของกิจการต้องไม่เกินร้อยละ
ยี่สิบของยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในวันสิ้นปีก่อนหน้านั้น
การกำหนดตาม
(๒) ให้กำหนดเป็นร้อยละของยอดเงินให้สินเชื่อ
ในแต่ละกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และจะ
กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและระยะเวลาเพื่อปฏิบัติการไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา
๑๓ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๔*
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดให้ธนาคาร
พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑)
ดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์อาจจ่ายได้
(๒)
ดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๓)
ค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๔)
เงินมัดจำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
(๕)
หลักประกันเป็นทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
บรรดาเงิน
ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่นใดที่อาจกำหนดเป็นเงินได้ ที่ผู้ฝากเงิน
หรือบุคคลอื่นได้รับจากธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
เนื่องจากการฝากเงินหรือที่ธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคาร
พาณิชย์นั้นได้รับเนื่องจากการประกอบธุรกิจนั้นของธนาคารพาณิชย์
ให้ถือว่า
เป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลด หรือค่าบริการตามความใน (๑) หรือ
(๒) หรือ (๓)
แล้วแต่กรณี
เว้นแต่ค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อที่ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยกำหนดตาม (๓)
ไม่ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคาร
พาณิชย์อาจเรียกได้ตาม (๒)
การกำหนดตามมาตรานี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
และให้
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา
๑๔ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๕*
ให้ธนาคารพาณิชย์จดแจ้งบัญชีแสดงหนี้สินและสินทรัพย์
ให้ครบถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง
และประกาศรายการย่อตามแบบที่ธนาคาร
แห่งประเทศไทยกำหนดโดยแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ในวันทำงานวันสุดท้าย
ของทุกเดือน
หรือในวันอื่นที่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศตามวรรคหนึ่งให้เสนอต่อธนาคารแห่งประเทศไทยหนึ่งฉบับ
และให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป
และให้ลงในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับด้วย
เว้นแต่ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น
*[มาตรา
๑๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๕ ทวิ*
ให้ธนาคารพาณิชย์ปิดบัญชีทุกงวดการบัญชีในรอบ
ระยะเวลาหกเดือน
ถ้าธนาคารพาณิชย์ใดมีสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืน
ไม่ได้หรือที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นตัดสินทรัพย์ที่ไม่มี
ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวออกจากบัญชี
หรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์
ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวเมื่อสิ้นงวดการบัญชีนั้น
เว้นแต่
จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ปฏิบัติเป็นอย่างอื่น
ในการ
อนุญาตนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตวรรคหนึ่ง
ถ้านำสินทรัพย์ที่ไม่มี
ราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้ตัดออกจากบัญชีมาหักออกจากเงินกองทุน
ของธนาคารพาณิชย์นั้นแล้ว
หากปรากฎว่าเป็นกองทุนที่คงเหลือมีจำนวนต่ำกว่าเงินกองทุน
ที่ต้องดำรงตามมาตรา ๑๐(๑)
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดมาตราใด ๆ
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถือปฏิบัติจนกว่าจะได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้น
หมดสิ้นไป
*[มาตรา
๑๕ ทวิ วรรคสอง เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และวรรคหนึ่ง แก้ไข
โดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๑๖*
ภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีบัญชีให้ธนาคารพาณิชย์ตาม
มาตรา ๕
ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่แล้ว
ตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศดังกล่าวให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้นลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย
หนึ่งฉบับ
และเสนอต่อรัฐมนตรีและธนาคารแห่งประเทศไทยภายในยี่สิบเอ็ดวัน
นับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ ทั้งนี้ เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทย
จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
งบดุลตามวรรคหนึ่งจะต้องมีการรับรองของผู้สอบบัญชีซึ่งธนาคารแห่ง
ประเทศไทยได้ให้ความเห็นชอบในแต่ละปีบัญชี
และต้องมิใช่กรรมการ พนักงาน
หรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา
๖ ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน
ของธนาคารในต่างประเทศที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นสาขาภายในเวลาสี่เดือน
นับแต่วันสิ้นปีบัญชีของธนาคารต่างประเทศนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุขัดข้อง
อันสมควร ประกาศดังกล่าวให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ
สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น
*[มาตรา
๑๖ แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๑๗*
ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดทำการตามเวลาและหยุดทำการ
ตามวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการ
หรือหยุดทำการในเวลาหรือวันอื่นจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาต
ดังกล่าวธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศเวลาทำการและวันหยุดทำการดังกล่าวไว้
ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน
*[มาตรา
๑๗ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๑๗ ทวิ*
เพื่อแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคาร
พาณิชย์
หรือเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินหรือระบบสถาบัน
การเงิน
ให้รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้
ธนาคารพาณิชย์ระงับการดำเนินกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว
ภายในระยะเวลาที่กำหนด และในการนี้จะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และ
เงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา
๑๗ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๑๘ ธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน
ให้ธนาคารพาณิชย์
นั้นแจ้งให้รัฐมนตรีทราบทันที และห้ามมิให้ทำกิจการใด ๆ
เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
เป็นหนังสือจากรัฐมนตรีแล้วให้รายงานโดยละเอียดแสดงเหตุที่ต้องหยุดทำการ
จ่ายเงินภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่หยุดทำการจ่ายเงิน
มาตรา
๑๙
ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคาร
พาณิชย์ใดเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคารพาณิชย์อื่นอีกในเวลา
เดียวกัน
ทั้งนี้เว้นแต่ตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย หรือตำแหน่งที่ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติ
หรือให้ความเห็นเกี่ยวแก่การดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
มาตรา
๒๐
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตาม
มาตรา ๕ มาตรา ๖ หรือมาตรา ๗
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งให้เลิก
สาขาตามที่ได้อนุญาตไปแล้ว แล้วแต่กรณี
หรือจะสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นก็ได้
แต่ถ้าเห็นสมควร
รัฐมนตรีจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติการเพื่อแก้ไขให้เป็นไป
ตามเงื่อนไขเสียก่อนภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้
มาตรา
๒๑ ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๐
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่ง
ธนาคารพาณิชย์นั้นมิให้แจกหรือจำหน่ายเงินกำไรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
โดยให้นำ
เงินกำไรนั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปเพิ่มทุนสำรอง
หรือไปเพิ่มสินทรัพย์ที่ต้องดำรง
ตามมาตรา ๖ แล้วแต่กรณี และรัฐมนตรีจะสั่งห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์นั้นให้กู้ยืมหรือ
ลงทุน หรือให้ทำได้ภายใต้เงื่อนไขใด ๆ
จนกว่าธนาคารพาณิชย์นั้นจะปฏิบัติ
ถูกต้องด้วยก็ได้
มาตรา
๒๒*
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า ธนาคาร
พาณิชย์ใด
(๑)
ดำรงเงินสดสำรองไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๒)
ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๓)
รับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินหรือก่อภาระผูกพันโดยไม่ลงบัญชีให้ถูกต้อง
และครบถ้วน
หรือสร้างรายการให้สินเชื่อไม่ตรงต่อความเป็นจริง
(๔)
ให้สินเชื่อหรือลงทุนเกินอัตราที่กำหนด หรือให้สินเชื่อในลักษณะ
ที่เล็งเห็นได้ว่าจะเรียกคืนไม่ได้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๕)
ให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่ธนาคารพาณิชย์หรือกรรมการของ
ธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
หรือให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร
พาณิชย์นั้นในปริมาณเกินสมควรหรือมีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดพิเศษผิดไปจากปกติ
(๖)
ไม่ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี
(๗)
ไม่กันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือ
เรียกคืนไม่ได้
(๘)
กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดขึ้นเพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นกระทำการ
หรืองดเว้นกระทำการ หรือแก้ไขการดังกล่าวในวรรคหนึ่ง
ในการนี้จะกำหนด
เงื่อนไขและระยะเวลาไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา
๒๒ แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๒๓
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ยื่นรายงานลับมีรายการ
ตามที่รัฐมนตรีกำหนด
ทั้งนี้จะให้ยื่นตามระยะเวลาหรือเป็นครั้งคราวและจะให้ทำ
คำชี้แจงข้อความเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานนั้นก็ได้
รายงานลับและ
คำชี้แจงนี้ให้ยื่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
มาตรา
๒๔*
รัฐมนตรีมีอำนาจตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์เพื่อ
ตรวจสอบและรายงานกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือจะมอบ
อำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็นผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ก็ได้ แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ
รัฐมนตรีจะตั้งหรือ
มอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ให้ทำการ
ตรวจเพื่อทราบกิจการหรือทรัพย์สินของเอกชนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะที่มีหรือ
ปรากฏอยู่ในธนาคารพาณิชย์ใด ๆ มิได้
เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๓๕ (๓)
*[มาตรา
๒๔ แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๒๔ ทวิ*
เมื่อปรากฏหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่า
ธนาคารพาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้
เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจ
สั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการดังกล่าวได้ภายในระยะ
เวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ในการนี้จะสั่งให้เพิ่มทุนหรือลดทุนด้วยก็ได้
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่เพิ่มทุนหรือลดทุนภายในกำหนดเวลาที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่ง
ประเทศไทยเป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลาตามคำสั่งของ
ธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าว
ในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องให้ธนาคารพาณิชย์ใดเพิ่มทุน
หรือลดทุน
เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์นั้นสามารถพยุงฐานะและการดำเนินการต่อไปได้
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มทุนหรือลดทุนทันทีก็ได้
โดยให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวเป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ในการเพิ่มทุนหรือลดทุนตามวรรคสองหรือวรรคสาม
มิให้นำมาตรา
๑๒๒๐ มาตรา ๑๒๒๔ มาตรา ๑๒๒๕ และมาตรา ๑๒๒๖
แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ และมาตรา ๑๔๙ วรรคสอง (๒) มาตรา ๑๕๒ และมาตรา
๑๕๔
แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน พ.ศ. ๒๕๒๑ แล้วแต่กรณี
มาใช้บังคับ
*[มาตรา
๒๔ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๒๔ ตรี*
เมื่อปรากฏหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่า
ธนาคารพาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิด
ความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
หรือกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบ
ในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของธนาคารแห่ง
ประเทศไทยตามมาตรา ๒๔ ทวิ
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคาร
พาณิชย์นั้นถอดถอนกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคาร
พาณิชย์ผู้เป็นต้นเหตุดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่ง
ให้
ธนาคารพาณิชย์นั้นแต่งตั้งบุคคลอื่นโดยความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
เข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทนภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันถอดถอน
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่งหรือถอดถอนแล้ว
ไม่แต่งตั้งบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทนตามวรรคสอง
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งถอดถอนบุคคลดังกล่าวหรือแต่งตั้ง
บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคนไปดำรงตำแหน่งแทนเป็นเวลาไม่เกินสามปี
และ
มิให้นำความในมาตรา ๑๒ จัตวา (๘) มาใช้บังคับ
ให้ผู้ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งตามวรรคสามได้รับค่าตอบแทน
ตามที่รัฐมนตรีกำหนด
โดยให้จ่ายจากทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์นั้น และใน
ระหว่างเวลาที่บุคคลดังกล่าวดำรงตำแหน่งอยู่
ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์จะ
มีมติเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้
บุคคลซึ่งถูกถอดถอนตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้าไป
เกี่ยวข้องหรือดำเนินการใด ๆ
ในธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ไม่ว่าโดยทางตรง
และทางอ้อม
และต้องอำนวยความสะดวกและให้ข้อเท็จจริงแก่บุคคลที่ดำรง
ตำแหน่งแทน หรือตามที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์กำหนด
ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้ถอดถอนหรือแต่งตั้ง
ตามมาตรานี้เป็นมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น
*[มาตรา
๒๔ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๒๕*
เมื่อรัฐมนตรีได้รับรายงานการตรวจสอบของผู้ตรวจการ
ธนาคารพาณิชย์และเห็นว่าฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใด
อยู่ในลักษณะอันจะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์
ของประชาชน รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือสั่งเพิกถอน
ใบอนุญาตก็ได้
แต่ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขการบริหารงาน
รวมทั้งย้ายหรือถอดถอนกรรมการหรือพนักงานของธนาคารพาณิชย์ตาม
คำแนะนำของรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด
รัฐมนตรีจะยัง
ไม่สั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นหรือยังไม่สั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
ในการนี้
รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ
เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขฐานะหรือการ
ดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา
๒๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๒๖ เมื่อปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน
ให้
รัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลที่รัฐมนตรีเห็นสมควรเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสอบสวน
พฤติการณ์
และเมื่อได้รับรายงานการสอบสวนจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว รัฐมนตรี
มีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นได้
มาตรา
๒๗ ในการสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด
ให้รัฐมนตรีแจ้งคำสั่ง
เป็นหนังสือให้ธนาคารพาณิชย์นั้นทราบ
และปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน
ของธนาคารพาณิชย์นั้น
กับทั้งให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์
รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา
๒๘ ในการควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด
ให้รัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการ
ควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้น
ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคนและกรรมการอื่น
อีกไม่น้อยกว่าสองคน
คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่จัดดำเนินกิจการของธนาคาร
พาณิชย์นั้นได้ทุกประการ
และให้ประธานกรรมการเป็นผู้แทนของธนาคารพาณิชย์นั้น
ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการ
คนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งและกำหนดอำนาจและหน้าที่พนักงานควบคุม
ธนาคารพาณิชย์คนหนึ่งหรือหลายคนให้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
การตั้งคณะกรรมการและการแต่งตั้งกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทนประธาน
กรรมการให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา
๒๙
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด ห้าม
มิให้กรรมการและพนักงานของธนาคารพาณิชย์กระทำกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้น
อีกต่อไป เว้นแต่จะได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
มาตรา
๓๐
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด ให้
กรรมการ
พนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นจัดการอันสมควรเพื่อปกปัก
รักษาทรัพย์และประโยชน์ของธนาคารพาณิชย์ไว้
และรีบรายงานกิจการและมอบ
สินทรัพย์ พร้อมด้วยสมุดบัญชี เอกสาร
ดวงตราและสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและ
สินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ให้แก่คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์โดยมิชักช้า
มาตรา
๓๑ เมื่อธนาคารพาณิชย์ใดถูกควบคุม
ให้ผู้ครอบครองทรัพย์สิน
หรือเอกสารของธนาคารพาณิชย์นั้นแจ้งการครอบครองให้คณะกรรมการควบคุม
ธนาคารพาณิชย์ทราบโดยมิชักช้า
มาตรา
๓๒
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า ธนาคารพาณิชย์
ที่ถูกควบคุมสมควรจะดำเนินกิจการของตนเองได้
ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ ถ้ารัฐมนตรี
เห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกการควบคุม และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวัน
อย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา
๓๓
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า ธนาคาร
พาณิชย์ที่ถูกควบคุมไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้
ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ ถ้า
รัฐมนตรีเห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกธนาคารพาณิชย์นั้น
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา
๓๔
เมื่อรัฐมนตรีสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งเลิกธนาคารพาณิชย์
ให้มีการชำระบัญชี
และให้รัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีธนาคารพาณิชย์นั้น
การชำระบัญชีให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ว่าด้วยการชำระบัญชีบริษัทจำกัด
เว้นแต่การใดที่เป็นอำนาจและหน้าที่ของ
ที่ประชุมใหญ่ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของรัฐมนตรี
มาตรา
๓๕* เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๔
หรือมาตรา ๒๖ ให้
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วแต่กรณีมีอำนาจดังต่อไปนี้
(๑)
สั่งให้กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์ ผู้สอบบัญชี
ของธนาคารพาณิชย์
และผู้รวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วย
เครื่องคอมพิวเตอร์หรือด้วยเครื่องมืออื่นใด มาให้ถ้อยคำ
หรือส่งสำเนาหรือ
แสดงสมุดบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการ
สินทรัพย์และหนี้สิน
ของธนาคารพาณิชย์
(๒)
เข้าไปในสถานที่ประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ หรือในสถานที่
ซึ่งรวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือ
ด้วยเครื่องมืออื่นใด ในเวลาทำการของสถานที่นั้น
เพื่อตรวจสอบกิจการ สินทรัพย์
และหนี้สินของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งเอกสาร
หลักฐานหรือข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์
(๓)
เข้าไปตรวจสอบฐานะหรือการดำเนินงานในสถานที่ประกอบธุรกิจ
ของลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์
รวมทั้งสั่งให้ลูกหนี้หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้
ถ้อยคำหรือส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชี
เอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องได้
ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าธนาคารพาณิชย์กระทำการตามมาตรา
๒๒ (๓) (๔) หรือ (๕)
ในการดำเนินการตาม
(๓) ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงาน
เจ้าหน้าที่จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือรัฐมนตรี
แล้วแต่กรณี ก่อน
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามวรรคหนึ่ง
ให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
อำนวยความสะดวกตามสมควร
*[มาตรา
๓๕ แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๓๕ ทวิ*
ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์มีอำนาจเข้าไป
ในสถานที่ใด ๆ
ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา ๗ ทวิ
หรือมาตรา ๘ เพื่อตรวจสอบได้ และให้มีอำนาจยึดหรือ
อายัดเอกสารหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าวเพื่อ
ประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดีได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามวรรคหนึ่ง
ให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นมีหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามสมควร
*[มาตรา
๓๕ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๓๖ เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๘
ให้คณะกรรมการควบคุม
ธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจมีอำนาจ
สั่งให้บุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ หรือให้แสดงหรือส่งสมุด บัญชี
เอกสารดวงตราและ
หลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุม
มาตรา
๓๗ กรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
พนักงานควบคุมธนาคาร
พาณิชย์
และผู้ชำระบัญชีอาจได้รับเงินค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา
๓๘ ค่าใช้จ่ายและเงินค่าตอบแทนในการควบคุมหรือชำระบัญชี
ธนาคารพาณิชย์ใด ให้จ่ายจากสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์นั้น
มาตรา
๓๙* ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗ ทวิ มาตรา ๙ หรือ
มาตรา ๑๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา
๓๙ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๐* ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๘
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา
๔๐ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๑*
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่แจ้ง
แก่ผู้ถือหุ้นอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๕ สัตต
หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ
ปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งในการยื่นรายงานลับ
หรือให้คำชี้แจงตามมาตรา ๒๓
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
*[มาตรา
๔๑ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๒*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗ หรือ
มาตรา ๑๒ (๑)
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตาม
มาตรา ๕ วรรคสี่ หรือมาตรา ๖ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
*[มาตรา
๔๒ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๓*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ ฉ
หรือมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
*[มาตรา
๔๓ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๔*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี
วรรคหนึ่ง มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ มาตรา ๗ ทวิ มาตรา ๙ ทวิ
มาตรา ๑๐ มาตรา
๑๑ มาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๒ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) หรือ
(๙) มาตรา
๑๒ ตรี มาตรา ๑๒ จัตวา มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕
วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๕ ทวิ
มาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือ
คำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา ๕ ทวิ มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๗
มาตรา ๑๒ (๖) มาตรา
๑๓ ตรี มาตรา ๑๗ ทวิ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓ หรือมาตรา ๒๕
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม
ข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามมาตรา ๑๒ (๔) (ก)
หรือ (๕) มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง มาตรา
๒๒ วรรคสอง
มาตรา ๒๔ ทวิ หรือมาตรา ๒๔ ตรี
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
*[มาตรา
๔๔ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๕*
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี วรรคสอง
มาตรา ๗ ตรี หรือมาตรา ๑๕ วรรคสอง
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามมาตรา ๗ ทวิ หรือมาตรา ๗ ตรี
ต้อง
ระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
*[มาตรา
๔๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๖* ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓
มาตรา ๔๔ หรือ
มาตรา ๔๕ ถ้าเป็นกรณีการกระทำความผิดต่อเนื่อง
ให้ปรับอีกไม่เกินวันละ
สามพันบาท สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๒ หรือ มาตรา ๔๓
หรือ
ให้ปรับอีกไม่เกินวันละสองพันบาท
สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๔
หรือมาตรา ๔๕ แล้วแต่กรณี ตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
*[มาตรา
๔๖ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๖ ทวิ* ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดกระทำความผิดตาม
มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕ กรรมการของธนาคาร
พาณิชย์นั้น
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของธนาคารพาณิชย์นั้นด้วย
*[มาตรา
๔๖ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๖ ตรี* ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓
มาตรา ๔๔
มาตรา ๔๕ หรือมาตรา ๔๖ ทวิ ถ้ามิได้ฟ้องต่อศาลหรือมิได้มีการเปรียบเทียบ
ตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตรวจพบ
การกระทำความผิด หรือเกินกำหนดห้าปีนับแต่วันกระทำความผิด
เป็นอันขาด
อายุความ
*[มาตรา
๔๖ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๖ จัตวา* ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๔ ตรี
วรรคห้า มาตรา ๒๙
มาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา
๔๖ จัตวา แก้ไขโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๔๖ เบญจ*
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือ
พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา ๓๕
หรือขัดขวางมิให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์หรือ
สอบสวนและตรวจสอบตามมาตรา ๓๕ หรือให้ถ้อยคำ หรือแสดงสมุด
บัญชี เอกสาร
และหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือส่งสำเนา
สิ่งเหล่านั้นตามมาตรา ๓๕ อันเป็นเท็จ
หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา ๓๕ ทวิ
ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา
๔๒ เบญจ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๖ ฉ*
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจซึ่งสั่งตามมาตรา
๓๖ ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา
๔๖ ฉ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๖ สัตต*
ผู้ใดได้ล่วงรู้กิจการของธนาคารพาณิชย์ใดเนื่องจาก
การปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
อันเป็นกิจการที่ตามปกติ
วิสัยของธนาคารพาณิชย์จะพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย
ถ้าผู้นั้นนำไปเปิดเผยนอกจาก
ตามหน้าที่ หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือการพิจารณาคดี
ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา
๔๖ สัตต
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา
๔๖ อัฏฐ* ความผิดตามมาตรา ๔๑ มาตรา
๔๒ มาตรา ๔๓
มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ หรือมาตรา ๔๖ ทวิ
ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรี
แต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้
คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ให้มีจำนวนสามคนและ
คนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด
และผู้ต้องหาได้ชำระ
ค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว
ให้คดีนั้น
เป็นอันเลิกกัน
*[มาตรา
๔๖ อัฏฐ วรรคสองและวรรคสาม เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และวรรคหนึ่ง
แก้ไขโดยพระราชกำหนด
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๔๖ นว* ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดอย่างใด
อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑)
ในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ กรรมการหรือบุคคลใดซึ่ง
รับผิดชอบในธนาคารพาณิชย์กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามบทบัญญัติในหมวด
๑
หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ หรือหมวด ๗ ของลักษณะ ๑๒
แห่งประมวลกฎหมาย
อาญา หรือมาตรา ๔๐ มาตรา ๔๑ หรือมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติกำหนด
ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด
บริษัทจำกัด สมาคม
และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙ หรือมาตรา ๒๔๓ หรือมาตรา ๒๔๔
แห่งพระราชบัญญัติ
บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๒๑
(๒)
ในการสอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์ ผู้สอบบัญชีผู้ใดกระทำความผิด
ตามมาตรา ๒๖๙ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือมาตรา ๓๑
แห่งพระราชบัญญัติ
กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด
สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙
(๓)
ผู้ใดเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดหรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
ตาม (๑) หรือ (๒)
ให้ถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา
ในความผิดตามมาตรานี้
เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ให้พนักงาน
อัยการมีอำนาจเรียกทรัพย์สิน หรือราคา หรือค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย
แทนผู้ได้รับความเสียหายด้วย ในการนี้
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการฟ้องคดีแพ่งที่
เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดย
อนุโลม
*[มาตรา
๔๖ นว เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๔๖ ทศ*
ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานว่าบุคคลใดกระทำความ
ผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๖ นว
และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่าหากปล่อย
เนิ่นช้าไว้อาจเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
ให้ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลนั้นหรือทรัพย์สินซึ่งตาม
กฎหมายอาจถือได้ว่าเป็นของบุคคลนั้น
แต่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้เกินกว่า
หนึ่งร้อยแปดสิบวันไม่ได้
เว้นแต่ในกรณีมีการฟ้องคดีต่อศาลให้คำสั่งยึดหรือ
อายัดดังกล่าวยังคงมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น
ในกรณีมีเหตุจำเป็น
ไม่สามารถฟ้องคดีได้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
ศาลที่มีเขตอำนาจจะสั่งขยาย
ระยะเวลาออกไปอีกตามคำขอของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานของธนาคารแห่ง
ประเทศไทย
เป็นผู้ดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
การยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวล
รัษฎากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง
เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลดังกล่าวจะ
หลบหนีออกนอกราชอาณาจักรเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยร้องขอ
ให้ศาล
อาญามีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลนั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนได้
ในกรณี
ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน
เมื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือบุคคล
ที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมายแจ้งให้อธิบดีกรมตำรวจทราบ
ให้
อธิบดีกรมตำรวจมีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลนั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนเป็น
การชั่วคราวได้เป็นเวลาไม่เกินสิบห้าวันจนกว่าศาลอาญาจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของศาลอาญาหรือของอธิบดีกรมตำรวจที่สั่งตามวรรคสี่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
*[มาตรา
๔๖ ทศ เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘]
มาตรา
๔๗
ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๑)
ความในวรรคสองของมาตรา ๖ ไม่ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็น
สาขาของธนาคารต่างประเทศ
ซึ่งประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่ในวันที่พระราช
บัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๒)
ในการปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓ ให้ถือว่าสินทรัพย์
ที่ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงอยู่ในประเทศไทย
ตามชนิดที่รัฐมนตรีกำหนดเป็นเงินกองทุน
มาตรา
๔๘
ภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
บทบัญญัติมาตรา ๑๙
ไม่ใช้บังคับแก่บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งอันต้องห้ามตามมาตรา
ดังกล่าวอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับสำหรับตำแหน่งที่ดำรงอยู่นั้น
มาตรา
๔๙
ในระหว่างเวลาที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ (๑) ยังไม่ใช้บังคับ
ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐
มาตรา ๑๒ และมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช
๒๔๘๘ มาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์
มาตรา
๕๐
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ส. ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี
--------------------------------------------------------
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ ในปัจจุบัน
การธนาคารและการเศรษฐกิจได้ขยายตัวขึ้นเป็นลำดับ
จึงสมควรได้ปรับปรุง
กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ให้เหมาะสม
เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจ
และการเงินของประเทศ
ตลอดจนให้ความคุ้มครองแก่ผู้ฝากเงินกับธนาคาร
--------------------------------------------------------
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา
๒๒
บุคคลใดถือหุ้นธนาคารพาณิชย์รวมกันเกินอัตราที่
กำหนดตามมาตรา ๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้คงมีสิทธิถือหุ้นนั้นได้ต่อไป
แต่ถ้าได้จำหน่ายหุ้นนั้นไปเท่าใดก็ให้คงมีสิทธิ
ถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดได้เท่าจำนวนหุ้นที่เหลือนั้น
ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งได้รับ
มรดกในหุ้นนั้นในวันหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
บทบัญญัติมาตรา
๕ ฉ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
มิให้นำมาใช้บังคับแก่
ผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งและวรรคสอง
มาตรา
๒๓
ธนาคารพาณิชย์ใดที่จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทจำกัดตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงเป็นบริษัทจำกัดตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไปได้
และถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นได้ออกหุ้น
ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา ๕ จัตวา
และหรือมีผู้ถือหุ้นหรือกรรมการซึ่งไม่เป็น
ไปตามมาตรา ๕ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการแก้ไข
เสียให้ถูกต้องตามมาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ
แล้วแต่กรณี ภายใน
สามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไข
ดังต่อไปนี้
(๑)
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยรายโดยผู้ถือหุ้น
ดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๒)
ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยรายโดยผู้ถือหุ้น
ดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละสี่สิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๓)
ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย
โดย
ผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวน
หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
(๑) (๒) หรือ (๓) ถ้ามีเหตุ
จำเป็นและสมควร
รัฐมนตรีจะขยายระยะเวลาให้คราวละไม่เกินหกเดือน
ก็ได้
แต่เมื่อนับระยะเวลารวมกันทั้งหมดแล้วจะต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา
๒๔ ภายในห้าปี
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับธนาคาร
พาณิชย์ใดที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราช
บัญญัตินี้ใช้บังคับประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่
ถ้าธนาคารพาณิชย์นั้น
ยังมิได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการตาม
หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ออกหนังสือชี้ชวนให้ประชาชนเข้าชื่อซื้อหุ้นได้
ในการออกหนังสือชี้ชวนดังกล่าว
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยหนังสือชี้ชวน ในกรณี
เพิ่มทุนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดมาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๒)
หุ้นที่ออกในการเพิ่มทุนนั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการขาย
ให้แก่บุคคลธรรมดาซึ่งไม่เป็นผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นไม่น้อยกว่าร้อยละ
ยี่สิบห้าของจำนวนหุ้นที่ออกใหม่
และจะขายให้แต่ละคนเกินร้อยละศูนย์จุดห้า
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ได้
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามมิให้บริษัทจำกัด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ชี้ชวนประชาชนให้ซื้อหุ้นและบทบัญญัติ
ว่าด้วยการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่
มิให้นำมาใช้บังคับแก่การเพิ่มทุนตาม
มาตรานี้
ความในมาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ
ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
มาตรา
๒๕ ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ดำเนินการแก้ไขหุ้นหรือผู้ถือหุ้น
หรือกรรมการให้ถูกต้องตามมาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ
แห่ง
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาตามมาตรา ๒๓
กำหนด
หรือที่รัฐมนตรีผ่อนผันต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ถ้าเป็นการ
กระทำผิดต่อเนื่องให้ปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังกระทำ
การฝ่าฝืนอยู่
มาตรา
๒๖
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๔ ต้องระวาง
โทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา
๒๗ ความผิดตามมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖
ให้คณะกรรมการ
ตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจเปรียบเทียบได้
และให้นำมาตรา
๔๖ ตรี ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
มาตรา
๒๘
สำนักงานที่ได้ตั้งขึ้นแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศในการติดต่อกับ
บุคคลทั่วไปตามมาตรา ๗ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ถ้าประสงค์จะดำเนินการต่อไป ให้ธนาคาร
พาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศหรือผู้จัดตั้งสำนักงานนั้นแล้วแต่กรณียื่นคำขอ
รับอนุญาตให้ถูกต้องภายในเวลาสามเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา
๒๙
ธนาคารพาณิชย์ใดมีหุ้นหรือหุ้นกู้ของบริษัทจำกัดอยู่ก่อน
วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา
๑๒ (๕) หรือถือหุ้น
ของธนาคารพาณิชย์อื่นอันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา ๑๒ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้
ธนาคารพาณิชย์นั้นยื่นคำขอผ่อนผันต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ในการผ่อนผันธนาคารแห่งประเทศไทยจะ
กำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา
๓๐
ธนาคารพาณิชย์ใดให้สินเชื่อหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
หรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
แก่หรือเพื่อกรรมการหรือ
บุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่กระทำได้โดยชอบอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติ
นี้ใช้บังคับ
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา ๑๒ (๒) และ
มาตรา ๑๒ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับ
มาตรา
๓๑
อสังหาริมทรัพย์ใดที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในวันที่พระราช
บัญญัตินี้ใช้บังคับและต้องจำหน่ายไปตามมาตรา ๑๒ ตรี
แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้
ธนาคารพาณิชย์จำหน่ายเสียภายในเก้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกมาเป็น
ของธนาคารพาณิชย์หรือภายในระยะเวลาที่ได้รับการขยาย
มาตรา
๓๒
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศ
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ หรือมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัตินี้
หรือออกประกาศแล้วแต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งออก
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ไปพลางก่อน
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งออกโดยอาศัยโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓
แห่งพระราช
บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ตามวรรคหนึ่ง คำว่า เงินกองทุน
ตามประกาศดังกล่าวให้หมายความถึงเงินกองทุนตามมาตรา ๔
แห่งพระราช
บัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา
๓๓
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม
พระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ประกาศใช้บังคับมานานแล้ว
มีบทบัญญัติหลายมาตราไม่เหมาะสมกับกาลสมัย
สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข
บทบัญญัติเดิม
และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่ขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงและเป็นหลัก
ประกันแก่การประกอบการธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็น
ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการได้จากรัฐบาลนั้นเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญ
ของประเทศย่อมเป็นการสมควรที่ธนาคารพาณิชย์จะพึงมีบทบาทในการใช้
เงินทุนนั้นไปทางอำนวยประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มาก
ยิ่งขึ้น
และอีกประการหนึ่ง การธนาคารพาณิชย์นับว่าเป็นกิจการค้าขายอัน
กระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน
เป็นการสมควรที่จะให้
สาธารณชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการประกอบกิจการด้วย จึงจำเป็น
ต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.
๒๕๒๒/๓๑/๑พ/๗ มีนาคม ๒๕๒๒]
--------------------
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
พ.ศ. ๒๕๒๘
มาตรา
๑๙
ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่
พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
หากประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่และเสนอ
ขายแก่ประชาชน ก็ให้เสนอขายต่อประชาชนและออกหนังสือชี้ชวนได้
โดยให้
นำกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดเกี่ยวกับหนังสือชี้ชวนและบทกำหนดโทษ
ที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา
๒๐
ผู้ใดเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์อยู่
ในวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ซึ่งเป็นการขัดต่อมาตรา ๑๒
จัตวา (๘)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชกำหนดนี้
ให้ยื่นขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
เมื่อได้ยื่นขออนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ทำหน้าที่ต่อไปได้จนกว่า
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งไม่อนุญาต
มาตรา
๒๑
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม
พระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
ยังมีมาตรการ
ไม่เพียงพอแก่การควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์
และ
ขาดมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยแก้ไขปัญหาของธนาคารพาณิชย์หากจะ
พึงมีขึ้น
สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและ
สอดคล้องเหมาะสมกับภาวการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพื่อเป็นการคุ้มครอง
ประโยชน์ของประชาชนและก่อให้เกิดเสถียรภาพในระบบธนาคารพาณิชย์
อย่างแท้จริง
รวมทั้งเพื่อประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็น
ส่วนรวม
และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษา
ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
[รก.๒๕๒๘/๑๗๗/๑พ/๒๖
พฤศจิกายน ๒๕๒๘]
ลัดดาพร/แก้ไข
๒๔/๐๑/๔๕ |
301567 | พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2528 | พระราชกำหนด
พระราชกำหนด
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
พ.ศ. ๒๕๒๘
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๘
เป็นปีที่ ๔๐ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๕๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
มาตรา ๒[๑]
พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๕ ทวิ
บุคคลใดจะถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ใดเกินร้อยละห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้
เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ถือหุ้นเป็นส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้น
รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจผ่อนผันให้มีการถือหุ้นเป็นอย่างอื่นได้
ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
หุ้นธนาคารพาณิชย์ที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ถืออยู่
ให้นับรวมเป็นหุ้นของบุคคลตามวรรคหนึ่งด้วย
(๑)
คู่สมรสของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๒)
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๓)
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วน
(๔)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดรวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕)
บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้างหุ้นส่วนตาม
(๓) หรือ (๔) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
(๖)
บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้างหุ้นส่วนตาม
(๓) หรือ (๔) หรือบริษัทจำกัดตาม (๕) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕ เบญจ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๕ เบญจ
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย
โดย
(๑)
ผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และ
(๒)
ผู้ถือหุ้นแต่ละรายต้องถือหุ้นไม่เกินร้อยละศูนย์จุดห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
จำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดตามวรรคหนึ่ง
(๑) ไม่นับรวมจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นเป็นส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
ธนาคารพาณิชย์ใดมีผู้ถือหุ้นหรือการถือหุ้นไม่เป็นไปตามวรรคหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นขอผ่อนผันจากรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด
ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และต้องมีกรรมการเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๒
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการดังต่อไปนี้
(๑)
ลดทุนโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
(๒) ให้สินเชื่อแก่กรรมการ
หรือประกันหนี้ใด ๆ ของกรรมการหรือรับรอง รับอาวัล
หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินที่กรรมการเป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วหรือผู้สลักหลัง
(๓)
รับหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกัน หรือรับหุ้นของธนาคารพาณิชย์จากธนาคารพาณิชย์อื่นเป็นประกัน
(๔)
ซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่
(ก)
เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการให้ความเห็นชอบนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
(ข)
เป็นการได้มาจากการชำระหนี้หรือจากการประกันการให้สินเชื่อหรือจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้นจากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
(๕)
ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดเกินร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
หรือซื้อหรือมีหุ้นหรือหุ้นกู้มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นเกินร้อยละยี่สิบของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
(๖)
ซื้อหรือมีหุ้นธนาคารพาณิชย์อื่น เว้นแต่เป็นการได้มาจากการชำระหนี้หรือการประกันการให้สินเชื่อแต่ต้องจำหน่ายภายในเวลาหกเดือนนับแต่วันที่ได้มา
หรือเป็นการได้มาโดยได้รับผ่อนผันจากรัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
(๗)
จ่ายเงินหรือทรัพย์สินอื่นให้แก่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
เป็นค่านายหน้าหรือค่าตอบแทนสำหรับหรือเนื่องจากการกระทำหรือการประกอบธุรกิจใด ๆ
ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ นอกจากบำเหน็จ
เงินเดือน เงินรางวัล และเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ
(๘)
ขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์ใด ๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ารวมกันสูงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดแก่กรรมการหรือซื้อทรัพย์สินจากกรรมการ ทั้งนี้
รวมถึงบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมการ ตามมาตรา ๑๒ ทวิ ด้วย
เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(๙) กระทำการใด ๆ
อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือแก่ประโยชน์ของประชาชน
หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม
หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน
หรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจทั้งนี้
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๒ ทวิ
การให้สินเชื่อแก่หรือการประกันหนี้ใด ๆ ของบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้
หรือการรับรอง รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้เป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วหรือผู้สลักหลัง
ให้ถือว่าเป็นการให้สินเชื่อ หรือการประกัน หรือการรับรองรับอาวัล
หรือสอดเข้าแก้หน้าแก่กรรมการตามมาตรา ๑๒ (๒) ด้วย
(๑) คู่สมรสของกรรมการ
(๒) บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของกรรมการ
(๓)
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วน
(๔)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดรวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕)
บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
(๖)
บริษัทจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔)
หรือบริษัทจำกัดตาม (๕) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความใน (๘) ของมาตรา ๑๒ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(๘) เป็นผู้จัดการ รองผู้จัดการ
ผู้ช่วยผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด ซึ่งตนหรือบุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ
ถือหุ้นอยู่ เว้นแต่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่มีอำนาจลงนามผูกพันธนาคารพาณิชย์ด้วยตนเองหรือร่วมกับผู้อื่น
มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๕ ทวิ
ให้ธนาคารพาณิชย์ปิดบัญชีทุกงวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือน
ถ้าธนาคารพาณิชย์ใดมีสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้หรือที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวออกจากบัญชี
หรือกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ดังกล่าวเมื่อสิ้นงวดการบัญชีนั้น
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ปฏิบัติเป็นอย่างอื่น ในการอนุญาตนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใด
ๆ ไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๖
ภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีบัญชีให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๕
ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่แล้วตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ประกาศดังกล่าวให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ
สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้นลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
และเสนอต่อรัฐมนตรีและธนาคารแห่งประเทศไทยภายในยี่สิบเอ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ ทั้งนี้ เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
งบดุลตามวรรคหนึ่งจะต้องมีการรับรองของผู้สอบบัญชีซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้ความเห็นชอบในแต่ละปีบัญชี
และต้องมิใช่กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๖
ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนของธนาคารในต่างประเทศที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นสาขาภายในเวลาสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีบัญชีของธนาคารต่างประเทศนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุขัดข้องอันสมควร ประกาศดังกล่าวให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น
มาตรา ๑๐ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๗ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๑๗ ทวิ
เพื่อแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
หรือเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินหรือระบบสถาบันการเงิน
ให้รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ระงับการดำเนินกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวภายในระยะเวลาที่กำหนด
และในการนี้จะกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใด ๆ ไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๒
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๒
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า ธนาคารพาณิชย์ใด
(๑)
ดำรงเงินสดสำรองไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๒)
ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดเป็นเนืองนิจ
(๓)
รับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินหรือก่อภาระผูกพันโดยไม่ลงบัญชีให้ถูกต้องและครบถ้วน
หรือสร้างรายการให้สินเชื่อไม่ตรงต่อความเป็นจริง
(๔)
ให้สินเชื่อหรือลงทุนเกินอัตราที่กำหนด หรือให้สินเชื่อในลักษณะที่เล็งเห็นได้ว่าจะเรียกคืนไม่ได้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๕)
ให้สินเชื่อแก่หรือลงทุนในกิจการที่ธนาคารพาณิชย์หรือกรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
หรือให้สินเชื่อแก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นในปริมาณเกินสมควรหรือมีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดพิเศษผิดไปจากปกติ
(๖) ไม่ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี
(๗)
ไม่กันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
(๘)
กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดขึ้นเพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นกระทำการหรืองดเว้นกระทำการ
หรือแก้ไขการดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ในการนี้จะกำหนดเงื่อนไขและระยะเวลาไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๔
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๔
รัฐมนตรีมีอำนาจตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์เพื่อตรวจสอบและรายงานกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือจะมอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ก็ได้
แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ รัฐมนตรีจะตั้งหรือมอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ให้ทำการตรวจเพื่อทราบกิจการหรือทรัพย์สินของเอกชนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะที่มีหรือปรากฏอยู่ในธนาคารพาณิชย์ใด
ๆ มิได้ เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๓๕ (๓)
มาตรา ๑๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๒๔ ทวิ
และมาตรา ๒๔ ตรี แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๒๔ ทวิ
เมื่อปรากฏหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่าธนาคารพาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการดังกล่าวได้ภายในระยะเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ในการนี้จะสั่งให้เพิ่มทุนหรือลดทุนด้วยก็ได้
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่เพิ่มทุนหรือลดทุนภายในกำหนดเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งตามวรรคหนึ่ง
ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลาตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าว
ในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องให้ธนาคารพาณิชย์ใดเพิ่มทุนหรือลดทุน
เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์นั้นสามารถพยุงฐานะและการดำเนินการต่อไปได้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มทุนหรือลดทุนทันทีก็ได้โดยให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยดังกล่าวเป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ในการเพิ่มทุนหรือลดทุนตามวรรคสองหรือวรรคสาม
มิให้นำมาตรา ๑๒๒๐ มาตรา ๑๒๒๔ มาตรา ๑๒๒๕ และมาตรา ๑๒๒๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และมาตรา ๑๔๙ วรรคสอง (๒) มาตรา ๑๕๒ และมาตรา ๑๕๔ แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน
พ.ศ. ๒๕๒๑ แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับ
มาตรา ๒๔ ตรี
เมื่อปรากฏหลักฐานต่อธนาคารแห่งประเทศไทยว่าธนาคารพาณิชย์ใดมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
หรือกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยตามมาตรา
๒๔ ทวิ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถอดถอนกรรมการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ผู้เป็นต้นเหตุดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแต่งตั้งบุคคลอื่นโดยความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทนภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันถอดถอน
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ถอดถอนบุคคลตามวรรคหนึ่งหรือถอดถอนแล้วไม่แต่งตั้งบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทนตามวรรคสอง
ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งถอดถอนบุคคลดังกล่าวหรือแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคนไปดำรงตำแหน่งแทนเป็นเวลาไม่เกินสามปี
และมิให้นำความในมาตรา ๑๒ จัตวา (๘) มาใช้บังคับ
ให้ผู้ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งตามวรรคสามได้รับค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด
โดยให้จ่ายจากทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์นั้น และในระหว่างเวลาที่บุคคลดังกล่าวดำรงตำแหน่งอยู่
ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์จะมีมติเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้
บุคคลซึ่งถูกถอดถอนตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการใด
ๆ ในธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม
และต้องอำนวยความสะดวกและให้ข้อเท็จจริงแก่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งแทน
หรือตามที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์กำหนด
ให้ถือว่าคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้ถอดถอนหรือแต่งตั้งตามมาตรานี้เป็นมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น
มาตรา ๑๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๕
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๓๕ เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา
๒๔ หรือมาตรา ๒๖ ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วแต่กรณีมีอำนาจดังต่อไปนี้
(๑) สั่งให้กรรมการ
พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์ ผู้สอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์
และผู้รวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือด้วยเครื่องมืออื่นใด
มาให้ถ้อยคำ หรือส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการ
สินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารพาณิชย์
(๒)
เข้าไปในสถานที่ประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ หรือในสถานที่ซึ่งรวบรวมหรือประมวลข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือด้วยเครื่องมืออื่นใด
ในเวลาทำการของสถานที่นั้น เพื่อตรวจสอบกิจการ สินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารพาณิชย์
รวมทั้งเอกสาร หลักฐานหรือข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์
(๓)
เข้าไปตรวจสอบฐานะหรือการดำเนินงานในสถานที่ประกอบธุรกิจของลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์
รวมทั้งสั่งให้ลูกหนี้หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชี
เอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องได้ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าธนาคารพาณิชย์กระทำการตามมาตรา
๒๒ (๓) (๔) หรือ (๕)
ในการดำเนินการตาม (๓)
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี
ก่อน
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง
ให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
มาตรา ๑๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๔
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๔๔
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี วรรคหนึ่ง มาตรา ๕ เบญจ
มาตรา ๕ ฉ มาตรา ๗ ทวิ มาตรา ๙ ทวิ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๒ (๒)
(๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) หรือ (๙) มาตรา ๑๒ ตรี มาตรา ๑๒ จัตวา มาตรา ๑๓มาตรา ๑๔
มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา
๕ ทวิ มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๗ มาตรา ๑๒ (๖) มาตรา ๑๓ ตรี มาตรา ๑๗ ทวิ มาตรา ๒๑
มาตรา ๒๓ หรือมาตรา ๒๕ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยตามมาตรา
๑๒ (๔) (ก) หรือ (๕) มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ ทวิ มาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๒ วรรคสอง
มาตรา ๒๔ ทวิ หรือมาตรา ๒๔ ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๑๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๖ จัตวา
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๔๖ จัตวา
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๔ ตรี วรรคห้า มาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๗ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๔๖ อัฏฐ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๔๖ อัฏฐ
ความผิดตามมาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖
หรือมาตรา ๔๖ ทวิ ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้
มาตรา ๑๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๔๖ นว และมาตรา
๔๖ ทศ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๔๖ นว
ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑)
ในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ กรรมการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในธนาคารพาณิชย์กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามบทบัญญัติในหมวด
๑ หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ หรือหมวด ๗ ของลักษณะ ๑๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือมาตรา
๔๐ มาตรา ๔๑ หรือมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙ หรือมาตรา ๒๔๓ หรือมาตรา
๒๔๔ แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๒๑
(๒)
ในการสอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์ ผู้สอบบัญชีผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๒๖๙
แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัดสมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙
(๓)
ผู้ใดเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดหรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม (๑) หรือ
(๒)
ให้ถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ในความผิดตามมาตรานี้
เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ให้พนักงานอัยการมีอำนาจเรียกทรัพย์สิน
หรือราคา หรือค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแทนผู้ได้รับความเสียหายด้วย ในการนี้
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๔๖ ทศ
ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๖ นว
และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่าหากปล่อยเนิ่นช้าไว้อาจเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลนั้นหรือทรัพย์สินซึ่งตามกฎหมายอาจถือได้ว่าเป็นของบุคคลนั้น
แต่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้เกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันไม่ได้
เว้นแต่ในกรณีมีการฟ้องคดีต่อศาลให้คำสั่งยึดหรืออายัดดังกล่าวยังคงมีผลต่อไปจนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น
ในกรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถฟ้องคดีได้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
ศาลที่มีเขตอำนาจจะสั่งขยายระยะเวลาออกไปอีกตามคำขอของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็นผู้ดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
การยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง
ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง
เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลดังกล่าวจะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยร้องขอ
ให้ศาลอาญามีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลนั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนได้ ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน
เมื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือบุคคลที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมายแจ้งให้อธิบดีกรมตำรวจทราบ
ให้อธิบดีกรมตำรวจมีอำนาจสั่งห้ามมิให้บุคคลนั้นออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวได้เป็นเวลาไม่เกินสิบห้าวันจนกว่าศาลอาญาจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของศาลอาญาหรือของอธิบดีกรมตำรวจที่สั่งตามวรรคสี่ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
และปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท
มาตรา ๑๙
ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
หากประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่และเสนอขายแก่ประชาชน
ก็ให้เสนอขายต่อประชาชนและออกหนังสือชี้ชวนได้ โดยให้นำกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดเกี่ยวกับหนังสือชี้ชวนและบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๒๐
ผู้ใดเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์อยู่ในวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
ซึ่งเป็นการขัดต่อมาตรา ๑๒ จัตวา (๘)แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้
ให้ยื่นขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
เมื่อได้ยื่นขออนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้ทำหน้าที่ต่อไปได้จนกว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งไม่อนุญาต
มาตรา ๒๑
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้
คือ โดยที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ยังมีมาตรการไม่เพียงพอแก่การควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์
และขาดมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยแก้ไขปัญหาของธนาคารพาณิชย์หากจะพึงมีขึ้น
สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องเหมาะสมกับภาวการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนและก่อให้เกิดเสถียรภาพในระบบธนาคารพาณิชย์อย่างแท้จริง
รวมทั้งเพื่อประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นส่วนรวม
และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
สุนันทา/แก้ไข
๗/๑๒/๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
[๑] รก.๒๕๒๘/๑๗๗/๑พ/๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ |
313513 | พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 (Update ณ วันที่ 07/03/2522) | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
------
ภูมิพลอดุลยเดช
ป.ร.
ให้ไว้
ณ วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๕
เป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการ
โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ
และยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.๒๕๐๕
มาตรา ๒*
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก.๒๕๐๕/๓๙/๑พ/๓๐ เมษายน ๒๕๐๕]
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๘๘
มาตรา ๔* ในพระราชบัญญัตินี้
การธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า
การประกอบธุรกิจประเภท
รับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
และ
ใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น (ก)
ให้สินเชื่อ (ข) ซื้อขายตั๋วแลกเงิน
หรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด (ค)
ซื้อขายเงินปริวรรตต่างประเทศ
ธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า ธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการ
ธนาคารพาณิชย์
และหมายความรวมถึงสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้
ประกอบการธนาคารพาณิชย์ด้วย
บริษัทมหาชนจำกัด หมายความว่า
บริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมาย
ว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
บริษัทจำกัด
หมายความรวมถึงบริษัทมหาชนจำกัดด้วย
เงินกองทุน หมายความว่า (๑) ทุนชำระแล้วซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำ
มูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับ (๒) ทุนสำรอง (๓) เงินสำรองที่ได้จัดสรร
จากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น
หรือตามข้อบังคับ
ของธนาคารพาณิชย์
แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และ
เงินสำรองเพื่อการชำระหนี้ และ (๔) กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการ
จัดสรรแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อหักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว
ให้สินเชื่อ หมายความว่า ให้กู้ยืมเงิน ซื้อ ซื้อลด รับช่วงซื้อ
ลดตั๋วเงิน เป็นเจ้าหนี้
เนื่องจากได้จ่ายหรือสั่งให้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของ
ผู้เคยค้า หรือเป็นเจ้าหนี้เนื่องจากได้จ่ายเงินตามภาระผูกพันตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
*[มาตรา ๔
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕* ภายใต้บังคับมาตรา ๕
จัตวา และมาตรา ๕ เบญจ ธนาคาร
พาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งขึ้นได้ก็แต่ในรูปบริษัทมหาชน
จำกัดและโดยได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด และจะดำเนินการ
เพื่อจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัดได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
เมื่อได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว ให้บริษัทมหาชนจำกัดนั้น
แจ้งการจดทะเบียนเพื่อขอรับใบอนุญาต
ในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง และการอนุญาตตามวรรคสาม
รัฐมนตรีจะกำหนดเป็นไปตามที่เห็นสมควรก็ได้
*[มาตรา ๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒ ]
มาตรา ๕ ทวิ
บุคคลใดจะถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ใดเกินอัตราร้อยละห้า
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้
หุ้นธนาคารพาณิชย์ที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ถืออยู่ให้นับรวม
เป็นหุ้นของบุคคลตามวรรคหนึ่งด้วย
(๑) คู่สมรสของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๒) บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๓) ห้างหุ้นส่วนสามัญที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วน
(๔) ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด
รวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
หรือ
(๕) บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒)
หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวน
หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ถือหุ้นที่เป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
*[มาตรา ๕ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ ตรี*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ใดจำหน่ายหุ้นของธนาคารพาณิชย์
นั้นแก่บุคคลใดซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดตามมาตรา
๕ ทวิ
ทุกครั้งที่มีการชี้ชวนให้เข้าชื่อซื้อหุ้น ให้ธนาคารพาณิชย์ระบุจำนวนหุ้น
ที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะถือหุ้นได้ทั้งสิ้นโดยชอบด้วยมาตรา ๕
ทวิ ไว้ให้ทราบ
ในคำชี้ชวน
*[มาตรา ๕ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ จัตวา*
หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารพาณิชย์
ต้องเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อผู้ถือ มีมูลค่าของหุ้นไม่เกินหุ้นละหนึ่งร้อยบาทและข้อบังคับของ
ธนาคารพาณิชย์ต้องไม่มีข้อจำกัดในการโอนหุ้น
เว้นแต่เพื่อเป็นการปฏิบัติตาม
มาตรา ๕ ทวิ หรือมาตรา ๕ เบญจ
หรือตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
*[มาตรา ๕ จัตวา เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ เบญจ*
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา
ไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย
โดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวน
ไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และแต่ละราย
ต้องถือหุ้นไม่เกินร้อยละศูนย์จุดห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ธนาคารพาณิชย์ใดมีผู้ถือหุ้นและหรือการถือหุ้นไม่เป็นไปตามวรรคหนึ่ง
ในขณะใดขณะหนึ่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นขอผ่อนผันจากรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการ
แก้ไขให้ถูกต้องภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่ไม่ต่ำกว่า
สามในสี่ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และต้องมีกรรมการเป็นบุคคล
ผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ
ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
*[มาตรา ๕ เบญจ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ ฉ*
เมื่อปรากฏว่าบุคคลใดได้หุ้นของธนาคารพาณิชย์ใดมา
และการได้มานั้นเป็นเหตุให้ถือหุ้นเกินจำนวนที่จะถือได้ตามมาตรา
๕ ทวิ บุคคลนั้น
จะยกเอาการถือหุ้นในส่วนที่เกินจำนวนดังกล่าวขึ้นใช้ยันต่อธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้
และธนาคารพาณิชย์นั้นจะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดให้แก่บุคคลนั้นหรือ
ให้บุคคลนั้นออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมของผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นส่วนที่เกินมิได้
*[มาตรา ๕ ฉ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ สัตต*
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ มาตรา ๕
เบญจ และมาตรา ๕ ฉ
ให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นทุกคราว
ก่อนจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใด และก่อนการประชุมผู้ถือหุ้น
แล้วแจ้งผล
การตรวจสอบต่อธนาคารแห่งประเทศไทยตามรายการและภายในเวลาที่ธนาคาร
แห่งประเทศไทยกำหนด
และในกรณีที่พบว่าผู้ถือหุ้นรายใดถือหุ้นเกินจำนวนที่กำหนด
ในมาตรา ๕ ทวิ
ให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งให้ผู้นั้นทราบเพื่อดำเนินการจำหน่ายหุ้น
ส่วนที่เกินนั้นเสีย
*[มาตรา ๕ สัตต เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๕ อัฏฐ*
บทบัญญัติแห่งมาตรา ๕ ทวิ มาตรา ๕ ตรี มาตรา ๕
จัตวา มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ และมาตรา ๕ สัตต
มิให้นำมาใช้บังคับ
แก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ
*[มาตรา ๕ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๖*
การประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยตั้งเป็นสาขาของ
ธนาคารที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
ในการอนุญาตรัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยตามจำนวน ชนิด
วิธีการและเงื่อนไข
ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามวรรคสองต้องจัดหาด้วย (๑) เงินที่นำเข้ามา
จากสำนักงานใหญ่และหรือสาขาอื่นนอกประเทศไทยของธนาคารต่างประเทศนั้น
(๒) เงินสำรองต่าง ๆ
แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์
และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้หรือ (๓) เงินกำไรสุทธิแต่ละงวดการบัญชี
ของสาขาอันได้โอนเป็นส่วนของสำนักงานใหญ่แล้วและไม่ต้องส่งออก ทั้งนี้
เมื่อหักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว
ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าสินทรัพย์ตามวรรคสองเป็น
เงินกองทุน
*[มาตรา ๖ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๗
ธนาคารพาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับ
อนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อาจเปิดสาขาได้
แต่ต้องได้รับอนุญาตจาก
รัฐมนตรี คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
ในการนี้รัฐมนตรีจะ
อนุญาตโดยมีเงื่อนไขก็ได้
มาตรา ๗ ทวิ* ผู้ใดจะกระทำการแทนธนาคารต่างประเทศโดยมี
สำนักงานติดต่อกับบุคคลทั่วไปในราชอาณาจักร
หรือธนาคารพาณิชย์ใดนอกจาก
สาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งสำนักงานเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์
ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร
ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๗ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๗ ตรี*
เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตให้ตั้งสำนักงานใหญ่
หรือสำนักงานสาขา ณ ที่ใดแล้ว จะย้ายสำนักงานนั้นไม่ได้
เว้นแต่จะได้รับ
อนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย
จะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๗ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๘
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์
มาตรา ๙
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อ
ในธุรกิจว่า ธนาคาร หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๙ ทวิ*
นอกจากการธนาคารพาณิชย์แล้ว ธนาคารพาณิชย์
อาจกระทำธุรกิจที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็น
ประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำ เช่น
การเรียกเก็บเงินตามตั๋วเงิน การรับอาวัลตั๋วเงิน
การรับรองตั๋วเงิน
การออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือการค้ำประกันหรือธุรกิจทำนอง
เดียวกันด้วยก็ได้ เมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
แต่จะประกอบการค้า
หรือธุรกิจอื่นใดมิได้
*[มาตรา ๙ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๐*
ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับ
(๑) สินทรัพย์ทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดนั้นจะต่ำกว่าร้อยละห้าหรือเกิน
ร้อยละสิบห้าไม่ได้
(๒) สินทรัพย์แต่ละประเภทไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
(๓) จำนวนเงินที่รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟ
เครดิตที่ธนาคารพาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน
ค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
หรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ
หลายอย่างรวมกัน
ไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วย
ความเห็นชอบของรัฐมนตรี
สินทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) ไม่รวมเงินสด เงินฝากที่
ธนาคารแห่งประเทศไทย
เงินฝากที่ธนาคารอื่นในหรือนอกราชอาณาจักร
หลักทรัพย์รัฐบาลไทย
และสินทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วย
ความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราตามวรรคหนึ่ง (๒) หรือ (๓) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะ
กำหนดหรือไม่กำหนดก็ได้
และจะกำหนดเฉพาะประเภทใดประเภทหนึ่งก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถ้ามีผล
เป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้สูงขึ้น
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วัน
ประกาศมิได้
*[มาตรา ๑๐ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑*
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินสดสำรองเป็นอัตราส่วน
กับเงินฝาก และหรือเงินกู้ยืมตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ ทวิ
ไม่ต่ำกว่า
อัตราส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราส่วนที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า และ
ไม่เกินร้อยละห้าสิบของเงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืมแล้วแต่กรณี และจะกำหนด
ให้เป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม
ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือ
หลายประเภทรวมกันหรือแยกกันก็ได้
เพื่อประโยชน์ในการดำรงเงินสดสำรองตามวรรคหนึ่ง ธนาคาร
แห่งประเทศไทยจะกำหนดให้ถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทยเป็นส่วนหนึ่งของ
เงินสดสำรองที่พึงดำรงนั้นก็ได้
*[มาตรา ๑๑ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ทวิ*
เงินฝากและหรือเงินกู้ยืมซึ่งธนาคารพาณิชย์จะต้อง
ดำรงเงินสดสำรองให้ได้อัตราส่วน ได้แก่เงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืม ดังต่อไปนี้
(๑) ยอดรวมเงินฝากทั้งหมด
(๒) เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
(๓) เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
(๔) ยอดรวมเงินกู้ยืมทั้งหมด
(๕) เงินกู้ยืมแต่ละประเภท
การคำนวณยอดเงินฝากหรือเงินกู้ยืมตามวรรคหนึ่ง ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีจะกำหนดให้คำนวณรวมกับยอดเงิน
ให้เบิกเกินบัญชีที่ยังไม่ได้จ่ายไป
โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินฝากหรือเงิน
กู้ยืมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
*[มาตรา ๑๑ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามที่
ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ จัตวา เป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝาก
และหรือยอดเงิน
กู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท
ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าและไม่เกิน
ร้อยละห้าสิบของยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท
แล้วแต่กรณี
การกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามวรรคหนึ่ง ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยจะกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องแต่เพียงบางประเภทหรือ
ทุกประเภทก็ได้
และจะกำหนดอัตราส่วนของแต่ละประเภทในอัตราใดก็ได้
*[มาตรา ๑๑ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ จัตวา*
สินทรัพย์สภาพคล่องได้แก่
(๑) เงินสด
(๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓) เงินฝากสุทธิที่ธนาคารพาณิชย์อื่น
(๔) หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่ปราศจากภาระผูกพัน
(๕) หุ้นกู้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
และปราศจากภาระผูกพัน
(๖) สินทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดด้วยความเห็นชอบ
ของรัฐมนตรี
*[มาตรา ๑๑ จัตวา เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ เบญจ*
การดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑ ให้ได้
อัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม
และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตาม
มาตรา ๑๑ ตรี
ให้ได้อัตราส่วนกับยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืม แล้วแต่
กรณี ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑ ทวิ วรรคสอง และมาตรา ๑๑ ตรี
วรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และถ้ามีผลเป็นการเพิ่มอัตราส่วน
เงินสดสำรองและอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่
วันประกาศมิได้
*[มาตรา ๑๑ เบญจ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๑ ฉ*
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพ
ของเงินตรา
รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสดสำรองพิเศษ
ไม่ต่ำกว่าอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต่างหากจากการ
ดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑
การกำหนดอัตราตามวรรคหนึ่ง ให้กำหนดเป็นอัตราส่วนกับเงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืมตามมาตรา ๑๑ ทวิ
ทั้งหมดหรือแต่ละประเภทเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้น
จากยอดเงินดังกล่าวเมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่ง
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๑ ฉ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๒*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการดังต่อไปนี้
(๑) ลดทุนโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
(๒) ให้สินเชื่อแก่กรรมการหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกัน
การขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงินของกรรมการ
(๓) รับหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกันการให้สินเชื่อหรือรับหุ้น
ของธนาคารพาณิชย์
จากธนาคารพาณิชย์อื่นเป็นประกันการให้สินเชื่อ
(๔) ซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่
(ก)
เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงาน
และลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่ง
ประเทศไทยในการให้ความเห็นชอบธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไข
ไว้ด้วยก็ได้ หรือ
(ข)
เป็นการได้มาจากการชำระหนี้ หรือจากการประกันการ
ให้สินเชื่อ หรือจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้นจาก
การขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
(๕) ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดเกินร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
หรือซื้อหรือมีหุ้นหรือหุ้นกู้มีมูลค่า
หุ้นรวมกันทั้งสิ้นเกินร้อยละยี่สิบของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น ทั้งนี้
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยในการอนุญาตธนาคาร
แห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
(๖) ซื้อหรือมีหุ้นธนาคารพาณิชย์อื่น เว้นแต่จะได้มาจากการชำระหนี้
หรือการประกันการให้สินเชื่อ
แต่ต้องจำหน่ายภายในเวลาหกเดือนนับแต่วันที่ได้มา
(๗) จ่ายเงินหรือทรัพย์สินอื่นให้แก่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้าง
ของธนาคารพาณิชย์นั้น
เป็นค่านายหน้าหรือค่าตอบแทนสำหรับหรือเนื่องจาก
การกระทำหรือการประกอบธุรกิจใด ๆ ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ นอกจาก
บำเหน็จ เงินเดือน เงินรางวัล
และเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ
(๘) ขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์ใด ๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ารวมกัน
สูงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดแก่กรรมการ
หรือซื้อทรัพย์สินจาก
กรรมการ
ทั้งนี้ เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการ และได้รายงาน
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบแล้ว หรือ
(๙) กระทำการใด ๆ ที่มีลักษณะเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในระบบ
ธนาคารหรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ตามที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี และประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๑ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๒ ทวิ*
การให้สินเชื่อหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือ
ค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
แก่หรือเพื่อบุคคลหรือห้างหุ้นส่วน
ดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นการให้สินเชื่อหรือค้ำประกันดังกล่าวแก่หรือเพื่อกรรมการ
ตามมาตรา ๑๒ (๒) ด้วย
(๑) คู่สมรสของกรรมการ
(๒) บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของกรรมการ
(๓) ห้างหุ้นส่วนสามัญที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็น
หุ้นส่วน
(๔) ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็น
หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด
รวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕) บริษัทจำกัดที่กรรมการและหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือ
ห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ (๔)
ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้น
ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
*[มาตรา ๑๒ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๒ ตรี*
ธนาคารพาณิชย์ต้องจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่ตกเป็นของ
ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๑๒ (๔) (ข)
ภายในห้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์
นั้นตกเป็นของธนาคารพาณิชย์
เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะขยายระยะเวลา
ให้หรือให้ความเห็นชอบเพื่อใช้เป็นสถานที่ตามมาตรา ๑๒ (๔)
(ก)
*[มาตรา ๑๒ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๒ จัตวา*
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งหรือยอมให้บุคคลซึ่งมี
คุณสมบัติหรือลักษณะดังต่อไปนี้เป็นหรือทำหน้าที่กรรมการ
ผู้จัดการ รองผู้จัดการ
ผู้ช่วยผู้จัดการ หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์
(๑) เป็นบุคคลล้มละลาย
(๒) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิด
เกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต
(๓) เคยถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกจากราชการ หรือองค์การหรือ
หน่วยงานอื่นของรัฐ ฐานทุจริตต่อหน้าที่
(๔) เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการของ
ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากธนาคาร
แห่งประเทศไทย
(๕) ถูกถอดถอนจากธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีตาม
มาตรา ๒๕
(๖) เป็นข้าราชการการเมือง
(๗) เป็นข้าราชการซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมธนาคารพาณิชย์ หรือ
พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย
เว้นแต่เป็นกรณีของธนาคารพาณิชย์ที่เป็น
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
หรือเป็นกรณีที่ได้รับความ
เห็นชอบจากรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์
(๘) เป็นผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนหรือ
บริษัทจำกัด ซึ่งตนหรือบุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ ถือหุ้นอยู่
เว้นแต่จะเป็นกรรมการ
หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์
*[มาตรา ๑๒ จัตวา เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๓* ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์
(๑) ให้สินเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันแก่บุคคลใด
บุคคลหนึ่ง
เมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่งเป็นจำนวนเงินเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุน
ตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
(๒) รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน
ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่
ธนาคารพาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน
หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
หรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือหลายอย่างรวมกัน เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
เมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่ง เป็น
จำนวนเงินเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
ทั้งนี้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตามหลักเกณฑ์
ที่รัฐมนตรีกำหนด
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไข
ให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
อัตราตามวรรคหนึ่ง (๒) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดหรือไม่ก็ได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง (๑) หรือ (๒) ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้ต่ำลง
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่
วันประกาศมิได้
ให้นำความในมาตรา ๑๒ ทวิ มาใช้บังคับแก่การกระทำตามวรรคหนึ่ง
(๑) และ (๒) ด้วย โดยอนุโลม
*[มาตรา ๑๓ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๓ ทวิ*
บทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๓ ไม่ให้ใช้บังคับแก่กรณีที่
ธนาคารพาณิชย์
(๑) ให้กู้ยืมเงินโดยการซื้อหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์อื่นที่
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒) ให้กู้ยืมเงินโดยมีประกันด้วยหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์
หรือทรัพย์สินอื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้
เฉพาะในส่วนที่
ไม่เกินมูลค่าแห่งหลักทรัพย์
หรือทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นได้ตีราคารับไว้
เป็นประกัน
(๓) ให้สินเชื่อตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด หรือ
(๔) รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคาร
พาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน
หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงิน หรือค้ำประกัน
การขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน ทั้งนี้
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๓ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๓ ตรี*
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศหรือเพื่อแก้ไข
ภาวะเศรษฐกิจ รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดการดังต่อไปนี้ได้ตามที่ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยเสนอ
(๑) ให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการประเภทใด ๆ ไม่น้อยกว่า
อัตราที่กำหนด
(๒) ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการใด ๆ เพิ่มขึ้นหรือ
เพิ่มขึ้นเกินอัตราที่กำหนด
การกำหนดตาม (๑) ทุกครั้งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดตาม (๑)
รวมกันทั้งสิ้นทุกประเภทของกิจการต้องไม่เกินร้อยละ
ยี่สิบของยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในวันสิ้นปีก่อนหน้านั้น
การกำหนดตาม (๒) ให้กำหนดเป็นร้อยละของยอดเงินให้สินเชื่อ
ในแต่ละกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะกำหนด
หลักเกณฑ์เงื่อนไขและระยะเวลาเพื่อปฏิบัติการไว้ด้วยก็ได้
*[มาตรา ๑๓ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๔*
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดให้ธนาคาร
พาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑) ดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์อาจจ่ายได้
(๒) ดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๓) ค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๔) เงินมัดจำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
(๕) หลักประกันเป็นทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
บรรดาเงิน ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่นใดที่อาจกำหนดเป็นเงินได้ ที่ผู้ฝากเงิน
หรือบุคคลอื่นได้รับจากธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
เนื่องจากการฝากเงินหรือที่ธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคาร
พาณิชย์นั้นได้รับเนื่องจากการประกอบธุรกิจนั้นของธนาคารพาณิชย์
ให้ถือว่า
เป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลด หรือค่าบริการตามความใน (๑) หรือ
(๒) หรือ (๓)
แล้วแต่กรณี
เว้นแต่ค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อที่ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยกำหนดตาม (๓)
ไม่ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคาร
พาณิชย์อาจเรียกได้ตาม (๒)
การกำหนดตามมาตรานี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี และให้
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
*[มาตรา ๑๔ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๕*
ให้ธนาคารพาณิชย์จดแจ้งบัญชีแสดงหนี้สินและสินทรัพย์
ให้ครบถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง
และประกาศรายการย่อตามแบบที่ธนาคาร
แห่งประเทศไทยกำหนดโดยแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ในวันทำงานวันสุดท้าย
ของทุกเดือน หรือในวันอื่นที่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศตามวรรคหนึ่งให้เสนอต่อธนาคารแห่งประเทศไทยหนึ่งฉบับ
และให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ
สำนักงานภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป
และให้ลงในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับด้วย
เว้นแต่ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น
*[มาตรา ๑๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๕ ทวิ*
เมื่อสิ้นงวดการบัญชีใด ถ้าธนาคารพาณิชย์ใดมี
สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นตัดสินทรัพย์ดังกล่าวออกจากบัญชีเมื่อสิ้นงวดการบัญชีนั้น
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ปฏิบัติเป็นอย่างอื่น
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ
ให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ถ้านำสินทรัพย์
ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้ตัดออกจากบัญชีมาหักออกจากเงิน
กองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้นแล้ว
หากปรากฏว่าเงินกองทุนที่คงเหลือมีจำนวน
ต่ำกว่าเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามมาตรา ๑๐ (๑)
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย
มีอำนาจกำหนดมาตรการใด ๆ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถือปฏิบัติจนกว่าจะได้
ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นหมดสิ้นไป
*[มาตรา ๑๕ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๖*
ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๕ ประกาศงบดุลและ
บัญชีกำไรขาดทุนภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีธุรกิจของธนาคารพาณิชย์และก่อน
วันประชุมใหญ่ งบดุลนั้นจะต้องมีการรับรองของผู้สอบบัญชี
ผู้สอบบัญชีนั้นต้อง
เป็นผู้ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบด้วยและต้องมิใช่กรรมการ
พนักงาน
หรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๖ ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน
ของธนาคารในต่างประเทศที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นสาขาภายในเวลาสี่เดือน
นับแต่วันสิ้นปีธุรกิจของธนาคารต่างประเทศนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุ
ขัดข้องอันสมควร
ประกาศตามมาตรานี้ให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน
*[มาตรา ๑๖ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๗*
ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดทำการตามเวลาและหยุดทำการ
ตามวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการ
หรือหยุดทำการในเวลาหรือวันอื่นจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาต
ดังกล่าวธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศเวลาทำการและวันหยุดทำการดังกล่าวไว้
ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน
*[มาตรา ๑๗ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๑๘ ธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน
ให้ธนาคารพาณิชย์
นั้นแจ้งให้รัฐมนตรีทราบทันที และห้ามมิให้ทำกิจการใด ๆ
เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
เป็นหนังสือจากรัฐมนตรีแล้วให้รายงานโดยละเอียดแสดงเหตุที่ต้องหยุดทำการ
จ่ายเงินภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่หยุดทำการจ่ายเงิน
มาตรา ๑๙
ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคาร
พาณิชย์ใดเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคารพาณิชย์อื่นอีกในเวลา
เดียวกัน
ทั้งนี้เว้นแต่ตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย หรือตำแหน่งที่ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติ
หรือให้ความเห็นเกี่ยวแก่การดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๒๐
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๕
มาตรา ๖ หรือมาตรา ๗
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งให้เลิก
สาขาตามที่ได้อนุญาตไปแล้ว แล้วแต่กรณี
หรือจะสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นก็ได้
แต่ถ้าเห็นสมควร รัฐมนตรีจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติการเพื่อแก้ไขให้เป็นไป
ตามเงื่อนไขเสียก่อนภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้
มาตรา ๒๑
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๐ รัฐมนตรีมีอำนาจสั่ง
ธนาคารพาณิชย์นั้นมิให้แจกหรือจำหน่ายเงินกำไรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
โดยให้นำ
เงินกำไรนั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปเพิ่มทุนสำรอง
หรือไปเพิ่มสินทรัพย์ที่ต้องดำรง
ตามมาตรา ๖ แล้วแต่กรณี
และรัฐมนตรีจะสั่งห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์นั้นให้กู้ยืมหรือ
ลงทุน หรือให้ทำได้ภายใต้เงื่อนไขใด ๆ
จนกว่าธนาคารพาณิชย์นั้นจะปฏิบัติถูกต้องด้วยก็ได้
มาตรา ๒๒
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๑ เป็นเนืองนิจ รัฐมนตรี
มีอำนาจสั่งห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์นั้นให้กู้ยืมหรือลงทุน
หรือให้ทำได้ภายใต้
เงื่อนไขใด ๆ
จนกว่าธนาคารพาณิชย์นั้นจะปฏิบัติถูกต้องด้วยก็ได้
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนคำสั่งของรัฐมนตรีตามวรรคก่อนรัฐมนตรีจะสั่ง
ควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นก็ได้
มาตรา ๒๓ รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ยื่นรายงานลับมี
รายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
ทั้งนี้จะให้ยื่นตามระยะเวลาหรือเป็นครั้งคราวและจะให้
ทำคำชี้แจงข้อความเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานนั้นก็ได้
รายงานลับและ
คำชี้แจงนี้ให้ยื่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๔
รัฐมนตรีมีอำนาจตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์เพื่อตรวจสอบ
และรายงานกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือจะมอบอำนาจให้ธนาคาร
แห่งประเทศไทยตั้งพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ตรวจการธนาคาร
พาณิชย์ก็ได้ แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ
รัฐมนตรีจะตั้งหรือมอบอำนาจให้ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ให้ทำการตรวจเพื่อทราบกิจการหรือ
ทรัพย์สินของเอกชนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะที่มีหรือปรากฏอยู่ในธนาคารพาณิชย์
ใด ๆ มิได้
มาตรา ๒๕*
เมื่อรัฐมนตรีได้รับรายงานการตรวจสอบของผู้ตรวจการ
ธนาคารพาณิชย์และเห็นว่าฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใดอยู่ใน
ลักษณะอันจะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์ของประชาชน
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
แต่ในกรณี
ที่ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขการบริหารงานรวมทั้งย้ายหรือถอดถอนกรรมการหรือ
พนักงานของธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด
รัฐมนตรีจะยังไม่สั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นหรือยังไม่สั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
ในการนี้
รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของ
ธนาคารพาณิชย์นั้นให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
*[มาตรา ๒๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๒๖
เมื่อปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน ให้
รัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลที่รัฐมนตรีเห็นสมควรเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสอบสวน
พฤติการณ์
และเมื่อได้รับรายงานการสอบสวนจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว รัฐมนตรี
มีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นได้
มาตรา ๒๗
ในการสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด ให้รัฐมนตรีแจ้งคำสั่งเป็น
หนังสือให้ธนาคารพาณิชย์นั้นทราบ
และปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน
ของธนาคารพาณิชย์นั้น
กับทั้งให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์
รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๒๘
ในการควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด ให้รัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการ
ควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้น ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคนและกรรมการอื่น
อีกไม่น้อยกว่าสองคน
คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่จัดดำเนินกิจการของธนาคาร
พาณิชย์นั้นได้ทุกประการ
และให้ประธานกรรมการเป็นผู้แทนของธนาคารพาณิชย์นั้น
ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้ง
กรรมการคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งและกำหนดอำนาจและหน้าที่พนักงานควบคุม
ธนาคารพาณิชย์คนหนึ่งหรือหลายคนให้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
การตั้งคณะกรรมการและการแต่งตั้งกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทนประธาน
กรรมการให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๙
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด ห้าม
มิให้กรรมการและพนักงานของธนาคารพาณิชย์กระทำกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้น
อีกต่อไป
เว้นแต่จะได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๓๐ เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด
ให้
กรรมการ
พนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นจัดการอันสมควรเพื่อปกปัก
รักษาทรัพย์และประโยชน์ของธนาคารพาณิชย์ไว้
และรีบรายงานกิจการและมอบ
สินทรัพย์ พร้อมด้วยสมุดบัญชี เอกสาร ดวงตรา
และสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและ
สินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ให้แก่คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์โดยมิชักช้า
มาตรา ๓๑
เมื่อธนาคารพาณิชย์ใดถูกควบคุม ให้ผู้ครอบครองทรัพย์สิน
หรือเอกสารของธนาคารพาณิชย์นั้นแจ้งการครอบครองให้คณะกรรมการควบคุม
ธนาคารพาณิชย์ทราบโดยมิชักช้า
มาตรา ๓๒
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า ธนาคาร
พาณิชย์ที่ถูกควบคุมสมควรจะดำเนินกิจการของตนเองได้
ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ
ถ้ารัฐมนตรีเห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกการควบคุม
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและ
ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๓
เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า ธนาคาร
พาณิชย์ที่ถูกควบคุมไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้
ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ ถ้า
รัฐมนตรีเห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกธนาคารพาณิชย์นั้น
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๔
เมื่อรัฐมนตรีสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งเลิกธนาคารพาณิชย์
ให้มีการชำระบัญชี
และให้รัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีธนาคารพาณิชย์นั้น
การชำระบัญชีให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ว่าด้วยการชำระบัญชีบริษัทจำกัด เว้นแต่การใดที่เป็นอำนาจและหน้าที่ของ
ที่ประชุมใหญ่ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของรัฐมนตรี
มาตรา ๓๕*
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๖ ให้
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ แล้วแต่กรณี
มีอำนาจสั่ง
ให้กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์ และผู้สอบบัญชีของ
ธนาคารพาณิชย์มาให้ถ้อยคำ หรือส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชี
เอกสาร หรือ
หลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
และให้มี
อำนาจเข้าตรวจกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ในระหว่างเวลา
ทำงานปกติ
*[มาตรา ๓๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๓๕ ทวิ*
ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์มีอำนาจเข้าไป
ในสถานที่ใด ๆ
ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดตาม
มาตรา ๗ ทวิ หรือมาตรา ๘ เพื่อตรวจสอบได้
และให้มีอำนาจยึดหรือ
อายัดเอกสารหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าวเพื่อ
ประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดีได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามวรรคหนึ่ง
ให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นมีหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามสมควร
*[มาตรา ๓๕ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๓๖ เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา
๒๘ ให้คณะกรรมการควบคุม
ธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจมีอำนาจ
สั่งให้บุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ หรือให้แสดงหรือส่งสมุด บัญชี
เอกสาร
ดวงตราและหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
ที่ถูกควบคุม
มาตรา ๓๗
กรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์ พนักงานควบคุมธนาคาร
พาณิชย์
และผู้ชำระบัญชีอาจได้รับเงินค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๓๘
ค่าใช้จ่ายและเงินค่าตอบแทนในการควบคุมหรือชำระบัญชี
ธนาคารพาณิชย์ใด ให้จ่ายจากสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์นั้น
มาตรา ๓๙*
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗
ทวิ มาตรา ๙ หรือ
มาตรา ๑๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๓๙ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๐* ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๘
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๐
แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๑* ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่แจ้ง
แก่ผู้ถือหุ้นอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๕ สัตต
หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ
ปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งในการยื่นรายงานลับ
หรือให้คำชี้แจงตาม
มาตรา ๒๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
*[มาตรา ๔๑ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๒*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗
หรือมาตรา ๑๒ (๑)
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตาม
มาตรา ๕ วรรคสี่ หรือมาตรา ๖
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
*[มาตรา ๔๒ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๓*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ ฉ
หรือมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
*[มาตรา ๔๓ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๔*
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี
วรรคหนึ่ง มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ มาตรา ๙ ทวิ มาตรา ๑๐
มาตรา ๑๑ มาตรา
๑๑ ตรี มาตรา ๑๒ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) หรือ (๙)
มาตรา ๑๒ ตรี
มาตรา ๑๒ จัตวา มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง มาตรา
๑๕ ทวิ
วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๖ มาตรา ๑๗
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือ
เงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา ๗ มาตรา ๑๓ ตรี
มาตรา ๒๑ หรือมาตรา
๒๓
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามมาตรา ๑๒ (๔) (ก) หรือ (๕) มาตรา ๑๕ ทวิ หรือมาตรา ๑๗
วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
*[มาตรา ๔๔ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๕*
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี วรรคสอง
มาตรา ๗ ตรี หรือมาตรา ๑๕ วรรคสอง
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามมาตรา ๗ ทวิ หรือมาตรา ๗ ตรี
ต้อง
ระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
*[มาตรา ๔๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖* ความผิดตามมาตรา ๔๒
มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ หรือ
มาตรา ๔๕ ถ้าเป็นกรณีการกระทำความผิดต่อเนื่อง
ให้ปรับอีกไม่เกินวันละ
สามพันบาท สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๒ หรือ มาตรา ๔๓
หรือ
ให้ปรับอีกไม่เกินวันละสองพันบาท
สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๔
หรือมาตรา ๔๕ แล้วแต่กรณี ตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
*[มาตรา ๔๖ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ทวิ*
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดกระทำความผิดตาม
มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕ กรรมการของธนาคาร
พาณิชย์นั้น หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของธนาคารพาณิชย์นั้นด้วย
*[มาตรา ๔๖ ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ตรี* ความผิดตามมาตรา
๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔
มาตรา ๔๕ หรือมาตรา ๔๖ ทวิ
ถ้ามิได้ฟ้องต่อศาลหรือมิได้มีการเปรียบเทียบ
ตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตรวจพบ
การกระทำความผิด หรือเกินกำหนดห้าปีนับแต่วันกระทำความผิด
เป็นอันขาด
อายุความ
*[มาตรา ๔๖ ตรี เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ จัตวา*
ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ จัตวา เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ เบญจ*
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงาน
เจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา ๓๕
หรือขัดขวางมิให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือ
พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือ
สอบสวนและตรวจสอบตามมาตรา ๓๕ หรือให้ถ้อยคำ หรือแสดงสมุด
บัญชี เอกสาร
และหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือส่งสำเนา
สิ่งเหล่านั้นตามมาตรา ๓๕ อันเป็นเท็จ
หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่
ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา ๓๕ ทวิ
ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ เบญจ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ ฉ*
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจซึ่งสั่งตามมาตรา
๓๖ ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ ฉ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ สัตต*
ผู้ใดได้ล่วงรู้กิจการของธนาคารพาณิชย์ใดเนื่องจาก
การปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
อันเป็นกิจการที่ตามปกติ
วิสัยของธนาคารพาณิชย์จะพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย
ถ้าผู้นั้นนำไปเปิดเผยนอกจาก
ตามหน้าที่ หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือการพิจารณาคดี
ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
*[มาตรา ๔๖ สัตต เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๖ อัฏฐ* ความผิดตามมาตรา
๔๑ มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓
มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ หรือมาตรา ๔๖
ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจ
เปรียบเทียบได้
คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง ให้มีจำนวนสามคนและ
คนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด และผู้ต้องหาได้ชำระ
ค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว
ให้คดีนั้น
เป็นอันเลิกกัน
*[มาตรา ๔๖ อัฎฐ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒]
มาตรา ๔๗
ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๑) ความในวรรคสองของมาตรา ๖ ไม่ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็น
สาขาของธนาคารต่างประเทศ
ซึ่งประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่ในวันที่พระราช
บัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๒) ในการปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓ ให้ถือว่าสินทรัพย์
ที่ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงอยู่ในประเทศไทย
ตามชนิดที่รัฐมนตรีกำหนดเป็นเงินกองทุน
มาตรา ๔๘
ภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
บทบัญญัติมาตรา ๑๙
ไม่ใช้บังคับแก่บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งอันต้องห้ามตามมาตรา
ดังกล่าวอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับสำหรับตำแหน่งที่ดำรงอยู่นั้น
มาตรา ๔๙
ในระหว่างเวลาที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตามมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ (๑) ยังไม่ใช้บังคับ
ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐
มาตรา ๑๒ และมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช
๒๔๘๘ มาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๕๐
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราช
บัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ส. ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี
--------------------------------------------------------
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ ในปัจจุบัน
การธนาคารและการเศรษฐกิจได้ขยายตัวขึ้นเป็นลำดับ
จึงสมควรได้ปรับปรุง
กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ให้เหมาะสม
เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจ
และการเงินของประเทศ
ตลอดจนให้ความคุ้มครองแก่ผู้ฝากเงินกับธนาคาร
--------------------
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๒๒
บุคคลใดถือหุ้นธนาคารพาณิชย์รวมกันเกินอัตราที่กำหนด
ตามมาตรา ๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้คงมีสิทธิถือหุ้นนั้นได้ต่อไป
แต่ถ้าได้จำหน่ายหุ้นนั้นไปเท่าใดก็ให้คงมีสิทธิ
ถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดได้เท่าจำนวนหุ้นที่เหลือนั้น
ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่ทายาทโดยธรรม ซึ่งได้รับ
มรดกในหุ้นนั้นในวันหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
บทบัญญัติมาตรา ๕ ฉ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
มิให้นำมาใช้บังคับแก่
ผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งและวรรคสอง
มาตรา ๒๓ ธนาคารพาณิชย์ใดที่จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทจำกัดตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคาร
พาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงเป็นบริษัทจำกัดตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไปได้
และถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นได้ออกหุ้น
ซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา ๕ จัตวา
และหรือมีผู้ถือหุ้นหรือกรรมการซึ่งไม่เป็น
ไปตามมาตรา ๕ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการแก้ไข
เสียให้ถูกต้องตามมาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ
แล้วแต่กรณี ภายใน
สามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไข
ดังต่อไปนี้
(๑) ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยรายโดยผู้ถือหุ้น
ดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๒) ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยรายโดยผู้ถือหุ้น
ดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละสี่สิบของจำนวนหุ้นที่
จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๓) ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการ
ให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย
โดย
ผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวน
หุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง (๑) (๒) หรือ (๓) ถ้ามีเหตุ
จำเป็นและสมควร
รัฐมนตรีจะขยายระยะเวลาให้คราวละไม่เกินหกเดือน
ก็ได้
แต่เมื่อนับระยะเวลารวมกันทั้งหมดแล้วจะต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๔ ภายในห้าปี
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ธนาคาร
พาณิชย์ใดที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราช
บัญญัตินี้ใช้บังคับประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่
ถ้าธนาคารพาณิชย์นั้น
ยังมิได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการตาม
หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑) ให้ธนาคารพาณิชย์ออกหนังสือชี้ชวนให้ประชาชนเข้าชื่อซื้อหุ้นได้
ในการออกหนังสือชี้ชวนดังกล่าว
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยหนังสือชี้ชวน ในกรณี
เพิ่มทุนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดมาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๒) หุ้นที่ออกในการเพิ่มทุนนั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการขาย
ให้แก่บุคคลธรรมดาซึ่งไม่เป็นผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นไม่น้อยกว่าร้อยละ
ยี่สิบห้าของจำนวนหุ้นที่ออกใหม่
และจะขายให้แต่ละคนเกินร้อยละศูนย์จุดห้า
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ได้
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามมิให้บริษัทจำกัด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ชี้ชวนประชาชนให้ซื้อหุ้น
และบทบัญญัติ
ว่าด้วยการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่
มิให้นำมาใช้บังคับแก่การเพิ่มทุนตามมาตรานี้
ความในมาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ
ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
มาตรา ๒๕
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ดำเนินการแก้ไขหุ้นหรือผู้ถือหุ้น
หรือกรรมการให้ถูกต้องตามมาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ
แห่ง
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาตามมาตรา ๒๓
กำหนด
หรือที่รัฐมนตรีผ่อนผันต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ถ้าเป็นการ
กระทำผิดต่อเนื่องให้ปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังกระทำ
การฝ่าฝืนอยู่
มาตรา ๒๖ ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๒๔ ต้องระวาง
โทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๒๗ ความผิดตามมาตรา ๒๕
และมาตรา ๒๖ ให้คณะกรรมการ
ตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจเปรียบเทียบได้
และให้นำมาตรา
๔๖ ตรี ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๒๘
สำนักงานที่ได้ตั้งขึ้นแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศในการติดต่อกับ
บุคคลทั่วไปตามมาตรา ๗ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ถ้าประสงค์จะดำเนินการต่อไป ให้ธนาคาร
พาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศหรือผู้จัดตั้งสำนักงานนั้นแล้วแต่กรณียื่นคำขอ
รับอนุญาตให้ถูกต้องภายในเวลาสามเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๙ ธนาคารพาณิชย์ใดมีหุ้นหรือหุ้นกู้ของบริษัทจำกัดอยู่ก่อน
วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา
๑๒ (๕) หรือถือหุ้น
ของธนาคารพาณิชย์อื่นอันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา ๑๒ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้
ธนาคารพาณิชย์นั้นยื่นคำขอผ่อนผันต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ในการผ่อนผันธนาคารแห่งประเทศไทยจะ
กำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๓๐
ธนาคารพาณิชย์ใดให้สินเชื่อหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
หรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
แก่หรือเพื่อกรรมการหรือ
บุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่กระทำได้โดยชอบอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติ
นี้ใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา
๑๒ (๒) และ
มาตรา ๑๒ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับ
มาตรา ๓๑
อสังหาริมทรัพย์ใดที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและต้องจำหน่ายไปตามมาตรา ๑๒ ตรี
แห่งพระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้
ธนาคารพาณิชย์จำหน่ายเสียภายในเก้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกมาเป็น
ของธนาคารพาณิชย์หรือภายในระยะเวลาที่ได้รับการขยาย
มาตรา ๓๒ ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศ
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ หรือมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัตินี้
หรือออกประกาศแล้วแต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งออก
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ไปพลางก่อน
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓
แห่งพระราชบัญญัติการ
ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ตามวรรคหนึ่ง คำว่า เงินกองทุน ตามประกาศ
ดังกล่าวให้หมายความถึงเงินกองทุนตามมาตรา ๔
แห่งพระราชบัญญัติการ
ธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๓๓
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม
พระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ได้ประกาศใช้บังคับมานานแล้ว
มีบทบัญญัติหลายมาตราไม่เหมาะสมกับกาลสมัย
สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข
บทบัญญัติเดิม และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่ขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงและเป็นหลัก
ประกันแก่การประกอบการธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็น
ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการได้จากรัฐบาลนั้นเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญ
ของประเทศย่อมเป็นการสมควรที่ธนาคารพาณิชย์จะพึงมีบทบาทในการใช้
เงินทุนนั้นไปทางอำนวยประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มาก
ยิ่งขึ้น
และอีกประการหนึ่ง การธนาคารพาณิชย์นับว่าเป็นกิจการค้าขายอัน
กระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน
เป็นการสมควรที่จะให้
สาธารณชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการประกอบกิจการด้วย จึงจำเป็น
ต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[รก.๒๕๒๒/๓๑/๑พ/๗ มีนาคม ๒๕๒๒]
ลัดดาพร/แก้ไข
๒๔/๐๑/๔๕ |
301566 | พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒
เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๒[๑]
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔ และมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๔
ในพระราชบัญญัตินี้
การธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า การประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
และใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น (ก) ให้สินเชื่อ (ข) ซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด
(ค) ซื้อขายเงินปริวรรตต่างประเทศ
ธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า ธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์
และหมายความรวมถึงสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ด้วย
บริษัทมหาชนจำกัด หมายความว่า บริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
บริษัทจำกัด หมายความรวมถึงบริษัทมหาชนจำกัดด้วย
เงินกองทุน หมายความว่า (๑) ทุนชำระแล้วซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับ (๒) ทุนสำรอง (๓) เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น
หรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้
และ (๔) กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการ
จัดสรรแล้ว ทั้งนี้
เมื่อหักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว
ให้สินเชื่อ หมายความว่า ให้กู้ยืมเงิน ซื้อ ซื้อลด รับช่วงซื้อลดตั๋วเงิน
เป็นเจ้าหนี้ เนื่องจากได้จ่ายหรือสั่งให้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของผู้เคยค้า
หรือเป็นเจ้าหนี้เนื่องจากได้จ่ายเงินตามภาระผูกพันตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๕ จัตวา และมาตรา ๕
เบญจ ธนาคารพาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งขึ้นได้ก็แต่ในรูปบริษัทมหาชนจำกัดและโดยได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
และจะดำเนินการเพื่อจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัดได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
เมื่อได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว
ให้บริษัทมหาชนจำกัดนั้นแจ้งการจดทะเบียนเพื่อขอรับใบอนุญาต
ในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง
และการอนุญาตตามวรรคสามรัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้
มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๕ ทวิ
มาตรา ๕ ตรี มาตรา ๕ จัตวา มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ มาตรา ๕ สัตต และมาตรา ๕ อัฎฐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๕ ทวิ
บุคคลใดจะถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ใดเกินอัตราร้อยละห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้
หุ้นธนาคารพาณิชย์ที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ถืออยู่ให้นับรวมเป็นหุ้นของบุคคลตามวรรคหนึ่งด้วย
(๑)
คู่สมรสของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๒)
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลตามวรรคหนึ่ง
(๓)
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วน
(๔)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดรวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
หรือ
(๕)
บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้างหุ้นส่วนตาม
(๓) หรือ (๔) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ถือหุ้นที่เป็นส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
มาตรา ๕ ตรี ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ใดจำหน่ายหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นแก่บุคคลใดซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดตามมาตรา
๕ ทวิ
ทุกครั้งที่มีการชี้ชวนให้เข้าชื่อซื้อหุ้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ระบุจำนวนหุ้นที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะถือหุ้นได้ทั้งสิ้นโดยชอบด้วยมาตรา
๕ ทวิ ไว้ให้ทราบในคำชี้ชวน
มาตรา ๕ จัตวา
หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารพาณิชย์ต้องเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อผู้ถือ
มีมูลค่าของหุ้นไม่เกินหุ้นละหนึ่งร้อยบาทและข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ต้องไม่มีข้อจำกัดในการโอนหุ้น
เว้นแต่เพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ หรือมาตรา ๕ เบญจ
หรือตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด
มาตรา ๕ เบญจ
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย
โดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และแต่ละรายต้องถือหุ้นไม่เกินร้อยละศูนย์จุดห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ธนาคารพาณิชย์ใดมีผู้ถือหุ้นและหรือการถือหุ้นไม่เป็นไปตามวรรคหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นขอผ่อนผันจากรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
และต้องมีกรรมการเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
มาตรา ๕ ฉ
เมื่อปรากฏว่าบุคคลใดได้หุ้นของธนาคารพาณิชย์ใดมาและการได้มานั้นเป็นเหตุให้ถือหุ้นเกินจำนวนที่จะถือได้ตามมาตรา
๕ ทวิ บุคคลนั้นจะยกเอาการถือหุ้นในส่วนที่เกินจำนวนดังกล่าวขึ้นใช้ยันต่อธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้และธนาคารพาณิชย์นั้นจะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดให้แก่บุคคลนั้น
หรือให้บุคคลนั้นออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมของผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นส่วนที่เกินมิได้
มาตรา ๕ สัตต เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามมาตรา ๕ ทวิ
มาตรา ๕ เบญจ และมาตรา ๕ ฉ ให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นทุกคราวก่อนจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใด
และก่อนการประชุมผู้ถือหุ้น แล้วแจ้งผลการตรวจสอบต่อธนาคารแห่งประเทศไทยตามรายการและภายในเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และในกรณีที่พบว่าผู้ถือหุ้นรายใดถือหุ้นเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา ๕ ทวิ
ให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งให้ผู้นั้นทราบเพื่อดำเนินการจำหน่ายหุ้นส่วนที่เกินนั้นเสีย
มาตรา ๕ อัฏฐ บทบัญญัติแห่งมาตรา ๕
ทวิ มาตรา ๕ ตรี มาตรา ๕ จัตวา มาตรา ๕ เบญจ มาตรา ๕ ฉ และมาตรา ๕ สัตต
มิให้นำมาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ
มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๖
การประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยตั้งเป็นสาขาของธนาคารที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีในการอนุญาตรัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยตามจำนวน
ชนิด วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามวรรคสองต้องจัดหาด้วย (๑) เงินที่นำเข้ามาจากสำนักงานใหญ่และหรือสาขาอื่นนอกประเทศไทยของธนาคารต่างประเทศนั้น
(๒) เงินสำรองต่าง ๆ แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้หรือ (๓) เงินกำไรสุทธิแต่ละงวดการบัญชีของสาขาอันได้โอนเป็นส่วนของสำนักงานใหญ่แล้วและไม่ต้องส่งออก ทั้งนี้ เมื่อหักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว
ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ถือว่าสินทรัพย์ตามวรรคสองเป็นเงินกองทุน
มาตรา ๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๗ ทวิ
และมาตรา ๗ ตรี แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๗ ทวิ
ผู้ใดจะกระทำการแทนธนาคารต่างประเทศโดยมีสำนักงานติดต่อกับบุคคลทั่วไปในราชอาณาจักร
หรือธนาคารพาณิชย์ใดนอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งสำนักงานเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร
ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๗ ตรี
เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตให้ตั้งสำนักงานใหญ่หรือสำนักงานสาขา ณ
ที่ใดแล้ว จะย้ายสำนักงานนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๙ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๙ ทวิ
นอกจากการธนาคารพาณิชย์แล้ว ธนาคารพาณิชย์อาจกระทำธุรกิจที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำ
เช่น การเรียกเก็บเงินตามตั๋วเงิน การรับอาวัลตั๋วเงิน การรับรองตั๋วเงิน
การออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือการค้ำประกันหรือธุรกิจทำนองเดียวกันด้วยก็ได้
เมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่จะประกอบการค้าหรือธุรกิจอื่นใดมิได้
มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๐
ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับ
(๑)
สินทรัพย์ทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดนั้นจะต่ำกว่าร้อยละห้าหรือเกินร้อยละสิบห้าไม่ได้
(๒)
สินทรัพย์แต่ละประเภทไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
(๓)
จำนวนเงินที่รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน
ค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
สินทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง (๑)
และ (๒) ไม่รวมเงินสด เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
เงินฝากที่ธนาคารอื่นในหรือนอกราชอาณาจักรหลักทรัพย์รัฐบาลไทย
และสินทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราตามวรรคหนึ่ง (๒) หรือ
(๓) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดหรือไม่กำหนดก็ได้
และจะกำหนดเฉพาะประเภทใดประเภทหนึ่งก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้สูงขึ้น จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
มาตรา ๑๑
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินสดสำรองเป็นอัตราส่วนกับเงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืมตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ ทวิ ไม่ต่ำกว่าอัตราส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราส่วนที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า และไม่เกินร้อยละห้าสิบของเงินฝาก
และหรือเงินกู้ยืมแล้วแต่กรณี และจะกำหนดให้เป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม
ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือหลายประเภทรวมกันหรือแยกกันก็ได้
เพื่อประโยชน์ในการดำรงเงินสดสำรองตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดให้ถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทยเป็นส่วนหนึ่งของเงินสดสำรองที่พึงดำรงนั้นก็ได้
มาตรา ๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๑ ทวิ
มาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๑ จัตวา มาตรา ๑๑ เบญจ และมาตรา ๑๑ ฉ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๑๑ ทวิ
เงินฝากและหรือเงินกู้ยืมซึ่งธนาคารพาณิชย์จะต้องดำรงเงินสดสำรองให้ได้อัตราส่วน
ได้แก่เงินฝาก และหรือเงินกู้ยืม ดังต่อไปนี้
(๑) ยอดรวมเงินฝากทั้งหมด
(๒)
เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
(๓)
เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
(๔)
ยอดรวมเงินกู้ยืมทั้งหมด
(๕) เงินกู้ยืมแต่ละประเภท
การคำนวณยอดเงินฝากหรือเงินกู้ยืมตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีจะกำหนดให้คำนวณรวมกับยอดเงินให้เบิกเกินบัญชีที่ยังไม่ได้จ่ายไป
โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินฝากหรือเงินกู้ยืมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
มาตรา ๑๑ ตรี
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ จัตวา
เป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝาก และหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท
ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตราที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าและไม่เกินร้อยละห้าสิบของยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภทแล้วแต่กรณี
การกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามวรรคหนึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องแต่เพียงบางประเภทหรือทุกประเภทก็ได้
และจะกำหนดอัตราส่วนของแต่ละประเภทในอัตราใดก็ได้
มาตรา ๑๑ จัตวา สินทรัพย์สภาพคล่องได้แก่
(๑) เงินสด
(๒)
เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓)
เงินฝากสุทธิที่ธนาคารพาณิชย์อื่น
(๔)
หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่ปราศจากภาระผูกพัน
(๕) หุ้นกู้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยและปราศจากภาระผูกพัน
(๖)
สินทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
มาตรา ๑๑ เบญจ การดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา ๑๑
ให้ได้อัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา
๑๑ ตรี ให้ได้อัตราส่วนกับยอดเงินฝากและหรือยอดเงินกู้ยืม แล้วแต่กรณี
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การกำหนดตามมาตรา ๑๑ มาตรา
๑๑ ทวิ วรรคสอง และมาตรา ๑๑ ตรี วรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และถ้ามีผลเป็นการเพิ่มอัตราส่วนเงินสดสำรองและอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
มาตรา ๑๑ ฉ
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพของเงินตรา
รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสดสำรองพิเศษไม่ต่ำกว่าอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต่างหากจากการดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา
๑๑
การกำหนดอัตราตามวรรคหนึ่ง
ให้กำหนดเป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืมตามมาตรา ๑๑ ทวิ
ทั้งหมดหรือแต่ละประเภทเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้นจากยอดเงินดังกล่าวเมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่ง
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๒
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๒
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการดังต่อไปนี้
(๑)
ลดทุนโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
(๒)
ให้สินเชื่อแก่กรรมการหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย
ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงินของกรรมการ
(๓)
รับหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกันการให้สินเชื่อหรือรับหุ้นของธนาคารพาณิชย์
จากธนาคารพาณิชย์อื่นเป็นประกันการให้สินเชื่อ
(๔) ซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์
เว้นแต่
(ก)
เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการให้ความเห็นชอบธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้ หรือ
(ข) เป็นการได้มาจากการชำระหนี้หรือจากการประกันการให้สินเชื่อหรือจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้นจากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
(๕)
ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดเกินร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
หรือซื้อหรือมีหุ้นหรือหุ้นกู้มีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเกินร้อยละยี่สิบของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น ทั้งนี้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
(๖)
ซื้อหรือมีหุ้นธนาคารพาณิชย์อื่น เว้นแต่จะได้มาจากการชำระหนี้หรือการประกันการให้สินเชื่อ
แต่ต้องจำหน่ายภายในเวลาหกเดือนนับแต่วันที่ได้มา
(๗)
จ่ายเงินหรือทรัพย์สินอื่นให้แก่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
เป็นค่านายหน้าหรือค่าตอบแทนสำหรับหรือเนื่องจากการกระทำหรือการประกอบธุรกิจใด ๆ
ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ นอกจากบำเหน็จ
เงินเดือน เงินรางวัล และเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ
(๘)
ขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์ใด ๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ารวมกันสูงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดแก่กรรมการ
หรือซื้อทรัพย์สินจากกรรมการ ทั้งนี้
เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการ และได้รายงานให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบแล้ว
หรือ
(๙) กระทำการใด ๆ
ที่มีลักษณะเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในระบบธนาคารหรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๒ ทวิ
มาตรา ๑๒ ตรี และมาตรา ๑๒ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๑๒ ทวิ
การให้สินเชื่อหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
แก่หรือเพื่อบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้
ให้ถือว่าเป็นการให้สินเชื่อหรือค้ำประกันดังกล่าวแก่หรือเพื่อกรรมการตามมาตรา ๑๒
(๒) ด้วย
(๑) คู่สมรสของกรรมการ
(๒)
บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของกรรมการ
(๓)
ห้างหุ้นส่วนสามัญที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วน
(๔)
ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดรวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น
(๕)
บริษัทจำกัดที่กรรมการและหรือบุคคลตาม (๑) หรือ (๒) หรือห้างหุ้นส่วนตาม (๓) หรือ
(๔) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น
มาตรา ๑๒ ตรี
ธนาคารพาณิชย์ต้องจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่ตกเป็นของธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา
๑๒ (๔) (ข) ภายในห้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกเป็นของธนาคารพาณิชย์
เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะขยายระยะเวลาให้หรือให้ความเห็นชอบเพื่อใช้เป็นสถานที่ตามมาตรา
๑๒ (๔) (ก)
มาตรา ๑๒ จัตวา
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งหรือยอมให้บุคคลซึ่งมีคุณสมบัติหรือลักษณะดังต่อไปนี้เป็นหรือทำหน้าที่กรรมการ
ผู้จัดการ รองผู้จัดการผู้ช่วยผู้จัดการ หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์
(๑) เป็นบุคคลล้มละลาย
(๒)
เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต
(๓)
เคยถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกจากราชการ หรือองค์การหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ฐานทุจริตต่อหน้าที่
(๔) เคยเป็นกรรมการ
ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการของธนาคารพาณิชย์ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(๕)
ถูกถอดถอนจากธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีตามมาตรา ๒๕
(๖) เป็นข้าราชการการเมือง
(๗) เป็นข้าราชการซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เว้นแต่เป็นกรณีของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
หรือเป็นกรณีที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์
(๘) เป็นผู้จัดการ
รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด
ซึ่งตนหรือบุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ ถือหุ้นอยู่ เว้นแต่จะเป็นกรรมการ
หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๓
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๓
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์
(๑)
ให้สินเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
เมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่งเป็นจำนวนเงินเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
(๒) รับอาวัลตั๋วเงิน
รับรองตั๋วเงิน
ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน
หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
เมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่ง เป็นจำนวนเงินเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
ทั้งนี้
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนด
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
อัตราตามวรรคหนึ่ง (๒)
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดหรือไม่ก็ได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง (๑)
หรือ (๒) ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราให้ต่ำลง
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
ให้นำความในมาตรา ๑๒ ทวิ
มาใช้บังคับแก่การกระทำตามวรรคหนึ่ง(๑) และ (๒) ด้วย โดยอนุโลม
มาตรา ๑๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๓ ทวิ
และมาตรา ๑๓ ตรี แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๑๓ ทวิ
บทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๓ ไม่ให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ธนาคารพาณิชย์
(๑)
ให้กู้ยืมเงินโดยการซื้อหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒)
ให้กู้ยืมเงินโดยมีประกันด้วยหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินมูลค่าแห่งหลักทรัพย์
หรือทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นได้ตีราคารับไว้เป็นประกัน
(๓)
ให้สินเชื่อตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด หรือ
(๔) รับอาวัลตั๋วเงิน
รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์มีความผูกพันในการชำระเงิน
หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
ทั้งนี้ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๓ ตรี
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศหรือเพื่อแก้ไขภาวะเศรษฐกิจ
รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดการดังต่อไปนี้ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอ
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการประเภทใด ๆ ไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนด
(๒)
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการใด ๆ เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นเกินอัตราที่กำหนด
การกำหนดตาม (๑)
ทุกครั้งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอัตราที่กำหนดตาม (๑)
รวมกันทั้งสิ้นทุกประเภทของกิจการต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบของยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในวันสิ้นปีก่อนหน้านั้น
การกำหนดตาม (๒)
ให้กำหนดเป็นร้อยละของยอดเงินให้สินเชื่อในแต่ละกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และจะกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และระยะเวลาเพื่อปฏิบัติการไว้ด้วยก็ได้
มาตรา ๑๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๔
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑)
ดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์อาจจ่ายได้
(๒) ดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๓)
ค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้
(๔)
เงินมัดจำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
(๕)
หลักประกันเป็นทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก
บรรดาเงิน ทรัพย์สิน
หรือสิ่งอื่นใดที่อาจกำหนดเป็นเงินได้ ที่ผู้ฝากเงินหรือบุคคลอื่นได้รับจากธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นเนื่องจากการฝากเงินหรือที่ธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นได้รับเนื่องจากการประกอบธุรกิจนั้นของธนาคารพาณิชย์
ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลด หรือค่าบริการตามความใน (๑) หรือ (๒) หรือ (๓) แล้วแต่กรณี
เว้นแต่ค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม
(๓) ไม่ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ตาม (๒)
การกำหนดตามมาตรานี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๕
ให้ธนาคารพาณิชย์จดแจ้งบัญชีแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ให้ครบถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง
และประกาศรายการย่อตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ในวันทำงานวันสุดท้ายของทุกเดือน
หรือในวันอื่นที่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศตามวรรคหนึ่งให้เสนอต่อธนาคารแห่งประเทศไทยหนึ่งฉบับและให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไปและให้ลงในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับด้วย
เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น
มาตรา ๑๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๕ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๑๕ ทวิ
เมื่อสิ้นงวดการบัญชีใด ถ้าธนาคารพาณิชย์ใดมีสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นั้นตัดสินทรัพย์ดังกล่าวออกจากบัญชีเมื่อสิ้นงวดการบัญชีนั้นเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ปฏิบัติเป็นอย่างอื่นในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขใด
ๆ ให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ถ้านำสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้ตัดออกจากบัญชีมาหักออกจากเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้นแล้ว
หากปรากฏว่าเงินกองทุนที่คงเหลือมีจำนวนต่ำกว่าเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามมาตรา ๑๐
(๑) ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดมาตรการใด ๆ
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถือปฏิบัติจนกว่าจะได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นหมดสิ้นไป
มาตรา ๑๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๑๖
ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๕ ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีธุรกิจของธนาคารพาณิชย์และก่อนวันประชุมใหญ่
งบดุลนั้นจะต้องมีการรับรองของผู้สอบบัญชี ผู้สอบบัญชีนั้นต้องเป็นผู้ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบด้วยและต้องมิใช่กรรมการ
พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๖
ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนของธนาคารในต่างประเทศที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นสาขาภายในเวลาสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีธุรกิจของธนาคารต่างประเทศนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุขัดข้องอันสมควร
ประกาศตามมาตรานี้ให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงาน
มาตรา ๑๗ ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดทำการตามเวลาและหยุดทำการตามวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการหรือหยุดทำการในเวลาหรือวันอื่นจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตดังกล่าวธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้
ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศเวลาทำการและวันหยุดทำการดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงาน
มาตรา ๑๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๕
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๕
เมื่อรัฐมนตรีได้รับรายงานการตรวจสอบของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์และเห็นว่าฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใดอยู่ในลักษณะอันจะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์ของประชาชน
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
แต่ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขการบริหารงานรวมทั้งย้ายหรือถอดถอนกรรมการหรือพนักงานของธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด
รัฐมนตรีจะยังไม่สั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นหรือยังไม่สั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
ในการนี้รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๑๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๕
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๓๕
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๖ ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
แล้วแต่กรณี มีอำนาจสั่งให้กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์
และผู้สอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์มาให้ถ้อยคำ หรือส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชี เอกสาร
หรือหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ และให้มีอำนาจเข้าตรวจกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ในระหว่างเวลาทำงานปกติ
มาตรา ๑๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓๕ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๓๕ ทวิ
ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ
ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา ๗ ทวิ หรือมาตรา ๘
เพื่อตรวจสอบได้ และให้มีอำนาจยึดหรืออายัดเอกสารหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดีได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามวรรคหนึ่งให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นมีหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามสมควร
มาตรา ๒๐ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๙ มาตรา ๔๐ มาตรา
๔๑ มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ และมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๓๙
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗
ทวิ มาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๐ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๘
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๑
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่แจ้งแก่ผู้ถือหุ้นอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา
๕ สัตต หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งในการยื่นรายงานลับ
หรือให้คำชี้แจงตามมาตรา ๒๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๔๒
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗ หรือมาตรา ๑๒ (๑)
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๕ วรรคสี่ หรือมาตรา
๖ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
มาตรา ๔๓
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ ฉ หรือมาตรา ๑๘
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท
มาตรา ๔๔
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี วรรคหนึ่ง มาตรา ๕ เบญจ
มาตรา ๕ ฉ มาตรา ๙ ทวิ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๒ (๒) (๓) (๔) (๕)
(๖) (๗) (๘) หรือ (๙) มาตรา ๑๒ ตรี มาตรา ๑๒ จัตวา มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕
วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๕ ทวิ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๖ มาตรา ๑๗ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา
๗ มาตรา ๑๓ ตรี มาตรา ๒๑ หรือมาตรา ๒๓ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขของธนาคารแห่งประเทศไทยตามมาตรา
๑๒ (๔) (ก) หรือ (๕) มาตรา ๑๕ ทวิ หรือมาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๔๕ ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ ตรี
วรรคสอง มาตรา ๗ ตรี หรือมาตรา ๑๕ วรรคสอง หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามมาตรา
๗ ทวิ หรือมาตรา ๗ ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
มาตรา ๔๖ ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔
หรือมาตรา ๔๕ ถ้าเป็นกรณีการกระทำความผิดต่อเนื่อง ให้ปรับอีกไม่เกินวันละสามพันบาท
สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๒ หรือมาตรา ๔๓ หรือให้ปรับอีกไม่เกินวันละสองพันบาท
สำหรับการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕ แล้วแต่กรณี
ตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
มาตรา ๒๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๔๖ ทวิ
มาตรา ๔๖ ตรี มาตรา ๔๖ จัตวา มาตรา ๔๖ เบญจ มาตรา ๔๖ ฉ มาตรา ๔๖ สัตต และมาตรา ๔๖
อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๔๖ ทวิ
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔
หรือมาตรา ๔๕ กรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้น
หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของธนาคารพาณิชย์นั้นด้วย
มาตรา ๔๖ ตรี ความผิดตามมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ มาตรา
๔๕ หรือมาตรา ๔๖ ทวิ ถ้ามิได้ฟ้องต่อศาลหรือมิได้มีการเปรียบเทียบตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตรวจพบการกระทำความผิด
หรือเกินกำหนดห้าปีนับแต่วันกระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ
มาตรา ๔๖ จัตวา ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐ หรือมาตรา
๓๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๖ เบญจ
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา
๓๕ หรือขัดขวางมิให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือสอบสวนและตรวจสอบตามมาตรา ๓๕ หรือให้ถ้อยคำ หรือแสดงสมุด บัญชี เอกสารและหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือส่งสำเนาสิ่งเหล่านั้นตามมาตรา ๓๕ อันเป็นเท็จ
หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา
๓๕ ทวิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๖ ฉ
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจซึ่งสั่งตามมาตรา
๓๖ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๖ สัตต
ผู้ใดได้ล่วงรู้กิจการของธนาคารพาณิชย์ใดเนื่องจากการปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
อันเป็นกิจการที่ตามปกติวิสัยของธนาคารพาณิชย์จะพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย
ถ้าผู้นั้นนำไปเปิดเผยนอกจากตามหน้าที่
หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือการพิจารณาคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๖ อัฏฐ ความผิดตามมาตรา ๔๑ มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ มาตรา
๔๔ มาตรา ๔๕ หรือมาตรา ๔๖ ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้
คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง
ให้มีจำนวนสามคนและคนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อคณะกรรมการได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด
และผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว
ให้คดีนั้นเป็นอันเลิกกัน
มาตรา ๒๒
บุคคลใดถือหุ้นธนาคารพาณิชย์รวมกันเกินอัตราที่กำหนดตามมาตรา ๕ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้คงมีสิทธิถือหุ้นนั้นได้ต่อไป
แต่ถ้าได้จำหน่ายหุ้นนั้นไปเท่าใดก็ให้คงมีสิทธิถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดได้เท่าจำนวนหุ้นที่เหลือนั้น
ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งได้รับมรดกในหุ้นนั้นในวันหรือหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
บทบัญญัติมาตรา ๕ ฉ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งและวรรคสอง
มาตรา ๒๓
ธนาคารพาณิชย์ใดที่จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ยังคงเป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไปได้
และถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นได้ออกหุ้นซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา ๕ จัตวา
และหรือมีผู้ถือหุ้นหรือกรรมการซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา ๕ เบญจ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามมาตรา ๕ จัตวา หรือมาตรา ๕
เบญจ แล้วแต่กรณี ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑)
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยรายโดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๒)
ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยรายโดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละสี่สิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
(๓)
ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย
โดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
(๑) (๒) หรือ (๓) ถ้ามีเหตุจำเป็นและสมควร
รัฐมนตรีจะขยายระยะเวลาให้คราวละไม่เกินหกเดือนก็ได้
แต่เมื่อนับระยะเวลารวมกันทั้งหมดแล้วจะต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๔ ภายในห้าปี
นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับธนาคารพาณิชย์ใดที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่
ถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นยังมิได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ออกหนังสือชี้ชวนให้ประชาชนเข้าชื่อซื้อหุ้นได้ในการออกหนังสือชี้ชวนดังกล่าว
ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยหนังสือชี้ชวน ในกรณีเพิ่มทุนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดมาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๒) หุ้นที่ออกในการเพิ่มทุนนั้น
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการขายให้แก่บุคคลธรรมดาซึ่งไม่เป็นผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจำนวนหุ้นที่ออกใหม่
และจะขายให้แต่ละคนเกินร้อยละศูนย์จุดห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ได้
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามมิให้บริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ชี้ชวนประชาชนให้ซื้อหุ้นและบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่
มิให้นำมาใช้บังคับแก่การเพิ่มทุนตามมาตรานี้
ความในมาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
มาตรา ๒๕
ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ดำเนินการแก้ไขหุ้นหรือผู้ถือหุ้นหรือกรรมการให้ถูกต้องตามมาตรา
๕ จัตวา หรือมาตรา ๕ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาตามมาตรา ๒๓ กำหนดหรือที่รัฐมนตรีผ่อนผันต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ถ้าเป็นการกระทำผิดต่อเนื่องให้ปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
มาตรา ๒๖ ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๔
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๒๗ ความผิดตามมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖
ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๔๖ อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
มีอำนาจเปรียบเทียบได้ และให้นำมาตรา ๔๖ ตรี
ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๒๘ สำนักงานที่ได้ตั้งขึ้นแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศในการติดต่อกับบุคคลทั่วไปตามมาตรา
๗ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ถ้าประสงค์จะดำเนินการต่อไป ให้ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศหรือผู้จัดตั้งสำนักงานนั้นแล้วแต่กรณียื่นคำขอรับอนุญาตให้ถูกต้องภายในเวลาสามเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๒๙
ธนาคารพาณิชย์ใดมีหุ้นหรือหุ้นกู้ของบริษัทจำกัดอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา
๑๒ (๕) หรือถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์อื่นอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๒ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นยื่นคำขอผ่อนผันต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ในการผ่อนผันธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา ๓๐
ธนาคารพาณิชย์ใดให้สินเชื่อหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย
ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน แก่หรือเพื่อกรรมการหรือบุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้ที่กระทำได้โดยชอบอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา ๑๒ (๒) และมาตรา ๑๒ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๓๑
อสังหาริมทรัพย์ใดที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและต้องจำหน่ายไปตามมาตรา
๑๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ธนาคารพาณิชย์จำหน่ายเสียภายในเก้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกมาเป็นของธนาคารพาณิชย์หรือภายในระยะเวลาที่ได้รับการขยาย
มาตรา ๓๒
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐
มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ หรือมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
หรือออกประกาศแล้วแต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา
๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ไปพลางก่อน
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา
๑๐ และมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ตามวรรคหนึ่ง คำว่า เงินกองทุน ตามประกาศดังกล่าวให้หมายความถึงเงินกองทุนตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
มาตรา ๓๓
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้
คือ โดยที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ประกาศใช้บังคับมานานแล้วมีบทบัญญัติหลายมาตราไม่เหมาะสมกับกาลสมัย
สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติเดิม
และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่ขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงและเป็นหลักประกันแก่การประกอบการธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการได้จากรัฐบาลนั้นเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของประเทศย่อมเป็นการสมควรที่ธนาคารพาณิชย์จะพึงมีบทบาทในการใช้เงินทุนนั้นไปทางอำนวยประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มากยิ่งขึ้น และอีกประการหนึ่ง
การธนาคารพาณิชย์นับว่าเป็นกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน
เป็นการสมควรที่จะให้สาธารณชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการประกอบกิจการด้วย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
สุนันทา/แก้ไข
๗/๑๒/๔๔
A+B (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
[๑] รก.๒๕๒๒/๓๑/๑พ/๗ มีนาคม ๒๕๒๒ |
301565 | พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๕
เป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.๒๕๐๕
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๘๘
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
การธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า การประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้
และใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น (ก) ให้กู้ยืม (ข) ซื้อ ขาย
หรือเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด (ค) ซื้อหรือขายเงินปริวรรตต่างประเทศ
ทั้งนี้จะประกอบธุรกิจประเภทอื่นอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำด้วยหรือไม่ก็ตาม
ธนาคารพาณิชย์หมายความว่า ธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์
และหมายความรวมตลอดถึงสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์
เงินกองทุน หมายความว่า ทุนซึ่งชำระแล้ว
ทุนสำรองซึ่งรวมทั้งเงินสำรองอื่นที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิ
และกำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรรแล้วรวมกัน
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๖
ธนาคารพาณิชย์จะตั้งขึ้นได้ก็แต่ในรูปบริษัทจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และโดยได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
และจะดำเนินการเพื่อจัดตั้งบริษัทจำกัดได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
ในการนี้รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้
เมื่อได้จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดแล้ว
ให้แจ้งการจดทะเบียนต่อรัฐมนตรีเพื่อขอรับใบอนุญาต
มาตรา ๖
การประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยตั้งเป็นสาขาของธนาคารที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
ในการนี้รัฐมนตรีจะอนุญาตโดยมีเงื่อนไขก็ได้ สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยตามจำนวน
ชนิด วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
ในการปฏิบัติตามมาตรา ๑๐
และมาตรา ๑๓ ให้ถือว่าสินทรัพย์ตามวรรคสองเป็นเงินกองทุน
มาตรา ๗
ธนาคารพาณิชย์นอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อาจเปิดสาขาได้
แต่ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
ในการนี้รัฐมนตรีจะอนุญาตโดยมีเงื่อนไขก็ได้
มาตรา ๘
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ประกอบการธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๙
ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากธนาคารพาณิชย์ใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อในธุรกิจว่า ธนาคาร หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน
มาตรา ๑๐
ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนไม่ต่ำกว่าอัตราส่วนกับ
(๑) สินทรัพย์ทั้งสิ้น
ตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
อัตรานั้นต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าและไม่เกินร้อยละสิบห้า
(๒) สินทรัพย์แต่ละประเภท
ตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
สินทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง (๑)
และ (๒) ไม่รวมถึงเงินสด เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
เงินฝากที่ธนาคารอื่นในหรือนอกราชอาณาจักร หลักทรัพย์รัฐบาลไทยและสินทรัพย์อื่นที่รัฐมนตรีกำหนด
สินทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง (๒)
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่กำหนดก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแต่การกำหนดตามวรรคหนึ่ง (๑) และ (๒)
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
มาตรา ๑๑ ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสดสำรองไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแต่ละวันเป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝากไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าและไม่เกินกว่าร้อยละห้าสิบ อัตราส่วนที่ดำรงนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดให้ถือเอาส่วนเฉลี่ยตามระยะเวลามากน้อยเท่าใดก็ได้และอาจกำหนดให้ถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทยเป็นส่วนหนึ่งของเงินสดสำรองที่พึงดำรงนั้นก็ได้
ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีจะกำหนดให้รวมยอดเงินให้เบิกเกินบัญชีที่ยังมิได้จ่ายไปเข้ากับยอดเงินฝากที่ต้องมีเงินสดสำรองนั้นด้วยก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่การกำหนดอัตราส่วนเงินสดสำรองกับยอดเงินฝากตามความในวรรคแรกและการกำหนดให้รวมยอดเงินให้เบิกเกินบัญชีที่ยังมิได้จ่ายไปเข้ากับยอดเงินฝากตามความในวรรคสอง
จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
มาตรา ๑๒ ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการดังต่อไปนี้
(๑)
ลดทุนโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
(๒)
ให้กรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้นกู้ยืมเงิน
การให้กู้ยืมเงินดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นการให้กรรมการผู้นั้นกู้ยืมเงินด้วย
(ก)
การให้กู้ยืมเงินแก่ภริยาหรือสามีของกรรมการผู้นั้น
(ข) การให้กู้ยืมเงินแก่ห้างหุ้นส่วนสามัญที่กรรมการผู้นั้น
หรือภริยา หรือสามีของกรรมการผู้นั้นเป็นหุ้นส่วนอยู่ หรือ
(ค)
การให้กู้ยืมเงินแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่กรรมการผู้นั้น หรือภริยา หรือสามีของกรรมการผู้นั้นเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
(๓) รับหุ้นธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกัน
(๔) ประกอบการค้า
หรือธุรกิจอื่นใดที่ไม่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์
(๕)
ซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ
หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นตามสมควร หรือเป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้นจากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งของศาล
บรรดาอสังหาริมทรัพย์ที่ตกเป็นของธนาคารพาณิชย์เนื่องจากการชำระหนี้
การประกันต้นเงินที่จ่ายให้กู้ยืมไปหรือเนื่องจากการที่ธนาคารพาณิชย์ได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้นจากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งของศาลจะต้องจำหน่ายภายในเก้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกเป็นของธนาคารพาณิชย์
หรือภายในกำหนดเวลากว่านั้นตามที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ทั้งนี้
เว้นแต่รัฐมนตรีจะอนุญาตให้ใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๖) ซื้อ
หรือมีหุ้นหรือหุ้นกู้ในบริษัทจำกัดใดเป็นจำนวนเกินร้อยละยี่สิบของเงินทุนในบริษัทจำกัดนั้น
(๗)
รับหุ้นธนาคารพาณิชย์จากธนาคารพาณิชย์อื่นเป็นประกัน หรือ
(๘)
จ่ายเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นค่านายหน้าหรือเป็นค่าตอบแทนสำหรับหรือเนื่องแต่การกระทำหรือการประกอบธุรกิจใด
ๆ ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้
นอกจากบำเหน็จเงินเดือน เงินรางวัลและเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ
มาตรา ๑๓ ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้กู้ยืมเงิน
หรือให้เครดิตโดยการซื้อซื้อลด หรือรับช่วงซื้อลด
ตั๋วเงินอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่งเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุน
ตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ทั้งนี้ เว้นแต่ได้รับผ่อนผันจากรัฐมนตรี
ในการผ่อนผันนั้น รัฐมนตรีจะผ่อนผันโดยมีเงื่อนไขก็ได้
การให้กู้ยืมเงินหรือให้เครดิตดังต่อไปนี้
ให้ถือว่าเป็นการให้กู้ยืมเงินหรือให้เครดิตแก่บุคคลนั้นด้วย
(๑)
การให้กู้ยืมเงินหรือให้เครดิตแก่ภริยาหรือสามีของบุคคลนั้น
(๒)
การให้กู้ยืมเงินหรือให้เครดิตแก่ห้างหุ้นส่วนสามัญที่บุคคลนั้นหรือภริยาหรือสามีของบุคคลนั้นเป็นหุ้นส่วน
(๓)
การให้กู้ยืมเงินหรือให้เครดิตแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บุคคลนั้น หรือภริยา หรือสามีของบุคคลนั้นเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
หรือ
(๔)
การให้กู้ยืมเงินหรือให้เครดิตแก่บริษัทจำกัดที่บุคคลนั้น และหรือภริยาหรือสามีของบุคคลนั้นถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนเงินเกินกึ่งหนึ่งแห่งทุนของบริษัท
ความในสองวรรคก่อนไม่ใช้บังคับแก่กรณีที่ธนาคารพาณิชย์
(๑)
ให้กู้ยืมเงินโดยการซื้อหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒)
ให้กู้ยืมเงินโดยมีประกันด้วยหลักทรัพย์รัฐบาลไทยหรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินมูลค่าแห่งหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นได้ตีราคารับไว้เป็นประกันหรือ
(๓) ให้เครดิตโดยการซื้อ
ซื้อลด หรือรับช่วงซื้อลดตั๋วเงินตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
การกำหนดตามมาตรานี้
ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแต่การกำหนดตามวรรคหนึ่งจะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้
มาตรา ๑๔ อัตราดังต่อไปนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
(๑)
อัตราสูงสุดสำหรับดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์พึงจ่ายสำหรับเงินฝากแต่ละประเภท
ในกรณีที่ให้ผู้ฝากเงินได้รับเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดเนื่องจากการฝากเงินนอกจากดอกเบี้ยให้ถือว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ให้แก่กันนั้นเป็นดอกเบี้ยด้วย
(๒)
อัตราสูงสุดสำหรับดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์พึงเรียกสำหรับธุรกิจแต่ละประเภท
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดเนื่องจากธุรกิจนั้น ๆ ให้ถือว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับนั้น
เป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลดด้วย
(๓)
อัตราสูงสุดสำหรับค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์พึงเรียกสำหรับธุรกิจประเภทใดประเภทหนึ่งหรือหลายประเภท
(๔)
อัตราต่ำสุดสำหรับเงินมัดจำที่ธนาคารพาณิชย์พึงเรียกในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตไปต่างประเทศ
สำหรับการได้มาซึ่งสินค้าโดยทั่วไป และหรือสินค้าแต่ละประเภท
(๕)
อัตราต่ำสุดสำหรับหลักประกันเป็นทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์พึงเรียกในการค้ำประกันตามลักษณะของธุรกิจและหรือตามวงเงินในการค้ำประกัน
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ไม่เรียกเงินมัดจำในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตหรือไม่เรียกหลักประกันในการค้ำประกันให้ถือว่าธนาคารพาณิชย์เรียกเงินมัดจำหรือหลักประกันต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามความใน
(๔) หรือ (๕) แล้วแต่กรณี
การกำหนดอัตราตาม (๔) และ
(๕) จะกำหนดยกเว้นมิให้ใช้บังคับในกรณีเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่ทบวงการเมืองหรือองค์การของรัฐ
หรือค้ำประกันทบวงการเมืองหรือองค์การของรัฐก็ได้
อัตราตาม (๓) (๔) และ (๕)
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่กำหนดก็ได้
การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๕
ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนดแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ในวันทำงานวันสุดท้ายของทุกเดือน
หรือในวันอื่นที่รัฐมนตรียินยอมและให้เสนอประกาศนั้นแก่รัฐมนตรีหนึ่งฉบับโดยยื่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศนั้นให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป
และให้ลงในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับด้วย
เว้นแต่รัฐมนตรีจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น
มาตรา ๑๖ ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๕
ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีธุรกิจของธนาคารพาณิชย์และก่อนวันประชุมใหญ่
งบดุลนั้นจะต้องมีการรับรองของผู้สอบบัญชี
ผู้สอบบัญชีนั้นต้องเป็นผู้ซึ่งรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย และต้องมิใช่กรรมการ
พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา ๖
ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนของธนาคารต่างประเทศที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นสาขาภายในเวลาสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีธุรกิจของธนาคารต่างประเทศนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุขัดข้องอันสมควร
ประกาศตามมาตรานี้ให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงาน
มาตรา ๑๗ ในการติดต่อกับประชาชน ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดทำงานตามเวลาและหยุดทำงานตามวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
และให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศเวลาทำงานและวันหยุดทำงานไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน
มาตรา ๑๘ ธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นแจ้งให้รัฐมนตรีทราบทันที และห้ามมิให้ทำกิจการใด ๆ
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากรัฐมนตรีแล้วให้รายงานโดยละเอียดแสดงเหตุที่ต้องหยุดทำการจ่ายเงินภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่หยุดทำการจ่ายเงิน
มาตรา ๑๙
ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคารพาณิชย์ใดเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งอื่นในธนาคารพาณิชย์อื่นอีกในเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้เว้นแต่ตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย
หรือตำแหน่งที่ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติหรือให้ความเห็นเกี่ยวแก่การดำเนินการของธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๒๐
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๕ มาตรา ๖
หรือมาตรา ๗ รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งให้เลิกสาขาตามที่ได้อนุญาตไปแล้ว
แล้วแต่กรณี หรือจะสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นก็ได้แต่ถ้าเห็นสมควร รัฐมนตรีจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติการเพื่อแก้ไขให้เป็นไปตามเงื่อนไขเสียก่อนภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้
มาตรา ๒๑ ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๐
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งธนาคารพาณิชย์นั้นมิให้แจกหรือจำหน่ายเงินกำไรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
โดยให้นำเงินกำไรนั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปเพิ่มทุนสำรอง
หรือไปเพิ่มสินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามมาตรา ๖ แล้วแต่กรณี และรัฐมนตรีจะสั่งห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์นั้นให้กู้ยืมหรือลงทุน
หรือให้ทำได้ภายใต้เงื่อนไขใด ๆ จนกว่าธนาคารพาณิชย์นั้นจะปฏิบัติถูกต้องด้วยก็ได้
มาตรา ๒๒ ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๑
เป็นเนืองนิจ รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์นั้นให้กู้ยืมหรือลงทุน
หรือให้ทำได้ภายใต้เงื่อนไขใด ๆ จนกว่าธนาคารพาณิชย์นั้นจะปฏิบัติถูกต้องด้วยก็ได้
ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนคำสั่งของรัฐมนตรีตามวรรคก่อนรัฐมนตรีจะสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นก็ได้
มาตรา ๒๓
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ยื่นรายงานลับมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด
ทั้งนี้จะให้ยื่นตามระยะเวลาหรือเป็นครั้งคราวและจะให้ทำคำชี้แจงข้อความเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานนั้นก็ได้
รายงานลับและคำชี้แจงนี้ให้ยื่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
มาตรา ๒๔
รัฐมนตรีมีอำนาจตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์เพื่อตรวจสอบและรายงานกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
หรือจะมอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ก็ได้
แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ รัฐมนตรีจะตั้งหรือมอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ให้ทำการตรวจเพื่อทราบกิจการหรือทรัพย์สินของเอกชนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะที่มีหรือปรากฏอยู่ในธนาคารพาณิชย์ใด
ๆ มิได้
มาตรา ๒๕
เมื่อรัฐมนตรีได้รับรายงานการตรวจสอบจากผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์และเห็นว่าฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใดอยู่ในลักษณะอันจะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ประโยชน์ของประชาชนรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือจะสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นก็ได้แต่ถ้าเห็นสมควรรัฐมนตรีจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติการเพื่อแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นเสียก่อนภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้
มาตรา ๒๖
เมื่อปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ใดหยุดทำการจ่ายเงิน ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลที่รัฐมนตรีเห็นสมควรเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนพฤติการณ์
และเมื่อได้รับรายงานการสอบสวนจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นได้
มาตรา ๒๗ ในการสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด
ให้รัฐมนตรีแจ้งคำสั่งเป็นหนังสือให้ธนาคารพาณิชย์นั้นทราบ
และปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น
กับทั้งให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๒๘ ในการควบคุมธนาคารพาณิชย์ใด ให้รัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้น
ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคนและกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่าสองคน
คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่จัดดำเนินกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นได้ทุกประการและให้ประธานกรรมการเป็นผู้แทนของธนาคารพาณิชย์นั้น
ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งและกำหนดอำนาจและหน้าที่พนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์คนหนึ่งหรือหลายคนให้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
การตั้งคณะกรรมการและการแต่งตั้งกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทนประธานกรรมการให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๙
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด ห้ามมิให้กรรมการและพนักงานของธนาคารพาณิชย์กระทำกิจการของธนาคารพาณิชย์นั้นอีกต่อไป
เว้นแต่จะได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๓๐
เมื่อรัฐมนตรีได้แจ้งคำสั่งควบคุมแก่ธนาคารพาณิชย์ใด ให้กรรมการ
พนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นจัดการอันสมควรเพื่อปกปักรักษาทรัพย์และประโยชน์ของธนาคารพาณิชย์ไว้
และรีบรายงานกิจการและมอบสินทรัพย์ พร้อมด้วยสมุดบัญชีเอกสาร ดวงตรา
และสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ให้แก่คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์โดยมิชักช้า
มาตรา ๓๑ เมื่อธนาคารพาณิชย์ใดถูกควบคุม
ให้ผู้ครอบครองทรัพย์สินหรือเอกสารของธนาคารพาณิชย์นั้นแจ้งการครอบครองให้คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์ทราบโดยมิชักช้า
มาตรา ๓๒ เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า
ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุมสมควรจะดำเนินกิจการของตนเองได้
ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ ถ้ารัฐมนตรีเห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกการควบคุม
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๓ เมื่อคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์เห็นว่า
ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุมไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้ ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ
ถ้ารัฐมนตรีเห็นสมควรก็ให้สั่งเลิกธนาคารพาณิชย์นั้น
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ
มาตรา ๓๔ เมื่อรัฐมนตรีสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งเลิกธนาคารพาณิชย์ให้มีการชำระบัญชีและให้รัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีธนาคารพาณิชย์นั้น
การชำระบัญชีให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการชำระบัญชีบริษัทจำกัด
เว้นแต่การใดที่เป็นอำนาจและหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่ ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของรัฐมนตรี
มาตรา ๓๕ เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๖
ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์และพนักงานเจ้าหน้าที่ แล้วแต่กรณี
มีอำนาจสั่งให้กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์มาให้ถ้อยคำ
หรือแสดงสมุด บัญชี เอกสาร และหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
และให้มีอำนาจเข้าตรวจกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ในระหว่างเวลาทำงานตามปกติ
มาตรา ๓๖ เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๒๘
ให้คณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจ มีอำนาจสั่งให้บุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ
หรือให้แสดงหรือส่งสมุด บัญชี เอกสาร
ดวงตราและหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ที่ถูกควบคุม
มาตรา ๓๗ กรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์
พนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์และผู้ชำระบัญชีอาจได้รับเงินค่าตอบแทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๓๘
ค่าใช้จ่ายและเงินค่าตอบแทนในการควบคุมหรือชำระบัญชีธนาคารพาณิชย์ใด
ให้จ่ายจากสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์นั้น
มาตรา ๓๙ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๘ หรือมาตรา ๙
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๐ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๙
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือนหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๑ ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนมาตรา ๖ วรรคสอง
มาตรา ๗ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๒ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๖ มาตรา ๑๗
หรือมาตรา ๑๘ หรือฝ่าฝืนคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา ๒๑ หรือ มาตรา ๒๓
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และในกรณีที่เป็นความผิดต่อเนื่องกัน
ให้ปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งพันบาทตลอดเวลาที่ยังทำการฝ่าฝืนอยู่
ความผิดตามมาตรานี้
ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้
คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคสองให้มีจำนวนสามคน
ซึ่งคนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๔๒
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดกระทำความผิดเพราะฝ่าฝืนมาตรา ๖ วรรคสอง มาตรา ๑๐
มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๒ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ หรือ มาตรา ๑๘ หรือฝ่าฝืนคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา
๒๑ กรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้น หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของธนาคารพาณิชย์นั้นด้วย
มาตรา ๔๓ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐ หรือมาตรา
๓๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๔
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา
๓๕ หรือขัดขวางมิให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา
๓๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๕
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานควบคุมธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจซึ่งสั่งตามมาตรา
๓๖ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๖ ผู้ใดได้ล่วงรู้กิจการของธนาคารพาณิชย์ใด
เนื่องจากการปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
อันเป็นกิจการที่ตามปกติวิสัยของธนาคารพาณิชย์จะพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย
ถ้าผู้นั้นนำไปเปิดเผยนอกจากตามหน้าที่หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือการพิจารณาคดี
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๗
ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๑) ความในวรรคสองของมาตรา
๖ ไม่ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ
ซึ่งประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
(๒)
ในการปฏิบัติการตามมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓ ให้ถือว่าสินทรัพย์ที่ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงอยู่ในประเทศไทยตามชนิดที่รัฐมนตรีกำหนดเป็นเงินกองทุน
มาตรา ๔๘
ภายในระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๑๙
ไม่ใช้บังคับแก่บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งอันต้องห้ามตามมาตราดังกล่าวอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับสำหรับตำแหน่งที่ดำรงอยู่นั้น
มาตรา ๔๙
ในระหว่างเวลาที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยตามมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ (๑)
ยังไม่ใช้บังคับ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๘๘ มาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์
มาตรา ๕๐
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ส. ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้
คือ ในปัจจุบันการธนาคารและการเศรษฐกิจได้ขยายตัวขึ้นเป็นลำดับ จึงสมควรได้ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ให้เหมาะสม
เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ ตลอดจนให้ความคุ้มครองแก่ผู้ฝากเงินกับธนาคาร
อัมพิกา/แก้ไข
๑/๓/๔๕
B+A (C)
พัชรินทร์/แก้ไข
๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
[๑] รก.๒๕๐๕/๓๙/๑พ/๓๐
เมษายน ๒๕๐๕ |
314474 | พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2488 | พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ
การธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๘๘
----------
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร
ลงวันที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๘๘)
ปรีดี พนมยงค์
ตราไว้ ณ
วันที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘
เป็นปีที่ ๑๒ ในรัชชกาลปัจจุบัน
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า
สมควรให้มีการควบคุมการธนาคารพาณิชย์
จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของสภาผู้แทนราษฎร ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๘๘
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับได้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมกิจการธนาคาร พุทธศักราช ๒๔๘๐
มาตรา ๔
ในพระราชบัญญัตินี้
การธนาคารพาณิชย์หมายความว่า
(ก)
ธุระกิจประเภทรับฝากเงินซึ่งต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลา
อันกำหนดไว้ และใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น (๑) ให้กู้ยืม
(๒) ซื้อขาย หรือเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด และ (๓)
ซื้อและขายเงินปริวรรตต่างประเทศ
(ข)
ธุระกิจประเภทอื่นอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์ซึ่งย่อมรวมทั้งธนาคาร
ปริวรรตพึงกระทำ
ธนาคารหมายความว่า
ธนาคารซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบธนาคารพาณิชย์
ตามพระราชบัญญัตินี้
รัฐมนตรีหมายความว่า
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบการธนาคารพาณิชย์เว้นแต่บริษัทจำกัด ซึ่งได้รับ
อนุญาตจากรัฐมนตรี
ในการขออนุญาต
เมื่อปรากฏว่าบริษัทผู้ขออนุญาตอยู่ในภาวะอันต้องด้วยความ
ประสงค์แห่งพระราชบัญญัตินี้แล้วก็ให้ได้รับอนุญาต
ในการตั้งบริษัทจำกัดเพื่อประกอบการธนาคารพาณิชย์ให้แจ้งความจำนงไปยัง
รัฐมนตรี พร้อมทั้งรายละเอียดตามสมควร
เมื่อได้รับแจ้งความจากรัฐมนตรีว่าให้ดำเนินการต่อไปได้แล้ว
จึงจะตั้งบริษัทขึ้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๖ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อว่า ธนาคารหรือคำอื่นใดซึ่งมี
ความหมายเช่นเดียวกันในธุระกิจ
เว้นแต่บริษัทจำกัด
ซึ่งได้รับอนุญาตหรือซึ่งกำลังดำเนินการ
จัดตั้งตามมาตรา ๕ วรรคท้าย
มาตรา ๗
ชื่อหรือคำแสดงชื่อของธนาคารใดหรือสาขาธนาคารใดจะต้องไม่เหมือนหรือคล้ายกับชื่อหรือคำแสดงชื่อของธนาคารสัญชาติไทยอื่นใด
มาตรา ๘
ทุนซึ่งชำระแล้วของธนาคารต้องเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าสองแสน
ห้าหมื่นบาท
มาตรา ๙
ธนาคารที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในราชอาณาจักรจะต้องกันเงิน
ไม่ต่ำกว่าร้อยละสิบห้าต่อปี จากกำไรสุทธิเพื่อตั้งและดำรงไว้เป็นเงินสำรองและจะต้องไม่แจก
กำไรแก่ผู้ถือหุ้นเป็นเงินปันผลเงินรางวัลหรือเงินอื่นใดในปีหนึ่งเป็นจำนวนสูงกว่าร้อยละสิบห้าของทุนซึ่งชำระแล้ว
จนกว่าเงินสำรองนั้นจะเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบของทุนซึ่งชำระแล้ว
มาตรา ๑๐
ให้ทุกธนาคารดำรงไว้ซึ่งเงินสดคงเหลือไม่ว่าในเวลาใด ๆ เป็น
จำนวนอย่างน้อยเท่ากับร้อยละยี่สิบของเงินฝาก
และไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งแห่งจำนวนเงินที่กำหนดไว้
นี้ต้องเป็นเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เหลือจากนั้นต้องเป็นธนบัตรหรือบัตรธนาคารหรือเหรียญกระษาปน์ซึ่งออกใช้ในประเทศไทย
อัตราส่วนเงินสดสำรองที่กล่าวข้างบนนี้
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจ
สั่งให้ลดลงได้ชั่วครั้งคราว เพื่อประโยชน์แห่งภาวะทั่วไปแห่งเครดิต
แต่ต้องไม่ลดลงจนต่ำกว่า
ร้อยละเก้าของเงินฝาก
มาตรา ๑๑
ห้ามมิให้ธนาคารใดกระทำการต่อไปนี้
(ก) ลดทุน
โดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
(ข) จ่ายเงินให้กรรมการของธนาคารนั้นเองกู้ยืมโดยทางตรงหรือทางอ้อม
(ค)
ให้กู้ยืมเงินโดยถือหุ้นของธนาคารนั้นเองเป็นประกัน
(ง) สินค้าธรรมดา
หรือรับภาระธุระในการค้าหรือธุระกิจอื่นใด นอกจาก
กิจการซึ่งเกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคาร
(จ)
ซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์เว้นแต่เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับ
ดำเนินธุระกิจของธนาคาร หรือสำหรับพนักงานธนาคาร
บรรดาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกเป็นของธนาคารโดยการชำระหนี้
หรือได้มาเพื่อ
ประกันต้นเงินซึ่งจ่ายให้กู้ยืมไปจะต้องจำหน่ายภายในเก้าปี
เว้นแต่จะได้ยื่นคำร้องต่อรัฐมนตรี
ขอยืดเวลาออกไป และได้รับอนุญาตแล้ว
(ฉ) ซื้อ หรือมีไว้
ซึ่งหุ้น หรือหุ้นกู้ในบริษัทใดเป็นจำนวนเงินเกินกว่าร้อยละ
ยี่สิบของเงินทุนในบริษัทนั้น หรือเกินกว่าร้อยละสิบของเงินทุนซึ่งชำระแล้ว
และเงินสำรองตามมาตรา ๙
(ช)
รับหุ้นจากธนาคารจากธนาคารอื่นเป็นประกัน
(ซ)
จ่ายเงินให้แก่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้างของธนาคารนั้นเองเป็น
ค่านายหน้าหรือเป็นเงินตอบแทนที่จ่ายสำหรับหรือเนื่องแต่การกระทำหรือธุระกิจใด
ๆ ของ
ธนาคาร ทั้งนี้นอกจากบำเหน็จ เงินเดือน เงินรางวัล
และเงินอนุญาตอย่างอื่นบรรดาที่พึ่งจ่าย
ตามปกติ
มาตรา ๑๒
ห้ามมิให้ธนาคารใดจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากให้แก่ลูกค้าสูงกว่าอัตรา
ต่อไป
(ก)
อัตราสำหรับเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามสูงกว่าอัตรามาตราฐาน
รับช่วงซื้อลดตั๋วเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อหักเสียร้อยละสองกึ่งแล้ว
(ข)
อัตราสำหรับเงินฝากที่ต้องจ่ายคืน
เมื่อสิ้นระยะเวลาไม่เกินหกเดือนสูงกว่า
อัตรามาตราฐานรับช่วงซื้อลดตั๋วเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อหักเสียร้อยละสองแล้ว
(ค)
อัตราสำหรับเงินฝากซึ่งต้องจ่ายคืน เมื่อสิ้นระยะเวลาไม่เกินหกเดือน สูงกว่า
อัตรามาตราฐานรับช่วงซื้อลดตั๋วเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อหักเสียร้อยละหนึ่งกึ่งแล้ว
มาตรา ๑๓
ให้ทุกธนาคารประกาศรายการตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนดแสดง
รายการย่อแห่งหนี้สินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ในวันทำงานวันสุดท้ายของทุกเดือน
หรือในวันอื่นใด
ตามแต่รัฐมนตรีจะได้ให้ความยินยอม การประกาศนั้นให้กระทำภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป
การประกาศนั้น
ให้ประกาศในหนังสือพิมพ์ซึ่งออกในราชอาณาจักรอย่างน้อย
หนึ่งฉบับ เว้นแต่รัฐมนตรีจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น
ให้ทุกธนาคารเสนอประกาศนั้นแก่รัฐมนตรี
หนึ่งฉบับ
มาตรา ๑๔
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจเรียกให้ธนาคารยื่นรายงานลับตามแบบที่
รัฐมนตรีต้องการ และให้ชี้แจ้งข้อความเพื่ออธิบายหรือขยายความแห่งรายงานนั้น
มาตรา ๑๕
ธนาคารซึ่งมีที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ในราชอาณาจักรจะต้อง
ประกาศงบดุลย์และบัญชีกำไรขาดทุน
ภายในสองเดือนหลังจากวันสิ้นปีของธุระกิจของธนาคาร
และก่อนวันประชุมใหญ่ประจำปีงบดุลย์นั้นจะต้องมีการรับรองของผู้สอบบัญชีผู้ซึ่งรัฐมนตรี
เห็นชอบแล้ว ผู้สอบบัญชีนี้ต้องเป็นบุคคลภายนอก
ไม่ใช่พนักงานหรือกรรมการของธนาคาร
ในกรณีที่ธนาคารมีที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่นอกราชอาณาจักร การประกาศ
เอกสารดังกล่าวนี้ในราชอาณาจักรต้องกระทำภายในเวลาอันสมควรหลังที่ได้ประกาศแล้วใน
ประเทศที่สำนักงานแห่งใหญ่ของธนาคารนั้นตั้งอยู่
แต่ความปกติต้องไม่เกินกว่าสามเดือน
ภายหลังวันสิ้นปีธุระกิจของธนาคารนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุขัดข้องอันสมควร
มาตรา ๑๖
ให้รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้มีการตรวจสอบสมุดและบัญชีของ
ธนาคารใด ๆ ไม่ว่าในวันทำการวันใด
ฉะเพาะอย่างยิ่งเพื่อสำรวจการดำเนินงานของธนาคารนั้น
โดยทั่วไปและเพื่อตีราคาสินทรัพย์
เพื่อความประสงค์แห่งมาตรานี้
รัฐมนตรีจะตั้งให้บุคคลใดเป็นผู้ทำการ
ตรวจสอบก็ได้
มาตรา ๑๗
เมื่อได้รับรายงานการตรวจสอบตามความในมาตรา ๑๖ แล้ว
ถ้ารัฐมนตรีเห็นว่าฐานะหรือการดำเนินงานโดยทั่วไปของธนาคารอยู่ในลักษณะอันจะเป็นเหตุ
ให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแค่ประโยชน์ของประชาชน
รัฐมนตรีจะเพิกถอนการอนุญาตที่ได้
ให้ไว้ตามความในพระราชบัญญัตินี้ก็ได้
ในกรณีที่มีการเพิกถอนการอนุญาต
รัฐมนตรีจะใช้วิธีการที่ระบุไว้ใน มาตรา ๒๑
ถึงมาตรา ๒๗ ก็ได้
มาตรา ๑๘
ในการติดต่อกับประชาชน ให้ธนาคารเปิดทำงานตั้งแต่ ๐๙.๐๐
นาฬิกา ถึง ๑๕.๐๐ นาฬิกา เว้นแต่วันเสาร์ให้เปิดทำงานตั้งแต่ ๐๙.๐๐ นาฬิกาถึง
๑๒.๐๐ นาฬิกา ในพฤติการณ์พิเศษหรือในบางท้องที่รัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายมีอำนาจอนุญาตให้ขยาย
ลด หรือเปลี่ยนเวลาทำงานได้
มาตรา ๑๙
ให้รัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายกำหนดและประกาศวัน
หยุดทำงานของธนาคารประจำปีสำหรับปีต่อไป และให้มีอำนาจประกาศกำหนดวันหยุดทำงาน
ของธนาคารในระหว่างปีด้วย
มาตรา ๒๐
ในกรณีที่ธนาคารใดหยุดทำการจ่ายเงิน ให้ธนาคารนั้นรายงานให้
รัฐมนตรีทราบทันที
และนับตั้งแต่เวลาที่ได้ยื่นรายงานนั้น ให้ถือว่ากิจการใด ๆ ที่ธนาคารนั้นได้
กระทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากรัฐมนตรีเป็นกิจการอันมิชอบ และให้ธนาคารนั้น
รายงานโดยละเอียดแสดงเหตุที่ต้องหยุดจ่ายเงินโดยไม่ชักช้า
เมื่อได้รับรายงานว่าธนาคารใดหยุดทำการจ่ายเงิน
ให้รัฐมนตรีตั้งเจ้าหน้าที่
ทำการสอบสวนพฤติการณ์นั้น
มาตรา ๒๑
เมื่อได้รับรายงานการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ตามความสามารถ
ในมาตรา ๒๐ แล้วให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งกรรมการคณะหนึ่ง
ประกอบด้วยประธานหนึ่งคน
และกรรมการอีกไม่น้อยกว่าสองคน เพื่อควบคุมและจัดการตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
ซึ่งกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารที่หยุดทำการจ่ายเงินนั้น
ให้คณะกรรมการดังกล่าวในวรรคก่อนมีอำนาจแต่งตั้งและกำหนดอำนาจ
พนักงานเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง หรือหลายคนเพื่อดำเนินการควบคุมและจัดการกิจการและสินทรัพย์
ของธนาคารที่หยุดทำการจ่ายเงินนั้นต่อไป
การเข้าควบคุมและจัดการกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารนั้น ให้แจ้งให้
ธนาคารทราบเป็นหนังสือ และให้ประกาศในหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับ
ทั้งให้ปิดประกาศให้เห็นได้
ชัดเจนไว้ ณ ที่ทำการของธนาคารนั้นด้วย
มาตรา ๒๒
ในการควบคุมและจัดการกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารที่
หยุดทำการจ่ายเงิน ให้คณะกรรมการมีอำนาจ
(ก)
เข้าครอบครองสินทรัพย์และจัดการธนาคารเหมือนหนึ่งได้รับโอนกิจการ
และสินทรัพย์ของธนาคารนั้นมาเป็นของตนเอง
ในการนี้จะให้หยุดดำเนินกิจการของธนาคาร
ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือจัดการจำหน่ายสินทรัพย์ภายในเวลาที่เห็นสมควรก็ได้
(ข)
เลิกกิจการเพื่อชำระบัญชี เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีแล้ว
มาตรา ๒๓
เมื่อธนาคารใดถูกควบคุมและจัดการกิจการและสินทรัพย์แล้ว
ให้พนักงานของธนาคารนั้นมอบกิจการและสินทรัพย์พร้อมด้วยสมุดบัญชี ดวงตรา
เอกสาร และ
สิ่งอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ทั้งสิ้นให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่โดยไม่ชักช้า
มาตรา ๒๔
ผู้ใดครอบครองสินทรัพย์ สมุดบัญชี ดวงตรา เอกสารและสิ่งอื่น
อันเกี่ยวกับกิจการหรือสินทรัพย์ของธนาคารที่ถูกควบคุมและจัดการ
มีหน้าที่ต้องรายงานให้
พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบโดยไม่ชักช้า
มาตรา ๒๕
เมื่อได้ปิดประกาศการเข้าควบคุมและจัดการกิจการและสินทรัพย์
ของธนาคารตามความในมาตรา ๒๑ วรรค ๓ แล้ว
(ก)
นิติกรรมที่ธนาคารนั้นกระทำขึ้นโดยมิได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ
ให้ถือเป็นโมฆะ
(ข)
การปฏิบัติตามนิติกรรมที่ได้กระทำขึ้นไว้ก่อนการควบคุมและจัดการนั้น
ไม่สมบูรณ์ เว้นแต่การกระทำการพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา ๒๖
ค่าใช้จ่ายโดยไม่เกินสมควรในการดำเนินการควบคุมและการจัดการ
ตลอดจนเงินเดือน ค่าจ้าง
และค่าบำเหน็จกรรมการ
พนักงานเจ้าหน้าที่หรือคนงาน
ให้คิดจาก
สินทรัพย์ของธนาคารที่ถูกควบคุมและจัดการนั้น
มาตรา ๒๗
ในกรณีที่ต้องเลิกกิจการและชำระบัญชี เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายหนี้สิน
ค่าบำเหน็จกรรมการและพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ถ้ามีเงินเหลือ
ให้คณะกรรมการรวบรวมไว้และ
เมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีแล้ว
ให้จ่ายคืนให้แก่ธนาคารที่ถูกควบคุมและจัดการ
มาตรา ๒๘
เพื่อความประสงค์แห่งมาตรา ๑๖ และ มาตรา ๒๐ ให้ผู้ทำการ
ตรวจสอบหรือผู้สอบสวนมีอำนาจเรียกให้กรรมการหรือพนักงานของธนาคารที่ต้องให้ตรวจสอบ
หรือถูกสอบสวนให้ถ้อยคำและแสดงสมุดบัญชีหรือเอกสารตามแต่จะต้องการ และให้มีอำนาจ
เข้าไปในสถานที่ทำการใด ๆ
ในระหว่างเวลาทำงานตามปกติ เพื่อตรวจสอบสมุดบัญชีและ
เอกสารต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคาร
มาตรา ๒๙
เพื่อความประสงค์แห่งมาตรา ๒๑ ให้คณะกรรมการหรือพนักงาน
เจ้าหน้าที่มีอำนาจเรียกบุคคลใด ๆ มาสอบถามข้อความหรือให้ส่งสินทรัพย์ ดวงตรา
สมุดบัญชี
เอกสารหรือสิ่งอื่นใดอันเกี่ยวกับกิจการหรือสินทรัพย์ซึ่งถูกควบคุมและจัดการนั้น
มาตรา ๓๐
ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา ๕ หรือมาตรา ๖ มีความผิดต้อง
ระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ
มาตรา ๓๑
ธนาคารใดฝ่าฝืนหรือละเลยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา ๗
มาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๒ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๘ หรือ
มาตรา ๒๐ หรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๔ มีความผิดต้องระวางโทษปรับ
ไม่เกินสองหมื่นบาท และในกรณีที่เป็นความผิดต่อเนื่องกัน
ให้ปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งพันบาท
ตลอดเวลาที่ยังทำการฝ่าฝืนอยู่
มาตรา ๓๒
ผู้ใดฝ่าฝืนหรือละเลยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา ๒๓ หรือ
มาตรา ๒๔ มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือทั้งปรับ
ทั้งจำ
มาตรา ๓๓
ผู้ใดขัดคำสั่งผู้ทำการตรวจสอบ ผู้สอบสวน คณะกรรมการ หรือ
พนักงานเจ้าหน้าที่ในการเรียกมาสอบถามหรือให้ส่งสิ่งของใดตามความในมาตรา ๒๘
หรือ
มาตรา ๒๙ มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือจำคุกไม่เกินหกเดือน
หรือ
ทั้งปรับทั้งจำ
มาตรา ๓๔
ผู้ใดได้ทราบกิจการของธนาคารใดเนื่องจากการปฏิบัติตามอำนาจ
หน้าที่ซึ่งกำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ถ้ากิจการนั้นเป็นกิจการซึ่งตามปกติวิสัยของธนาคารจะพึง
สงวนไว้ไม่เปิดเผย
ถ้าและผู้นั้นนำไปเปิดเผยนอกจากตามหน้าที่ หรือเพื่อประโยชน์แก่การ
สอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือการพิจารณาคดีในศาลมีความผิด
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ
มาตรา ๓๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหนักงานและออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
บทฉะเพาะกาล
-----------
มาตรา ๓๖
ธนาคารที่ได้รับอนุญาตแล้วตามความในพระราชบัญญัติควบคุม
กิจการธนาคาร พุทธศักราช ๒๔๘๐
ถ้ายังคงประกอบธุระกิจอยู่ในวันใช้พระราชบัญญัตินี้ ก็ให้
ถือว่าได้รับอนุญาตตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัตินี้
แต่ถ้าธนาคารใดมีทุนที่ชำระแล้วเป็นจำนวนต่ำกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘
ให้ธนาคารนั้นปฏิบัติตามบทบัญญัติที่กล่าวนั้นภายในเวลาสิบสองเดือน
มาตรา ๓๗
เมื่อรัฐมนตรีเห็นว่าในบรรดาธนาคารที่ประกอบธุระกิจอยู่ในวันใช้
พระราชบัญญัตินี้
มีธนาคารที่มีชื่อหรือคำแสดงชื่อคล้ายกันสองธนาคารหรือมากกว่า ก็ให้มีอำนาจ
สั่งเป็นหนังสือให้ธนาคารบรรดาที่ตั้งขึ้นภายหลังจัดการเปลี่ยนชื่อหรือคำแสดงชื่อนั้นเสียภายใน
หกเดือน
ธนาคารใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งรัฐมนตรีดังกล่าวในวรรคก่อน
มีความผิดต้อง
ระวางโทษปรับไม่เกินวันละห้าร้อยบาทตลอดเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอยู่
มาตรา ๓๘
ตราบใดที่ยังคงใช้พระราชบัญญัติควบคุมเครดิตในภาวะคับขัน
พุทธศักราช ๒๔๘๖ อยู่ให้พักการใช้บทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัตินี้ไว้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ม.ร.ว.เสนีย์
ปราโมช
นายกรัฐมนตรี
[รก.
๒๔๘๘/๖๑/๖๐๖/๑๖ ตุลาคม ๒๔๘๘]
สุรินทร์ /พิมพ์
๐๔/๐๒/๒๕๔๕
A+B (C) |
338744 | กฎกระทรวงการคลัง ออกตามความในพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พุทธศักราช 2488 | กหดหกดหกดหกด
กฎกระทรวงการคลัง
ออกตามความในพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๘๘
--------------------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พุทธศักราช ๒๔๘๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎไว้ ดังต่อไปนี้
การขออนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์
ข้อ ๑
ในกรณีที่จะตั้งบริษัทจำกัดซึ่งจดทะเบียนในราชอาณาจักร
(ก)
ให้ผู้ขออนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์แจ้งความจำนงเป็นหนังสือต่อ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพร้อมด้วยสำเนาหนังสือบริคณสนธิ
(ข) เมื่อได้รับแจ้งความจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ดำเนินการ
ต่อไปได้ และผู้รับอนุญาตได้ตั้งบริษัทขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว
ให้นำ
หลักฐานการจัดตั้งบริษัทนั้นยื่นต่อรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้
(๑) สำเนาใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนของบริษัท
(๒) สำเนารายงานการประชุมตั้งบริษัท
(๓) สำเนาข้อบังคับของบริษัท
ข้อ ๒
ในกรณีแห่งสาขาของธนาคารต่างประเทศ ผู้ขออนุญาตประกอบการ
ธนาคารพาณิชย์ต้องนำหลักฐานมาแสดงดังต่อไปนี้
(๑) สำเนาแสดงการจดทะเบียนของบริษัท
(๒) สำเนาหนังสือบริคณสนธิของบริษัท
(๓)
สำเนาข้อบังคับของบริษัท
(๔)
หลักฐานแสดงว่าได้ตั้งบริษัทขึ้นตามกฎหมายของประเทศซึ่งสำนักงาน
แห่งใหญ่ของธนาคารนั้นตั้งอยู่
(๕)
สำเนารายงานประจำปีซึ่งได้รับรองถูกต้องตามกฎหมายแสดงกิจการเพียง
วันสิ้นปีก่อนวันยื่นคำขอ
รายการแสดงอสังหาริมทรัพย์
ข้อ ๓. ให้ธนาคารยื่นรายการต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงบรรดา
อสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกเป็นของธนาคารโดยการชำระหนี้
หรือได้มาเพื่อประกันต้นเงินซึ่งจ่ายให้
กู้ยืมไปปีละครั้งภายในวันที่ ๑๕ ของเดือนแรกแห่งปีใหม่ ตามแบบ ธ.พ. ๑
ท้ายกฎนี้
รายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ของธนาคาร
ข้อ ๔
ให้ทำรายการย่อแห่งหนี้สินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ในวันสุดท้ายที่ทำงาน
ของทุกเดือน
หรือในวันอื่นใดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะได้ให้ความยินยอม ตามแบบ
ธ.พ. ๒ ท้ายกฎนี้
ตราบใดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังมิได้สั่งให้ประกาศรายการ
ดังกล่าวแล้วในหนังสือพิมพ์ ให้ธนาคารปิดประกาศรายการนั้นไว้ในที่เปิดเผย ณ
สำนักงานของ
ธนาคาร
รายการสำหรับเดือนใด
ให้ยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังภายในวันที่
๒๑ ของเดือนถัดจากเดือนนั้น
กฎให้ไว้
ณ วันที่ ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘
ดิเรก ชัยนาม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
[รก.๒๔๘๘/๗๒/๗๐๔/๒๕ ธันวาคม ๒๔๘๘]
พุทธชาด
/ แก้ไข
๒๐
พฤศจิกายน ๒๕๔๕
A+B
(C) |
573784 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 1/2551 เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่ง
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่
สนส. ๑/๒๕๕๑
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่ง
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
ด้วยธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งได้ตั้งแต่กันยายน
๒๕๔๗ เพื่อสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์สามารถให้บริการทางการเงินได้เพิ่มขึ้น
โดยเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ที่ประสงค์จะซื้อทรัพย์สินแต่ไม่มีเงินทุนเพียงพอ และได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจที่เป็นการขายและเช่ากลับคืน
(Sale and Lease Back)
ได้ เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ
โดยมีเงื่อนไขให้ผู้ขายและเช่ากลับคืนต้องเป็นนิติบุคคล
และทรัพย์สินที่ให้เช่าต้องไม่เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน
รถยนต์นั่งเกินเจ็ดคนแต่ไม่เกินสิบสองคน
หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลที่มีน้ำหนักรถไม่เกินหนึ่งพันหกร้อยกิโลกรัม ซึ่งมิได้ใช้ประกอบการขนส่งเพื่อสินจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก
เหตุที่ต้องจำกัดขอบเขตธุรกิจการขายและเช่ากลับคืนในช่วงเวลาดังกล่าว
เนื่องจากมีข้อกังวลเรื่องภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ต่อปี (Flat Interest
Rate) คำนวณผลตอบแทน
ทำให้ผู้เช่าไม่ทราบภาระอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Interest
Rate) ที่ถูกเรียกเก็บ
ในครั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจการขายและเช่ากลับคืนให้ธนาคารพาณิชย์สามารถให้บริการดังกล่าวกับบุคคลธรรมดาได้โดยไม่จำกัดประเภททรัพย์สิน
เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า
เป็นการเพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาเป็นหลักประกันเพื่อการหาเงินทุนในระบบได้
(Asset Based Financing)
โดยมีภาระดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อส่วนบุคคล
และได้กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศเผยแพร่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงซึ่งใช้คำนวณผลตอบแทนให้ผู้เช่าทราบ
เนื่องจากการให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งเป็นธุรกรรมคล้ายการให้สินเชื่อ
ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์ควรบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมเช่นเดียวกับการให้สินเชื่อ
๒. อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙
ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่ง ตามข้อกำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจ
๔. เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่ง ลงวันที่ ๗
เมษายน ๒๕๔๘
๔.๒ หลักการ
๔.๒.๑
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่ง
ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่จะสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ให้บริการทางการเงินได้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี การประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งจะต้องไม่หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นๆ
หรือเป็นช่องทางในการตกแต่งบัญชี เช่น
ในกรณีเจ้าของทรัพย์สินนำทรัพย์สินมาจำหน่ายให้ธนาคารพาณิชย์
และหลังจากนั้นทำการเช่าทรัพย์สินนั้นจากธนาคารพาณิชย์ (Sale
and Lease Back) โดยธนาคารพาณิชย์ประเมินราคาจำหน่ายที่สูงเกินจริงเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้เช่า
หรือในทางกลับกัน ธนาคารพาณิชย์เป็นเจ้าของทรัพย์สินและได้ทำการ Sale
and Lease Back โดยจำหน่ายทรัพย์สินให้ผู้ให้เช่ารายอื่นในราคาที่สูงเกินจริง
เพื่อสร้างกำไรทางบัญชี หรือการประเมินราคาทรัพย์สินอย่างไม่เหมาะสม เป็นต้น
๔.๒.๒
ธนาคารแห่งประเทศไทยมุ่งเน้นให้ธนาคารพาณิชย์บริหารความเสี่ยงของตนเองโดยธนาคารพาณิชย์ต้องมีความรู้ความเข้าใจในลักษณะธุรกรรม
ทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่ง
รวมทั้งความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีนโยบายและระเบียบปฏิบัติในการประกอบธุรกิจ
รวมทั้งมีระบบงาน ระบบบริหารความเสี่ยง
และระบบการควบคุมภายในที่สามารถรองรับการประกอบธุรกิจได้
๔.๒.๓
การประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งมีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับการให้สินเชื่อทั่วไป
ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยงและคุณภาพของสินเชื่อ เช่น
กระบวนการอนุมัติสินเชื่อที่มีมาตรฐานซึ่งจะต้องยึดถือรายได้ของลูกหนี้เป็นปัจจัยสำคัญ
การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้
และการประเมินมูลค่าของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อหรือให้เช่าแบบลีสซิ่งต้องมีหลักเกณฑ์อ้างอิงที่เชื่อถือได้
เป็นต้น โดยไม่มุ่งเน้นแต่เพียงการเพิ่มปริมาณของสินเชื่อ
ธนาคารพาณิชย์ที่ต้องการประกอบธุรกิจดังกล่าวต้องมีความพร้อมในเรื่องจำนวนและคุณภาพของบุคลากร
และระบบงานต่างๆ ได้แก่ ระบบการบริหารความเสี่ยง การวิเคราะห์สินเชื่อและทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อหรือ
ให้เช่าแบบลีสซิ่ง การติดตามและทวงถามหนี้
การบังคับขายทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่ง
รวมไปถึงการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล
๔.๓ คำจำกัดความ
ในประกาศฉบับนี้
ทรัพย์สิน หมายความว่า
สังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ธนาคารพาณิชย์ให้เช่าซื้อหรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง
ให้เช่าแบบลีสซิ่ง หมายความว่า
การให้เช่าทรัพย์สินในลักษณะที่เป็นสัญญาเช่าการเงิน (Financial
Lease) โดยธนาคารพาณิชย์จัดหาทรัพย์สินตามความประสงค์ของผู้เช่ามาจากผู้ผลิต
ผู้จำหน่าย หรือบุคคลอื่น หรือเป็นทรัพย์สินที่ยึดได้จากผู้เช่ารายอื่น
เพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินนั้น
โดยผู้เช่ามีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่า ทั้งนี้
ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ และเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า
สิทธิในการซื้อทรัพย์สินที่เช่าขึ้นอยู่กับข้อตกลงของธนาคารพาณิชย์และผู้เช่า
เช่าซื้อ หมายความว่า
เช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ราคาเงินสด หมายความว่า
ราคาที่จะพึงซื้อขายทรัพย์สินที่ให้เช่ากันได้ในท้องตลาดด้วยเงินสด ณ วันทำสัญญา
เงินลงทุน หมายความว่า
ผลรวมของราคาเงินสดและค่าใช้จ่ายต่างๆ
ที่ธนาคารพาณิชย์ต้องชำระเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สิน เช่น ค่าขนส่ง ค่าภาษีอากร
และค่าเบี้ยประกันภัย เป็นต้น
โดยเงินลงทุนจะต้องมียอดลดลงตามจำนวนเงินที่ผู้เช่าผ่อนชำระเงินรายงวดตามสัญญาเช่า
เงินรายงวด หมายความว่า
จำนวนเงินที่ผู้เช่าต้องชำระแก่ธนาคารพาณิชย์ในแต่ละงวดซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นเงินต้นและดอกเบี้ยหรือดอกผลเช่าซื้อ
เงินล่วงหน้า หมายความว่า
จำนวนเงินที่ผู้เช่าต้องชำระล่วงหน้าครั้งแรกเมื่อทำสัญญาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของจำนวนเงินที่ต้องจ่ายตามสัญญา
สัญญาเช่า หมายความว่า
สัญญาเช่าซื้อ หรือสัญญาเช่าแบบลีสซิ่ง
ผู้ให้เช่า หมายความว่า
ผู้ให้เช่าซื้อ หรือผู้ให้เช่าแบบลีสซิ่ง
ผู้เช่า หมายความว่า
ผู้เช่าซื้อ หรือผู้เช่าแบบลีสซิ่ง
รัฐมนตรี หมายความว่า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
๔.๔ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งได้
โดยธนาคารพาณิชย์ที่จะประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่ง
ต้องมีคุณสมบัติและปฏิบัติตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้
๔.๔.๑
มีฐานะการเงินและฐานะการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ดี สามารถกันเงินสำรองได้ครบถ้วน
สามารถดำรงอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์และภาระผูกพันได้ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ตลอดจนสามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินอื่นใดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งการเป็นกรณีพิเศษ
๔.๔.๒
ให้ความร่วมมือกับทางการในการปฏิบัติตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการปรับบทบาทและรูปแบบสถาบันการเงิน
โดยธนาคารพาณิชย์ที่มีสถาบันการเงินที่รับฝากเงินจากประชาชนอยู่ภายใต้กลุ่มธุรกิจเดียวกันมากกว่า
๑ แห่ง/รูปแบบ ต้องจัดทำแผนการควบกิจการ รวมกิจการ ขายกิจการ คืนใบอนุญาต
รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากสถาบันการเงินแห่งอื่นเพื่อการดำเนินการตามนโยบายสถาบันการเงิน
๑ รูปแบบ (One Presence) ตามแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๔.๓
จัดทำแผนงานรองรับการประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารพาณิชย์
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานและเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้
ทั้งนี้ แผนงานดังกล่าวต้องมีสาระสำคัญอย่างน้อย ดังนี้
(๑) นโยบายและระเบียบปฏิบัติในการประกอบธุรกิจ
(๒) รายละเอียดของระบบการบริหารจัดการ
ระบบบริหารความเสี่ยง ระบบการควบคุมภายใน และระบบการจัดทำบัญชี รวมทั้ง
ความพร้อมและคุณภาพของบุคลากร
(๓)
รายละเอียดของระบบบริหารความเสี่ยงต้องครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย
- ระบบการวิเคราะห์สินเชื่อ
เพื่อการกำหนดวงเงินสินเชื่อของลูกค้าและการกำหนดจำนวนเงินล่วงหน้าที่ลูกค้าต้องชำระที่มีกระบวนการเป็นมาตรฐาน
โดยเฉพาะในการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ต้องยึดถือรายได้ของลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญ
รวมทั้งวิเคราะห์ถึงคุณภาพและสภาพคล่องของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อหรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง
-
การกำหนดประเภทของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อหรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง การกำหนดจำนวนเงินลงทุนสูงสุดสำหรับทรัพย์สินแต่ละประเภท
และทรัพย์สินทุกประเภทรวมกัน โดยคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น
ตลาดรองสำหรับขายทรัพย์สิน การล้าสมัยของทรัพย์สิน เป็นต้น
-
การบริหารทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อหรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง
ซึ่งรวมถึงการจัดหาทรัพย์สิน การดำเนินการกับทรัพย์สินที่ยึดมา
การติดตามและตรวจสอบสภาพทรัพย์สินการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน
การประเมินมูลค่าซากของทรัพย์สิน จะต้องมีกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินนั้น
ธนาคารพาณิชย์จะใช้ผู้ประเมินราคาอิสระหรือผู้ประเมินราคาภายในก็ได้ โดยธนาคารพาณิชย์ต้องถือปฏิบัติตามมาตรฐานจรรยาบรรณและมาตรฐานการปฏิบัติงานซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในวงการวิชาชีพการประเมินราคาสินทรัพย์
- ระบบการเรียกเก็บหนี้
และการติดตามทวงถามหนี้ที่สามารถเตือนให้ธนาคารพาณิชย์ทราบเมื่อลูกหนี้เริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้หรือไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามข้อตกลง
ตลอดจนกลยุทธ์ในการเรียกเก็บหนี้ในกรณีต่างๆ
โดยให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามแนวปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทยในการติดตามทวงถามหนี้
- การจัดเก็บข้อมูล และการจัดทำรายงาน
ตลอดจนระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารสำหรับใช้ในการกำหนดและทบทวนนโยบายและแผนงานเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่ง
๔.๔.๔
ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งต้องยื่นหนังสือแสดงความจำนงที่จะประกอบธุรกิจดังกล่าวที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการธนาคารพาณิชย์ให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย
โดยธนาคารพาณิชย์ที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายสถาบันการเงิน ๑ รูปแบบ (One
Presence) ของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินต้องให้การรับรองมาในหนังสือแสดงความจำนงดังกล่าวด้วยว่าจะปฏิบัติตามแผนการควบกิจการ
รวมกิจการ ขายกิจการ คืนใบอนุญาตรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากสถาบันการเงินแห่งอื่น
เพื่อการดำเนินการตามนโยบายสถาบันการเงิน ๑ รูปแบบ (One Presence)
ที่รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆ
ที่รัฐมนตรีจะกำหนดประกอบการให้ความเห็นชอบ
ทั้งนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์จัดส่งหนังสือแสดงความจำนงไปที่สายกำกับสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย
โดยเมื่อธนาคารพาณิชย์ได้ยื่นหนังสือแสดงความจำนงแล้ว
ให้มีผลเป็นการอนุญาตเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่ยื่นหนังสือดังกล่าว
เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีข้อทักท้วงหรือให้ชี้แจงเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีข้อทักท้วงหรือให้ชี้แจงเพิ่มเติม
ให้ธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตเมื่อได้รับแจ้งการอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
๔.๕ การจัดทำสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าแบบลีสซิ่ง
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดทำสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าแบบลีสซิ่งกับผู้เช่าเป็นหนังสืออย่างน้อย
๒ ฉบับ และมอบให้ผู้เช่าเก็บไว้เป็นหลักฐาน ๑ ฉบับ
โดยต้องระบุรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับสัญญาเช่าแต่ละประเภท ดังนี้
(๑) ประเภท ลักษณะ และอายุการใช้งานของทรัพย์สิน
(๒) ราคาเงินสด เงินลงทุน จำนวนเงินล่วงหน้า
จำนวนเงินรายงวด และอัตราดอกเบี้ยที่ใช้ในการคำนวณผลตอบแทน
(๓) รายละเอียดและวิธีการที่ใช้ในการคำนวณผลตอบแทน
และจำนวนเงินรายงวด หากธนาคารพาณิชย์ใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ต่อปี (Flat
Interest Rate) ในการคำนวณผลตอบแทนให้ระบุอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปีด้วย
(Effective Interest Rate)
(๔) ระยะเวลาในการเช่า
(๕) วิธีการส่งมอบ การตรวจตรา การติดตรึงหรือติดตั้ง
การเคลื่อนย้าย การสูญหาย ความเสียหาย ความชำรุดบกพร่อง การบำรุงรักษา
และการใช้ประโยชน์ของทรัพย์สินนั้น
(๖) การประกันภัย
การรับค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย การค้ำประกัน
(๗)
เงื่อนไขและสิทธิของผู้เช่าที่จะชำระค่าเช่าตามสัญญาคงเหลือสุทธิก่อนถึงกำหนด
(ถ้ามี)
(๘) ค่าใช้จ่ายและค่าเบี้ยปรับในกรณีต่างๆ
(๙) เงื่อนไขในการบอกเลิกสัญญา
การสิ้นสุดของสัญญา และการยึดทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อหรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง
(๑๐)
เงื่อนไขในการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินแก่ผู้เช่า
(๑๑) เงื่อนไขในการให้ผู้เช่าเช่าต่อหรือซื้อทรัพย์สินทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของทรัพย์สินด้วยราคาที่ตกลงกัน
เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าและผู้เช่าใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินโดยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินครบถ้วนตามสัญญาเช่าแล้ว
ธนาคารพาณิชย์ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้เช่าโดยไม่ชักช้า
นอกจากนั้น
เนื่องจากการให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์
และการให้เช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา
ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง
ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๔๓
และประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง
ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๔๔
ดังนั้นในการให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ และการให้เช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดทำสัญญาเช่าซื้อให้เป็นไปตามประกาศดังกล่าว
ตลอดจนหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาประกาศกำหนดด้วย
๔.๖ การประกาศเผยแพร่อัตราดอกเบี้ยในการคำนวณผลตอบแทน
ค่าปรับ ค่าบริการค่าใช้จ่าย และค่าธรรมเนียมใดๆ
๔.๖.๑
ให้ธนาคารพาณิชย์ปิดประกาศอัตราดอกเบี้ยในการคำนวณผลตอบแทนค่าปรับ ค่าบริการ
ค่าใช้จ่าย และค่าธรรมเนียมใดๆ ในการให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบ ลีสซิ่งไว้ในที่เปิดเผย
ณ
สำนักงานทุกแห่งภายในวันเดียวกับที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศหรือเปลี่ยนแปลงรายละเอียด
รวมทั้งให้เผยแพร่ข้อมูลข้างต้นไว้ในเว็บไซต์ (Website) ของธนาคารพาณิชย์ก่อนวันที่รายละเอียดดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
หากธนาคารพาณิชย์ใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ต่อปี (Flat Interest Rate)
ในการคำนวณผลตอบแทนให้ระบุอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปีด้วย (Effective
Interest Rate)
๔.๖.๒
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ประสงค์จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด อัตราค่าธรรมเนียม
ค่าใช้จ่าย ค่าปรับ วิธีการคำนวณ และเงื่อนไขต่างๆ ของสัญญา
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
หลักเกณฑ์การให้บริการแก่ลูกค้า
การเปิดเผยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์
รวมทั้งประกาศและหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติม
๔.๗ การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจ
๔.๗.๑
ธนาคารพาณิชย์ต้องให้ความสำคัญกับการลดความเสี่ยงต่อการเสียหายของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลิสซิ่ง
และควรจัดให้มีประกันภัยทรัพย์สินดังกล่าว โดยธนาคารพาณิชย์เป็นผู้รับประโยชน์ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ทั้งนี้ ในการทำประกันภัยธนาคารพาณิชย์ ต้องคำนึงถึงประเภททรัพย์สิน
ยอดเงินลงทุนในทรัพย์สิน โอกาสในการเกิดความเสียหายของทรัพย์สิน
และค่าซ่อมแซมกรณีทรัพย์สินได้รับความเสียหาย เป็นต้น
๔.๗.๒
ในการคำนวณจำนวนเงินสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์สามารถลงทุนในทรัพย์สินเพื่อให้เช่าซื้อหรือให้เช่าแบบลีสซิ่งแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ให้ถือเสมือนว่าเงินลงทุนในทรัพย์สินเพื่อการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งเป็นการให้สินเชื่อรูปแบบหนึ่ง
และให้ธนาคารพาณิชย์นับธุรกรรมการให้
สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการหรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง รวมเข้ากับธุรกรรมการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่ง
ธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน ธุรกรรมแฟ็กเตอริงและธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ของบุคคลนั้น
ซึ่งเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑
ของธนาคารพาณิชย์
สำหรับกรณีของธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยในการคำนวณจำนวนเงินสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์
เพื่อรายย่อยสามารถลงทุนในทรัพย์สินเพื่อให้เช่าซื้อหรือให้เช่าแบบลีสซิ่งแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งให้ถือเสมือนว่าเงินลงทุนในทรัพย์สินเพื่อการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งเป็นการให้สินเชื่อรูปแบบหนึ่ง
และให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยนับธุรกรรมการให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการหรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
รวมเข้ากับธุรกรรมการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
และธุรกรรมแฟ็กเตอริงของบุคคลนั้น ซึ่งเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
ต้องไม่เกินกว่าวงเงินการให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้แต่ละรายที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยอาจทำได้
กล่าวคือ ในกรณีที่ลูกหนี้เป็นประชาชนรายย่อยและมีหลักประกัน
วงเงินการให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้แต่ละรายต้องไม่เกินร้อยละ ๑ ของเงินกองทุนชั้นที่
๑ และในกรณีที่ลูกหนี้เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมวงเงินการให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้แต่ละรายต้องไม่เกินร้อยละ
๑๐ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ตามกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์
วิธีการ และ เงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๔๗
รวมทั้งหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดต่อไป
๔.๗.๓
ในการคำนวณน้ำหนักความเสี่ยงของลูกหนี้ตามสัญญาเช่าเพื่อดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพัน
การจัดชั้นลูกหนี้ตามสัญญาเช่าและการกันสำรอง
รวมทั้งการระงับการรับรู้ดอกเบี้ยค้างรับเป็นรายได้จากการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในลักษณะเดียวกับเงินให้สินเชื่อทั่วไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๗.๔
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับทรัพย์สินกลับคืนมาเนื่องจากสิ้นสุดสัญญาเช่าหรือเนื่องจากยึดมาจากผู้เช่า
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการจำหน่ายหรือให้เช่าทรัพย์สินนั้นต่อภายในหกเดือนนับแต่วันสิ้นสุดสัญญาเช่าหรือนับแต่วันที่ยึดมา
หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว
ธนาคารพาณิชย์ยังไม่สามารถจำหน่ายหรือให้เช่าทรัพย์สินนั้นต่อได้
ธนาคารพาณิชย์ต้องกันเงินสำรองสำหรับทรัพย์สินนั้นโดยให้ทยอยกันเงินสำรองทุกงวดหกเดือน
ในอัตรางวดละไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๕ ของมูลค่าทรัพย์สินนั้น ณ
วันสิ้นสุดสัญญาเช่าหรือวันที่ยึดมา
หากปรากฏว่าทรัพย์สินที่ได้รับกลับคืนมานั้นเข้าข่ายเป็นสินทรัพย์จัดชั้นสูญหรือสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ
ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์
ให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการตัดทรัพย์สินนั้นออกจากบัญชีหรือกันเงินสำรองให้ครบถ้วนทันทีตามประกาศที่กล่าวด้วย
โดยในกรณีทรัพย์สินนั้นเข้าข่ายเป็นสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ
ให้ธนาคารพาณิชย์กันเงินสำรองเป็นจำนวนที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบระหว่างเงินสำรองที่ได้ทยอยกันไปแล้วตามวิธีการที่กล่าวในวรรคแรกกับเงินสำรองที่ต้องกันสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามประกาศที่กล่าว
ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ได้รับกลับคืนมานั้น
มีอายุการใช้งานเหลือน้อยกว่า ๒ ปี และธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถจำหน่ายหรือให้เช่าต่อได้ภายในหกเดือนนับแต่วันสิ้นสุดสัญญาเช่าหรือวันที่ยึดมาให้ธนาคารพาณิชย์กันเงินสำรองสำหรับทรัพย์สินนั้นทั้งจำนวนทันที
เมื่อครบระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันสิ้นสุดสัญญาเช่าหรือวันที่ยึดมา
๔.๘ การจัดทำบัญชีและรายงาน
๔.๘.๑ ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชี
กฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
๔.๘.๒
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีข้อมูลและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งไว้
เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา
๔.๙ ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการดังนี้
๔.๙.๑
จัดหาทรัพย์สินโดยที่ยังไม่ได้ตกลงทำสัญญาเช่าทรัพย์สินนั้นกับผู้ใด
หรือจัดหาทรัพย์สินในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดหรือสูงกว่าราคาต่ำสุดที่พึงจัดหาได้
๔.๙.๒ นำทรัพย์สินที่ให้เช่าไปทำนิติกรรมกับบุคคลใดอันก่อให้เกิดภาระแก่ทรัพย์สินนั้น
เว้นแต่ในกรณีจำเป็นโดยได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขใดๆ ก็ได้
๔.๙.๓ ให้ผู้เช่านำทรัพย์สินไปให้เช่าช่วง
ยกเว้นในกรณีที่ผู้เช่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าทรัพย์สินเป็นทางค้าปกติ
๔.๑๐ กรณีที่เจ้าของทรัพย์สินนำทรัพย์สินมาขายและเช่ากลับคืน
(Sale
and Lease Back)
๔.๑๐.๑
ธนาคารพาณิชย์ต้องถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเช่นเดียวกันกับการประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งดังกล่าวข้างต้น
๔.๑๐.๒ ในการรับซื้อทรัพย์สินและให้เช่ากลับคืน
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการให้มีการประเมินราคาทรัพย์สินที่จะรับซื้อและให้เช่ากลับคืนดังนี้
๑)
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีการประเมินราคาทรัพย์สินที่จะรับซื้อและให้เช่ากลับคืน ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยคณะกรรมการธนาคารหรือคณะผู้บริหารที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวข้องตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการธนาคาร
อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ต้องประเมินราคาทรัพย์สินอย่างเหมาะสม
เพื่อป้องกันมิให้เกิดการตกแต่งบัญชี หรือการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ขายและเช่ากลับคืน
๒)
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ไม่มีความชำนาญหรือทรัพย์สินไม่มีราคาประเมินในตลาดรองเพื่อการอ้างอิง
เช่น เครื่องจักร เครื่องบิน และเรือ เป็นต้น
ธนาคารพาณิชย์ควรใช้ผู้ประเมินอิสระภายนอกในการประเมินราคาทรัพย์สินที่จะรับซื้อและให้เช่ากลับคืน
ประกอบการพิจารณา ทั้งนี้
เพื่อป้องกันมิให้เกิดการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ขายและเช่ากลับคืนในการตกแต่งบัญชี
เช่น การรับซื้อทรัพย์สินในราคาที่สูงเกินจริง
๔.๑๑ การพักหรือเพิกถอนการอนุญาตประกอบธุรกิจ
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจพักหรือสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งได้
ในกรณีดังต่อไปนี้
๔.๑๑.๑ ธนาคารพาณิชย์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดข้างต้น
๔.๑๑.๒
ธนาคารพาณิชย์ไม่ดำเนินการตามแผนการควบกิจการ รวมกิจการ ขายกิจการ คืนใบอนุญาต
รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากสถาบันการเงินแห่งอื่นเพื่อการดำเนินการตามนโยบายสถาบันการเงิน
๑ รูปแบบ (One Presence) ตามที่รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
๔.๑๑.๓
ธนาคารพาณิชย์ไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดประกอบการให้ความเห็นชอบแผนการควบกิจการ
รวมกิจการ ขายกิจการ คืนใบอนุญาต
รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากสถาบันการเงินแห่งอื่นเพื่อการดำเนินการตามนโยบายสถาบันการเงิน
๑ รูปแบบ (One Presence)
๔.๑๑.๔ กรณีอื่นๆ
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่ากระทบกับความปลอดภัยหรือความผาสุกของประชาชน
๕. วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๕
มีนาคม ๒๕๕๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนพิเศษ ๕๗ ง/หน้า ๒๑/๒๐ มีนาคม ๒๕๕๑ |
566102 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 8/2550 เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร Collateralized Debt Obligation
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่
สนส. ๘/๒๕๕๐
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร Collateralized Debt
Obligation
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถลงทุนในตราสาร
Collateralized Debt Obligation
ได้ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗
โดยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการลงทุนและบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องไว้แล้วนั้น
ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาเห็นว่าในสภาวะที่ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนเพิ่มมากขึ้นธนาคารพาณิชย์ไทยควรมีระบบบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมเพื่อรองรับธุรกรรมที่กล่าว
และมีการบันทึกบัญชีและการประเมินมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในตราสารดังกล่าวที่สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีสากล
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นสมควรยกเลิกประกาศดังกล่าว
โดยปรับปรุงมาเป็นประกาศฉบับนี้แทน
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร Collateralized
Debt Obligation ตามข้อกำหนดในประกาศนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารยกเว้นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
๔.
เนื้อหา
ข้อ ๔.๑
ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร Collateralized
Debt Obligation ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๗
ข้อ ๔.๒ ตราสาร Collateralized
Debt Obligation (CDO) หมายถึง
ตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงกระจายตัวอยู่ในอุตสาหกรรมต่างประเภท
หรือต่างภูมิภาคกัน และมีข้อตกลงว่าจะจ่ายคืนเงินต้นและผลตอบแทนทั้งหมดหรือบางส่วนให้กับผู้ทรงตราสารโดยอ้างอิงกับเงื่อนไขหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้
(Credit Event) ของกลุ่มสินทรัพย์อ้างอิงที่กำหนดไว้
คุณภาพของกลุ่มสินทรัพย์อ้างอิง และลำดับของสิทธิที่กำหนดไว้ในตราสาร
สำหรับสินทรัพย์อ้างอิงตามวรรคแรก
อาจเป็นบัญชีลูกหนี้หรือตราสารหนี้ (Cashflow CDO)
หรือเป็นการทำข้อตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต (Synthetic
CDO) เช่น สัญญา Credit Default
Swap โดยผู้ออกตราสาร CDO จะนำเงินที่ได้รับจากการออกขายตราสารไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้ชั้นดีก็ได้
ข้อ ๔.๓ ธนาคารพาณิชย์จะลงทุนในตราสาร Synthetic
CDO ได้ เฉพาะในกรณีที่นิติบุคคลเฉพาะกิจฯ
จะนำเงินที่ได้รับจากการออกขายตราสารดังกล่าวไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้ชั้นดีที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ
AA หรือเทียบเท่าขึ้นไป จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจากสากลในกรณีที่เป็นตราสารซึ่งออกขายในต่างประเทศ
ข้อ ๔.๔ ก่อนตัดสินใจลงทุนในตราสาร CDO
ทุกครั้ง ให้ธนาคารพาณิชย์ประเมินมูลค่ายุติธรรมของการลงทุนในตราสาร CDO
และการทำธุรกรรม Credit Linked Notes/Deposits
First to Default
Credit Linked Notes/Deposits
Proportionate Credit Linked
Notes/Deposits และธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ที่ได้ทำไปแล้วก่อนหน้านี้ รวมถึงธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง (Hedging
Instruments) สำหรับธุรกรรมตามที่กล่าวข้างต้น (ถ้ามี)[๑]หากมีผลขาดทุนสุทธิให้นำมาหักออกจากเงินกองทุน
ณ สิ้นงวดการบัญชีล่าสุดของธนาคารพาณิชย์ก่อน
โดยเงินกองทุนที่ยังเหลืออยู่ต้องไม่ต่ำกว่าอัตราตามที่กฎหมายกำหนดและมีพียงพอที่จะรองรับธุรกรรม
CDO ที่ต้องการจะลงทุนเพิ่ม มิฉะนั้น
ธนาคารพาณิชย์จะลงทุนในธุรกรรม CDO ดังกล่าวไม่ได้
นอกจากนี้
ธนาคารพาณิชย์จะต้องประเมินมูลค่ายุติธรรมของตราสาร CDO อย่างต่อเนื่อง[๒]และนำผลขาดทุนสุทธิจากการประเมินมูลค่าดังกล่าวมาหักออกจากเงินกองทุน
ณ สิ้นงวดการบัญชีล่าสุดของธนาคารพาณิชย์
โดยผลขาดทุนสุทธิดังกล่าวให้รวมผลจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมของธุรกรรม Credit
Linked Notes/Deposits First
to default Credit Linked
Notes/Deposits Proportionate Credit
Linked Notes/Deposits และธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงที่ได้ทำไปแล้วรวมถึงธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง
(Hedging Instruments) สำหรับธุรกรรมตามที่กล่าวข้างต้น
(ถ้ามี) มาคำนวณด้วย
หากมีผลทำให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดธนาคารพาณิชย์จะต้องดำเนินการตามนโยบายและขั้นตอนการปฏิบัติที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยรวมถึงการรายงานต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องตามระดับความรุนแรงของปัญหาและระยะเวลาในการดำเนินการด้วย
โดยนโยบายที่กล่าวจะต้องอนุมัติโดยคณะกรรมการธนาคารสำหรับปัญหาที่รุนแรงจะต้องรายงานต่อคณะกรรมการธนาคารเพื่อพิจารณาสั่งการ
และแจ้งให้ ธปท. รับทราบถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วย
ข้อ ๔.๕ ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร CDO
ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงดังต่อไปนี้เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นรายกรณี
(๑) ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์
(บัญชีมาร์จิ้น)
(๒)
ตราสารที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ผู้ลงทุน
(๓) ตราสาร CDO
ข้อ ๔.๖ ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะลงทุนในตราสาร CDO
จะต้องลงทุนเฉพาะในตราสารที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ BBB
ขึ้นไปหรือเทียบเท่าจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจากสากลในกรณีที่เป็นตราสารซึ่งออกขายในต่างประเทศ
ทั้งนี้ หากภายหลังตราสารดังกล่าวถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงจนต่ำกว่าระดับ BBB
ธนาคารพาณิชย์จะสามารถถือตราสารต่อไปได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารเท่านั้น
โดยธนาคารพาณิชย์ต้องเก็บหลักฐานในการอนุมัติดังกล่าวไว้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบด้วย
ข้อ ๔.๗ ธนาคารพาณิชย์ที่ลงทุนในตราสาร CDO
จะต้องมีความรู้และความเข้าใจในลักษณะความเสี่ยงของสินทรัพย์อ้างอิง
ปัจจัยหลักที่จะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของสินทรัพย์อ้างอิงประเภทต่างๆ
รวมทั้งจะต้องมีการวิเคราะห์แนวโน้มของปัจจัยความเสี่ยงที่กล่าวเพื่อรองรับการลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงนั้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ตลอดระยะเวลาการลงทุนตลอดจนการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการที่สินทรัพย์อ้างอิงที่กล่าวกระจุกตัวในสินทรัพย์อ้างอิงประเภทใดประเภทหนึ่ง
หรือผู้ออกสินทรัพย์อ้างอิงรายใดรายหนึ่ง
หรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งหรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งด้วย นอกจากนี้
หากสินทรัพย์อ้างอิงของตราสารนี้เป็น Structured Finance
Securities เช่น Asset Backed Securities,
Mortgage Backed Securities
ฯลฯ
ธนาคารผู้ลงทุนก็ต้องมีความรู้และความเข้าใจในความเสี่ยงของสินทรัพย์อ้างอิงของ Structured
Finance Securities ด้วย
ข้อ ๔.๘ ให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร CDO
ที่ออกโดยนิติบุคคลเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำธุรกรรม CDO ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ทั้งในและนอกประเทศ
หรือคู่สัญญาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติมเท่านั้น
ข้อ ๔.๙ ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม
และให้ถือปฏิบัติดังนี้
(๑) คณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในประเทศหรือต่างประเทศในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
จะต้องเข้าใจลักษณะของตราสารและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
และเป็นผู้กำหนดและอนุมัตินโยบาย และกลยุทธ์เกี่ยวกับการลงทุนและการบริหารความเสี่ยงอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนจะต้องระบุขอบเขตและประเภทของธุรกรรมที่สามารถลงทุนได้อย่างชัดเจน
รวมทั้งเพดานขั้นสูงของการลงทุนซึ่งอาจแยกเป็นประเภทตามความเหมาะสม
โดยจะต้องมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกิดจากประเภทและโครงสร้างของธุรกรรม CDO
ที่อนุญาตให้ลงทุนอย่างละเอียดโดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับโครงสร้างที่ไม่เป็นมาตรฐาน
หรือมีการ Leverage ความเสี่ยง เป็นต้น
สำหรับนโยบายและกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงควรครอบคลุมถึง
โครงสร้างการบริหารความเสี่ยง ผู้รับผิดชอบในแต่ละระดับขั้นระบบงานที่ใช้ในการบริหารความเสี่ยง
การกำหนดเพดานความเสี่ยงต่างๆ เพื่อควบคุมความเสี่ยง เช่น Stop
loss limit และ Limit
ที่เกี่ยวข้องกับการกระจุกตัวในทุกปัจจัยที่กล่าวในข้อ ๔.๗
และการรายงานความเสี่ยงต่อคณะกรรมการธนาคารหรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในประเทศหรือต่างประเทศในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้
การเปลี่ยนแปลงนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในประเทศหรือต่างประเทศในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
ก่อนทุกครั้ง
(๒)
คณะกรรมการย่อยและผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการลงทุนดังกล่าวจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในลักษณะของตราสารและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดีและจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลการลงทุนดังกล่าวตามนโยบายและกลยุทธ์ที่ได้รับความเห็นชอบอย่างใกล้ชิด
โดยจะต้องให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุน ทั้งนี้
จะต้องจัดให้มีการวิเคราะห์ความเสี่ยงของธุรกรรมอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรทุกครั้งก่อนการลงทุนสำหรับในกรณีที่เป็นธุรกรรมที่ยังไม่ได้รับอนุญาตหรือเกินกว่าที่ได้รับอนุญาตตาม
(๑) นั้น
จะต้องนำเสนอคณะกรรมการธนาคารหรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศเพื่อขออนุมัติก่อนการทำธุรกรรมทุกครั้ง
(๓) ธนาคารพาณิชย์จะต้องกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติในการลงทุน
การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และการควบคุมภายในไว้อย่างละเอียด ชัดเจน
และเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้
จะต้องกำหนดรายละเอียดของระบบที่ใช้ในการติดตามและควบคุมความเสี่ยง
ตั้งแต่กระบวนการในการวิเคราะห์ความเสี่ยงของสินทรัพย์อ้างอิง การติดตามความเสี่ยงซึ่งรวมถึงการทดสอบ
Stress test ด้วยขั้นตอนการปฏิบัติกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ
อาทิเช่น CDS spread หรืออันดับความน่าเชื่อถือเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เป็นผลเสียกับธนาคารพาณิชย์
ขั้นตอนการปฏิบัติงานกรณี CDO ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
รวมทั้งขั้นตอนการรายงานกรณีเกิดความเสียหายเกินกว่าเพดานที่กำหนดด้วย นอกจากนี้
ขั้นตอนการปฏิบัติดังกล่าวจะต้องกำหนดระยะเวลาหรือความถี่ในการปฏิบัติแต่ละขั้นตอนด้วย
(๔)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยง (Risk management
unit) ที่เป็นอิสระจากหน่วยงานที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น
หน่วยงานลงทุน ทั้งในด้านการจัดโครงสร้างองค์กรและในทางปฏิบัติ
โดยหน่วยงานดังกล่าวจะต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจ ระบบงาน
และเครื่องมือที่จะสามารถใช้ในการประเมิน ติดตาม ควบคุม
ตรวจสอบดูแลการบริหารความเสี่ยงโดยรวมของธนาคารพาณิชย์นั้นที่เกิดจากการทำธุรกรรม CDO
ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
และจะต้องมีการรายงานข้อมูลโดยตรงต่อคณะกรรมการธนาคารผ่านทางคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
หน่วยงานบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในต่างประเทศก็ได้
โดยจะต้องมีการรายงานให้ผู้รับผิดชอบในประเทศไทยที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่ทราบอย่างสม่ำเสมอ
(๕) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีบุคลากรที่มีความรู้
ความเข้าใจ ความสามารถและประสบการณ์เพียงพอที่จะรองรับการลงทุนในตราสาร CDO
อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร ซึ่งครอบคลุมทั้ง Front office,
Middle office และ Back
office
(๖)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบควบคุมภายในและระบบการตรวจสอบที่สามารถรองรับการลงทุนดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพียงพอและเหมาะสม มีระเบียบและวิธีปฏิบัติในการควบคุมภายในที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร
มีการกำหนดโครงสร้างการควบคุมและมีการแบ่งแยกหน้าที่อย่างเหมาะสม
มีการตรวจสอบระบบควบคุมภายใน และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอ
และมีระบบข้อมูลเพื่อจัดทำรายงานการตรวจสอบเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ
หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
โดยหน่วยงานดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในต่างประเทศก็ได้
(๗)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดเก็บหลักฐานในการลงทุนในตราสาร CDO ไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เอง
โดยมีรายละเอียดของข้อมูลที่สำคัญ ได้แก่ วันที่ทำธุรกรรม ลักษณะและโครงสร้างของธุรกรรม
รวมทั้งลักษณะพิเศษ (ถ้ามี) สินทรัพย์อ้างอิงทั้งหมดในกลุ่ม
สกุลเงินของสินทรัพย์อ้างอิงสกุลเงินของตราสาร ระดับความน่าเชื่อถือของตราสาร
จำนวนเงิน วันครบกำหนดของตราสาร
และจัดให้มีข้อมูลเกี่ยวกับระดับความน่าเชื่อถือของตราสารอย่างน้อยเป็นรายไตรมาส
เป็นต้น เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
ข้อ ๔.๑๐ ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำระบบงานภายในเพื่อควบคุมดูแลไม่ให้ธนาคารพาณิชย์มีความเสี่ยงอันเกิดจากสินทรัพย์อ้างอิงรายใดรายหนึ่งเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์นั้น
สำหรับการคำนวณเงินลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงที่เกิดจากตราสาร CDO
ให้ใช้วิธีการ Proportionate เงินลงทุนในตราสารตามอัตราส่วนของสินทรัพย์อ้างอิงในกลุ่มและต้องมีหลักฐานไว้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
ทั้งนี้
ในการคำนวณจำนวนเงินลงทุนสูงสุดในสินทรัพย์อ้างอิงรายใดรายหนึ่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์นับเงินลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงที่เกิดจากการลงทุนในตราสาร CDO
ตามแนวทางการคำนวณที่กำหนดไว้ในวรรคแรกนั้นรวมเข้ากับธุรกรรมการให้สินเชื่อ
หรือลงทุนในกิจการ หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลนั้นด้วย
ข้อ ๔.๑๑ การลงทุนในตราสาร CDO
ที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินตราต่างประเทศ หรือบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
หรือมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๔.๑๒ ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดประเภทเงินลงทุน
บันทึกบัญชี บันทึกการด้อยค่าและเปิดเผยข้อมูลการลงทุนในตราสาร CDO
ให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีไทยในเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ซึ่งในขณะที่ยังไม่มีมาตรฐานการบัญชีดังกล่าว ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีสากล
โดยในเรื่องของการจัดประเภทเงินลงทุนและบันทึกบัญชีสำหรับตราสาร CDO
สามารถสรุปได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในเอกสารแนบ ๑
ข้อ ๔.๑๓ ในการพิจารณาจัดประเภทเงินลงทุนและบันทึกบัญชีสำหรับตราสาร
CDO ตาม ๔.๑๒ นั้น จะต้องพิจารณาทั้งรูปแบบและเนื้อหาในสัญญาร่วมกับความตั้งใจและความสามารถในการลงทุนรวมทั้งจะต้องพิจารณาความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดของตราสารหลักและอนุพันธ์แฝงประกอบด้วย
ซึ่งธนาคารพาณิชย์จะต้องมีกระบวนการที่ใช้ในการพิจารณาจัดประเภทและบันทึกบัญชีตลอดจนจัดเก็บหลักฐาน
เอกสารต่างๆ ที่ใช้ประกอบการพิจารณาดังกล่าวไว้เพื่อให้ผู้สอบบัญชีและธนาคารแห่งประเทศไทยใช้ในการตรวจสอบ
หรือนำส่งเมื่อมีการร้องขอด้วย
ข้อ ๔.๑๔ ในการประเมินมูลค่ายุติธรรมที่จะใช้ในการบันทึกบัญชี
ธนาคารพาณิชย์จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีไทยที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งในขณะที่ยังไม่มีมาตรฐานการบัญชีดังกล่าวให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีสากล
โดยสามารถสรุปได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในเอกสารแนบ ๒ นอกจากนี้
ในกรณีธนาคารพาณิชย์ประเมินมูลค่ายุติธรรมโดยใช้เทคนิคการประเมินมูลค่า[๓]เทคนิคดังกล่าวจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอิสระให้การรับรองด้วย
อนึ่ง
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบวิธีการที่ใช้ในการประเมินมูลค่ายุติธรรมที่กล่าวแล้วพบว่าธนาคารพาณิชย์ยังถือปฏิบัติไม่รัดกุมหรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจพิจารณาสั่งการให้ดำเนินการเพิ่มเติมตามความเหมาะสมเป็นรายกรณี
ข้อ ๔.๑๕ สำหรับตราสาร CDO ที่ธนาคารพาณิชย์ได้ลงทุนไปก่อนที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้
ให้เปลี่ยนการจัดประเภทเงินลงทุนและบันทึกบัญชี
รวมทั้งประเมินมูลค่ายุติธรรมของตราสาร CDO ให้ถูกต้องตามข้อ
๔.๑๒ - ๔.๑๔ ตั้งแต่งวดการบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
สำหรับงวดบัญชี ๖ เดือนหลังที่สิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดเผยข้อมูลการลงทุนในตราสาร
CDO รวมทั้งผลกระทบที่จะมีต่องบการเงินหรือเงินกองทุนตามหลักเกณฑ์ของประกาศนี้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินด้วย
ข้อ ๔.๑๖ ธนาคารพาณิชย์ที่ลงทุนในตราสาร CDO
จะต้องมีการรายงานตามแบบรายงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๔.๑๗ ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร
CDO ในอนาคตตามความเหมาะสม
รวมทั้งอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาสั่งการเพิ่มเติมตามความเหมาะสมในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบพบการถือปฏิบัติของธนาคารพาณิชย์ใดที่ไม่รัดกุมหรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
๕.[๔]
วันเริ่มต้นการถือปฏิบัติ
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
การจัดประเภทเงินลงทุนและบันทึกบัญชีสำหรับตราสาร CDO
(เอกสารแนบ 1)
๒.
การประเมินมูลค่ายุติธรรมที่มีความน่าเชื่อถือ (เอกสารแนบ 2)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๒๖
พฤศจิกายน ๒๕๕๐
[๑] ธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง
หมายถึง ธุรกรรมที่มี Risk Profile ในทางตรงกันข้ามกับฐานะที่มีอยู่ก่อนหรือเป็นธุรกรรมที่สามารถลดหรือจำกัดความเสี่ยงอย่างมีนัยต่อผลขาดทุนที่เกิดขึ้นกับฐานะของอนุพันธ์ทางการเงินที่มีอยู่ก่อน
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำเอกสารหลักฐานแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเพื่อให้
ธปท. สามารถตรวจสอบได้
[๒] กรณีที่ธนาคารพาณิชย์มีเงินลงทุนในธุรกรรม
CDO
Credit Linked
Notes/Deposits
First
to
default
Credit
Linked
Notes/Deposits
Proportionate
Credit
Linked
Notes/Deposits
และธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงเกินกว่าร้อยละ 1
ของสินทรัพย์รวม ให้ทำการคำนวณผลกระทบที่กล่าวทุกสิ้นวัน สำหรับกรณีอื่นๆ
ให้จัดทำอย่างน้อยทุกสิ้นเดือน
[๓] เฉพาะกรณีที่ใช้วิธีการคิดลดกระแสเงินสด
(Discounted cash flow
analysis) วิธีการหามูลค่า Option (Option
Pricing Model) หรือเทคนิคการประเมินมูลค่าที่ใช้กันอย่างแพร่หลายระหว่างผู้เล่นในตลาด
[๔] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๔/ตอนพิเศษ ๑๘๒ ง/หน้า ๒๕/๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ |
566100 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 7/2550 เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่
สนส. ๗/๒๕๕๐
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ได้ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗
โดยกำหนดหลักเกณฑ์และกรอบในการทำธุรกรรมและการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องไว้แล้วนั้น
ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาเห็นว่าในสภาวะที่ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนเพิ่มมากขึ้นธนาคารพาณิชย์ไทยควรมีระบบบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมเพื่อรองรับธุรกรรมที่กล่าว
และมีการบันทึกบัญชีและการประเมินมูลค่ายุติธรรมของธุรกรรมดังกล่าวที่สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีสากลธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นสมควรยกเลิกประกาศดังกล่าว
โดยปรับปรุงมาเป็นประกาศฉบับนี้แทน
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ทั้งในฐานะที่เป็นผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืม
และผู้ฝากหรือผู้ให้กู้ยืมตามข้อกำหนดในประกาศนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารยกเว้นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
๔.
เนื้อหา
ข้อ ๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๗
ข้อ ๔.๒ นิยาม
ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
หมายถึง ธุรกรรมดังต่อไปนี้
(๑)
ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร
โดยอัตราผลตอบแทนดังกล่าวขึ้นอยู่กับตัวแปรอ้างอิงที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าซึ่งไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยปกติ
(๒) ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่ให้สิทธิคู่สัญญาในการชำระคืนหรือรับชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นตราสารหนี้ตามประเภทและอัตราที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
หรือให้สิทธิผู้รับฝาก (หรือผู้กู้ยืม)
ในการขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหรือผู้ฝาก (หรือผู้ให้กู้ยืม)
ในการซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามสกุลเงินและอัตราที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
(๓)
ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่ให้สิทธิผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืมที่จะขยายระยะเวลาหรือไถ่ถอนก่อนครบกำหนดตามที่ได้ตกลงไว้ในสัญญา
ทั้งนี้
ไม่รวมถึงเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่ให้สิทธิผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืมในการไถ่ถอนก่อนครบกำหนดตามประเพณีปฏิบัติตามปกติของตลาดตราสารทางการเงิน
ข้อ ๔.๓ หลักการ
(๑)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องสามารถบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(๒)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องไม่เสนอธุรกรรมดังกล่าวในลักษณะที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน
เช่น การทำธุรกรรมในลักษณะที่เป็นตัวกลางในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศโดยทางอ้อม
ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุน และเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน
(๓) ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดเก็บเอกสารหลักฐานในการทำธุรกรรมเพียงพอแก่การตรวจสอบไว้ในสถานที่ทำการของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบหรือจัดส่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
พร้อมทั้งจะต้องรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๔) ธนาคารพาณิชย์จะต้องชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมอย่างชัดเจน
พร้อมทั้งมีหลักฐานแสดงว่าธนาคารพาณิชย์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการพิจารณาความเหมาะสมของลูกค้า
(๕)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกรรมนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๔.๔ ลักษณะธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงที่ได้รับอนุญาต
(๑)
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ในฐานะที่เป็นผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืม ภายในขอบเขตดังต่อไปนี้
(ก) ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงซึ่งมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรในประเทศ
หรือให้สิทธิผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืมที่จะขยายระยะเวลาหรือไถ่ถอนก่อนครบกำหนดตามที่ได้ตกลงไว้ในสัญญา
กับผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารแนบ ๑ และบุคคลทั่วไปได้ โดยจะต้องมีการชำระคืนเงินต้นเต็มจำนวนให้แก่บุคคลดังกล่าวในฐานะผู้ฝากหรือเจ้าหนี้
(ข)
ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงซึ่งมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรต่างประเทศหรืออัตราแลกเปลี่ยน
กับผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารแนบ ๑ หรือบุคคลที่มีภาระที่จะต้องส่งมอบหรือรับมอบเงินตราต่างประเทศในอนาคตได้โดยจะต้องมีการชำระคืนเงินต้นเต็มจำนวนให้แก่บุคคลดังกล่าวในฐานะผู้ฝากหรือเจ้าหนี้
ทั้งนี้
การรับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินจากบุคคลที่มีภาระที่จะต้องส่งมอบหรือรับมอบเงินตราต่างประเทศในอนาคต
ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยน หรืออัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศเป็นตัวแปรอ้างอิงเท่านั้น
และต้องเรียกเอกสารหลักฐานที่แสดงภาระการส่งมอบหรือรับมอบเงินตราต่างประเทศในอนาคตประกอบด้วย
(ค)
ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ซึ่งให้สิทธิคู่สัญญาในการชำระคืนหรือรับชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นตราสารหนี้ตามประเภทและอัตราที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
กับผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารแนบ ๑ นี้ได้
(ง)
ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ซึ่งให้สิทธิผู้รับฝาก (หรือผู้กู้ยืม)ในการขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
หรือผู้ฝาก (หรือผู้ให้กู้ยืม)
ในการซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามสกุลเงินและอัตราที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าได้
เฉพาะกับสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
หรือบุคคลที่มีภาระที่จะต้องส่งมอบเงินตราต่างประเทศสกุลที่กำหนดในสัญญาอนุพันธ์แฝงในอนาคตเท่านั้น
โดยการทำธุรกรรมกับบุคคลดังกล่าวธนาคารพาณิชย์จะต้องถือปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินและมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
(จ) ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดในประกาศฉบับนี้
กับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศได้
โดยจะต้องถือปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้
การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงตาม ข้อ ๔.๔ (๑) (ก) - (ง)
ต้องมีจำนวนเงินขั้นต่ำ ๑๐ ล้านบาทหรือเทียบเท่า
(๒) ตัวแปร
หรือกลุ่มตัวแปรที่นำมาใช้ในการอ้างอิงการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ได้แก่
(ก) อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงภายในประเทศ
(ข) อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในต่างประเทศ
(ค)
ราคาของกลุ่มหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(ง)
ราคาของกลุ่มหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ
(จ) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
(ฉ) ดัชนีทางการเงิน
(ช) ตัวแปรอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
(๓) ดัชนีทางการเงินตามข้อ ๔.๔ (๒) (ฉ)
ที่ธนาคารพาณิชย์จะนำมาใช้เป็นตัวแปรอ้างอิงในการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ซึ่งมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรได้จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(ก) เป็นดัชนีทางการเงินที่เกิดจากการคำนวณโดยใช้ตัวแปรอ้างอิงที่กำหนดไว้ในข้อ
๔.๔ (๒) หรือราคาหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
(ข)
เป็นดัชนีทางการเงินที่พัฒนาโดยสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ
(ค)
เป็นดัชนีทางการเงินที่นิยมแพร่หลายในตลาดการเงินไทยหรือสากล
(ง) เป็นดัชนีทางการเงินที่มีการเสนอราคาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน
ผ่านสื่อที่เสนอข่าวที่ทันสมัยทันต่อเหตุการณ์ และ
(จ)
เป็นดัชนีทางการเงินที่มีการกำหนดวิธีการคำนวณไว้อย่างชัดเจน
โดยมีการระบุแหล่งข้อมูลของตัวแปรและปัจจัยที่นำมาใช้ในการคำนวณ ทั้งนี้
ตัวแปรและปัจจัยที่นำมาใช้ในการคำนวณดังกล่าวต้องมีการเคลื่อนไหวตามสภาวะตลาดอย่างเป็นอิสระ
โดยไม่มีบุคคลใดสามารถมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตัวแปร ปัจจัย
หรือดัชนีทางการเงินนั้นได้
(๔)
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ซึ่งมีการชำระคืนหรือรับชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นตราสารหนี้
จะต้องกระทำภายในขอบเขต ดังนี้
(ก) กรณีเป็นตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศ
หากทำธุรกรรมกับผู้ลงทุนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
คู่สัญญาดังกล่าวต้องเป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
โดยจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและรายงานข้อมูลต่างๆ
ตามที่เจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินกำหนด
โดยถือเสมือนหนึ่งเป็นการขายตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศต่อให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
(ข) กรณีเป็นตราสารหนี้สกุลเงินบาท ตราสารหนี้ดังกล่าวจะต้องเป็นตั๋วเงินคลังพันธบัตรรัฐบาล
พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
พันธบัตรรัฐวิสาหกิจและหุ้นกู้ที่รัฐบาลค้ำประกันหรือตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับ
BBB หรือเทียบเท่าขึ้นไปจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินระหว่างประเทศ หรือตราสารหนี้ประเภทอื่นๆ
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
(๕)
การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
หากมีการออกบัตรเงินฝากหรือตราสารหนี้ จะต้องระบุเงื่อนไขห้ามเปลี่ยนมือ
ยกเว้นในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ผู้ออกสามารถควบคุมดูแลการโอนเปลี่ยนมือให้อยู่ภายในกลุ่มผู้ลงทุนตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารพาณิชย์อาจไม่กำหนดเงื่อนไขการห้ามเปลี่ยนมือดังกล่าวได้
อนึ่ง
หากธนาคารพาณิชย์ใดมีข้อสงสัยว่าธุรกรรมที่จะทำนั้นอยู่ในขอบเขตที่ได้รับอนุญาตหรือไม่
ให้หารือธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนทำธุรกรรมดังกล่าว
ข้อ ๔.๕ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการป้องกันผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงินการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงและการป้องกันความเสี่ยงสำหรับธุรกรรมดังกล่าวต้องไม่ขัดกับกฎหมายและระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๔.๖ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง
ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ต้องมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมสอดคล้องกับการทำธุรกรรม
และถือปฏิบัติ ดังนี้
(๑) คณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในประเทศหรือต่างประเทศ
(ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ)
จะต้องเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และจะต้องเป็นผู้กำหนดและอนุมัตินโยบายซึ่งรวมถึงกลยุทธ์ในการทำธุรกรรม
การบริหารความเสี่ยง และการควบคุมภายในและการตรวจสอบเป็นลายลักษณ์อักษร
ทั้งนี้
การเปลี่ยนแปลงนโยบายซึ่งรวมถึงกลยุทธ์ข้างต้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารหรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในประเทศหรือต่างประเทศ
(ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) ก่อนทุกครั้ง
(๒)
คณะกรรมการย่อยและผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าวจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในธุรกรรมดังกล่าวและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดีและจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลการทำธุรกรรมดังกล่าวตามนโยบายซึ่งรวมถึงกลยุทธ์ที่ได้รับความเห็นชอบอย่างใกล้ชิด
และให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการทำธุรกรรมดังกล่าว ทั้งนี้
จะต้องจัดให้มีการวิเคราะห์ความเสี่ยงของธุรกรรมอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรทุกครั้งก่อนการทำธุรกรรม
เว้นแต่ธนาคารพาณิชย์ได้เคยดำเนินการวิเคราะห์ความเสี่ยงของธุรกรรมดังกล่าวแล้ว
หรือธุรกรรมดังกล่าวมีความเสี่ยงที่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากธุรกรรมที่ธนาคารพาณิชย์ได้เคยดำเนินการวิเคราะห์ความเสี่ยงแล้ว
(๓) นโยบายซึ่งรวมถึงกลยุทธ์ในการทำธุรกรรม
การบริหารความเสี่ยง และการควบคุมภายในและการตรวจสอบ
อย่างน้อยจะต้องครอบคลุมเนื้อหาดังต่อไปนี้
(ก) การทำธุรกรรม
ต้องครอบคลุมขอบเขตและลักษณะของธุรกรรมที่สามารถทำได้ทั้งในด้านที่เป็นผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืม
และผู้ฝากหรือผู้ให้กู้ยืม อย่างชัดเจน โดยอาจแบ่งเป็น
ประเภทตัวแปรอ้างอิงหรือกลุ่มของตัวแปรอ้างอิงของธุรกรรมที่สามารถทำได้
ซึ่งในการพิจารณาจะต้องทำการพิจารณาข้อมูล และวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกิดจากประเภท
โครงสร้างธุรกรรม
และตัวแปรอ้างอิงแต่ละตัวแปรหรือกลุ่มของตัวแปรอ้างอิงอย่างเหมาะสม รวมทั้งจะต้องกำหนดเพดานขั้นสูงของการทำธุรกรรมโดยอาจแบ่งเป็นประเภทตามความเหมาะสม
(ข)
การบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมดังกล่าว
ซึ่งอย่างน้อยจะต้องครอบคลุมถึง โครงสร้างองค์กรที่ส่งเสริมให้เกิดการบริหาร (วัด
ติดตาม บริหาร และควบคุม) ความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
ระบบงานที่เหมาะสมในการบริหารความเสี่ยงที่สอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์
บุคลากรที่รับผิดชอบเป็นลำดับขั้น การกำหนดเพดานความเสี่ยงต่างๆ
ให้เหมาะสมกับระบบการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น PV๐๑,
VaR, Stop loss, Delta,
Gamma, Vega, Correlation
risk เป็นต้น
รวมทั้งจะต้องกำหนดให้มีการรายงานต่อคณะกรรมการธนาคาร
หรือโดยผ่านคณะกรรมการชุดย่อยที่ได้รับมอบหมาย
แล้วสรุปรายงานประเด็นสำคัญให้คณะกรรมการธนาคารทราบ
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในประเทศหรือต่างประเทศ
(ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) อย่างสม่ำเสมอ
(ค) การควบคุมภายในและตรวจสอบ
ซึ่งอย่างน้อยจะต้องครอบคลุมถึงการแบ่งแยกหน้าที่ และการจัดโครงสร้างองค์กร
สายบังคับบัญชาที่เหมาะสมและชัดเจน
รวมถึงการรายงานการติดตามการปฏิบัติตามขั้นตอนการปฏิบัติตามลำดับชั้นการรายงานอย่างต่อเนื่อง
(๔)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติในการทำธุรกรรมทั้งในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออกตราสาร
และในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ลงทุนในตราสาร การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
และการควบคุมภายใน ไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยครอบคลุมถึงขั้นตอนในการทำธุรกรรม
เช่น การขออนุมัติตามอำนาจในการอนุมัติของผู้บริหารแต่ละระดับ
การพิจารณาความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งก่อนและหลังทำธุรกรรม
การตรวจสอบเพดานคงเหลือ
การพิจารณาสภาพคล่องของสภาวะตลาดในการบริหารความเสี่ยงของธุรกรรมนั้นๆ เป็นต้น และจะต้องครอบคลุมถึงกระบวนการและระบบที่ใช้ในการวิเคราะห์
ติดตามและควบคุมความเสี่ยง ตั้งแต่กระบวนการในการวิเคราะห์ความเสี่ยง
การติดตามความเสี่ยงซึ่งรวมถึงการทดสอบ Stress Test
ด้วย ขั้นตอนการปฏิบัติกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ
ไปในทิศทางที่เป็นผลลบกับธนาคารพาณิชย์ โดยอาจพิจารณาในลักษณะผลกระทบต่อ Portfolio
โดยรวมก็ได้ การควบคุมระดับความเสี่ยงให้อยู่ภายในเพดาน
รวมทั้งขั้นตอนการรายงานและการปฏิบัติกรณีเกิดความเสียหายเกินกว่าเพดานที่กำหนดการทดสอบประสิทธิภาพ
ความถูกต้องและแม่นยำของระบบบริหารความเสี่ยงภายในระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น
มีการทดสอบ Back Test ของแบบจำลอง Value
at Risk อย่างสม่ำเสมอ
วิธีการบันทึกบัญชีของรายการดังกล่าว ระบบ/วิธีการทางภาษีอากร การจัดทำรายงาน
และประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมดังกล่าว ทั้งนี้
ขั้นตอนการปฏิบัติดังกล่าวจะต้องกำหนดระยะเวลาหรือความถี่ในการปฏิบัติตามความเหมาะสมด้วย
(๕)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยงที่เป็นอิสระ (Risk
Management Unit) จากหน่วยงานที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงทั้งในด้านการจัดโครงสร้างองค์กร
และในทางปฏิบัติโดยหน่วยงานดังกล่าวจะต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะสามารถทำหน้าที่ประเมินติดตาม
ควบคุม
ตรวจสอบดูแลการบริหารความเสี่ยงโดยรวมของธนาคารพาณิชย์นั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้
จะต้องมีการรายงานโดยตรงต่อคณะกรรมการธนาคารผ่านทางคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศหน่วยงานบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในต่างประเทศก็ได้
โดยจะต้องมีการแจ้งให้หน่วยงานในประเทศไทยที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่ทราบอย่างสม่ำเสมอ
(๖)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีบุคลากรในแต่ละส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
หน่วยงานที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง หน่วยงานบริหารความเสี่ยง หน่วยงานด้านปฏิบัติการ
และหน่วยงานควบคุมภายในที่เพียงพอที่จะรองรับการประกอบธุรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร
โดยบุคลากรดังกล่าวจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถและประสบการณ์เพียงพอ
(๗) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีมาตรการในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องที่มีประสิทธิภาพ
สามารถสะท้อนและรองรับความเสี่ยงแต่ละประเภทที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้อย่างชัดเจนถูกต้อง
แม่นยำ ทั้งนี้ ให้เน้นประสิทธิภาพของระบบบริหารความเสี่ยง ด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest
rate Risk) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
(Foreign Exchange Risk) ความเสี่ยงด้านราคาตราสารทุน
(Equity Price Risk) ความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดจากการประกอบธุรกรรม
Options เช่น Delta Vega Gamma
Theta และ Rho
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ความเสี่ยงด้านเครดิต
(Credit Risk) ซึ่งรวมถึง Pre-settlement
Risk และ Settlement Risk
และความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของค่าสหสัมพันธ์ (Correlation
risk) และมีการนำระบบบริหารความเสี่ยงดังกล่าวไปใช้ในการควบคุมความเสี่ยงในทางปฏิบัติ
เว้นแต่กรณีที่ธนาคารพาณิชย์บริหารความเสี่ยงในลักษณะ Back to
Back ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่มีความเสี่ยงด้านตลาด
จึงไม่จำเป็นต้องมีระบบรองรับความเสี่ยงดังกล่าว
(๘)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่ใช้ในการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Mark
to Market) ที่เหมาะสม ชัดเจน
และสะท้อนมูลค่าตลาดที่แท้จริง และมีการประเมินมูลค่ายุติธรรมของยอดคงค้างในส่วนของอนุพันธ์แฝง[๑]
ณ ทุกสิ้นวันทำการ โดยในการประเมินมูลค่ายุติธรรม
ธนาคารพาณิชย์จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีไทยในเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งในขณะที่ยังไม่มีมาตรฐานบัญชีดังกล่าว
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีสากล โดยสามารถสรุปได้ตามเอกสารแนบ ๒
นอกจากนี้
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ประเมินมูลค่ายุติธรรมโดยใช้เทคนิคการประเมินมูลค่า[๒]
เทคนิคดังกล่าวจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอิสระให้การรับรองด้วย อนึ่ง
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบวิธีการที่ใช้ในการประเมินมูลค่ายุติธรรมที่กล่าวแล้วพบว่าธนาคารพาณิชย์ยังถือปฏิบัติไม่รัดกุมพอหรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจพิจารณาสั่งการให้ดำเนินการเพิ่มเติมตามความเหมาะสมเป็นรายกรณี
(๙)
ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงซึ่งมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับกลุ่มของตัวแปร
หรือมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนีทางการเงิน
หรือมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มของตัวแปรที่กำหนดไว้ในสัญญาโดยไม่มีการกำหนดแน่ชัดว่าเป็นตัวแปรใดในกลุ่มตั้งแต่วันเริ่มต้นของสัญญาแต่กำหนดเป็นเงื่อนไขแทน
ซึ่งไม่ได้มีการบริหารความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมดังกล่าวโดยการทำธุรกรรมในส่วนของอนุพันธ์ทางการเงินที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการแต่เป็นฐานะตรงกันข้าม
(Back to back) ต้องมีมาตรการและระบบดังต่อไปนี้
(ก)
ระบบข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางและแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตัวแปรแต่ละประเภทที่ใช้อ้างอิง
เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ราคาหุ้นเป็นต้น
(ข) ระบบบริหารการลงทุนในลักษณะ Portfolio
Model ที่สามารถวิเคราะห์จัดสรรอัตราส่วนการลงทุนในตัวแปรแต่ละประเภท
(Asset Allocation) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมดังกล่าว
โดยแบบจำลองที่กล่าวจะต้องสามารถวัดและคาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนในตัวแปรแต่ละประเภท
และผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในลักษณะ Portfolio ได้อย่างน้อยทุกวัน
รวมทั้งจะต้องครอบคลุมถึงการวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างตัวแปรที่ใช้อ้างอิงด้วย
(ค) มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการวิเคราะห์ ทบทวน
และปรับอัตราส่วน (Re-Balance) ของการลงทุนในตัวแปรแต่ละประเภท
(Asset Allocation) ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
ทิศทางของภาวะตลาดเงิน ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดทุน ตลาดตราสารหนี้ รวมทั้งทำให้การลงทุนดังกล่าวมีผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนที่จะจ่ายให้กับผู้ลงทุน
ณ งวดการจ่ายดอกเบี้ย หรือ ณ วันครบกำหนด อย่างต่อเนื่อง
(ง) ระบบงานสำหรับวัด ติดตาม
และควบคุมความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมดังกล่าวให้อยู่ในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
(Limit) อย่างน้อยทุกวัน
โดยระบบบริหารความเสี่ยงดังกล่าวต้องครอบคลุมถึงความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดจากการทำธุรกรรม
Options ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นกลุ่มของสินทรัพย์ เช่น Vega
Delta Gamma และ Cross-Delta
ระหว่างตัวแปรที่ใช้อ้างอิงด้วย
(๑๐) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีการตรวจสอบระบบควบคุมภายใน
และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอ
รวมทั้งมีระบบข้อมูลเพื่อจัดทำรายงานการตรวจสอบและเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ
หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่
(ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) โดยหน่วยงานดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในต่างประเทศก็ได้
ข้อ ๔.๗ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลและการรายงาน
(๑)
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงจะต้องจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรม
ได้แก่ เลขที่อ้างอิง วันที่ทำธุรกรรม ประเภทธุรกรรม คู่สัญญา ฐานะการทำธุรกรรม
(รับฝาก/กู้ยืม หรือฝาก/ให้กู้ยืม) ตัวแปรอ้างอิง อนุพันธ์แฝง สกุลเงินของธุรกรรม
จำนวนเงินจำนวนเงินเป็นสกุลบาทเทียบเท่า Mark to
Market/Delta Equivalent วันครบกำหนด
ในรูปสื่อคอมพิวเตอร์ตามรูปแบบที่กำหนดตามเอกสารแนบ ๓ และจัดส่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประจำทุกเดือนภายใน
๒๑ วันนับจากวันสิ้นเดือน โดยจัดส่งผ่านทางระบบบริหารข้อมูลผ่านทางช่องทาง DMS
DA (Extranet) ตลอดจนจัดเก็บหลักฐานในการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เองเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
(๒)
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
จะต้องดำเนินการแจ้งธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นลายลักษณ์อักษร
เมื่อมีการนำเสนอตัวแปรอ้างอิงที่เป็นดัชนีทางการเงินใดเป็นครั้งแรก
หรือมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะธุรกรรมในรายละเอียด หรือทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับกลุ่มของตัวแปรเป็นครั้งแรก
หรือมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการทำธุรกรรมดังกล่าว ทั้งนี้
จะต้องดำเนินการภายใน ๗
วันทำการนับจากวันที่ทำธุรกรรมดังกล่าวโดยต้องรายงานลักษณะของธุรกรรม
ซึ่งแสดงถึงส่วนประกอบของอนุพันธ์ทางการเงินพื้นฐาน Termsheet
และวิธีการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
โดยธนาคารแห่งประเทศไทยอาจสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์หยุดทำธุรกรรมในลักษณะดังกล่าวได้หากในการพิจารณาเห็นว่าธุรกรรมดังกล่าวไม่สอดคล้องตามหลักการและกรอบการทำธุรกรรมที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๓)
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ซึ่งให้สิทธิคู่สัญญาในการชำระคืนหรือรับชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นตราสารหนี้
จะต้องรายงานการประกอบธุรกรรมการซื้อสิทธิที่จะขายหรือขายสิทธิที่จะซื้อตราสารหนี้ที่แฝงอยู่กับการรับเงินฝากหรือการกู้ยืมเงินหรือธุรกรรมการขายสิทธิที่จะขายหรือซื้อสิทธิที่จะซื้อตราสารหนี้ที่แฝงอยู่กับการฝากเงินหรือการให้กู้ยืมเงิน
ให้ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย (Thai Bond Market
Association (TBMA)) โดยมีรายละเอียดตามที่ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้กำหนด
ทั้งนี้
ต้องจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอด้วย
(๔)
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ซึ่งให้สิทธิคู่สัญญาในการชำระคืนหรือรับชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศกับผู้ลงทุนสถาบันที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินตราต่างประเทศ
จะต้องรายงานข้อมูลต่างๆ
ตามที่กำหนดในหนังสืออนุญาตของเจ้าพนักงานควบคุมแลกเปลี่ยนเงิน โดยถือเสมือนหนึ่งเป็นการขายตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศต่อให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
ข้อ ๔.๘
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลและการบันทึกบัญชี
(๑)
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ต้องเปิดเผยข้อมูลและบันทึกบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีไทยในเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งในขณะที่ยังไม่มีมาตรฐานดังกล่าว
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีสากล
โดยในเรื่องของการจัดประเภทรายการและการรับรู้กำไรขาดทุนจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมสำหรับธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงสามารถสรุปได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในเอกสารแนบ
๔
(๒)
ในการพิจารณาจัดประเภทและบันทึกบัญชีสำหรับธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงนั้น
จะต้องพิจารณาทั้งรูปแบบและเนื้อหาในสัญญาร่วมกับความตั้งใจและความสามารถในการลงทุน
รวมทั้งพิจารณาความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างอนุพันธ์แฝงและตราสารหลักประกอบด้วยซึ่งธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำกระบวนการที่ใช้ในการพิจารณาจัดประเภทและบันทึกบัญชี
ตลอดจนจัดเก็บหลักฐาน เอกสารต่างๆ ที่ใช้ประกอบการพิจารณาดังกล่าว
ไว้เพื่อให้ผู้สอบบัญชีและธนาคารแห่งประเทศไทยใช้ในการตรวจสอบ หรือนำส่งเมื่อมีการร้องขอด้วย
(๓)
สำหรับธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงที่ธนาคารพาณิชย์ได้ทำไปก่อนที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้
ให้เปลี่ยนการจัดประเภทเงินลงทุนและบันทึกบัญชี
รวมทั้งประเมินมูลค่ายุติธรรมให้ถูกต้องตามข้อ ๔.๘ และ ๔.๖ (๘) ตั้งแต่งวดการบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่
๑ มกราคม ๒๕๕๑ เป็นต้นไป สำหรับงวดบัญชี ๖ เดือนหลังที่สิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม
๒๕๕๐
ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดเผยข้อมูลการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
รวมทั้งผลกระทบที่จะมีต่องบการเงินและเงินกองทุนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศนี้
ในหมายเหตุประกอบงบการเงินด้วย
ข้อ ๔.๙ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้ข้อมูลลูกค้า
(๑)
การทำธุรกรรมกับคู่สัญญาที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์นั้น
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีการวิเคราะห์พร้อมทั้งมีหลักฐานแสดงว่าธนาคารพาณิชย์ได้ทำตามขั้นตอนการพิจารณาความเหมาะสมของลูกค้าก่อนทำธุรกรรม
(Client Suitability Analysis)
ทั้งนี้ จะต้องพิจารณาประเด็นต่างๆ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดต่อไป
(๒)
การทำธุรกรรมต้องชี้แจงให้คู่สัญญาเข้าใจลักษณะธุรกรรม
ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเงื่อนไขและวิธีการคำนวณและการจ่ายชำระคืนเงินต้นและผลตอบแทน
และการคิดค่าปรับในกรณีที่ลูกค้าต้องการถอนเงินฝากหรือเรียกคืนเงินให้กู้ยืมก่อนครบกำหนดสัญญา
ให้ลูกค้าเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนตกลงทำสัญญา
รวมทั้งเปิดเผยข้อมูลแก่ลูกค้าตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดต่อไป
(๓) ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการรับคำร้องเรียนจากลูกค้า
และมีการรายงานต่อคณะผู้บริหารเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไข
และป้องกันการเกิดปัญหาที่เหมาะสม
ข้อ ๔.๑๐ การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๑)
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง[๓]
จะต้องประเมินมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์แฝง
หรือประเมินมูลค่ายุติธรรมธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงทั้งจำนวนในกรณีที่ไม่สามารถประเมินมูลค่ายุติธรรมส่วนที่เป็นอนุพันธ์แฝงได้อย่างน่าเชื่อถือ
นอกจากนี้จะต้องประเมินมูลค่ายุติธรรมของธุรกรรม CDO Credit
Linked Notes/Deposits First
to default Credit Linked
Notes/Deposits Proportionate Credit
Linked Notes/Deposits ที่ได้ทำไปแล้ว
รวมถึงธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง (Hedging Instruments)
สำหรับธุรกรรมตามกล่าวข้างต้น (ถ้ามี)[๔]
มารวมคำนวณด้วย
ให้ธนาคารพาณิชย์ประเมินมูลค่ายุติธรรมตามความในวรรคหนึ่งอย่างต่อเนื่อง[๕]
หากปรากฏว่ามีผลขาดทุนสุทธิ ให้นำผลขาดทุนสุทธิดังกล่าวมาหักออกจากเงินกองทุน ณ
สิ้นงวดการบัญชีล่าสุดของธนาคารพาณิชย์
ถ้ามีผลทำให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ธนาคารพาณิชย์จะต้องดำ
เนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติที่ได้กำหนดไว้ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวจะต้องกำหนดไว้อย่างละเอียด
ชัดเจน เป็นลายลักษณ์อักษร
โดยรวมถึงการรายงานบุคคลที่เกี่ยวข้องตามระดับความรุนแรงและระยะเวลาในการดำเนินการในแต่ละขั้นตอนด้วย
สำหรับปัญหาที่รุนแรงจะต้องรายงานต่อคณะกรรมการธนาคารเพื่อพิจารณาสั่งการและเร่งดำเนินการแก้ไขด้วยรวมทั้งจะต้องแจ้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบถึงแนวทางการแก้ปัญหาด้วย
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์จะทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงเพิ่มเติมให้ธนาคารพาณิชย์ประเมินมูลค่ายุติธรรมตามความในวรรคหนึ่งก่อนทุกครั้ง
ถ้ามีผลขาดทุนสุทธิให้นำมาหักออกจากเงินกองทุน ณ
สิ้นงวดการบัญชีล่าสุดของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้
เงินกองทุนที่คำนวณได้จะต้องไม่ต่ำกว่าอัตราตามที่กฎหมายกำหนดและมีเพียงพอที่จะรองรับการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงที่ต้องการจะทำเพิ่ม
มิฉะนั้น
ธนาคารพาณิชย์จะทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงดังกล่าวไม่ได้
นอกจากนี้
แม้จะมีเงินกองทุนรองรับเพียงพอที่จะทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงดังกล่าวแล้ว
ธนาคารพาณิชย์จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามความในวรรคหนึ่งและวรรคสองต่อไปด้วย
(๒)
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงจะต้องดูแลให้สัญญามีผลบังคับตามกฎหมาย
และจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่ หลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุน
หลักเกณฑ์การกำกับดูแลความเสี่ยงด้านตลาด หลักเกณฑ์การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องรวมไปถึงหลักเกณฑ์อื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๔.๑๑ ข้อกำหนดอื่น
(๑)
ห้ามธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงเกินวงเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒)
การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงของสาขาธนาคารพาณิชย์ไทยในต่างประเทศ
ให้อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลของประเทศที่สาขานั้นตั้งอยู่
และธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจะต้องมีระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพตามที่ระบุไว้ในข้อ
๔.๖ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๔.๗ - ๔.๑๐ ของประกาศฉบับนี้ด้วย
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีสาขาที่กล่าวทำธุรกรรมกับบุคคลในประเทศไทย
ซึ่งจะต้องถือปฏิบัติตามกรอบและข้อกำหนดตามประกาศฉบับนี้ด้วย
ข้อ ๔.๑๒
การเปลี่ยนแปลงกรอบการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ในการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงในอนาคตตามความเหมาะสมรวมทั้งอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาสั่งการเพิ่มเติมตามความเหมาะสมในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบพบการถือปฏิบัติของธนาคารพาณิชย์ใดที่ไม่รัดกุมหรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
๕.[๖]
วันเริ่มต้นการถือปฏิบัติ
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
เอกสารแนบประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
(เอกสารแนบ 1)
๒.
การประเมินมูลค่ายุติธรรม (เอกสารแนบ 2)
๓.
แบบรายงานยอดคงค้างธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝง
(เอกสารแนบ 3)
๔.
คำอธิบายแบบรายงานธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันแฝง
๕.
การจัดประเภทและการรับรู้กำไร/ขาดทุนจากการประเมินมูลค่ายุติธรรม
(เอกสารแนบ 4)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๒๖
พฤศจิกายน ๒๕๕๐
1 ขึ้นอยู่กับประเภทความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมของธนาคารพาณิชย์
[๑] ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถประเมินมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์แฝงแยกออกจากตราสารหลักได้อย่างน่าเชื่อถือ
ให้ธนาคารพาณิชย์ประเมินมูลค่าตราสารดังกล่าวทั้งจำนวน
[๒] เฉพาะกรณีที่ใช้วิธีการคิดลดกระแสเงินสด
(Discounted
cash flow analysis) วิธีการหามูลค่า Option (Option Pricing Model)
หรือเทคนิคการประเมินมูลค่าที่ใช้กันอย่างแพร่หลายระหว่างผู้เล่นในตลาด
[๓] ธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง หมายถึง ธุรกรรมที่มี Risk Profile ในทางตรงกันข้ามกับฐานะที่มีอยู่ก่อนหรือเป็นธุรกรรมที่สามารถลดหรือจำกัดความเสี่ยงอย่างมีนัยต่อผลขาดทุนที่เกิดขึ้นกับฐานะของอนุพันธ์ทางการเงินที่มีอยู่ก่อน
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำเอกสารหลักฐานแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเพื่อให้
ธปท. สามารถตรวจสอบได้
[๔] ธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง
หมายถึง ธุรกรรมที่มี Risk Profile ในทางตรงกันข้ามกับฐานะที่มีอยู่ก่อนหรือเป็นธุรกรรมที่สามารถลดหรือจำกัดความเสี่ยงอย่างมีนัยต่อผลขาดทุนที่เกิดขึ้นกับฐานะของอนุพันธ์ทางการเงินที่มีอยู่ก่อน
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำเอกสารหลักฐานแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเพื่อให้
ธปท. สามารถตรวจสอบได้
[๕] กรณีที่ธนาคารพาณิชย์มีเงินลงทุนในธุรกรรม
CDO
Credit
Linked
Notes/Deposits
First
to
default
Credit
Linked
Notes/Deposits
Proportionate
Credit
Linked
Notes/Deposits
และธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์แฝงเกินกว่าร้อยละ 1 ของสินทรัพย์รวม
ให้ทำการคำนวณผลกระทบที่กล่าวทุกสิ้นวัน สำหรับกรณีอื่นๆ
ให้จัดทำอย่างน้อยทุกสิ้นเดือน
[๖] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๑๘๒ ง/หน้า ๑๑/๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ |
563019 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สนส. 3/2550 เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่
สนส. ๓/๒๕๕๐
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อปรับปรุงขอบเขตในการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
ให้สอดคล้องกับพัฒนาการในตลาดปัจจุบัน
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของตลาดตราสารหนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงปรับปรุงประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการกำหนดประเภทและขอบเขตในการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ธนาคารแห่งประเทศไทย อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
ตามกรอบและข้อกำหนดในประกาศฉบับนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารยกเว้นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
๔.
เนื้อหา
ข้อ ๔.๑
ให้ยกเลิกประกาศและหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนี้
(๑) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้
ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๖
(๒) หนังสือที่ ฝสว. (๒๑) ว. ๑๖๖๐/๒๕๔๘ เรื่อง
การเพิ่มเติมคู่สัญญาสำหรับธุรกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้
ลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๘
ข้อ ๔.๒ หลักการ
(๑)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องสามารถบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(๒)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องไม่เสนอธุรกรรมดังกล่าวในลักษณะที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน
เช่น การทำธุรกรรมในลักษณะที่เป็นตัวกลางในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศโดยทางอ้อม
ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนและเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน
(๓)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดเก็บเอกสารหลักฐานในการทำธุรกรรมเพียงพอแก่การตรวจสอบไว้ในสถานที่ทำการของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบหรือจัดส่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
พร้อมทั้งจะต้องรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๔)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมอย่างชัดเจน
พร้อมทั้งมีหลักฐานแสดงว่าธนาคารพาณิชย์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการพิจารณาความเหมาะสมของลูกค้า
(๕)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกรรมนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๔.๓ นิยาม
(๑) ตราสารหนี้ หมายถึง ตั๋วเงินคลัง พันธบัตร
หุ้นกู้ หรือตราสารหนี้อื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนด
(๒) ธุรกรรม Bond Forwards หมายถึง
สัญญาที่เกิดจากการตกลงกันระหว่างคู่สัญญาสองฝ่าย (Over the counter หรือ
OTC) ในการซื้อหรือขายตราสารหนี้ กลุ่มตราสารหนี้
หรือดัชนีราคาตราสารหนี้ในอนาคตตามราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในสัญญา
โดยมีกำหนดระยะเวลาในการส่งมอบหลักทรัพย์หรือชำระราคา
ภายหลังวันที่ตกลงราคาซื้อขายกันเกิน ๒ วันทำการ
(๓) ธุรกรรม Bond Futures หมายถึง
การซื้อหรือขายตราสารหนี้ กลุ่มตราสารหนี้ หรือดัชนีราคาตราสารหนี้
ในอนาคตตามราคาที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในสัญญา
โดยเป็นการซื้อหรือขายผ่านศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
หรือตลาดที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการ เช่น บมจ. ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย)
ซึ่งมีลักษณะสัญญาเป็นมาตรฐาน
(๔) ธุรกรรม Bond Options หมายถึง
การซื้อหรือขายสิทธิที่จะซื้อ (Call) หรือสิทธิที่จะขาย (Put)
ตราสารหนี้ กลุ่มตราสารหนี้ หรือดัชนีราคาตราสารหนี้ ในราคาที่ตกลงกันไว้ตามสัญญา ณ
วันใดวันหนึ่งภายในช่วงระยะเวลาของสัญญา (American Options) หรือ
ณ วันครบกำหนดสัญญา (European Options) หรือ ณ
วันที่กำหนดภายในช่วงระยะเวลาของสัญญา (Bermudan Options) โดยให้ทำธุรกรรมเฉพาะที่เป็น
Options แบบพื้นฐาน (Plain Vanilla Options)
ข้อ ๔.๔
ลักษณะธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ที่ได้รับอนุญาต
(๑)
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ได้
๓ ประเภท ดังนี้
(๑.๑) ธุรกรรม Bond Forwards
(๑.๒) ธุรกรรม Bond Futures
(๑.๓) ธุรกรรม Bond Options
(๒)
ตัวแปรที่จะนำมาใช้ในการอ้างอิงในการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ได้แก่
ราคาตราสารหนี้ ราคาของกลุ่มตราสารหนี้
หรือดัชนีราคาตราสารหนี้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกข้อตามที่กำหนด ดังต่อไปนี้
(๒.๑)
เป็นดัชนีทางการเงินที่เกิดจากการคำนวณโดยใช้ตัวแปรอ้างอิงตามที่กำหนดในข้อ ๔.๔
(๒)
(๒.๒)
เป็นดัชนีทางการเงินที่พัฒนาโดยสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ
(๒.๓)
เป็นดัชนีทางการเงินที่นิยมแพร่หลายในตลาดการเงินไทยหรือสากล
(๒.๔) เป็นดัชนีทางการเงินที่มีการเสนอราคาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวันผ่านสื่อที่ทันสมัยทันต่อเหตุการณ์
และ
(๒.๕)
เป็นดัชนีทางการเงินที่มีการกำหนดวิธีการคำนวณไว้อย่างชัดเจน
โดยมีการระบุแหล่งข้อมูลของตัวแปรและปัจจัยที่นำมาใช้ในการคำนวณ ทั้งนี้
ตัวแปรและปัจจัยที่นำมาใช้ในการคำนวณดังกล่าวต้องมีการเคลื่อนไหวตามสภาวะตลาดอย่างเป็นอิสระ
โดยไม่มีบุคคลใดสามารถมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตัวแปร ปัจจัย
หรือดัชนีทางการเงินนั้นได้
(๓) การทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
ซึ่งอ้างอิงตราสารหนี้หรือดัชนีราคาตราสารหนี้ที่เป็นสกุลเงินบาท ดังนี้
(๓.๑) ตั๋วเงินคลัง
(๓.๒) พันธบัตรรัฐบาล
(๓.๓) พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓.๔) พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ
(๓.๕) หุ้นกู้ที่รัฐบาลค้ำประกัน
(๓.๖)
ตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับเป็นระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment
grade) โดยเป็นตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับ BBB
หรือเทียบเท่าขึ้นไปจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจากสากลในกรณีเป็นตราสารหนี้ซึ่งออกขายในต่างประเทศ
(๓.๗) ตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
(๓.๘)
ดัชนีทางการเงินซึ่งมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในข้อ ๔.๔ (๒)
(๓.๙)
ตราสารหนี้อื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
ทั้งนี้
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
ไม่รวมถึงธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ที่อ้างอิงกับตราสารที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์เอง
เนื่องจากอาจเข้าข่ายเป็นการลดทุนโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งอาจเกิดความไม่เป็นธรรมในการทำธุรกรรม
หรือธนาคารพาณิชย์อาจไม่สามารถทำธุรกรรมเพื่อปิดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้
(๔)
สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ประเภทอื่นนอกเหนือจากที่กำหนด
ให้ขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นรายกรณี
ยกเว้นเป็นการทำธุรกรรมเพื่อป้องกันความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์นั้นเอง
ซึ่งหมายถึงการทำธุรกรรมที่มี Risk Profile ในทางตรงกันข้ามกับฐานะที่มีอยู่ก่อน
หรือเป็นธุรกรรมที่สามารถลดหรือจำกัดความเสี่ยงอย่างมีนัยในผลขาดทุนที่เกิดขึ้นกับฐานะในตราสารหนี้ที่มีอยู่ก่อนในกรณีที่ราคาตราสารหนี้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่มีผลในทางลบกับฐานะที่มีอยู่นั้น
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำเอกสารหลักฐานแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวเป็นการทำเพื่อป้องกันความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์เอง
เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้ อนึ่ง
หากธนาคารพาณิชย์ใดมีข้อสงสัยว่าธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ที่ประสงค์จะทำนั้นอยู่ในขอบเขตที่ได้รับอนุญาตหรือไม่
ให้หารือธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนทำธุรกรรมดังกล่าว
ข้อ ๔.๕ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
และเหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะ ปริมาณ และความซับซ้อนของการทำธุรกรรม ดังนี้
(๑) คณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง (ในกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ)
จะต้องเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการย่อยและผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าวจะต้องมีความรู้
ความเข้าใจในธุรกรรมที่กล่าวและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี
และจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลการทำธุรกรรมดังกล่าวตามนโยบายที่ได้รับความเห็นชอบอย่างใกล้ชิด
และให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการทำธุรกรรมดังกล่าว
(๒) ธนาคารพาณิชย์จะต้องกำหนดนโยบาย กลยุทธ์
ขั้นตอนการปฏิบัติในการประกอบธุรกรรมการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
และการควบคุมภายในไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร
(๓)
นโยบายการประกอบธุรกรรมและการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารหรือคณะผู้บริหารที่กล่าวก่อนทุกครั้ง
และ กลยุทธ์ ขั้นตอนการปฏิบัติในการประกอบธุรกรรม การบริหารความเสี่ยง
และการควบคุมภายในจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการย่อยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าว
(๔)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยงที่เป็นอิสระ (Risk
management unit) เพื่อทำหน้าที่ประเมิน ติดตาม ควบคุม ตรวจสอบดูแลการบริหารความเสี่ยงโดยรวมของธนาคารพาณิชย์นั้น
และมีการรายงานโดยตรงต่อคณะกรรมการธนาคารผ่านทางคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอสำหรับกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
หน่วยงานบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
โดยจะต้องมีการรายงานต่อหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่อย่างสม่ำเสมอรวมทั้งการรายงานต่อหน่วยงานในประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย
(๕)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีบุคลากรเพียงพอเพื่อรองรับการประกอบธุรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร
โดยบุคลากรดังกล่าวจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถและประสบการณ์เพียงพอ
(๖)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีมาตรการในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องที่มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ มาตรการและระบบในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงดังกล่าวจะต้อง
(ก)
สามารถสะท้อนและรองรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกรรม
โดยให้เน้นประสิทธิภาพของระบบบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest
Rate Risk) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign
Exchange Risk) ความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดจากการประกอบธุรกรรม Options
เช่น Delta Vega Gamma Theta และ Rho
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) และความเสี่ยงด้านเครดิต
(Credit Risk) ซึ่งรวมถึง Pre-settlement Risk และ
Settlement Risk โดยธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบที่ใช้ในการวัดความเสี่ยงที่สามารถสะท้อนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและความเสี่ยงแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
ถูกต้อง และแม่นยำ
(ข)
สามารถนำไปใช้ในการควบคุมความเสี่ยงในทางปฏิบัติ
โดยมีการเลือกใช้วิธีป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ธนาคารพาณิชย์มี
เช่น Delta/Gamma/Vega Hedging, Dynamic/Static Replication Portfolio
เป็นต้น รวมทั้งมีการกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Limits)
ให้มีความเหมาะสมกับระบบการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
ลักษณะการดำเนินงานและฐานะเงินกองทุนรวมทั้งกลยุทธ์ของธนาคารพาณิชย์นั้น
(ค)
มีการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่ใช้ในการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Mark to
Market) ที่เหมาะสม ชัดเจน และสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง
โดยจะต้องประเมินมูลค่ายุติธรรมของยอดคงค้าง ณ ทุกสิ้นวันทำการ
(ง) มีการทดสอบประสิทธิภาพ
ความถูกต้องและแม่นยำของระบบบริหารความเสี่ยงภายในระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น
มีการทดสอบ Back Test และมีการทดสอบ Stress Test ของแบบจำลอง
Value at Risk อย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนผันข้อกำหนดเรื่องมาตรการและระบบในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงตามข้อ
๔.๕ (๖) (ก) (ข) และ (ง) หากธนาคารพาณิชย์บริหารความเสี่ยงแบบ Back to Back
โดยการผ่อนผันดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ และผ่อนผันการ Mark
to Market ธุรกรรมตราสารหนี้ตามข้อ ๔.๕ (๖) (ค)
หากธนาคารพาณิชย์บริหารความเสี่ยงแบบ Back to Back ซึ่งจะผ่อนผันให้ธนาคารพาณิชย์ต้อง
Mark to Market อย่างต่ำในงบการเงินสำหรับงวดที่มีการเปิดเผยข้อมูลให้บุคคลภายนอก
โดยการผ่อนผันดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั้งนี้
ในระยะเวลาดังกล่าวธนาคารพาณิชย์ควรที่จะดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการทำตามข้อกำหนดดังกล่าวด้วย
(๗)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีระบบควบคุมภายในที่สามารถรองรับการทำธุรกรรมดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพียงพอ เหมาะสม มีระเบียบและวิธีปฏิบัติในการควบคุมภายในที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร
มีการกำหนดโครงสร้างการควบคุมและมีการแบ่งแยกหน้าที่อย่างเหมาะสมมีการตรวจสอบระบบควบคุมภายใน
และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอ
รวมทั้งมีการจัดทำระบบข้อมูลเพื่อรายงานความเสี่ยงและการจัดทำรายงานเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ
หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่
(ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) โดยหน่วยงานดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
ข้อ ๔.๖
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการป้องกันผลกระทบที่อาจมีต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน
(๑) ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ตามข้อ
๔.๔ โดยมีขอบเขตเกี่ยวกับคู่สัญญา และตัวแปรอ้างอิง ภายใต้เงื่อนไขตามที่กำหนด
ดังนี้
คู่สัญญา
ตัวแปรในประเทศ
ตัวแปรต่างประเทศ
FX
Licensed ๑/
P
P
ผู้ลงทุนทั่วไป
P
P๓/
Non-resident
P๓/
P
Thailand
Clearing House Co., Ltd.
P
P๓/
Broker
ในตลาดอนุพันธ์ ๒/
P
P๓/
๑/
หมายถึง นิติบุคคลรับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
๒/
หมายถึง
บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่ได้รับใบอนุญาตในการประกอบการประเภทตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
เฉพาะกรณีทำหน้าที่เป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ซื้อขายผ่านศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเท่านั้น
๓/
ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินและมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
(๒) ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้หรือการป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมนั้น
จะต้องถือปฏิบัติตามตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเคร่งครัด
ข้อ ๔.๗
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลและการรายงาน
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้จะต้องรายงานการประกอบธุรกรรมให้สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย
(The Thai Bond Market Associationหรือ Thai BMA)
โดยมีรายละเอียดตามที่ตลาดตราสารหนี้ไทยกำหนด ทั้งนี้
ต้องจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอด้วย
ข้อ ๔.๘ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้ข้อมูลลูกค้า
ในการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ตามข้อ
๔.๔ นั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องชี้แจงและให้ข้อมูลแก่ลูกค้า ตามข้อกำหนด ดังนี้
(๑)
การทำธุรกรรมกับคู่สัญญาที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์นั้น
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีการวิเคราะห์พร้อมทั้งมีหลักฐานแสดงว่าธนาคารพาณิชย์ได้ทำตามขั้นตอนการพิจารณาความเหมาะสมของลูกค้าก่อนทำธุรกรรม
(Client Suitability Analysis) ทั้งนี้
จะต้องพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดต่อไป
(๒)
การทำธุรกรรมต้องชี้แจงให้คู่สัญญาเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน
รวมทั้งเปิดเผยข้อมูลแก่ลูกค้าตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดต่อไป
(๓)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการรับคำร้องเรียนจากลูกค้า
และมีการรายงานต่อคณะผู้บริหารเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไข
และป้องกันการเกิดปัญหาที่เหมาะสม
ข้อ ๔.๙
การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ดังกล่าวจะต้องดูแลให้สัญญามีผลบังคับตามกฎหมาย
และจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่ หลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุน
หลักเกณฑ์การกำกับดูแลความเสี่ยงด้านตลาด หลักเกณฑ์การดำรงฐานะเงินตราต่างประเทศและหลักเกณฑ์การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามที่กำหนดในเอกสารแนบ
๑ - ๒ รวมไปถึงหลักเกณฑ์อื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๔.๑๐ ข้อกำหนดอื่น
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ดังกล่าวต้องบันทึกบัญชีและเปิดเผยข้อมูลให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชี
แนวปฏิบัติทางการบัญชี และวิธีปฏิบัติของสากล
ข้อ ๔.๑๑
การทำธุรกรรมสำหรับธนาคารพาณิชย์ไทยในต่างประเทศ
การทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
ของสาขาธนาคารพาณิชย์ไทยในต่างประเทศให้อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลของประเทศที่สาขานั้นตั้งอยู่
และธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจะต้องมีระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพตามที่ระบุไว้ในข้อ
๔.๕ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๔.๗ - ๔.๑๐ ของประกาศฉบับนี้ด้วย ทั้งนี้
ไม่รวมถึงกรณีสาขาที่กล่าวทำธุรกรรมกับบุคคลในประเทศไทย
ซึ่งจะต้องถือปฏิบัติตามกรอบและข้อกำหนดตามประกาศฉบับนี้ด้วย
ข้อ ๔.๑๒
การเปลี่ยนแปลงกรอบการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ในการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ในอนาคตตามความเหมาะสมภายใต้กรอบของหลักการในข้อ
๔.๒
๕.[๑]
วันเริ่มต้นการถือปฏิบัติ
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ความเสี่ยงของคู่สัญญา
ตราสารหนี้อ้างอิง
1. การกำกับลูกหนี้
รายใหญ่
- ให้ถือปฏิบัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การนับลูกหนี้รายใหญ่
โดยใช้วิธี Current Exposure
ตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กำหนดในประกาศ
ธปท. เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ ธพ. ให้สินเชื่อ ลงทุน
และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน ลงวันที่ 19 มกราคม 2549
หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม และใช้ค่าแปลงสภาพ ดังนี้
อายุที่เหลือ
ของสัญญา[2]
ประเภทตราสารหนี้อ้างอิง[3]
รัฐบาล
ที่เข้าเกณฑ์
เข้าเกณฑ์
ไม่เข้าเกณฑ์
ไม่เกิน
14
วัน
0
0.05
0.10
ไม่เกิน
1
ปี
0
0.05
0.10
เกิน
1
ปี 5
ปี
0.005
0.05
0.10
เกิน
5
ปี ขึ้นไป
0.015
0.05
0.10
ทั้งนี้
จนกว่าจะมีการแก้ไขประกาศ ธปท. ว่าด้วยการกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ ธพ.
ให้สินเชื่อ ลงทุนและก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
ให้รองรับการกำกับดูแลในเรื่องดังกล่าว
- ในการนับฐานะจากธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
ให้นับด้วยจำนวนเงินตามสัญญาในกรณีของธุรกรรม Futures, Forwards และนับด้วยค่า
Delta Equivalent
Amount ในกรณีของธุรกรรม Options
- ก่อน
ธพ. ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
[ไม่ว่าจะเป็นฐานะที่เป็นผู้ซื้อตราสารหนี้หรือที่อาจทำให้ ธพ.
ได้รับตราสารหนี้มาในอนาคต (ไม่ว่าจะเป็นการชำระราคาแบบ Physical หรือ
Cash
Settlement ก็ตาม)] ธพ. จะต้องนำฐานะจากการทำธุรกรรมที่กล่าวไปทดลองคำนวณรวมในอัตราส่วนจำนวนเงินที่
ธพ. ให้สินเชื่อ
ลงทุนและก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนตามประกาศ ธปท.
ในเรื่องที่กล่าวลงวันที่ 19 มกราคม2549 หรือที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย
โดย ธพ. จะสามารถทำธุรกรรมได้ก็ต่อเมื่อนับฐานะจากธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้รวมเข้ากับจำนวนเงินที่ให้สินเชื่อ
ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้วไม่เกินร้อยละ 25
ของเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่านั้น และหลังจากทำธุรกรรมแล้ว ธพ.
ต้องนับฐานะที่กล่าวในการคำนวณอัตราส่วนจำนวนเงินที่ ธพ. ให้สินเชื่อ ลงทุน
และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดตามประกาศ ธปท. ที่กล่าวด้วย ทั้งนี้
ยกเว้นกรณีที่ตราสารหนี้อ้างอิงในการทำธุรกรรมเป็นตราสารตามข้อยกเว้นที่กำหนดในประกาศ
ธปท. เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ ธพ. ให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
ลงวันที่ 19
มกราคม 2549
หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
- กรณีที่ตัวแปรที่จะนำมาใช้ซื้อขายอ้างอิงในการทำธุรกรรมเป็นดัชนีราคาตราสารหนี้ให้นับเงินลงทุนในตราสารหนี้อ้างอิงทุกตัวตามสัดส่วนที่อยู่ในดัชนีนั้น
และทดลองคำนวณ และนับฐานะที่กล่าวในการคำนวณอัตราส่วนจำนวนเงินที่ ธพ.
ให้สินเชื่อ
ลงทุนและก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนตามหลักเกณฑ์ข้างต้นด้วย
- ให้
ธพ. สามารถหักกลบฐานะ Short (ฐานะที่เป็นผู้ขายตราสารหนี้ล่วงหน้าหรือที่อาจทำให้ธพ.
ต้องส่งมอบตราสารหนี้ในอนาคต) กับฐานะ Long (ฐานะที่เป็นผู้ซื้อตราสารหนี้ล่วงหน้าหรือที่อาจทำให้
ธพ. ได้รับตราสารหนี้เข้ามาในอนาคต)
ในตราสารหนี้ที่เกิดจากการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
หากสัญญาทั้งสองมีวันครบกำหนดวันเดียวกัน และมีตราสารหนี้อ้างอิงตัวเดียวกัน
(ผู้ออก ชนิด ประเภท อัตราการจ่าย Coupon เท่ากันสกุลเงินเดียวกัน
และมีวันครบกำหนดเดียวกัน เป็นต้น) โดยให้ใช้ฐานะ Long สุทธิที่เป็นบวกในการคำนวณอัตราส่วนจำนวนเงินที่
ธพ. ให้สินเชื่อ
ลงทุนและก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนตามหลักเกณฑ์ข้างต้น
ทั้งนี้สำหรับในกรณีอื่นๆ ไม่อนุญาตให้หักกลบ เช่น กรณีมีฐานะ Short ในอนุพันธ์ด้านตราสารหนี้กับถือตราสารหนี้นั้นอยู่ใน
Port ธพ.
ไม่สามารถนำฐานะทั้งสองมาหักกลบกันได้แม้ว่าจะอ้างอิงตราสารหนี้ตัวเดียวกันก็ตาม
2.
เกณฑ์เงินกองทุน
2.1
บัญชีเพื่อ
การธนาคาร
(Banking
Book)
ให้คิดเงินกองทุนที่ต้องดำรงเพื่อรองรับความเสี่ยงของคู่สัญญาสำหรับอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
โดยใช้วิธี Current
Exposure แบบไม่มี Netting ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในเอกสารแนบ
2 จนกว่าจะมีการแก้ไขประกาศ ธปท. ว่าด้วยการกำหนดให้ ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศและสาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน
ให้รองรับการกำกับดูแลในเรื่องดังกล่าว
ให้
ธพ. ดำรงเงินกองทุนตามประกาศ ธปท. เรื่อง การกำหนดให้ ธพ.
ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ 27 มกราคม 2549 และเรื่อง
การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2548
หรือที่แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อมีการรับตราสารหนี้เข้ามาแล้วจริง
เว้นแต่กรณีการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้อ้างอิงตราสารหนี้ที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์อื่นหรือบริษัทเงินทุน
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมในฐานะที่เป็นผู้ซื้อตราสารหนี้ที่กล่าวหรือที่อาจมีโอกาสได้รับตราสารหนี้ดังกล่าวมาในอนาคตจะต้องหักเงินกองทุนเท่ากับจำนวนเงินตามสัญญาของธุรกรรมตั้งแต่วันแรกของการทำธุรกรรม
2.2 บัญชีเพื่อการค้า
(Trading Book)
-
คิดเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงของคู่สัญญา เช่นเดียวกับที่กำหนดสำหรับบัญชีเพื่อการธนาคารข้างต้น
ให้ปฏิบัติตามหนังสือ
ธปท. ที่ ธปท.สนส. (21)ว. 2738/2546 เรื่อง
แนวนโยบายการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านตลาดของสถาบันการเงินและแบบรายงานที่เกี่ยวข้อง
ลงวันที่
30
ธันวาคม 2546
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย
- ให้มีการประเมินความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย
และดำรงเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงดังกล่าวที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
2. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- ให้
ธพ. นับรวมฐานะเงินตราต่างประเทศที่เกิดจากอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้และดำรงเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงดังกล่าว
(ถ้ามี)
3. ในกรณีที่การทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้อ้างอิงตราสารหนี้ที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์อื่นหรือบริษัทเงินทุน
- ธพ.
ที่ทำธุรกรรมในฐานะที่เป็นผู้ซื้อตราสารหนี้ที่กล่าวหรือที่อาจมีโอกาสได้รับตราสารหนี้ดังกล่าวมาในอนาคตจะต้องหักเงินกองทุนเท่ากับจำนวนเงินตามสัญญาของธุรกรรมตั้งแต่วันแรกของการทำธุรกรรม
4. ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ
Options
- กรณีที่
ธพ. ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับ Options ให้มีการประเมินความเสี่ยงสำหรับ
Options และดำรงเงินกองทุนรองรับด้วย
3. เกณฑ์การดำรง
ฐานะเงินตรา
ต่างประเทศ
(Net FX Position)
-
ให้นับฐานะจากธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศในการดำรงฐานะเงินตราต่างประเทศด้วย
โดยคิดด้วยมูลค่ายุติธรรมของฐานะอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้นั้น
โดยให้รายงานในหัวข้อ ฐานะล่วงหน้าสุทธิ ของแบบรายงานฐานะรวม
และแบบรายงานฐานะสาขา ตามแนวนโยบาย เรื่อง
หลักเกณฑ์การดำรงฐานะเงินตราต่างประเทศ และแบบรายงานที่เกี่ยวข้อง ลงวันที่ 21 มกราคม
2546 หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
4.
เกณฑ์การดำรง
สินทรัพย์
สภาพคล่อง
-
การทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ซึ่งมีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายสามารถนำมานับเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ตามประกาศ
ธปท. เรื่อง การกำหนดให้ ธพ. ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ 22
ตุลาคม 2547
หรือที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้น
ให้ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการนับสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าวเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องตามหลักเกณฑ์
ดังนี้
1. กรณีการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงที่กล่าวล่วงหน้า
ไม่ให้นับสินทรัพย์อ้างอิงนั้นเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องที่ ธพ.ดำรง
จนกว่าจะได้รับสินทรัพย์อ้างอิงเข้ามาแล้วจริง
2. กรณีที่มีสินทรัพย์อ้างอิงและนับสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าวเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องอยู่
เมื่อมีการขายสินทรัพย์อ้างอิงที่กล่าวล่วงหน้าถือว่าสินทรัพย์ดังกล่าวมีภาระผูกพันแล้ว
จึงต้องตัดสินทรัพย์อ้างอิงนั้นออกจากการนับเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องในทันทีที่ทำธุรกรรม
การคำนวณเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงของคู่สัญญาสำหรับธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงิน
ด้านตราสารหนี้
1. ให้ธนาคารพาณิชย์ใช้วิธีการคำนวณแบบ
Current Exposure แบบไม่มี Netting Agreement ในการคำนวณมูลค่าเทียบเท่าที่จะนับเป็นสินทรัพย์
(Credit Equivalent Amount) สำหรับการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ที่ทำกับคู่สัญญาแต่ละราย
2. ในการคิดมูลค่าเทียบเท่าที่จะนับเป็นสินทรัพย์สำหรับการทำธุรกรรมจากสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้สำหรับคู่สัญญาแต่ละราย
ให้คำนวณ ดังนี้
CEA = CCE + PFCEgross
โดยที่
1. CEA (Credit Equivalent Amount) คือ
มูลค่าเทียบเท่าที่จะนับเป็นสินทรัพย์จากสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
2. CCE (Current Credit Exposure) คือ
ผลรวมด้านกำไรที่ได้จากการวัดมูลค่ายุติธรรมในปัจจุบันของการทำอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ทุกสัญญาที่ธนาคารพาณิชย์ทำกับคู่ค้ารายเดียวกัน
3. PFCEgross (Potential Future Credit Exposure : PFCEgross) คือ
ผลรวมของการวัดมูลค่าความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
ซึ่งเท่ากับผลรวมของการนำจำนวนเงินตามสัญญา (Notional Amount) ของธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้ทุกสัญญาที่ทำกับคู่ค้ารายเดียวกันไปคูณด้วยค่าแปลงสภาพ
(Credit Conversion Factor) ที่เกี่ยวข้องตามที่กำหนดไว้ในตาราง
ทั้งนี้
สำหรับอนุพันธ์ทางการเงินซึ่งมีการพัฒนาจากอนุพันธ์ทางการเงินพื้นฐานย่อยๆ หรือมีการ
Leverage จำนวนเงินตามสัญญาหรือมีการแลกเปลี่ยนจำนวนเงินตามสัญญาหลายครั้ง
(Structured Product) ให้ธนาคารพาณิชย์ใช้ผลรวมของจำนวนเงินตามสัญญาของทุกธุรกรรมย่อยที่ใช้คำนวณจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์จะได้รับในสถานการณ์ที่เป็นประโยชน์กับธนาคารพาณิชย์มากที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น
(Effective Notional Amount) แทนจำนวนเงินตามสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน
(Notional Amount)
ตารางค่าแปลงสภาพสำหรับการทำอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้
อายุที่เหลือของสัญญา[๔]
ประเภทตราสารหนี้อ้างอิง[๕]
ตราสารหนี้รัฐบาล
ที่เข้าเกณฑ์
ตราสารหนี้
ที่เข้าเกณฑ์
ตราสารหนี้
ที่ไม่เข้าเกณฑ์
ไม่เกิน
14 วัน
0
0.05
0.10
ไม่เกิน
1 ปี
0
0.05
0.10
เกิน
1 ปี 5 ปี
0.005
0.05
0.10
เกิน
5 ปี ขึ้นไป
0.015
0.05
0.10
3. เมื่อคำนวณได้ค่ามูลค่าเทียบเท่าที่จะนับเป็นสินทรัพย์สำหรับธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารหนี้สำหรับคู่สัญญาแต่ละรายแล้ว
ให้นำไปคูณกับน้ำหนักความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงิน
และอัตราส่วนเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนต่อไป
โสรศ/ผู้จัดทำ
๑๙
กรกฎาคม ๒๕๕๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม๑๒๔/ตอนพิเศษ ๘๑ ง/หน้า ๑๕/๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐
[2] กรณีสัญญาที่มีการรับหรือจ่ายชำระเงินกัน ณ
วันที่ที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
โดยมีการปรับอัตราอ้างอิงซึ่งมีผลให้สัญญากลับไปมีมูลค่าตลาดเท่ากับศูนย์
อายุที่เหลือของสัญญาหมายถึง
ระยะเวลาคงเหลือก่อนการปรับอัตราอ้างอิงครั้งต่อไป
[3] อนุพันธ์ด้านตราสารหนี้แบ่งตามประเภทตราสารหนี้ที่อ้างอิงได้เป็น
3
ประเภท คือ อนุพันธ์ด้านตราสารหนี้ที่อ้างอิงตราสารหนี้รัฐบาล
อนุพันธ์ด้านตราสารหนี้ที่อ้างอิงตราสารหนี้
อื่นที่เข้าเกณฑ์ และอนุพันธ์ด้านตราสารหนี้ที่อ้างอิงตราสารหนี้ที่ไม่เข้าเกณฑ์
ตามแนวทางการคำนวณเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงประเภท Specific risk ตามหนังสือที่
ธปท. สนส.
(21) ว.2738/2546 เรื่อง
แนวนโยบายการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านตลาดของสถาบันการเงินและแบบรายงานที่เกี่ยวข้อง
ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2546 หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
[๔] กรณีสัญญาที่มีการรับหรือจ่ายชำระเงินกัน
ณ วันที่ที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
โดยมีการปรับอัตราอ้างอิงซึ่งมีผลให้สัญญากลับไปมีมูลค่าตลาดเท่ากับศูนย์
อายุที่เหลือของสัญญาหมายถึงระยะเวลาคงเหลือก่อนการปรับอัตราอ้างอิงครั้งต่อไป
[๕] อนุพันธ์ด้านตราสารหนี้แบ่งตามประเภทตราสารหนี้ที่อ้างอิงได้เป็น
3
ประเภท คือ อนุพันธ์ด้านตราสารหนี้ที่อ้างอิงตราสารหนี้รัฐบาล
อนุพันธ์ด้านตราสารหนี้ที่อ้างอิงตราสารหนี้อื่นที่เข้าเกณฑ์
และอนุพันธ์ด้านตราสารหนี้ที่อ้างอิงตราสารหนี้ที่ไม่เข้าเกณฑ์
ตามแนวทางการคำนวณเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงประเภท Specific risk ตามหนังสือที่
ธปท. สนส. (21) ว 2738/2546 เรื่อง
แนวนโยบายการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านตลาดของสถาบันการเงินและแบบรายงานที่เกี่ยวข้อง
ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2546 หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม |
563017 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 2/2550 เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่
สนส. ๒/๒๕๕๐
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างตลาดการเงินในประเทศ
การพัฒนาประสิทธิภาพของตลาดตราสารทุน และส่งเสริมการพัฒนาศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงออกประกาศอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนโดยกำหนดขอบเขตและหลักเกณฑ์การปฏิบัติให้กับธนาคารพาณิชย์
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
ตามกรอบและข้อกำหนดในประกาศฉบับนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้กับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารยกเว้นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
๔.
เนื้อหา
ข้อ ๔.๑
ในประกาศฉบับนี้
(๑) ตราสารทุน หมายถึง
ตราสารที่แสดงว่าผู้ถือตราสารมีความเป็นเจ้าของกิจการที่ไปลงทุน
(๒) ธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
หมายถึง ข้อตกลงหรือสัญญาที่มูลค่าขึ้นอยู่กับระดับราคาของตราสารทุน
หรือราคาของกลุ่มตราสารทุน หรือดัชนีราคาตราสารทุน (Equity Index)
ที่ใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมนั้น
(๓) Equity Futures คือสัญญาซื้อหรือขายตราสารทุนหรือกลุ่มตราสารทุนหรือดัชนีราคาตราสารทุนล่วงหน้า
ณ วันครบกำหนดสัญญา ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในสัญญา
ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการซื้อขายผ่านศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือตลาดอนุพันธ์ที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นทางการ
โดยจะมีการ mark to market และรับรู้กำไรและขาดทุนทุกวันทำการของตลาดผ่านระบบการวาง
Margin ซึ่งนำมาใช้ลดความเสี่ยงต่อคู่ค้า
โดยในกรณีที่มีการขาดทุนมากๆ จนระดับของ Margin ต่ำกว่าระดับที่กำหนด
(Maintenance Margin) ผู้ถือตราสารอนุพันธ์จะต้องนำเงินเข้าบัญชี Margin
เพิ่มขึ้น เป็นต้น
(๔) Equity Forwards เป็นการตกลงระหว่างคู่สัญญาสองฝ่าย
(over the counter) ในการซื้อหรือขายตราสารทุน กลุ่มตราสารทุน
หรือดัชนีราคาตราสารทุน ในราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าตามที่ระบุในสัญญา
โดยคู่สัญญาดังกล่าวมีภาระผูกพันตามสัญญา ในการซื้อหรือขายตราสารทุน
กลุ่มตราสารทุน หรือดัชนีราคาตราสารทุนที่กำหนด
ในราคาที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าตามที่ระบุในสัญญา ณ
วันครบกำหนดโดยการทำสัญญาดังกล่าวไม่ผ่านศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
หรือตลาดอนุพันธ์ที่มีการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ
แต่จะเป็นการทำสัญญาโดยตรงระหว่างผู้ทำธุรกรรม (OTC transactions)
(๕) Equity Linked Swaps คือข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาสองฝ่ายที่จะแลกเปลี่ยนอัตราผลตอบแทนที่ได้จากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในลักษณะคงที่
(Fixed Rate) หรือในลักษณะลอยตัว (Floating Rate)
หรืออัตราผลตอบแทนที่อ้างอิงกับราคาตราสารทุน ราคาของกลุ่มตราสารทุน
หรือดัชนีราคาตราสารทุนหนึ่ง กับอัตราผลตอบแทนที่อ้างอิงกับราคาตราสารทุน ราคาของกลุ่มตราสารทุน
หรือดัชนีราคาตราสารทุนอื่น ซึ่งเป็นลักษณะที่เป็นธุรกรรม Swaps
ขั้นพื้นฐาน
(๖) Equity Options คือข้อตกลงที่ผู้ซื้อมีสิทธิแต่ไม่ใช่ข้อผูกพันในการซื้อ
(Call Options) หรือขาย (Put Options) ตราสารทุน
กลุ่มตราสารทุนหรือดัชนีราคาตราสารทุนในอนาคต ณ วันครบกำหนดสัญญา (European
Options) หรือในระหว่างระยะเวลาของสัญญา (American
Options) หรือ ณ วันที่กำหนดในระหว่างระยะเวลาของสัญญา (Bermudan
Options) ตามราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าตามที่ระบุในสัญญาซึ่งเป็นไปในลักษณะ
Options พื้นฐาน (Plain Vanilla Options) ได้แก่
(๖.๑) Equity Call Options คือการซื้อหรือขายสิทธิที่จะซื้อตราสารทุน
กลุ่มตราสารทุน หรือดัชนีราคาตราสารทุนในอนาคต ณ วันครบกำหนดสัญญา (European
Options) หรือในระหว่างระยะเวลาของสัญญา (American
Options) หรือ ณ วันที่กำหนดในระหว่างระยะเวลาของสัญญา (Bermudan
Options) ตามราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าตามที่ระบุในสัญญา
(๖.๒) Equity Put Options คือการซื้อหรือขายสิทธิที่จะขายตราสารทุน
กลุ่มตราสารทุน หรือดัชนีราคาตราสารทุนในอนาคต ณ วันครบกำหนดสัญญา (European
Options) หรือในระหว่างระยะเวลาของสัญญา (American
Options) หรือ ณ วันที่กำหนดในระหว่างระยะเวลาของสัญญา (Bermudan
Options) ตามราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าตามที่ระบุในสัญญา
ข้อ ๔.๒ หลักการ
(๑)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องสามารถบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(๒) ธนาคารพาณิชย์จะต้องไม่เสนอธุรกรรมดังกล่าวในลักษณะที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน
เช่น การทำธุรกรรมในลักษณะที่เป็นตัวกลางในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศโดยทางอ้อม
ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนและเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน
(๓) ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดเก็บเอกสารหลักฐานในการทำธุรกรรมเพียงพอแก่การตรวจสอบไว้ในสถานที่ทำการของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบหรือจัดส่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
พร้อมทั้งจะต้องรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๔)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมอย่างชัดเจน
พร้อมทั้งมีหลักฐานแสดงว่าธนาคารพาณิชย์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการพิจารณาความเหมาะสมของลูกค้า
(๕)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกรรมนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๔.๓
ลักษณะของธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนที่ได้รับอนุญาต
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนได้ ๔ ประเภท ได้แก่
(๑.๑) Equity Futures
(๑.๒) Equity Forwards
(๑.๓) Equity Linked swaps
(๑.๔) Equity Options ได้แก่
Equity Call Options หรือ Equity Put Options
(๒)
ตัวแปรที่จะนำมาใช้ซื้อขายอ้างอิงในการทำธุรกรรมตาม ๔.๓ (๑) ได้แก่
ราคาตราสารทุนที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นที่ยอมรับและมีมาตรฐาน
ราคาของกลุ่มตราสารทุนที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นที่ยอมรับและมีมาตรฐาน
และดัชนีราคาตราสารทุนซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกข้อตามที่กำหนด ดังต่อไปนี้
(๒.๑)
เป็นดัชนีทางการเงินที่เกิดจากการคำนวณโดยใช้ตัวแปรอ้างอิงตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๔.๓
(๒)
(๒.๒)
เป็นดัชนีทางการเงินที่พัฒนาโดยสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ
(๒.๓)
เป็นดัชนีทางการเงินที่นิยมแพร่หลายในตลาดการเงินไทยหรือสากล
(๒.๔)
เป็นดัชนีทางการเงินที่มีการเสนอราคาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน
ผ่านสื่อที่เสนอข่าวที่ทันสมัยทันต่อเหตุการณ์ และ
(๒.๕)
เป็นดัชนีทางการเงินที่มีการกำหนดวิธีการคำนวณไว้อย่างชัดเจน
โดยมีการระบุแหล่งข้อมูลของตัวแปรและปัจจัยที่นำมาใช้ในการคำนวณ ทั้งนี้
ตัวแปรและปัจจัยที่นำมาใช้ในการคำนวณดังกล่าวต้องมีการเคลื่อนไหวตามสภาวะตลาดอย่างเป็นอิสระ
โดยไม่มีบุคคลใดสามารถมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตัวแปร ปัจจัย
หรือดัชนีทางการเงินนั้นได้
(๓) ด้วยมาตรา ๑๒ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
ห้ามธนาคารพาณิชย์ซื้อหรือมีหุ้นธนาคารพาณิชย์อื่น
จึงไม่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนที่อ้างอิงกับตราสารที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์เองหรือที่อ้างอิงกับตราสารที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์อื่น
เนื่องจากอาจเข้าข่ายเป็นการลดทุนโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งอาจเกิดความไม่เป็นธรรมในการทำธุรกรรม
หรือธนาคารพาณิชย์อาจไม่สามารถทำธุรกรรมเพื่อปิดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้
(๔)
สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนประเภทอื่นนอกเหนือจากที่กำหนด
ให้ขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นรายกรณี
ยกเว้นเป็นธุรกรรมที่ทำเพื่อป้องกันความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์นั้นเอง
ซึ่งหมายถึงการทำธุรกรรมที่มี Risk Profile ในทางตรงกันข้ามกับฐานะที่มีอยู่ก่อน
หรือเป็นธุรกรรมที่สามารถลดหรือจำกัดความเสี่ยงอย่างมีนัยในผลขาดทุนที่เกิดขึ้นกับฐานะในตราสารทุนที่มีอยู่ก่อนในกรณีที่ราคาตราสารทุนเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่มีผลในทางลบกับฐานะที่มีอยู่นั้น
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำเอกสารหลักฐานแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวเป็นการทำเพื่อป้องกันความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์เองเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้
อนึ่ง
หากธนาคารพาณิชย์ใดมีข้อสงสัยว่าธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนที่ประสงค์จะทำนั้นอยู่ในขอบเขตที่ได้รับอนุญาตหรือไม่
ให้หารือธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนทำธุรกรรมดังกล่าว
ข้อ ๔.๔ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะ
ปริมาณ และความซับซ้อนของการทำธุรกรรม ดังนี้
(๑) คณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
จะต้องเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการย่อยและผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าวจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในธุรกรรมที่กล่าวและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี
และจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลการทำธุรกรรมดังกล่าวตามนโยบายที่ได้รับความเห็นชอบอย่างใกล้ชิด
และให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการทำธุรกรรมดังกล่าว
(๒) ธนาคารพาณิชย์จะต้องกำหนดนโยบาย กลยุทธ์
ขั้นตอนการปฏิบัติในการประกอบธุรกรรมการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
และการควบคุมภายในไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร
(๓)
นโยบายการประกอบธุรกรรมและการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่
ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารหรือคณะผู้บริหารที่กล่าวก่อนทุกครั้ง
และกลยุทธ์ ขั้นตอนการปฏิบัติในการประกอบธุรกรรม การบริหารความเสี่ยง
และการควบคุมภายใน
จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการย่อยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าว
(๔)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยงที่เป็นอิสระ (Risk
management unit) เพื่อทำหน้าที่ประเมิน ติดตาม ควบคุม
ตรวจสอบดูแลการบริหารความเสี่ยงโดยรวมของธนาคารพาณิชย์นั้น และมีการรายงานโดยตรงต่อคณะกรรมการธนาคารผ่านทางคณะกรรมการ
บริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ สำหรับกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
หน่วยงานบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
โดยจะต้องมีการรายงานต่อหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่อย่างสม่ำเสมอ
รวมทั้งการรายงานต่อหน่วยงานในประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย
(๕)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีบุคลากรเพียงพอที่จะรองรับการประกอบธุรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร
โดยบุคลากรดังกล่าวจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถและประสบการณ์เพียงพอ
(๖)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีมาตรการและระบบในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องที่มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ มาตรการและระบบในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงดังกล่าวจะต้อง
(ก)
สามารถสะท้อนและรองรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกรรม
โดยให้เน้นประสิทธิภาพของระบบบริหารความเสี่ยงด้านราคาตราสารทุน (Equity
Price Risk) ความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย (Interest rate risk)
ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign exchange risk) ความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดจากการประกอบธุรกรรม
Options เช่น Delta Vega Gamma Theta และ
Rho ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity risk)
และความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit risk) ซึ่งรวมถึง Pre-settlement
Risk และ Settlement Risk โดยธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจน
ถูกต้อง และแม่นยำ
(ข)
สามารถนำไปใช้ในการควบคุมความเสี่ยงในทางปฏิบัติ
โดยมีการเลือกใช้วิธีป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ธนาคารพาณิชย์มี
เช่น Delta/Gamma/Vega Hedging, Dynamic/Static Replication Portfolio
เป็นต้น รวมทั้งมีการกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Limits)
ให้มีความเหมาะสมกับระบบการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
ลักษณะการดำเนินงานและฐานะเงินกองทุนรวมทั้งกลยุทธ์ของธนาคารพาณิชย์นั้น
(ค)
มีการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่ใช้ในการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Mark to
Market) ที่เหมาะสม ชัดเจน และสะท้อนมูลค่าตลาดที่แท้จริง โดยจะต้องประเมินมูลค่ายุติธรรมของยอดคงค้าง
ณ ทุกสิ้นวันทำการ
(ง) การทดสอบประสิทธิภาพ
ความถูกต้องและแม่นยำของระบบบริหารความเสี่ยงภายในระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น
มีการทดสอบ Back Test และมีการทดสอบ Stress Test ของแบบจำลอง
Value at Risk อย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนผันข้อกำหนดเรื่องมาตรการและระบบในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงตามข้อ
๔.๔ (๖) (ก) (ข) และ (ง) หากธนาคารพาณิชย์บริหารความเสี่ยงแบบ Back to Back
โดยการผ่อนผันดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ และผ่อนผันการ Mark
to Market อนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนตามข้อ ๔.๔ (๖) (ค)
หากธนาคารพาณิชย์บริหารความเสี่ยงแบบ Back to Back ซึ่งจะผ่อนผันให้ธนาคารพาณิชย์ต้อง
Mark to Market อย่างต่ำในงบการเงินสำหรับงวดที่มีการเปิดเผยข้อมูลให้บุคคลภายนอก
โดยการผ่อนผันดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ ทั้งนี้ในระยะเวลาดังกล่าวธนาคารพาณิชย์ควรที่จะดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการทำตามข้อกำหนดดังกล่าวด้วย
(๗)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีระบบควบคุมภายในที่สามารถรองรับการทำธุรกรรม ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพียงพอ เหมาะสม มีระเบียบ และวิธีปฏิบัติในการควบคุมภายในที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร
มีการกำหนดโครงสร้างการควบคุมและมีการแบ่งแยกหน้าที่อย่างเหมาะสมมีการตรวจสอบระบบควบคุมภายใน
และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอรวมทั้งมีการจัดทำระบบข้อมูลเพื่อรายงานความเสี่ยงและการจัดทำรายงานเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ
หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่
(ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) โดยหน่วยงานดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
ข้อ ๔.๕
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการป้องกันผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน
(๑) ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมตาม ๔.๓
โดยถือปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับคู่สัญญาและตัวแปรอ้างอิงก/ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
ดังต่อไปนี้
คู่สัญญา
ตัวแปรในประเทศ
ตัวแปรต่างประเทศ
FX
Licensed ๑/
P
P
ผู้ลงทุนทั่วไป
P
P๓/
Non-resident
P๓/
P
Thailand
Clearing House Co., Ltd
P
P๓/
Broker
ในตลาดอนุพันธ์ ๒/
P
P๓/
๑/
หมายถึง นิติบุคคลรับอนุญาต ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
๒/
หมายถึง
บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่ได้รับใบอนุญาตในการประกอบการประเภทตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เฉพาะกรณีทำหน้าที่เป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ซื้อขายผ่านศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเท่านั้น
๓/
ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินและมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
(๒) การทำธุรกรรมตามข้อ ๔.๓ รวมทั้งการป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมในข้อ
๔.๓ จะต้องถือปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเคร่งครัด
ข้อ ๔.๖ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูล
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมตามข้อ ๔.๓
ต้องจัดเก็บเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมเพียงพอแก่การตรวจสอบไว้ที่สถานที่ทำการของธนาคารพาณิชย์
เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบหรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
ข้อ ๔.๗ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้ข้อมูลแก่ลูกค้า
ในการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนตามข้อ
๔.๓ นั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องชี้แจงและให้ข้อมูลแก่ลูกค้า ตามข้อกำหนด ดังนี้
(๑)
การทำธุรกรรมกับคู่สัญญาที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีการวิเคราะห์พร้อมทั้งมีหลักฐานแสดงว่าธนาคารพาณิชย์ได้ทำตามขั้นตอนการพิจารณาความเหมาะสมของลูกค้าก่อนทำธุรกรรม
(Client Suitability Analysis) ทั้งนี้
จะต้องพิจารณาประเด็นต่างๆ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดต่อไป
(๒)
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมต้องชี้แจงให้คู่สัญญาเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน
รวมทั้งเปิดเผยข้อมูลแก่ลูกค้าตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดต่อไป
(๓)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการรับคำร้องเรียนจากลูกค้า
และมีการรายงานต่อคณะผู้บริหารเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไข
และป้องกันการเกิดปัญหาที่เหมาะสม
ข้อ ๔.๘
การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
จะต้องดูแลให้สัญญามีผลบังคับตามกฎหมายและจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุน
หลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่หลักเกณฑ์การกำกับเรื่องเงินลงทุน
หลักเกณฑ์การกำกับดูแลความเสี่ยงด้านตลาด
และหลักเกณฑ์การดำรงฐานะเงินตราต่างประเทศ ตามที่กำหนดในเอกสารแนบ ๑ - ๒
รวมไปถึงหลักเกณฑ์อื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลธุรกรรมนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๔.๙ ข้อกำหนดอื่น
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
จะต้องบันทึกบัญชีและเปิดเผยข้อมูลให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีและวิธีปฏิบัติของสากล
ข้อ ๔.๑๐
การทำธุรกรรมของสาขาของธนาคารพาณิชย์ไทยในต่างประเทศ
การทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
ของสาขาธนาคารพาณิชย์ไทยในต่างประเทศให้อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลของประเทศที่สาขานั้นตั้งอยู่
และธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจะต้องมีระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพตามที่ระบุไว้ในข้อ
๔.๔ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๔.๖ - ๔.๙ ของประกาศฉบับนี้ด้วย
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีสาขาที่กล่าวทำธุรกรรมกับบุคคลในประเทศไทย
ซึ่งจะต้องถือปฏิบัติตามกรอบและข้อกำหนดตามประกาศฉบับนี้ด้วย
ข้อ ๔.๑๑
การเปลี่ยนแปลงกรอบการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ในการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนในอนาคตตามความเหมาะสม
ภายใต้กรอบของหลักการในข้อ ๔.๒
๕.[๑]
วันเริ่มต้นการถือปฏิบัติ
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
เอกสารแนบท้าย
1
ความเสี่ยงของคู่สัญญา
ตราสารทุนอ้างอิง
1. การกำกับลูกหนี้รายใหญ่
- ให้นับคู่สัญญาเป็นลูกหนี้รายใหญ่
โดยให้ใช้วิธี Current
Exposure และใช้ค่าแปลงสภาพของตราสารทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงของคู่สัญญาตามประกาศ
ธปท. เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ ธพ. ให้สินเชื่อลงทุน
หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนลงวันที่ 19 มกราคม
2549 หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
- ในการนับฐานะจากธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
ให้นับด้วยจำนวนเงินตามสัญญาในกรณีของธุรกรรม futures, forwards, swaps และนับด้วยค่า
Delta
Equivalent Amount ในกรณีของธุรกรรม Options
- ก่อน
ธพ. ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
[ไม่ว่าจะเป็นฐานะที่เป็นผู้ซื้อตราสารทุนล่วงหน้าหรือที่อาจทำให้ ธพ.
ได้รับตราสารทุนเข้ามาในอนาคต (ไม่ว่าจะเป็นการชำระราคาแบบ Physical หรือ
Cash
Settlement)] ธพ.
จะต้องนำฐานะจากธุรกรรมที่กล่าวไปทดลองคำนวณรวมในอัตราส่วนจำนวนเงินที่ ธพ.
ให้สินเชื่อ ลงทุน
หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนตามประกาศ ธปท.
ในเรื่องที่กล่าว ลงวันที่ 19 มกราคม 2549 หรือที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย
โดย ธพ.
จะสามารถทำธุรกรรมได้ก็ต่อเมื่อนับฐานะจากอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนรวมเข้ากับจำนวนเงินการให้สินเชื่อ
ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้วไม่เกินร้อยละ 25
ของเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่านั้น และหลังจากทำธุรกรรมแล้ว ธพ.
จะต้องนับฐานะที่กล่าวในการคำนวณอัตราส่วนจำนวนเงินที่ ธพ. ให้สินเชื่อ ลงทุน
หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดตามประกาศ ธปท.ที่กล่าวด้วย
- กรณีที่ตัวแปรที่จะนำมาใช้ซื้อขายอ้างอิงในการทำธุรกรรมเป็นดัชนีราคาตราสารทุนที่จัดว่ามีสภาพคล่อง (ตามรายชื่อในหนังสือ
ธปท. ที่ ธปท.สนส. (21)ว. 2738/2546 เรื่อง
แนวนโยบายการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านตลาดของสถาบันการเงินและแบบรายงานที่เกี่ยวข้อง
ลงวันที่ 30
ธันวาคม 2546
และที่แก้ไขเพิ่มเติม) และมีการชำระเงินตามธุรกรรมเป็นแบบ Cash Settlement
ธพ. ไม่ต้องนับลูกหนี้รายใหญ่สำหรับตราสารทุนอ้างอิงที่อยู่ในดัชนีนั้น
สำหรับกรณีอื่นๆ ธพ.
จะต้องนับเป็นเงินลงทุนในตราสารทุนอ้างอิงทุกตัวตามอัตราส่วนที่อยู่ในดัชนีนั้น
และทดลองคำนวณ และนับฐานะที่กล่าวในการคำนวณอัตราส่วนจำนวนเงินที่ ธพ. ให้สินเชื่อ
ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดตามหลักเกณฑ์ข้างต้นด้วย
- ให้
ธพ. สามารถหักกลบฐานะ Short (ฐานะเป็นผู้ขายตราสารทุนล่วงหน้าหรือที่อาจทำให้
ธพ. ต้องส่งมอบตราสารทุนในอนาคต) กับฐานะ Long (ฐานะเป็นผู้ซื้อตราสารทุนล่วงหน้าหรือที่อาจทำให้
ธพ. ได้รับตราสารทุนเข้ามาในอนาคต)
ในตราสารทุนที่เกิดจากการทำธุรกรรมอนุพันธ์ด้านตราสารทุนที่มีวันครบกำหนดเดียวกันเท่านั้น
โดยให้ใช้ฐานะ Long
สุทธิที่เป็นบวกในการคำนวณอัตราส่วนจำนวนเงินที่ ธพ.
ให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดตามหลักเกณฑ์ข้างต้น
ทั้งนี้ สำหรับในกรณีอื่นๆ ไม่อนุญาตให้หักกลบ เช่น กรณีมีฐานะ Short ในอนุพันธ์ด้านตราสารทุนและ
ธพ. ถือตราสารทุนนั้นอยู่ใน Port ธพ.
ไม่สามารถนำฐานะทั้งสองมาหักกลบกันได้แม้ว่าจะอ้างอิงตราสารทุนตัวเดียวกันก็ตาม
2.
เกณฑ์การกำกับเกี่ยวกับการกำหนดให้ ธพ. ซื้อหรือมีหุ้นทุนในความครอบครอง
2.1 ให้ ธพ.
ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดได้ไม่เกินกว่าร้อยละ 10
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วของบริษัทนั้นๆ
-
-
ในการนับฐานะจากธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
ให้นับด้วยจำนวนเงินตามสัญญาในกรณีของธุรกรรม futures, forwards, swaps และนับด้วยค่า
Delta
Equivalent Amount ในกรณีของธุรกรรม Options
-
ก่อน ธพ.
ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน[ไม่ว่าจะเป็นฐานะที่เป็นผู้ซื้อตราสารทุนล่วงหน้าหรือที่อาจทำให้
ธพ. ได้รับตราสารทุนเข้ามาในอนาคต (ไม่ว่าจะเป็นการชำระราคาแบบ Physical หรือ
Cash
Settlement)] ธพ.
จะต้องนำฐานะจากธุรกรรมที่กล่าวไปทดลองคำนวณอัตราส่วนร้อยละ 10
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วของบริษัทนั้นๆ ด้วย โดย ธพ.
จะสามารถทำธุรกรรมได้ก็ต่อเมื่อนับฐานะจากธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนรวมเข้ากับจำนวนหุ้นที่
ธพ. ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดบริษัทหนึ่งแล้วไม่เกินร้อยละ 10
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้นเท่านั้น
และหลังจากทำธุรกรรมแล้ว ธพ.
จะต้องนับฐานะจากธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนในการคำนวณอัตราส่วนจำนวนหุ้นที่
ธพ. สามารถซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดบริษัทหนึ่งตามมาตรา 12 (5)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย
- กรณีที่ตัวแปรที่จะนำมาใช้ซื้อขายอ้างอิงในการทำธุรกรรมเป็นดัชนีราคาตราสารทุนที่จัดว่ามีสภาพคล่อง (ตามรายชื่อในหนังสือ
ธปท. ที่ ธปท.สนส. (21)ว. 2738/2546 เรื่อง
แนวนโยบายการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านตลาดของสถาบันการเงินและแบบรายงานที่เกี่ยวข้อง
ลงวันที่ 30
ธันวาคม 2546
และที่แก้ไขเพิ่มเติม) และมีการชำระเงินตามธุรกรรมเป็นแบบ Cash Settlement ไม่ต้องนับตราสารทุนอ้างอิงที่อยู่ในดัชนีนั้นรวมในการคำนวณอัตราส่วนร้อยละ
10
ที่กล่าว สำหรับกรณีอื่นๆ ธพ.
จะต้องนับตราสารทุนอ้างอิงทุกตัวตามอัตราส่วนที่อยู่ในดัชนีนั้นรวมในการคำนวณอัตราส่วนร้อยละ
10
ที่กล่าวด้วย
- ให้
ธพ. สามารถหักกลบฐานะ Short (ฐานะเป็นผู้ขายตราสารทุนล่วงหน้าหรือที่อาจทำให้
ธพ. ต้องส่งมอบตราสารทุนในอนาคต) กับฐานะ Long (ฐานะเป็นผู้ซื้อตราสารทุนล่วงหน้าหรือที่อาจทำให้
ธพ. ได้รับตราสารทุนเข้ามาในอนาคต)
ในตราสารทุนที่เกิดจากการทำธุรกรรมอนุพันธ์ด้านตราสารทุนที่มีวันครบกำหนดเดียวกันเท่านั้นโดยให้ใช้ฐานะ
Long สุทธิที่เป็นบวกในการคำนวณอัตราส่วนร้อยละ
10
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วของบริษัทนั้นๆ ตามหลักการข้างต้น ทั้งนี้
สำหรับในกรณีอื่นๆ ไม่อนุญาตให้หักกลบ เช่น กรณีมีฐานะ Short ในอนุพันธ์ด้านตราสารทุนและ
ธพ. ถือตราสารทุนนั้นอยู่ใน Port ธพ.
ไม่สามารถนำฐานะทั้งสองมาหักกลบกันได้แม้ว่าจะอ้างอิงตราสารทุนตัวเดียวกันก็ตาม
2.2
ให้ ธพ. ซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น ได้ไม่เกินกว่าร้อยละ 20
ของเงินกองทุนทั้งสิ้นของ ธพ. นั้น
-
-
ในการนับฐานะจากธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
ให้นับด้วยจำนวนเงินตามสัญญาในกรณีของธุรกรรม futures, forwards, swaps และนับด้วยค่า
Delta
Equivalent Amount ในกรณีของธุรกรรม Options
-
ก่อน ธพ.
ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน[ไม่ว่าจะเป็นฐานะที่เป็นผู้ซื้อตราสารทุนล่วงหน้าหรือที่อาจทำให้
ธพ. ได้รับตราสารทุนเข้ามาในอนาคต (ไม่ว่าจะเป็นการชำระราคาแบบ Physical หรือ
Cash
Settlement)] ธพ.
จะต้องนำฐานะจากธุรกรรมที่กล่าวไปทดลองคำนวณรวมในอัตราส่วนจำนวนหุ้นที่ ธพ. ซื้อ
หรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดกับเงินกองทุนตามประกาศ ธปท. เรื่อง การกำหนดให้ ธพ.
ถือปฏิบัติในเรื่องการซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้น
เป็นอัตราส่วนกับเงินกองทุน ลงวันที่ 25 เมษายน 2546 หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม โดย
ธพ.
จะสามารถทำธุรกรรมได้ก็ต่อเมื่อนับฐานะจากธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนรวมเข้ากับจำนวนหุ้นที่
ธพ. ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดทุกบริษัทรวมกันทั้งสิ้นมีมูลค่าไม่เกิน ร้อยละ
20 ของเงินกองทุนทั้งสิ้นของ ธพ. นั้น เท่านั้น และหลังจากทำธุรกรรมแล้ว ธพ.
จะต้องนับฐานะจากธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนในการคำนวณอัตราส่วนจำนวนหุ้นที่
ธพ. ซื้อ หรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดกับเงินกองทุนที่กล่าวด้วย
-
ให้ ธพ. สามารถหักกลบฐานะ Short (ฐานะเป็นผู้ขายตราสารทุนล่วงหน้าหรือที่อาจทำให้
ธพ. ต้องส่งมอบตราสารทุนในอนาคต) กับฐานะ Long (ฐานะเป็นผู้ซื้อตราสารทุนล่วงหน้าหรือที่อาจทำให้
ธพ. ได้รับตราสารทุนเข้ามาในอนาคต)
ในตราสารทุนที่เกิดจากการทำธุรกรรมอนุพันธ์ด้านตราสารทุนที่มีวันครบกำหนดเดียวกันเท่านั้น
โดยให้ใช้ฐานะ Long
สุทธิที่เป็นบวกในการคำนวณอัตราส่วนจำนวนหุ้นที่ ธพ.
ซื้อ หรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดกับเงินกองทุนตามหลักการข้างต้น ทั้งนี้
สำหรับในกรณีอื่นๆ ไม่อนุญาตให้หักกลบ เช่น กรณีมีฐานะ Short ในอนุพันธ์ด้านตราสารทุนและ
ธพ. ถือตราสารทุนนั้นอยู่ใน Port ธพ. ไม่สามารถนำฐานะทั้งสองมาหักกลบกันได้แม้ว่าจะอ้างอิงตราสารทุนตัวเดียวกันก็ตาม
3.
เกณฑ์เงินกองทุน
3.1 บัญชีเพื่อการธนาคาร
(Banking Book)
-
คิดเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงในส่วนของความเสี่ยงของคู่สัญญาสำหรับอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
โดยใช้วิธี Current
Exposure แบบไม่มี Netting และใช้ค่าแปลงสภาพของตราสารทุน
และน้ำหนักความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงิน
เพื่อดำรงเงินกองทุนรองรับความเสี่ยงของคู่สัญญาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในเอกสารแนบ
2 จนกว่าประกาศ ธปท. เรื่อง การกำหนดให้ ธพ. ที่จดทะเบียนในประเทศ และเรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน
จะรองรับการประกอบธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้าน
ตราสารทุน
- ให้
ธพ. ดำรงเงินกองทุนตามประกาศ ธปท. เรื่อง การกำหนดให้ ธพ.
ที่จดทะเบียนในประเทศลงวันที่ 27 มกราคม 2549 และ เรื่อง
การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุนลงวันที่ 30 ธันวาคม
2548 หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
เมื่อมีการรับตราสารทุนเข้ามาแล้วจริง
3.2
บัญชีเพื่อการค้า
(Trading
Book)
- คิดเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงในส่วนของความเสี่ยงของคู่สัญญาสำหรับอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนในบัญชีเพื่อการค้า
เช่นเดียวกับที่กำหนดสำหรับบัญชีเพื่อการธนาคารข้างต้น
-
ให้ปฏิบัติตามหนังสือ ธปท. ที่ ธปท.สนส. (21)ว. 2738/2546 เรื่อง
แนวนโยบายการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านตลาดของสถาบันการเงินและแบบรายงานที่เกี่ยวข้อง
ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1.
ความเสี่ยงด้านราคาตราสารทุน
-
ให้มีการประเมินความเสี่ยงด้านราคาตราสารทุน
และดำรงเงินกองทุนเพื่อรองรับอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย
- ให้มีการประเมินความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยและดำรงเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงดังกล่าวที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
(ถ้ามี)
3. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- ให้
ธพ.
นับรวมฐานะเงินตราต่างประเทศที่เกิดจากอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนและดำรงเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงดังกล่าว
(ถ้ามี)
4. ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ
Options
- กรณีที่
ธพ. ทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนที่เกี่ยวข้องกับ Options ให้มีการประเมินความเสี่ยงสำหรับ
Options และดำรงเงินกองทุนรองรับด้วย
4. เกณฑ์การดำรงฐานะเงินตรา
ต่างประเทศ
-
-
ให้นับฐานะจากธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศในการดำรงฐานะเงินตราต่างประเทศด้วย
โดยคิดด้วยมูลค่ายุติธรรมของฐานะอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนนั้น
โดยให้รายงานในหัวข้อ ฐานะล่วงหน้าสุทธิ ของแบบรายงานฐานะรวม
และแบบรายงานฐานะสาขา ตามแนวนโยบาย เรื่อง หลักเกณฑ์การดำรงฐานะเงินตราต่างประเทศ
และแบบรายงานที่เกี่ยวข้อง ลงวันที่ 21 มกราคม 2546 หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
เอกสารแนบ
2
การคำนวณเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงของคู่สัญญาสำหรับธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้าน
ตราสารทุน
1.
ให้ธนาคารพาณิชย์ใช้วิธีการคำนวณแบบ Current Exposure แบบไม่มี
Netting Agreement ในการคำนวณมูลค่าเทียบเท่าที่จะนับเป็นสินทรัพย์
(Credit Equivalent Amount) สำหรับธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนที่ทำกับคู่สัญญาแต่ละราย
2.
ในการคิดมูลค่าเทียบเท่าที่จะนับเป็นสินทรัพย์สำหรับการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้าน
ตราสารทุนสำหรับคู่สัญญาแต่ละราย
ให้คำนวณดังนี้
CEA = CCE + PFCEgross
โดยที่
1. CEA (Credit Equivalent Amount) คือ
มูลค่าเทียบเท่าที่จะนับเป็นสินทรัพย์ จากสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
2. CCE (Current Credit Exposure) คือ
ผลรวมด้านกำไรที่ได้จากการวัดมูลค่ายุติธรรมในปัจจุบันของการทำอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนทุกสัญญาที่ธนาคารพาณิชย์ทำกับคู่ค้ารายเดียวกัน
3. PFCEgross (Potential Future Credit
Exposure : PFCEgross) คือ
ผลรวมของการวัดมูลค่าความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเท่ากับผลรวมของการนำจำนวนเงินตามสัญญา
(Notional Amount) ของธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนทุกสัญญาที่ทำกับคู่ค้ารายเดียวกันไปคูณด้วยค่าแปลงสภาพ
(Credit Conversion Factor) ที่เกี่ยวข้องตามที่กำหนดไว้ในตาราง
ทั้งนี้
สำหรับสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินซึ่งมีการพัฒนาจากอนุพันธ์ทางการเงินพื้นฐานย่อยๆ
หรือมีการ Leverage จำนวนเงินตามสัญญาหรือมีการแลกเปลี่ยนจำนวนเงินตามสัญญาหลายครั้ง
(Structured Product) ให้ธนาคารพาณิชย์ใช้ผลรวมของจำนวนเงินตามสัญญาของทุกธุรกรรมย่อยที่ใช้คำนวณจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์จะได้รับในสถานการณ์ที่เป็นประโยชน์กับธนาคารพาณิชย์มากที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น
(Effective Notional Amount) แทนจำนวนเงินตามสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน
(Notional Amount)
ตารางค่าแปลงสภาพสำหรับการทำอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุน
อายุที่เหลือของสัญญา1/
อนุพันธ์ด้านตราสารทุน
ไม่เกิน
1 ปี
0.06
เกิน
1 ปี 5 ปี
0.08
เกิน
5 ปี ขึ้นไป
0.10
1/ สำหรับสัญญาที่มีการรับหรือจ่ายชำระเงินกัน
ณ วันที่ที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
โดยมีการปรับอัตราอ้างอิงซึ่งมีผลให้สัญญากลับไปมีมูลค่าตลาดเท่ากับศูนย์
อายุที่เหลือของสัญญาในกรณีนี้หมายถึงระยะเวลาคงเหลือก่อนการปรับอัตราอ้างอิงครั้งต่อไป
3. เมื่อคำนวณได้ค่ามูลค่าเทียบเท่าที่จะนับเป็นสินทรัพย์
สำหรับการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนสำหรับคู่ค้าแต่ละรายแล้ว
ให้นำไปคูณกับน้ำหนักความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอนุพันธ์ทางการเงิน
และอัตราส่วนเงินกองทุนที่ต้องดำรง ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุน
โสรศ/ผู้จัดทำ
๑๙
กรกฎาคม ๒๕๕๐
ก/ ก/ตัวแปรอ้างอิงในที่นี้
ให้หมายรวมถึงตัวแปรที่จะนำมาซื้อขายอ้างอิงในการทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านตราสารทุนที่กำหนดไว้ในข้อ
๔.๓ (๒) และอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตามสัญญา Equity Linked Swaps ด้วย
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๔/ตอนพิเศษ ๘๑ ง/หน้า ๖/๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐ |
523873 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเดิมใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเดิมใช้เป็น
สถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ซื้อหรือมีไว้ซึ่งอสังหาริมทรัพย์
เว้นแต่เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ
หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
เนื่องจากการถือครองอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ถือเป็นการใช้เงินทุนที่ไม่ต้องตรงตามวัตถุประสงค์ของการประกอบธุรกิจการ
ธนาคารพาณิชย์
อีกทั้งยังอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงซึ่งมีผลกระทบต่อฐานะของธนาคารพาณิชย์อีกด้วย
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เคยผ่อนผันเวลาจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่เลิกใช้ประโยชน์ดังกล่าว
ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเดิมใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์
ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๘ อย่างไรก็ดี
ปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวได้ตามกำหนดและได้ขอผ่อนผันการจำหน่ายตามเหตุผลความจำเป็นดังนั้น
เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ที่ไม่สามารถจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่เลิกใช้ประโยชน์ดังกล่าวได้ตามกำหนด
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นควรออกประกาศฉบับนี้
เพื่อเป็นการปรับปรุงแนวทางการผ่อนผันการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ ตรี และมาตรา ๑๗
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๒ (๔) (ก)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเดิมใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
๔.
หลักเกณฑ์และเงื่อนไข
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเดิมใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจหรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์
ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๘
๔.๒
ประกาศนี้ใช้บังคับกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเดิมใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ
หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์
แต่ปัจจุบันมิได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว เนื่องจากการย้าย
ระงับหรือยกเลิกการเปิด หรือปิดสำนักงานสาขา
หรือเลิกใช้ประโยชน์ในสถานที่สำหรับพนักงานและลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์
๔.๓ กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ย้าย
ระงับหรือยกเลิกการเปิด หรือปิดสำนักงานสาขา
หรือเลิกใช้ประโยชน์ในสถานที่สำหรับพนักงานและลูกจ้าง ก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้เคยผ่อนผันเวลาการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวให้ถึงสิ้นปี
๒๕๔๙ โดยธนาคารพาณิชย์ต้องกันเงินสำรองร้อยละ ๕๐
ของมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองภายในสิ้นปี ๒๕๔๙ นั้น
หากธนาคารพาณิชย์ยังไม่สามารถจำหน่ายได้ตามกำหนดเวลา ธนาคารแห่งประเทศไทย
ผ่อนผันให้ธนาคารพาณิชย์ถือครองอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวต่อไปอีก ๒ ปี
เฉพาะรายที่สามารถกันเงินสำรองสำหรับอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นในอัตราร้อยละ ๗๕
และร้อยละ ๑๐๐ ของมูลค่ายุติธรรม ภายในปี ๒๕๕๐ และ ปี ๒๕๕๑ ตามลำดับ แต่ทั้งนี้
การกันสำรองดังกล่าวต้องไม่เกินมูลค่าตามบัญชีสุทธิคงเหลือของอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครอง
๔.๔ กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ย้าย
ระงับหรือยกเลิกการเปิด หรือปิดสำนักงานสาขา
หรือเลิกใช้ประโยชน์ในสถานที่สำหรับพนักงานและลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗
เป็นต้นไป ธนาคารพาณิชย์ต้องจำหน่ายหรือยกเลิกการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตให้ถือครองไว้ภายใน
๑ ปี นับแต่วันที่ย้ายไปเปิดดำเนินการ ณ สำนักงานสาขาแห่งใหม่
หรือสำนักงานสาขาถาวร วันที่แจ้งยกเลิกการเปิดสาขา
หรือวันที่ครบกำหนดระยะเวลาการเปิดสาขาตามที่ได้รับอนุญาต
วันที่ปิดดำเนินการสำนักงานสาขา
หรือวันที่เลิกใช้ประโยชน์ในสถานที่สำหรับพนักงานหรือลูกจ้าง แล้วแต่กรณี
เมื่อครบกำหนดระยะเวลา ๑ ปีข้างต้น
หากธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถจำ หน่ายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวได้
ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนผันให้ธนาคารพาณิชย์ถือครองอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวต่อไปอีก
๔ ปี เฉพาะรายที่สามารถกันเงินสำรองสำหรับอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นในอัตราร้อยละ
๒๕ ร้อยละ ๕๐ ร้อยละ ๗๕ และร้อยละ ๑๐๐ ของมูลค่ายุติธรรม ภายในปีที่ ๑ ปีที่ ๒
ปีที่ ๓ และปีที่ ๔ ตามลำดับ แต่ทั้งนี้ การกันสำรองดังกล่าวต้องไม่เกินมูลค่าตามบัญชีสุทธิคงเหลือของอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครอง
๔.๕
เมื่อพ้นระยะเวลาผ่อนผันการถือครองอสังหาริมทรัพย์ตามข้อ ๔.๓ และข้อ ๔.๔ แล้ว หากธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวได้หมด
ธนาคารแห่งประเทศไทย จะดำเนินการเปรียบเทียบปรับหรือดำเนินการอื่นใดตามกฎหมายต่อไป
๔.๖
ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำและเก็บรักษาเอกสารเกี่ยวกับการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ที่กล่าวข้างต้น
รวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการจำหน่ายหรือการยกเลิกการเช่า และข้อมูลการกันเงินสำรอง เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบได้เมื่อร้องขอ
๕.[๑]
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม
๒๕๕๐ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
โสรศ/ผู้จัดทำ
๑๙
มกราคม ๒๕๕๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนพิเศษ ๒ ง/หน้า ๒๒/๘
มกราคม ๒๕๕๐ |
522295 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นควรให้มีการเปลี่ยนปักษ์การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ให้สอดคล้องกับกำหนดการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน
ซึ่งถือเป็นมาตรการหนึ่งในแผนปฏิรูปกรอบการดำเนินนโยบายการเงินอันจะช่วยลดความผันผวนของระดับอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ ตรี มาตรา ๑๑ จัตวา
และมาตรา ๑๑ เบญจแห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ตามที่กำหนดในประกาศนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
๔.
เนื้อหา
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๗
ข้อ ๒ ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๖ ของยอดเงินฝากและยอดเงินกู้ยืมดังต่อไปนี้
(๑) ยอดรวมเงินฝากทุกประเภท
(๒) ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ครบกำหนดใน ๑
ปีนับแต่วันกู้และยอดรวมเงินกู้ยืม จากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ใน
๑ ปีนับแต่วันกู้ เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืม ตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๓) ยอดรวมเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ทั้งนี้
ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทย
จากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย
ข้อ ๓ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามข้อ ๒
ดังกล่าว ได้แก่
(๑)
เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๐.๘
(๒)
เงินสดที่ศูนย์เงินสดกลางธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยแล้วไม่เกินร้อยละ ๐.๒
และเมื่อนำไปนับรวมกับ (๑) แล้วจะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑
(๓) เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์แต่เมื่อรวมกับเงินสดที่ศูนย์เงินสดกลางธนาคารพาณิชย์ส่วนที่เกินกว่าจำนวนที่ต้องดำรงตาม
(๒) แล้ว ให้ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ไม่เกินร้อยละ ๒.๕
(๔) หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกพันดังต่อไปนี้
ก. หลักทรัพย์รัฐบาลไทย
ข. พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
ค. หุ้นกู้ พันธบัตร
หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ง. พันธบัตร
หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
จ. หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ฉ. หุ้นกู้ พันธบัตร
หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยองค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบ
หรือที่ออกโดยบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ช. หลักทรัพย์ที่บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยออกสืบเนื่องจากโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ตามพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๔๐
ข้อ ๔ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามประกาศนี้ให้คิดจากส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของทุกสิ้นวัน
และส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของยอดรวมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์แล้วแต่กรณีทุกสิ้นวันในปักษ์ก่อน
ทั้งนี้ ให้ถือเอาวันพุธเป็นวันเริ่มต้นของปักษ์
และสิ้นสุดในวันอังคารของอีกสองสัปดาห์ถัดมาจากวันดังกล่าว (รวมปักษ์ละ ๑๔ วัน)
โดยให้นับวันหยุดทำการรวมคำนวณเข้าด้วยทั้งนี้
ปักษ์แรกของการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามหลักเกณฑ์ในประกาศนี้ให้เริ่มต้นในวันพุธที่
๑๗ มกราคม ๒๕๕๐ เป็นต้นไป
ในกรณีที่ในปักษ์ใดปักษ์หนึ่ง
ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยไว้น้อยกว่าร้อยละ ๐.๘
หรือดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและเงินสดที่ศูนย์เงินสดกลางธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยไว้น้อยกว่าร้อยละ
๑ ให้สามารถโอนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใน ๑ ปักษ์ก่อนหน้า
หรือเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใน ๑
ปักษ์ถัดไปที่ได้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องถูกต้องตามประกาศฉบับนี้
และมีการดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไว้เกินเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในข้อ ๓
(๑) เข้ามารวมในการคำนวณเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยในปักษ์ที่ขาดได้ ภายใต้ข้อกำหนดดังนี้
(๑)
การโอนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยส่วนที่ดำรงไว้เกินในปักษ์ก่อนหน้า เพื่อนำไปใช้สำหรับปักษ์ที่ขาด
สามารถทำได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของ ก. หรือ ข. แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่าดังนี้
ก.
จำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยที่ธนาคารพาณิชย์ได้ดำรงไว้จริงในข้อ ๓ (๑)
ของปักษ์ที่โอน หรือ
ข. จำนวนที่คำนวณจากร้อยละ ๑
ของยอดรวมเงินฝากและเงินกู้ยืมตามข้อ ๒ ของปักษ์ที่โอน
(๒) การโอนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยในปักษ์ถัดไป
เพื่อนำไปใช้สำหรับปักษ์ที่ขาดสามารถทำได้ไม่เกินร้อยละ ๕
ของจำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งต้องดำรงตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในข้อ
๓ (๑) ของปักษ์ที่ขาด
(๓)
เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยส่วนที่โอนไปใช้ในปักษ์ที่ขาดจะต้องถูกหักออกจากจำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสำหรับการคำนวณสินทรัพย์สภาพคล่องในปักษ์ที่โอนนั้น
และการโอนดังกล่าวต้องไม่ทำให้ปักษ์ที่โอนดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำกว่าอัตราที่ประกาศฉบับนี้กำหนด
๕.[๑]
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๗ มกราคม
๒๕๕๐ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
โสรศ/ผู้จัดทำ
๑๐
มกราคม ๒๕๕๐
[๑] ราชกิจจนุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๓๒ ง/หน้า
๒๘/๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๙ |
521338 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงสินทรัพย์และหนี้สิน
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
รายการย่อแสดงสินทรัพย์และหนี้สิน
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
เนื่องด้วยมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (International
Accounting Standard -IAS) ฉบับที่ ๓๙ เรื่อง การรับรู้และการวัดมูลค่าตราสารทางการเงิน
ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ในประเทศต่างๆแล้วเมื่อปี ๒๕๔๘ สำหรับประเทศไทยคาดว่า สภาวิชาชีพบัญชีจะกำหนดให้มีผลบังคับใช้ประมาณปี
๒๕๕๑ มาตรฐานการบัญชีฉบับดังกล่าวจะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงินโดยเฉพาะเงินให้สินเชื่อซึ่งเป็นสินทรัพย์หลักของธนาคารพาณิชย์
กล่าวคือ ธนาคารพาณิชย์ต้องกันเงินสำรองเพื่อรองรับความเสียหายเมื่อมีข้อบ่งชี้ว่าลูกหนี้จะไม่สามารถชำระหนี้ได้
เช่น ลูกหนี้ที่มีการค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า ๓ เดือน โดยธนาคารพาณิชย์ต้องกันเงินสำรองสำหรับผลต่างของยอดหนี้คงค้างกับมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์คาดว่าจะได้รับจากลูกหนี้
หรือผลต่างของยอดหนี้คงค้างกับมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์คาดว่าจะได้รับจากการจำหน่ายหลักประกัน
ซึ่งเงินสำรองที่ต้องกันดังกล่าวนั้น IAS ๓๙ อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์เลือกที่จะกันเป็นเงินสำรองสะสมไว้
หรือตัดลูกหนี้ส่วนนั้นออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ วิธีใดก็ได้ตามที่เห็นว่าเหมาะสม
เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม
IAS ๓๙ ซึ่งคาดว่าจะมีผลใช้บังคับในประเทศไทยประมาณปี ๒๕๕๑ และเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อฐานะการเงินของธนาคารพาณิชย์มากนัก
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ปรับปรุงประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
ของธนาคารพาณิชย์ โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยกันเงินสำรองตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับดังกล่าวภายในวันที่
๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ และเมื่อธนาคารพาณิชย์ได้กันเงินสำรองตามประกาศฉบับดังกล่าวแล้วให้ธนาคารพาณิชย์แสดงเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ
(Non-Performing Loans ) ด้วยยอดคงค้างหักด้วยค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพทั้งหมดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เพื่อให้สามารถสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงของเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์ได้
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดทำและประกาศรายการย่อแสดงสินทรัพย์ และหนี้สินตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
๔.
เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง รายการย่อแสดงสินทรัพย์
และหนี้สิน ลงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๖
๔.๒ ให้ธนาคารพาณิชย์ปิดประกาศรายการย่อแสดงสินทรัพย์และหนี้สิน
ณ วันสิ้นเดือนของทุกเดือนไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานทุกแห่ง และจัดส่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทย
ภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป ดังนี้
(๑) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในประเทศไทย
ให้จัดทำรายการย่อแสดงสินทรัพย์และหนี้สินตามแบบ ธ.พ. ๑.๑ ที่แนบท้ายประกาศนี้
(๒) ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ
ให้จัดทำรายการย่อแสดงสินทรัพย์และหนี้สินตามแบบ ธ.พ. ๑.๒ ที่แนบท้ายประกาศนี้
๔.๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศรายการย่อแสดงสินทรัพย์และหนี้สิน
ณ วันสิ้นเดือนของเดือนสุดท้ายของไตรมาส คือ เดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และ ธันวาคม
ในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย ๑ ฉบับ ภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป
๕.[๑]
วันเริ่มต้นใช้บังคับ
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่รายงาน ณ วันสิ้นเดือนธันวาคม
๒๕๔๙ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. แบบ ธ.พ. 1.1
๒. คำอธิบายการจัดรายการแสดงสินทรัพย์และหนี้สิน
(ธ.พ. 1.1)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๒๖
ธันวาคม ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๓๑ ง/หน้า ๔๗/๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๙ |
521330 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์
ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
แม้ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์จะได้มีการกันสำรองเพื่อรองรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในระดับที่เพียงพอ
สอดคล้องกับแนวทางของมาตรฐานการบัญชีไทย ฉบับที่ ๑๑ เรื่อง หนี้สงสัยจะสูญและหนี้สูญซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันแล้ว
แต่เนื่องด้วยมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (International Accounting
Standard -IAS) ฉบับที่ ๓๙ เรื่อง การรับรู้และการวัดมูลค่าตราสารทางการเงิน
ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ในประเทศต่างๆ แล้วเมื่อปี ๒๕๔๘ สำหรับประเทศไทยคาดว่าสภาวิชาชีพบัญชีจะกำหนดให้มีผลบังคับใช้ประมาณปี
๒๕๕๑ มาตรฐานการบัญชีฉบับดังกล่าวจะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงินโดยเฉพาะเงินให้สินเชื่อซึ่งเป็นสินทรัพย์หลักของธนาคารพาณิชย์กล่าวคือ
ธนาคารพาณิชย์ต้องกันเงินสำรองเพื่อรองรับความเสียหายเมื่อมีข้อบ่งชี้ว่าลูกหนี้จะไม่สามารถชำระหนี้ได้
เช่น ลูกหนี้ที่มีการค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า ๓ เดือน โดยธนาคารพาณิชย์ต้องกันเงินสำรองสำหรับผลต่างของยอดหนี้คงค้างกับมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์คาดว่าจะได้รับจากลูกหนี้
หรือผลต่างของยอดหนี้คงค้างกับมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์คาดว่าจะได้รับจากการจำหน่ายหลักประกัน
ซึ่งเงินสำรองที่ต้องกันดังกล่าวนั้น IAS ๓๙ อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์เลือกที่จะกันเป็นเงินสำรองสะสมไว้
หรือตัดลูกหนี้ส่วนนั้นออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ วิธีใดก็ได้ตามที่เห็นว่าเหมาะสม
เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม
IAS ๓๙ ซึ่งคาดว่าจะมีผลใช้บังคับในประเทศไทยประมาณปี ๒๕๕๑ และเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อฐานะการเงินของธนาคารพาณิชย์มากนัก
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยกันเงินสำรองตามมาตรฐานการบัญชีฉบับดังกล่าวภายในวันที่
๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๐
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๕ ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์
ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
๔.
เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๒๓
สิงหาคม ๒๕๔๗
๔.๒ ในประกาศฉบับนี้
(๑) สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หมายถึง
สินทรัพย์จัดชั้นสูญ
(๒) สินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
หมายถึง
(ก) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ
(ข) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย
(ค) สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน
(ง) สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือสินทรัพย์จัดชั้นควรระวังเป็นพิเศษ
(จ) สินทรัพย์จัดชั้นปกติ
(๓) เงินสำรอง หมายถึง เงินสำรองที่กันไว้เป็นค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญค่าเผื่อการลดราคา
ค่าเผื่อการด้อยค่า ค่าเผื่อการปรับมูลค่า สำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นแต่ละประเภทตามอัตราและหลักเกณฑ์ที่ระบุในประกาศฉบับนี้
๔.๓ สินทรัพย์จัดชั้นสูญ
สินทรัพย์จัดชั้นสูญดังต่อไปนี้ให้ตัดออกจากบัญชี
(๑) สิทธิเรียกร้องซึ่งได้ปฏิบัติการโดยสมควรเพื่อให้ได้รับชำระหนี้แต่ไม่มีทางที่จะได้รับชำระหนี้แล้ว
โดยให้พิจารณาตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(ก) ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เป็นคนสาบสูญ หรือมีหลักฐานว่าหายสาบสูญไปและไม่มีทรัพย์สินใดๆ
จะชำระหนี้ได้
(ข) ลูกหนี้เลิกกิจการ และมีหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้อยู่ในลำดับก่อนเป็นจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของลูกหนี้
(ค) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง
และในกรณีนั้นๆ ได้มีคำบังคับหรือคำสั่งของศาลแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินใดๆ
จะชำระหนี้ได้
(ง) ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย
และในกรณีนั้นๆ ได้มีการประนอมหนี้กับลูกหนี้โดยศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้นั้น
หรือลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายและได้มีการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ครั้งแรกแล้ว
(๒) สิทธิเรียกร้องซึ่งตามพฤติการณ์ไม่อาจเรียกให้ชำระหนี้ได้
(๓) สินทรัพย์อื่นซึ่งชำรุด เสียหาย หรือหมดราคา
(๔) ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๔ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ
สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
ให้กันเงินสำรองในอัตราร้อยละ ๑๐๐
(๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า
๑๒ เดือนนับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน
แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญแล้ว สำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม
(๒)
(๒) ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน หรือถูกยกเลิกวงเงิน
หรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือครบกำหนดสัญญาแล้ว และไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า
๑๒ เดือน นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงิน หรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือวันที่ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
(๓) อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ หรือซื้อจากการขายทอดตลาดเฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือตีราคาไว้ไม่เกิน
๑๒ เดือนโดยมูลค่าที่กล่าวให้หักด้วยประมาณการค่าใช้จ่ายในการขายก่อนนำไปเปรียบเทียบกับราคาตามบัญชีแต่หากธนาคารพาณิชย์ได้ทำการประเมินราคาหรือตีราคาไว้เกินกว่า
๑๒ เดือน ให้นำมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือตีราคามาใช้ได้เพียงร้อยละ ๕๐ ทั้งนี้
ในการประเมินราคาหรือตีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่กล่าว ให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๔) สินทรัพย์อื่นเฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่ายุติธรรมหรือมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืน
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ต้องกำหนดมูลค่ายุติธรรมหรือมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในมาตรฐานการบัญชี
(๕) สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ทั้งจำนวน
(๖) ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๗) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นจะเรียกคืนไม่ได้ทั้งจำนวนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง
๔.๕ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย
สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐
(๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า
๖ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน
แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญหรือสงสัยจะสูญแล้วสำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม
(๒)
(๒) ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน หรือถูกยกเลิกวงเงิน
หรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือครบกำหนดสัญญาแล้ว และไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า
๖ เดือน นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงิน หรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือวันที่ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
(๓) ลูกหนี้ที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว
(๔) ลูกหนี้ที่หยุดดำเนินกิจการหรือเลิกกิจการ หรือกิจการของลูกหนี้อยู่ระหว่างชำระบัญชี
(๕) ลูกหนี้ที่ประวิงการชำระหนี้ หรือกระทำการใด ๆ
เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ เช่น ออกไปเสียนอกราชอาณาจักร หรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน
(๖) ลูกหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์ติดต่อไม่ได้ หรือตามตัวลูกหนี้ไม่พบ
หรือลูกหนี้ไปเสียจากภูมิลำเนาที่ปรากฏตามสัญญาโดยไม่แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์ทราบ
(๗) ลูกหนี้ที่ไม่ปรากฏธุรกิจแน่ชัด หรือไม่ได้ประกอบธุรกิจจริงจัง
หรือนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
(๘) ธนาคารพาณิชย์ได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง
(๙) สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกให้ชำระคืนไม่ได้ครบถ้วน
(๑๐) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นคาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ครบถ้วนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง
๔.๖ สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน
สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐
(๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า
๓ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน
แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ หรือสงสัยแล้ว สำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม
(๒)
(๒) ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน หรือถูกยกเลิกวงเงิน
หรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือครบกำหนดสัญญาแล้ว และไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า
๓ เดือน นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงิน หรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือวันที่ครบกำหนดสัญญา
แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
(๓) มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นมีปัญหาในการเรียกให้ชำระคืน
หรือไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามปกติตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง
๔.๗ สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือสินทรัพย์จัดชั้นควรระวังเป็นพิเศษ
สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือสินทรัพย์จัดชั้นควรระวังเป็นพิเศษ
ตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ หรืออัตราที่ต่ำกว่าซึ่งคำนวณได้ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามเอกสารแนบ โดยใช้ยอดคงค้างของต้นเงินที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับเป็นฐานในการคำนวณเงินสำรอง
(๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า
๑ เดือนนับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน
แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ สงสัยหรือต่ำกว่ามาตรฐาน
สำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม (๒)
(๒) ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน หรือถูกยกเลิกวงเงิน
หรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือครบกำหนดสัญญาแล้ว และไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า
๑ เดือน นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงิน หรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือวันที่ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
๔.๘ สินทรัพย์จัดชั้นปกติ
สินทรัพย์จัดชั้นปกติตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑ หรืออัตราที่ต่ำกว่าซึ่งคำนวณได้ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามเอกสารแนบ โดยใช้ยอดคงค้างของต้นเงินที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับเป็นฐานในการคำนวณเงินสำรอง
(๑) ลูกหนี้ที่ไม่ผิดนัดชำระสำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม
(๒)
(๒) ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ยังใช้ไม่เต็มวงเงิน
และยังไม่ถูกยกเลิกวงเงินหรือสัญญายังไม่ครบกำหนด หรือลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ค้างชำระดอกเบี้ยไม่เกิน
๑ เดือน
(๓) ลูกหนี้อื่นที่ไม่เข้าข่ายเป็นลูกหนี้จัดชั้นสูญ
สงสัยจะสูญ สงสัย ต่ำกว่ามาตรฐานหรือกล่าวถึงเป็นพิเศษ (หรือควรระวังเป็นพิเศษ)
(๔) ลูกหนี้ที่มีหนังสือยืนยันการตรวจรับงานจากหน่วยราชการตามระเบียบของหน่วยราชการนั้นที่มีระยะเวลาไม่เกิน
๖ เดือน นับแต่วันตรวจรับงาน เงินให้สินเชื่อส่วนที่มีหนังสือยืนยันนั้นให้ถือเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติ
ในการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ
(หรือควรระวังเป็นพิเศษ) ตามข้อ ๔.๗ และสินทรัพย์จัดชั้นปกติตามข้อ ๔.๘ หากธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่าอัตราที่คำนวณได้ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามเอกสารแนบ ไม่เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงสำหรับธนาคารพาณิชย์รายใด
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีสิทธิสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์นั้นกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นดังกล่าวในอัตราตามที่เห็นสมควรได้
แต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๒ หรือร้อยละ ๑ แล้วแต่กรณี
๔.๙ การจัดชั้นรายบัญชี
ให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นเงินให้สินเชื่อโดยพิจารณาเป็นรายบัญชี
ไม่ต้องพิจารณาจัดชั้นเป็นกลุ่มลูกหนี้ หรือจัดชั้นลูกหนี้ในเครือเดียวกันไว้ที่ชั้นเดียวกัน
๔.๑๐ การจัดชั้นกรณีปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑) ตัดส่วนสูญเสียออกจากบัญชี หรือกันเงินสำรองดังต่อไปนี้
(ก) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้
หรือรับชำระหนี้โดยการรับโอนสินทรัพย์ ตราสารการเงิน หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุน
ให้ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายบัญชีลูกหนี้และบันทึกส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้น พร้อมกับโอนกลับรายการเงินสำรองส่วนเกินที่กันไว้เฉพาะสำหรับลูกหนี้รายนั้นทั้งจำนวนได้
(ข) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยไม่มีการลดต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ซึ่งมีผลทำให้มูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของหนี้ที่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ได้คำนวณตามวิธีการที่กำหนดไว้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดต่ำกว่าราคาตามบัญชีเดิมรวมดอกเบี้ยค้างรับที่บันทึกในบัญชีของลูกหนี้ก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นดังกล่าวทั้งจำนวน ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์สามารถโอนกลับรายการเงินสำรองที่กันไว้แล้วเดิมก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายนั้นได้เฉพาะจำนวนที่กันไว้แล้วสูงกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องกัน
และหากเงินสำรองที่กันไว้แล้วต่ำกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องกันก็ให้กันเงินสำรองเพิ่มขึ้นให้ครบจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องกันดังกล่าว
(ค) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้
หรือรับชำระหนี้บางส่วนโดยการรับโอนสินทรัพย์ ตราสารการเงิน หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุน
และผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ในส่วนที่เหลือให้แก่ลูกหนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตาม
(ก) สำหรับกรณีการลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยหรือการรับชำระหนี้ดังกล่าว และปฏิบัติตาม
(ข) ในส่วนการผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้
(๒) ในระหว่างติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ซึ่งลูกหนี้ต้องชำระเงินตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า
๓ เดือน หรือ ๓ งวดการชำระเงิน แล้วแต่ระยะเวลาใดจะนานกว่า ให้ดำเนินการดังนี้
(ก) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นสงสัยจะสูญ หรือสงสัย
ให้จัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน
(ข) ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน หรือกล่าวถึงเป็นพิเศษ
(หรือควรระวังเป็นพิเศษ) ให้คงจัดชั้นเช่นเดิม
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ตามสถานะการจัดชั้นหลังการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
หากเงินสำรองตาม (๒) นี้มีจำนวนสูงกว่าเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตาม
(๑) (ข) และ (ค)
เมื่อลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้โดยชำระเงินตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า
๓ เดือน หรือ ๓ งวด การชำระเงินแล้วให้ถือเป็นลูกหนี้จัดชั้นปกติ
ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่
ให้นับระยะเวลาการค้างชำระรวมกับระยะเวลาการค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แล้วพิจารณาจัดชั้นตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นเพื่อการกันเงินสำรองตามเกณฑ์ในประกาศฉบับนี้ต่อไป
(๓) สำหรับลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
(ก) ลูกหนี้ที่สามารถชำระดอกเบี้ยได้ไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด
(Market interest rate) โดยไม่มีช่วงปลอดการชำระดอกเบี้ย แต่อาจมีช่วงปลอดชำระเงินต้นได้
(ข) ลูกหนี้ที่มีส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๒๐ ของยอดหนี้ตามบัญชีก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งได้มีการตัดออกจากบัญชีแล้ว
หรือได้มีการกันเงินสำรองในอัตราดังกล่าวครบถ้วนแล้ว โดยหนี้ส่วนที่เหลือได้มีการวิเคราะห์ฐานะและกิจการของลูกหนี้
ตลอดจนกระแสเงินสด อย่างมีหลักเกณฑ์ สมเหตุสมผล และมีหลักฐานประกอบจนเชื่อได้แน่นอนว่า
ลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้
(ค) ลูกหนี้ในลักษณะ Loan Syndication หรือมีเจ้าหนี้หลายราย
ซึ่งบรรดาเจ้าหนี้ได้ตกลงปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกันได้ และสามารถแสดงหลักฐานการวิเคราะห์ฐานะและกิจการของลูกหนี้
ตลอดจนกระแสเงินสดอย่างมีหลักเกณฑ์ สมเหตุสมผล และมีความเป็นไปได้แน่นอนที่ลูกหนี้จะปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้
(ง) กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องร้องลูกหนี้ ต่อมาได้มีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว
และกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องร้องลูกหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบตามคำขอประนอมหนี้หรือแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้แล้ว
(๔) กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
(๕) ในกรณีที่เห็นว่ามีข้อผิดสังเกตในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจสั่งการให้มีการแก้ไข หรือให้ธนาคารพาณิชย์หาผู้เชี่ยวชาญอิสระมาประเมินหรือทบทวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
หรือสั่งการให้เปลี่ยนแปลงการจัดชั้นและการกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ในแต่ละรายได้
๔.๑๑ มูลค่าหลักประกันที่ใช้ในการกันเงินสำรอง
ในการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นทุกประเภท
เว้นแต่สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔.๔ (๓) (๔) และ (๖) ให้นำมูลค่าของหลักประกันซึ่งได้ประเมินราคาตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรอง
โดยธนาคารพาณิชย์สามารถเลือกที่จะนำหลักประกันมาหักออกจากบัญชีใดของลูกหนี้ก่อนก็ได้
ทั้งนี้ มูลค่าของหลักประกันที่นำมาหักได้จะต้องไม่สูงเกินกว่าวงเงินที่ระบุในสัญญาจำนำ
สัญญาจำนอง สัญญาค้ำประกัน หรือสัญญาหลักประกันอื่นแล้วแต่กรณี และประเภทหลักประกัน
มูลค่าที่จะนำมาหักได้ รวมทั้งความถี่ในการประเมินราคาหลักประกันแต่ละประเภทให้เป็นไปตามตารางสรุปประเภทของหลักประกันและมูลค่าของหลักประกันที่สามารถนำมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรองตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
สำหรับสินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือสินทรัพย์จัดชั้นควรระวังเป็นพิเศษตามข้อ
๔.๗ และสินทรัพย์จัดชั้นปกติตามข้อ ๔.๘ ธนาคารพาณิชย์จะนำมูลค่าของหลักประกันมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรองหรือไม่ก็ได้
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์เลือกที่จะนำมูลค่าหลักประกันมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรอง
มูลค่าของหลักประกันที่จะนำมาหักได้ให้เป็นไปตามตารางสรุปประเภทของหลักประกันและมูลค่าของหลักประกันที่สามารถนำมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรองดังกล่าวข้างต้น
๔.๑๒ การกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ให้เช่าซื้อ และลูกหนี้ให้เช่าแบบลิสซิ่ง
ในการกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ให้เช่าซื้อ และลูกหนี้ให้เช่าแบบลิสซิ่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์คำนวณจากยอดลูกหนี้ตามจำนวนเงินให้เช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลิสซิ่งคงค้างซึ่งเป็นยอดสุทธิที่หักยอดคงเหลือจากดอกผลเช่าซื้อรอการตัดบัญชี
หรือรายได้ทางการเงินรอการรับรู้ออกแล้ว
ทั้งนี้ กรณีที่เป็นการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลิสซิ่ง
ในกรณียานพาหนะ และเครื่องจักร ธนาคารพาณิชย์สามารถนำมูลค่าของยานพาหนะและเครื่องจักรตามที่กำหนดในข้อ
๔.๑๑ มาหักออกจากยอดลูกหนี้ตามวรรคหนึ่งก่อนการกันเงินสำรองได้
๔.๑๓ การกันเงินสำรองเพื่อรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ
ฉบับที่ ๓๙
(๑) การกันเงินสำรอง
(ก) ให้ธนาคารพาณิชย์กันเงินสำรองในอัตราร้อยละ ๑๐๐
สำหรับส่วนต่างระหว่างยอดหนี้คงค้างตามบัญชีกับมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากลูกหนี้
หรือมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการจำหน่ายหลักประกัน โดยใช้วิธีการคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากลูกหนี้
หรือมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการจำหน่ายหลักประกันตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
สำหรับหลักประกันประเภทอื่นนอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์
สิทธิการเช่าเครื่องจักร และยานพาหนะ ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถนำมูลค่าของหลักประกันตามตารางสรุปประเภทของหลักประกันและมูลค่าของหลักประกันที่สามารถนำมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรองเพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม
IAS ๓๙ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดได้โดยมิต้องคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการจำหน่ายหลักประกันประเภทดังกล่าว
(ข) กรณีลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตที่เหมือนกัน
หรือเป็นลูกหนี้รายย่อยที่มีลักษณะ ประเภท และวัตถุประสงค์การกู้ยืมเงินคล้ายคลึงกัน
เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อให้เช่าซื้อ
และให้เช่าแบบลิสซิ่ง ให้ธนาคารพาณิชย์เลือกกันเงินสำรองตามวิธีการในข้อ (ก) หรือกันเงินสำรองเป็นกลุ่มลูกหนี้
(Collective Approach) โดยกันเงินสำรองจากประสบการณ์ผลขาดทุนในอดีตสำหรับลูกหนี้แต่ละกลุ่ม
(Historical Loss Experience) ทั้งนี้ ประสบการณ์ผลขาดทุนในอดีตควรมีการปรับปรุงด้วยข้อมูลแนวโน้ม
สภาวะเศรษฐกิจ ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ที่อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มลูกหนี้ได้
และธนาคารพาณิชย์จะต้องมีเอกสารหลักฐานแสดงการคำนวณอัตราผลขาดทุนดังกล่าว เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบได้
(๒) ระยะเวลาดำเนินการ
ให้ธนาคารพาณิชย์กันเงินสำรองตามระยะเวลาที่กำหนดดังต่อไปนี้
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(ก) ลูกหนี้ที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว หรืออยู่ระหว่างบังคับคดี
และลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างดำเนินคดี ให้กันเงินสำรองตั้งแต่งวดการบัญชีหลังของปี ๒๕๔๙
เป็นต้นไป
(ข) ลูกหนี้ที่ถูกจัดเป็นสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ
และชั้นสงสัย ให้กันเงินสำรองตั้งแต่งวดการบัญชีแรกของปี ๒๕๕๐ เป็นต้นไป
(ค) ลูกหนี้ที่ถูกจัดเป็นสินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน
ให้กันเงินสำรองตั้งแต่งวดการบัญชีหลังของปี ๒๕๕๐ เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เงินสำรองที่ต้องกันทั้งสิ้นตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นต้องไม่ต่ำกว่าเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์กันตามที่กำหนดในข้อ
๔.๔ - ๔.๖
ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่าสมมติฐานและปัจจัยที่ใช้พิจารณาในการคำนวณกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากลูกหนี้
หรือมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการจำหน่ายหลักประกัน หรือประสบการณ์ผลขาดทุนในอดีตสำหรับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตที่เหมือนกัน
หรือเป็นลูกหนี้รายย่อยที่มีลักษณะ ประเภท และวัตถุประสงค์การกู้ยืมเงินคล้ายคลึงกันไม่เหมาะสม
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์นั้น กันเงินสำรองเพิ่มเติมได้
(๓) การดำเนินการเมื่อสภาวิชาชีพบัญชีประกาศให้ถือปฏิบัติตาม
IAS ๓๙
เมื่อสภาวิชาชีพบัญชีประกาศให้มาตรฐานการบัญชีไทยที่เกี่ยวข้องกับการกันเงินสำรองหรือการด้อยค่าของตราสารทางการเงินตาม
IAS ๓๙ มีผลบังคับใช้ในประเทศไทย ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีไทยฉบับดังกล่าว
๔.๑๔ การกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ที่มีสัญญาจะซื้อจะขาย
ในการคำนวณเงินกันสำรองสำหรับลูกหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์มีสัญญาจะซื้อจะขายให้กับบุคคลภายนอก
ให้ธนาคารพาณิชย์คำนวณการกันสำรองโดยให้นำมูลค่าตามราคาซื้อขายมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรองได้
โดยมีเงื่อนไข ดังนี้
(๑) ต้องมีหนังสือค้ำประกันการซื้อจากธนาคารพาณิชย์
หรือสถาบันการเงินอื่น หรือผู้ซื้อได้มีการวางเงินเป็นประกันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของราคาซื้อขาย
(๒) ต้องดำเนินการซื้อขายให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปีนับจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย
๔.๑๕ การจ่ายเงินปันผล
ในระหว่างเวลาที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี
หรือยังกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ครบจำนวน
ธนาคารพาณิชย์จะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดแก่ผู้ถือหุ้นมิได้
๔.๑๖ การกันเงินสำรองที่เข้มงวดกว่าที่ ธปท. กำหนด
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ประสงค์จะจัดชั้นสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องและกันเงินสำรองโดยใช้เกณฑ์ที่เข้มงวดกว่าข้อกำหนดตามประกาศฉบับนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกระทำได้
ทั้งนี้ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์มีความประสงค์จะตัดลูกหนี้ออกจากบัญชี
เนื่องจากเห็นว่าไม่สามารถที่จะเรียกชำระหนี้คืนได้ เช่น ได้ดำเนินคดีทางกฎหมายแล้ว
ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้ หรือไม่มีบุคคลค้ำประกัน หรือหลักประกันไม่มีค่าแล้ว
ธนาคารพาณิชย์สามารถดำเนินการได้ รวมถึงกรณีการตัดลูกหนี้ออกจากบัญชี สามารถตัดบัญชีใดบัญชีหนึ่งออกก็ได้
และเพื่อประโยชน์ในการควบคุมและเพื่อป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ธนาคารพาณิชย์ควรดำเนินการ
ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ หรือแนวปฏิบัติในการตัดลูกหนี้ออกจากบัญชี
และการควบคุมภายในให้ชัดเจนและสามารถตรวจสอบได้
(๒) การตัดลูกหนี้ออกจากบัญชีจะต้องไม่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่กรรมการผู้บริหารระดับสูง
ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือกิจการที่บุคคลดังกล่าวมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
๔.๑๗ การจัดทำรายงานการสอบทานเงินให้สินเชื่อและภาระผูกพัน
ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำรายงานการสอบทานเงินให้สินเชื่อและภาระผูกพันส่งไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และแบบรายงานที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด
๕.[๑]
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่งวดการบัญชีหลังของปี
๒๕๔๙ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. เอกสารแนบของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่อง
สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๒๖
ธันวาคม ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๓๑ ง/หน้า ๒๒/๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๙ |
518865 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องบัตรเงินฝาก
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องบัตรเงินฝาก
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
เดิมที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดให้ธนาคารพาณิชย์ออกบัตรเงินฝากได้มาตั้งแต่ปี
๒๕๓๕ โดยมีข้อจำกัดอยู่หลายประการ เช่น จำนวนเงินที่ออกต้องไม่ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐
บาท ระยะเวลาการฝากไม่ต่ำกว่า ๓ เดือน และไม่เกิน ๓ ปี และธนาคารพาณิชย์ผู้ออกไม่สามารถซื้อคืนก่อนครบกำหนดได้
ปัจจุบันสภาวการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วแลกเงินเพื่อกู้ยืมเงินจากประชาชนได้โดยไม่มีข้อจำกัดดังกล่าว
จึงเห็นสมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์ในเรื่องบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ให้สอดคล้องกับสภาวะการบริการทางการเงินในปัจจุบัน
เพิ่มทางเลือกในการออมเงินให้กับลูกค้าประชาชน และให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปรับปรุงบริการได้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ฝากเงินยิ่งขึ้น
โดยยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการให้บริการแก่ลูกค้าประชาชน
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๒๒ มาตรา ๙ ตรี และมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในเรื่องบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
๔.
เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องบัตรเงินฝาก
ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๕ และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติในเรื่องบัตรเงินฝาก
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๑
๔.๒ อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ออกบัตรเงินฝาก เพื่อเป็นหลักฐานการรับฝากเงิน
และเพื่อแสดงสิทธิของผู้ทรงตราสารที่จะได้รับเงินฝากคืนเมื่อครบกำหนดระยะเวลาอันกำหนดไว้ได้
ทั้งนี้ยังอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์อื่น
หรือบริษัทเงินทุนใดๆ หรือบัตรเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นผู้ออกเองด้วยก็ได้
ในกรณีที่มีการออกบัตรเงินฝากที่มีการจ่ายผลตอบแทนที่อ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
กรณีดังกล่าวจะไม่อยู่ภายใต้บังคับของประกาศฉบับนี้ แต่ตกอยู่ภายใต้บังคับของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๗ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งหลักเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้อง
จึงให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวด้วย
๔.๓ ธนาคารพาณิชย์สามารถออกบัตรเงินฝากเป็นสกุลเงินบาทหรือสกุลเงินตราต่างประเทศได้ในกรณีที่ออกเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ
ธนาคารพาณิชย์จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign
Currency Deposits) กฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยเคร่งครัด
๔.๔ ธนาคารพาณิชย์ต้องมีมาตรการป้องกันการปลอมแปลงและการแก้ไขข้อความบนบัตรเงินฝาก
ทั้งนี้ บัตรเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ออกต้องเป็นไปตามแบบมาตรฐานขั้นต่ำ คือ ใช้กระดาษสำหรับพิมพ์สิ่งพิมพ์มีค่า
(Security Paper) เช่น กระดาษตามมาตรฐาน London Clearing
Banks Paper Specification No.1 พร้อมทั้ง มีลายน้ำ (Watermark) ฝังอยู่ในเนื้อกระดาษ
๔.๕ ระบบควบคุมภายใน
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีระบบการควบคุมภายในสำหรับกระบวนการต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมบัตรเงินฝากที่เหมาะสมได้มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
โดยต้องจัดทำระเบียบการควบคุมภายในดังกล่าวให้ครบถ้วนถูกต้องและเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบได้
หรือต้องจัดส่งสำเนาระเบียบการควบคุมภายในให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
โดยระเบียบดังกล่าวอย่างน้อยต้องครอบคลุมวิธีการควบคุมภายในดังต่อไปนี้
(๑) การแบ่งส่วนงานและอำนาจหน้าที่พนักงานแต่ละระดับที่เกี่ยวข้องกับบัตรเงินฝาก
(๒) วิธีการในการจัดพิมพ์บัตรเงินฝากและการตรวจรับ
(๓) การเก็บรักษาบัตรเงินฝากที่ยังมิได้เบิกใช้ รวมทั้งที่ชำรุดและที่ขีดฆ่าหรือยกเลิกการใช้
(๔) การเบิกใช้บัตรเงินฝาก
(๕) การออกบัตรเงินฝาก
(๖) การเก็บรักษาสำเนาบัตรเงินฝากแต่ละสำเนา
(๗) การไถ่ถอนบัตรเงินฝาก
(๘) การซื้อขายบัตรเงินฝากของธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่น
และการเก็บรักษาบัตรเงินฝากที่รับซื้อ
(๙) การตรวจสอบภายในเกี่ยวกับบัตรเงินฝาก
๔.๖ การออกบัตรเงินฝาก
ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการดังนี้
(๑) จดแจ้งชื่อและที่อยู่ที่แท้จริงของผู้ฝากเงินและผู้ไถ่ถอนบัตรเงินฝากไว้ในทะเบียนบัตรเงินฝาก
โดยให้ปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องการรับฝากเงิน
ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๔ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
(๒) จัดทำทะเบียนบัตรเงินฝากที่ออก และ/หรือที่ซื้อขายให้เป็นปัจจุบัน
ซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อผู้ออกบัตรเงินฝาก วันที่ออกบัตรเงินฝาก
วันที่ครบกำหนด สกุลเงินจำนวนเงินที่ตราไว้ อัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลด เงื่อนไขในการจ่ายดอกเบี้ย
ชื่อและที่อยู่ของผู้ฝากเงินผู้ไถ่ถอน และ/หรือของผู้ซื้อผู้ขายบัตรเงินฝาก
๔.๗ ธนาคารพาณิชย์ต้องยืนยันความถูกต้องและแท้จริงของบัตรเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออกเมื่อได้รับการร้องขอ
๔.๘ การเปิดเผยข้อมูลแก่ลูกค้า
ธนาคารพาณิชย์ต้องให้ข้อมูลแก่ลูกค้าดังนี้
(๑) ในส่วนของการประกาศและการจ่ายดอกเบี้ยของบัตรเงินฝาก
ให้ปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ย
ส่วนลดและค่าบริการ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(๒) ชี้แจงข้อมูลอื่นที่สำคัญให้ลูกค้าได้ทราบและเข้าใจชัดเจนก่อนรับฝากเงิน
เช่นเงื่อนไขการจ่ายชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยคิดลด ค่าใช้จ่ายอื่นของบัตรเงินฝาก
เป็นต้นรวมถึง เงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ย และ/หรือการไถ่ถอนบัตรเงินฝากก่อนครบกำหนด
๔.๙ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรเงินฝากจัดให้มีธนาคารพาณิชย์อื่น
บริษัทเงินทุนหรือบริษัทหลักทรัพย์รับซื้อขายบัตรเงินฝากที่ตนเป็นผู้ออก ให้ธนาคารพาณิชย์ผู้ออกแจ้งชื่อสถาบันดังกล่าวให้ลูกค้าทราบ
รวมทั้งต้องกำหนดเงื่อนไขให้สถาบันดังกล่าวประกาศราคารับซื้อขายและรับซื้อขายตามราคาที่ประกาศนั้นเป็นทางค้าปกติ
๔.๑๐ การบันทึกบัญชีและการปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบดูแลให้มีการบันทึกบัญชีบัตรเงินฝากที่ออกและที่ซื้อขายให้เป็นไปตามมาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้อง
และปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
๕.[๑]
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๖
ธันวาคม ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๒๒ ง/หน้า ๔๐/๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ |
518863 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง ดอกเบี้ยและค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
ดอกเบี้ยและค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตไว้ไม่เกินร้อยละ
๑๘ ต่อปี เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ นั้น
บัดนี้ ภาวะเศรษฐกิจและการเงินของประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปโดยอัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวสูงขึ้นเป็นลำดับ
โดย ณ สิ้นไตรมาส ๓ ปี ๒๕๔๙ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย อัตราดอกเบี้ย
MLR เฉลี่ย และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๓ เดือนเฉลี่ย (เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยรายใหญ่
๕ แห่ง) อยู่ที่ร้อยละ ๕.๐๐ ๗.๗๕ และ ๓.๕๐ ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากปลายปี ๒๕๔๖ ร้อยละ
๓.๗๕ ๒.๐๐ และ ๒.๕๐ ตามลำดับ โดยอัตราที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้สะท้อนไปยังต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นสมควรปรับเพดานอัตราดอกเบี้ยและค่าบริการดังกล่าวให้สอดคล้องกับต้นทุนทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้ติดตามต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตอย่างใกล้ชิดทั้งการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นและลดลง
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาปรับเปลี่ยนเพดานอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเงินในอนาคต
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารที่ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
๔.
เนื้อหา
๔.๑ ภายใต้บังคับข้อ ๕ ของประกาศฉบับนี้ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง ดอกเบี้ยและค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
๔.๒ ภายใต้บังคับข้อ ๕ ของประกาศฉบับนี้ การประกอบธุรกิจบัตรเครดิตธนาคารพาณิชย์อาจเรียกเก็บดอกเบี้ยในหนี้ค้างชำระ
หรือดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดชำระหนี้ หรือค่าปรับในการชำระหนี้ล่าช้ากว่ากำหนด
หรือค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดจากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภค ทั้งนี้ เมื่อคำนวณรวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ
๒๐ ต่อปี และธนาคารพาณิชย์อาจคำนวณจำนวนวันตั้งแต่วันที่ได้ทดรองจ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภค
หรือวันที่สรุปยอดรายการ หรือวันที่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคต้องชำระเงินหรือถูกหักบัญชีตามใบแจ้งหนี้ก็ได้
ค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึงค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานหรือค่าบริการตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๓ ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกเก็บค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อบัตรเครดิตในกรณีที่มีการติดตามทวงถามหนี้
ตามจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปจริงและพอสมควรแก่กรณี
๔.๔ ในการให้บริการเบิกถอนเงินสดด้วยบัตรเครดิต ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมอื่นใด
รวมกันต้องไม่เกินร้อยละ ๓ ของจำนวนเงินสดที่เบิกถอนนั้น
๕.
บทเฉพาะกาล
ในการเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียม
สำหรับหนี้จากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือจากการเบิกถอนเงินสดที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ
(ทั้งกรณีลูกค้ามีข้อตกลงชำระหนี้เต็มจำนวนหรือผ่อนชำระบางส่วน) ให้ธนาคารพาณิชย์ยังคงต้องถือปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง ดอกเบี้ยและค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ต่อไปจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ทั้งนี้ อัตราที่เรียกย่อมจะต้องเป็นไปตามกรอบของสัญญาที่ทำไว้เดิมด้วย
และหลังจากนั้นไม่ว่าหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนหรือตั้งแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้
ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถคิดดอกเบี้ยค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมได้ตามประกาศฉบับนี้
๖.[๑]
วันเริ่มต้นใช้บังคับ
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม
๒๕๔๙ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๖
ธันวาคม ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๒๒ ง/หน้า ๓๗/๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ |
518861 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต สำหรับผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
สำหรับผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
ประกาศฉบับนี้ออกมาเพื่อเป็นการพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน
และเป็นการระมัดระวังและป้องกันปัญหาจากบัตรเครดิตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนเพื่อให้หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจบัตรเครดิตมีความเหมาะสม
ชัดเจน และสามารถถือปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกันรวมทั้ง กรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตไว้ไม่เกินร้อยละ
๑๘ ต่อปี เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ นั้น
บัดนี้ ภาวะเศรษฐกิจและการเงินของประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปโดยอัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวสูงขึ้นเป็นลำดับ
โดย ณ สิ้นไตรมาส ๓ ปี ๒๕๔๙ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย อัตราดอกเบี้ย
MLR เฉลี่ย และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๓ เดือนเฉลี่ย (เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยรายใหญ่
๕ แห่ง) อยู่ที่ร้อยละ ๕.๐๐ ๗.๗๕ และ ๓.๕๐ ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากปลายปี ๒๕๔๖ ร้อยละ
๓.๗๕ ๒.๐๐ และ ๒.๕๐ ตามลำดับ โดยอัตราที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้สะท้อนไปยังต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นสมควรปรับเพดานอัตราดอกเบี้ยและค่าบริการดังกล่าวให้สอดคล้องกับต้นทุนทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย จะได้ติดตามต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตอย่างใกล้ชิดทั้งการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นและลดลง
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาปรับเปลี่ยนเพดานอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเงินในอนาคต
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๖ (๑) และ ข้อ ๘ แห่งประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง
กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน
๒๕๔๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
๔.
เนื้อหา
๔.๑ ภายใต้บังคับข้อ ๔.๔ (๖) ของประกาศฉบับนี้ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตสำหรับผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๔๘
๔.๒ ในประกาศนี้
บัตรหลัก หมายความว่า
บัตรเครดิตที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตออกให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคที่เป็นผู้มีรายได้หรือฐานะทางการเงินเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ตามบัตรเครดิตได้
บัตรเสริม หมายความว่า
บัตรเครดิตที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตออกให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคที่ผู้ถือบัตรหลักยินยอมให้ใช้จ่ายเงินภายในวงเงินของผู้ถือบัตรหลัก
และผู้ถือบัตรหลักจะเป็นผู้รับผิดชอบชำระหนี้อันเกิดจากบัตรเสริมทั้งหมด
บัตรประเภทองค์กร (Corporate Card) หมายความว่า
บัตรเครดิตที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตออกให้ข้าราชการ หรือพนักงาน ของหน่วยงานราชการ
รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทเอกชนซึ่งองค์กรข้างต้นจะเป็นผู้รับผิดชอบชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวทั้งหมด
สำนักงานสาขา หมายความว่า
สำนักงานใดๆ ซึ่งแยกออกจากสำนักงานใหญ่ของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต เพื่อประกอบกิจการธุรกิจบัตรเครดิต
ในเรื่องของกระบวนการพิจารณาอนุมัติบัตรเครดิต ตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า และการรับชำระเงินจากลูกค้า
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด โดยมีระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลของลูกค้าที่เก็บไว้
ณ สำนักงานใหญ่หรือที่ทำการอื่นหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ สำนักงานสาขาไม่รวมถึง
(๑) จุดบริการประชาสัมพันธ์เพื่อหาลูกค้าใหม่ ซึ่งทำการแจกเอกสารแนะนำบริการหรือรับและตรวจสอบข้อมูลใบสมัครจากประชาชนทั่วไป
โดยยังไม่เข้ากระบวนการพิจารณาอนุมัติบัตรเครดิต ไม่มีการตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า และไม่มีการรับชำระเงินจากลูกค้า
(๒) สถานที่ของตัวแทนที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตแต่งตั้งเพื่อรับชำระเงิน
หรือทำการประชาสัมพันธ์ รวมทั้งทำการแจกเอกสาร แนะนำบริการหรือรับและตรวจสอบข้อมูลใบสมัครจากประชาชน
แทนผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต เช่น ที่ทำการไปรษณีย์ หรือจุดรับชำระเงินอื่นที่ไม่ใช่ของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
(๓) การเปิดจุดบริการในงานนิทรรศการต่างๆ เป็นการชั่วคราว
(BOOTH)
(๔) สำนักงาน หรือจุดบริการ หรือสถานที่อื่นๆ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะกำหนดต่อไป
๔.๓ คุณสมบัติของผู้ถือบัตรเครดิต
กรณีผู้ถือบัตรหลัก
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะออกบัตรหลักให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคได้
เมื่อผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคมีคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้
(๑) มีรายได้จากแหล่งที่มาต่างๆ รวมกันไม่ต่ำกว่า
๑๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน หรือไม่ต่ำกว่า ๑๘๐,๐๐๐
บาทต่อปี โดยต้องแสดงหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับแหล่งที่มาของรายได้
(๒) เป็นผู้มีรายได้หรือเคยมีรายได้จากการทำมาหาได้ของตนเอง
โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดหมุนเวียนในบัญชีเงินฝาก ซึ่งฝากไว้กับสถาบันการเงินที่สามารถรับฝากเงินจากประชาชนได้ตามกฎหมาย
ย้อนหลังเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๖ เดือน โดยอย่างน้อยจะต้องมีกระแสเงินสดเข้าเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า
๑๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน และผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นผู้มีฐานะทางการเงินเพียงพอสำหรับการชำระเงินตามบัตรเครดิตได้
(๓) มีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์
หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น เป็นหลักประกันเต็มวงเงินของบัตรเครดิตที่อนุมัติ
ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องพิจารณาคุณสมบัติของผู้ถือบัตรเครดิตตามเอกสารประกอบใบสมัครการขอมีบัตรเครดิตของลูกค้า
โดยห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตทำการออกบัตรเครดิตให้แก่ลูกค้า โดยมิได้รับการร้องขอจากลูกค้าก่อน
(Pre-approved)
กรณีผู้ถือบัตรเสริม
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตอาจออกบัตรเสริมให้กับผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติตาม
(๑) - (๓) ข้างต้น หรือผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำได้ ภายใต้สัญญาที่ทำกับผู้ถือบัตรหลัก
โดยวงเงินการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรเสริมต้องอยู่ภายในวงเงินของผู้ถือบัตรหลักเท่านั้น
และผู้ถือบัตรหลักจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบชำระหนี้อันเกิดจากบัตรเสริมทั้งหมด
กรณีบัตรประเภทองค์กร (Corporate Card)
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องพิจารณาฐานะทางการเงินขององค์กร
ผู้ยื่นขอมีบัตรโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบคุณสมบัติผู้ถือบัตรในนามองค์กรดังกล่าวเป็นรายบุคคล
กรณีผู้ถือบัตรรายเก่า
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะต่ออายุบัตรเครดิตให้แก่ผู้ถือบัตรรายเก่าก่อนวันที่
๑ เมษายน ๒๕๔๗ ที่มีรายได้จากแหล่งที่มาต่างๆ รวมกันต่ำกว่า ๑๕,๐๐๐
บาทต่อเดือน หรือต่ำกว่า ๑๘๐,๐๐๐ บาทต่อปีได้ หากผู้ถือบัตรรายเก่ามีประวัติการชำระหนี้ที่ดีต่อเนื่องกัน
โดยในรอบ ๑ ปีย้อนหลังไม่เคยผิดนัดชำระหนี้เกิน ๒ ครั้ง แต่ละครั้งไม่เกิน ๓๐ วัน
๔.๔ ดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใดๆ
เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องถือปฏิบัติในเรื่อง
ดอกเบี้ย ค่าปรับ และค่าธรรมเนียมใดๆ เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิตตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข
ดังต่อไปนี้
(๑) ประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ค่าบริการ
ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ในการใช้บัตรเครดิตซึ่งมีผลใช้บังคับในขณะนั้นตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามประกาศนี้
ในที่เปิดเผย ณ สถานที่ทำการทุกแห่ง ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดังกล่าวหรือเงื่อนไขใดๆ
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องแจ้งให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคทราบล่วงหน้าก่อนวันที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไม่น้อยกว่า
๓๐ วัน
(๒) แจ้งรายละเอียดตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม
(๑) ให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคที่ประสงค์จะขอมีบัตรเครดิตทราบ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาขอมีบัตรเครดิต
(๓) ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะเรียกเก็บค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายใดๆ
จากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคนอกเหนือจากรายการตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม
(๑) ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน
(๔) ในการให้บริการเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิต ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใดๆ
รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ ๓ ของจำนวนเงินสดที่เบิกถอนนั้น
(๕) ภายใต้บังคับตาม (๔) ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตอาจเรียกเก็บดอกเบี้ยในหนี้ค้างชำระ
หรือดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดชำระหนี้ หรือค่าปรับในการชำระหนี้ล่าช้ากว่ากำหนดหรือค่าธรรมเนียม
หรือค่าบริการอื่นใดจากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคได้ แต่ดอกเบี้ย ค่าปรับค่าธรรมเนียมและค่าบริการนั้น
เมื่อคำนวณรวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ ๒๐ ต่อปี ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตอาจคำนวณจำนวนวันตั้งแต่วันที่ทดรองจ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคหรือวันที่สรุปยอดรายการ
หรือวันที่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคต้องชำระเงินหรือถูกหักบัญชีตามใบแจ้งหนี้ก็ได้
(๖) ในการเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม
และค่าบริการ สำหรับหนี้จากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือจากการเบิกถอนเงินสดที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ
(ทั้งกรณีลูกค้ามีข้อตกลงชำระหนี้เต็มจำนวนหรือผ่อนชำระบางส่วน) ให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตยังคงต้องถือปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตสำหรับผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
ลงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๔๘ ต่อไปจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ทั้งนี้ อัตราที่เรียกย่อมจะต้องเป็นไปตามกรอบของสัญญาที่ทำไว้เดิมด้วย
และหลังจากนั้นไม่ว่าหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนหรือตั้งแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจึงจะสามารถคิดดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม และค่าบริการได้ตามประกาศฉบับนี้
(๗) ค่าธรรมเนียม และค่าบริการอื่นใดตาม (๕) ไม่รวมถึงค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานที่ระบุในแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม
(๑) และค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ตาม (๓) และ (๔) และค่าใช้จ่ายตาม (๘)
(๘) ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคได้ตามจำนวนเงินดังต่อไปนี้
(ก) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการติดตามทวงถามการชำระหนี้ตามจำนวนเงินที่ใช้จ่ายไปจริง
และพอสมควรแก่กรณี
(ข) ค่าปรับกรณีเช็คคืน ไม่เกิน ๒๐๐ บาทต่อครั้ง
(๙) ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตนำค่าปรับตาม
(๕) และค่าใช้จ่ายตาม (๘) มารวมกับจำนวนหนี้ที่ค้างชำระเพื่อคิดค่าปรับอีก
๔.๕ การเรียกให้ชำระหนี้และการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องถือปฏิบัติในการเรียกให้ชำระหนี้และการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้
ดังต่อไปนี้
(๑) หากผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตประสงค์จะให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคผ่อนชำระหนี้เป็นงวด
จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการผ่อนชำระหนี้โดยให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคชำระในแต่ละงวด
ดังนี้
(ก) ผู้ถือบัตรรายใหม่นับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗
จะต้องชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวด ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ของยอดคงค้างทั้งสิ้น เว้นแต่หนี้ที่เกิดจากวงเงินชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินซึ่งผู้ถือบัตรจะต้องชำระเต็มจำนวน
ตามข้อ ๔.๗ (๓)
(ข) ผู้ถือบัตรรายเก่าก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ ต้องชำระหนี้ในแต่ละงวดไม่น้อยกว่าร้อยละ
๕ ของยอดคงค้างทั้งสิ้น และตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๐ จะต้องชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่น้อยกว่าร้อยละ
๑๐ ของยอดคงค้างทั้งสิ้น เว้นแต่หนี้ที่เกิดจากวงเงินชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินซึ่งผู้ถือบัตรจะต้องชำระเต็มจำนวน
ตามข้อ ๔.๗ (๓)
(๒) ต้องมีหนังสือเตือนผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๒๐ วันก่อนดำเนินการบังคับชำระหนี้ตามกฎหมาย
(๓) จัดส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๑๐ วันก่อนวันถึงกำหนดชำระหรือหักบัญชี ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการคิดดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายในหนี้ค้างชำระให้แสดงรายละเอียดการคำนวณดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายดังกล่าวในใบแจ้งหนี้ด้วย
(๔) กรณีที่ผู้ถือบัตรมีการผิดนัดชำระหนี้เกินกว่า
๓ เดือน นับแต่วันที่ครบกำหนดชำระให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตยกเลิกการใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตรรายนั้นทันที
๔.๖ การเปลี่ยนประเภทหนี้
ห้ามผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตโอนหนี้ หรือเปลี่ยนประเภทหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต
ไปเป็นหนี้ตามสัญญาสินเชื่อประเภทอื่น เว้นแต่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑) ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคก่อน
(๒) ต้องกำหนดให้มีการชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๑๐ ของยอดหนี้คงค้าง เว้นแต่เป็นการดำเนินการเพื่อการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้ถือบัตรโดยเฉพาะในเรื่อง
ดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ต่ำลงและผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะต้องจัดทำเอกสารหลักฐานสัญญาต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ครบถ้วนและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
(๓) การเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด
ๆ ต้องเป็นไปตามข้อ ๔.๔ (๔) - (๙) ของประกาศฉบับนี้
(๔) ต้องยกเลิกการใช้บัตร และบัญชีบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภครายนั้นทันที
๔.๗ การปฏิบัติและการจัดการเกี่ยวกับข้อมูลผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภค
(๑) ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องให้ความสำคัญและจัดให้มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขอบัตรที่ถูกต้องและครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติและกำหนดวงเงินบัตรเครดิตที่เหมาะสม
และสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้
เช่น บริษัทที่ประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต เป็นต้น หรือร่วมกันจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกันเพื่อสอบยันประวัติส่วนตัวของผู้ขอมีบัตร
จำนวนบัตรและวงเงินบัตรเครดิตที่ได้รับทั้งสิ้น ตลอดจนข้อมูลอื่นๆ
(๒) วงเงินที่จะให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิต แต่ละรายต้องไม่เกิน
๕ เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน หรือกระแสเงินสดหมุนเวียนเข้าเฉลี่ยในบัญชีเงินฝากตามข้อ
๔.๓ (๑) และ (๒)
ในกรณีผู้ถือบัตรเครดิตรายเก่าก่อนวันที่ ๑ เมษายน
๒๕๔๗ ที่มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีต่อเนื่องกัน โดยในรอบ ๑ ปี ย้อนหลังไม่เคยผิดนัดชำระหนี้เกิน
๒ ครั้งแต่ละครั้งไม่เกิน ๓๐ วันผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะเพิ่มวงเงินให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิตรายนั้นอีกไม่ได้
เว้นแต่เป็นกรณีตาม (๓) หรือกรณีที่วงเงินเดิมของผู้ถือบัตรเครดิตรายนั้นต่ำกว่า ๕
เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน หรือกระแสเงินสดหมุนเวียนเข้าเฉลี่ยในบัญชีเงินฝาก
(๓) ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตสามารถเพิ่มวงเงินชั่วคราวเกินกว่า
๕ เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนหรือกระแสเงินสดเข้าเฉลี่ยต่อเดือนให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิตในกรณีฉุกเฉินได้
เมื่อผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตได้พิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ถือบัตร รวมทั้งกำหนดผู้รับผิดชอบในการอนุมัติเพิ่มวงเงินและทำข้อตกลงเป็นพิเศษให้ผู้ถือบัตรต้องชำระเงินส่วนที่เกินกว่าวงเงิน
๕ เท่าของรายได้ เต็มจำนวนภายในกำหนดชำระเงินตามใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตงวดที่สองที่ปรากฏยอดใช้จ่ายดังกล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของการชำระหนี้สำหรับการใช้จ่ายที่ไม่เกิน ๕ เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน
หรือกระแสเงินสดเข้าเฉลี่ยต่อเดือน ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตยังคงต้องถือปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในข้อ
๔.๕ ด้วย
(๔) ให้ผู้ยื่นขอบัตรรายใหม่และผู้ถือบัตรรายเก่าที่ประสงค์จะขอวงเงินเพิ่ม
ต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับบัตรเครดิตและวงเงินที่ได้รับขณะยื่นขอบัตรเครดิตหรือขอเพิ่มวงเงิน
ที่ครบถ้วนและถูกต้อง โดยผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องแจ้งให้ลูกค้ารับทราบเกี่ยวกับความสำคัญของการแจ้งข้อมูลดังกล่าว
ซึ่งมีผลให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตอาจบอกเลิกการถือบัตรได้หากต่อมาตรวจพบว่ามีการแจ้งข้อมูลดังกล่าวไม่ถูกต้อง
(๕) ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องรักษาข้อมูลของผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคไว้เป็นความลับ
เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(ก) การเปิดเผยโดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภค
(ข) การเปิดเผยตามหน้าที่ หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือการพิจารณาคดี
(ค) การเปิดเผยแก่ผู้สอบบัญชีของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตนั้น
(ง) การส่งข้อมูลเครดิตให้แก่บริษัทข้อมูลเครดิต
(จ) การเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมาย
๔.๘ การปฏิบัติเมื่อมีข้อร้องเรียน
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะต้องดำเนินการตรวจสอบเมื่อผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต
และแจ้งความคืบหน้ารวมทั้งชี้แจงขั้นตอนต่อไปให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคทราบภายใน ๗
วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งการร้องเรียน รวมทั้งให้ดำเนินการแก้ไขข้อร้องเรียนนั้นให้แล้วเสร็จ
และแจ้งให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคนั้นทราบโดยเร็ว
๔.๙ การจัดทำบัญชีและการรายงาน
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะต้องจัดทำข้อมูลในรูปแบบชุดข้อมูล
(Data Set) ตามรายชื่อชุดข้อมูลและคำอธิบายการจัดทำข้อมูลตามแบบที่กำหนดไว้ท้ายประกาศ
โดยจัดส่งรายงานชุดข้อมูลดังกล่าวเป็นรายเดือน ภายใน ๒๑ วัน นับจากวันสิ้นเดือนที่รายงาน
ตามวิธีการและหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยบริการด้านการรับส่งข้อมูลด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับระบบบริหารข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะถือว่าได้รับข้อมูลตามชุดข้อมูล (Data
Set) ผ่านระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ ในวันที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตส่งข้อมูลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย
และผ่านเกณฑ์การตรวจสอบเบื้องต้น (Basic Validation) ของระบบบริหารข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
๔.๑๐ เรื่องอื่นๆ
(๑) ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องกำหนดนโยบายและแผนงานในการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิต
และเสนอคณะกรรมการของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตเพื่อให้ความเห็นชอบทุกปี ทั้งนี้
นโยบายและแผนงานดังกล่าว ควรประกอบด้วยทิศทางและแนวทางในการให้บริการบัตรเครดิตพร้อมทั้งเป้าหมายในการให้บริการแก่ลูกค้าตามระดับรายได้ของผู้ถือบัตร
(๒) ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องจัดให้มีระเบียบ
หรือพิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต หรือระบุในสัญญาการแต่งตั้งตัวแทนเพื่อกระทำการแทนผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตในเรื่องการติดต่อหาผู้ถือบัตรรายใหม่
หรือติดต่อกับผู้ถือบัตรรายเก่าเพื่อเสนอสินเชื่อประเภทใหม่ พร้อมทั้งให้ถือปฏิบัติ
ดังต่อไปนี้
(ก) การติดต่อหาผู้ถือบัตรรายใหม่หรือติดต่อกับผู้ถือบัตรรายเก่าจะดำเนินการได้คือตั้งแต่เวลา
๘.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ในวันจันทร์ - วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดราชการ ให้ดำเนินการตั้งแต่เวลา
๘.๐๐ - ๑๘.๐๐ น.
(ข) ห้ามมิให้มีการแจกเงิน สิ่งของ หรือบัตรกำนัลใดๆ
ในการรับสมัครลูกค้ารายใหม่ หรือการอนุมัติบัตรให้ลูกค้ารายใหม่ เว้นแต่จะมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรแล้วอย่างน้อย
๑ งวด
๔.๑๑ ข้อกำหนดในประกาศนี้ ไม่ใช้บังคับแก่กรณีการออกบัตรเดบิตเพื่อใช้เบิกถอนเงินสดหรือหักทอนค่าสินค้าหรือค่าบริการ
จากบัญชีเงินฝากในขณะที่ใช้บัตรนั้น
๔.๑๒ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตได้ออกบัตรเครดิตให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคแล้วในวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
หากคุณสมบัติของผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคดังกล่าวไม่ตรงตามประกาศนี้ให้บัตรเครดิตนั้นยังมีผลใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดอายุของบัตรเครดิตหรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตบอกยกเลิกการใช้บัตรเครดิตตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตนั้น
๕.[๑]
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม
๒๕๔๙ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
รายชื่อประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๖
ธันวาคม ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๒๒ ง/หน้า ๒๘/๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ |
518859 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ของธนาคารพาณิชย์
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
ของธนาคารพาณิชย์
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อเป็นการพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน และเป็นการระมัดระวังและป้องกันปัญหาจากบัตรเครดิตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ตลอดจนเพื่อให้หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจบัตรเครดิตมีความเหมาะสม ชัดเจนและสามารถถือปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน
รวมทั้งให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่ภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒
(๘) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารที่ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
๔.
เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม
๒๕๔๗
๔.๒ ในประกาศนี้
บัตรเครดิต หมายความว่า
บัตรที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ธนาคารพาณิชย์กำหนด
เพื่อใช้ชำระค่าสินค้า ค่าบริการ หรือค่าอื่นใดแทนการชำระด้วยเงินสดหรือเพื่อใช้เบิกถอนเงินสด
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงบัตรที่ได้มีการชำระค่าสินค้าค่าบริการ หรือค่าอื่นใดไว้ล่วงหน้า
บัตรหลัก หมายความว่า
บัตรเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคที่เป็นผู้มีรายได้หรือฐานะทางการเงินเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ตามบัตรเครดิตได้
บัตรเสริม หมายความว่า
บัตรเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคที่ผู้ถือบัตรหลักยินยอมให้ใช้จ่ายเงินภายในวงเงินของผู้ถือบัตรหลัก
และผู้ถือบัตรหลักจะเป็นผู้รับผิดชอบชำระหนี้อันเกิดจากบัตรเสริมทั้งหมด
บัตรประเภทองค์กร (Corporate Card) หมายความว่า
บัตรเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้ข้าราชการ หรือพนักงาน ของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ
หรือบริษัทเอกชน ซึ่งองค์กรข้างต้นจะเป็นผู้รับผิดชอบชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวทั้งหมด
๔.๓ คุณสมบัติของผู้ถือบัตรเครดิต
กรณีผู้ถือบัตรหลัก
ธนาคารพาณิชย์จะออกบัตรหลักให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคได้
เมื่อผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคมีคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้
(๑) มีรายได้จากแหล่งที่มาต่างๆ รวมกันไม่ต่ำกว่า
๑๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน หรือไม่ต่ำกว่า ๑๘๐,๐๐๐
บาทต่อปี โดยต้องแสดงหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับแหล่งที่มาของรายได้
(๒) เป็นผู้มีรายได้หรือเคยมีรายได้จากการทำมาหาได้ของตนเอง
โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดหมุนเวียนในบัญชีเงินฝาก ซึ่งฝากไว้กับสถาบันการเงินที่สามารถรับฝากเงินจากประชาชนได้ตามกฎหมาย
ย้อนหลังเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๖ เดือน โดยอย่างน้อยจะต้องมีกระแสเงินสดเข้าเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า
๑๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน ซึ่งธนาคารพาณิชย์พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นผู้มีฐานะทางการเงินเพียงพอสำหรับการชำระเงินตามบัตรเครดิตได้
(๓) มีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์
หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น เป็นหลักประกันเต็มวงเงินของบัตรเครดิตที่อนุมัติ
(๔) มีเงินฝากประจำที่ธนาคารพาณิชย์นั้นไม่น้อยกว่า
๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๖ เดือน
(๕) มีเงินฝากประจำ หรือเงินฝากออมทรัพย์ที่ธนาคารพาณิชย์นั้น
หรือลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
ที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นผู้ดูแลอย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันไม่น้อยกว่า ๑,๐๐๐,๐๐๐
บาทเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๖ เดือน
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ต้องพิจารณาคุณสมบัติของผู้ถือบัตรเครดิตตามเอกสารประกอบใบสมัครการขอมีบัตรเครดิตของลูกค้า
โดยห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ทำการออกบัตรเครดิตให้แก่ลูกค้าโดยมิได้รับการร้องขอจากลูกค้าก่อน
(Pre-approved)
กรณีผู้ถือบัตรเสริม
ธนาคารพาณิชย์อาจออกบัตรเสริมให้กับผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติตาม
(๑) - (๕) ข้างต้น หรือผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำได้ ภายใต้สัญญาที่ทำกับผู้ถือบัตรหลัก
โดยวงเงินการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรเสริมต้องอยู่ภายในวงเงินของผู้ถือบัตรหลักเท่านั้น
และผู้ถือบัตรหลักจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบชำระหนี้อันเกิดจากบัตรเสริมทั้งหมด
กรณีบัตรประเภทองค์กร (Corporate Card)
ธนาคารพาณิชย์ต้องพิจารณาฐานะทางการเงินขององค์กร
หรือบริษัทผู้ยื่นขอมีบัตรโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบคุณสมบัติผู้ถือบัตรในนามองค์กรดังกล่าวเป็นรายบุคคล
กรณีผู้ถือบัตรรายเก่าธนาคารพาณิชย์จะต่ออายุบัตรเครดิตให้แก่ผู้ถือบัตรรายเก่าก่อนวันที่
๑ เมษายน ๒๕๔๗ ที่มีรายได้จากแหล่งที่มาต่างๆ รวมกันต่ำกว่า ๑๕,๐๐๐
บาทต่อเดือน หรือต่ำกว่า ๑๘๐,๐๐๐ บาทต่อปีได้หากผู้ถือบัตรรายเก่ามีประวัติการชำระหนี้ที่ดีต่อเนื่องกัน
โดยในรอบ ๑ ปีย้อนหลัง ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ เกิน ๒ ครั้ง แต่ละครั้งไม่เกิน ๓๐ วัน
๔.๔ ดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใดๆ
เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต
ธนาคารพาณิชย์ต้องถือปฏิบัติในเรื่อง ดอกเบี้ย ค่าปรับ
ค่าบริการและค่าธรรมเนียมใดๆ เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต ดังต่อไปนี้
(๑) ประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ค่าบริการ
ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการใช้บัตรเครดิตซึ่งมีผลใช้บังคับในขณะนั้นตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามประกาศนี้
ในที่เปิดเผย ณ สถานที่ทำการทุกแห่ง ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดังกล่าวหรือเงื่อนไขใดๆ
ธนาคารพาณิชย์ต้องแจ้งให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคทราบล่วงหน้าก่อนวันที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไม่น้อยกว่า
๓๐ วัน
(๒) แจ้งรายละเอียดตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม
(๑) ให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคที่ประสงค์จะขอมีบัตรเครดิตทราบ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาขอมีบัตรเครดิต
(๓) การเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใดๆ
เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
ดอกเบี้ยและค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ลงวันที่
๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(๔) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์จะเรียกเก็บค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายใดๆ
จากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคนอกเหนือจากรายการตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม
(๑) ธนาคารพาณิชย์ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน
๔.๕ การเรียกให้ชำระหนี้และการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้
ธนาคารพาณิชย์ต้องถือปฏิบัติในการเรียกให้ชำระหนี้และติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ดังนี้
(๑) หากธนาคารพาณิชย์ประสงค์จะให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคผ่อนชำระหนี้เป็นงวดจะต้องกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการผ่อนชำระหนี้โดยให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวด
ดังนี้
(ก) ผู้ถือบัตรรายใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗
จะต้องชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ของยอดคงค้างทั้งสิ้น เว้นแต่หนี้ที่เกิดจากวงเงินชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินซึ่งผู้ถือบัตรจะต้องชำระเต็มจำนวน
ตามข้อ ๔.๗ (๓)
(ข) ผู้ถือบัตรรายเก่าก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ ต้องชำระหนี้ในแต่ละงวดไม่น้อยกว่าร้อยละ
๕ ของยอดคงค้างทั้งสิ้น และตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๐ จะต้องชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่น้อยกว่าร้อยละ
๑๐ ของยอดคงค้างทั้งสิ้น เว้นแต่หนี้ที่เกิดจากวงเงินชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินซึ่งผู้ถือบัตรจะต้องชำระเต็มจำนวน
ตามข้อ ๔.๗ (๓)
(๒) ต้องมีหนังสือเตือนผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๒๐ วัน ก่อนดำเนินการบังคับชำระหนี้ตามกฎหมาย
(๓) จัดส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๑๐ วันก่อนวันถึงกำหนดชำระหรือหักบัญชี ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการคิดดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายในหนี้ค้างชำระให้แสดงรายละเอียดการคำนวณดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายดังกล่าว
ในใบแจ้งหนี้ด้วย
(๔) กรณีที่ผู้ถือบัตรมีการผิดนัดชำระหนี้เกินกว่า
๓ เดือนนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระให้ธนาคารพาณิชย์ยกเลิกการใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตรรายนั้นทันที
๔.๖ การเปลี่ยนประเภทหนี้
ห้ามธนาคารพาณิชย์โอนหนี้ หรือเปลี่ยนประเภทหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต
ไปเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด หรือหนี้ตามสัญญาสินเชื่อประเภทอื่น เว้นแต่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑) ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคก่อน
(๒) ต้องกำหนดให้มีการชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๑๐ ของยอดหนี้คงค้าง เว้นแต่เป็นการดำเนินการเพื่อการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้ถือบัตรโดยเฉพาะในเรื่องดอกเบี้ย
ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ต่ำลง และธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำเอกสารหลักฐานสัญญาต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ครบถ้วนและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
(๓) การเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใดๆ
ต้องเป็นไปตามข้อ ๔.๔ (๓) และ (๔) ของประกาศฉบับนี้
(๔) ต้องยกเลิกการใช้บัตร และบัญชีบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภครายนั้นทันที
(๕) การโอนหนี้หรือเปลี่ยนประเภทหนี้ดังกล่าวต้องไม่เป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันสำรองหรือเป็นเหตุให้มีการจดแจ้งบัญชีสินทรัพย์และหนี้สินไม่ถูกต้อง
ทั้งนี้ หนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิต ที่ยังมิได้โอนไปเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดจะเอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับเงินต้นแล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นไม่ได้
๔.๗ การปฏิบัติและการจัดการเกี่ยวกับข้อมูลผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภค
(๑) ธนาคารพาณิชย์ต้องให้ความสำคัญและจัดให้มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขอบัตรที่ถูกต้องและครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติและกำหนดวงเงินบัตรเครดิตที่เหมาะสม
และสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้
เช่น บริษัทที่ประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต เป็นต้น หรือร่วมกันจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกัน
เพื่อสอบยันประวัติส่วนตัวของผู้ขอมีบัตร จำนวนบัตรและวงเงินบัตรเครดิตที่ได้รับทั้งสิ้น
ตลอดจนข้อมูลอื่นๆ
(๒) วงเงินที่จะให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิต แต่ละรายต้องไม่เกิน
๕ เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนหรือกระแสเงินสดหมุนเวียนเข้าเฉลี่ยในบัญชีเงินฝากตามข้อ
๔.๓ (๑) และ (๒) หรือไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของยอดเงินฝากประจำตามข้อ ๔.๓ (๔) หรือไม่เกินร้อยละ
๑๐ ของยอดเงินฝากประจำเงินฝากออมทรัพย์และตราสารแสดงสิทธิในหนี้ตามข้อ ๔.๓ (๕)
ในกรณีผู้ถือบัตรเครดิตรายเก่าก่อนวันที่ ๑ เมษายน
๒๕๔๗ ที่มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีต่อเนื่องกัน โดยในรอบ ๑ ปี ย้อนหลังไม่เคยผิดนัดชำระหนี้เกิน
๒ ครั้ง แต่ละครั้งไม่เกิน ๓๐ วัน ธนาคารพาณิชย์จะเพิ่มวงเงินให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิตรายนั้นอีกไม่ได้
เว้นแต่เป็นกรณีตาม (๓) หรือกรณีที่วงเงินเดิมของผู้ถือบัตรเครดิตรายนั้นต่ำกว่า ๕
เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน หรือกระแสเงินสดหมุนเวียนเข้าเฉลี่ยในบัญชีเงินฝาก
(๓) ธนาคารพาณิชย์สามารถเพิ่มวงเงินชั่วคราวเกินกว่าวงเงินที่กำหนดไว้ตามข้อ
๔.๗ (๒) ข้างต้น ให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิตในกรณีฉุกเฉินได้ เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้พิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ถือบัตร
รวมทั้งกำหนดผู้รับผิดชอบในการอนุมัติเพิ่มวงเงินและทำข้อตกลงเป็นพิเศษให้ผู้ถือบัตรต้องชำระเงินส่วนที่เกินกว่าวงเงินตามข้อ
๔.๗ (๒) เต็มจำนวนภายในกำหนดชำระเงินตามใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตงวดที่สองที่ปรากฏยอดใช้จ่ายดังกล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของการชำระหนี้สำหรับการใช้จ่ายที่ไม่เกินกว่าวงเงินตามข้อ ๔.๗ (๒)
ธนาคารพาณิชย์ยังคงต้องถือปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๔.๕ ด้วย
(๔) ให้ผู้ยื่นขอบัตรรายใหม่และผู้ถือบัตรรายเก่าที่ประสงค์จะขอวงเงินเพิ่ม
ต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับบัตรเครดิตและวงเงินที่ได้รับขณะยื่นขอบัตรเครดิตหรือขอเพิ่มวงเงิน
ที่ครบถ้วนและถูกต้อง โดยธนาคารพาณิชย์ต้องแจ้งให้ลูกค้ารับทราบเกี่ยวกับความสำคัญของการแจ้งข้อมูลดังกล่าว
ซึ่งมีผลให้ธนาคารพาณิชย์อาจบอกเลิกการถือบัตรได้หากต่อมาตรวจพบว่ามีการแจ้งข้อมูลดังกล่าวไม่ถูกต้อง
(๕) ธนาคารพาณิชย์ต้องรักษาข้อมูลของผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคไว้เป็นความลับ
เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(ก) การเปิดเผยโดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภค
(ข) การเปิดเผยตามหน้าที่ หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือการพิจารณาคดี
(ค) การเปิดเผยแก่ผู้สอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์นั้น
(ง) การส่งข้อมูลเครดิตให้แก่บริษัทข้อมูลเครดิต
(จ) การเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมาย
๔.๘ การปฏิบัติเมื่อมีข้อร้องเรียน
ธนาคารพาณิชย์จะต้องดำเนินการตรวจสอบเมื่อผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต
และแจ้งความคืบหน้ารวมทั้งชี้แจงขั้นตอนต่อไปให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคทราบภายใน ๗
วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งการร้องเรียน รวมทั้งให้ดำเนินการแก้ไขข้อร้องเรียนนั้นให้แล้วเสร็จและแจ้งให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคนั้นทราบโดยเร็ว
๔.๙ การบริหารความเสี่ยงของธุรกิจบัตรเครดิต
(๑) ธนาคารพาณิชย์ต้องกำหนดนโยบายและแผนงานในการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตและเสนอคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้ความเห็นชอบทุกปี
ทั้งนี้ นโยบายและแผนงานดังกล่าว ควรประกอบด้วยทิศทางและแนวทางในการให้บริการบัตรเครดิต
พร้อมทั้งเป้าหมายในการให้บริการแก่ลูกค้าตามระดับรายได้ของผู้ถือบัตร
(๒) ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีระเบียบ หรือพิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ธนาคารพาณิชย์หรือระบุในสัญญาการแต่งตั้งตัวแทนเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์ในเรื่องการติดต่อหาผู้ถือบัตรรายใหม่
หรือติดต่อกับผู้ถือบัตรรายเก่าเพื่อเสนอสินเชื่อประเภทใหม่ พร้อมทั้งถือปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก) การติดต่อหาผู้ถือบัตรรายใหม่ หรือติดต่อกับผู้ถือบัตรรายเก่า
จะดำเนินการได้คือตั้งแต่เวลา ๘.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ในวันจันทร์ - วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดราชการ
ให้ดำเนินการตั้งแต่เวลา ๘.๐๐ - ๑๘.๐๐ น.
(ข) ห้ามมิให้มีการแจกเงิน สิ่งของ หรือบัตรกำนัลใดๆ
ในการรับสมัครลูกค้ารายใหม่ หรือการอนุมัติบัตรให้ลูกค้ารายใหม่ เว้นแต่จะมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรแล้วอย่างน้อย
๑ งวด
(๓) ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีระบบการบริหารความเสี่ยงในการให้บริการบัตรเครดิต
ดังนี้
(ก) ระบบการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นขอบัตรเครดิตเพื่อการอนุมัติและกำหนดวงเงินบัตรเครดิตตามระดับความสามารถในการชำระหนี้
(ข) ระบบการเรียกเก็บหนี้ที่สามารถเตือนให้ทราบเมื่อลูกหนี้เริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้หรือไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามข้อตกลง
ตลอดจนกลยุทธ์ในการเรียกเก็บหนี้ในกรณีต่างๆ
(ค) ระบบการติดตามพฤติกรรมในการใช้จ่ายและการชำระหนี้ของผู้ถือบัตรแต่ละรายเพื่อประโยชน์ในการทบทวน
เปลี่ยนแปลงวงเงินให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและรูปแบบการใช้บัตรของผู้ถือบัตรแต่ละราย
(ง) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารสำหรับใช้ในการกำหนดและทบทวนนโยบายและแผนงานเกี่ยวกับการให้บริการบัตรเครดิตด้วย
๔.๑๐ การจัดทำบัญชีและการรายงาน
ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำรายงานตามที่กำหนดไว้ในหนังสือที่
ธปท.สนส.(๐๓) ว.๒๒๐๓/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๖ เรื่อง การปรับปรุงรูปแบบและวิธีการส่งรายงานข้อมูลที่กำหนดให้ยื่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
๔.๑๑ ข้อกำหนดในประกาศนี้ ไม่ใช้บังคับแก่กรณีการออกบัตรเดบิตเพื่อใช้เบิกถอนเงินสดหรือหักทอนค่าสินค้าหรือค่าบริการ
จากบัญชีเงินฝากในขณะที่ใช้บัตรนั้น
๔.๑๒ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ออกบัตรเครดิตให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคแล้วในวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
หากคุณสมบัติของผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคดังกล่าวไม่ตรงตามประกาศนี้ให้บัตรเครดิตนั้นยังมีผลใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดอายุของบัตรเครดิตหรือธนาคารพาณิชย์บอกยกเลิกการใช้บัตรเครดิตตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตนั้น
๕.[๑]
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม
๒๕๔๙ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙
ธาริษา
วัฒนเกส
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
รายชื่อประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ
๖
ธันวาคม ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๒๒ ง/หน้า ๒๐/๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ |
518749 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
ด้วยธนาคารพาณิชย์สามารถประกอบธุรกรรมสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศอนุญาต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอนุพันธ์ด้านอัตราแลกเปลี่ยน
อัตราดอกเบี้ยและตราสารหนี้เป็นปกติอยู่แล้ว
ซึ่งต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๖ ขึ้น
และศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้เปิดดำเนินการเมื่อ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙
โดยการนี้ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ออกประกาศ
เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นผู้ให้บริการประเภทตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
และผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ โดยจะต้องจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้วแต่กรณีทั้งนี้
การจดทะเบียนหรือได้รับใบอนุญาตดังกล่าวจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยเสียก่อน
จึงสมควรออกประกาศนี้ให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
และผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้
เป็นการรองรับกับประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไปด้วย
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
และผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามข้อกำหนดในประกาศนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยและกิจการวิเทศธนกิจ
๔.
เนื้อหา
๔.๑ หลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจ
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าภายใต้หลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
มุ่งเน้นให้ธนาคารพาณิชย์บริหารความเสี่ยงของตนเองโดยคณะกรรมการและผู้บริหารของธนาคารพาณิชย์ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการประกอบธุรกิจและความเสี่ยงต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถกำหนดกลยุทธ์
อนุมัตินโยบายแผนงานและระเบียบปฏิบัติในการประกอบธุรกิจดังกล่าว
รวมทั้งมีการทบทวนปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์ที่จะประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต้องมีนโยบายและระเบียบปฏิบัติในการประกอบธุรกิจ
รวมทั้งมีระบบงาน ระบบบริหารความเสี่ยง
และระบบการควบคุมภายในที่สามารถรองรับการประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๔.๑.๑ ในประกาศฉบับนี้
สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หมายความว่า
สัญญาที่มีลักษณะตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๖
ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
หมายความว่า
บุคคลซึ่งให้บริการหรือแสดงต่อบุคคลทั่วไปว่าพร้อมจะให้บริการเพื่อทำการเป็นตัวแทนในการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับบุคคลอื่น
โดยกระทำเป็นทางค้าปกติและได้จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.
๒๕๔๖ แต่ทั้งนี้
ไม่รวมถึงตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในลักษณะตามที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประกาศกำหนด
ผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
หมายความว่า
บุคคลซึ่งแสดงต่อบุคคลทั่วไปว่าพร้อมจะเข้าเป็นคู่สัญญาซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้แก่ผู้ซึ่งประสงค์จะซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
โดยการเสนอเข้าหรือเข้าเป็นคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
โดยกระทำเป็นทางค้าปกติและได้จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.
๒๕๔๖ แต่ทั้งนี้
ไม่รวมถึงบุคคลซึ่งเสนอซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อตนเองที่กระทำในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
พ.ศ. ๒๕๔๖ หรือผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในลักษณะตามที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประกาศกำหนด
ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
หมายความว่า
บุคคลซึ่งให้คำแนะนำหรือแสดงต่อบุคคลทั่วไปว่าพร้อมจะให้คำแนะนำไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมแก่บุคคลอื่นเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือความเหมาะสมในการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
โดยกระทำเป็นทางค้าปกติและได้จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.
๒๕๔๖ แต่ทั้งนี้
ไม่รวมถึงบุคคลซึ่งให้คำแนะนำอันเป็นส่วนหนึ่งหรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบการของตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
หรือผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
หรือการให้คำแนะนำในลักษณะตามที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประกาศกำหนด
ผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
หมายความว่า
บุคคลซึ่งเข้าจัดการเงินทุนหรือแสดงต่อบุคคลทั่วไปว่าพร้อมจะรับจัดการเงินทุนให้แก่บุคคลอื่น
เพื่อแสวงหาประโยชน์จากสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
โดยกระทำเป็นทางค้าปกติและได้รับใบอนุญาตหรือได้จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
พ.ศ. ๒๕๔๖ แต่ทั้งนี้
ไม่รวมถึงผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในลักษณะตามที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประกาศกำหนด
๔.๑.๒
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้
โดยธนาคารพาณิชย์ที่จะประกอบธุรกิจดังกล่าวต้องมีคุณสมบัติและปฏิบัติตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้
๑)
มีฐานะการเงินและฐานะการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ดี
โดยสามารถกันเงินสำรองได้ครบถ้วนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
สามารถดำรงอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์และภาระผูกพันได้ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ตลอดจนสามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินอื่นใดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งการเป็นกรณีพิเศษ
๒)
จัดทำแผนงานรองรับการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เป็นลายลักษณ์อักษรและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารพาณิชย์
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานและเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้
ทั้งนี้ แผนงานดังกล่าวต้องมีสาระสำคัญอย่างน้อย ดังนี้
(๑) นโยบายและระเบียบปฏิบัติในการประกอบธุรกิจ
ทั้งนี้ การเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายและระเบียบวิธีปฏิบัติจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์
(๒) รายละเอียดของระบบบริหารจัดการ
ระบบบริหารความเสี่ยง และระบบการควบคุมภายในที่ใช้รองรับการประกอบธุรกิจ
โดยครอบคลุมถึงระบบงานตามประเภทของการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับการจดทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(๒.๑) โครงสร้างองค์กรที่ใช้รองรับการประกอบธุรกิจ
ขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ระบบการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระบบการป้องกันการล่วงรู้ข้อมูลภายในระหว่างหน่วยงานและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ
รวมถึงมาตรการในการควบคุมและติดตามให้มีการดำเนินงานตามระบบที่วางไว้
(๒.๒)
ระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการลูกค้าและดูแลผลประโยชน์ของลูกค้า เช่น
การรับส่งคำสั่งซื้อขาย การยืนยันรายการ
การคำนวณฐานะกำไรขาดทุนของลูกค้าการเรียกหลักประกันเริ่มแรก
การเรียกหลักประกันเพิ่ม
การเก็บรักษาทรัพย์สินของลูกค้าแยกจากทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์
การจัดเก็บข้อมูลของลูกค้า การรับส่งข้อมูล เอกสารหลักฐานหรือรายงานต่างๆ ให้แก่ลูกค้า
การให้คำแนะนำในการลงทุน การจัดการเรื่องร้องเรียนที่ได้รับจากลูกค้า
การเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า
รวมทั้งมีกระบวนการที่ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าทราบถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือมีข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจสำหรับการใช้บริการจัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
(๒.๓)
ระบบการจัดเก็บข้อมูลและการจัดทำรายงานที่มีรายละเอียดอันเป็นประโยชน์ต่อการติดตาม
วิเคราะห์และประเมินผลการประกอบธุรกิจ
(๒.๔) ระบบการตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
(๒.๕)
ระบบงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนการประกอบธุรกิจ
(๒.๖)
ระบบงานอื่นใดที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประกาศกำหนด
เพื่อรองรับการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
และผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
(๒.๗)
ระบบการติดตามการเปลี่ยนแปลงมูลค่าตามราคาตลาดของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Mark
to Market) ระบบการบันทึกบัญชีและระบบการจัดทำรายงานกำไรขาดทุนที่เกิดจากการทำธุรกรรม
(๒.๘) ระบบการติดตามการปฏิบัติงานของ Back
Office เช่น การยืนยันการทำรายการ การกระทบยอดรายการ
การจัดการทางกฎหมาย และการชำระราคา (Settlement)
(๒.๙)
ระบบการวิเคราะห์และบริหารความเสี่ยงของการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่สามารถรองรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจ
เช่น ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ความเสี่ยงด้านราคาตราสารทุน ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
ความเสี่ยงด้านเครดิตและความเสี่ยงด้านการชำระราคา เป็นต้น การกำหนดวงเงินลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทต่างๆ
การวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือและความเสี่ยงด้านเครดิตของคู่สัญญา
รวมถึงการกำหนดวงเงินในการทำธุรกรรมกับคู่สัญญา
(๒.๑๐)
ระบบการกำหนดเพดานความเสี่ยงและความเสียหายที่สามารถยอมรับได้
การติดตามและทบทวนเพดานความเสี่ยง รวมทั้งการอนุมัติและการรายงานผู้บริหารในกรณีที่มีการปฏิบัติแตกต่างไปจากเพดานความเสี่ยงที่กำหนด
กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าควรมีรายละเอียดระบบงานตามข้อ
(๒.๑) ถึงข้อ (๒.๖)
กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าควรมีรายละเอียดระบบงานตามข้อ
(๒.๑) ถึงข้อ (๒.๘)
กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้าควรมีรายละเอียดระบบงานตามข้อ
(๒.๑) ถึงข้อ (๒.๑๐)
๓)
มีความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อรับผิดชอบงานด้านการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
โดยจัดให้มีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ
และประสบการณ์ในการทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจ
๔.๑.๓ ธนาคารพาณิชย์ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดในข้อ
๔.๑.๒
และประสงค์จะประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
หรือที่ปรึกษาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต้องได้รับการจดทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ส่วนการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าธนาคารพาณิชย์ต้องได้รับการจดทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ
ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนด
๔.๑.๔
ในการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องเข้าเป็นคู่สัญญาในการทำธุรกรรมซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้วยนั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเข้าเป็นคู่สัญญาในการทำธุรกรรมได้เฉพาะธุรกรรมที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศอนุญาตให้ทำได้เท่านั้นและต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
รวมทั้งจัดทำรายงานตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๑.๕ ในการขอจดทะเบียนหรือขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ผู้ขอต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
หรือเป็นผู้ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
ดังนั้น
ในกรณีธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้ายังไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
ธนาคารพาณิชย์จะต้องดำเนินการขออนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคลควบคู่ไปกับการขอจดทะเบียนหรือขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นผู้จัดการเงินทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
โดยให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามหนังสือเวียนที่ ธปท.งพ.(ว) ๒๒๙๕/๒๕๓๙ เรื่อง
หลักเกณฑ์ในการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคล ลงวันที่
๒๗ สิงหาคม ๒๕๓๙
๔.๑.๖
เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้รับการจดทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ให้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้านับตั้งแต่วันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับ
ให้ธนาคารพาณิชย์มีหนังสือแจ้งพร้อมสำเนาหลักฐานการได้รับการจดทะเบียนหรือสำเนาหลักฐานการได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน
๓๐ วัน นับจากวันที่ได้รับการจดทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับการจดทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ให้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไปแล้วก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับ
ให้ธนาคารพาณิชย์มีหนังสือแจ้งพร้อมสำเนาหลักฐานการได้รับการจดทะเบียนหรือสำเนาหลักฐานการได้รับ
ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน
๓๐ วัน นับจากวันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับ
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ประสงค์จะเลิกประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าธนาคารพาณิชย์ต้องขออนุญาตเลิกประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้วแต่กรณี
เมื่อได้รับอนุญาตให้เลิกประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแล้ว
ให้ธนาคารพาณิชย์มีหนังสือแจ้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน ๑๕
วันนับจากวันที่ได้รับอนุญาตให้เลิกประกอบธุรกิจ
ทั้งนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์จัดส่งหนังสือดังกล่าวไปที่สายกำกับสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย
๔.๒ หลักเกณฑ์ในการกำกับดูแล
๔.๒.๑
ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มาตรฐานบัญชี
และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจโดยเคร่งครัด
๔.๒.๒
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีข้อมูลและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไว้
เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา
๔.๒.๓
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจยับยั้งหรือสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้
ในกรณีดังต่อไปนี้
๑)
ธนาคารพาณิชย์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนด
๒) กรณีอื่นๆ
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่ากระทบกับความปลอดภัยหรือความผาสุกของประชาชน
๔.๒.๔
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ตามที่เห็นสมควร
๕[๑].
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙
ธาริษา
วัฒนเกส
รองผู้ว่าการ
ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน
รักษาการแทน
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
โสรศ/ผู้จัดทำ
๔
ธันวาคม ๒๕๔๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๒๒ ง/หน้า ๑๒/๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ |
518747 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น
อันเป็นการลดต้นทุนในการดำเนินงาน เพิ่มรายได้ และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของบริการด้านงานสนับสนุนของธนาคารพาณิชย์
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ออกประกาศ เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น ลงวันที่ ๒๐
มกราคม ๒๕๔๗ ไปแล้ว
บัดนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการออกหลักเกณฑ์การกำ กับแบบรวมกลุ่มขึ้น โดยหนังสือเวียนที่
ธปท.ฝนส.(๒๑) ว.๙๓๖/๒๕๔๙ เรื่อง นำส่งหลักเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่ม ลงวันที่ ๑๒
กรกฎาคม ๒๕๔๙ ประการหนึ่ง และได้มีการออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ ลงวันที่ ๒๑
กันยายน ๒๕๔๙ อีกประการหนึ่ง
จึงสมควรปรับหลักเกณฑ์ให้ธนาคารพาณิชย์ให้บริการด้านงานสนับสนุน (Insourcing)
แก่บุคคลอื่นได้มากขึ้น
โดยให้ครอบคลุมถึงหน่วยธุรกิจทุกหน่วยในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน
และครอบคลุมถึงนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ และบริษัทที่รับโอนสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งรับโอนสินทรัพย์จากผู้ขายสินทรัพย์และออกหลักทรัพย์ขายแก่ผู้ลงทุน
ที่ธนาคารพาณิชย์หรือนิติบุคคลอื่นอาจจัดตั้งขึ้น ได้ตามแต่กรณี
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙
ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
ออกหลักเกณฑ์ในการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น ตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจ
๔.
เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ ประกอบกิจการให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น
ลงวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๗ โดยถือปฏิบัติตามประกาศฉบับนี้แทน
๔.๒ ในประกาศนี้
บุคคลอื่น หมายถึง
(๑) สถาบันการเงินอื่น
(๒)
บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์นั้น
หรือบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงินอื่น
ตามที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตจัดตั้งกลุ่มธุรกิจทางการเงินตามหลักเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่ม
(๓) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
(๔) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๕)
นิติบุคคลเฉพาะกิจตามกฎหมายว่าด้วยนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
หรือ บริษัทที่รับโอนสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งรับโอนสินทรัพย์จากผู้ขายสินทรัพย์และออกหลักทรัพย์ขายแก่ผู้ลงทุน
สถาบันการเงินอื่น หมายถึง
(๑)
ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(๒) บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
บริษัท หมายถึง บริษัทจำกัด
บริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น
งานสนับสนุน หมายถึง
งานปฏิบัติการด้านธนาคารพาณิชย์ที่เป็นการเอื้ออำนวยต่อการดำเนินงานปกติ
รวมถึงงานบัญชีและการเงิน งานเทคโนโลยีสารสนเทศ งานตรวจสอบภายใน
งานด้านกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance) งานบริหารจัดการในธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
หรืองานสนับสนุนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับงานดังกล่าว
งานเทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง
งานเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นงานสนับสนุนการให้บริการทางการเงิน เช่น
งานด้านการประมวลผลข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์
การพัฒนาและจำหน่ายระบบงานและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การจัดเก็บข้อมูล
และการบำรุงรักษาและการรักษาความปลอดภัยทรัพยากรคอมพิวเตอร์ เช่น
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ระบบงานและโปรแกรม ระบบเครือข่ายสื่อสาร และข้อมูล
เป็นต้น
๔.๓
ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น ต้องปฏิบัติดังนี้
(๑)
กำหนดนโยบายการให้บริการด้านงานสนับสนุนอย่างชัดเจน
โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์ โดยคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์อาจมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารหรือคณะกรรมการที่รับผิดชอบด้านงานสนับสนุนของธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ให้ความเห็นชอบได้
(๒)
ประเมินศักยภาพและความเพียงพอของทรัพยากรของธนาคารพาณิชย์ในการให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ต้องระมัดระวังไม่ให้บริการดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานและการให้บริการตามปกติของธนาคาร
และไม่ให้ปริมาณของงานให้บริการดังกล่าวมีมากเกินบทบาทของงานด้านการธนาคารพาณิชย์
หรือเกินกว่าความสามารถของธนาคารพาณิชย์ในการให้บริการได้ด้วยตนเอง โดยการให้บริการดังกล่าวจะต้องไม่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องว่าจ้างผู้อื่นมารับช่วงให้บริการแทน
(๓)
ประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการให้บริการด้านงานสนับสนุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงต่อการดำเนินงาน ภาพลักษณ์ของธนาคารพาณิชย์
และความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้ง
กำหนดนโยบายการบริหารความเสี่ยงไว้อย่างชัดเจน
(๔)
จัดทำสัญญาที่กำหนดรายละเอียดประเภทของการให้บริการ ขั้นตอนหรือวิธีการดำเนินการ
ขอบเขตความรับผิดชอบ การคิดค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการระหว่างกัน
ระบบการควบคุมภายใน และระบบการรักษาความปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูลและทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์และผู้รับบริการ
(๕)
จัดให้มีการบันทึกบัญชีรายได้จากการให้บริการดังกล่าวให้ถูกต้อง ทั้งนี้
การคิดค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการจากการให้บริการดังกล่าวต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม
(๖)
จัดให้มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมและเพียงพอ มีการจัดทำแผนฉุกเฉินทดสอบ
และปรับปรุงแผนฉุกเฉินดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ
(๗) เก็บรักษาเอกสารตาม (๑) ถึง (๖)
ไว้ที่ธนาคารพาณิชย์ เพื่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา
เมื่อธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กล่าวใน
(๑) ถึง (๗) ครบถ้วนแล้ว
ให้ถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่นได้
๔.๔ ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตตามข้อ ๔.๓
ต้องตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามข้อ ๔.๓ โดยเคร่งครัด
รวมทั้งตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่มีกำหนดไว้ด้วย
๔.๕
หากธนาคารแห่งประเทศไทยพบหรือทราบว่าการปฏิบัติของธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาต
ไม่เป็นไปตามที่กำหนดในข้อ ๔.๓ หรือข้อ ๔.๔
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ธนาคารพาณิชย์ชี้แจงเหตุผลและข้อเท็จจริงของการปฏิบัติดังกล่าว
หากธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้ว เห็นสมควร อาจกำหนดเงื่อนไขใดๆ
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติเพิ่มเติม หรือยกเลิกการให้อนุญาตก็ได้
๕[๑].
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙
ธาริษา
วัฒนเกส
รองผู้ว่าการ
ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน
รักษาการแทน
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
โสรศ/ผู้จัดทำ
๔
ธันวาคม ๒๕๔๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๒๒ ง/หน้า ๘/๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ |
513560 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
๑.๑
เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการประกอบธุรกิจและเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับธนาคารพาณิชย์
รวมทั้งลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์
๑.๒
เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
๑.๓
เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์สามารถระบุ
วัด ควบคุม ติดตาม
และบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้ได้รวมทั้งสามารถดำรงเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสม
๑.๔
เพื่อสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์มีการเปิดเผยข้อมูล
ส่งเสริมให้ตลาดมีความโปร่งใสและมีหลักธรรมาภิบาลที่ดี
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจ
การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ตามหลักเกณฑ์ในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจ
๔. เนื้อหา
๔.๑ หลักการ
๔.๑.๑
ธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์เป็นวิธีการหนึ่งในการโอนความเสี่ยงด้านเครดิต
ซึ่งรูปแบบและโครงสร้างของธุรกิจดังกล่าวนั้นจะมีความหลากหลายและแตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ขายสินทรัพย์
ผู้ลงทุนในหลักทรัพย์ ประเภทและคุณภาพของสินทรัพย์เป็นหลัก
ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมในโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
นอกจากจะเป็นผู้ขายสินทรัพย์ (Originator) หรือเป็นผู้ลงทุนในตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลเฉพาะกิจและบริษัทที่รับโอนสินทรัพย์
(Investor) แล้ว ยังอาจทำหน้าที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น
การเป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียในลำดับแรก (First loss facility provider)
ผู้ให้บริการเป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้(Servicer/Back-up
servicer) เป็นต้น ซึ่งการทำหน้าที่ต่าง ๆ ดังกล่าว
ธนาคารพาณิชย์จะต้องรับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์จึงต้องดำรงเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงด้านต่างๆ
ของแต่ละหน้าที่อย่างถูกต้องและเหมาะสม
๔.๑.๒
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตเป็นการทั่วไปให้ธนาคารพาณิชย์
(ยกเว้นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย) สามารถทำหน้าที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์ (Originator)
เพื่อจัดการ โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์เพื่อเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
และทำหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ได้ เช่น
ผู้ให้บริการเป็นตัวแทน/ตัวแทนสำรองเรียกเก็บหนี้ เป็นต้น
ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดในประกาศฉบับนี้
การอนุญาตดังกล่าวไม่ครอบคลุมถึงธุรกรรม Synthetic securitisation[๑]
ซึ่งธนาคารพาณิชย์ที่ต้องการโอนความเสี่ยงด้านเครดิตจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนทำธุรกรรมและมีเกณฑ์การกำกับดูแลแยกต่างหากจากประกาศฉบับนี้
โดยธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์เพื่อจัดการโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ต้องแจ้งให้สายกำกับสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน
๑๕ วันนับตั้งแต่วันทำธุรกรรมทุกโครงการ
สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ได้เป็นผู้ขายสินทรัพย์ซึ่งทำหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้
ไม่ต้องแจ้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายหลังการดำเนินการ
สำหรับธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ได้เป็นรายกรณี
โดยธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ต้องขออนุญาตไปยังสายกำกับสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทยทุกโครงการ
เนื่องจากธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยมีขอบเขตการทำธุรกรรมที่จำกัดกว่า
๔.๑.๓
ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ต้องสามารถระบุ
วัด ควบคุม ติดตาม และบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
ทั้งนี้คณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ควรจะต้องมีการกำหนดนโยบายและวิธีการในการประกอบธุรกิจต่าง
ๆ รวมทั้งการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน
เพื่อให้การประกอบธุรกิจดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม
๔.๑.๔
ธนาคารพาณิชย์ควรพิจารณาถึงปริมาณสูงสุดของสินทรัพย์แต่ละประเภทที่จะทำการโอนไปยังนิติบุคคลเฉพาะกิจหรือบริษัทที่รับโอนสินทรัพย์
รวมทั้งควรกำหนดวงเงินรวมหรือเพดานสูงสุดของการลงทุนในหลักทรัพย์ของนิติบุคคลเฉพาะกิจหรือบริษัทที่รับโอนสินทรัพย์ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ในประเภทธุรกิจหรือกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
เพื่อมิให้มีปริมาณมากเกินสมควร ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจกำหนดหลักเกณฑ์ในการควบคุมปริมาณดังกล่าวได้
๔.๑.๕
ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์เพื่อจัดการโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
และธนาคารพาณิชย์ที่มิได้เป็นผู้ขายสินทรัพย์แต่ทำหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
เช่น ผู้ให้บริการเป็นตัวแทน/ตัวแทนสำรองเรียกเก็บหนี้เป็นต้น
ต้องจัดทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น
ในรูปแบบของรายงานผลการดำเนินงานประจำปีของธนาคารพาณิชย์(Annual report)
หรือในรูปแบบอื่นเพื่อเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างและรูปแบบของธุรกิจดังกล่าวรวมทั้งความเสี่ยงที่ได้รับจากการมีส่วนเกี่ยวข้องในหน้าที่ต่างๆ
ในการประกอบธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์และบุคคลภายนอกทราบ
เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวมีความซับซ้อนแตกต่างกัน และหน้าที่ต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจดังกล่าวส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ได้รับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
โดยให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในข้อ ๔.๒.๖
๔.๑.๖ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ขายสินทรัพย์
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นลงทุนในตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลเฉพาะกิจหรือบริษัทที่รับโอนสินทรัพย์โดยมีสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นสินทรัพย์อ้างอิงได้ไม่เกินกว่าร้อยละ
๑๐ ของมูลค่าตราสารดังกล่าวที่มีอยู่ในแต่ละระดับ (Tranche) และในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์ทำหน้าที่รับประกันการจำหน่ายตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลเฉพาะกิจหรือบริษัทที่รับโอนสินทรัพย์แบบรับประกันทั้งจำนวน
(Firm underwrite) และต้องลงทุนในตราสารดังกล่าวในปริมาณเกินกว่าร้อยละ
๑๐ ของมูลค่าตราสารที่อยู่ในแต่ละระดับให้ธนาคารพาณิชย์จำหน่ายตราสารออกไปภายใน ๙๐
วัน เพื่อให้ปริมาณที่ถืออยู่ไม่เกินกว่าร้อยละ ๑๐ ของมูลค่าตราสารที่อยู่ในแต่ละระดับ
อย่างไรก็ดี
หากธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบพบว่าธนาคารพาณิชย์ได้ลงทุนในตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลเฉพาะกิจหรือบริษัทที่รับโอนสินทรัพย์อื่นโดยส่วนใหญ่หรือทั้งหมด
โดยที่ธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้เป็นผู้ขายสินทรัพย์
แต่ธนาคารพาณิชย์นั้นได้เคยเป็นผู้ให้สินเชื่อหรือลงทุนในลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงของตราสารดังกล่าวมาก่อนหน้านี้
เนื่องจากมีเจตนาหลีกเลี่ยงเกณฑ์การกำกับดูแลที่กล่าวข้างต้น
ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์นั้นลดปริมาณการถือตราสารดังกล่าวหรือให้นำมูลค่าตราสารส่วนที่เกินกว่าอัตราที่กำหนดทั้งจำนวนหักออกจากเงินกองทุนทั้งสิ้นของธนาคารพาณิชย์ได้
๔.๒ หลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจ
สาระของหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจ ประกอบด้วย
เรื่อง
หัวข้อ
คำจำกัดความ
การอนุญาต
หลักเกณฑ์การกำกับการประกอบธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็น
หลักทรัพย์
- การขายสินทรัพย์
- การรับประกันส่วนสูญเสียของสินทรัพย์แก่ผู้ลงทุน
- การให้บริการเป็นตัวแทน/ตัวแทนสำรองเรียกเก็บหนี้อัน
เนื่องมาจากการทำธุรกรรม Securitisation
- การให้สภาพคล่องชั่วคราวแก่นิติบุคคลเฉพาะกิจหรือบริษัทที่รับโอนสินทรัพย์
- การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์
- การลงทุนในตราสาร Securitisation
- การทำหน้าที่อื่น
การขออนุญาตเป็นรายกรณี
การซื้อสินทรัพย์คืนจาก SPV
- Representations and warranties
- Clean-up call
หลักเกณฑ์อื่นๆ
- การเปิดเผยข้อมูล
- การปฏิบัติตามกฎหมายหรือแนวปฏิบัติอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้อง
- อำนาจในการลงโทษธนาคารพาณิชย์
- การกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติม
๔.๒.๑
๔.๒.๒
๔.๒.๓
๔.๒.๓
(๑)
๔.๒.๓
(๒)
๔.๒.๓
(๓)
๔.๒.๓
(๔)
๔.๒.๓
(๕)
๔.๒.๓
(๖)
๔.๒.๓
(๗)
๔.๒.๔
๔.๒.๕
๔.๒.๕
(๑)
๔.๒.๕
(๒)
๔.๒.๖
๔.๒.๗
๔.๒.๘
๔.๒.๙
๔.๒.๑ คำจำกัดความ
ในประกาศฉบับนี้
Special purpose vehicle (SPV) หมายความว่า
นิติบุคคลเฉพาะกิจตามกฎหมายว่าด้วยนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
หรือบริษัทที่รับโอนสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งรับโอนสินทรัพย์จากผู้ขายสินทรัพย์และออกหลักทรัพย์ขายแก่ผู้ลงทุน
การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitisation)
หมายความว่า การที่ผู้ขายสินทรัพย์ทำ การโอนสินทรัพย์ไปยัง SPV
และ SPV ออกหลักทรัพย์ขายแก่ผู้ลงทุนโดยกำหนดให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ถือหลักทรัพย์ขึ้นอยู่กับเงินสดที่เป็นรายรับที่เกิดจากสินทรัพย์ที่รับโอนมา
ตราสาร Securitisation หมายความว่า
ตราสารที่ออกโดย SPV ซึ่งจะออกได้ทั้งในรูปตราสารหนี้หรือหน่วยลงทุน
สินทรัพย์อ้างอิง หมายความว่า
สิทธิเรียกร้องหรือสิทธิอื่นใดที่ก่อให้เกิดกระแสรายรับขึ้นในอนาคตไม่ว่ารายรับนั้นจะมีความแน่นอนหรือไม่ก็ตาม
เช่น สัญญาให้กู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย หรือสิทธิตามสัมปทานสร้างถนนเก็บค่าผ่านทาง
และให้เป็นไปตามคำจำกัดความในพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๔๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติมทั้งนี้ ไม่ให้รวมถึงสินทรัพย์อ้างอิงดังต่อไปนี้
๑. ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์
(บัญชีมาร์จิ้น)[๒]
๒.
ตราสารที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ผู้ลงทุน[๓]
๓. ตราสาร Collateralized debt
obligations (CDOs)
๔.
อนุพันธ์ทางการเงินและธุรกรรมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงทุกประเภท
๕.
สินทรัพย์อื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
สำนักงาน ก.ล.ต. หมายถึง
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
๔.๒.๒ การอนุญาต
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตเป็นการทั่วไปให้ธนาคารพาณิชย์
ยกเว้นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยประกอบธุรกิจ Securitisation ภายใต้หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๑)
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดทำแผนงานรองรับการประกอบธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม Securitisation
เป็นลายลักษณ์อักษรและได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์ซึ่งต้องระบุรายละเอียดดังต่อไปนี้
๑.๑) ความพร้อมด้านระบบงาน เช่น
นโยบายการประกอบธุรกิจ วิธีการดำเนินการ ขอบเขตความรับผิดชอบ
การกำกับดูแลการปฏิบัติงาน การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน
การจัดทำและจัดเก็บเอกสารหลักฐาน เป็นต้น
๑.๒) ความพร้อมด้านบุคลากร
๒)
กรณีธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ขายสินทรัพย์เพื่อจัดการโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์เพื่อเสนอต่อสำนักงาน
ก.ล.ต. ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้
๒.๑) ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์
ต้องไม่ถือหุ้นใน SPV เกินกว่าร้อยละ ๑๐ ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด
๒.๒)
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดทำหนังสือแจ้งการประกอบธุรกิจดังกล่าวให้สายกำกับสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน ๑๕ วันนับตั้งแต่วันทำธุรกรรม
ทั้งนี้หนังสือดังกล่าวต้องมีเนื้อหาสรุปลักษณะของธุรกิจ Securitisation
ซึ่งมีสาระสำคัญอย่างน้อยดังต่อไปนี้
(๑) ลักษณะโครงสร้างของธุรกิจ Securitisation
ประเภทสินทรัพย์ที่โอนไปยัง SPV และหน้าที่ต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Securitisation
(๒) โครงสร้างการถือหุ้นใน SPV
รวมทั้งโครงสร้างของหลักทรัพย์ที่ SPV เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุน
(๓)
เงื่อนไขในการซื้อคืนสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ผู้ขายรวมทั้งหลักเกณฑ์หรือลำดับในการชำระคืนดอกเบี้ยหรือเงินต้นให้แก่ผู้ลงทุนและผู้ให้บริการต่างๆ
(๔) หากธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์ทำ
หน้าที่อื่นนอกเหนือจากการทำหน้าที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์ เช่น
ผู้ให้บริการเป็นตัวแทน/ตัวแทนสำรองเรียกเก็บหนี้เป็นต้น
ให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งสรุปขอบเขตหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ในการประกอบธุรกิจดังกล่าวให้สายกำกับสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบ
และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดสำหรับหน้าที่นั้นๆ ด้วย
๓)
กรณีธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจที่ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต้องรับความเสี่ยงทางการเงิน
ได้แก่
ก) เป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียของสินทรัพย์แก่ผู้ลงทุน
(Provider of credit enhancement) หมายถึง
การกระทำใดๆ ที่ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบในส่วนสูญเสียให้แก่ SPV
หรือผู้ลงทุนในตราสาร Securitisation
ข)
เป็นผู้ให้บริการเป็นตัวแทน/ตัวแทนสำรองเรียกเก็บหนี้อันเนื่องมาจากการทำธุรกรรม Securitisation
(Servicer/Back-up servicer) ในกรณีที่ขอบเขตการให้บริการดังกล่าวผูกพันให้ธนาคารพาณิชย์เข้ารับผิดชอบในภาระหนี้แทนลูกหนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนจากการทำหน้าที่ดังกล่าว
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำ
หน้าที่ดังกล่าวต้องมีคุณสมบัติและปฏิบัติตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้
๓.๑)
มีฐานะการเงินและฐานะการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ดี
สามารถกันเงินสำรองได้ครบถ้วนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์และภาระผูกพันไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ตลอดจนสามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินอื่นใดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งการเป็นกรณีพิเศษ
๓.๒)
มีระบบงานซึ่งทำให้คณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์สามารถติดตามความเสี่ยงที่เกิดจากการทำธุรกรรม
เช่น สัญญาณเตือนภัยเกี่ยวกับผลประกอบการของภาคธุรกิจของสินทรัพย์อ้างอิง
ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ปัญหาเกี่ยวกับระบบงานและการควบคุมภายใน
การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบ เป็นต้น
๔) กรณีธนาคารพาณิชย์เป็นผู้บริหารโครงการ Securitisation
(Transaction administrator) ได้แก่ การทำหน้าที่จัดสรร
และบริหารรายรับจากสิทธิเรียกร้องที่โอนให้แก่ผู้ออกตราสาร Securitisation
ให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในสัญญาการบริหารจัดการโครงการ
สำหรับธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจ
Securitisation ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยนั้นขออนุญาตไปยังสายกำกับสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาอนุญาตเป็นรายกรณี
๔.๒.๓
หลักเกณฑ์การกำกับการประกอบธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจ
Securitisation ตามหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ในการประกอบธุรกิจ Securitisation
ดังต่อไปนี้
๑)
การขายสินทรัพย์เพื่อจัดการโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์สามารถตัดสินทรัพย์ที่ขายออกจากบัญชีได้และไม่ต้องดำรงเงินกองทุนสำหรับสินทรัพย์อ้างอิงที่ขายไป
ถ้าการขายนั้น ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์สามารถตัดสินทรัพย์ที่โอนออกจากบัญชีของธนาคารพาณิชย์ได้ทั้งหมดหรือบางส่วน
ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๑.๑)
ธนาคารพาณิชย์ต้องขายสินทรัพย์โดยใช้ราคายุติธรรม (Fair value)
ตามที่กำหนดในมาตรฐานการบัญชี
๑.๒) สำหรับเงื่อนไขในการขายนั้น
ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๑)
ธนาคารพาณิชย์ต้องโอนความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์และผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือครองสินทรัพย์ทั้งหมดไปยังบุคคลอื่น
ทั้งนี้
ยกเว้นในกรณีที่ผู้ขายสินทรัพย์ยังมีความเสี่ยงที่เกิดจากการทำหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
Securitisation เช่น การเป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียในลำดับแรก
การเป็นผู้ลงทุนในหลักทรัพย์ เป็นต้น
(๒)
ผู้โอนสินทรัพย์ต้องไม่มีอำนาจควบคุมในสินทรัพย์ที่ได้โอนออกไป
รวมทั้งในกรณีที่ผู้โอนสินทรัพย์ล้มละลาย
เจ้าหนี้ของผู้โอนสินทรัพย์ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ที่ได้โอนไปแล้ว
(๓)
ผู้โอนสินทรัพย์ต้องไม่มีภาระที่จะต้องรับผิดชอบต่อผู้ลงทุนสำหรับคุณภาพของสินทรัพย์นั้น
(๔) SPV และผู้ลงทุนมีสิทธิในการนำเอาสินทรัพย์ไปจำนำหรือจำนองต่อได้
(๕)
ผู้ขายสินทรัพย์ต้องไม่มีข้อตกลงในการซื้อคืนสินทรัพย์
ยกเว้นเงื่อนไขการซื้อคืนสินทรัพย์สำหรับกรณี Representations and
warranties และ Clean-up call ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดไว้
ในข้อ ๔.๒.๕
(๖)
ในสัญญาการขายสินทรัพย์ต้องไม่มีข้อความที่แสดงว่าธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์สามารถเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์อ้างอิงเพื่อปรับเปลี่ยนให้อันดับความน่าเชื่อถือของกลุ่มสินทรัพย์อ้างอิงดีขึ้น
ยกเว้นในกรณี SPV ขายสินทรัพย์ให้แก่นิติบุคคลอื่นที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์ด้วยราคายุติธรรม
นอกจากนี้ ในสัญญาต้องไม่มีข้อความที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์เพิ่มความรับผิดชอบในส่วนสูญเสียในลำดับแรก
(First loss) หรือข้อความที่กำหนดให้มีการเพิ่มผลตอบแทนที่จ่ายให้แก่ผู้ลงทุนหรือผู้ให้บริการรายอื่นที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์
เพื่อชดเชยการเสื่อมคุณภาพของสินทรัพย์อ้างอิง
นอกจากนี้ หากแนวปฏิบัติทางการบัญชีของธุรกรรมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ของสภาวิชาชีพบัญชีมีผลบังคับใช้
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการตัดสินทรัพย์ทั้งหมดหรือบางส่วน (Derecognition)
ออกจากบัญชีของธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์ตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีของสภาวิชาชีพบัญชีแทน
๒) การรับประกันส่วนสูญเสียของสินทรัพย์แก่ผู้ลงทุน
(Provider of credit enhancement)
การรับประกันส่วนสูญเสียของสินทรัพย์แก่ผู้ลงทุน
มี ๒ รูปแบบ คือ
(ก)
การเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Guarantor)
หมายถึงธนาคารพาณิชย์ที่ทำหน้าที่ค้ำประกันการกู้ยืมเงินให้แก่ลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงรายใดรายหนึ่งในพอร์ตของสินทรัพย์ให้แก่
SPV ในกรณีที่ลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงผิดนัดชำระหนี้
ซึ่งจะส่งผลให้อันดับความน่าเชื่อถือของตราสาร Securitisation
มีคุณภาพที่ดีขึ้น
(ข) การเป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียในลำดับแรก (First
loss facility) หมายถึง
การที่ธนาคารพาณิชย์ทำหน้าที่เป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียในลำดับแรกให้แก่ผู้ลงทุนในตราสาร
Securitisation รายอื่นๆ
ในกรณีที่ลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นได้ตามกำหนด
ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์
ธนาคารพาณิชย์ผู้ให้สินเชื่อด้อยสิทธิ์แก่ SPV หรือหน้าที่อื่นที่ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนสูญเสียของกลุ่มของสินทรัพย์อ้างอิงเป็นลำดับแรก
เช่น
การที่ธนาคารพาณิชย์เข้าไปรับภาระหนี้แทนลูกหนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทน/ตัวแทนสำรองเรียกเก็บหนี้
เป็นต้น
ธนาคารพาณิชย์จะต้องประเมินคุณภาพของสินทรัพย์
ประวัติการผิดนัดชำระหนี้และอัตราหนี้สูญของสินทรัพย์อ้างอิงกลุ่มนี้
เพื่อประเมินความเพียงพอของปริมาณส่วนสูญเสียในลำดับแรก (First loss
facility) โดยธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีบุคคลภายนอกหรือหน่วยงานอิสระรับรองความเพียงพอของปริมาณส่วนสูญเสียในลำดับแรก
ดังนี้
- โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่ต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน
ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์ต้องจัดให้มีการประเมินมูลค่านี้โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน
ก.ล.ต. หรือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ เช่น Fitch
Ratings Standard&Poors และ Moodys เป็นต้น
- โครงการที่มิได้ต้องการให้มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์ต้องดำเนินการให้มีหน่วยงานอิสระ
(Independence unit)หรือผู้ตรวจสอบภายใน (Internal
control unit) หรือคณะกรรมการตรวจสอบของธนาคารพาณิชย์นั้นทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินความเพียงพอของมูลค่าของส่วนสูญเสียนี้
วงเงินรวมสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์รับประกันส่วนสูญเสียในลำดับแรก
(First loss facility) ให้แก่ SPV ทุกรายรวมกัน
ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์
การทำหน้าที่ทั้ง ๒ รูปแบบดังกล่าวข้างต้น
ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๒.๑)
ต้องระบุภาระหรือมูลค่าของความสูญเสียที่ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบไว้ให้ชัดเจนในสัญญา
และธนาคารพาณิชย์ต้องไม่เข้ารับผิดชอบในส่วนสูญเสียที่มากกว่าจำนวนที่ได้ตกลงไว้
๒.๒) ต้องระบุช่วงเวลาในการรับประกันไว้ให้ชัดเจน
โดยไม่จำเป็นต้องระบุเป็นวันที่ที่สัญญาจะสิ้นสุดก็ได้ เช่น
กำหนดให้เป็นวันที่มีการจ่ายชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ผู้ลงทุนเต็มจำนวนแล้ว
เป็นต้น
๒.๓)
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงที่ต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกับแนวปฏิบัติในการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
โดยต้องได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสอดคล้องกับราคาตลาด (Arms length
basis)
๒.๔)
หากธนาคารพาณิชย์ต้องการยกเลิกสัญญาการเป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียของสินทรัพย์
จะต้องแจ้งให้ SPV ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย ๙๐ วัน เพื่อให้ SPV
สามารถหาบุคคลอื่นมาทำหน้าที่เป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียแทน
การดำรงเงินกองทุน
(๑) ธนาคารพาณิชย์ที่ทำ หน้าที่เป็นผู้ค้ำ
ประกันลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Guarantor) ต้องดำรงเงินกองทุนโดยใช้น้ำหนักความเสี่ยงเท่ากับน้ำหนักความเสี่ยงของลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงนั้น
และใช้ค่าแปลงสภาพ (Credit conversion factor) เท่ากับ
๑
(๒)
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียในลำดับแรก (First
loss facility) ให้ปฏิบัติดังนี้
- กรณีที่ธนาคารพาณิชย์มิได้เป็นผู้ขายสินทรัพย์
ให้ธนาคารพาณิชย์นำมูลค่าที่ต้องรับผิดชอบต่อ SPV แต่ละรายหักออกจากเงินกองทุนทั้งสิ้นของธนาคารพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ทำธุรกรรม
- กรณีที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ขายสินทรัพย์
ธนาคารพาณิชย์ต้องนำมูลค่าที่ต้องรับผิดชอบต่อ SPV แต่ละรายหักออกจากเงินกองทุนทั้งสิ้นของธนาคารพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ทำธุรกรรม
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ปริมาณเงินกองทุนที่จะถูกหักต่อ SPV
แต่ละรายมีจำนวนไม่เกินกว่าปริมาณเงินกองทุนที่ต้องดำรงหากสินทรัพย์อ้างอิงที่โอนไปดังกล่าวยังอยู่ในบัญชีของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์
นอกจากนี้ หากพบว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจริงมีปริมาณมากกว่าปริมาณเงินกองทุนที่ดำรงไว้
ให้ธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์กันเงินสำรองเพิ่มเติมตามปริมาณของความสูญเสียที่เกิดขึ้นจริงอันเนื่องมาจากการเสื่อมคุณภาพของสินทรัพย์อ้างอิงจนเต็มมูลค่าที่ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบ
และหากผู้ตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าธนาคารพาณิชย์มีภาระหรือความเสี่ยงที่ต้องรับผิดชอบสูงกว่าจำนวนดังกล่าว
(Implicit support) ผู้ตรวจสอบสามารถสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนในปริมาณที่สูงขึ้นได้
การนับลูกหนี้รายใหญ่
(๑) ธนาคารพาณิชย์ที่ทำ หน้าที่เป็นผู้ค้ำ
ประกันลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Guarantor) ให้ถือว่าการค้ำประกันนั้นเป็นการก่อภาระผูกพัน
ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องนำจำนวนเงินตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว
รวมกับจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อลงทุนในกิจการ
หรือก่อภาระผูกพันเพื่อลูกหนี้รายนั้น เมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่
๑ ของธนาคารพาณิชย์ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ
ลงทุนและก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน ลงวันที่ ๑๙ มกราคม
๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(๒) ธนาคารพาณิชย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียในลำดับแรก
(First loss facility) มีหลายรูปแบบ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติดังนี้
- กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ทำหน้าที่เป็นผู้ให้สินเชื่อด้อยสิทธิ์แก่
SPV หรือเป็นตัวแทน/ตัวแทนสำรองเรียกเก็บหนี้ที่มีการเข้าไปรับผิดชอบในภาระหนี้แทนลูกหนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่
SPV หรือเป็นผู้ให้สภาพคล่องชั่วคราวแก่ SPV
โดยที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๔)
ให้ธนาคารพาณิชย์นับบุคคลดังต่อไปนี้
ในการคำนวณลูกหนี้รายใหญ่ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ
ลงทุนและก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน ลงวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๙
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(ก) SPV
มูลค่าจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อประเภทด้อยสิทธิ์หรือจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เข้าไปรับภาระหนี้แทนลูกหนี้
หรือจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สภาพคล่องชั่วคราวแก่ SPV นั้น
เมื่อรวมกับจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ
ลงทุนในกิจการหรือก่อภาระผูกพันเพื่อ SPV รายนั้น
เมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ของธนาคารพาณิชย์
(ข) ลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงเฉพาะกรณีที่เป็นลูกหนี้รายใหญ่
(Corporate loan)
ให้ธนาคารพาณิชย์คำนวณเงินให้สินเชื่อประเภทด้อยสิทธิ์แก่
SPV หรือจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เข้าไปรับภาระหนี้แทนลูกหนี้
หรือจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สภาพคล่องชั่วคราวแก่ SPV ที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ
๔) สำหรับลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงแต่ละราย โดยวิธีการ Proportionate
เงินให้สินเชื่อดังกล่าว ตามอัตราส่วนของลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงในกลุ่ม
โดยสัดส่วนของเงินให้สินเชื่อในลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงแต่ละราย เมื่อรวมกับจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ
ลงทุนในกิจการ หรือก่อภาระผูกพันเพื่อสินทรัพย์อ้างอิงหรือลูกหนี้รายนั้นแล้ว
เมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆ ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดทำระบบรายงานภายในเพื่อควบคุมดูแลไม่ให้ธนาคารพาณิชย์มีความเสี่ยงอันเกิดจากสินทรัพย์อ้างอิงรายใดรายหนึ่งเมื่อ
สิ้นวันหนึ่ง ๆ เกินกว่าอัตราส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และต้องมีหลักฐานไว้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบหรือจัดส่งสำเนาให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
- กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ทำหน้าที่เป็นผู้ลงทุนในตราสารSecuritisation
ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบส่วนสูญเสียในลำดับแรก (First loss tranche)
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การนับลูกหนี้รายใหญ่ที่กำหนดไว้สำหรับผู้ลงทุนในตราสารSecuritisation
(Investor) ในข้อ ๖)
- สำหรับกรณีอื่น ๆ ให้ธนาคารพาณิชย์หารือไปยังสายกำกับสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณาเป็นรายกรณี
๓)
การให้บริการเป็นตัวแทน/ตัวแทนสำรองเรียกเก็บหนี้อันเนื่องมาจากการทำธุรกรรม Securitisation
(Servicer/Back-up servicer) การให้บริการเป็นตัวแทน/ตัวแทนสำรองเรียกเก็บหนี้อันเนื่องมาจากการทำธุรกรรม
Securitisation หมายถึง
การให้บริการเป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ให้แก่ SPV หรือการเป็นตัวแทนสำรองเรียกเก็บหนี้ในกรณีที่ตัวแทนเรียกเก็บหนี้ล้มละลายหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ซึ่งครอบคลุมถึงการทำหน้าที่บริหารสินทรัพย์ให้แก่ SPV การลงทุนหรือจัดหาผลประโยชน์เพิ่มเติมจากสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปยัง
SPV การเป็นตัวแทนให้แก่ SPV ในการทวงถามหรือฟ้องร้องเพื่อบังคับคดีกับลูกหนี้
รวมทั้ง การจัดทำบัญชี รายงาน เก็บรักษาเอกสาร
ชำระภาษีหรือเบี้ยประกันภัยตลอดจนหน้าที่อื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บหนี้เงินกู้นั้น
การให้บริการดังกล่าวธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๓.๑)
ค่าตอบแทนที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับต้องเป็นธรรมและสอดคล้องกับราคาตลาด
รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ต้องได้รับค่าตอบแทนจากการทำหน้าที่ดังกล่าวในลำดับแรก
๓.๒) ธนาคารพาณิชย์ต้องไม่เข้ารับความเสี่ยงจากการเป็นผู้ให้บริการเป็นตัวแทน/ตัวแทนสำรองเรียกเก็บหนี้
เช่น เข้าไปมีส่วนรับผิดชอบในภาระหนี้แทนลูกหนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เป็นต้น
หากธนาคารพาณิชย์เข้าไปรับผิดชอบในภาระหนี้แทนลูกหนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้
ให้ถือว่าธนาคารพาณิชย์นั้นทำหน้าที่เป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียในลำดับแรก (First
loss facility) ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับในเรื่องเงินกองทุนและการกำกับลูกหนี้รายใหญ่สำหรับกรณีการรับประกันส่วนสูญเสียในลำดับแรกด้วย
๓.๓)
ธนาคารพาณิชย์ต้องมีระบบงานรองรับและดูแลความเสี่ยงด้านปฏิบัติการอย่างน้อยในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑) นโยบายด้านปฏิบัติการ ด้านบัญชี
และการควบคุมภายในต้องกำหนดให้สอดคล้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบในการให้บริการเรียกเก็บหนี้ที่ได้ทำไว้กับคู่สัญญา
(๒) ต้องมีระบบงานและระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ
(๓)
จัดให้มีระบบการบัญชีและการจัดเก็บเอกสารหลักฐานของสัญญาการกู้ยืมเงินในกิจการตัวแทนเรียกเก็บหนี้
แยกต่างหากจากกิจการอื่นของธนาคารพาณิชย์
(๔)
จัดทำรายงานในกิจการตัวแทนเรียกเก็บหนี้แต่ละรายออกจากกันตามสัญญาระหว่างธนาคารพาณิชย์กับผู้ว่าจ้างต่างๆ
ซึ่งรวมถึง SPV แต่ละราย
เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์และผู้ว่าจ้างต่างๆ
สามารถตรวจสอบและติดตามดูแลผลการดำเนินงานได้
๔) การให้สภาพคล่องชั่วคราวแก่ SPV
(Provider of liquidity facility)
การให้สภาพคล่องชั่วคราวแก่ SPV
หมายถึง การให้สินเชื่อแก่ SPV เพื่อนำไปจ่ายค่าดอกเบี้ยหรือเงินต้นแก่ผู้ลงทุนตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้
ในกรณีที่ช่วงเวลาที่ได้รับดอกเบี้ยหรือเงินต้นจากสินทรัพย์อ้างอิงกับช่วงเวลาที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ผู้ลงทุนไม่ตรงกันโดยการให้สินเชื่อดังกล่าวมิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการรับส่วนสูญเสีย
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๔.๑)
ธนาคารพาณิชย์ผู้ให้สินเชื่อในกรณีนี้ต้องไม่มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ด้อยสิทธิ์กล่าวคือ
SPV ต้องชำระเงินคืนให้แก่ธนาคารพาณิชย์ทันทีที่ได้รับชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นคืนจากสินทรัพย์อ้างอิง
๔.๒) ธนาคารพาณิชย์ผู้ให้สินเชื่อต้องได้รับชำระเงินคืนภายในระยะเวลา
๓ เดือนนับจากวันที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ
หรืออาจได้รับชำระเงินคืนหลังจากระยะเวลาที่กำหนดไว้ได้ หากธนาคารพาณิชย์สามารถพิสูจน์ได้ว่าการได้รับชำระเงินคืนหลังจากระยะเวลาดังกล่าวนั้น
ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการด้อยคุณภาพของสินทรัพย์อ้างอิง
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ที่ทำ
หน้าที่ให้สภาพคล่องชั่วคราวแก่ SPV ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในเรื่องการดำรงเงินกองทุนและการนับลูกหนี้รายใหญ่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ได้กำหนดไว้สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้สินเชื่อด้วย
หากไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๔.๑)
หรือ ๔.๒)
หรือธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าการให้สินเชื่อดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้สภาพคล่องชั่วคราว
ให้ถือว่าธนาคารพาณิชย์ผู้ให้สินเชื่อทำหน้าที่เป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียในลำดับแรก
(First loss facility) และให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้สำหรับการทำหน้าที่เป็นผู้รับประกันส่วนสูญเสียในลำดับแรก
(First loss facility) อย่างเคร่งครัดด้วย
๕) การจัดจำหน่ายตราสาร Securitisation
(Underwriter)
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๕.๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจการจัดจำหน่ายตราสารแห่งหนี้
ตามที่ระบุในหนังสือที่ ธปท.สนส.(๑๑)ว. ๒๑๒๒/๒๕๔๕ ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๕ เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่ คุณสมบัติและข้อกำหนดในการจัดทำแผนงานรองรับ
การประกอบธุรกิจดังกล่าว เช่น ระเบียบวิธีการบริหารความเสี่ยง ระบบควบคุมภายใน
ระบบ การจัดการและระบบบัญชี เป็นต้น
๕.๒)
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์เป็นผู้จัดจำหน่ายตราสารSecuritisation
และต้องลงทุนในตราสารเนื่องจากการทำหน้าที่เป็นผู้รับประกันการจำหน่ายตราสาร
Securitisation แบบรับประกันทั้งจำนวน (Firm Underwrite)
ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์ต้องถือตราสารในปริมาณเกินกว่าร้อยละ
๑๐ ของมูลค่าตราสารที่อยู่ในแต่ละระดับให้ธนาคารพาณิชย์จำหน่ายตราสารดังกล่าวออกไปภายใน
๙๐ วัน เพื่อให้ปริมาณที่ถืออยู่ไม่เกินกว่าร้อยละ ๑๐
ของมูลค่าตราสารที่อยู่ในแต่ละระดับ
การดำรงเงินกองทุน
(๑) การรับประกันการจำ หน่ายตราสาร Securitisation
แบบรับประกันทั้งจำนวน (Firm Underwrite) ถือว่าเป็นการก่อภาระผูกพัน
ให้ธนาคารพาณิชย์ผู้จัดจำหน่ายตราสาร Securitisation ดำรงเงินกองทุนสำหรับภาระผูกพันตามสัญญารับประกันการจำหน่ายตราสาร
Securitisation ตั้งแต่วันที่ธนาคารพาณิชย์ทำสัญญารับประกันการจำหน่ายถึงวันปิดการเสนอขาย
โดยภาระผูกพันดังกล่าวมีค่าแปลงสภาพเทียบเท่ากับภาระผูกพันตามสัญญารับประกันการจำหน่ายตราสารหรือหลักทรัพย์ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดซึ่งเท่ากับ
๐.๕ และใช้น้ำหนักความเสี่ยงเท่ากับน้ำหนักความเสี่ยงของ SPV ซึ่งเป็นผู้ออกตราสาร
(๒)
หากธนาคารพาณิชย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับประกันการจำหน่ายตราสารSecuritisation
แบบรับประกันทั้งจำนวน (Firm Underwrite) ต้องลงทุนในตราสาร Securitisation
ที่เหลือจากการจำหน่ายนับตั้งแต่วันปิดการเสนอขายตราสารนั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกตราสารดังกล่าวไว้ในบัญชี Trading book
ของธนาคารพาณิชย์ และให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนตามหลักเกณฑ์ในหนังสือเวียนที่
ธปท.สนส.(๒๑)ว. ๒๗๓๘/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
แนวนโยบายการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านตลาดของสถาบันการเงินและแบบรายงานเกี่ยวข้องและที่แก้ไขเพิ่มเติม
การนับลูกหนี้รายใหญ่
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับประกันการจำหน่ายตราสาร
Securitisation แบบรับประกันทั้งจำนวน (Firm underwrite)
ถือเป็นการก่อภาระผูกพัน ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์จึงต้องนำจำนวนเงินตามสัญญารับประกันการจำหน่ายตราสารดังกล่าวรวมกับจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ
ลงทุนในกิจการ หรือก่อภาระผูกพันเพื่อ SPV รายนั้น
เมื่อสิ้นวันหนึ่ง ๆต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์
ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อลงทุนและก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
ลงวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
๖) การลงทุนในตราสาร Securitisation
(Investor)
ธนาคารพาณิชย์สามารถลงทุนในตราสาร Securitisation
ได้ ซึ่งตราสารSecuritisation อาจแบ่งเป็นหลายระดับ
โดยแต่ละระดับมีความเสี่ยงแตกต่างกัน การลงทุนในตราสาร ดังกล่าวธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๖.๑)
หากธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสารที่ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบส่วนสูญเสียในลำดับแรก
(First loss tranche) ให้บันทึกตราสารดังกล่าวไว้ในบัญชี Banking
Book ของธนาคารพาณิชย์
๖.๒)
หากธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสารที่ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบส่วนสูญเสียในลำดับสูงกว่า
First loss tranche ให้บันทึกตราสารดังกล่าวไว้ในบัญชี Trading
Book หรือบัญชี Banking Book ของธนาคารพาณิชย์
ตามคุณสมบัติของตราสาร
๖.๓) ในกรณีที่ผู้ลงทุนในตราสาร
เป็นธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์ให้แก่ SPV ด้วย
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์นั้นลงทุนในตราสาร
Securitisation ไม่เกินร้อยละ ๑๐
ของมูลค่าตราสารที่มีอยู่ในแต่ละระดับ ทั้งนี้
ไม่นับรวมการลงทุนในตราสารที่ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบส่วนสูญเสียในลำดับแรก (First
loss tranche)
การดำรงเงินกองทุน
การดำรงเงินกองทุนสำหรับการลงทุนในตราสาร Securitisation
แต่ละระดับมีความแตกต่างกัน เนื่องจากตราสารแต่ละระดับมีความเสี่ยงแตกต่างกัน
ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องมีการประเมินความเสี่ยงของตราสารที่ลงทุนและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดดังต่อไปนี้
(๑) ตราสารในบัญชี Trading
Book ของธนาคารพาณิชย์ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการดำรงเงินกองทุน
ตามหนังสือที่ ธปท. สนส.(๒๑)ว.๒๗๓๘/๒๕๔๖
ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๖ เรื่อง
แนวนโยบายการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านตลาดของสถาบันการเงินและแบบรายงานเกี่ยวข้อง
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(๒) ตราสารในบัญชี Banking Book
ของธนาคารพาณิชย์ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
ระดับของตราสาร
การดำรงเงินกองทุน
ธพ.
ที่ลงทุนในตราสาร
เป็น
Originator
ธพ.
ที่ลงทุนในตราสารไม่ได้เป็น Originator
ตราสารที่ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบส่วนสูญเสียในลำดับแรก
(First Loss Tranche)
นำมูลค่าหรือฐานะดังกล่าวหักออกจากเงินกองทุนทั้งสิ้นของธนาคารพาณิชย์
แต่ไม่เกินกว่าปริมาณเงินกองทุนที่ต้องดำรงหากสินทรัพย์ยังอยู่ในบัญชี
นำมูลค่าหรือฐานะดังกล่าวหักออกจากเงินกองทุนทั้งสิ้นของธนาคารพาณิชย์
ตราสารที่ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบส่วนสูญเสียในลำดับทีสอง
(Second Loss tranche or Mezzanine tranche)
๑) ในกรณีที่ตราสารSecuritisation
มีจำนวนทั้งหมด ๒ ระดับ
น้ำหนักความเสี่ยงของตราสารในระดับนี้มีค่าเท่ากับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์อ้างอิง
๒) ในกรณีที่ตราสารSecuritisationมีจำนวนทั้งหมด
๓ ระดับ ให้ดำเนินการดังนี้
๒.๑) ให้ ธพ.
ใช้น้ำหนักความเสี่ยงเท่ากับ ๑ หากมี First loss facility รองรับความเสี่ยงเพียงพอแล้ว
ซึ่งความเพียงพอของ First loss facility ต้องได้รับการประเมินจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือภายนอกหรือหน่วยงานอิสระของ
ธพ. ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์
๒.๒) ให้ ธพ.
นำมูลค่าหรือฐานะดังกล่าวหักออกจากเงินกองทุนทั้งสิ้นของธนาคารพาณิชย์หากพบว่า First
Lossfacility มีปริมาณไม่เพียงพอ
เหมือน Originator
ตราสารที่ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบส่วนสูญเสียในลำดับที่สาม
หรือลำดับที่สูงขึ้นไป (Senior or above Tranche)
น้ำหนักความเสี่ยงของ
ตราสารในระดับนี้มีค่าเท่ากับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์อ้างอิง
เหมือน Originator
การนับลูกหนี้รายใหญ่
ให้ธนาคารพาณิชย์ผู้ลงทุนในตราสาร Securitisation
นับบุคคลดังต่อไปนี้ในการคำนวณอัตราส่วนลูกหนี้รายใหญ่ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่องการกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ
ลงทุนและก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน ลงวันที่ ๑๙ มกราคม
๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(๑) SPV ผู้ออกตราสาร Securitisation
มูลค่าของตราสาร Securitisation
ที่ออกโดย SPV แต่ละรายที่ธนาคารพาณิชย์ลงทุน
เมื่อรวมกับจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุนในกิจการ
หรือก่อภาระผูกพันเพื่อ SPV รายนั้น เมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์
(๒)
ลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงเฉพาะกรณีที่เป็นลูกหนี้รายใหญ่ (Corporate
loan)
ให้ธนาคารพาณิชย์คำนวณเงินลงทุนในลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงแต่ละราย
โดยใช้วิธีการ Proportionate เงินลงทุนในตราสาร Securitisation
ตามอัตราส่วนของลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงในกลุ่ม
โดยสัดส่วนของเงินลงทุนในลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงแต่ละราย
เมื่อรวมกับจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุนในกิจการ
หรือก่อภาระผูกพันเพื่อสินทรัพย์อ้างอิงหรือลูกหนี้รายนั้นแล้ว เมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ลงทุนในตราสาร Securitisation
ต้องจัดทำระบบรายงานภายในเพื่อควบคุมดูแลไม่ให้ธนาคารพาณิชย์มีความเสี่ยงอันเกิดจากสินทรัพย์อ้างอิงรายใดรายหนึ่งเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
เกินกว่าอัตราส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และต้องมีหลักฐานไว้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
การกำหนดวงเงินรวมหรือเพดานสูงสุดในการลงทุน
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจกำหนดวงเงินรวมหรือเพดานสูงสุดในการลงทุนของธนาคารพาณิชย์ในตราสาร
Securitisation ที่มีปริมาณของสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ในประเภทธุรกิจหรือกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันมากเกินปริมาณที่สมควรได้
เพื่อป้องกันมิให้ธนาคารพาณิชย์มีความเสี่ยงในประเภทธุรกิจหรือกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่งๆ
มากเกินสมควร (Concentration risk)
๗. การประกอบธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม Securitisation
การประกอบธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม Securitisation ได้แก่
๑) นายทะเบียนหุ้นกู้ (Registrar)[๔]๒)
ผู้จัดการในการออกตราสาร Securitisation (Arranger)[๕]๓)
ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้/ผู้ดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน (Debentureholders
representative/Trustee)[๖]
๔) ที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial advisor)[๗]
๕) ผู้ให้บริการในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Swap
counterparty)[๘]
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำได้ไปก่อนหน้านี้แล้ว
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดไว้ในการอนุญาตอย่างเคร่งครัดด้วย
๔.๒.๔ การขออนุญาตเป็นรายกรณี
หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจที่กำหนดไว้ในประกาศฉบับนี้เป็นแนวทางการกำกับขั้นต่ำสำหรับธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
เนื่องจากไม่สามารถกำหนดเกณฑ์การกำกับให้รองรับธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ทุกรูปแบบและโครงสร้างได้
ดังนั้นหากโครงสร้างในการประกอบธุรกิจดังกล่าวของธนาคารพาณิชย์มิได้เป็นไปตามแนวทางและหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดไว้ในประกาศฉบับนี้
หรือหากธนาคารพาณิชย์ต้องการทำหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์นอกเหนือจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตไว้
ให้ธนาคารพาณิชย์หารือไปยังสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาอนุญาตเป็นรายกรณี
๔.๒.๕ การซื้อสินทรัพย์คืนจาก SPV
ธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์ต้องไม่ซื้อสินทรัพย์คืนจาก
SPV ยกเว้นในกรณีดังต่อไปนี้
๑) Representations and Warranties
หมายถึง
เงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าว่าหากสินทรัพย์อ้างอิงที่ธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์ได้โอนไปยัง
SPV นั้น
มีคุณสมบัติไม่ตรงกับเงื่อนไขที่ผู้ซื้อและผู้ขายสินทรัพย์ได้กำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรก่อนวันที่โอนสินทรัพย์
เช่นประวัติการชำระหนี้ สัดส่วนของสินเชื่อต่อหลักประกัน เป็นต้น
โดยธนาคารพาณิชย์สามารถโอนสินทรัพย์ใหม่ไปยัง SPV ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้ได้
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๑.๑)
เงื่อนไขในการซื้อคืนที่กำหนดไว้ต้องสอดคล้องกับหลักปฏิบัติของตลาดทั่วไป
และธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์ต้องได้ตรวจดูเงื่อนไขต่าง ๆ
ที่ได้กำหนดไว้เกี่ยวกับการซื้อคืนว่าเป็นไปตามความเป็นจริงและสามารถปฏิบัติได้
ในช่วงเวลาที่ทำการโอนขายสินทรัพย์นั้น
๑.๒)
ธนาคารพาณิชย์ได้ทำการตรวจสอบคุณภาพของสินทรัพย์อ้างอิงที่ทำการโอนขายแล้ว
ก่อนที่จะกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ
ที่กำหนดไว้เพื่อซื้อสินทรัพย์ที่ไม่ตรงตามคุณสมบัติคืน
๑.๓)
เงื่อนไขในการซื้อคืนที่กำหนดต้องไม่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมคุณภาพของสินทรัพย์อ้างอิง
วิธีดำเนินธุรกิจของ SPV และตราสารที่ออกขาย
๒) Clean-up call หมายถึง
การที่ธนาคารพาณิชย์มีสิทธิที่จะซื้อสินทรัพย์ที่คงเหลือตอนสิ้นสุดโครงการจาก SPV
เมื่อมูลค่าของสินทรัพย์คงเหลือน้อยกว่าหรือเท่ากับร้อยละ ๑๐ ของมูลค่าของสินทรัพย์ที่โอนไปยัง
SPV ซึ่งธนาคารพาณิชย์ผู้ซื้อสินทรัพย์อาจเป็นผู้ขายสินทรัพย์หรือ
ผู้ให้บริการเป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ก็ได้ โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๒.๑) ราคาซื้อขายต้องเป็นราคายุติธรรม (Fair
value) ณ วันที่ซื้อคืน
๒.๒)
ธนาคารพาณิชย์สามารถซื้อสินทรัพย์ที่คงเหลืออยู่ซึ่งเป็นสินเชื่อด้อยคุณภาพจาก SPV
ได้ แต่ราคาที่ซื้อขายนั้นต้องเป็นราคายุติธรรม ณ วันที่ซื้อคืน โดยธนาคารพาณิชย์ ไม่ได้มีส่วนต้องรับผิดชอบในส่วนสูญเสียของสินทรัพย์อ้างอิงให้แก่ผู้ลงทุน
๔.๒.๖ การเปิดเผยข้อมูล
๑)
ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์ต้องจัดทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรเช่น
ในรูปแบบของรายงานผลการดำเนินงานประจำปีของธนาคารพาณิชย์ (Annual report)
หรือในรูปแบบอื่น เพื่อเปิดเผยข้อมูลให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholders)
ได้รับทราบอย่างน้อยในเรื่อง ดังต่อไปนี้
๑.๑) วัตถุประสงค์ วิธีการ
และหลักปฏิบัติในการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์
ได้แก่ ประเภทของสินทรัพย์ ปริมาณสินทรัพย์ที่ได้ขายออกไป
คุณภาพของสินทรัพย์ที่ขายไป จำนวนเงินที่กันสำรองเพื่อรองรับส่วนสูญเสีย เป็นต้น
เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใจถึงความเสี่ยงจากการประกอบธุรกิจ Securitisation
รวมทั้งให้ผู้ลงทุนใน หลักทรัพย์ประเภทนี้เข้าใจในความเสี่ยงด้านการลงทุน ด้าน Prepayment
และด้านอัตราดอกเบี้ยจากการชำระหนี้ล่าช้าและการขาดทุนจากการผิดนัดชำระหนี้ของสินทรัพย์ด้วย
๑.๒)
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ผู้ขายสินทรัพย์ทำหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Securitisation
ซึ่งก่อให้เกิด Exposure ต่อธนาคารพาณิชย์
ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดเผยภาระความรับผิดชอบของธนาคารพาณิชย์ต่อ SPV
เช่น มูลค่าของหลักทรัพย์ที่ลงทุนหรือความเสี่ยงที่เกิดจากการทำหน้าที่ดังกล่าว
เป็นต้น ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมไว้ด้วย
๑.๓) รายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายทางการบัญชีในการทำธุรกรรม
เช่น การบันทึกบัญชีว่าเป็นการขายหรือการกู้ยืมเงิน การรับรู้รายได้จากการขาย
เป็นต้น
๑.๔) การลงทุนในตราสาร Securitisation
ไม่ถือว่าเป็นการฝากเงินหรือให้กู้ยืมเงินแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์
ดังนั้น ข้อมูลที่ธนาคารพาณิชย์เปิดเผยให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องไม่แสดงถึงการโฆษณาหรือทำให้ผู้ลงทุนเกิดความสับสน
ทั้งนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลที่กำหนดไว้ในแนวปฏิบัติทางการบัญชีธุรกรรมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ด้วย
๒) ธนาคารพาณิชย์มิได้เป็นผู้ขายสินทรัพย์แต่ทำหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
Securitisation โดยอาจทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการเป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้
ผู้รับประกันส่วนสูญเสียของสินทรัพย์แก่ผู้ลงทุน
หรือผู้ให้บริการในการให้สภาพคล่องชั่วคราวแก่ SPV เป็นต้น
ซึ่งการทำหน้าที่ดังกล่าวก่อให้เกิด Exposure ต่อธนาคารพาณิชย์
ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น
ในรูปแบบของรายงานผลการดำเนินงานประจำปีของธนาคารพาณิชย์ (Annual
report) หรือในรูปแบบอื่น
เพื่อเปิดเผยภาระความรับผิดชอบของธนาคารพาณิชย์ต่อ SPV เช่น
มูลค่าของหลักทรัพย์ที่ลงทุนหรือความเสี่ยงที่เกิดจากการทำหน้าที่ดังกล่าว เป็นต้น
ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับทราบด้วย ทั้งนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลที่กำหนดไว้ในแนวปฏิบัติทางการบัญชีธุรกรรมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ด้วย
๔.๒.๗ ธนาคารพาณิชย์ต้องมีการตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย
เช่น
จัดให้มีการบันทึกบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีหรือแนวปฏิบัติของสภาวิชาชีพบัญชี
เป็นต้น
๔.๒.๘
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจในการลงโทษธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์หรือสงวนสิทธิที่จะกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนการประกอบธุรกิจ
Securitisation ทุกธุรกรรม ในกรณีดังต่อไปนี้
๑)
ธนาคารพาณิชย์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศนี้
๒) กรณีอื่นๆ
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่ากระทบกับความปลอดภัยหรือความผาสุกของประชาชน
๔.๒.๙
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ Securitisation
ได้ตามที่เห็นสมควร โดยธนาคารแห่งประเทศไทยอาจกำหนดวงเงินรวมหรือเพดานสูงสุดของการลงทุนในตราสาร
Securitisation หรือประเภทของสินทรัพย์ในการประกอบธุรกิจ Securitisation
รวมทั้งอาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มปริมาณเงินกองทุนเพื่อรองรับการประกอบธุรกิจ Securitisation
ได้ หากพบว่าธนาคารพาณิชย์มีปริมาณความเสี่ยงที่สูงมากกว่าปริมาณเงินกองทุนที่รองรับความเสี่ยงปกติของธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ที่ลงทุนในตราสาร Securitisation และธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ขายสินทรัพย์จะต้องมีการรายงานตามแบบรายงานหรือชุดข้อมูลที่ใช้รองรับการทำธุรกรรมที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๕. วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป*
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
โสรศ/ผู้จัดทำ
๒๗
ตุลาคม ๒๕๔๙
[๑] หมายถึง
การที่ธนาคารพาณิชย์โอนความเสี่ยงด้านเครดิตทั้งหมดหรือบางส่วนของลูกหนี้
โดยการใช้อนุพันธ์ทางการเงินซึ่งธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องโอนสินทรัพย์ออกจากบัญชีของธนาคารพาณิชย์ไปไว้ที่นิติบุคคลเฉพาะกิจหรือบริษัทที่รับโอนสินทรัพย์ในลักษณะเดียวกันกับกรณี
Traditional securitization ทั้งนี้
ความเสี่ยงของผู้ลงทุนในตราสารของ Synthetic securitization จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิง
[๒] การให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นธุรกรรมที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำได้
เนื่องจากเป็นธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์เท่านั้น
[๓] ตัวอย่างเช่น
ธนาคาร ก. ออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคาร ก.
โดยมีธนาคาร ข. เป็นผู้ลงทุนซื้อตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ดังกล่าว ต่อมาธนาคาร ข.
นำตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ของธนาคาร ก. ขายให้แก่ SPV เพื่อออกตราสาร
securitisation ขายให้แก่ผู้ลงทุน ซึ่งหากธนาคาร ก.
ลงทุนในตราสาร securitization ดังกล่าวจะถือว่าเป็นการซื้อตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของตนเองกลับคืนมา
ซึ่งทำให้เงินกองทุนของธนาคาร ก. ลดลง
[๔] ตัวอย่างเช่น ธนาคาร ก.
ออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคาร ก. โดยมีธนาคาร ข.
เป็นผู้ลงทุนซื้อตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ดังกล่าว ต่อมาธนาคาร ข.
นำตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ของธนาคาร ก. ขายให้แก่ SPV
เพื่อออกตราสาร securitisation ขายให้แก่ผู้ลงทุน
ซึ่งหากธนาคาร ก. ลงทุนในตราสาร securitization ดังกล่าวจะถือว่าเป็นการซื้อตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของตนเองกลับคืนมา
ซึ่งทำให้เงินกองทุนของธนาคาร ก. ลดลง
[๕] ตัวอย่างเช่น ธนาคาร ก.
ออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคาร ก. โดยมีธนาคาร ข.
เป็นผู้ลงทุนซื้อตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ดังกล่าว ต่อมาธนาคาร ข.
นำตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ของธนาคาร ก. ขายให้แก่ SPV
เพื่อออกตราสาร securitisation ขายให้แก่ผู้ลงทุน
ซึ่งหากธนาคาร ก. ลงทุนในตราสาร securitization ดังกล่าวจะถือว่าเป็นการซื้อตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์ที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของตนเองกลับคืนมา
ซึ่งทำให้เงินกองทุนของธนาคาร ก. ลดลง
[๖] หนังสือที่ ธปท.สนส.
(๑๑) ว.๒๑๒๒/๒๕๔๕ ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๕ เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักทรัพย์
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
[๗]
หนังสือที่
ธปท.ณก.(ว) ๕๑๖/๒๕๓๕ ลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๕ เรื่อง การขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
[๘] หนังสือที่
ธปท.ฝสว.(๒๑)ว.๑๓๐๐/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เรื่อง
การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน และที่แก้ไขเพิ่มเติม
* ราชกิจจานุเบกษา เล่ม
๑๒๓/ตอนพิเศษ ๑๑๐ ง/หน้า ๑๔/๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๙ |
506750 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วแลกเงินเพื่อกู้ยืมเงินจากประชาชน
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วแลกเงินเพื่อกู้ยืมเงินจากประชาชน
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อเพิ่มช่องทางการระดมเงินของธนาคารพาณิชย์ เพิ่มทางเลือกในการออมเงินให้กับประชาชน
และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในเรื่องการออกตั๋วแลกเงินของธนาคารพาณิชย์
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ และมาตรา ๑๓ จัตวา
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วแลกเงินเพื่อกู้ยืมเงินจากประชาชนตามข้อกำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมาย
ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจ
๔. เนื้อหา
อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วแลกเงินเพื่อกู้ยืมเงินประเภทระบุชื่อผู้รับเงินได้เป็นการทั่วไป
โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในประกาศฉบับนี้
ทั้งนี้ ตั๋วแลกเงินที่มีการจ่ายผลตอบแทนที่อ้างอิงกับตัวแปร
หรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง ไม่อยู่ภายใต้บังคับของประกาศฉบับนี้ โดยให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงและหลักเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้อง
หลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจ
๔.๑ ตั๋วแลกเงินสกุลเงินบาท
อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วแลกเงินเป็นสกุลเงินบาท
เพื่อกู้ยืมเงินจากบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยได้เป็นการทั่วไป
๔.๒ ตั๋วแลกเงินสกุลเงินตราต่างประเทศ
อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วแลกเงินเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศได้เฉพาะเพื่อกู้ยืมเงินจากบุคคล
ดังต่อไปนี้
(๑) บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศไทย (Non-resident)
(๒) สถาบันการเงินในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. ๒๔๘๕
๔.๓ การออกตั๋วแลกเงินตามข้อ ๔.๑ และ ๔.๒ จะต้องไม่ขัดกับกฎหมาย
ตลอดจนกฎเกณฑ์ที่ออกตามกฎหมาย ว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
๔.๔ ธนาคารพาณิชย์ต้องมีมาตรการป้องกันการปลอมแปลงและการแก้ไขข้อความบนตั๋วแลกเงิน
ทั้งนี้ ตั๋วแลกเงินที่ธนาคารพาณิชย์ออกต้องเป็นไปตามแบบมาตรฐาน ดังนี้
(๑) ใช้กระดาษสำหรับพิมพ์สิ่งพิมพ์มีค่า (Security
Paper) เช่น กระดาษตามมาตรฐาน London Clearing Banks
Paper Specification No.1 พร้อมทั้ง มีลายน้ำ (Watermark) ฝังอยู่ในเนื้อกระดาษ
(๒) มีรายการตามที่กำหนดในมาตรา ๙๐๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(๓) มีหมายเลขอ้างอิงของตั๋วแลกเงินที่จัดพิมพ์จากโรงพิมพ์
ซึ่งเป็นหมายเลขที่เรียงลำดับติดต่อกันและต่อเนื่องจากหมายเลขในแบบพิมพ์ลักษณะเดียวกันที่ธนาคารพาณิชย์นั้นสั่งพิมพ์ในครั้งก่อน
(๔) มีข้อกำหนดในตั๋วแลกเงินว่า ไม่จำต้องมีคำคัดค้าน
หรือสำนวนอื่นในทำนองเดียวกัน
๔.๕ ธนาคารพาณิชย์ต้องมีระบบการควบคุมภายในที่เหมาะสมในกระบวนการต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการออกตั๋วแลกเงิน โดยให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติ ดังนี้
(๑) การออกตั๋วแลกเงิน
(๑.๑) ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐานทางราชการที่แสดงชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อตั๋วแลกเงิน
รวมทั้ง จัดให้มีสำเนาเอกสารหลักฐานดังกล่าว
(๑.๒) การออกตั๋วแลกเงิน ให้เป็นไปตามลำดับของหมายเลขตั๋วแลกเงินที่โรงพิมพ์ได้จัดพิมพ์ไว้ล่วงหน้า
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์อาจพิมพ์เลขที่หรือรหัสอื่นเพิ่มเติมต่างหากจากหมายเลขตั๋วแลกเงินเพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงก็ได้
และหากมีการยกเลิกตั๋วแลกเงินฉบับใดต้องประทับตรา ยกเลิก
หน้าตั๋วแลกเงินนั้น และให้จัดเก็บไว้เพื่อประโยชน์ในการควบคุมและตรวจสอบต่อไป
(๑.๓) จัดทำทะเบียนควบคุมการออกตั๋วแลกเงิน โดยมีรายละเอียดอย่างน้อยเกี่ยวกับ
วันที่ออก เลขที่อ้างอิงตั๋วแลกเงิน ชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อตั๋วแลกเงิน ชื่อผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงิน
สกุลเงิน จำนวนเงินที่ตราไว้ วันครบกำหนด อัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลด และ ชื่อและที่อยู่ของผู้รับเงินจากการไถ่ถอนตั๋วแลกเงิน
(๑.๔) จัดให้มีบัญชีคุมยอดคงเหลือของตั๋วแลกเงินที่เป็นปัจจุบัน
(๒) การเก็บรักษาแบบพิมพ์ตั๋วแลกเงิน (Blank
Form)
(๒.๑) ให้เก็บรักษาแบบพิมพ์ตั๋วแลกเงินไว้ในห้องนิรภัยหรือตู้นิรภัยภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบที่จัดไว้โดยเฉพาะ
รวมทั้ง กำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการเบิกแบบพิมพ์ตั๋วแลกเงินให้ชัดเจน และในการเบิกแบบพิมพ์ทุกครั้ง
ต้องให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดังกล่าวลงนามไว้เป็นหลักฐานร่วมกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการเก็บรักษาแบบพิมพ์
(๒.๒) ให้ธนาคารพาณิชย์มีระบบปฏิบัติการและการควบคุมภายในที่เหมาะสมในเรื่องการเก็บรักษาแบบพิมพ์ตั๋วแลกเงิน
และการจัดทำทะเบียนควบคุมแบบพิมพ์ให้เป็นปัจจุบัน
โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับวันที่และจำนวนแบบพิมพ์ที่ได้รับจากโรงพิมพ์ วันที่และจำนวนที่เบิกใช้และยอดคงเหลือ
(๒.๓) ให้ตรวจนับยอดคงเหลือของแบบพิมพ์ตั๋วแลกเงิน
พร้อมทั้งตรวจเทียบกับทะเบียนควบคุมแบบพิมพ์อย่างน้อยเดือนละครั้ง
(๓) การเปิดเผยข้อมูล
(๓.๑) ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์จะจ่ายสำหรับตั๋วแลกเงินแต่ละประเภทตามอายุตั๋วแลกเงิน
วงเงิน และประเภทลูกค้า รวมทั้งค่าธรรมเนียม ค่าบริการ ค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการออกตั๋วแลกเงิน
และเงื่อนไขต่างๆ (ถ้ามี) ไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานทุกแห่ง ภายในวันเดียวกับที่ธนาคารพาณิชย์ออกประกาศ
หรือเปลี่ยนแปลงประกาศ โดยให้ใช้บังคับกับสำนักงานใหญ่และสาขาธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง
สาขาของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งอาจกำหนดวงเงินในการออกตั๋วแลกเงินที่แตกต่างกัน
เพื่อการจ่ายดอกเบี้ยหรือส่วนลดในอัตราเดียวกันกับที่สำนักงานใหญ่ประกาศสำหรับลูกค้าประเภทเดียวกัน
(ถ้ามี) โดยให้สาขาธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งเป็นผู้ประกาศเอง
(๓.๒) ธนาคารพาณิชย์สามารถประกาศอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่จะจ่ายสำหรับลูกค้าที่เข้าเงื่อนไขตามที่ธนาคารพาณิชย์กำหนด
ซึ่งเพิ่มขึ้นจากอัตราที่ประกาศไว้ตาม (๓.๑) อีกได้ไม่เกินร้อยละ ๐.๕ สำหรับอายุตั๋วแลกเงิน
วงเงิน และลูกค้าประเภทเดียวกัน
(๓.๓) เผยแพร่ประกาศอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดตามข้อ
(๓.๑) ไว้ในเว็บไซต์ (Website) ของธนาคารพาณิชย์ก่อนวันที่อัตราที่ประกาศมีผลใช้บังคับ
และต้องเผยแพร่ข้อมูลย้อนหลังอย่างน้อย ๓ ปี เพื่อให้ลูกค้าเรียกดูข้อมูลได้
(๓.๔) ธนาคารพาณิชย์ต้องชี้แจงต่อลูกค้าเกี่ยวกับลักษณะธุรกรรมของตั๋วแลกเงินและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน
เช่น วิธีการโอนตั๋วแลกเงิน ความเสี่ยงกรณีลูกค้าทำตั๋วแลกเงินสูญหาย และความเสี่ยงกรณีอื่นที่อาจทำให้ลูกค้าไม่ได้รับเงินต้นหรือดอกเบี้ยครบตามจำนวน
เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถประเมินความเสี่ยงในการซื้อตั๋วแลกเงินได้ รวมทั้ง ธนาคารพาณิชย์ต้องทำความเข้าใจกับลูกค้าว่า
ผู้ถือตั๋วแลกเงินนั้นมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของธนาคารพาณิชย์และตั๋วแลกเงินดังกล่าวไม่ได้รับการประกันเงินต้นและดอกเบี้ยจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
(๓.๕) ธนาคารพาณิชย์ต้องชี้แจงเงื่อนไขและวิธีการคำนวณและการจ่ายชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนของตั๋วแลกเงิน
รวมถึง การคิดค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมในกรณีที่ลูกค้าต้องการไถ่ถอนตั๋วแลกเงินก่อนครบกำหนดสัญญา
(ถ้ามี) ให้ลูกค้าเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนการซื้อตั๋วแลกเงิน
(๓.๖) ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีหลักฐานแสดงว่า
ลูกค้าผู้ซื้อตั๋วแลกเงินมีความเข้าใจข้อมูลตามข้อ (๓.๔) และ (๓.๕) เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบได้
(๓.๗) หลักเกณฑ์ตามข้อ (๓.๔) (๓.๖)
ข้างต้นไม่ใช้บังคับกับตั๋วแลกเงินที่ธนาคารพาณิชย์ออก
เพื่อกู้ยืมเงินจากผู้ลงทุนสถาบันที่กำหนดท้ายประกาศนี้และมีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น
(๓.๘) ธนาคารพาณิชย์ต้องยืนยันความถูกต้องและแท้จริงของตั๋วแลกเงินที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออกเมื่อได้รับการร้องขอ
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์อาจกำหนดวิธีการและระยะเวลาในการยืนยันความถูกต้องตั๋วแลกเงินได้
โดยต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบล่วงหน้า
(๔) การจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงิน
(๔.๑) การจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินเมื่อครบกำหนด หรือการจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินที่ลูกค้าไถ่ถอนก่อนกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ประทับตรา
จ่ายแล้ว หน้าตั๋วแลกเงินดังกล่าว รวมทั้งบันทึกชื่อและที่อยู่ของผู้รับเงินจากการไถ่ถอนตั๋วแลกเงินที่ปรากฏตามหลักฐานทางราชการไว้หน้าตั๋วแลกเงินนั้น
(๔.๒) ในกรณีที่วันครบกำหนดชำระเงินตามตั๋วแลกเงินตรงกับวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์
ให้ถือเอาวันทำการวันแรกต่อจากวันหยุดทำการนั้นเป็นวันครบกำหนดชำระเงิน ทั้งนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์คิดดอกเบี้ยให้สำหรับวันหยุดทำการนั้นด้วย
ตามอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในตั๋วแลกเงิน หรือไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่จ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ตามที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนด
แล้วแต่อัตราใดจะสูงกว่า
๔.๖ ธนาคารพาณิชย์ผู้ออกตั๋วแลกเงินต้องเสนอบริการดูแลและเก็บรักษาตั๋วแลกเงินให้กับลูกค้า
โดยแยกหน่วยงานที่ดูแลและเก็บรักษาตั๋วแลกเงินดังกล่าวต่างหากจากหน่วยงานที่ออกตั๋วแลกเงินหรือหน่วยงานที่ทำการซื้อขายตั๋วแลกเงินโดยเด็ดขาด
โดยธนาคารพาณิชย์อาจทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนการโอนเปลี่ยนมือตั๋วแลกเงินซึ่งตนเองออกได้
๔.๗ ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชี
กฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
๔.๘ การจัดเก็บข้อมูลและการรายงาน
(๑) ธนาคารพาณิชย์ที่ออกตั๋วแลกเงินต้องจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรม
ได้แก่ เลขที่อ้างอิงตั๋วแลกเงิน สาขาที่ออก วันที่ออก วันครบกำหนด ชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อตั๋วแลกเงิน
ชื่อผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงิน สกุลเงิน จำนวนเงินที่ตราไว้ วันครบกำหนด อัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลด
รวมทั้งชื่อและที่อยู่ของผู้รับเงินจากการไถ่ถอนตั๋วแลกเงิน เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
(๒) ให้ธนาคารพาณิชย์รายงานธุรกรรมการออกตั๋วแลกเงินเป็นเงินกู้ยืมในแบบรายงานทุกรายงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และตามแบบรายงานที่แนบท้ายประกาศนี้
รวมถึงแบบรายงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจกำหนดเพิ่มเติมตามความเหมาะสมต่อไป
๕[๑].
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
เอกสารแนบประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วแลกเงินเพื่อกู้ยืมเงินจากประชาชน ลงวันที่ 17
สิงหาคม 2549
๒.
วิธีปฏิบัติในการส่งรายงาน และคำอธิบายรายงาน
๓.
รายงานยอดคงค้างตั๋วแลกเงิน (รายเดือน)
๔.
รายงานการไถ่ถอนตั๋วแลกเงินสกุลเงินบาทที่มีมูลค่าตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป
(รายเดือน)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
นันทนา/ผู้จัดทำ
๘ กันยายน ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๙๒ ง/หน้า ๒๕/๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๙ |
503638 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับสำหรับธนาคารพาณิชย์
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ
สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับสำหรับธนาคารพาณิชย์
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
ประกาศนี้เดิมออกมาตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๘
เพื่อเป็นการพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน และเป็นการป้องกันปัญหาจากธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ตลอดจนเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล (ผู้ประกอบธุรกิจฯ) อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
บัดนี้ ประกาศดังกล่าวได้มีผลใช้บังคับมาเป็นเวลาครบหนึ่งปีแล้ว
จึงได้มีการประเมินความคุ้มครองที่ให้แก่ผู้บริโภค โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรึกษาหารือกับผู้ประกอบธุรกิจฯ
และเห็นสมควรร่วมกันที่จะเพิ่มเงื่อนไขเพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคยิ่งขึ้น โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจฯ
จัดทำตารางแสดงภาระหนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจกู้เงิน และจัดทำใบเสร็จรับเงินที่แสดงรายละเอียดเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งในส่วนที่ได้ชำระแล้ว
ส่วนที่ค้างชำระ และส่วนที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ เพื่อให้ผู้บริโภคมีหลักฐานสามารถตรวจสอบได้
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับสำหรับธนาคารพาณิชย์ตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมาย
ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ ทุกธนาคารที่ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
๔. เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ สำหรับธนาคารพาณิชย์
ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๘
คำนิยาม
๔.๒ ในประกาศนี้
สินเชื่อส่วนบุคคล
หมายความว่า การให้กู้ยืมเงิน การรับซื้อ ซื้อลด หรือรับช่วงซื้อลดตั๋วเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด
แก่บุคคลธรรมดาโดยมิได้ระบุวัตถุประสงค์หรือมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการและไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ในการประกอบธุรกิจของตนเอง
สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
หมายความว่า สินเชื่อส่วนบุคคลเฉพาะที่ไม่มีทรัพย์หรือทรัพย์สินเป็นหลักประกัน และเพื่อประโยชน์แห่งประกาศฉบับนี้
ให้รวมถึงสินเชื่อที่เกิดจากการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งในสินค้าที่ผู้ประกอบธุรกิจมิได้จำหน่ายเป็นทางการค้าปกติ
ยกเว้นในสินค้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงสินเชื่อเพื่อการศึกษา สินเชื่อเพื่อการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ
สินเชื่อเพื่อรักษาพยาบาล สินเชื่อเพื่อสวัสดิการพนักงานที่หน่วยงานต้นสังกัดได้มีการทำสัญญากับธนาคารพาณิชย์
และสินเชื่อตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
คุณสมบัติของผู้ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
๔.๓ ธนาคารพาณิชย์จะให้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับแก่บุคคลธรรมดาได้เมื่อธนาคารพาณิชย์พิจารณาแล้วเห็นว่า
เป็นผู้ที่มีฐานะทางการเงินเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ได้
การกำหนดวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
๔.๔ ธนาคารพาณิชย์จะให้วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับแก่ผู้บริโภคแต่ละรายได้ไม่เกิน
๕ เท่าของรายได้ของผู้บริโภคเฉลี่ยต่อเดือน หรือกระแสเงินสดหมุนเวียนในบัญชีเงินฝากของผู้บริโภคซึ่งฝากไว้กับสถาบันการเงินเฉลี่ยต่อเดือน
เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๖ เดือน
ดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมใดๆ และค่าใช้จ่ายตามที่ได้จ่ายไปจริงและพอสมควรแก่เหตุ
เกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
๔.๕ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่อง ดอกเบี้ย ค่าปรับ
ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมใดๆ และค่าใช้จ่ายตามที่ได้จ่ายไปจริงและพอสมควรแก่เหตุ เกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง ดอกเบี้ยและค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ในการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๘
การจัดทำตารางแสดงภาระหนี้และใบเสร็จรับเงิน การเรียกให้ชำระหนี้
และการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้
๔.๖ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจน ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑) จัดทำตารางแสดงภาระหนี้สำหรับผู้บริโภคแต่ละราย
โดยให้แสดงรายละเอียดของข้อมูลเป็นรายงวด ซึ่งอย่างน้อยข้อมูลแต่ละงวดต้องประกอบด้วยจำนวนเงินที่ผู้บริโภคต้องชำระโดยแยกเป็นเงินต้นและดอกเบี้ย
และจำนวนเงินต้นคงค้าง เพื่อมอบให้แก่ผู้บริโภคเมื่อมีการทำสัญญาขอสินเชื่อหรือเมื่อมีการอนุมัติสินเชื่อ
ทั้งนี้ สำหรับผู้บริโภคที่ขอกู้เงินประเภทวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน (Revolving
credit) ให้มอบตารางแสดงภาระหนี้ที่จัดทำขึ้นเป็นตัวอย่างแทนได้
(๒) จัดส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่ผู้บริโภคทราบล่วงหน้า
ไม่น้อยกว่า ๑๐ วัน ก่อนวันถึงกำหนดชำระหรือหักบัญชี ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการคิดดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายในหนี้ค้างชำระให้แสดงรายละเอียดการคำนวณดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายดังกล่าวในใบแจ้งหนี้ด้วย
(๓) จัดทำใบเสร็จรับเงินที่แสดงรายละเอียดการชำระหนี้โดยแยกเป็นเงินต้น
ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคเก็บไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ต้องแสดงยอดหนี้
ทั้งในส่วนที่ค้างชำระและที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ โดยแยกเป็นเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่างๆ
ไว้ในใบแจ้งหนี้หรือใบเสร็จรับเงินด้วย
(๔) ต้องมีหนังสือแจ้งเตือนผู้บริโภคที่ผิดนัดชำระหนี้ล่วงหน้า
ไม่น้อยกว่า ๒๐ วัน ก่อนดำเนินการบังคับชำระหนี้ตามกฎหมาย
อนึ่ง ได้จัดทำตัวอย่างตารางแสดงภาระหนี้ตามข้อ (๑)
และตัวอย่างใบเสร็จรับเงิน ตามข้อ (๓) แนบไว้ท้ายประกาศนี้แล้ว ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องทำตามตัวอย่างทุกประการ
เพียงแต่จะต้องมีรายการสำคัญตามที่กล่าวไว้ข้างต้นครบถ้วนเท่านั้น
การเปลี่ยนประเภทหนี้
๔.๗ ห้ามธนาคารพาณิชย์โอนหนี้ที่เกิดจากสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับไปเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด
หรือหนี้ตามสัญญาสินเชื่อประเภทอื่น เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้บริโภคก่อน
หนี้อันเกิดจากสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ที่ยังมิได้โอนไปเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดจะเอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นไม่ได้
การปฏิบัติและการจัดการเกี่ยวกับข้อมูลของผู้บริโภค
๔.๘ ธนาคารพาณิชย์ต้องให้ความสำคัญและจัดให้มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภคที่ถูกต้องและครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติและกำหนดวงเงินที่เหมาะสม
และสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้
เช่น บริษัทที่ประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต เป็นต้น หรือร่วมกันจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกัน
เพื่อสอบยันประวัติส่วนตัวของผู้บริโภค และวงเงินสินเชื่อที่ได้รับทั้งสิ้น ตลอดจนข้อมูลอื่นๆ
การปฏิบัติเมื่อมีข้อร้องเรียน
๔.๙ ธนาคารพาณิชย์จะต้องดำเนินการตรวจสอบเมื่อผู้บริโภคร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
และแจ้งความคืบหน้ารวมทั้งชี้แจงขั้นตอนต่อไปให้ผู้บริโภคทราบ ภายใน ๗ วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งการร้องเรียน
รวมทั้งให้ดำเนินการแก้ไขข้อร้องเรียนนั้นให้แล้วเสร็จและแจ้งให้ผู้บริโภคนั้นทราบโดยเร็ว
การกำหนดนโยบาย แผนงาน และการประชาสัมพันธ์
๔.๑๐ ให้ธนาคารพาณิชย์มีการกำหนดนโยบาย แผนงานและการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
ดังนี้
(๑) ธนาคารพาณิชย์ต้องกำหนดนโยบายและแผนงานในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
และเสนอคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้ความเห็นชอบทุกปี ทั้งนี้ นโยบายและแผนงานดังกล่าว
ควรประกอบด้วยทิศทางและแนวทางในการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ พร้อมทั้ง
เป้าหมายในการให้บริการแก่ลูกค้าตามระดับรายได้ของผู้บริโภค
(๒) ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีระเบียบ หรือพิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์
หรือระบุในสัญญาการแต่งตั้งตัวแทนเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์ในเรื่องการติดต่อหาผู้บริโภครายใหม่
หรือติดต่อกับผู้บริโภครายเก่าเพื่อเสนอสินเชื่อประเภทใหม่ พร้อมทั้งให้ถือปฏิบัติ
ดังต่อไปนี้
(ก) การติดต่อหาผู้บริโภครายใหม่หรือติดต่อกับผู้บริโภครายเก่าจะดำเนินการได้ระหว่างเวลา
๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. ในวันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดราชการ ให้ดำเนินการระหว่างเวลา
๘.๐๐-๑๘.๐๐ น.
(ข) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใช้สื่อทางการตลาดในการส่งเสริมการให้สินเชื่อส่วนบุคคล
ต้องสื่อความให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ง่าย ไม่ชวนเชื่อเกินความจริง และต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน
รวมทั้งระบุอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมใดๆ และค่าใช้จ่ายตามที่ได้จ่ายไปจริง
ของสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับแต่ละประเภทให้ชัดเจน
การบริหารความเสี่ยง
๔.๑๑ ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีระบบการบริหารความเสี่ยงในการให้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
ดังนี้
(๑) ระบบการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
เพื่อการอนุมัติและกำหนดวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับตามระดับความสามารถในการชำระหนี้
(๒) ระบบการเรียกเก็บหนี้ที่สามารถเตือนให้ทราบเมื่อลูกหนี้เริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้หรือไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามข้อตกลง
ตลอดจนกลยุทธ์ในการเรียกเก็บหนี้ในกรณีต่างๆ
(๓) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารสำหรับใช้ในการกำหนดและทบทวนนโยบายและแผนงานเกี่ยวกับการให้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับด้วย
การจัดทำบัญชีและการรายงาน
๔.๑๒ ธนาคารพาณิชย์ จะต้องจัดทำรายงานตามแบบที่กำหนดไว้ท้ายประกาศฉบับนี้ทุกเดือน
และส่งมายังธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใน ๒๑ วันนับจากวันสิ้นเดือน รวมทั้งจัดส่งสำเนารายงานดังกล่าวให้แก่กระทรวงการคลังภายในกำหนดเวลาเดียวกันข้างต้น
๕.[๑]
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม
๒๕๕๐ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
ตัวอย่างตารางแสดงภาระหนี้
๒.
รายงานการให้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
นันทนา/ผู้จัดทำ
๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๘๘ ง/หน้า ๓/๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๙ |
503636 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินก่อนกำหนด
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
การไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินก่อนกำหนด[๑]
ด้วยประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๕) ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๓ วรรค ๒ กระทรวงการคลังจะชำระคืนต้นเงินกู้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนกำหนดก็ได้
โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาล่วงหน้า เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน
โดยที่เป็นการสมควรชำ ระคืนต้นเงินกู้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งหมด
ตามประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังกล่าว จึงกำหนดชำระคืนต้นเงินกู้วงเงิน
๕,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
พร้อมดอกเบี้ยงวดสุดท้าย ในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๙
ประกาศ
ณ วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ไชยยศ
สะสมทรัพย์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นันทนา/ผู้จัดทำ
๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๘๗ ง/หน้า ๑/๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๙ |
495090 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 (ครั้งที่ 5) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙
ด้วยประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๕) ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๔ วรรค ๒ กระทรวงการคลังจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน ในวันที่ ๒๒
เมษายน ของทุกปี โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) ประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่
๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นอัตราร้อยละ
๒.๐๐ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๘ เป็นต้นไป
โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน
ตามประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังกล่าว จึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๒๐ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๔๘ จากอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๔.๗๕ ต่อปี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่
๒๒ เมษายน ๒๕๔๙ เป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
พรรณี
สถาวโรดม
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นันทนา/ผู้จัดทำ
๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๖๗ ง/หน้า ๓/๕ มิถุนายน ๒๕๔๙ |
495088 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 (ครั้งที่ 3) และ (ครั้งที่ 4) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๓) และ (ครั้งที่ ๔) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙
ด้วยประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๓) และ (ครั้งที่ ๔) ลงวันที่ ๓
เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๔ วรรค ๒ กระทรวงการคลังจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน
ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินฯ (ครั้งที่ ๓) และ (ครั้งที่ ๔) ในวันที่
๑๗ เมษายน ของทุกปี โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๓) และ (ครั้งที่ ๔)
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) เป็นอัตราร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๘ เป็นต้นไป
โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน
ตามประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังกล่าว จึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๓) และ (ครั้งที่ ๔) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘
ลงวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘ จากอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๔.๗๐ ต่อปี
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๙ เป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
พรรณี
สถาวโรดม
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นันทนา/ผู้จัดทำ
๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๖๗ ง/หน้า ๒/๕ มิถุนายน ๒๕๔๙ |
495086 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 (ครั้งที่ 1) และ (ครั้งที่ 2) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๑) และ (ครั้งที่ ๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙
ด้วยประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๑) และ (ครั้งที่ ๒) ลงวันที่ ๓
เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๔ วรรค ๒ กระทรวงการคลังจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน
ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินฯ (ครั้งที่ ๑) และ (ครั้งที่ ๒) ในวันที่
๙ เมษายน ของทุกปี โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๑) และ (ครั้งที่ ๒)
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) เป็นอัตราร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๘ เป็นต้นไป
โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน
ตามประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังกล่าว จึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๑) และ (ครั้งที่ ๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘
ลงวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘ จากอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๔.๗๐ ต่อปี
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๙ เป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
พรรณี
สถาวโรดม
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นันทนา/ผู้จัดทำ
๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๖๗ ง/หน้า ๑/๕ มิถุนายน ๒๕๔๙ |
487199 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และการขายชอร์ต
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการ
การยืมและให้ยืมหลักทรัพย์
และการขายชอร์ต
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้และตราสารทุน
และเพิ่มช่องทางการประกอบธุรกิจและบริหารสภาพคล่องของสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์และการขายชอร์ต
โดยการออกประกาศในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุง
เพิ่มเติมและขยายขอบเขตในการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์
และการขายชอร์ต ดังนี้
๑.๑ ปรับปรุงข้อกำหนดในการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์และการขายชอร์ต
ให้ธนาคารพาณิชย์มีความคล่องตัวในการเริ่มประกอบธุรกิจมากยิ่งขึ้น โดยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้
โดยไม่ต้องขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน
๑.๒ กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถประกอบธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์และการขายชอร์ตได้
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๑.๓ ขยายขอบเขตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถยืมและให้ยืมหลักทรัพย์
และขายชอร์ตหลักทรัพย์ประเภทหน่วยลงทุนได้
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์และการขายชอร์ต
ตามที่กำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจ
๔. เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์และการขายชอร์ต
ลงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๖
๔.๒ หลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจ
๔.๒.๑ ในประกาศฉบับนี้
ธนาคารพาณิชย์
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมาย ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย ตามประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๒๓
มกราคม ๒๕๔๗
๔.๒.๒ ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจนี้ ต้องเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีการกันเงินสำรองได้ครบถ้วนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วย
สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
พร้อมทั้งมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์และภาระผูกพันที่ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดหรือสั่งการเป็นกรณีพิเศษ
รวมทั้งสามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการสั่งการเป็นกรณีพิเศษด้วย
๔.๒.๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจดังกล่าว
จัดทำแผนงานรองรับการประกอบธุรกิจดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษร และแผนงานดังกล่าวต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานและเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้ โดยแผนงานดังกล่าวต้องมีสาระสำคัญอย่างน้อยดังต่อไปนี้
(๑) นโยบายและระเบียบวิธีปฏิบัติในการประกอบธุรกิจ
ทั้งนี้ การเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายและระเบียบวิธีปฏิบัติจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์ด้วย
(๒) ระเบียบและวิธีการบริหารความเสี่ยง ระบบควบคุมภายในระบบการจัดการและระบบบัญชี
เพื่อรองรับการประกอบธุรกิจดังกล่าว ซึ่งครอบคลุมเรื่องดังต่อไปนี้
(ก) นโยบายการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ และการกำหนดวงเงินของคู่สัญญา
กล่าวคือ ก่อนการยืมหรือให้ยืมหลักทรัพย์ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของคู่สัญญาทุกครั้ง
โดยหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์สินเชื่อ รวมถึงการกำหนดวงเงินของคู่สัญญาแต่ละรายซึ่งต้องมีการอนุมัติโดยผู้บริหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบ
(ข) ระบบการวิเคราะห์และบริหารความเสี่ยงของหลักทรัพย์และหลักประกัน
การกำหนดวงเงินลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ และการกำหนดเพดานความเสี่ยง (เช่น Stop loss limit)
(ค) นโยบายและระเบียบปฏิบัติในการเรียกหลักประกันเริ่มแรกการเรียกหลักประกันเพิ่ม
และการบังคับหลักประกัน เช่น การกำหนดระดับ Initial Margin ระดับ
Call Margin เป็นต้น
(ง) ระบบการติดตามการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตามราคาตลาดของหลักทรัพย์และหลักประกันเป็นประจำทุกสิ้นวันทำการ
(Mark to market)
(จ) ระบบการควบคุมภายในเพื่อให้นโยบายและระเบียบปฏิบัติมีการปฏิบัติตามอย่างถูกต้องเหมาะสม
(ฉ) ระบบการจัดเก็บข้อมูลและการจัดทำรายงานที่มีรายละเอียดอันเป็นประโยชน์ในการติดตาม
วิเคราะห์และประเมินผลการประกอบธุรกิจ เพื่อรายงานต่อผู้บริหารและธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓) มีความพร้อมด้านบุคลากร
๔.๒.๔ หลักทรัพย์ที่ยืมหรือให้ยืม หมายถึง ตราสารหนี้
ตราสารทุน และหน่วยลงทุนที่เป็นหลักทรัพย์ที่อยู่ในระบบรับฝากหลักทรัพย์ของศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ตามกฎหมาย
ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือหลักทรัพย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์
๔.๒.๕ ให้ธุรกิจดังต่อไปนี้เป็นธุรกิจที่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบได้
(๑) ธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์กรณีเป็นตัวแทนหรือนายหน้า
(๒) ธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ในฐานะเป็นคู่สัญญากับผู้ยืมหรือผู้ให้ยืม
(๓) การยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ โดยเป็นคู่สัญญากับผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ตามกฎหมาย
ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
(๔) การขายหลักทรัพย์โดยที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครอง
(การขายชอร์ต) ซึ่งหมายถึง การขายหลักทรัพย์ที่ต้องซื้อหรือยืมหลักทรัพย์มาเพื่อส่งมอบ
ทั้งนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยการขายหลักทรัพย์
โดยที่ยังไม่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่ในครอบครองตามที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนด
๔.๒.๖ ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจตาม ๔.๒.๕
(๑) หรือ ๔.๒.๕ (๒) ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยธนาคารพาณิชย์สามารถประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ดังกล่าวได้เฉพาะตามขอบเขตที่ตนได้รับอนุญาตเท่านั้น
๔.๒.๗ คู่สัญญาในการประกอบธุรกิจ
๔.๒.๗.๑ ผู้ลงทุนที่เป็นสถาบันตามประกาศฉบับนี้ หมายถึง
(๑) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๒) กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
(๓) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
(๔) ธนาคารพาณิชย์
(๕) บริษัทเงินทุน
(๖) บริษัทหลักทรัพย์
(๗) บริษัทประกันชีวิต
(๘) สถาบันการเงินต่างประเทศที่กระทำเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือในฐานะตัวแทนของบุคคลอื่นที่ไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย
(๙) กองทุนรวม
(๑๐) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
(๑๑) กองทุนส่วนบุคคล
(๑๒) กองทุนบำเหน็จบำนาญ
(๑๓) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะและได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์
(๑๔) นิติบุคคลอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบ
๔.๒.๗.๒ ในการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์
ธนาคารพาณิชย์ต้องถือปฏิบัติ ดังนี้
(๑) กรณีเป็นตัวแทนหรือนายหน้าในการยืมหลักทรัพย์
ธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกรรมได้กับบุคคลธรรมดา
นิติบุคคล ตลอดจนผู้ลงทุนที่เป็นสถาบัน
(๒) กรณีเป็นตัวแทนหรือนายหน้าในการให้ยืมหลักทรัพย์
ธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกรรมได้กับบุคคลธรรมดา
นิติบุคคล ตลอดจนผู้ลงทุนที่เป็นสถาบัน ยกเว้นการทำธุรกรรมกับบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศและการทำธุรกรรมกับบุคคลใดๆ
ซึ่งมีผลให้เกิดการปล่อยสภาพคล่องที่เป็นเงินบาทให้แก่บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
(๓) กรณีการยืมหลักทรัพย์จากคู่สัญญา
ธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกรรมดังกล่าวได้กับผู้ลงทุนที่เป็นสถาบัน
(๔) กรณีการให้ยืมหลักทรัพย์แก่คู่สัญญา
ธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกรรมดังกล่าวได้กับผู้ลงทุนที่เป็นสถาบัน
ยกเว้นการทำธุรกรรมกับบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศและการทำธุรกรรมกับบุคคลใดๆซึ่งมีผลให้เกิดการปล่อยสภาพคล่องที่เป็นเงินบาทให้แก่บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
๔.๒.๘ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยลักษณะและสาระสำคัญของสัญญายืมและให้ยืมหลักทรัพย์ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนด
๔.๒.๙ ในการประกอบธุรกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์
ให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาเรียกหลักประกันตามความเหมาะสม เพราะการประกอบธุรกรรมนี้มีความเสี่ยงเกี่ยวข้องทั้งในด้าน
Credit Risk (Settlement Risk) กับคู่ค้า ความเสี่ยงด้าน Market
Risk จากการมี position ในหลักทรัพย์
และมี Operational Risk ในด้านการดำเนินธุรกรรม การเรียกหลักประกัน การคืนหลักประกันและการยึดหลักประกันเมื่อคู่ค้าไม่ปฏิบัติตามสัญญา
๔.๓ หลักเกณฑ์การกำกับดูแล
๔.๓.๑ การดำรงเงินกองทุน ให้ปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันของธนาคารพาณิชย์และหนังสือเวียนธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุน
๔.๓.๒ การนับลูกหนี้รายใหญ่
๔.๓.๒.๑ การคำนวณสำหรับผู้ให้ยืม
(ก) ให้ถือว่าธนาคารพาณิชย์ผู้ให้ยืมยังคงเป็นเจ้าของหลักทรัพย์ที่ให้ยืมอยู่
เนื่องจากในที่สุดแล้วก็จะได้รับหลักทรัพย์ดังกล่าวคืน ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์จึงต้องปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
(ข) มูลค่าของหลักทรัพย์ที่ธนาคารพาณิชย์ให้ยืมกับคู่สัญญารายหนึ่งรายใดเมื่อรวมกับจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ
ลงทุนในกิจการ ก่อภาระผูกพัน จำนวนเงินหรือมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ธนาคารพาณิชย์วางเป็นหลักประกันในธุรกรรมการยืมหลักทรัพย์
ธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน ธุรกรรมการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่ง ธุรกรรมแฟ็กเตอริงและจำนวนเงินตามสัญญาการทำธุรกรรม
Credit Derivative ที่ธนาคารพาณิชย์ซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิง
โดยไม่มีเงินสดรับมาเป็นประกันการรับประกันดังกล่าวกับคู่สัญญานั้น
เมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์
๔.๓.๒.๒ การคำนวณสำหรับผู้ยืม
(ก) ให้ถือว่าธนาคารพาณิชย์ผู้ยืมยังคงเป็นเจ้าของหลักทรัพย์ที่นำไปวางเป็นหลักประกันอยู่
เนื่องจากในที่สุดแล้วก็จะได้รับหลักทรัพย์ดังกล่าวคืน ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์จึงต้องปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
(ข) จำนวนเงินหรือมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ธนาคารพาณิชย์ผู้ยืมหลักทรัพย์ได้วางเป็นหลักประกันกับคู่สัญญารายหนึ่งรายใด
เมื่อรวมกับจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุนในกิจการ ก่อภาระผูกพัน มูลค่าของหลักทรัพย์ที่ธนาคารพาณิชย์ให้ยืมในธุรกรรมการให้ยืมหลักทรัพย์
ธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน ธุรกรรมการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่ง ธุรกรรมแฟ็กเตอริง
และจำนวนเงินตามสัญญาการทำธุรกรรม Credit Derivative ที่ธนาคารพาณิชย์ซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิง
โดยไม่มีเงินสดรับมาเป็นประกันการรับประกันดังกล่าวกับคู่สัญญานั้น เมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุน ชั้นที่
๑ ของธนาคารพาณิชย์
๔.๓.๒.๓ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยืมหรือให้ยืมหลักทรัพย์
โดยที่คู่กรณีมีการวางหลักประกันเป็นเงินสด เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ หรือตราสารที่ได้รับยกเว้นไม่อยู่ในบังคับตามมาตรา
๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้ธนาคารพาณิชย์ได้รับยกเว้นไม่ต้องคำนวณอัตราส่วนตามข้อ
๔.๓.๒.๑ และ ๔.๓.๒.๒ สำหรับส่วนที่มีการวางเงินสดเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ หรือตราสารดังกล่าวเป็นหลักประกัน
๔.๓.๒.๔ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ผู้ให้ยืมและผู้ยืมได้ปฏิบัติถูกต้องตามข้อ
๔.๓.๒.๑ - ๔.๓.๒.๓ แล้ว ต่อมาถ้ามูลค่าหลักทรัพย์ที่ให้ยืมในส่วนที่เกินกว่ามูลค่าหลักประกันที่ได้รับมา
(กรณีผู้ให้ยืม) หรือมูลค่าเงินสดหรือหลักทรัพย์ที่นำไปวางเป็นหลักประกันในส่วนที่เกินกว่ามูลค่าหลักทรัพย์ที่ได้ยืมมา
(กรณีผู้ยืม) เปลี่ยนแปลงจนมีผลทำให้อัตราส่วนดังกล่าวตามข้อ ๔.๓.๒.๑ หรือข้อ ๔.๓.๒.๒
เกินกว่าที่กำหนด ธนาคารพาณิชย์จะประกอบธุรกรรมการยืม และให้ยืมหลักทรัพย์กับคู่สัญญาดังกล่าวเพิ่มอีกไม่ได้
ส่วนการประกอบธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ที่เกิดขึ้นก่อนแล้ว มีผลผูกพันต่อไปตามสัญญาที่ทำไว้
๔.๓.๒.๕ ในการคำนวณอัตราส่วนตามข้อ ๔.๓.๒.๑ และ ๔.๓.๒.๒สำหรับช่วงเวลาที่ประกอบธุรกรรมอยู่นั้นจะต้องมีการตีมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ให้ยืมและหลักทรัพย์ที่ได้นำมาวางเป็นประกันให้มีมูลค่าตามราคาตลาด
(Mark to market) ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์จึงต้องถือปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก) ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ให้ยืมหรือหลักทรัพย์ที่ได้รับเป็นหลักประกัน
และธนาคารพาณิชย์ผู้ให้ยืมหลักทรัพย์มีการเรียกมาร์จินเพิ่ม หรือส่งคืนหลักประกัน ในการคำนวณอัตราส่วนดังกล่าว
ให้ธนาคารพาณิชย์นำมาร์จินที่เรียกเพิ่มหรือหลักประกันที่ส่งคืนมาบวกหรือหักออกจากหลักประกันที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าไปแล้ว
แล้วแต่กรณี
(ข) ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ยืมหรือหลักประกันที่นำไปวางเป็นประกัน
และธนาคารพาณิชย์ผู้ยืมหลักทรัพย์ต้องส่งมาร์จินเพิ่ม หรือได้รับหลักประกันคืน ในการคำนวณอัตราส่วนดังกล่าว
ให้ธนาคารพาณิชย์นำมาร์จินที่ต้องส่งเพิ่ม หรือหลักประกันที่ได้รับคืน มาบวกหรือหักออกจากหลักประกันที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าไปแล้วแล้วแต่กรณี
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของส่วนต่างของมาร์จิน
(Exposure) ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ตามมูลค่าของตลาดในช่วงเวลาก่อนที่จะมีการเรียกมาร์จินหรือหลักประกันเพิ่มนั้น
ในการคำนวณอัตราส่วนของลูกหนี้รายใหญ่ (Total
Exposure) ในข้อ ๔.๓.๒.๑ และ ๔.๓.๒.๒ ธนาคารพาณิชย์จะต้องนำมูลค่าส่วนต่างของมาร์จินที่กำหนดไว้ตอนเริ่มทำสัญญามาใช้ในการคำนวณอัตราส่วนของลูกหนี้รายใหญ่
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง Exposure ตลอดเวลาอันเนื่องจากการตีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
แต่ในการคำนวณจะไม่นำ Exposure ที่เกิดขึ้นจริงมาใช้ในการคำนวณแต่จะให้นำมูลค่าของ
Exposure เดิมตอนเริ่มทำสัญญามาใช้ในการคำนวณ
๔.๓.๓ การซื้อหรือมีหุ้น
ให้ถือว่าธนาคารพาณิชย์ผู้ให้ยืมหลักทรัพย์ประเภทตราสารทุนหรือธนาคารพาณิชย์ผู้ยืมหลักทรัพย์โดยนำหลักทรัพย์ประเภทตราสารทุนไปวางเป็นหลักประกันยังคงเป็นเจ้าของตราสารทุนนั้นอยู่
เนื่องจากในที่สุดแล้วก็จะได้รับตราสารทุนดังกล่าวคืน ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์
ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดและประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการซื้อหรือมีหุ้นมีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเป็นอัตราส่วนกับเงินกองทุน
๔.๓.๔ การซื้อหรือมีหน่วยลงทุน
ให้ถือว่าธนาคารพาณิชย์ผู้ให้ยืมหลักทรัพย์ประเภทหน่วยลงทุนหรือธนาคารพาณิชย์ผู้ยืมหลักทรัพย์โดยนำหลักทรัพย์ประเภทหน่วยลงทุนไปวางเป็นหลักประกันยังคงเป็นเจ้าของหน่วยลงทุนนั้นอยู่
เนื่องจากในที่สุดแล้วก็จะได้รับหน่วยลงทุนดังกล่าวคืน โดยระหว่างการให้ยืมหลักทรัพย์ประเภทหน่วยลงทุนหรือการยืมหลักทรัพย์โดยนำหน่วยลงทุนไปวางเป็นหลักประกันนั้นมิได้ทำให้หน่วยลงทุนในบัญชีของธนาคารพาณิชย์ลดลงแต่อย่างใด
และธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการในการลงทุนในหน่วยลงทุนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๓.๕ ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับวิธีการทำธุรกรรมระบบควบคุมภายใน
การจัดทำแบบรายงาน รวมทั้งข้อปฏิบัติหรือเงื่อนไขอื่นๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
นอกจากนี้จะต้องมีการตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย
อาทิเช่น ให้มีการบันทึกบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีหรือแนวปฏิบัติของสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย
๔.๓.๖ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจยับยั้งหรือสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์
และการขายชอร์ตได้ ในกรณีต่อไปนี้
(๑) ธนาคารพาณิชย์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒) กรณีอื่นๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่ากระทบกับความปลอดภัยหรือความผาสุกของประชาชน
๔.๔ หลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกรรมสำหรับธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
ในการประกอบธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์และการขายชอร์ต
ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยจะต้องปฏิบัติตามข้อ ๔.๒ - ๔.๓ เว้นแต่ เรื่องขอบเขตในการประกอบธุรกรรมและเรื่องการนับลูกหนี้รายใหญ่
๔.๔.๑ ขอบเขตในการประกอบธุรกรรม
ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถทำธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์
และการขายชอร์ตได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศนี้ โดยจำกัดขอบเขตให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถประกอบธุรกรรมได้เฉพาะเพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือเพื่อบริหารสินทรัพย์ของตนเอง
โดยต้องทำธุรกรรมกับคู่สัญญาที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ รวมทั้ง การประกอบธุรกรรมของธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยต้องเป็นไปตามขอบเขตที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๒๓
มกราคม ๒๕๔๗ รวมทั้งตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๔.๒ การนับลูกหนี้รายใหญ่
ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้อ
๔.๓.๒ ในการคำนวณจำนวนเงินสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถทำธุรกรรมยืมและให้ยืมหลักทรัพย์กับบุคคลหนึ่งบุคคลใด
แต่ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยนับธุรกรรมการให้สินเชื่อ หรือลงทุนในกิจการ หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด
รวมเข้ากับจำนวนเงินหรือมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยผู้ยืมหลักทรัพย์ได้วางเป็นหลักประกันกับคู่สัญญารายหนึ่งรายใด
มูลค่าของหลักทรัพย์ที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยให้ยืมในธุรกรรมการให้ยืมหลักทรัพย์ธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
ธุรกรรมการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่ง ธุรกรรมแฟ็กเตอริง และจำนวนเงินตามสัญญาการทำธุรกรรม
Credit Derivative ที่ธนาคารพาณิชย์ซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิง
โดยไม่มีเงินสดรับมาเป็นประกันการรับประกันดังกล่าวกับบุคคลนั้นเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
ต้องไม่เกินกว่าที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถทำได้ตามที่กำหนดไว้ในประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยให้สินเชื่อ
ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
๕[๑].
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
นันทนา/ผู้จัดทำ
๒๑ เมษายน ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๕๒ ง/หน้า ๖๖/๑๒ เมษายน ๒๕๔๙ |
487197 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริง (Factoring)
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริง (Factoring)
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์สามารถประกอบธุรกิจได้กว้างขวางขึ้นตามแนวทางของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
โดยธนาคารแห่งประเทศไทยมีเจตนารมณ์ที่จะให้การประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์กับลูกค้าเป็นไปตามลักษณะของธุรกรรมอย่างแท้จริงและมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม
และเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการเสริมสภาพคล่องสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small
and Medium Enterprises: SMEs) ให้มีเงินทุนหมุนเวียน
โดยการออกประกาศในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มเติมข้อกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงได้ตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริง
ตามที่กำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจ
๔. เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริง ลงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๔๗
๔.๒ หลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจ
การให้สินเชื่อในการประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงนั้นเป็นการให้สินเชื่อระยะสั้น
เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการ ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์จึงต้องมีความพร้อมในด้านระบบการวิเคราะห์สินเชื่อ
การบริหารความเสี่ยง การติดตามหนี้ และการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลเช่นเดียวกับที่ใช้ในการประกอบธุรกิจให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
นอกจากนั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้าและลูกหนี้เป็นหลัก มิใช่มุ่งเน้นเพียงการเพิ่มปริมาณธุรกรรม
เนื่องจากปัจจัยดังกล่าว จะมีผลกระทบโดยตรงต่อฐานะและผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์
หลักเกณฑ์การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยจะมุ่งเน้นให้ธนาคารพาณิชย์สามารถบริหารความเสี่ยงของตนเองได้อย่างเหมาะสม
โดยธนาคารพาณิชย์ต้องมีความรู้ความเข้าใจในลักษณะธุรกรรม ธุรกิจของลูกค้าและลูกหนี้และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี
และมีการกำหนดนโยบายและระเบียบวิธีปฏิบัติในการประกอบธุรกิจ รวมถึงระบบงานและระเบียบการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนและเหมาะสมเพียงพอที่จะรองรับการประกอบธุรกิจได้
และต้องมีระบบการควบคุมภายในที่ดี อาทิ จัดให้มีขั้นตอนและวิธีการประเมินเครดิตของลูกค้าและลูกหนี้อย่างเหมาะสม
เป็นต้น
๔.๒.๑ ในประกาศฉบับนี้
ธนาคารพาณิชย์ หมายความว่า
ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมาย ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ เพื่อรายย่อยตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๔๗
ธุรกิจแฟ็กเตอริง
หมายความว่า ธุรกิจที่ลูกค้าตกลงจะโอนหนี้ทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริง
โดยผู้ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงนั้นตกลงจะให้สินเชื่อ
ซึ่งรวมถึงการรับที่จะดำเนินธุรกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(๑) การบริหารบัญชีลูกหนี้
(๒) เรียกเก็บหนี้ทางการค้า
(๓) รับผิดชอบในหนี้ที่ลูกหนี้ของลูกค้าผิดนัด
ผู้ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงผู้ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงอื่น
ซึ่งรับโอนหรือตกลงที่จะรับโอนหนี้ทางการค้าจากผู้ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงตามวรรคหนึ่ง
และรับที่จะดำเนินการตาม (๑) (๒) หรือ (๓) ของวรรคหนึ่งด้วย
สัญญาแฟ็กเตอริง
หมายความว่า สัญญาที่ทำขึ้นระหว่างธนาคารพาณิชย์ฝ่ายหนึ่งกับลูกค้าอีกฝ่ายหนึ่ง โดยลูกค้าตกลงโอนและธนาคารพาณิชย์ตกลงรับโอนหนี้ทางการค้าที่ลูกค้ามีสิทธิเรียกร้องเหนือลูกหนี้
เพื่อดำเนินธุรกรรมภายใต้ธุรกิจแฟ็กเตอริง และให้หมายความรวมถึงกรณีที่ธนาคารพาณิชย์รับโอนหรือตกลงที่จะรับโอนหนี้ทางการค้าจากผู้ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงมาอีกทอดหนึ่งด้วย
สัญญาแฟ็กเตอริงแบบมีสิทธิไล่เบี้ย (With
Recourse) หมายความว่า
สัญญาแฟ็กเตอริงที่ธนาคารพาณิชย์มีสิทธิเรียกร้องหรือไล่เบี้ยให้ลูกค้าชำระหนี้แทนลูกหนี้หากลูกหนี้ผิดนัด
สัญญาแฟ็กเตอริงแบบไม่มีสิทธิไล่เบี้ย (Without
Recourse) หมายความว่า
สัญญาแฟ็กเตอริงที่ธนาคารพาณิชย์ไม่มีสิทธิเรียกร้องหรือไล่เบี้ยให้ลูกค้าชำระหนี้แทนลูกหนี้หากลูกหนี้ผิดนัด
ลูกค้า หมายความว่า ผู้ขายสินค้าหรือบริการแก่ลูกหนี้
และมีสิทธิได้รับชำระหนี้สำหรับจำนวนหนี้ทางการค้าจากลูกหนี้
ลูกหนี้ หมายความว่า ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการจากลูกค้าและมีหน้าที่ต้องชำระหนี้อันเนื่องมาจากหนี้ทางการค้าให้แก่ลูกค้า
ซึ่งต่อมาลูกค้าได้โอนสิทธิการรับชำระหนี้ทางการค้านั้นให้แก่ธนาคารพาณิชย์ตามสัญญาแฟ็กเตอริง
หนี้ทางการค้า
หมายความว่า เงินค่าสินค้าหรือบริการที่ลูกหนี้ต้องชำระให้แก่ลูกค้าอันเนื่องมาจากการขายสินค้าหรือบริการ
การบริหารบัญชีลูกหนี้
หมายความว่า การจัดทำทะเบียนและ/หรือรายงานบัญชีลูกหนี้ที่ลูกค้านำมาโอนให้แก่ธนาคารพาณิชย์ตามสัญญาแฟ็กเตอริง
การตรวจสอบข้อมูลเครดิตและสถานภาพของลูกหนี้ การควบคุมดูแลยอดหมุนเวียนและยอดคงค้างของลูกหนี้ให้เหมาะสม
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
๔.๒.๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงได้
โดยธนาคารพาณิชย์ที่จะประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริง ต้องมีคุณสมบัติและปฏิบัติตามข้อกำหนด
ดังต่อไปนี้
(๑) มีฐานะการเงินและฐานะการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ดี
สามารถกันเงินสำรองได้ครบถ้วนและดำรงอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์และภาระผูกพันไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดหรือสั่งการเป็นกรณีพิเศษ
รวมทั้งสามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ได้ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการสั่งการเป็นกรณีพิเศษด้วย
(๒) มีระบบงาน ระบบข้อมูล และมีบุคลากรเพียงพอ
เพื่อรองรับการทำธุรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบุคลากรดังกล่าวจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ
ความสามารถ และประสบการณ์เพียงพอ
(๓) ให้ความร่วมมือกับทางการในการปฏิบัติตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการปรับบทบาทและรูปแบบสถาบันการเงิน
โดยธนาคารพาณิชย์ที่มีสถาบันการเงินที่รับฝากเงินจากประชาชนอยู่ภายใต้กลุ่มธุรกิจเดียวกันมากกว่า
๑ แห่ง/รูปแบบ ต้องจัดทำแผนการควบกิจการ รวมกิจการ ขายกิจการ คืนใบอนุญาต รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากสถาบันการเงินแห่งอื่น
เพื่อการดำเนินการตามนโยบายสถาบันการเงิน ๑ รูปแบบ (One Presence) ตามแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงต้องยื่นหนังสือแสดงความจำนงที่จะประกอบธุรกิจดังกล่าวที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการธนาคารพาณิชย์
ให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารพาณิชย์ที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายสถาบันการเงิน ๑
รูปแบบ (One Presence) ของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินต้องให้การรับรองมาในหนังสือแสดงความจำนงดังกล่าวด้วย
ว่าจะปฏิบัติตามแผนการควบกิจการ รวมกิจการ ขายกิจการ คืนใบอนุญาต รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากสถาบันการเงินแห่งอื่น
เพื่อการดำเนินการตามนโยบายสถาบันการเงิน ๑ รูปแบบ (One Presence) ที่รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆ ที่รัฐมนตรีจะกำหนดประกอบการให้ความเห็นชอบ
ทั้งนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดส่งหนังสือแสดงความจำนงไปที่สายกำกับสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเมื่อธนาคารพาณิชย์ได้ยื่นหนังสือแสดงความจำนงแล้ว
ให้มีผลเป็นการอนุญาตเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับหนังสือดังกล่าว
เว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีข้อทักท้วงหรือให้ชี้แจงเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษร
ธนาคารพาณิชย์ต้องได้รับแจ้งการอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน
๔.๒.๓ ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงจะต้องมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับการทำธุรกรรม
ดังนี้
(๑) คณะกรรมการธนาคารพาณิชย์ต้องมีความรู้ความเข้าใจในธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
(๒) คณะกรรมการธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีระบบงานอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยเป็นผู้กำหนด อนุมัติ หรือให้ความเห็นชอบ นโยบาย กลยุทธ์ ขั้นตอนการปฏิบัติในการประกอบธุรกิจ
ระเบียบและวิธีการบริหารความเสี่ยง ระบบการควบคุมภายใน ระบบการจัดการและระบบบัญชี
(๓) ระบบงานที่เกี่ยวกับระเบียบและวิธีการบริหารความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงอย่างน้อยต้องครอบคลุมเรื่องดังต่อไปนี้
(ก) ระบบการวิเคราะห์เครดิตของลูกค้าและลูกหนี้
โดยเฉพาะกรณีการประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงแบบไม่มีสิทธิไล่เบี้ย ซึ่งต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลเครดิตลูกค้าและลูกหนี้ที่จะรับโอนทุกรายอย่างเพียงพอ
และมีระบบการกำหนดวงเงินสินเชื่อของลูกค้า โดยพิจารณาถึงหลักเกณฑ์หรือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการพิจารณาให้สินเชื่อตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วย
เช่น การกำหนดเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อที่จำเป็น ได้แก่ ใบกำกับสินค้า (Invoice) และเอกสารการค้าอื่นๆ เป็นต้น
(ข) ระบบการติดตามหนี้ที่รับโอนมาตามสัญญาแฟ็กเตอริง
ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ทราบข้อมูลเกี่ยวกับลูกหนี้และลูกค้า เช่น ความมีอยู่จริงของหนี้ทางการค้าที่รับโอน
คุณภาพการชำระหนี้ของลูกหนี้ คุณภาพสินค้าที่จัดส่ง และการปฏิบัติตามข้อตกลงการค้า
(ค) การบริหารความเสี่ยงด้วยเครื่องมือต่างๆ เช่น
การประกันภัย หรือการเรียกเงินประกันตามคุณภาพของลูกค้าและประเภทของธุรกรรม รวมทั้งการกระจายความเสี่ยงอันเกิดจากการกระจุกตัวของลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมประเภทใดประเภทหนึ่ง
เป็นต้น
(ง) ระบบการจัดเก็บข้อมูลและการจัดทำรายงานเพื่อการติดตามวิเคราะห์
และประเมินผลการประกอบธุรกิจ เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้
๔.๒.๔ เพื่อเป็นการเปิดเผยข้อมูลและทำความเข้าใจกับลูกค้าเกี่ยวกับธุรกรรม
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีสัญญาแฟ็กเตอริงเป็นหนังสือและมอบให้แก่ลูกค้าเก็บไว้เป็นหลักฐาน
๑ ฉบับ โดยในสัญญาดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
(๑) จำนวนวงเงินที่จะรับโอน
(๒) สิทธิเรียกร้องที่จะรับโอน หรือวิธีการเลือกสิทธิเรียกร้องดังกล่าว
(๓) วิธีการในการคำนวณอัตราดอกเบี้ย ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้าอย่างชัดเจน
โดยให้แนบรายละเอียดไว้กับคู่ฉบับของสัญญาที่มอบให้แก่ลูกค้า
(๔) ค่าใช้จ่ายและเบี้ยปรับต่างๆ
(๕) อายุสัญญา
ทั้งนี้ รายละเอียดตาม (๓) และ (๔) ธนาคารพาณิชย์อาจจัดทำเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาได้
๔.๒.๕ การแก้ไข เพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย
ค่าตอบแทน ผลประโยชน์ที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้า ค่าใช้จ่าย หรือเบี้ยปรับต่างๆ
ตามสัญญาแฟ็กเตอริงนั้น ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีหนังสือแจ้งให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๑๔ วันก่อนที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มิฉะนั้น ธนาคารพาณิชย์จะสามารถเรียกดอกเบี้ย
ค่าตอบแทนผลประโยชน์ที่เรียกเก็บจากลูกค้า ค่าใช้จ่าย หรือเบี้ยปรับต่างๆ ได้เพียงเท่าที่ระบุไว้ในสัญญา
๔.๓ หลักเกณฑ์การกำกับดูแล
๔.๓.๑ ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีที่ยอมรับทั่วไป
และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
๔.๓.๒ ในการคำนวณจำนวนเงินสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกรรมแฟ็กเตอริงกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด
ให้ธนาคารพาณิชย์นับธุรกรรมการให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการ
หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด รวมเข้ากับธุรกรรมแฟ็กเตอริง ธุรกรรมการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่ง
ธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน ธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และจำนวนเงินตามสัญญาการทำธุรกรรม
Credit Derivative ที่ธนาคารพาณิชย์ซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์
โดยไม่มีเงินสดรับมาเป็นประกันการรับประกันดังกล่าวกับบุคคลนั้น เมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ ในการคำนวณการทำธุรกรรมกับบุคคลหนึ่งบุคคลใดข้างต้น
ให้ปฏิบัติดังนี้
(๑) กรณีสัญญาแฟ็กเตอริงแบบมีสิทธิไล่เบี้ยให้นับลูกค้าที่นำสิทธิการรับชำระหนี้มาโอนแก่ธนาคารพาณิชย์ในการคำนวณ
(๒) กรณีสัญญาแฟ็กเตอริงแบบไม่มีสิทธิไล่เบี้ยให้นับลูกหนี้ในการคำนวณ
๔.๓.๓ ในการประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริง ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์การจัดชั้นและกันสำรอง
การดำรงเงินกองทุน การสอบทานเงินให้สินเชื่อและภาระผูกพัน และแบบรายงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งการระงับการรับรู้รายได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๓.๔ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจยับยั้งหรือสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงได้
ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) ธนาคารพาณิชย์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดข้างต้น
(๒) ธนาคารพาณิชย์ไม่ดำเนินการตามแผนการควบกิจการ
รวมกิจการขายกิจการ คืนใบอนุญาต รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากสถาบันการเงินแห่งอื่นเพื่อการดำเนินการตามนโยบายสถาบันการเงิน
๑ รูปแบบ (One Presence) ตามที่รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
(๓) ธนาคารพาณิชย์ไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนด
ประกอบการให้ความเห็นชอบแผนการควบกิจการ รวมกิจการ ขายกิจการ คืนใบอนุญาต รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากสถาบันการเงินแห่งอื่น
เพื่อการดำเนินการตามนโยบายสถาบันการเงิน ๑ รูปแบบ (One Presence)
(๔) กรณีอื่นๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่ากระทบกับความปลอดภัย
หรือผาสุกของประชาชน
๔.๔ หลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจสำหรับธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
ในการประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริง ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้อ
๔.๒ - ๔.๓ เว้นแต่ เรื่องขอบเขตในการประกอบธุรกิจ และเรื่องการนับลูกหนี้รายใหญ่
๔.๔.๑ ขอบเขตในการประกอบธุรกิจ
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริงได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศนี้
โดยจำกัดขอบเขตธุรกรรมเฉพาะธุรกิจแฟ็กเตอริงภายในประเทศ ซึ่งลูกค้าและลูกหนี้จะต้องเป็นผู้ประกอบการในประเทศและมีมูลหนี้ที่จะรับโอนสิทธิเรียกร้องในการรับชำระหนี้เป็นสกุลเงินบาท
ทั้งนี้ ขอบเขตการประกอบธุรกิจต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยตามประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๒๓
มกราคม ๒๕๔๗ รวมทั้ง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๔.๒ การนับลูกหนี้รายใหญ่
ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้อ
๔.๓.๒
ในการคำนวณจำนวนเงินสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถทำธุรกรรมแฟ็กเตอริงกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด
แต่ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยนับธุรกรรมการให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการหรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด
รวมเข้ากับธุรกรรมแฟ็กเตอริง ธุรกรรมการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่ง ธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
ธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และจำนวนเงินตามสัญญาการทำธุรกรรม Credit
Derivative ที่ธนาคารพาณิชย์ซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิง
โดยไม่มีเงินสดรับมาเป็นประกันการรับประกันดังกล่าวกับบุคคลนั้น เมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
ต้องไม่เกินกว่าที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถทำได้ตามที่กำหนดไว้ในประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
๕[๑].
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
นันทนา/ผู้จัดทำ
๒๑ เมษายน ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๕๒ ง/หน้า ๕๗/๑๒ เมษายน ๒๕๔๙ |
487195 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน (Private Repo)
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
(Private
Repo)
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดตราสารหนี้ เพิ่มช่องทางในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
และเป็นการพัฒนาตลาดเงินให้มีการกู้ยืมระหว่างสถาบันการเงิน
ในรูปแบบที่มีหลักประกันเพื่อลดความเสี่ยง และช่วยให้สถาบันการเงินสามารถบริหารความเสี่ยงได้คล่องตัวขึ้น
โดยการออกประกาศในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มเติมข้อกำหนดและขยายขอบเขตในการประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
ดังนี้
๑) กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนได้ตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๒) ขยายขอบเขตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนกับกองทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
๓) ขยายขอบเขตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนต่างสกุลเงิน
(Cross Currency) ระหว่างสกุลเงินบาทกับสกุลเงินต่างประเทศ กับคู่สัญญาที่เป็นสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ ทวิ และมาตรา ๑๓ จัตวา
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
(Private Repo) ตามที่กำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจ
๔. เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน (Private Repo) ลงวันที่
๙ กันยายน ๒๕๔๗
๔.๒ หลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกรรม
๔.๒.๑ ในประกาศฉบับนี้
ธนาคารพาณิชย์
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๔๗
ธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
หมายความว่า การประกอบธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาว่าจะขายคืนหรือซื้อคืน เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้กู้ยืมเงิน
หรือกู้ยืมเงินตามแต่กรณี โดยมีหลักประกันเป็นตราสาร ทั้งนี้ ธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนด้านการให้กู้ยืมเงินเป็นธุรกรรมภายใต้มาตรา
๔ ของพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว
เนื่องจากโดยลักษณะของธุรกรรมถือเป็นการให้กู้ยืมเงินโดยมีหลักประกัน
กองทุน หมายความว่า กองทุนต่างๆ
ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่
กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนประเภทอื่นๆ ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
จะกำหนดขึ้นในอนาคต
๔.๒.๒ คู่สัญญาในการทำธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
(ก) การให้กู้ยืมเงิน
๑) ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถให้กู้ยืมเงินบาทโดยใช้ตราสารหนี้สกุลเงินบาทในรูปแบบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนได้กับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทุกประเภทที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
๒) ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถให้กู้ยืมเป็นสกุลเงินต่างประเทศ
โดยใช้ตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศในรูปแบบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนได้
เฉพาะกับสถาบันการเงินในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. ๒๔๘๕ และนิติบุคคลหรือบุคคลที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
(Non-resident)
๓) ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถให้กู้ยืมเงินบาทโดยใช้ตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศ
หรือให้กู้ยืมเงินตราต่างประเทศโดยใช้ตราสารหนี้สกุลเงินบาท
ในรูปแบบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนกับสถาบันการเงินในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ
เกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศตามพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. ๒๔๘๕
(ข) การกู้ยืมเงิน
๑) ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกู้ยืมเงินบาทโดยใช้ตราสารหนี้สกุลเงินบาท
ในรูปแบบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนได้กับนิติบุคคลทุกประเภทที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย กองทุน สถาบันการเงินระหว่างประเทศที่ออกตราสารหนี้สกุลเงินบาทตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
และรัฐบาลหรือสถาบันการเงินของรัฐบาลต่างประเทศที่ออกตราสารหนี้สกุลเงินบาท
ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
๒) ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกู้ยืมเป็นสกุลเงินต่างประเทศ
โดยใช้ตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศในรูปแบบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนได้เฉพาะกับสถาบันการเงินในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ
เกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศตามพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. ๒๔๘๕
และนิติบุคคลหรือบุคคลที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (Non-resident)
๓) ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกู้ยืมเงินบาทโดยใช้ตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศ
หรือกู้ยืมเงินตราต่างประเทศโดยใช้ตราสารหนี้สกุลเงินบาท ในรูปแบบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนกับสถาบันการเงินในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ
เกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศตามพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. ๒๔๘๕
ทั้งนี้ ในการทำธุรกรรมการให้กู้ยืมหรือการกู้ยืมกับนิติบุคคลหรือบุคคลที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามกฎระเบียบในเรื่องมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่เกี่ยวข้องด้วย
๔.๒.๓ หลักทรัพย์ที่ใช้ในการทำธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
(ก) ให้ตราสารหนี้ที่เป็นเงินบาทดังต่อไปนี้ เป็นตราสารที่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ใช้ในการทำธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
๑) ตราสารหนี้ภาครัฐประเภทเดียวกับตราสารที่สามารถซื้อขายในตลาดซื้อคืนธนาคารแห่งประเทศไทย
เนื่องจากเป็นตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำและมีราคาตลาดที่อ้างอิงได้อย่างโปร่งใส ได้แก่
๑.๑) ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรรัฐบาล
๑.๒) พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
๑.๓) พันธบัตรรัฐวิสาหกิจและหุ้นกู้ที่รัฐบาลค้ำประกัน
๑.๔) พันธบัตรและตราสารการเงินอื่นใดที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบ
๒) ตราสารหนี้ที่เป็นเงินบาทที่ออกในประเทศไทย
ได้แก่
๒.๑) ตราสารหนี้ที่เป็นเงินบาทที่ออกโดยสถาบันการเงินระหว่างประเทศตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
๒.๒) ตราสารหนี้ที่เป็นเงินบาทที่ออกโดยรัฐบาลหรือสถาบันการเงินของรัฐบาลต่างประเทศตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
๒.๓) ตราสารหนี้สกุลเงินบาทที่ได้รับการจัดอันดับในระดับที่สูงกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้
๑ ระดับ กล่าวคือ ได้รับการจัดอันดับสูงกว่า BBB หรือเทียบเท่าขึ้นไปจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ข) ให้ตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศดังต่อไปนี้
เป็นตราสารที่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ใช้ในการทำธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
๑) พันธบัตรรัฐบาลไทยสกุลเงินตราต่างประเทศ
๒) พันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศสกุลเงินตราต่างประเทศ
๓) ตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศที่ออกโดยนิติบุคคลทั้งในและนอกประเทศ
ซึ่งได้รับการจัดอันดับในระดับที่สูงกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ ๑ ระดับ กล่าวคือ ได้รับการจัดอันดับสูงกว่า BBB หรือเทียบเท่าขึ้นไปจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ เช่น Fitch
Ratings Standard&Poors และ Moodys เป็นต้น
๔) หลักทรัพย์อื่นใดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๓ หลักเกณฑ์การกำกับดูแล
๔.๓.๑ ระบบการควบคุมภายใน
ให้ธนาคารพาณิชย์กำหนดให้มีระบบการควบคุมภายในขั้นต่ำ
ในเรื่องต่อไปนี้
(ก) นโยบายและระเบียบปฏิบัติในการประกอบธุรกิจ
(ข) นโยบายการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือและการกำหนดวงเงินคู่สัญญา
(ค) ระเบียบและวิธีการบริหารความเสี่ยงและระบบการควบคุมภายใน
เช่น
๑) หลักเกณฑ์การวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือและการกำหนดวงเงินคู่สัญญาก่อนการทำธุรกรรม
และการทบทวนความน่าเชื่อถือของคู่สัญญาภายหลังการทำธุรกรรมระยะหนึ่ง ทำนองเดียวกับการให้สินเชื่อ/ให้กู้ยืมโดยทั่วไป
๒) การบริหารความเสี่ยง
๓) การกำหนดคู่มือการปฏิบัติงาน
๔) การแยกหน้าที่ของ Dealer และ
Back Office ออกจากกันโดยเฉพาะการแยกหน้าที่เรื่องการทบทวนความน่าเชื่อถือของคู่ค้า
และการประเมินราคาหลักทรัพย์/หลักประกัน (Mark to Market) ออกจากหน้าที่ของ
Dealer
๕) การจัดทำทะเบียนคุมหลักทรัพย์/หลักประกันที่ได้จากการทำธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
๔.๓.๒ การดำรงเงินกองทุน
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันของธนาคารพาณิชย์และหนังสือเวียนธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุน
๔.๓.๓ การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
ในการทำธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังนี้
(ก)
ให้ผู้ให้กู้ยืมเงิน (ผู้ซื้อตราสาร) ซึ่งเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในตราสาร ณ
สิ้นวันใดวันหนึ่ง สามารถนับตราสารตามที่กำหนดไว้ในประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องและที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในตราสาร (Settlement
date) ในขณะเดียวกันผู้กู้ยืมเงิน (ผู้ขายตราสาร)
ซึ่งเป็นผู้โอนกรรมสิทธิ์ต้องไม่นับตราสารนั้นเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องในวันเดียวกัน
และเมื่อถึงวันครบกำหนดสัญญา Private Repo ผู้ให้กู้ยืมเงินต้องตัดตราสารดังกล่าวออกจากการนับเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องและผู้กู้ยืมเงินซึ่งรับคืนตราสาร
สามารถนับตราสารนั้นเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ในวันเดียวกัน
(ข) ให้นับมูลค่าตราสารที่ได้รับโอนมาเข้าเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องหรือการตัดมูลค่าตราสารออกจากการนับเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องตามนัยหนังสือ
ว่าด้วยการนับมูลค่าหลักทรัพย์ที่ใช้ในการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
๔.๓.๔ การนับลูกหนี้รายใหญ่
ให้ธนาคารพาณิชย์นับธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนรวมกับธุรกรรมปกติของลูกหนี้รายนั้น
ตามนัยมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว
ดังนี้
(ก) ให้ผู้ให้กู้ยืมเงิน (ผู้ซื้อตราสาร) นับจำนวนเงินที่ให้กู้ยืมดังกล่าว
ในการคำนวณการให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้รายใหญ่ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
ทั้งนี้ หากตราสารที่รับโอนมาได้รับยกเว้นไม่อยู่ในบังคับตามมาตรา ๑๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ผู้รับโอนตราสารได้รับยกเว้น ไม่ต้องนับเงินให้กู้ยืมในส่วนที่มีตราสารวางเป็นประกันดังกล่าวในการคำนวณข้างต้น
(ข) ให้ผู้กู้ยืมเงิน (ผู้ขายตราสาร) นับมูลค่าของตราสารที่โอนไปให้ผู้ให้กู้ยืมเงินในส่วนที่เกินกว่าเงินกู้ยืมที่ได้รับมาในการคำนวณตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา
๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว กล่าวคือ ให้ธนาคารพาณิชย์นับธุรกรรมการให้สินเชื่อ
หรือลงทุนในกิจการ หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด รวมเข้ากับมูลค่าของตราสารที่โอนไปให้ผู้ให้กู้ยืมเงินในส่วนที่เกินกว่าเงินกู้ยืมที่ได้รับมาในธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน
ธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ ธุรกรรมการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่ง ธุรกรรมแฟ็กเตอริง
และจำนวนเงินตามสัญญาการทำธุรกรรม Credit Derivative ที่ธนาคารพาณิชย์ซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิง
โดยไม่มีเงินสดรับมาเป็นประกันการรับประกันดังกล่าวกับบุคคลนั้น เมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์
(ค) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ผู้กู้ยืมเงิน (ผู้ขายตราสาร)
ได้ปฏิบัติถูกต้องตามข้อ ๔.๓.๔ (ข) แล้ว ต่อมาถ้ามูลค่าตราสารที่ธนาคารพาณิชย์โอนเป็นหลักประกันเปลี่ยนแปลงจนมีผลทำให้อัตราส่วนดังกล่าวตามข้อ
๔.๓.๔ (ข) เกินกว่าที่กำหนด ธนาคารพาณิชย์จะประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนกับคู่สัญญาดังกล่าวเพิ่มอีกไม่ได้
ส่วนการประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนที่เกิดขึ้นก่อนแล้ว มีผลผูกพันต่อไปตามสัญญาที่ทำไว้
(ง) ในการคำนวณอัตราส่วนตามข้อ ๔.๓.๔ (ก) และ ๔.๓.๔
(ข)
สำหรับช่วงเวลาที่ประกอบธุรกรรมอยู่นั้นจะต้องมีการตีมูลค่าของหลักทรัพย์ที่เป็นหลักประกันให้มีมูลค่าตามราคาตลาด
(Mark to market) ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์จึงต้องถือปฏิบัติดังต่อไปนี้
๑) ในกรณีที่ตราสารที่เป็นหลักประกันมีมูลค่าลดลง
ถ้าธนาคารพาณิชย์ผู้กู้ยืมเงินถูกเรียกมาร์จินเป็นเงินสด ให้ปรับลดยอดเงินกู้ยืมลงเท่าจำนวนเงินมาร์จินที่เพิ่มขึ้นแต่ถ้าถูกเรียกมาร์จินเป็นตราสาร
ให้ปรับมูลค่าของตราสารที่โอนเป็นหลักประกันโดยรวมตราสารที่เป็นมาร์จินเพิ่มขึ้นด้วย
๒) ในกรณีที่ตราสารที่เป็นหลักประกันมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ถ้าธนาคารพาณิชย์ผู้กู้ยืมเงินได้รับคืนมาร์จินเป็นเงินสด ให้ปรับเพิ่มยอดเงินกู้ยืมขึ้นเท่าจำนวนเงินที่ได้รับนั้น
แต่ถ้าได้รับคืนมาร์จินเป็นตราสาร ให้ลดจำนวนตราสารที่เป็นหลักประกันลงตามจำนวนตราสารที่ได้รับคืน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของส่วนต่างของมาร์จิน
(Exposure) ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ตามมูลค่าของตลาดในช่วงเวลาก่อนที่จะมีการเรียกมาร์จินหรือหลักประกันเพิ่มนั้น
ในการคำนวณอัตราส่วนของลูกหนี้รายใหญ่ (Total Exposure) ในข้อ
๔.๓.๔ (ก) และ ๔.๓.๔ (ข) ธนาคารพาณิชย์จะต้องนำมูลค่าส่วนต่างของมาร์จินที่กำหนดไว้ตอนเริ่มทำสัญญามาใช้ในการคำนวณอัตราส่วนของลูกหนี้รายใหญ่
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงส่วนต่างของมาร์จินตลอดเวลาอันเนื่องจากการตีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
แต่ในการคำนวณจะไม่นำส่วนต่างของมาร์จินที่เกิดขึ้นจริงมาใช้ในการคำนวณ แต่จะให้นำมูลค่าของส่วนต่างของมาร์จินเดิมตอนเริ่มทำสัญญามาใช้ในการคำนวณ
๔.๓.๕ การบันทึกบัญชี
ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีหรือแนวปฏิบัติของสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยหรือศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยแล้วแต่กรณี
และให้จัดทำทะเบียนเกี่ยวกับการซื้อหรือขายธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนเพื่อประโยชน์
ในการติดตามและควบคุมความถูกต้องของการทำธุรกรรม โดยในทะเบียนควรมีข้อมูลขั้นต่ำดังนี้
วันที่ทำสัญญา วันครบกำหนดสัญญา วันส่งมอบหลักทรัพย์ จำนวนเงินที่ทำธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนการดำรงมาร์จิน
รายละเอียดตราสารที่เกี่ยวข้อง เช่น เลขที่ตราสาร ชื่อผู้ออก จำนวนเงิน เป็นต้น
๔.๓.๖ การรายงาน
การรายงานธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนในแบบรายงานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องให้แสดงไว้ภายใต้หัวข้อเงินให้สินเชื่อ เงินกู้ยืม รายการระหว่างธนาคารและตลาดเงิน
สินทรัพย์อื่น หรือหนี้สินอื่น แล้วแต่กรณีจนกว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้ทำการปรับปรุงแก้ไขแบบรายงานที่เกี่ยวข้อง
และประกาศใช้ต่อไป
๔.๓.๗ การยับยั้งหรือสั่งเพิกถอน
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจยับยั้งหรือสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้ประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนได้
ในกรณีต่อไปนี้
(๑) ธนาคารพาณิชย์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒) กรณีอื่นๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่ากระทบกับความปลอดภัย
หรือความผาสุกของประชาชน
๔.๔ หลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกรรมสำหรับธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
ในการประกอบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้อ
๔.๒ - ๔.๓ เว้นแต่ เรื่องขอบเขตในการประกอบธุรกรรม และเรื่องการนับลูกหนี้รายใหญ่ ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยปฏิบัติ
ดังนี้
๔.๔.๑ ขอบเขตในการประกอบธุรกรรม
(ก) การให้กู้ยืมเงิน
ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถให้กู้ยืมเงินบาทโดยใช้ตราสารหนี้สกุลเงินบาทในรูปแบบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนได้กับคู่สัญญาตามขอบเขตที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๒๓
มกราคม ๒๕๔๗ รวมทั้ง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(ข) การกู้ยืมเงิน
ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถกู้ยืมเงินบาทโดยใช้ตราสารหนี้สกุลเงินบาท
ในรูปแบบธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนได้กับนิติบุคคลทุกประเภทที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
กองทุน สถาบันการเงินระหว่างประเทศที่ออกตราสารหนี้สกุลเงินบาทตามที่กระทรวงการคลังกำหนดและรัฐบาลหรือสถาบันการเงินของรัฐบาลต่างประเทศที่ออกตราสารหนี้สกุลเงินบาทตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
๔.๔.๒ การนับลูกหนี้รายใหญ่
ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้อ
๔.๓.๔ ในการคำนวณจำนวนเงินสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถทำธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชนกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด
แต่ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยนับธุรกรรมการให้สินเชื่อ หรือลงทุนในกิจการหรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด
รวมเข้ากับมูลค่าของตราสารที่โอนไปให้ผู้ให้กู้ยืมเงิน
ในส่วนที่เกินกว่าเงินกู้ยืมที่ได้รับมาในธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน ธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ธุรกรรมการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่ง
ธุรกรรมแฟ็กเตอริง และจำนวนเงินตามสัญญาการทำธุรกรรม Credit Derivative ที่ธนาคารพาณิชย์ซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิง
โดยไม่มีเงินสดรับมาเป็นประกันการรับประกันดังกล่าวกับบุคคลนั้น เมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
ต้องไม่เกินกว่าที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถทำได้ตามที่กำหนดไว้ในประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพัน
เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
๕[๑].
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
นันทนา/ผู้จัดทำ
๒๑ เมษายน ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๕๒ ง/หน้า ๔๗/๑๒ เมษายน ๒๕๔๙ |
484305 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดกรณีการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด | ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
กรณีการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ที่
คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๔๗ และเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ.
๒๕๔๘ เห็นชอบมาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่กำหนดให้ลดภาระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์หรือห้องชุดระหว่างสถาบันการเงินที่โอนสินทรัพย์หรือหนี้สินตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินกรณีที่มีทุนทรัพย์
เป็นอัตราร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเพื่อส่งเสริมให้มีบริการทางการเงินที่จำเป็นแก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบสถาบันการเงิน
เพื่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงออกประกาศไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
สถาบันการเงิน
หมายความว่า
(๑) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(๒) บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์
และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(๓) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงิน เพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม
(๔) นิติบุคคลอื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้เป็นสถาบันการเงินตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรเกี่ยวกับการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ข้อ ๒ ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองห้องชุดกรณีที่มีทุนทรัพย์
ในอัตราร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่ง สำหรับสถาบันการเงินที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่กันตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่
๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ทั้งนี้ เฉพาะการจดทะเบียนโอนหรือการจดทะเบียนจำนองที่ได้กระทำระหว่างวันที่
๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ข้อ ๓[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
พลอากาศเอก
คงศักดิ์ วันทนา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
นันทนา/ผู้จัดทำ
๓๑ มีนาคม ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๔๓ ง/หน้า ๔/๒๗ มีนาคม ๒๕๔๙ |
484295 | ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดกรณีการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
| ประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
กรณีการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ที่
คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๔๗ และเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ.
๒๕๔๘ เห็นชอบมาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่กำหนดให้ลดภาระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์หรือห้องชุดระหว่างสถาบันการเงินที่โอนสินทรัพย์หรือหนี้สินตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินกรณีที่มีทุนทรัพย์
เป็นอัตราร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเพื่อส่งเสริมให้มีบริการทางการเงินที่จำเป็นแก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบสถาบันการเงิน
เพื่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
สถาบันการเงิน
หมายความว่า
(๑) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(๒) บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์
และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(๓) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงิน
เพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม
(๔) นิติบุคคลอื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้เป็นสถาบันการเงินตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรเกี่ยวกับการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ข้อ ๒ ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองห้องชุดกรณีที่มีทุนทรัพย์
ในอัตราร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่ง สำหรับสถาบันการเงินที่ควบเข้ากัน
หรือโอนกิจการทั้งหมด
หรือบางส่วนให้แก่กันตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่
๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ทั้งนี้ เฉพาะการจดทะเบียนโอนหรือการจดทะเบียนจำนองที่ได้กระทำระหว่างวันที่
๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
ข้อ ๓[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
พลอากาศเอก
คงศักดิ์ วันทนา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
นันทนา/ผู้จัดทำ
๓๑ มีนาคม ๒๕๔๙
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๔๓ ง/หน้า ๒/๒๗ มีนาคม ๒๕๔๙ |
477535 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ
ดำรงเงินกองทุน
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เงินกองทุนย่อมแสดงถึงความสามารถของสถาบันการเงินในการรองรับหรือชดเชยผลขาดทุนที่ไม่คาดไว้ล่วงหน้า
(Unexpected Losses) สถาบันการเงินที่ดำรงเงินกองทุนในอัตราส่วนที่สูงเพียงพอต่อความเสี่ยงของแต่ละสถาบันการเงินจะสร้างความมั่นใจแก่ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ว่าสถาบันการเงินมีความสามารถที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำไว้ได้
และส่งผลให้เกิดความมั่นคงและเสถียรภาพแก่ระบบสถาบันการเงิน ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงกำหนดให้สถาบันการเงินดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพัน
การปรับปรุงประกาศว่าด้วยการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุนในครั้งนี้
มีวัตถุประสงค์
๑. เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการระดมเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ตามหลักเกณฑ์มาตรฐานสากลโดยอนุญาตให้มีเงินกองทุนชั้นที่
๑ ในรูปของตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่ไม่สะสมดอกเบี้ยจ่าย และไม่ชำระดอกเบี้ยในปีที่ไม่มีผลกำไร
(Hybrid Tier 1) ได้ ทั้งนี้ จะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญอยู่หลายประการ
ประการหนึ่งก็คือต้องรองรับผลขาดทุนของธนาคารพาณิชย์ได้ในระหว่างการดำเนินการทำนองใกล้เคียงกับหุ้นสามัญ
(Absorb losses on a going-concern basis)
๒. เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้อย่างทั่วถึง
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุนตามที่กำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
๔. การยกเลิกประกาศเดิม
ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน
ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๘
๕. หลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุน
๕.๑
องค์ประกอบของเงินกองทุน
เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ ได้แก่
(๑) ทุนชำระแล้ว ซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับ
และเงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๒) ทุนสำรองตามกฎหมาย
(๓) เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น
หรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้
(๔) กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรร
(๕) เงินสำรองจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินและอาคาร
ตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๖) เงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ซึ่งได้กันไว้ตามนัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะนับเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติเข้าเป็นเงินกองทุนได้ไม่เกินร้อยละ
๑.๒๕ ของยอดสินทรัพย์เสี่ยง
(๗) เงินสำรองจากการตีราคาตราสารทุนประเภทเผื่อขายตามมาตรฐานการบัญชี
เรื่อง การบัญชีสำหรับเงินลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนและที่จะได้แก้ไขเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังนี้
(ก) ในกรณีที่มูลค่าสุทธิจากการตีราคาเป็นส่วนเกินทุน
ให้ธนาคารพาณิชย์นับส่วนเกินทุนดังกล่าวเป็นเงินกองทุนของงวดการบัญชีรอบระยะเวลาหกเดือนของธนาคารพาณิชย์นั้นได้ไม่เกินร้อยละ
๔๕ ของยอดมูลค่าสุทธิส่วนเกินทุนดังกล่าว
(ข) ในกรณีที่มูลค่าสุทธิจากการตีราคาเป็นส่วนขาดทุน
ให้ธนาคารพาณิชย์หักส่วนที่ขาดทุนดังกล่าวออกจากเงินกองทุนทั้งสิ้นของงวดการบัญชีรอบระยะเวลาหกเดือนของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๘) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญ
๒ ประเภท ดังนี้
(ก) ตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่ไม่สะสมดอกเบี้ยจ่ายและไม่ชำระดอกเบี้ยในปีที่ไม่มีผลกำไร
ให้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ได้ (Hybrid Tier 1) ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(ข) ตราสารที่มีลักษณะคล้ายทุน และตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะยาวที่สามารถสะสมเงินปันผลหรือดอกเบี้ยจ่ายได้
ให้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ ๒ ได้ (Hybrid Tier 2) ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เงินกองทุนส่วนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) และ (๔) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกก่อน
และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และให้หักมูลค่าของหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้ซื้อคืนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดออกจากเงินกองทุนใน
(๑) และ (๔) ด้วยวิธีราคาตามมูลค่าตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีเกี่ยวกับหุ้นซื้อคืนของกิจการและที่จะแก้ไขเพิ่มเติม
หรือตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗)
และ (๘) ให้หักเงินตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(ก) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดถือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญตาม
(๘) ของบริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์อื่น ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นหักเงินตามตราสารดังกล่าวตามมูลค่าที่บริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์ผู้ออกตราสารนั้นได้รับอนุญาตให้นับเป็นเงินกองทุนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับบริษัทเงินทุน
หรือประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับธนาคารพาณิชย์แล้วแต่กรณี
(ข) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดเป็นผู้ลงทุนในตราสารประเภท
Credit Linked Notes ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญตาม
(๘) ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่น ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นหักเงินตามตราสารที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าวตามมูลค่าที่บริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์ผู้ออกตราสารนั้นได้รับอนุญาตให้นับเป็นเงินกองทุนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับบริษัทเงินทุน
หรือประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับธนาคารพาณิชย์แล้วแต่กรณี
(ค) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดถือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่สิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญตาม
(๘) ของบริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์อื่น และธนาคารพาณิชย์นั้นได้ออกและขายตราสารประเภท
Credit Linked Notes ให้กับบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่นโดยมีตราสารดังกล่าวเป็นสินทรัพย์อ้างอิง
ธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ต้องหักเงินตามตราสารที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าวตราบเท่าอายุของตราสารประเภท
Credit Linked Notes นั้น
๕.๒ ประเภทของเงินกองทุน
(๑) เงินกองทุนชั้นที่ ๑ ให้ประกอบด้วย
(ก) เงินกองทุนที่ระบุในข้อ ๕.๑ (๑) ถึง ๕.๑ (๔)
แต่ในกรณีที่มีการออกหุ้นบุริมสิทธิตามข้อ ๕.๑ (๑) หากเป็นชนิดที่สะสมเงินปันผลได้ไม่ให้นับรวมอยู่ในเงินกองทุนชั้นที่
๑
(ข) เงินกองทุนที่ระบุในข้อ ๕.๑ (๘) (ก) ตามจำนวน
หลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒) เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ให้ประกอบด้วย
(ก) เงินกองทุนที่ระบุในข้อ ๕.๑ (๕) ถึง ๕.๑ (๗)
(ข) เงินกองทุนที่ระบุในข้อ ๕.๑ (๘) (ก) ในส่วนที่เหลือจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่
๑
(ค) เงินกองทุนที่ระบุในข้อ ๕.๑ (๘) (ข) ตามจำนวน
หลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(ง) หุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสมเงินปันผลตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๕.๓ อัตราส่วนการดำรงเงินกองทุน
ให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุนเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
เป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘.๕ โดยมีเงื่อนไขว่าเงินกองทุนชั้นที่
๑ ต้องเป็นอัตราส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔.๒๕ ของสินทรัพย์และภาระผูกพันดังกล่าว ทั้งนี้
เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ต้องมีจำนวนสูงสุดไม่เกินเงินกองทุนชั้นที่ ๑
การดำรงเงินกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อ
๕.๔ ถึง ๕.๖
๕.๔ วิธีการคำนวณเงินกองทุน
ในการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันตาม
๕.๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้
(๑) นำรายการในงบการเงินทางด้านสินทรัพย์ทุกรายการ
และภาระผูกพันทุกรายการ ทั้งนี้ ให้รวมทุกสำนักงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยใช้มูลค่าตามบัญชี
ณ วันที่รายงานมาคำนวณกับน้ำหนักความเสี่ยง ส่วนสินทรัพย์และภาระผูกพันที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้แปลงค่าเป็นเงินบาทก่อน
โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะประกาศทุกเช้าวันทำการถัดไปของวันจัดทำรายงาน
ทั้งนี้ให้ใช้อัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อถัวเฉลี่ยขั้นต่ำสุดและอัตราขายถัวเฉลี่ย
สำหรับสกุลเงินซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงไว้ ให้ใช้วิธีคำนวณจากอัตราไขว้
(Cross Rate)
(๒) คูณสินทรัพย์แต่ละรายการด้วยน้ำหนักความเสี่ยงตามที่กำหนดไว้ใน
๕.๕
(๓) คูณภาระผูกพันแต่ละรายการด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit
Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ใน ๕.๖ แล้วนำค่าที่ได้คูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดไว้ใน
๕.๕ อีกครั้งหนึ่ง
(๔) รวมผลคูณของสินทรัพย์ตาม (๒) และภาระผูกพันตาม
(๓) ทุกรายการและนำเงินกองทุนมาคำนวณอัตราส่วนกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยเงินกองทุนต้องเป็นอัตราส่วนกับผลลัพธ์ดังกล่าวไม่ต่ำกว่าที่กำหนดใน
๕.๓
(๕) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ หรือลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้
โดยมีสัญญารับความเสี่ยงกำหนดให้การชำระหนี้คืนดังกล่าวอิงกับเหตุการณ์ที่กำหนดขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้
(Credit Event) ของสินทรัพย์อ้างอิง (Reference Asset) และธนาคารพาณิชย์ตกลงรับความเสี่ยงด้านเครดิต
(Credit Risk) ของสินทรัพย์อ้างอิงนั้น ให้ธนาคารพาณิชย์นำผลคูณน้ำหนักความเสี่ยงของเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในตราสารดังกล่าวเปรียบเทียบผลคูณน้ำหนักความเสี่ยงของสัญญารับความเสี่ยง
และใช้เฉพาะผลคูณที่สูงกว่าในการคำนวณผลลัพธ์ตาม (๔)
๕.๕ น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท
ก. น้ำหนักความเสี่ยง
๐
(๑)
เงินสดที่เป็นเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ
(๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓) เงินลงทุนในตลาดซื้อขายพันธบัตร โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืน
หรือขายคืน ซึ่งดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รวมดอกเบี้ยค้างรับ
(๔) เงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์
ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหลักทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ข้างต้นเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๕) เงินให้สินเชื่อที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยหรือเงินให้สินเชื่อใด
ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้
(๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางของประเทศในกลุ่มประเทศ
OECD[๑]
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกัน
โดยปราศจากเงื่อนไข หรือที่มีหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางของประเทศนอกกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องเป็นสกุลเงินของประเทศนั้น และไม่เกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น
(๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
หรือนิติบุคคลที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นเต็มจำนวน รวมถึงเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งนิติบุคคลดังกล่าวรับรอง
รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลดังกล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๙)
เงินให้สินเชื่อที่มีสิทธิ ซึ่งมีตราสารการฝากเงินซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์นั้น
หรือมีเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์นั้นยึดถือไว้ เป็นประกัน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าตามตราสาร
หรือจำนวนเงินตามเงินสด นั้น
(๑๐) ยอดเหลื่อมบัญชีระหว่างสำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๑๑) ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี
(๑๒) เงินให้สินเชื่อเฉพาะส่วนซึ่งเท่ากับจำนวนที่ได้กันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
(๑๓) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
(๑๔) เงินสดระหว่างเรียกเก็บเพื่อประโยชน์ของลูกค้า
(๑๕) ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจจำกัด
(มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว
๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ในส่วนที่เป็นต้นเงินตามหน้าตั๋วและดอกเบี้ยค้างรับ
(๑๖) เงินให้สินเชื่อในส่วนที่มีตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ
จำกัด (มหาชน) หรือบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว
๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ จำนำเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๑๗) เงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้
โดยมีบุคคลอื่นทำสัญญากับธนาคารพาณิชย์นั้นตกลงว่า บุคคลอื่นจะรับความเสี่ยงด้านเครดิต
(Credit Risk) ในเงินให้สินเชื่อหรือตราสารดังกล่าว ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าจำนวนเงินที่ผู้รับความเสี่ยงวางไว้เป็นประกัน
หรือจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นมีสิทธิหักกลบลบหนี้กับผู้รับความเสี่ยง
ข. น้ำหนักความเสี่ยง
๐.๒
(๑) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์รับรอง รับอาวัลค้ำประกัน
หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์เป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์
ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน
หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๓) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยบริษัทเงินทุน
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัลค้ำประกัน
หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อซึ่งมีตราสารที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๔) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัลค้ำ
ประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อ ที่มีตราสารซึ่งออกโดยสถาบันที่กล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๕) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว
รับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตรวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว
เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐในกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง
รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสาร ซึ่งออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การระหว่างประเทศ[๒]
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีองค์การดังกล่าวรับรอง รับอาวัลหรือค้ำประกัน
รวมทั้งเงินให้สินเชื่อ ที่มีตราสารซึ่งออกโดยองค์การดังกล่าว เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง
รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตรวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือไม่เกิน ๑ ปี
(๙) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต
หรือเงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเอกสารประเภทอื่น ที่ธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศรับผิดชอบในการชำระค่าสินค้าแทนผู้ซื้อ
แต่ในกรณีผู้ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือธนาคารพาณิชย์ที่รับผิดชอบในการชำระค่าสินค้าเป็นธนาคารจดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศ
OECD จะต้องมีระยะเวลาคงเหลือของเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือระยะเวลาที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องชำระค่าสินค้าไม่เกิน
๑ ปี
(๑๐) เงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้แต่สำนักงบประมาณมิได้จัดสรรเงินชำระหนี้ให้จนล่วงพ้นระยะเวลาที่ถึงกำหนดชำระเกินกว่า
๒ ปีขึ้นไป
(๑๑) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกที่มีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยรับประกัน
ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่ได้มีการโอนสิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ให้ธนาคารพาณิชย์แล้ว
(๑๒) เงินลงทุนในหลักทรัพย์ หรือหน่วยลงทุน รวมทั้งผลตอบแทนค้างรับทั้งนี้
เฉพาะจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังทำสัญญาให้ความคุ้มครองหรือตกลงเป็นผู้รับความเสี่ยง
ค. น้ำหนักความเสี่ยง
๐.๓๕
เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา
โดยธนาคารพาณิชย์รับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน ทั้งนี้
ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อคงค้าง รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
ทั้งนี้ วงเงินให้สินเชื่อแต่ละราย จักต้อง
(ก) ไม่เกิน ๓ ล้านบาท และ
(ข) มีสัดส่วนไม่เกินร้อยละ ๐.๒ ของยอดรวมวงเงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดาตาม
(ก) รวมกับวงเงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อย และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตาม จ.
ง. น้ำหนักความเสี่ยง
๐.๕
(๑) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยเทศบาลหรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีเทศบาลรับรอง
รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยเทศบาลเป็นประกัน
(๒) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา
โดยธนาคารพาณิชย์รับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน ทั้งนี้
ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อคงค้าง รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
ที่นอกเหนือจาก ค.
(๓) ภาระผูกพันที่เป็นสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน
หรืออัตราดอกเบี้ยซึ่งได้คูณด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ใน
๕.๖ แล้ว เว้นแต่คู่สัญญาจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีน้ำหนักความเสี่ยงต่ำกว่า ๐.๕
จ. น้ำหนักความเสี่ยง
๐.๗๕
(๑) เงินให้สินเชื่อมีหลักประกันแก่ประชาชนรายย่อยรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
ที่มีวงเงินไม่เกิน ๓ ล้านบาท
(๒) เงินให้สินเชื่อไม่มีหลักประกันแก่ประชาชนรายย่อยรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับที่มีวงเงินไม่เกิน
๑ แสนบาท
(๓) เงินให้สินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับที่มีวงเงินไม่เกิน
๕๐ ล้านบาท
ทั้งนี้ วงเงินให้สินเชื่อแต่ละราย จักต้อง
(ก) นับรวมวงเงินสินเชื่อแก่บุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
(ข) เมื่อนับรวม (ก) แล้ว ต้องมีสัดส่วนไม่เกินร้อยละ
๐.๒ ของยอดรวมวงเงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดาตาม ค. รวมกับวงเงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อย
และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตาม (๑) (๒) และ (๓)
ฉ. น้ำหนักความเสี่ยง
๑.๐
(๑) เงินให้สินเชื่อแก่ภาคเอกชนและดอกเบี้ยค้างรับ
(๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง
รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือเกิน ๑ ปี
(๓) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาล
หรือธนาคารกลางนอกกลุ่มประเทศ OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาล
หรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมิใช่เงินสกุลของประเทศนั้น
หรือมีจำนวนเกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น
(๔) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ซึ่งมีน้ำหนักความเสี่ยง ๐.๓๕ ตาม ค. ที่กลายเป็นเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ
(NPL) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๕) เงินลงทุนในหน่วยลงทุน
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์สามารถคำนวณมูลค่าสุทธิของหน่วยลงทุนใดตามมูลค่าสุทธิของสินทรัพย์ที่กองทุนผู้ออกหน่วยลงทุนนั้นถืออยู่ในแต่ละวันได้
ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเลือกใช้น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์ดังกล่าวตามสัดส่วน ประเภทและจำนวนที่กองทุนนั้นลงทุนจริงตามแต่กรณีตามประกาศนี้
แทนน้ำหนักความเสี่ยงใน ฉ. ได้
(๖) ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินทรัพย์ประจำอื่นๆ และทรัพย์สินรอการขาย
(๗) สินทรัพย์อื่นๆ ที่มิได้ระบุน้ำหนักความเสี่ยงไว้ใน
๕.๕ นี้
ทั้งนี้ เงินฝาก หรือเงินให้สินเชื่อ ในแต่ละรายการข้างต้น
ให้หมายความรวมถึงลูกหนี้อื่นๆ (สิทธิเรียกร้องในทางกฎหมาย) ที่เกิดจากธุรกรรมการซื้อหรือขายตราสาร
โดยมีสัญญาว่าจะขายหรือจะซื้อคืน (Repo) และธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์
(Securities Borrowing and Lending) เช่น ลูกหนี้ตามสัญญาซื้อคืน ลูกหนี้ตามสัญญาให้ยืมหลักทรัพย์
ลูกหนี้มาร์จิ้นที่โอนและลูกหนี้วางเงินสดเป็นประกัน เป็นต้น
ช. น้ำหนักความเสี่ยง
๑.๕
เงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
ซึ่งมีน้ำหนักความเสี่ยง ๐.๗๕ ตาม จ. ที่กลายเป็นเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL)
ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๕.๖ ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ของภาระผูกพันแต่ละประเภท
ก. ค่าแปลงสภาพ
(Credit Conversion Factor) ๑.๐
(๑) การรับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
และค้ำประกันการขาย ขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
(๒) การสลักหลังตั๋วเงินแบบผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย
(With Recourse)
(๓) สัญญาการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามโดยปราศจากเงื่อนไข
(๔) การค้ำประกัน การรับประกัน หรือการก่อภาระผูกพันในรูปแบบใดๆ
ของธนาคารพาณิชย์ อันเนื่องมาจากการขายสินทรัพย์
(๕) ภาระผูกพันตามสัญญาขายตราสารโดยมีเงื่อนไขจะซื้อคืนตามวิธีการคำนวณที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๖) ภาระผูกพันตามสัญญายืมและให้ยืมหลักทรัพย์
(Securities Borrowing and Lending) ตามวิธีการคำนวณที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๗) ภาระผูกพันตามสัญญาหรือข้อตกลงการรับประกันความเสี่ยงซึ่งได้แก่
สัญญาที่ธนาคารพาณิชย์รับโอนความเสี่ยงด้านเครดิตหรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตจากคู่สัญญา
โดยตกลงจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง หรือรับความเสียหายเนื่องจากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับคืนเงินให้สินเชื่อ
หรือเงินลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือมีเหตุการณ์เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญา (Credit
Event) เกิดขึ้น
ข. ค่าแปลงสภาพ
(Credit Conversion Factor) ๐.๕
(๑) ภาระผูกพันซึ่งขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของลูกค้า
เช่น ค้ำประกันการรับเหมาก่อสร้าง ค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา เป็นต้น
(๒) การประกันการจำหน่ายตราสารหรือหลักทรัพย์
ค. ค่าแปลงสภาพ
(Credit Conversion Factor) ๐.๒
ภาระผูกพันเพื่อการนำสินค้าเข้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตทั้งที่มีเอกสารประกอบแล้ว
และยังไม่มีเอกสารประกอบ
ง. ค่าแปลงสภาพ
(Credit Conversion Factor) ๐
(๑) ตั๋วเงินเพื่อเรียกเก็บ
(๒) วงเงินที่ลูกค้ายังมิได้ใช้
(๓) ค้ำประกันการออกของ (Shipping
Guarantee)
(๔) ภาระผูกพันที่ธนาคารพาณิชย์สามารถบอกยกเลิกเมื่อใดก็ได้
(๕) ภาระผูกพันอื่นๆ ที่มิได้ระบุค่าแปลงสภาพ (Credit
Conversion Factor) ไว้ใน ๕.๖ นี้
จ. ค่าแปลงสภาพ
(Credit Conversion Factor) สำหรับสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย
อายุสัญญาที่เหลือ สัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน สัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ไม่เกิน ๑๔ วัน ๐ ๐
ไม่เกิน ๑ ปี ๐.๐๒ ๐.๐๐๕
ตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๐.๐๕ ๐.๐๑
สัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนได้แก่สัญญาดังต่อไปนี้
Cross currency interest rate swaps
Forward foreign exchange contracts
Currency futures
Currency option purchase
สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน
สัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยได้แก่
Single currency interest rate swaps
Basis swaps
Forward rate agreements
Interest rate futures
Interest rate option purchase
สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน
ในกรณีที่ลูกค้ารายเดียวกันทำสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนหรือสัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยทั้งทางด้านซื้อและด้านขาย
ให้คูณจำนวนเงินด้านซื้อและด้านขายด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ก่อน และนำค่าที่ได้มาหักกลบกัน แล้วจึงนำจำนวนสุทธิไปคูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดใน
๕.๕
๖. บทเฉพาะกาล
๖.๑ เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดาตาม
๕.๕ ค. ที่มีอยู่ก่อนวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ธนาคารพาณิชย์สามารถเลือกใช้น้ำหนักความเสี่ยง
๐.๕ ตาม ๕.๕ ง. ในการคำนวณเพื่อดำรงเงินกองทุนได้ เมื่อธนาคารพาณิชย์เลือกที่จะใช้น้ำหนักความเสี่ยงดังกล่าวแล้วจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้
๖.๒ เงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตาม
๕.๕ จ. ที่มีอยู่ก่อนวันที่ ๗ กุมภาพันธ์
๒๕๔๙ ธนาคารพาณิชย์สามารถเลือกใช้น้ำหนักความเสี่ยง ๑.๐ ตาม ๕.๕ ฉ. ในการคำนวณเพื่อดำรงเงินกองทุนได้
เมื่อธนาคารพาณิชย์เลือกที่จะใช้น้ำหนักความเสี่ยงดังกล่าวแล้วจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้
๗.[๓]
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
นันทนา/ผู้จัดทำ
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
[๑] กลุ่มประเทศ
OECD ในประกาศฉบับนี้
หมายถึง ประเทศสมาชิกของ Organization for Economic Co-operation and Development และประเทศที่มีฐานะการเงินเทียบเท่า
ได้แก่ ออสเตรเลีย ออสเตรีย เบลเยียม แคนาดา สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส
เยอรมนี กรีซ ฮังการี ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ลักเซมเบิร์ก เม็กซิโก
เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ โปรตุเกส สาธารณรัฐสโลวัก สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์
ตุรกี อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย
[๒] องค์การระหว่างประเทศ
หมายถึง European
Investment Bank (EIB) European Bank for Reconstruction and Development (EBRD) International Bank for
Reconstruction and Development (IBRD) including International Finance
Corporation (IFC) Inter-American Development Bank (IADB) African Development
Bank (AfDB) Asian Development Bank (AsDB) Caribbean Development Bank (CDB) และ
Nordic
Investment Bank (NIB)
[๓] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๒๐ ง/หน้า ๑๔/๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ |
477533 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุนหรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน
หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อกำหนดแนวทางการกำกับให้ธนาคารพาณิชย์มีการให้สินเชื่อ
ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดด้วยความรัดกุม มีระบบการประเมิน บริหารและควบคุมความเสี่ยงที่เกิดจากธุรกรรมดังกล่าวที่มีประสิทธิภาพ
และปรับปรุงแนวทางการกำกับดูแลการคำนวณภาระผูกพันสำหรับการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินให้รองรับพัฒนาการในตลาดการเงิน
๒. อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ และมาตรา
๑๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ
ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจของสาขาธนาคารต่างประเทศ
๔. เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
ลงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๖
๔.๒ ในประกาศนี้
(๑) เงินกองทุนชั้นที่
๑ หมายความว่า เงินกองทุนตาม (๑) (๒) (๓) และ (๔) ของบทนิยามคำว่า เงินกองทุน
ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว
ทั้งนี้ ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ในกรณีของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ
และหมายความว่า สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว ในกรณีของสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์
(๒) ก่อภาระผูกพัน
หมายความว่า รับรอง รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินสลักหลังตั๋วเงินที่ผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย
ค้ำประกันการกู้ยืมเงิน หรือค้ำประกันการขายขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน การค้ำประกันการเพิ่มทุนหรือการค้ำประกันในลักษณะอื่นใด
เพื่อประโยชน์ในการกู้ยืมเงินของบุคคลหนึ่งบุคคลใด การรับประกันการจำหน่ายตราสารแสดงสิทธิในหนี้แบบรับประกันทั้งจำนวน
(Firm Underwrite) และการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินประเภทต่างๆ ได้แก่
อนุพันธ์ด้านอัตราแลกเปลี่ยน อนุพันธ์ด้านอัตราดอกเบี้ย อนุพันธ์ด้านตราสารทุน และอนุพันธ์ด้าน
Commodity ตามรายละเอียดในเอกสารแนบท้ายประกาศฉบับนี้ (เอกสารแนบ ๑)
(๓) ตั๋วเงินที่มีคุณภาพ
หมายความว่า
(๑) ตั๋วเงินที่ธนาคารพาณิชย์อื่นหรือบริษัทเงินทุนรับรอง
หรือรับอาวัล
(๒) ตั๋วแลกเงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนเพื่อระดมทุนจากประชาชน
(๓) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
ในระดับ AA หรือเทียบเท่าขึ้นไป หรือตั๋วเงินที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ
AA หรือเทียบเท่าขึ้นไปโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(๔) ธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อ
หมายความว่า การประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ ที่มีลักษณะการทำธุรกรรมคล้ายการให้สินเชื่อ
เช่น ธุรกรรมแฟ็กเตอริ่ง ธุรกรรมการให้เช่าซื้อ ธุรกรรมการให้เช่าแบบลีสซิ่ง เป็นต้น
๔.๓ อัตราส่วนการให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันต่อเงินกองทุน
จำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการหรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่
๑ ของธนาคารพาณิชย์หักด้วยจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อและจำนวนเงินตามสัญญาการทำธุรกรรม
Credit Derivative ที่ธนาคารพาณิชย์ซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงจากบุคคลนั้นโดยไม่มีเงินสดรับมาเป็นประกันการรับประกันดังกล่าว
การคำนวณอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ
ลงทุนและก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Credit
Derivatives ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการอนุญาตและการกำกับดูแลธุรกรรม
Credit Derivatives
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการคำนวณภาระผูกพันสำหรับการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน
ตามเอกสารแนบท้ายประกาศฉบับนี้ (เอกสารแนบ ๒)
๔.๔ การนับลูกหนี้ตั๋วเงิน
การให้สินเชื่อโดยวิธีการรับซื้อ ซื้อลด หรือรับช่วงซื้อลดตั๋วเงินให้ถือเป็นการให้สินเชื่อแก่บุคคลดังกล่าวต่อไปนี้
ซึ่งเมื่อรวมกับการให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันกรณีอื่นๆ แล้วต้องไม่เกินอัตราส่วนตามที่กำหนดไว้ใน
๔.๓ ด้วย
(๑) กรณีที่เป็นตั๋วเงินที่มีคุณภาพที่มีธนาคารพาณิชย์อื่นหรือบริษัทเงินทุนรับรองหรือรับอาวัล
ให้นับธนาคารพาณิชย์อื่นและบริษัทเงินทุนทุกรายที่รับรองและรับอาวัลตั๋วเงินที่มีคุณภาพเป็นลูกหนี้
(๒) กรณีเป็นตั๋วเงินที่มีคุณภาพที่ไม่มีธนาคารพาณิชย์อื่นหรือบริษัทเงินทุนรับรองหรือรับอาวัลให้นับผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วเงินที่มีคุณภาพเป็นลูกหนี้
(๓) กรณีตั๋วเงินนั้นไม่ใช่ตั๋วเงินที่มีคุณภาพให้นับผู้ทรงซึ่งขายตั๋วเงินและบุคคลซึ่งต้องรับผิดตามตั๋วเงินเป็นลูกหนี้
๔.๕ ข้อยกเว้นในการคำนวณการให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพัน
การคำนวณการให้สินเชื่อ การลงทุน หรือภาระผูกพันตามความใน
๔.๓ ไม่ให้นับรวมถึงรายการที่กำหนดในเอกสารแนบท้ายประกาศฉบับนี้ (เอกสารแนบ ๓)
๔.๖[๑]
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓
เมษายน ๒๕๔๙ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑. สัญญาอนุพันธ์ทางการเงินประเภทต่างๆ
๒.
การคำนวณ ภาระผูกพันสำหรับการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน
๓.
ข้อยกเว้นในการคำนวณการให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพัน
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
นันทนา/ผู้จัดทำ
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๒๐ ง/หน้า ๗/๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ |
475291 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เงินกองทุนย่อมแสดงถึงความสามารถของสถาบันการเงินในการรองรับหรือชดเชยผลขาดทุนที่ไม่คาดไว้ล่วงหน้า
(Unexpected Losses) สถาบันการเงินที่ดำรงเงินกองทุนในอัตราส่วนที่สูงเพียงพอต่อความเสี่ยงของแต่ละสถาบันการเงินจะสร้างความมั่นใจแก่ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ว่าสถาบันการเงินมีความสามารถที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำไว้ได้
และส่งผลให้เกิดความมั่นคงและเสถียรภาพแก่ระบบสถาบันการเงิน ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงกำหนดให้สถาบันการเงินดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพัน
การปรับปรุงประกาศว่าด้วยการกำหนดให้สาขาของธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้อย่างทั่วถึง
๒. อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้สาขาธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุนตามที่กำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับสาขาของธนาคารต่างประเทศตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
๔. หลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุน
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การกำหนดให้สาขาธนาคารต่างประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๘
๔.๒ เงินกองทุนของสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์หมายความถึงสินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามมาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
๔.๓ ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
เป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗.๕
ทั้งนี้ การดำรงเงินกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ใน
๔.๔ ถึง ๔.๖
สินทรัพย์และภาระผูกพันตามวรรคหนึ่ง มิให้รวมถึงสินทรัพย์และภาระผูกพันของกิจการวิเทศธนกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่
๑๖ กันยายน ๒๕๓๕ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป และสินทรัพย์ และภาระผูกพันของกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดตามประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม
๒๕๓๗ หรือที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป
๔.๔ ในการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันตาม
๔.๓ ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไปนี้
(๑) นำรายการในงบการเงินทางด้านสินทรัพย์ทุกรายการ
และภาระผูกพันทุกรายการโดยใช้มูลค่าตามบัญชี ณ วันที่รายงานมาคำนวณกับน้ำหนักความเสี่ยง
ส่วนสินทรัพย์และภาระผูกพันที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้แปลงค่าเป็นเงินบาทก่อน โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะประกาศทุกเช้าของวันทำการถัดไปของวันจัดทำรายงาน
ทั้งนี้ให้ใช้อัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อถัวเฉลี่ยขั้นต่ำสุดและอัตราขายถัวเฉลี่ย
สำหรับสกุลเงินซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงไว้ให้ใช้วิธีคำนวณจากอัตราไขว้
(Cross Rate)
(๒) คูณสินทรัพย์แต่ละรายการด้วยน้ำหนักความเสี่ยงตามที่กำหนดใน
๔.๕
(๓) คูณภาระผูกพันแต่ละรายการด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit
Conversion Factor) ตามที่กำหนดใน ๔.๖ แล้วนำค่าที่ได้คูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดใน
๔.๕ อีกครั้งหนึ่ง
(๔) รวมผลคูณของสินทรัพย์ตาม (๒) และภาระผูกพันตาม
(๓) ทุกรายการและนำเงินกองทุนมาคำนวณอัตราส่วนกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยเงินกองทุนต้องเป็นอัตราส่วนกับผลลัพธ์ดังกล่าวไม่ต่ำกว่าที่กำหนดใน
๔.๓
(๕) ในกรณีที่สาขาของธนาคารต่างประเทศให้สินเชื่อ
หรือลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ โดยมีสัญญารับความเสี่ยงกำหนดให้การชำระหนี้คืนดังกล่าวอิงกับเหตุการณ์ที่กำหนดขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้
(Credit Event) ของสินทรัพย์อ้างอิง (Reference Asset) และสาขาของธนาคารต่างประเทศตกลงรับความเสี่ยงด้านเครดิต
(Credit Risk) ของสินทรัพย์อ้างอิงนั้นให้สาขาของธนาคารต่างประเทศนำผลคูณน้ำหนักความเสี่ยงของเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในตราสารดังกล่าวเปรียบเทียบผลคูณน้ำหนักความเสี่ยงของสัญญารับความเสี่ยง
และใช้เฉพาะผลคูณที่สูงกว่าในการคำนวณผลลัพธ์ตาม (๔)
๔.๕ น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท
ก. น้ำหนักความเสี่ยง ๐
(๑) เงินสดที่เป็นเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ
(๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓) เงินลงทุนในตลาดซื้อขายพันธบัตร โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืน
หรือขายคืนซึ่งดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
(๔) เงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์
ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหลักทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ข้างต้นเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๕) เงินให้สินเชื่อที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยหรือเงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้
(๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางของประเทศในกลุ่มประเทศ
OECD[๑]
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข
หรือในส่วนที่มีหลักทรัพย์รัฐบาล หรือธนาคารกลางดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางของประเทศนอกกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องเป็นสกุลเงินของประเทศนั้น และไม่เกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น
(๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
หรือนิติบุคคลที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นเต็มจำนวน รวมถึงเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งนิติบุคคลดังกล่าว
รับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๙) เงินให้สินเชื่อที่มีสิทธิ ซึ่งมีตราสารการฝากเงินซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์นั้น
หรือมีเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์นั้นยึดถือไว้เป็นประกัน ทั้งนี้เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าตามตราสารหรือจำนวนเงินตามเงินสดนั้น
(๑๐) ยอดเหลื่อมบัญชีระหว่างสำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๑๑) ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี
(๑๒) เงินให้สินเชื่อเฉพาะส่วนซึ่งเท่ากับจำนวนที่ได้กันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
(๑๓) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
(๑๔) เงินสดระหว่างเรียกเก็บเพื่อประโยชน์ของลูกค้า
(๑๕) ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ
จำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖
บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ในส่วนที่เป็นต้นเงินตามหน้าตั๋วและดอกเบี้ยค้างรับ
(๑๖) เงินให้สินเชื่อในส่วนที่มีตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ
จำกัด (มหาชน) หรือบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการจำนำเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๑๗) เงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้โดยมีบุคคลอื่นทำสัญญากับสาขาของธนาคารต่างประเทศนั้นตกลงว่า
บุคคลอื่นจะรับความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ในเงินให้สินเชื่อหรือตราสารดังกล่าว
ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าจำนวนเงินที่ผู้รับความเสี่ยงวางไว้เป็นประกัน หรือจำนวนเงินที่สาขาของธนาคารต่างประเทศนั้นมีสิทธิหักกลบลบหนี้กับผู้รับความเสี่ยง
ข. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๒
(๑) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ที่มีธนาคารพาณิชย์รับรอง
รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต
รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ซึ่งออกโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารดังกล่าวรับรอง
รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๓) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ซึ่งออกโดยบริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต
รวมทั้งเงินให้สินเชื่อซึ่งมีตราสารที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๔) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน
หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยสถาบันที่กล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๕) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในกลุ่มประเทศ OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์
ดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตรวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐในกลุ่มประเทศ OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล
หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสาร ซึ่งออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ซึ่งออกโดยองค์การระหว่างประเทศ[๒]หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ที่มีองค์การดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน
รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยองค์การดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศ OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง
รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตรวมทั้งเงินให้สินเชื่อ ที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้
ต้องมีระยะเวลาคงเหลือไม่เกิน ๑ ปี
(๙) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต
หรือเงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออก ตามเอกสารประเภทอื่น ที่ธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศรับผิดชอบในการชำระค่าสินค้าแทนผู้ซื้อ
แต่ในกรณีผู้ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือธนาคารพาณิชย์ที่รับผิดชอบในการชำระค่าสินค้าเป็นธนาคารจดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศ
OECD จะต้องมีระยะเวลาคงเหลือของเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือระยะเวลาที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องชำระค่าสินค้าไม่เกิน
๑ ปี
(๑๐) เงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้แต่สำนักงบประมาณมิได้จัดสรรเงินชำระหนี้ให้จนล่วงพ้นระยะเวลาที่ถึงกำหนดชำระเกินกว่า
๒ ปีขึ้นไป
(๑๑) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกที่มีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยรับประกัน
ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่ได้มีการโอนสิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศแล้ว
(๑๒) เงินลงทุนในหลักทรัพย์ หรือหน่วยลงทุน รวมทั้งผลตอบแทนค้างรับ ทั้งนี้ เฉพาะจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังทำสัญญาให้ความคุ้มครองหรือตกลงเป็นผู้รับความเสี่ยง
ค. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๓๕
เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา
โดยสาขาของธนาคารต่างประเทศรับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน
ทั้งนี้ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อคงค้าง
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
ทั้งนี้ วงเงินให้สินเชื่อแต่ละราย จักต้อง
(๑) ไม่เกิน ๓ ล้านบาท และ
(๒) มีสัดส่วนไม่เกินร้อยละ ๐.๒ ของยอดรวมวงเงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดาตาม
(๑) รวมกับวงเงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อย และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตาม
จ.
ง. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๕
(๑) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยเทศบาล
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีเทศบาลรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน
รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารที่ออกโดยเทศบาลเป็นประกัน
(๒) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา
โดยธนาคารพาณิชย์รับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน ทั้งนี้
ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อคงค้าง รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
ที่นอกจากเหนือจาก ค.
(๓) ภาระผูกพันที่เป็นสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนหรืออัตราดอกเบี้ยซึ่งได้คูณด้วยค่าแปลงสภาพ
(Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ใน ๔.๖ แล้ว เว้นแต่คู่สัญญาจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีน้ำหนักความเสี่ยงต่ำกว่า
๐.๕
จ. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๗๕
(๑) เงินให้สินเชื่อมีหลักประกันแก่ประชาชนรายย่อย
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับที่มีวงเงินไม่เกิน ๓ ล้านบาท
(๒) เงินให้สินเชื่อไม่มีหลักประกันแก่ประชาชนรายย่อย
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ที่มีวงเงินไม่เกิน ๑ แสนบาท
(๓) เงินให้สินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ที่มีวงเงินไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท
ทั้งนี้ วงเงินให้สินเชื่อแต่ละราย จักต้อง
(ก) นับรวมวงเงินสินเชื่อแก่บุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
(ข) เมื่อนับรวม (ก) แล้ว ต้องมีสัดส่วนไม่เกินร้อยละ
๐.๒ ของยอดรวมวงเงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดาตาม ค. รวมกับวงเงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อย
และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตาม (๑) (๒) และ (๓)
ฉ. น้ำหนักความเสี่ยง ๑.๐
(๑) เงินให้สินเชื่อแก่ภาคเอกชน และดอกเบี้ยค้างรับ
(๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์
ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศ OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง
รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือเกิน ๑ ปี
(๓) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางนอกกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมิใช่เงินสกุลของประเทศนั้น หรือมีจำนวนเกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น
(๔) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ซึ่งมีน้ำหนักความเสี่ยง ๐.๓๕ ตาม ค. ที่กลายเป็นเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ
(NPL) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๕) เงินลงทุนในหน่วยลงทุน
ในกรณีที่สาขาของธนาคารต่างประเทศสามารถคำนวณมูลค่าสุทธิของหน่วยลงทุนใดตามมูลค่าสุทธิของสินทรัพย์ที่กองทุนผู้ออกหน่วยลงทุนนั้นถืออยู่ในแต่ละวันได้
ให้สาขาของธนาคารต่างประเทศสามารถเลือกใช้น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์ดังกล่าวตามสัดส่วน
ประเภทและจำนวนที่กองทุนนั้นลงทุนจริงตามแต่กรณีตามประกาศนี้ แทนน้ำหนักความเสี่ยงใน
ฉ. ได้
(๖) ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินทรัพย์ประจำอื่นๆ และทรัพย์สินรอการขาย
(๗) สินทรัพย์อื่นๆ ที่มิได้ระบุน้ำหนักความเสี่ยงไว้ใน
๔.๕ นี้
ทั้งนี้ เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ ในแต่ละรายการข้างต้นให้หมายความรวมถึงลูกหนี้อื่นๆ
(สิทธิเรียกร้องในทางกฎหมาย) ที่เกิดจากธุรกรรมการซื้อหรือการขายตราสาร โดยมีสัญญาว่าจะขายหรือจะซื้อคืน
(Repo) และธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities
Borrowing and Lending) เช่น ลูกหนี้ตามสัญญาซื้อคืน ลูกหนี้ตามสัญญาให้ยืมหลักทรัพย์
ลูกหนี้มาร์จิ้นที่โอน และลูกหนี้วางเงินสดเป็นประกัน เป็นต้น
ช. น้ำหนักความเสี่ยง ๑.๕
เงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
ซึ่งมีน้ำหนักความเสี่ยง ๐.๗๕ ตาม จ. ที่กลายเป็นเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๖ ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ของภาระผูกพันแต่ละประเภทก.
ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ๑.๐
(๑) การรับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
และค้ำประกันการขายขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
(๒) การสลักหลังตั๋วเงินแบบผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย
(With Recourse)
(๓) สัญญาการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามโดยปราศจากเงื่อนไข
(๔) การค้ำประกัน การรับประกัน หรือการก่อภาระผูกพันในรูปแบบใดๆ ของธนาคารพาณิชย์ อันเนื่องมาจากการขายสินทรัพย์
(๕) ภาระผูกพันตามสัญญาขายตราสารโดยมีสัญญาจะซื้อคืนตามวิธีการคำนวณที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๖) ภาระผูกพันตามสัญญายืมและให้ยืมหลักทรัพย์
(Securities Borrowing and Lending) ตามวิธีการคำนวณที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๗) ภาระผูกพันตามสัญญาหรือข้อตกลงการรับประกันความเสี่ยง
ซึ่งได้แก่สัญญาที่สาขาธนาคารต่างประเทศรับโอนความเสี่ยงด้านเครดิตหรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตจากคู่สัญญา
โดยตกลงจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง หรือรับความเสียหายเนื่องจากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับคืนเงินให้สินเชื่อ
หรือเงินลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือมีเหตุการณ์เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญา (Credit
Event) เกิดขึ้น
ข. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ๐.๕
(๑) ภาระผูกพันซึ่งขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของลูกค้า
เช่น ค้ำประกันการรับเหมาก่อสร้าง ค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา เป็นต้น
(๒) การประกันการจำหน่ายตราสารหรือหลักทรัพย์
ค. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ๐.๒
ภาระผูกพันเพื่อการนำสินค้าเข้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตทั้งที่มีเอกสารประกอบแล้วและยังไม่มีเอกสารประกอบ
ง. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ๐
(๑) ตั๋วเงินเพื่อเรียกเก็บ
(๒) วงเงินที่ลูกค้ายังมิได้ใช้
(๓) ค้ำประกันการออกของ (Shipping
Guarantee)
(๔) ภาระผูกพันที่ธนาคารพาณิชย์สามารถบอกยกเลิกเมื่อใดก็ได้
(๕) ภาระผูกพันอื่นๆ ที่มิได้ระบุค่าแปลงสภาพ (Credit
Conversion Factor) ไว้ใน ๔.๖ นี้
จ. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) สำหรับสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย
อายุสัญญาที่เหลือ
สัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน
สัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ไม่เกิน
๑๔ วัน ๐
๐
ไม่เกิน
๑ ปี ๐.๐๒
๐.๐๐๕
ตั้งแต่
๑ ปีขึ้นไป ๐.๐๕
๐.๐๑
สัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ สัญญาดังต่อไปนี้
Cross currency interest rate swaps
Forward foreign exchange contracts
Currency futures
Currency option purchase
สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน
สัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยได้แก่
Single currency interest rate swaps
Basis swaps
Forward rate agreements
Interest rate futures
Interest rate option purchase
สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน
ในกรณีที่ลูกค้ารายเดียวกันทำสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนหรือสัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยทั้งทางด้านซื้อและด้านขาย
ให้คูณจำนวนเงินด้านซื้อและด้านขายด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ก่อน และนำค่าที่ได้มาหักกลบกัน แล้วจึงนำจำนวนสุทธิไปคูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดใน
๔.๕
๕. บทเฉพาะกาล
(๑) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดาตาม
๔.๕ ค. ที่มีอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ สาขาของธนาคารต่างประเทศสามารถเลือกใช้น้ำหนักความเสี่ยง
๐.๕ ตาม ๔.๕ ง. ในการคำนวณเพื่อดำรงเงินกองทุนได้
เมื่อสาขาของธนาคารต่างประเทศเลือกที่จะใช้น้ำหนักความเสี่ยงดังกล่าวแล้วจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้
(๒) เงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตาม
๔.๕ จ.ที่มีอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ สาขาของธนาคารต่างประเทศสามารถเลือกใช้น้ำหนักความเสี่ยง
๑.๐ ตาม ๔.๕ ฉ. ในการคำนวณเพื่อดำรงเงินกองทุนได้ เมื่อสาขาของธนาคารต่างประเทศเลือกที่จะใช้น้ำหนักความเสี่ยงดังกล่าวแล้วจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้
๖.[๓]
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ชัชสรัญ/ผู้จัดทำ
๒๗
มกราคม ๒๕๔๙
[๑] กลุ่มประเทศ
OECD ในประกาศฉบับนี้
หมายถึง ประเทศสมาชิกของ Organization for Economic Co-operation and Development และประเทศที่มีฐานะการเงินเทียบเท่า
ได้แก่ ออสเตรเลีย ออสเตรีย เบลเยียม แคนาดา สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก
ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
ลักเซมเบิร์ก เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ โปรตุเกส สาธารณรัฐสโลวัก
สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย
[๒] องค์การระหว่างประเทศ
หมายถึง European
Investment Bank (EIB) European Bank for Reconstruction and Development (EBRD) International Bank for
Reconstruction and Development (IBRD) including International Finance
Corporation (IFC) Inter-American Development Bank (IADB) African Development
Bank (AfDB) Asian Development Bank (AsDB) Caribbean Development Bank (CDB) และ
Nordic
Investment Bank (NIB)
[๓] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๙ ง/หน้า ๑๙/๒๓ มกราคม ๒๕๔๙ |
475287 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ
ดำรงเงินกองทุน
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เงินกองทุนย่อมแสดงถึงความสามารถของสถาบันการเงินในการรองรับหรือชดเชยผลขาดทุนที่ไม่คาดไว้ล่วงหน้า
(Unexpected Losses) สถาบันการเงินที่ดำรงเงินกองทุนในอัตราส่วนที่สูงเพียงพอต่อความเสี่ยงของแต่ละสถาบันการเงินจะสร้างความมั่นใจแก่ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ว่าสถาบันการเงินมีความสามารถที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำไว้ได้
และส่งผลให้เกิดความมั่นคงและเสถียรภาพแก่ระบบสถาบันการเงิน ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงกำหนดให้สถาบันการเงินดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพัน
การปรับปรุงประกาศว่าด้วยการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน
เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้อย่างทั่วถึง
๒. อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ และมาตรา
๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๕ ออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุนตามที่กำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
๔. หลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุน
๔.๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุน ลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน
๒๕๔๘
๔.๒ เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศ
ได้แก่
(๑) ทุนชำระแล้ว ซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับ
และเงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๒) ทุนสำรองตามกฎหมาย
(๓) เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น
หรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้
(๔) กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรร
(๕) เงินสำรองจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการตีราคาที่ดินและอาคารตามหลักเกณฑ์วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๖) เงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติ ซึ่งได้กันไว้ตามนัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะนับเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นปกติเข้าเป็นเงินกองทุนได้ไม่เกินร้อยละ
๑.๒๕ ของยอดสินทรัพย์เสี่ยง
(๗) เงินสำรองจากการตีราคาตราสารทุนประเภทเผื่อขายตามมาตรฐานการบัญชีเรื่อง
การบัญชีสำหรับเงินลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนและที่จะได้แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังนี้
(ก) ในกรณีที่มูลค่าสุทธิจากการตีราคาเป็นส่วนเกินทุน
ให้ธนาคารพาณิชย์นับส่วนเกินทุนดังกล่าวเป็นเงินกองทุนของงวดการบัญชีรอบระยะเวลาหกเดือนของธนาคารพาณิชย์นั้นได้ไม่เกินร้อยละ
๔๕ ของยอดมูลค่าสุทธิส่วนเกินทุนดังกล่าว
(ข) ในกรณีที่มูลค่าสุทธิจากการตีราคาเป็นส่วนขาดทุน
ให้ธนาคารพาณิชย์หักส่วนที่ขาดทุนดังกล่าวออกจากเงินกองทุนทั้งสิ้นของงวดการบัญชีรอบระยะเวลาหกเดือนของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๘) เงินที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญตามประเภท
จำนวนเงิน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เงินกองทุนส่วนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) และ (๔) ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกก่อน
และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และให้หักมูลค่าของหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้ซื้อคืนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดออกจากเงินกองทุนใน
(๑) และ (๔) ด้วยวิธีราคาตามมูลค่าตามแนวปฏิบัติทางการบัญชีเกี่ยวกับหุ้นซื้อคืนของกิจการและที่จะแก้ไขเพิ่มเติม
หรือตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗)
และ (๘) ให้หักเงินตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(ก) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดถือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญตาม
(๘) ของบริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์อื่น ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นหักเงินตามตราสารดังกล่าวตามมูลค่าที่บริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์ผู้ออกตราสารนั้นได้รับอนุญาตให้นับเป็นเงินกองทุนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับบริษัทเงินทุน
หรือประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับธนาคารพาณิชย์แล้วแต่กรณี
(ข) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดเป็นผู้ลงทุนในตราสารประเภท
Credit Linked Notes ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่มีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญตาม
(๘) ของบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่น ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นหักเงินตามตราสารที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าวตามมูลค่าที่บริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์ผู้ออกตราสารนั้นได้รับอนุญาตให้นับเป็นเงินกองทุนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับบริษัทเงินทุน
หรือประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยตราสารที่ให้นับเข้าเป็นเงินกองทุนสำหรับธนาคารพาณิชย์แล้วแต่กรณี
(ค) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดถือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ระยะยาวเกินห้าปีที่สิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญตาม
(๘) ของบริษัทเงินทุนหรือธนาคารพาณิชย์อื่น และธนาคารพาณิชย์นั้นได้ออกและขายตราสารประเภท
Credit Linked Notes ให้กับบริษัทเงินทุนและธนาคารพาณิชย์อื่นโดยมีตราสารดังกล่าวเป็นสินทรัพย์อ้างอิง
ธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ต้องหักเงินตามตราสารที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าวตราบเท่าอายุของตราสารประเภท
Credit Linked Notes นั้น
เงินกองทุนที่ระบุใน (๑) ถึง (๔) ยกเว้นเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสมเงินปันผล
ให้รวมเรียกว่า เงินกองทุนชั้นที่ ๑ ส่วนเงินกองทุนที่ระบุใน (๕) ถึง (๘) และเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสมเงินปันผล
ให้รวมเรียกว่า เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ทั้งนี้ เงินกองทุนชั้นที่ ๒ ต้องมีจำนวนสูงสุดไม่เกินเงินกองทุนชั้นที่
๑ และการออกหุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสมเงินปันผลจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศดำรงเงินกองทุนเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
เป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘.๕ โดยมีเงื่อนไขว่าเงินกองทุนชั้นที่
๑ ต้องเป็นอัตราส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔.๒๕ ของสินทรัพย์และภาระผูกพันดังกล่าว
ทั้งนี้ การดำรงเงินกองทุนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อ
๔.๔ ถึง ๔.๖
๔.๔ ในการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันตาม
๔.๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ดังต่อไปนี้
(๑) นำรายการในงบการเงินทางด้านสินทรัพย์ทุกรายการ
และภาระผูกพันทุกรายการ ทั้งนี้ ให้รวมทุกสำนักงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยใช้มูลค่าตามบัญชี
ณ วันที่รายงานมาคำนวณกับน้ำหนักความเสี่ยง ส่วนสินทรัพย์และภาระผูกพันที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้แปลงค่าเป็นเงินบาทก่อน
โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์
ซึ่งจะประกาศทุกเช้าวันทำการถัดไปของวันจัดทำรายงานทั้งนี้ให้ใช้อัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อถัวเฉลี่ยขั้นต่ำสุดและอัตราขายถัวเฉลี่ย
สำหรับสกุลเงินซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงไว้ ให้ใช้วิธีคำนวณจากอัตราไขว้
(Cross Rate)
(๒) คูณสินทรัพย์แต่ละรายการด้วยน้ำหนักความเสี่ยงตามที่กำหนดไว้ใน
๔.๕
(๓) คูณภาระผูกพันแต่ละรายการด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit
Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ใน ๔.๖ แล้วนำค่าที่ได้คูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดไว้ใน
๔.๕ อีกครั้งหนึ่ง
(๔) รวมผลคูณของสินทรัพย์ตาม (๒) และภาระผูกพันตาม
(๓) ทุกรายการและนำเงินกองทุนมาคำนวณอัตราส่วนกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยเงินกองทุนต้องเป็นอัตราส่วนกับผลลัพธ์ดังกล่าวไม่ต่ำกว่าที่กำหนดใน
๔.๓
(๕) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ หรือลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้โดยมีสัญญารับความเสี่ยงกำหนดให้การชำระหนี้คืนดังกล่าวอิงกับเหตุการณ์ที่กำหนดขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้
(Credit Event) ของสินทรัพย์อ้างอิง (Reference Asset) และธนาคารพาณิชย์ตกลงรับความเสี่ยงด้านเครดิต
(Credit Risk) ของสินทรัพย์อ้างอิงนั้น ให้ธนาคารพาณิชย์นำผลคูณน้ำหนักความเสี่ยงของเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในตราสารดังกล่าวเปรียบเทียบผลคูณน้ำหนักความเสี่ยงของสัญญารับความเสี่ยง
และใช้เฉพาะผลคูณที่สูงกว่าในการคำนวณผลลัพธ์ตาม (๔)
๔.๕ น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท
ก. น้ำหนักความเสี่ยง ๐
(๑) เงินสดที่เป็นเงินบาทและเงินตราต่างประเทศ
(๒) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
(๓) เงินลงทุนในตลาดซื้อขายพันธบัตร โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืน
หรือขายคืนซึ่งดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รวมดอกเบี้ยค้างรับ
(๔) เงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์
ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย หรือหลักทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเงินให้สินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ข้างต้นเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๕) เงินให้สินเชื่อที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
หรือเงินให้สินเชื่อใด ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้
(๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางของประเทศในกลุ่มประเทศ
OECD[๑]หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกัน
โดยปราศจากเงื่อนไข หรือที่มีหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาลหรือธนาคารกลางของประเทศนอกกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องเป็นสกุลเงินของประเทศนั้น และไม่เกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น
(๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
หรือนิติบุคคลที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นเต็มจำนวน รวมถึงเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งนิติบุคคลดังกล่าวรับรอง
รับอาวัล หรือค้ำประกัน หรือเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลดังกล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๙) เงินให้สินเชื่อที่มีสิทธิ ซึ่งมีตราสารการฝากเงินซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์นั้น
หรือมีเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์นั้นยึดถือไว้เป็นประกัน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าตามตราสาร
หรือจำนวนเงินตามเงินสด นั้น
(๑๐) ยอดเหลื่อมบัญชีระหว่างสำนักงานของธนาคารพาณิชย์นั้น
(๑๑) ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี
(๑๒) เงินให้สินเชื่อเฉพาะส่วนซึ่งเท่ากับจำนวนที่ได้กันไว้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
(๑๓) ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
(๑๔) เงินสดระหว่างเรียกเก็บเพื่อประโยชน์ของลูกค้า
(๑๕) ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ
จำกัด (มหาชน) และบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย
จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖
บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ ในส่วนที่เป็นต้นเงินตามหน้าตั๋วและดอกเบี้ยค้างรับ
(๑๖) เงินให้สินเชื่อในส่วนที่มีตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ
จำกัด (มหาชน) หรือบัตรเงินฝากที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ๕๖ บริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ
จำนำเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๑๗) เงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้
โดยมีบุคคลอื่นทำสัญญากับธนาคารพาณิชย์นั้นตกลงว่า บุคคลอื่นจะรับความเสี่ยงด้านเครดิต
(Credit Risk) ในเงินให้สินเชื่อหรือตราสารดังกล่าว ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าจำนวนเงินที่ผู้รับความเสี่ยงวางไว้เป็นประกันหรือจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์นั้นมีสิทธิหักกลบลบหนี้กับผู้รับความเสี่ยง
ข. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๒
(๑) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์รับรอง รับอาวัล ค้ำประกันหรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต
รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์เป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์
ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน
หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๓) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยบริษัทเงินทุน
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง
รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต
รวมทั้งเงินให้สินเชื่อซึ่งมีตราสารที่ออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกัน รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๔) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยสถาบันที่กล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๕) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว
รับรอง รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตรวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๖) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การของรัฐในกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสถาบันดังกล่าวรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสาร
ซึ่งออกโดยสถาบันดังกล่าวเป็นประกันรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๗) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยองค์การระหว่างประเทศ[๒]
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีองค์การดังกล่าวรับรอง รับอาวัล
หรือค้ำประกันรวมทั้งเงินให้สินเชื่อ ที่มีตราสารซึ่งออกโดยองค์การดังกล่าว เป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
(๘) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง
รับอาวัล ค้ำประกัน หรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตรวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือไม่เกิน ๑ ปี
(๙) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต
หรือเงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกตามเอกสารประเภทอื่น ที่ธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศรับผิดชอบในการชำระค่าสินค้าแทนผู้ซื้อ
แต่ในกรณีผู้ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือธนาคารพาณิชย์ที่รับผิดชอบในการชำระค่าสินค้าเป็นธนาคารจดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศ
OECD จะต้องมีระยะเวลาคงเหลือของเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือระยะเวลาที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องชำระค่าสินค้าไม่เกิน
๑ ปี
(๑๐) เงินให้สินเชื่อใดที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้แต่สำนักงบประมาณมิได้จัดสรรเงินชำระหนี้ให้จนล่วงพ้นระยะเวลาที่ถึงกำหนดชำระเกินกว่า
๒ ปีขึ้นไป
(๑๑) เงินให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกที่มีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยรับประกัน
ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่ได้มีการโอนสิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ให้ธนาคารพาณิชย์แล้ว
(๑๒) เงินลงทุนในหลักทรัพย์ หรือหน่วยลงทุน รวมทั้งผลตอบแทนค้างรับทั้งนี้
เฉพาะจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังทำสัญญาให้ความคุ้มครองหรือตกลงเป็นผู้รับความเสี่ยง
ค. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๓๕
เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา
โดยธนาคารพาณิชย์รับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน ทั้งนี้
ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อคงค้าง รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
ทั้งนี้ วงเงินให้สินเชื่อแต่ละราย จักต้อง
(๑) ไม่เกิน ๓ ล้านบาท และ
(๒) มีสัดส่วนไม่เกินร้อยละ ๐.๒ ของยอดรวมวงเงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดาตาม
(๑) รวมกับวงเงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อย และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตาม
จ.
ง. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๕
(๑) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยเทศบาล
หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีเทศบาลรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกัน
รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยเทศบาลเป็นประกัน
(๒) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา
โดยธนาคารพาณิชย์รับจำนองที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้างนั้นลำดับหนึ่งเป็นประกัน ทั้งนี้
ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่ายอดเงินให้สินเชื่อคงค้าง รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับที่นอกเหนือจาก
ค.
(๓) ภาระผูกพันที่เป็นสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน
หรืออัตราดอกเบี้ยซึ่งได้คูณด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion Factor) ตามที่กำหนดไว้ใน
๔.๖ แล้ว เว้นแต่คู่สัญญาจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีน้ำหนักความเสี่ยงต่ำกว่า ๐.๕
จ. น้ำหนักความเสี่ยง ๐.๗๕
(๑) เงินให้สินเชื่อมีหลักประกันแก่ประชาชนรายย่อยรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับที่มีวงเงินไม่เกิน
๓ ล้านบาท
(๒) เงินให้สินเชื่อไม่มีหลักประกันแก่ประชาชนรายย่อยรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับที่มีวงเงินไม่เกิน
๑ แสนบาท
(๓) เงินให้สินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับที่มีวงเงินไม่เกิน
๕๐ ล้านบาท
ทั้งนี้ วงเงินให้สินเชื่อแต่ละรายจักต้อง
(ก) นับรวมวงเงินสินเชื่อแก่บุคคลตามมาตรา ๑๒ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
(ข) เมื่อนับรวม (ก) แล้ว ต้องมีสัดส่วนไม่เกินร้อยละ
๐.๒ ของยอดรวมวงเงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดาตาม ค. รวมกับวงเงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อย
และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตาม (๑) (๒) และ (๓)
ฉ. น้ำหนักความเสี่ยง ๑.๐
(๑) เงินให้สินเชื่อแก่ภาคเอกชนและดอกเบี้ยค้างรับ
(๒) เงินฝาก เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนนอกกลุ่มประเทศ
OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวรับรอง
รับอาวัล หรือค้ำประกัน รวมทั้งเงินให้สินเชื่อที่มีตราสารซึ่งออกโดยธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นประกัน
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ทั้งนี้ ต้องมีระยะเวลาคงเหลือเกิน ๑ ปี
(๓) เงินให้สินเชื่อ หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาล
หรือธนาคารกลางนอกกลุ่มประเทศ OECD หรือเงินให้สินเชื่อหรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่รัฐบาล
หรือธนาคารกลางดังกล่าวค้ำประกันโดยปราศจากเงื่อนไข รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมิใช่เงินสกุลของประเทศนั้น
หรือมีจำนวนเกินกว่าหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในเงินสกุลนั้น
(๔) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดา
รวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ ซึ่งมีน้ำหนักความเสี่ยง ๐.๓๕ ตาม ค. ที่กลายเป็นเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ
(NPL) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๕) เงินลงทุนในหน่วยลงทุน
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์สามารถคำนวณมูลค่าสุทธิของหน่วยลงทุนใดตามมูลค่าสุทธิของสินทรัพย์ที่กองทุนผู้ออกหน่วยลงทุนนั้นถืออยู่ในแต่ละวันได้
ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเลือกใช้น้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์ดังกล่าวตามสัดส่วน ประเภทและจำนวนที่กองทุนนั้นลงทุนจริงตามแต่กรณีตามประกาศนี้
แทนน้ำหนักความเสี่ยงใน ฉ. ได้
(๖) ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินทรัพย์ประจำอื่นๆ และทรัพย์สินรอการขาย
(๗) สินทรัพย์อื่น ที่มิได้ระบุน้ำหนักความเสี่ยงไว้ใน
๔.๕ นี้
ทั้งนี้ เงินฝาก หรือเงินให้สินเชื่อ ในแต่ละรายการข้างต้น
ให้หมายความรวมถึงลูกหนี้อื่นๆ (สิทธิเรียกร้องในทางกฎหมาย) ที่เกิดจากธุรกรรมการซื้อหรือขายตราสารโดยมีสัญญาว่าจะขายหรือจะซื้อคืน
(Repo) และธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities
Borrowing and Lending) เช่น ลูกหนี้ตามสัญญาซื้อคืน ลูกหนี้ตามสัญญาให้ยืมหลักทรัพย์
ลูกหนี้มาร์จิ้นที่โอน และลูกหนี้วางเงินสดเป็นประกัน เป็นต้น
ช. น้ำหนักความเสี่ยง ๑.๕
เงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับ
ซึ่งมีน้ำหนักความเสี่ยง ๐.๗๕ ตาม จ. ที่กลายเป็นเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๖ ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ของภาระผูกพันแต่ละประเภท
ก. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ๑.๐
(๑) การรับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
และค้ำประกันการขายขายลด หรือขายช่วงลดตั๋วเงิน
(๒) การสลักหลังตั๋วเงินแบบผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย
(With Recourse)
(๓) สัญญาการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติตามโดยปราศจากเงื่อนไข
(๔) การค้ำประกัน การรับประกัน หรือการก่อภาระผูกพันในรูปแบบใดๆ ของธนาคารพาณิชย์ อันเนื่องมาจากการขายสินทรัพย์
(๕) ภาระผูกพันตามสัญญาขายตราสารโดยมีเงื่อนไขจะซื้อคืนตามวิธีการคำนวณที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๖) ภาระผูกพันตามสัญญายืมและให้ยืมหลักทรัพย์
(Securities Borrowing and Lending) ตามวิธีการคำนวณที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๗) ภาระผูกพันตามสัญญาหรือข้อตกลงการรับประกันความเสี่ยง
ซึ่งได้แก่สัญญาที่ธนาคารพาณิชย์รับโอนความเสี่ยงด้านเครดิตหรือตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตจากคู่สัญญา
โดยตกลงจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง หรือรับความเสียหายเนื่องจากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับคืนเงินให้สินเชื่อ
หรือเงินลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือมีเหตุการณ์เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญา (Credit
Event) เกิดขึ้น
ข. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ๐.๕
(๑) ภาระผูกพันซึ่งขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของลูกค้า
เช่น ค้ำประกันการรับเหมาก่อสร้าง ค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา เป็นต้น
(๒) การประกันการจำหน่ายตราสารหรือหลักทรัพย์
ค. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ๐.๒
ภาระผูกพันเพื่อการนำสินค้าเข้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตทั้งที่มีเอกสารประกอบแล้วและยังไม่มีเอกสารประกอบ
ง. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) ๐
(๑) ตั๋วเงินเพื่อเรียกเก็บ
(๒) วงเงินที่ลูกค้ายังมิได้ใช้
(๓) ค้ำประกันการออกของ (Shipping
Guarantee)
(๔) ภาระผูกพันที่ธนาคารพาณิชย์สามารถบอกยกเลิกเมื่อใดก็ได้
(๕) ภาระผูกพันอื่นๆ ที่มิได้ระบุค่าแปลงสภาพ (Credit
Conversion Factor) ไว้ใน ๔.๖ นี้
จ. ค่าแปลงสภาพ (Credit Conversion
Factor) สำหรับสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย
อายุสัญญาที่เหลือ
สัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน
สัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ไม่เกิน ๑๔ วัน ๐
๐
ไม่เกิน ๑ ปี ๐.๐๒
๐.๐๐๕
ตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๐.๐๕
๐.๐๑
สัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนได้แก่สัญญาดังต่อไปนี้
Cross currency interest rate swaps
Forward foreign exchange contracts
Currency futures
Currency option purchase
สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน
สัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยได้แก่
Single currency interest rate swaps
Basis swaps
Forward rate agreements
Interest rate futures
Interest rate option purchase
สัญญาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน
ในกรณีที่ลูกค้ารายเดียวกันทำสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนหรือสัญญาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ทั้งทางด้านซื้อและด้านขาย ให้คูณจำนวนเงินด้านซื้อและด้านขายด้วยค่าแปลงสภาพ (Credit
Conversion Factor) ก่อน และนำค่าที่ได้มาหักกลบกัน แล้วจึงนำจำนวนสุทธิไปคูณกับน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทตามที่กำหนดใน
๔.๕
๕. บทเฉพาะกาล
(๑) เงินให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่บุคคลธรรมดาตาม
๔.๕ ค. ที่มีอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ธนาคารพาณิชย์สามารถเลือกใช้น้ำหนักความเสี่ยง
๐.๕ ตาม ๔.๕ ง.ในการคำนวณเพื่อดำรงเงินกองทุนได้ เมื่อธนาคารพาณิชย์เลือกที่จะใช้น้ำหนักความเสี่ยงดังกล่าวแล้วจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้
(๒) เงินให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตาม
๔.๕ จ.ที่มีอยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ธนาคารพาณิชย์สามารถเลือกใช้น้ำหนักความเสี่ยง
๑.๐ ตาม ๔.๕ ฉ. ในการคำนวณเพื่อดำรงเงินกองทุนได้ เมื่อธนาคารพาณิชย์เลือกที่จะใช้น้ำหนักความเสี่ยงดังกล่าวแล้วจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้
๖.[๓]
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ชัชสรัญ/ผู้จัดทำ
๒๖
มกราคม ๒๕๔๙
[๑] กลุ่มประเทศ
OECD ในประกาศฉบับนี้
หมายถึง ประเทศสมาชิกของ Organization for Economic Co-operation and Development และประเทศที่มีฐานะการเงินเทียบเท่า
ได้แก่ ออสเตรเลีย ออสเตรีย เบลเยียม แคนาดา สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก ฟินแลนด์
ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ลักเซมเบิร์ก
เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ โปรตุเกส สาธารณรัฐสโลวัก สเปน
สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย
[๒] องค์การระหว่างประเทศ
หมายถึง European
Investment Bank (EIB) European Bank for Reconstruction and Development (EBRD) International Bank for
Reconstruction and Development (IBRD) including International Finance
Corporation (IFC) Inter-American Development Bank (IADB) African Development
Bank (AfDB) Asian Development Bank (AsDB) Caribbean Development Bank (CDB) และ
Nordic Investment
Bank (NIB)
[๓] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๙ ง/หน้า ๖/๒๓ มกราคม ๒๕๔๙ |
475283 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยให้สินเชื่อลงทุน หรือก่อภาระผูกพัน เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยให้สินเชื่อ
ลงทุน
หรือก่อภาระผูกพัน เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยมีระบบการกำกับลูกหนี้รายใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสามารถครอบคลุมความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
หรือที่อาจเกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด
และเสริมสร้างให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยมีความแข็งแกร่งและมั่นคง
๒. อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ และมาตรา
๑๓ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยให้สินเชื่อ
ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยทุกธนาคาร
๔. เนื้อหา
๔.๑ ในประกาศฉบับนี้
(๑) ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ลงวันที่ ๒๓ มกราคม
๒๕๔๗
(๒) เงินกองทุนชั้นที่
๑ หมายความว่า เงินกองทุนตาม (๑) (๒) (๓) และ (๔)
ของบทนิยาม คำว่า เงินกองทุน ในมาตรา
๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขแล้ว
ทั้งนี้ ให้หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกก่อน และให้หักค่าแห่งกู๊ดวิลล์ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๓) ก่อภาระผูกพัน
หมายความว่า รับรอง รับอาวัล หรือสอดเข้าแก้หน้าในตั๋วเงินสลักหลังตั๋วเงินที่ผู้รับสลักหลังมีสิทธิไล่เบี้ย
ค้ำประกันการกู้ยืมเงิน หรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน การค้ำประกันการเพิ่มทุนหรือการค้ำประกันในลักษณะอื่นใด
เพื่อประโยชน์ในการกู้ยืมเงินของบุคคลหนึ่งบุคคลใด การรับประกันการจำหน่ายตราสารแสดงสิทธิในหนี้แบบรับประกันทั้งจำนวน
(Firm Underwrite) เฉพาะสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเท่านั้นและการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน
ได้แก่ อนุพันธ์ด้านอัตราแลกเปลี่ยน อนุพันธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยอนุพันธ์ด้านตราสารทุน
และอนุพันธ์ด้านเครดิต (Credit Derivatives) ตามรายละเอียดในเอกสารแนบท้ายประกาศฉบับนี้
(เอกสารแนบ ๑) ทั้งนี้ การทำธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินดังกล่าว จะต้องเป็นธุรกรรมที่กระทำเพื่อป้องกันความเสี่ยงของธนาคารเท่านั้น
(๔) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SME) หมายถึง กิจการที่มีจำนวนการจ้างงาน หรือมูลค่าสินทรัพย์ถาวรสุทธิตรงตามที่กำหนดในประกาศ
ธปท. เรื่อง คำจำกัดความวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(๕) การให้สินเชื่อหรือก่อภาระผูกพันแก่ประชาชนรายย่อยที่มีหลักประกันหมายถึง
การให้สินเชื่อหรือก่อภาระผูกพันที่ให้แก่ประชาชนรายย่อยที่มีสินทรัพย์หรือการค้ำประกันเป็นประกัน
ตามที่กำหนดในหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวทางการพิจารณาจุดตัดระหว่างประชาชนรายย่อยกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
และสินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยที่ถือว่ามีหลักประกันสำหรับธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(๖) ตั๋วเงินที่มีคุณภาพ
หมายความว่า
(๖.๑) ตั๋วเงินที่ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุนรับรองหรือรับอาวัล
(๖.๒) ตั๋วแลกเงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนเพื่อระดมทุนจากประชาชน
(๖.๓) ตั๋วเงินที่ออกโดยบริษัทจำกัดซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ
AA หรือเทียบเท่าขึ้นไป หรือตั๋วเงินที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ
AA หรือเทียบเท่าขึ้นไป ทั้งนี้ โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(๗) ธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อ
หมายความว่า การประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยที่มีลักษณะของธุรกรรมคล้ายกับการให้สินเชื่อ
เช่น ธุรกรรมแฟ็กเตอริ่ง ธุรกรรมการให้เช่าซื้อ ธุรกรรมการให้เช่าแบบลีสซิ่ง เป็นต้น
๔.๒ อัตราส่วนการให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันต่อเงินกองทุน
จำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการหรือก่อภาระผูกพัน
เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ
๑๑.๐๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ หักด้วยจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อ
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
(๑) การให้สินเชื่อ
หรือก่อภาระผูกพันแก่ประชาชนรายย่อยที่ไม่มีหลักประกันแต่ละรายต้องไม่เกินร้อยละ ๐.๐๕
ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ หักด้วยจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อ
(๒) การให้สินเชื่อ หรือก่อภาระผูกพันแก่ประชาชนรายย่อยที่มีหลักประกันแต่ละรายต้องไม่เกินร้อยละ
๑ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ หักด้วยจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อ
(๓) การให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) แต่ละราย ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ หักด้วยจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อ
(๔) การให้สินเชื่อ
ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันแก่ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุนหรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นในการทำธุรกรรมเพื่อการบริหารสินทรัพย์/หนี้สินและเพื่อป้องกันความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยเอง
แต่ละรายต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ หักจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อและจำนวนเงินตามสัญญาการทำธุรกรรม
Credit Derivatives ที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงจากธนาคารพาณิชย์
บริษัทเงินทุน ธนาคารพาณิชย์ที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นนั้น โดยไม่ได้รับเงินสดเป็นประกันการรับประกันความเสี่ยงดังกล่าว
(๕) การให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันแก่คู่สัญญาอื่นที่ไม่ใช่ประชาชนรายย่อย
SMEs ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นในการทำธุรกรรมเพื่อการบริหารสินทรัพย์/หนี้สิน
และเพื่อป้องกันความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยเอง หรือเป็นการทำธุรกรรมที่สืบเนื่องจากการให้บริการแก่
SMEs เช่น การซื้อลดตั๋วเงินการรับซื้อลูกหนี้ (Factoring)
เป็นต้น แต่ละรายต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ หักด้วยจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อ
และจำนวนเงินตามสัญญาการทำธุรกรรม Credit Derivatives ที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงจากคู่สัญญานั้น
โดยไม่ได้รับเงินสดเป็นประกันการรับประกันความเสี่ยงดังกล่าว
๔.๓ การนับลูกหนี้ตั๋วเงิน
การให้สินเชื่อโดยวิธีการรับซื้อ ซื้อลด หรือรับช่วงซื้อลดตั๋วเงิน
ให้ถือเป็นการให้สินเชื่อแก่บุคคลดังต่อไปนี้ ซึ่งเมื่อรวมกับการให้สินเชื่อ ลงทุนหรือก่อภาระผูกพันกรณีอื่นๆ
แล้วต้องไม่เกินอัตราส่วนตามที่กำหนดใน ๔.๒ ด้วย
(๑) กรณีที่เป็นตั๋วเงินที่มีคุณภาพที่มีธนาคารพาณิชย์อื่นหรือบริษัทเงินทุนรับรองหรือรับอาวัล
ให้นับธนาคารพาณิชย์อื่นและบริษัทเงินทุนทุกรายที่รับรองและรับอาวัลตั๋วเงินเป็นลูกหนี้
(๒) กรณีเป็นตั๋วเงินที่มีคุณภาพที่ไม่มีธนาคารพาณิชย์อื่นหรือบริษัทเงินทุนรับรองหรือรับอาวัลให้นับผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกตั๋วเงินเป็นลูกหนี้
(๓) กรณีตั๋วเงินนั้นไม่ใช่ตั๋วเงินที่มีคุณภาพให้นับผู้ทรงซึ่งขายตั๋วเงินและบุคคลซึ่งต้องรับผิดตามตั๋วเงินเป็นลูกหนี้
๔.๔ วิธีการคำนวณภาระผูกพันสำหรับการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน
ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยคำนวณภาระผูกพันสำหรับการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน
ตามวิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารแนบท้ายประกาศฉบับนี้ (เอกสารแนบ ๒)
๔.๕ ข้อยกเว้นในการคำนวณการให้สินเชื่อ ลงทุน หรือภาระผูกพัน
การคำนวณเงินให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพัน
ตามความใน ๔.๒ ไม่ให้นับรวมถึงรายการที่กำหนดในเอกสารแนบท้ายประกาศฉบับนี้ (เอกสารแนบ
๓)
๔.๖ คุณลักษณะของข้อตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตที่เข้าข่ายการประกันความเสี่ยงด้านเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตที่จะเข้าข่ายเป็นการประกันความเสี่ยงด้านเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพ
และได้รับการลดหย่อนการกำกับดูแลเกี่ยวกับอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยให้สินเชื่อ
ลงทุน และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนจะต้องมีคุณลักษณะทุกข้อตามเอกสารแนบท้ายประกาศฉบับนี้
(เอกสารแนบ ๔)
๔.๗ เกณฑ์การผ่อนผันเฉพาะกาล
ในกรณีที่สถาบันการเงินได้จัดตั้งเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
หรือเมื่อมีการควบรวมหรือโอนกิจการของสถาบันการเงินเพื่อจัดตั้งธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
มีผลให้อัตราส่วนการให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันเกินอัตราส่วนที่กำหนดตามข้อ
๔.๒ ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยถือปฏิบัติเกี่ยวกับการให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพัน
ดังนี้
(๑) กรณีสัญญามีกำหนดอายุ
(Term loan) ผ่อนผันให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถให้สินเชื่อ
ลงทุน หรือก่อภาระผูกพันตามสัญญาที่ผูกพันไว้แล้วต่อไปได้จนกว่าจะหมดอายุสัญญา
(๒) กรณีสัญญาที่ไม่มีกำหนดอายุ (Call
loan) ผ่อนผันให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสามารถให้สินเชื่อ ลงทุน
หรือก่อภาระผูกพันได้ไม่เกิน ๑ ปี นับจากวันเปิดดำเนินการของธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยนั้น
หลังจากนั้นจะต้องลดอัตราส่วนลงเหลือตามอัตราที่กำหนด
ทั้งนี้ เกณฑ์การผ่อนผันตามข้อ (๑) และ (๒) มีผลบังคับใช้เฉพาะกรณีสัญญาที่ได้ทำไว้ก่อนวันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ดำเนินการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยเท่านั้น
๕.[๑]
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้น ๑๕ วัน นับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ประกาศ
ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[เอกสารแนบท้าย]
๑.
สัญญาอนุพันธ์ทางการเงินประเภทต่างๆ (เอกสารแนบ 1)
๒.
วิธีการคำนวณภาระผูกพันสำหรับการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน (เอกสารแนบ 2)
๓.
ข้อยกเว้นในการคำนวณการให้สินเชื่อ ลงทุน หรือก่อภาระผูกพัน (เอกสารแนบ 3)
๔.
คุณลักษณะของข้อตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตที่เข้าข่ายการประกันความเสี่ยงด้านเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพ
(เอกสารแนบ 4)
(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)
ชัชสรัญ/ผู้จัดทำ
๒๖
มกราคม ๒๕๔๙
[๑] ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๒๓/ตอนพิเศษ ๙ ง/หน้า ๑/๒๓ มกราคม ๒๕๔๙ |
563022 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืม
ที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อขยายขอบเขตการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงหรือมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร
ให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับสภาวการณ์
ตลอดจนเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้มีความหลากหลายมากขึ้น
๒. อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๙ ทวิและมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
และที่แก้ไขเพิ่มเติม อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ทั้งในฐานะที่เป็นผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืมและผู้ฝากหรือผู้ให้กู้ยืม
ตามข้อกำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจ และธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
๔. เนื้อหา
ข้อ ๔.๑
ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๖
ข้อ ๔.๒
ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง หมายถึง
ธุรกรรมดังต่อไปนี้
(๑)
ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร
โดยอัตราผลตอบแทนดังกล่าวขึ้นอยู่กับตัวแปรอ้างอิงที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าซึ่งไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยปกติ
(๒)
ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่ให้สิทธิคู่สัญญาในการชำระคืนหรือรับชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นหลักทรัพย์ตามประเภทและอัตราที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
หรือให้สิทธิผู้รับฝาก (หรือผู้กู้ยืม)
ในการขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหรือผู้ฝาก (หรือผู้ให้กู้ยืม)
ในการซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามสกุลเงินและอัตราที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
(๓)
ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่ให้สิทธิผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืมที่จะขยายระยะเวลาหรือไถ่ถอนก่อนครบกำหนดตามที่ได้ตกลงไว้ในสัญญา ทั้งนี้
ไม่รวมถึงเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่ให้สิทธิผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืมในการไถ่ถอนก่อนครบกำหนดตามประเพณีปฏิบัติตามปกติของตลาดตราสารทางการเงิน
ข้อ ๔.๓
การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงในฐานะที่มีเป็นผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืม
ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกระทำได้ภายในขอบเขตดังต่อไปนี้
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงซึ่งมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรในประเทศ
หรือให้สิทธิผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืมที่จะขยายระยะเวลาหรือไถ่ถอนก่อนครบกำหนดตามที่ได้ตกลงไว้ในสัญญา
กับผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารที่แนบประกาศนี้และบุคคลทั่วไปได้
โดยจะต้องมีการชำระคืนเงินต้นเต็มจำนวนให้แก่บุคคลดังกล่าวในฐานะผู้ฝากหรือเจ้าหนี้
(๒)
ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงซึ่งมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรต่างประเทศหรืออัตราแลกเปลี่ยน
กับผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารที่แนบประกาศนี้
หรือบุคคลที่มีภาระที่จะต้องส่งมอบหรือรับมอบเงินตราต่างประเทศในอนาคตได้
โดยจะต้องมีการชำระคืนเงินต้นเต็มจำนวนให้แก่บุคคลดังกล่าวในฐานะผู้ฝากหรือเจ้าหนี้
ทั้งนี้
การรับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินจากบุคคลที่มีภาระที่จะต้องส่งมอบหรือรับมอบเงินตราต่างประเทศในอนาคต
ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนหรืออัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศเป็นตัวแปรอ้างอิงเท่านั้น
และต้องเรียกเอกสารหลักฐานที่แสดงภาระการส่งมอบหรือรับมอบเงินตราต่างประเทศในอนาคตประกอบด้วย
(๓)
ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงซึ่งให้สิทธิคู่สัญญาในการชำระคืนหรือรับชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นหลักทรัพย์ตามประเภทและอัตราที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
กับผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารที่แนบประกาศนี้ได้
(๔) ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ซึ่งให้สิทธิผู้รับฝาก (หรือผู้กู้ยืม) ในการขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
หรือผู้ฝาก (หรือผู้ให้กู้ยืม)
ในการซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามสกุลเงินและอัตราที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าได้
เฉพาะกับสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
หรือบุคคลที่มีภาระที่จะต้องส่งมอบเงินตราต่างประเทศสกุลที่กำหนดในสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินแฝงในอนาคตเท่านั้น
(๕)
ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดในประกาศฉบับนี้
กับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศได้
ทั้งนี้
การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงตาม (๑)-(๔)
ต้องมีจำนวนเงินขั้นต่ำ ๑๐ ล้านบาทหรือเทียบเท่า
ข้อ ๔.๔ การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงในฐานะที่เป็นผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืม
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับสกุลเงินในการทำธุรกรรมดังต่อไปนี้
(๑)
กรณีธุรกรรมที่ทำกับบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ ให้ทำเป็นสกุลเงินบาทเท่านั้น
ยกเว้นการทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
หรือบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่สามารถฝากเงินตราต่างประเทศไว้กับนิติบุคคลรับอนุญาตได้ตามกฎหมายและระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
ให้ทำเป็นสกุลเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศก็ได้
(๒) กรณีธุรกรรมที่ทำกับบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident)
ให้ทำเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเท่านั้น
เว้นแต่เป็นการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาแลกเป็นเงินบาทเพื่อฝากเงินหรือลงทุนในตราสารทางการเงินที่ออกในประเทศให้สามารถทำได้ ทั้งนี้ ต้องไม่ขัดกับมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๔.๕
กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
กับบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ
เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศต้องทำในรูปเงินฝากในบัญชีเท่านั้นและต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
ข้อ ๔.๖
ในการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงซึ่งมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร
นั้น ธนาคารพาณิชย์สามารถคำนวณและจ่ายผลตอบแทนโดยอ้างอิงกับตัวแปรใดตัวแปรหนึ่ง
หรือกลุ่มของตัวแปร ดังต่อไปนี้
(๑)
อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงภายในประเทศ
(๒)
อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในต่างประเทศ
(๓)
ราคาเฉลี่ยของกลุ่มหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(๔)
ราคาเฉลี่ยของกลุ่มหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ
(๕)
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
(๖) ดัชนีทางการเงิน
(๗)
ตัวแปรอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
ข้อ ๔.๗ ดัชนีทางการเงินตามข้อ ๔.๖ (๖)
ที่ธนาคารพาณิชย์จะนำมาใช้เป็นตัวแปรอ้างอิงในการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงซึ่งมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรได้
จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(๑) เป็นดัชนีทางการเงินที่เกิดจากการคำนวณโดยใช้ตัวแปรอ้างอิงที่กำหนดไว้ในข้อ
๔.๖ หรือราคาหลักทรัพย์
(๒)
เป็นดัชนีทางการเงินที่พัฒนาโดยสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ
(๓)
เป็นดัชนีทางการเงินที่นิยมแพร่หลายในตลาดการเงินไทยหรือสากล
(๔)
เป็นดัชนีทางการเงินที่มีการเสนอราคาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน
ผ่านสื่อที่เสนอข่าวที่ทันสมัยทันต่อเหตุการณ์ และ
(๕)
เป็นดัชนีทางการเงินที่มีการกำหนดวิธีการคำนวณไว้อย่างชัดเจน
โดยมีการระบุแหล่งข้อมูลของตัวแปรและปัจจัยที่นำมาใช้ในการคำนวณ ทั้งนี้
ตัวแปรและปัจจัยที่นำมาใช้ในการคำนวณดังกล่าวต้องมีการเคลื่อนไหวตามสภาวะตลาดอย่างเป็นอิสระ
โดยไม่มีบุคคลใดสามารถมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตัวแปร
ปัจจัยหรือดัชนีทางการเงินนั้นได้
ข้อ ๔.๘
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงซึ่งมีการชำระคืนหรือรับชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นหลักทรัพย์จะต้องกระทำภายในขอบเขต
ดังนี้
(๑)
กรณีหลักทรัพย์เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ
หากทำธุรกรรมกับผู้ลงทุนประเภทสถาบันที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
ต้องทำกับคู่สัญญาที่เป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ สกง. (๐๕) ว.๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ ลงวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๔๖ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยมีข้อจำกัดในเรื่องประเภทหลักทรัพย์วงเงินและการขายหลักทรัพย์ต่อ
ตามหนังสือฉบับที่กล่าว
หรือหนังสืออนุญาตของเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินเป็นรายกรณี
โดยถือเสมือนหนึ่งเป็นการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
(๒)
กรณีหลักทรัพย์เป็นสกุลเงินบาท หลักทรัพย์ดังกล่าวจะต้องเป็นตั๋วเงินคลัง
พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
พันธบัตรรัฐวิสาหกิจและหุ้นกู้ที่รัฐบาลค้ำประกัน
หรือตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับเป็นระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment
Grade) โดยเป็นตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับ BBB
หรือเทียบเท่าขึ้นไปจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
หรือหลักทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
ข้อ ๔.๙
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ซึ่งให้สิทธิผู้รับฝาก (หรือผู้กู้ยืม) ในการขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
หรือผู้ฝาก (หรือผู้ให้กู้ยืม)
ในการซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามสกุลเงินและอัตราที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้ากับบุคคลที่มีภาระที่จะต้องส่งมอบเงินตราต่างประเทศสกุลที่กำหนดในสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินแฝงในอนาคต
ต้องเรียกเอกสารหลักฐานที่แสดงภาระการส่งมอบเงินตราต่างประเทศในอนาคต ทั้งนี้ จำนวนเงินตราต่างประเทศ
และวันครบกำหนดของธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมดังกล่าวต้องไม่เกินจำนวนเงินและกำหนดการชำระเงินตามเอกสารหลักฐาน
และไม่ให้นำเอกสารแสดงภาระดังกล่าวไปใช้ในการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงซ้ำซ้อน
ข้อ ๔.๑๐
ห้ามธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงเกินวงเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๔.๑๑
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงในฐานะที่เป็นผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืม
จะต้องมีการชี้แจงให้ผู้ฝากหรือเจ้าหนี้เข้าใจเกี่ยวกับลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนพร้อมทั้งมีหลักฐานแสดงว่าผู้ฝากหรือเจ้าหนี้มีความเข้าใจความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
ข้อ ๔.๑๒ ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงต้องชี้แจงเงื่อนไขและวิธีการคำนวณและการจ่ายชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทน
และการคิดค่าปรับในกรณีที่ลูกค้าต้องการถอนเงินฝากหรือเรียกคืนเงินให้กู้ยืมก่อนครบกำหนดสัญญา
ให้ลูกค้าเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนตกลงทำสัญญา
ข้อ ๔.๑๓
การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงหากมีการออกบัตรเงินฝากหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้
จะต้องระบุเงื่อนไขห้ามเปลี่ยนมือยกเว้นในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ผู้ออกสามารถควบคุมดูแลการโอนเปลี่ยนมือให้อยู่ภายในกลุ่มผู้ลงทุนตามข้อกำหนดที่ระบุในข้อ
๔.๓ ธนาคารพาณิชย์อาจไม่กำหนดเงื่อนไขการห้ามเปลี่ยนมือดังกล่าวก็ได้
ข้อ ๔.๑๔
ธนาคารพาณิชย์สามารถทำการป้องกันความเสี่ยงสำหรับธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงได้ทั้งกับสถาบันการเงินภายในประเทศและภายนอกประเทศ
แต่การป้องกันความเสี่ยงกับสถาบันการเงินภายนอกประเทศจะต้องเป็นการทำธุรกรรมที่ไม่ขัดกับมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๔.๑๕
ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ต้องมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมสอดคล้องกับการทำธุรกรรมดังนี้
(๑) คณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง
(ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ)
จะต้องเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
โดยคณะกรรมการย่อยและผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าวจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในธุรกรรมดังกล่าวและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดีและจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลการทำธุรกรรมดังกล่าวตามนโยบายที่ได้รับความเห็นชอบอย่างใกล้ชิดและให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการทำธุรกรรมดังกล่าว
(๒)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ ขั้นตอนการปฏิบัติในการประกอบธุรกรรม
การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
และการควบคุมภายในไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยนโยบายดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง
(ในกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ)
หรือคณะกรรมการย่อยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าว
(๓)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยงที่เป็นอิสระ (Risk
Management Unit) เพื่อทำหน้าที่ประเมิน ติดตาม ควบคุม
ตรวจสอบดูแลการบริหารความเสี่ยงโดยรวมของธนาคารพาณิชย์นั้น
และมีการรายงานโดยตรงต่อคณะกรรมการธนาคารผ่านทางคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศหน่วยงานบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
โดยจะต้องมีการรายงานต่อหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่อย่างสม่ำเสมอ
(๔)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีบุคลากรเพียงพอที่จะรองรับการประกอบธุรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร
โดยบุคลากรดังกล่าวจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถและประสบการณ์เพียงพอ
(๕) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีมาตรการในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องที่มีประสิทธิภาพ
สามารถสะท้อนและรองรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกรรม ทั้งนี้
ให้เน้นประสิทธิภาพของระบบบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest
rate Risk) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
(Foreign Exchange Risk) ความเสี่ยงด้านราคาตราสารทุน (Equity
Price Risk) ความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดจากการประกอบธุรกรรม Options
เช่น Delta Vega Gamma Theta และ Rho
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) และความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ซึ่งรวมถึง
Pre-settlement Risk และ Settlement Risk
โดยธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบที่ใช้ในการวัดความเสี่ยงที่สามารถสะท้อนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและความเสี่ยงแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
ถูกต้องและแม่นยำ และมีการนำระบบบริหารความเสี่ยงดังกล่าวไปใช้ในการควบคุมความเสี่ยงในทางปฏิบัติ
มีการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่ใช้ในการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Mark to
Market) ที่เหมาะสม ชัดเจน และสะท้อนมูลค่าตลาดที่แท้จริง
และมีการประเมินมูลค่ายุติธรรมของยอดคงค้าง ณ ทุกสิ้นวันทำการ
มีการกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Limits)
ให้มีความเหมาะสมกับระบบการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ลักษณะการดำเนินงาน
และฐานะเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้นมีการทดสอบประสิทธิภาพ
ความถูกต้องและแม่นยำของระบบบริหารความเสี่ยงภายในระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น
มีการทดสอบ Back Test และมีการทดสอบ Stress Test ของแบบจำลอง
Value at Risk อย่างสม่ำเสมอ
(๖)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีระบบควบคุมภายในที่สามารถรองรับการทำธุรกรรมดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพียงพอ เหมาะสม
มีระเบียบและวิธีปฏิบัติในการควบคุมภายในที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร
มีการกำหนดโครงสร้างการควบคุมและมีการแบ่งแยกหน้าที่อย่างหมาะสม
มีการตรวจสอบระบบควบคุมภายใน และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอ
รวมทั้งมีการจัดทำระบบข้อมูลเพื่อรายงานความเสี่ยงและการจัดทำรายงานเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ
หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่
(ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ)
โดยหน่วยงานดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
(๗)
ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงซึ่งการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับกลุ่มของตัวแปร
หรือมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนีทางการเงิน
หรือมีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มของตัวแปรที่กำหนดไว้ในสัญญาโดยไม่มีการกำหนดแน่ชัดว่าเป็นตัวแปรใดในกลุ่มตั้งแต่วันเริ่มต้นของสัญญาแต่กำหนดเป็นเงื่อนไขแทนซึ่งไม่ได้มีการบริหารความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมดังกล่าวโดยการทำธุรกรรมในส่วนของอนุพันธ์ทางการเงินที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการแต่เป็นฐานะตรงกันข้าม
(Back to back) ต้องมีมาตรการและระบบ ดังต่อไปนี้
ก.
ระบบข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางและแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตัวแปรแต่ละประเภทที่ใช้อ้างอิง
เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ราคาหลักทรัพย์ เป็นต้น
ข.
ระบบบริหารการลงทุนในลักษณะ Portfolio Model ที่สามารถวิเคราะห์จัดสรรอัตราส่วนการลงทุนในตัวแปรแต่ละประเภท
(Asset Allocation)
เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมดังกล่าว
โดยแบบจำลองที่กล่าวจะต้องสามารถวัดและคาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนในตัวแปรแต่ละประเภทและผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในลักษณะ
Portfolio ได้อย่างน้อยทุกวัน
รวมทั้งจะต้องครอบคลุมถึงการวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation)
ระหว่างตัวแปรที่ใช้อ้างอิงด้วย
ค.
มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการวิเคราะห์ ทบทวน และปรับอัตราส่วน (Re-Balance)
ของการลงทุนในตัวแปรแต่ละประเภท (Asset Allocation) ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
ทิศทางของภาวะตลาดเงิน ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดทุน ตลาดตราสารหนี้
รวมทั้งทำให้การลงทุนดังกล่าวมีผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนที่จะจ่ายให้กับผู้ลงทุน
ณ งวดการจ่ายดอกเบี้ย หรือ ณ วันครบกำหนด อย่างต่อเนื่อง
ง. ระบบงานสำหรับวัด
ติดตาม
และควบคุมความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมดังกล่าวให้อยู่ในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
(Limit) อย่างน้อยทุกวัน
โดยระบบบริหารความเสี่ยงดังกล่าวต้องครอบคลุมถึงความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดจากการทำธุรกรรม
Options ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นกลุ่มของสินทรัพย์ เช่น Vega
Delta Gamma และ Cross-Delta ระหว่างตัวแปรที่ใช้อ้างอิงด้วย
ข้อ ๔.๑๖
ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงโดยทั่วไปจะประกอบด้วย
๒ ส่วนหลัก คือ ส่วนที่เป็นเงินฝากหรือเงินกู้ยืม
และส่วนที่เป็นอนุพันธ์ทางการเงิน
ให้ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมดังกล่าวต้องประเมินมูลค่ายุติธรรมส่วนที่เป็นอนุพันธ์ทางการเงินและธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง[๑] (Hedging
Instruments) (ถ้ามี) ทุกสิ้นเดือน และนำผลขาดทุนสุทธิจากการประเมินมูลค่าดังกล่าวมาทดลองหักออกจากตัวเลขเงินกองทุนของเดือนที่รายงานล่าสุดหากปรากฏว่ามีผลทำให้เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ต่ำกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงตามกฎหมาย
ห้ามธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมดังกล่าวเพิ่มเติม และเร่งดำเนินการแก้ไขต่อไป
ข้อ ๔.๑๗
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงจะต้องดำเนินการแจ้งธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อมีการนำเสนอตัวแปรอ้างอิงที่เป็นดัชนีทางการเงินใดเป็นครั้งแรก
หรือมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะธุรกรรมในรายละเอียด
หรือทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับกลุ่มของตัวแปรเป็นครั้งแรก
หรือมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการทำธุรกรรมดังกล่าว ทั้งนี้
จะต้องดำเนินการภายใน ๗ วันทำการนับจากวันที่ทำธุรกรรมดังกล่าว
ข้อ ๔.๑๘ ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงต้องจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรม
ได้แก่ เลขที่อ้างอิง วันที่ทำธุรกรรม ประเภทธุรกรรม คู่สัญญา ฐานะการทำธุรกรรม
(รับฝาก/กู้ยืม หรือฝาก/ให้กู้ยืม) ตัวแปรอ้างอิง อนุพันธ์ทางการเงินแฝง
สกุลเงินของธุรกรรมจำนวนเงิน จำนวนเงินเป็นสกุลบาทเทียบเท่า Delta
Equivalent วันครบกำหนดในรูปของสื่อคอมพิวเตอร์
และจัดส่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประจำทุกเดือนภายใน ๒๑ วันนับจากวันสิ้นเดือน
ไม่ว่าจะเป็นการจัดส่งผ่านทางระบบบริหารข้อมูลหรือไม่ก็ตาม
ตลอดจนจัดเก็บหลักฐานในการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เองเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
ข้อ ๔.๑๙
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงจะต้องดูแลให้สัญญามีผลบังคับตามกฎหมาย
และจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกรรมนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนดรวมทั้งกฎหมายและระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท
ข้อ ๔.๒๐
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ต้องเปิดเผยข้อมูลและบันทึกบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีและวิธีปฏิบัติของสากล
ข้อ ๔.๒๑
ให้ธนาคารพาณิชย์รายงานธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
เป็นเงินฝากในแบบรายงานทุกรายงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ไม่ว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวจะเป็นในรูปแบบของการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงิน
ข้อ ๔.๒๒
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเสมือนว่าธุรกรรมเงินกู้ยืมดังกล่าวเป็นธุรกรรมเงินฝากประเภทหนึ่ง
ข้อ ๔.๒๓ ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ซึ่งให้สิทธิคู่สัญญาในการชำระคืนหรือรับชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นหลักทรัพย์
จะต้องรายงานการประกอบธุรกรรมการซื้อสิทธิที่จะขายหรือขายสิทธิที่จะซื้อหลักทรัพย์ที่แฝงอยู่กับการรับเงินฝากหรือการกู้ยืมเงิน
ให้ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย (Thai
Bond Dealing Center
(TBDC)) โดยมีรายละเอียดตามที่ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้กำหนด
ข้อ ๔.๒๔
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ซึ่งให้สิทธิคู่สัญญาในการชำระคืนหรือรับชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นหลักทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศกับผู้ลงทุนประเภทสถาบันที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
จะต้องจัดทำรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมการซื้อสิทธิที่จะขายหรือขายสิทธิที่จะซื้อหลักทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศตามแบบรายงานการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศที่กำหนดในหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทยที่
สกง. (๐๕) ว.๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ ลงวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๔๖ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยถือเสมือนหนึ่งเป็นการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
ข้อ ๔.๒๕
การทำธุรกรรมดังกล่าวของสาขาธนาคารพาณิชย์ไทยในต่างประเทศให้อยู่ภายในหลักเกณฑ์การกำกับดูแลของประเทศที่สาขานั้นตั้งอยู่และธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจะต้องมีระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพตามที่ระบุไว้ในข้อ
๔.๑๕ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๔.๑๖ ถึง ๔.๒๑ ของประกาศฉบับนี้ด้วย
๕.
วันเริ่มต้นการถือปฏิบัติ
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๒]
ประกาศ
ณ วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
เอกสารแนบประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม
เงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ลงวันที่
๔ สิงหาคม ๒๕๔๗
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
ศุภชัย/พิมพ์
๑๙ ตุลาคม
๒๕๔๗
ศุภสรณ์/ธัญกมล/ตรวจ
๓
พฤศจิกายน ๒๕๔๗
A+B
[๑] ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดเก็บเอกสารหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่าเป็นธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง
(Hedging)
[๒] รก.๒๕๔๗/พ๘๘ง/๓๕/๖ สิงหาคม
๒๕๔๗ |
452805 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อให้กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องสำหรับยอดรวมเงินฝากและเงินกู้ยืมจากต่างประเทศบางประเภทที่กำหนดในแนวทางเดียวกันกับธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศ
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๑ ตรี มาตรา ๑๑ จัตวา และมาตรา ๑๑ เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ตามที่กำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
๔. เนื้อหา
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๗
ข้อ ๒
ธนาคารพาณิชย์นอกจากกิจการวิเทศธนกิจและกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๖ ของยอดเงินฝากและยอดเงินกู้ยืมดังต่อไปนี้
(๑)
ยอดรวมเงินฝากทุกประเภท
(๒)
ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ครบกำหนดใน ๑
ปีนับแต่วันกู้และยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ใน
๑ ปีนับแต่วันกู้
เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๓)
ยอดรวมเงินกู้ยืมที่มีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ทั้งนี้
ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย
ข้อ ๓ สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามข้อ ๒
ดังกล่าว ได้แก่
(๑)
เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๐.๘
(๒)
เงินสดที่ศูนย์เงินสดกลางธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๐.๒
เว้นแต่ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตาม (๑)
ไว้เกินกว่าร้อยละ ๐.๘ เป็นจำนวนเท่าใด
ธนาคารพาณิชย์สามารถดำรงเงินสดที่ศูนย์เงินสดกลางธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวได้ต่ำกว่าร้อยละ
๐.๒ เป็นจำนวนนั้น ทั้งนี้ เมื่อนับรวมกับ (๑) แล้วจะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑
(๓)
เงินสดที่ธนาคารพาณิชย์แต่เมื่อรวมกับเงินสดที่ศูนย์เงินสดกลางธนาคารพาณิชย์ส่วนที่เกินกว่าจำนวนที่ต้องดำรงตาม
(๒) แล้ว ให้ถือเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องได้ไม่เกินร้อยละ ๒.๕
(๔)
หลักทรัพย์ซึ่งปราศจากภาระผูกพันดังต่อไปนี้
ก.
หลักทรัพย์รัฐบาลไทย
ข.
พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
ค. หุ้นกู้ พันธบัตร
หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ง. พันธบัตร
หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
จ. หุ้นกู้ พันธบัตร
หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย
ฉ. หุ้นกู้ พันธบัตร
หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ออกโดยองค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบ
หรือที่ออกโดยบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ช.
หลักทรัพย์ที่บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยออกสืบเนื่องจากโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ตามพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๔๐
ข้อ ๔ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจ
และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๖ ของยอดเงินฝากและยอดเงินกู้ยืมดังต่อไปนี้
(๑)
ยอดรวมเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศซึ่งอาจถอนได้ใน ๑ ปี
นับแต่วันฝากเว้นแต่เป็นเงินฝากในบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๒)
ยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ครบกำหนดใน ๑
ปีนับแต่วันกู้และยอดรวมเงินกู้ยืมจากต่างประเทศซึ่งอาจชำระคืนหรืออาจถูกเรียกคืนได้ภายใน
๑ ปีนับแต่วันกู้
เว้นแต่เป็นเงินกู้ยืมตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ทั้งนี้
ยอดรวมเงินฝากและยอดรวมเงินกู้ยืมข้างต้นให้นับรวมยอดเงินซึ่งโอนเข้ามาในประเทศไทยจากสาขาหรือสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่แสดงอยู่ในบัญชีระหว่างกันด้วย
สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตาม
(๑) และ (๒) ให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๓
(๓)
ยอดรวมทั้งสิ้นของเงินฝากทุกประเภท ยกเว้นยอดรวมเงินฝากที่กล่าวใน (๑) แห่งข้อนี้
โดยกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดจะถือเอาสินทรัพย์ใดๆ
เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงก็ได้
ส่วนกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ไทยให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๓
ข้อ ๕
สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามประกาศนี้ให้คิดจากส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของทุกสิ้นวัน
และส่วนเฉลี่ยรายปักษ์ของยอดรวมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ แล้วแต่กรณี
ทุกสิ้นวันในปักษ์ก่อน ทั้งนี้ ให้ถือเอาวันที่ ๘ ถึงวันที่ ๒๒
ของเดือนเป็นปักษ์หนึ่ง และวันที่ ๒๓ ถึงวันที่ ๗ ของเดือนถัดไปเป็นอีกปักษ์หนึ่ง
และให้นับวันหยุดทำการรวมคำนวณเข้าด้วย
ในกรณีที่ในปักษ์ใดปักษ์หนึ่ง
ธนาคารพาณิชย์ กิจการวิเทศธนกิจ
และกิจการวิเทศธนกิจสาขาต่างจังหวัดดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยไว้น้อยกว่าร้อยละ
๐.๘
หรือดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและเงินสดที่ศูนย์เงินสดกลางธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยไว้น้อยกว่าร้อยละ
๑ ให้สามารถโอนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใน ๑ ปักษ์ก่อนหน้า
หรือเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใน ๑
ปักษ์ถัดไปที่ได้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องถูกต้องตามประกาศฉบับนี้
และมีการดำรงเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไว้เกินเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในข้อ ๓
(๑) เข้ามารวมในการคำนวณเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยในปักษ์ที่ขาดได้ ภายใต้ข้อกำหนดดังนี้
(๑)
การโอนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยส่วนที่ดำรงไว้เกินในปักษ์ก่อนหน้าเพื่อนำไปใช้สำหรับปักษ์ที่ขาด
สามารถทำได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของ ก. หรือ ข. แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่าดังนี้
ก.
จำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยที่ธนาคารพาณิชย์ได้ดำรงไว้จริงในข้อ ๓ (๑)
ของปักษ์ที่โอน หรือ
ข.
จำนวนที่คำนวณจากร้อยละ ๑ ของยอดรวมเงินฝากและเงินกู้ยืมตามข้อ ๒ ของปักษ์ที่โอน
(๒)
การโอนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยในปักษ์ถัดไป เพื่อนำไปใช้สำหรับปักษ์ที่ขาด
สามารถทำได้ไม่เกินร้อยละ ๕
ของจำนวนเงินที่ฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งต้องดำรงตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในข้อ
๓ (๑) ของปักษ์ที่ขาด
(๓)
เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยส่วนที่โอนไปใช้ในปักษ์ที่ขาดจะต้องถูกหักออกจากจำนวนเงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสำหรับการคำนวณสินทรัพย์สภาพคล่องในปักษ์ที่โอนนั้น
และการโอนดังกล่าวต้องไม่ทำให้ปักษ์ที่โอนดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำกว่าอัตราที่ประกาศฉบับนี้กำหนด
๕[๑]. วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ญาณี/พิมพ์
๒๔
มีนาคม ๒๕๔๘
พัชรินทร์/ฐิติพงษ์/ตรวจ
๒๒
เมษายน ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๑๒๒ง/๒๘/๒๙
ตุลาคม ๒๕๔๗ |
445312 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร Collateralized Debt Obligation
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร Collateralized
Debt Obligation
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมทางการเงินประเภทใหม่ๆ
อย่างต่อเนื่องและเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้แก่ธนาคารพาณิชย์
๒. อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร Collateralized Debt Obligation
ตามข้อกำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจและธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
๔. เนื้อหา
ข้อ ๔.๑ ตราสาร Collateralized
Debt Obligation (CDO) หมายถึง
ตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงกระจายตัวอยู่ในอุตสาหกรรมต่างประเภท
หรือต่างภูมิภาคกันโดยสินทรัพย์อ้างอิงอาจเป็นบัญชีลูกหนี้หรือตราสารหนี้ (Cash
flow CDO) หรือ ข้อตกลงรับประกันความเสี่ยงด้านเครดิต เช่น สัญญา
Credit Default Swap ที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ประเภทต่างๆ
โดยผู้ออกตราสารจะนำเงินที่ได้รับจากการออกขายตราสารไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล
หรือตราสารหนี้ชั้นดี (Synthetic CDO)
และตกลงว่าจะจ่ายคืนเงินต้นและผลตอบแทนทั้งหมดหรือบางส่วนให้กับผู้ทรงตราสารโดยอ้างอิงกับเงื่อนไขหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้
(Credit Event) ของกลุ่มสินทรัพย์อ้างอิงที่กำหนดไว้
คุณภาพของกลุ่มสินทรัพย์อ้างอิงและลำดับของสิทธิที่กำหนดไว้ในตราสาร
ข้อ ๔.๒
ให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร CDO
ได้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ ๔.๓
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ลงทุนในตราสาร CDO
ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงดังต่อไปนี้เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นรายกรณี
(๑)
ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (บัญชีมาร์จิ้น)
(๒)
ตราสารที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ผู้ลงทุน
(๓) ตราสาร CDO
ข้อ ๔.๔
ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะลงทุนในตราสาร CDO จะต้องลงทุนเฉพาะในตราสารที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ
Investment Grade
ขึ้นไปหรือเทียบเท่าจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจากสากลในกรณีที่เป็นตราสารซึ่งออกขายในต่างประเทศ
ทั้งนี้ หากภายหลังตราสารดังกล่าวถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงจนต่ำกว่าระดับ Investment
Grade
ธนาคารพาณิชย์จะสามารถถือตราสารต่อไปได้หากได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น
โดยธนาคารพาณิชย์ต้องเก็บหลักฐานในการอนุมัติดังกล่าวไว้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบด้วย
ข้อ ๔.๕
ธนาคารพาณิชย์ที่ลงทุนในตราสาร CDO
จะต้องมีความรู้และความเข้าใจในลักษณะความเสี่ยงทีเกี่ยวข้องของสินทรัพย์อ้างอิงเป็นอย่างดี
รวมทั้งความเสี่ยงที่เกิดจากการที่สินทรัพย์อ้างอิงที่กล่าวกระจุกตัวในผู้ออกสินทรัพย์อ้างอิงรายใดรายหนึ่ง
หรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งหรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งด้วย
นอกจากนี้หากสินทรัพย์อ้างอิงของตราสารนี้เป็น Structured Finance
Securities เช่น Asset Backed Securities, Mortgage
Backed Securities ฯลฯ
ธนาคารผู้ลงทุนก็ต้องมีความรู้และความเข้าใจในความเสี่ยงของสินทรัพย์อ้างอิงของ Structured
Finance Securities ด้วย
ข้อ ๔.๖
ธนาคารพาณิชย์สามารถลงทุนในตราสาร CDO ที่ออกโดยนิติบุคคลเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำธุรกรรม
CDO ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ทั้งในและนอกประเทศหรือคู่สัญญาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติมเท่านั้น
ข้อ ๔.๗
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม ดังนี้
(๑) คณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
จะต้องเข้าใจลักษณะของตราสารและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
โดยคณะกรรมการย่อยและผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการลงทุนดังกล่าวจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในลักษณะของตราสารและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดีและจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลการลงทุนดังกล่าวตามนโยบายที่ได้รับความเห็นชอบอย่างใกล้ชิด
และให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนในตราสารดังกล่าวด้วย
(๒)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องกำหนดนโยบาย กลยุทธ์
ขั้นตอนการปฏิบัติในการลงทุนการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
และการควบคุมภายในไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยนโยบายดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง
ในกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
หรือคณะกรรมการย่อยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าว
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหาร หรือคณะกรรมการย่อยที่กล่าวก่อนทุกครั้ง
(๓)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยงที่เป็นอิสระ (Risk
management unit) เพื่อทำหน้าที่ประเมิน ติดตาม
ควบคุมตรวจสอบดูแลการบริหารความเสี่ยงโดยรวมของธนาคารพาณิชย์นั้น
และมีการรายงานโดยตรงต่อคณะกรรมการธนาคารผ่านทางคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
หน่วยงานบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
โดยจะต้องมีการรายงานต่อหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่อย่างสม่ำเสมอ
(๔)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีบุคลากรที่มีความรู้
ความเข้าใจความสามารถและประสบการณ์เพียงพอที่จะรองรับการลงทุนในตราสาร CDO
อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร
(๕)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีระบบงานและระบบควบคุมภายในที่สามารถรองรับการลงทุนดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพียงพอและเหมาะสม
มีระเบียบและวิธีปฏิบัติในการควบคุมภายในที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร
มีการกำหนดโครงสร้างการควบคุมและมีการแบ่งแยกหน้าที่อย่างเหมาะสม
มีการตรวจสอบระบบควบคุมภายใน และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอ
รวมทั้งมีการจัดทำระบบข้อมูลเพื่อรายงานความเสี่ยงและการจัดทำรายงานเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ
หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่
ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
โดยหน่วยงานดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
(๖) ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดให้มีระบบงานที่เป็นปัจจุบันซึ่งจะช่วยในการวิเคราะห์และติดตามความเสี่ยงของสินทรัพย์อ้างอิงตลอดอายุของตราสาร
รวมทั้งระบบงานดังกล่าวจะต้องสามารถวัดความเสี่ยงและจัดทำรายงานเสนอต่อผู้บริหารอย่างสม่ำเสมอ
(๗)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดเก็บหลักฐานในการลงทุนในตราสาร CDO
ไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เอง โดยมีรายละเอียดของข้อมูลที่สำคัญ ได้แก่วันที่ทำธุรกรรม
สินทรัพย์อ้างอิงทั้งหมดในกลุ่ม สกุลเงินของสินทรัพย์อ้างอิง สกุลเงินของตราสาร
ระดับความน่าเชื่อถือของตราสาร จำนวนเงิน วันครบกำหนดของตราสารและจัดให้มีข้อมูลเกี่ยวกับระดับความน่าเชื่อถือของตราสารอย่างน้อยเป็นรายไตรมาส
เป็นต้น เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
ข้อ ๔.๘
ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำระบบงานภายในเพื่อควบคุมดูแลไม่ให้ธนาคารพาณิชย์มีความเสี่ยงอันเกิดจากสินทรัพย์อ้างอิงรายใดรายหนึ่งเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ
เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ของธนาคารพาณิชย์นั้น
สำหรับการคำนวณเงินลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงที่เกิดจากตราสาร CDO
ให้ใช้วิธีการ Proportionate
เงินลงทุนในตราสารตามอัตราส่วนของสินทรัพย์อ้างอิงในกลุ่มและต้องมีหลักฐานไว้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
ทั้งนี้
ในการคำนวณจำนวนเงินลงทุนสูงสุดในสินทรัพย์อ้างอิงรายใดรายหนึ่งให้ธนาคารพาณิชย์นับเงินลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงที่เกิดจากการลงทุนในตราสาร
CDO
ตามแนวทางการคำนวณที่กำหนดไว้ในย่อหน้าแรกนั้นรวมเข้ากับธุรกรรมการให้สินเชื่อหรือลงทุนในกิจการ
หรือก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลนั้นด้วย
ข้อ ๔.๙
การลงทุนในตราสาร CDO ที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินตราต่างประเทศ
หรือบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
หรือมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อ ๔.๑๐
ธนาคารพาณิชย์จะต้องบันทึกบัญชีและเปิดเผยข้อมูลการลงทุนในตราสาร CDO ให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีหรือวิธีปฏิบัติของสากล
ข้อ ๔.๑๑
ธนาคารพาณิชย์ที่ลงทุนในตราสาร CDO จะต้องมีการรายงานตามแบบรายงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๕.
วันเริ่มต้นการถือปฏิบัติ
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ญาณี/พิมพ์
๒
พฤศจิกายน ๒๕๔๗
นวพร/สุนันทา/ตรวจ
๑๒
พฤศจิกายน ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๙๔ง/๓๐/๒๗
สิงหาคม ๒๕๔๗ |
443713 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์ | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์
ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
แม้ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์จะได้มีการกันสำรองในระดับที่เพียงพอสอดคล้องกับแนวทางของมาตรฐานการบัญชีไทย
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาว่าการดำเนินการดังกล่าวมีผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่งแล้ว
แต่เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในฐานะการเงินและศักยภาพของธนาคารพาณิชย์ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
และส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์เร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ปรับปรุงประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๕
ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์
ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจของสาขาธนาคารต่างประเทศ
๔. เนื้อหา
๔.๑
ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ของธนาคารพาณิชย์
ลงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
๔.๒ ในประกาศฉบับนี้
(๑)
สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หมายถึง สินทรัพย์จัดชั้นสูญ
(๒)
สินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หมายถึง
(ก)
สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ
(ข)
สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย
(ค)
สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน
(ง)
สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือสินทรัพย์จัดชั้นควรระวังเป็นพิเศษ
(จ)
สินทรัพย์จัดชั้นปกติ
(๓) เงินสำรอง หมายถึง
เงินสำรองที่กันไว้เป็นค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ ค่าเผื่อการลดราคา ค่าเผื่อการด้อยค่า
ค่าเผื่อการปรับมูลค่าสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นแต่ละประเภทตามอัตราและหลักเกณฑ์ที่ระบุในประกาศฉบับนี้
๔.๓
สินทรัพย์จัดชั้นสูญดังต่อไปนี้ให้ตัดออกจากบัญชี
(๑)
สิทธิเรียกร้องซึ่งได้ปฏิบัติการโดยสมควรเพื่อให้ได้รับชำระหนี้แต่ไม่มีทางที่จะได้รับชำระหนี้แล้ว
โดยให้พิจารณาตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(ก)
ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เป็นคนสาบสูญ หรือมีหลักฐานว่าหายสาบสูญไป
และไม่มีทรัพย์สินใดๆ จะชำระหนี้ได้
(ข) ลูกหนี้เลิกกิจการ
และมีหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่นมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้อยู่ในลำดับก่อนเป็นจำนวนมากกว่าทรัพย์สินของลูกหนี้
(ค)
ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้หรือได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง
และในกรณีนั้นๆ ได้มีคำบังคับหรือคำสั่งของศาลแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินใดๆ
จะชำระหนี้ได้
(ง)
ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องลูกหนี้ในคดีล้มละลายหรือได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องในคดีล้มละลาย
และในกรณีนั้นๆ ได้มีการประนอมหนี้กับลูกหนี้ โดยศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้นั้น
หรือลูกหนี้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายและได้มีการแบ่งทรัพย์สินของลูกหนี้ครั้งแรกแล้ว
(๒)
สิทธิเรียกร้องซึ่งตามพฤติการณ์ไม่อาจเรียกให้ชำระหนี้ได้
(๓)
สินทรัพย์อื่นซึ่งชำรุด เสียหาย หรือหมดราคา
(๔)
ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๔
สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญให้พิจารณาดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๔.๔.๑
สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
ให้กันเงินสำรองในอัตราร้อยละ ๑๐๐
(๑) ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า
๑๒ เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา
หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืนแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญแล้ว สำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม
(๒)
(๒)
ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน หรือถูกยกเลิกวงเงิน
หรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน
หรือครบกำหนดสัญญาแล้วและไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า
๑๒ เดือน นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงิน หรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน
หรือวันที่ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
(๓)
อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้
หรือซื้อจากการขายทอดตลาดเฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือตีราคาไว้ไม่เกิน
๑๒ เดือน โดยมูลค่าที่กล่าวให้หักด้วยประมาณการค่าใช้จ่ายในการขายก่อนนำไปเปรียบเทียบกับราคาตามบัญชี
แต่หากธนาคารพาณิชย์ไดทำการประเมินราคาหรือตีราคาไว้เกินกว่า ๑๒ เดือน
ให้นำมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือตีราคามาใช้ได้เพียงร้อยละ ๕๐ ทั้งนี้
ในการประเมินราคาหรือตีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่กล่าว
ให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ยกเว้นเกณฑ์การเลือกใช้การประเมินราคาหรือการตีราคา
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักเกณฑ์ดังกล่าว มิให้นำมาใช้บังคับในเรื่องนี้
และให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก)
อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลาดแต่ละแปลงมีราคาตามบัญชีตั้งแต่
๕๐ ล้านบาท ขึ้นไปให้ใช้การประเมินราคา
(ข)
อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลาดแต่ละแปลงมีราคาตามบัญชีต่ำกว่า
๕๐ ล้านบาท ธนาคารพาณิชย์จะใช้การตีราคา หรือการประเมินราคาก็ได้
(ค)
อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้หรือซื้อจากการขายทอดตลาดหลายแปลงที่ไม่สามารถแยกจำหน่ายจากกันได้
หากมีราคาตามบัญชีรวมกันตั้งแต่ ๕๐
ล้านบาทขึ้นไปให้ใช้การประเมินราคาเช่นเดียวกับข้อ (๓) (ก)
(๔) สินทรัพย์อื่นเฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่ายุติธรรม
หรือมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืน ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์ต้องกำหนดมูลค่ายุติธรรมหรือมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในมาตรฐานการบัญชี
(๕)
สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ทั้งจำนวน
(๖)
ส่วนสูญเสียที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
(๗)
มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นจะเรียกคืนไม่ได้ทั้งจำนวนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง
๔.๔.๒ สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ
๔.๔.๑ (๑) หรือ ๔.๔.๑ (๒)
ที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
หรือฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายให้ธนาคารพาณิชย์กันเงินสำรอง ดังนี้
(๑)
ลูกหนี้ที่มีระยะเวลาการค้างชำระเกินกว่า ๑๒ เดือน แต่ไม่เกิน ๒๔ เดือน
ให้ธนาคารพาณิชย์นำมูลค่าของหลักประกันซึ่งได้ประเมินราคาตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้
ตามเกณฑ์ในข้อ ๔.๑๒ และให้กันเงินสำรองในอัตราร้อยละ ๑๐๐
(๒)
ลูกหนี้ที่มีระยะเวลาการค้างชำระเกินกว่า ๒๔ เดือน แต่ไม่เกิน ๓๖ เดือน
ให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณากันเงินสำรองเพิ่มจากที่กำหนดใน (๑) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๕
ของยอดคงค้างหลังหักเงินสำรองที่ธนาคารได้กันไว้แล้วสำหรับลูกหนี้รายนั้นๆ ตาม (๑)
(๓)
ลูกหนี้ที่มีระยะเวลาการค้างชำระเกินกว่า ๓๖ เดือน แต่ไม่เกิน ๔๘ เดือน
ให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณากันเงินสำรองเพิ่มจากที่กำหนดใน (๑) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐
ของยอดคงค้างหลักหักเงินสำรองที่ธนาคารได้กันไว้แล้วสำหรับลูกหนี้รายนั้นๆ ตาม (๑)
(๔)
ลูกหนี้ที่มีระยะเวลาการค้างชำระเกินกว่า ๔๘ เดือน
ให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณากันเงินสำรองเพิ่มจากที่กำหนดใน (๑)
เต็มจำนวนของยอดคงค้างหลังหักเงินสำรองที่ธนาคารได้กันไว้แล้ว
สำหรับลูกหนี้รายนั้นๆ ตาม (๑)
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินการกันเงินสำรองครบเต็มจำนวนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และมีส่วนที่เกินกว่าจำนวนเงินสำรองพึงกันแล้ว สามารถนำส่วนเกินดังกล่าวมาหักออกจากจำนวนเงินที่ต้องพิจารณากันเงินสำรองเพิ่มเติมตาม
(๒) (๓) และ (๔) ได้
การกันเงินสำรองตาม
(๒) (๓) และ (๔) ให้ถือปฏิบัติตั้งแต่งวดการบัญชีในรอบระยะเวลาหกเดือนหลังของปี
๒๕๔๗ เป็นต้นไป
สำหรับลูกหนี้ที่ต้องกันเงินสำรองเพิ่มตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดข้างต้นตามข้อ ๔.๔.๒ (๒) (๓) และ (๔)
ธนาคารพาณิชย์ไม่จำเป็นต้องพิจารณาประเมินราคาหรือตีราคามูลค่าของหลักประกันใหม่
เว้นแต่กรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งการเป็นอย่างอื่น
๔.๔.๓
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์สงสัยจะสูญ ตามข้อ
๔.๔.๒ แล้ว หากธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายในภายหลัง
ธนาคารพาณิชย์นั้นก็ไม่ต้องกันเงินสำรองเพิ่มตามข้อ ๔.๔.๒ (๒) (๓) และ (๔) อีก และให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการเกี่ยวกับการโอนเงินสำรองพึงกัน
ดังนี้
(๑)
กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยภายหลังจากที่ได้ดำเนินการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์สงสัยจะสูญตามข้อ
๔.๔.๒ แล้ว ธนาคารพาณิชย์จะต้องถือปฏิบัติตามข้อ ๔.๑๑
และสามารถโอนเงินสำรองส่วนเกินกว่าจำนวนเงินสำรองพึงกันกลับเป็นรายได้ได้
(๒)
กรณีที่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายภายหลังจากที่ได้ดำเนินการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์สงสัยจะสูญตามข้อ
๔.๔.๒ แล้ว ให้ธนาคารพาณิชย์คงเงินสำรองที่กันไว้แล้วตามข้อ ๔.๔.๒ (๑)
สำหรับลูกหนี้รายนั้นๆ ไว้ในบัญชีต่อไป ส่วนเงินสำรองที่กันไว้เพิ่มขึ้นตามข้อ
๔.๔.๒ (๒) (๓) และ (๔) ห้ามโอนกลับเป็นรายได้
แต่สามารถโอนไปใช้เป็นเงินสำรองสำหรับลูกหนี้รายอื่นได้
๔.๕
สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐
(๑)
ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๖ เดือน
นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา
หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญหรือสงสัยจะสูญแล้ว
สำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม (๒)
(๒)
ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน
หรือถูกยกเลิกวงเงินหรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือครบกำหนดสัญญาแล้ว และไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า
๖ เดือน นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงิน หรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน
หรือวันที่ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
(๓)
ลูกหนี้ที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว
(๔)
ลูกหนี้ที่หยุดดำเนินกิจการหรือเลิกกิจการ หรือกิจการของลูกหนี้อยู่ระหว่างชำระบัญชี
(๕)
ลูกหนี้ที่ประวิงการชำระหนี้ หรือกระทำการใดๆ เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
เช่น ออกไปเสียนอกราชอาณาจักร หรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน
(๖)
ลูกหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์ติดต่อไม่ได้
หรือตามตัวลูกหนี้ไม่พบหรือลูกหนี้ไปเสียจากภูมิลำเนาที่ปรากฏตามสัญญาโดยไม่แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์ทราบ
(๗)
ลูกหนี้ที่ไม่ปรากฏธุรกิจแน่ชัด
หรือไม่ได้ประกอบธุรกิจจริงจังหรือนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
(๘)
ธนาคารพาณิชย์ได้ยื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้อง
(๙)
สินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องที่คาดว่าจะเรียกให้ชำระคืนไม่ได้ครบถ้วน
(๑๐)
มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นคาดว่าจะเรียกคืนไม่ได้ครบถ้วนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง
๔.๖
สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๒๐
(๑)
ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๓ เดือน
นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา
หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ หรือสงสัยแล้ว
สำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม (๒)
(๒)
ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน
หรือถูกยกเลิกวงเงินหรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน
หรือครบกำหนดสัญญาแล้ว และไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า
๓ เดือน นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงิน หรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน
หรือวันที่ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
(๓)
มีเหตุประการอื่นที่แสดงว่าสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องนั้นมีปัญหาในการเรียกให้ชำระคืน
หรือไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามปกติตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่ง
๔.๗
สินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือสินทรัพย์จัดชั้นควรระวังเป็นพิเศษตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒
หรืออัตราที่ต่ำกว่าซึ่งคำนวณได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยใช้ยอดคงค้างของต้นเงินที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับเป็นฐานในการคำนวณเงินสำรอง
(๑)
ลูกหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า ๑ เดือน
นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ไม่ว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาตามสัญญา
หรือวันที่ธนาคารพาณิชย์ทวงถามหรือเรียกให้ชำระคืน แล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ สงสัย
หรือต่ำกว่ามาตรฐานสำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม (๒)
(๒)
ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ไม่มีวงเงิน
หรือถูกยกเลิกวงเงินหรือมีวงเงินตามสัญญาแต่ยอดหนี้เกินวงเงิน หรือครบกำหนดสัญญาแล้ว
และไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า ๑ เดือน
นับแต่วันที่ถูกยกเลิกวงเงิน หรือวันที่ยอดหนี้เกินวงเงิน
หรือวันที่ครบกำหนดสัญญาแล้วแต่วันใดจะถึงก่อน
๔.๘
สินทรัพย์จัดชั้นปกติตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้กันเงินสำรองในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๑ หรืออัตราที่ต่ำกว่าซึ่งคำนวณได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
โดยใช้ยอดคงค้างของต้นเงินที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับเป็นฐานในการคำนวณเงินสำรอง
(๑)
ลูกหนี้ที่ไม่ผิดนัดชำระสำหรับกรณีลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีให้จัดชั้นตาม (๒)
(๒)
ลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ยังใช้ไม่เต็มวงเงิน
และยังไม่ถูกยกเลิกวงเงินหรือสัญญายังไม่ครบกำหนด
หรือลูกหนี้เงินเบิกเกินบัญชีที่ค้างชำระดอกเบี้ยไม่เกิน ๑ เดือน
(๓)
ลูกหนี้อื่นที่ไม่เข้าข่ายเป็นลูกหนี้จัดชั้นสูญ สงสัยจะสูญ สงสัย ต่ำกว่ามาตรฐาน
หรือกล่าวถึงเป็นพิเศษ (หรือควรระวังเป็นพิเศษ)
๔.๙
ให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นเงินให้สินเชื่อโดยพิจารณาเป็นรายบัญชีไม่ต้องพิจารณาจัดชั้นเป็นกลุ่มลูกหนี้
หรือจัดชั้นลูกหนี้ในเครือเดียวกัน ไว้ที่ชั้นเดียวกัน
๔.๑๐
ลูกหนี้ที่มีหนังสือยืนยันการตรวจรับงานจากหน่วยราชการตามระเบียบของหน่วยราชการนั้นที่มีระยะเวลาไม่เกิน
๖ เดือนนับแต่วันตรวจรับงาน
เงินให้สินเชื่อส่วนที่มีหนังสือยืนยันนั้นให้ถือเป็นสินทรัพย์จัดชั้นปกติ
๔.๑๑
ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑)
ตัดส่วนสูญเสียออกจากบัญชี หรือกันเงินสำรองดังต่อไปนี้
(ก)
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้
หรือรับชำระหนี้โดยการรับโอนสินทรัพย์ ตราสารการเงิน
หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุน
ให้ธนาคารพาณิชย์ตัดจำหน่ายบัญชีลูกหนี้และบันทึกส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นพร้อมกับโอนกลับรายการเงินสำรองส่วนเกินที่กันไว้เฉพาะสำหรับลูกหนี้รายนั้นทั้งจำนวนได้
(ข)
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยไม่มีการลดต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ซึ่งมีผลทำให้มูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของหนี้ที่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ได้คำนวณตามวิธีการที่กำหนดไว้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดต่ำกว่าราคาตามบัญชีเดิมรวมดอกเบี้ยค้างรับที่บันทึกในบัญชีของลูกหนี้ก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นดังกล่าวทั้งจำนวน
ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์สามารถโอนกลับรายการเงินสำรองที่กันไว้แล้วเดิมก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้รายนั้นได้เฉพาะจำนวนที่กันไว้แล้วสูงกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องกัน
และหากเงินสำรองที่กันไว้แล้วต่ำกว่าจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องกันก็ให้กันเงินสำรองเพิ่มขึ้นให้ครบจำนวนส่วนสูญเสียที่ต้องกันดังกล่าว
(ค)
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ยินยอมลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้
หรือรับชำระหนี้บางส่วนโดยการรับโอนสินทรัพย์ ตราสารการเงิน หรือรับทุนของลูกหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้เป็นทุน
และผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ในส่วนที่เหลือให้แก่ลูกหนี้ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตาม
(ก) สำหรับกรณีการลดต้นเงินหรือดอกเบี้ยหรือการรับชำระหนี้ดังกล่าว และปฏิบัติตาม
(ข) ในส่วนการผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้
(๒) ในระหว่างติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ซึ่งลูกหนี้ต้องชำระเงินตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า
๓ เดือน หรือ ๓ งวดการชำระเงิน แล้วแต่ระยะเวลาใดจะนานกว่าให้ดำเนินการดังนี้
(ก)
ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นสงสัยจะสูญ หรือสงสัย ให้จัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน
(ข)
ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐาน หรือกล่าวถึงเป็นพิเศษ
(หรือควรระวังเป็นพิเศษ) ให้คงจัดชั้นเช่นเดิม
ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ตามสถานะการจัดชั้นหลังการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
หากเงินสำรองตาม (๒)
นี้มีจำนวนสูงกว่าเงินสำรองสำหรับส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตาม (๑)
(ข) และ (ค)
เมื่อลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้
โดยชำระเงินตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๓ เดือน หรือ ๓
งวดการชำระเงินแล้ว ให้ถือเป็นลูกหนี้จัดชั้นปกติ
ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่
ให้นับระยะเวลาการค้างชำระรวมกับระยะเวลาการค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
แล้วพิจารณาจัดชั้นตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นเพื่อการกันเงินสำรองตามเกณฑ์ในประกาศฉบับนี้ต่อไป
(๓)
สำหรับลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
(ก)
ลูกหนี้ที่สามารถชำระดอกเบี้ยได้ไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด ((Market
interest rate) โดยไม่มีช่วงปลอดการชำระดอกเบี้ยแต่อาจมีช่วงปลอดชำระเงินต้นได้
(ข)
ลูกหนี้ที่มีส่วนสูญเสียจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐
ของยอดหนี้ตามบัญชีก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งได้มีการตัดออกจากบัญชีแล้ว
หรือได้มีการกันเงินสำรองในอัตราดังกล่าวครบถ้วนแล้ว
โดยหนี้ส่วนที่เหลือได้มีการวิเคราะห์ฐานะและกิจการของลูกหนี้ ตลอดจนกระแสเงินสด
อย่างมีหลักเกณฑ์ สมเหตุสมผล และมีหลักฐานประกอบจนเชื่อได้แน่นอนว่าลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้
(ค) ลูกหนี้ในลักษณะ Loan
Syndication หรือมีเจ้าหนี้หลายราย
ซึ่งบรรดาเจ้าหนี้ได้ตกลงปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกันได้
และสามารถแสดงหลักฐานการวิเคราะห์ฐานะและกิจการของลูกหนี้ตลอดจนกระแสเงินสดอย่างมีหลักเกณฑ์
สมเหตุสมผล
และมีความเป็นไปได้แน่นอนที่ลูกหนี้จะปฏิบัติตามสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้
(ง)
กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องร้องลูกหนี้
ต่อมาได้มีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว
และกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ฟ้องร้องลูกหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย
และศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบตามคำขอประนอมหนี้หรือแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้แล้ว
(๔)
กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นลูกหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นปกติได้ทันทีโดยไม่ต้องรอติดตามผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
(๕)
ในกรณีที่เห็นว่ามีข้อผิดสังเกตในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจสั่งการให้มีการแก้ไข
หรือให้ธนาคารพาณิชย์หาผู้เชี่ยวชาญอิสระมาประเมินหรือทบทวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
หรือสั่งการให้เปลี่ยนแปลงการจัดชั้นและการกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ในแต่ละรายได้
๔.๑๒
ในการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นทุกประเภท
เว้นแต่สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญตามข้อ ๔.๔.๑ (๓) (๔) และ (๖) ให้นำมูลค่าของหลักประกันซึ่งได้ประเมินราคาตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรอง
โดยธนาคารพาณิชย์สามารถเลือกที่จะนำหลักประกันมาหักออกจากบัญชีใดของลูกหนี้ก่อนก็ได้
ทั้งนี้
มูลค่าของหลักประกันที่นำมาหักได้จะต้องไม่สูงเกินกว่าวงเงินที่ระบุในสัญญาจำนำ
สัญญาจำนองหรือสัญญาประกันแล้วแต่กรณี ดังนี้
(๑)
หลักประกันที่เป็นสิทธิในเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์นั้นนำมาหักได้ร้อยละ ๑๐๐
(๒)
หลักประกันประเภทหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศกรณีที่เป็น
Standby Letter of Credit (SBLC) ให้นำมาหักได้ร้อยละ ๑๐๐
ของวงเงินที่ระบุใน SBLC และกรณีที่เป็น Letter
of Guarantee (LG) ให้นำมาหักได้ร้อยละ ๙๕ ของวงเงินที่ระบุใน LG
(๓)
หลักประกันที่ใกล้เคียงเงินสด เช่น หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดนำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ
๙๕ ของราคาตลาด
(๔)
หลักประกันอื่นนอกจาก (๑) (๒) และ (๓) ให้นำมาหักได้ไม่เกินร้อยละ ๙๐
ของมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาหรือการตีราคา
(๕)
ลูกหนี้จัดชั้นรายใดที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน หรือที่รัฐบาลจะจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้
หรือที่มีหลักฐานว่าจะได้รับชำระเงินจากหน่วยราชการใดอย่างแน่นอน
ให้นำวงเงินที่ได้รับการค้ำประกันหรือที่จะได้รับชำระนั้นมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนคำนวณเงินสำรอง
สำหรับสินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษหรือสินทรัพย์จัดชั้นควรระวังเป็นพิเศษตามข้อ
๔.๗ และสินทรัพย์จัดชั้นปกติตามข้อ ๔.๘
ธนาคารพาณิชย์จะนำมูลค่าของหลักประกันมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรองหรือไม่ก็ได้
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์เลือกที่จะนำมูลค่าหลักประกันมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรอง
มูลค่าของหลักประกันที่จะนำมาหักได้ให้เป็นไปตามข้อ (๑) ถึง (๕)
๔.๑๓
ลูกหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญรายใดที่ได้กันเงินสำรองครบถ้วนแล้วและธนาคารพาณิชย์ได้ตัดจำหน่ายลูกหนี้รายดังกล่าวออกจากบัญชีแล้วตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติเกี่ยวกับการตัดจำหน่ายลูกหนี้ออกจากบัญชี
ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๒ และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ ลงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๔๕
ก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้
ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกลูกหนี้ดังกล่าวรายที่มีหลักประกันกลับเข้ามาในบัญชี
โดยให้บันทึกบัญชีกลับรายการบัญชีที่ได้เคยบันทึกไว้เมื่อมีการตัดจำหน่ายลูกหนี้รายดังกล่าวออกจากบัญชี
ส่วนลูกหนี้รายที่ไม่มีหลักประกันถ้าธนาคารพาณิชย์จะบันทึกลูกหนี้กลับเข้ามาในบัญชี
ให้ธนาคารพาณิชย์บันทึกบัญชีโดยกลับรายการบัญชีที่ได้เคยบันทึกไว้เมื่อมีการตัดจำหน่ายลูกหนี้รายดังกล่าวออกจากบัญชีด้วยเช่นกัน
๔.๑๔
ในการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ
(หรือควรระวังเป็นพิเศษ) ตามข้อ ๔.๗ และสินทรัพย์จัดชั้นปกติตามข้อ ๔.๘
หากธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่าอัตราที่คำนวณได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไม่เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงสำหรับธนาคารพาณิชย์รายใด
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีสิทธิสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์นั้นกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นดังกล่าวในอัตราตามที่เห็นสมควรได้
แต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๒ หรือ ร้อยละ ๑ แล้วแต่กรณี
๔.๑๕
ในระหว่างเวลาที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้ตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี
หรือยังกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ครบจำนวน
ธนาคารพาณิชย์จะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใดแก่ผู้ถือหุ้นมิได้
๔.๑๖
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ประสงค์จะจัดชั้นสินทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องและกันเงินสำรองโดยใช้เกณฑ์ที่เข้มงวดกว่าข้อกำหนดตามประกาศฉบับนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกระทำได้
๔.๑๗
ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำรายงานการสอบทานเงินให้สินเชื่อและภาระผูกพันส่งไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และแบบรายงานที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด
๕.
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
หลักเกณฑ์
วิธีการคำนวณอัตราการเปลี่ยนสถานะของสินทรัพย์จัดชั้นปกติ
และสินทรัพย์จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
ตัวอย่างวิธีการคำนวณอัตราการเปลี่ยนสถานะของสินทรัพย์จัดชั้นปกติ
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
ตัวอย่างการกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญ
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
พรพิมล/พิมพ์
๓
พฤศจิกายน ๒๕๔๗
สุนันทา/นวพร/ตรวจ
๑๒
พฤศจิกายน ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๙๓ง/๔๒/๒๕
สิงหาคม ๒๕๔๗ |
442057 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการที่เป็นผู้บริหารและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การแต่งตั้งกรรมการที่เป็นผู้บริหารและผู้บริหารระดับสูง
ของธนาคารพาณิชย์
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
โดยที่การดำเนินกิจการของธนาคารพาณิชย์ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประโยชน์ของประชาชนโดยรวม
ทั้งประชาชนซึ่งเป็นลูกค้าผู้ฝากเงินผู้ใช้บริการต่างๆ และผู้ถือหุ้นรายย่อย
ธนาคารแห่งประเทศไทยตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว จึงได้กำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ต่างๆ
เพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาลในระบบธนาคารพาณิชย์
สนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพพร้อมๆ
กับจริยธรรมทางด้านธุรกิจ อันจะนำไปสู่ความมั่นคงของระบบธนาคารพาณิชย์
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และประโยชน์โดยรวมของประชาชนในระยะยาว
การที่ธนาคารพาณิชย์จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว
กรรมการที่เป็นผู้บริหารและผู้บริหารระดับสูงซึ่งรับผิดชอบวางนโยบาย
กำกับดูแลและควบคุมการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์จะต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นผู้มีคุณธรรม
ไม่เคยมีพฤติกรรมอันส่อถึงการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในด้านการเงินหรือส่อถึงการละเลยบกพร่องต่อหน้าที่จนก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องออกประกาศนี้เพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน
๒. อำนาจตามกฎหมาย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๒ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘ ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการที่เป็นผู้บริหารและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์
เพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน ตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นสาขาของธนาคารต่างประเทศและกิจการวิเทศธนกิจของสาขาของธนาคารต่างประเทศ
๔. เนื้อหา
๔.๑ ในประกาศนี้
(๑) กรรมการที่เป็นผู้บริหาร
หมายความว่า กรรมการที่มีส่วนร่วมในการบริหารงานให้แก่ธนาคารพาณิชย์เต็มเวลา
และรับผลตอบแทนจากธนาคารพาณิชย์เป็นประจำทุกเดือนในรูปของเงินเดือนหรือผลตอบแทนอื่นที่เปรียบเสมือนเงินเดือน
และให้หมายความรวมถึง ประธานกรรมการ
ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้วย
(๒) ผู้บริหารระดับสูง
หมายความว่า ผู้จัดการ รองผู้จัดการอาวุโส รองผู้จัดการ หรือผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่กำหนดชื่อเป็นอย่างอื่นหรือบุคคลอื่นซึ่งธนาคารพาณิชย์ทำสัญญาให้มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานของธนาคารพาณิชย์
ตลอดจนผู้ซึ่งปฏิบัติงานให้แก่บุคคลอื่นนั้นด้วย
(๓) สถาบันการเงิน
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
๔.๒
ธนาคารพาณิชย์ต้องไม่แต่งตั้งหรือมีกรรมการที่เป็นผู้บริหารและผู้บริหารระดับสูงซึ่งมีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างดังต่อไปนี้
(๑)
มีปัญหาในการชำระเงินต้น หรือดอกเบี้ยกับสถาบันการเงิน
(๒) เคยถูกธนาคารแห่งประเทศไทย หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สั่งถอดถอนจากการเป็นผู้บริหารสถาบันการเงินหรือบริษัทหลักทรัพย์ใดมาก่อน
เว้นแต่ จะพ้นจากระยะเวลาที่กำหนดห้ามเป็นผู้บริหารแล้ว
หรือได้รับการผ่อนผันจากธนาคารแห่งประเทศไทยหรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
แล้วแต่กรณี
(๓)
เคยถูกธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือหน่วยงานของรัฐทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ซึ่งมีหน้าที่กำกับและควบคุมสถาบันการเงิน กล่าวโทษ ร้องทุกข์
หรือกำลังถูกดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกง หรือทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือกฎหมายว่าด้วยการกำกับและควบคุมสถาบันการเงินนั้น เว้นแต่ จะปรากฏว่าคดีถึงที่สุดโดยไม่มีความผิด
(๔) เคยทำหรือเกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการใดๆ
ที่มีลักษณะอันเป็นการหลอกลวงผู้อื่นหรือประชาชน
(๕) มีประวัติเสียหาย
หรือเคยมีพฤติกรรมที่แสดงถึงวิธีการทำธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่น่าเชื่อถือ
(๖)
มีพฤติกรรมที่แสดงถึงการทำงานอันส่อไปในทางไม่สุจริต
(๗)
มีการทำงานที่แสดงถึงการขาดจรรยาบรรณหรือขาดมาตรฐานในการประกอบธุรกิจสถาบันการเงินหรือการประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเงิน
(๘)
มีการบริหารงานที่แสดงถึงการละเลยการทำหน้าที่ตามสมควรในการกลั่นกรองหรือตรวจสอบดูแลมิให้บุคคลที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาฝ่าฝืนหรือปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หรือขาดจรรยาบรรณหรือขาดความรอบคอบที่พึงมีในการปฏิบัติหน้าที่
อันอาจก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในธุรกิจสถาบันการเงินโดยรวมหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง
ฐานะหรือการดำเนินธุรกิจสถาบันการเงินอย่างมีนัยสำคัญ
หรือต่อลูกค้าของธุรกิจสถาบันการเงิน
๔.๓ ก่อนการแต่งตั้งบุคคลใดให้ดำรงตำแหน่งหรือทำหน้าที่เป็นกรรมการที่เป็นผู้บริหารหรือผู้บริหารระดับสูง
ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบว่าบุคคลดังกล่าวมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนดและตามประกาศนี้
๔.๔ ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า
กรรมการที่เป็นผู้บริหารหรือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์มีลักษณะต้องห้ามตามที่ระบุใน
๔.๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งการหรือกำหนดเงื่อนไขใดๆ
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติก็ได้
๕.
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ศุภชัย/พิมพ์
๑๕ ตุลาคม
๒๕๔๗
อมราลักษณ์/พัชรินทร์/ตรวจ
๒๑
ตุลาคม ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๘๕ง/๔/๒๙ กรกฎาคม
๒๕๔๗ |
438454 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลอยตัวอย่างแท้จริง
ซึ่งจะทำให้ผู้ฝากเงินได้รับผลตอบแทนอย่างเต็มที่
ตลอดจนกระตุ้นให้สถาบันการเงินแข่งขันกันอย่างเสรีและเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและมีความชัดเจนในทางปฏิบัติ
พร้อมทั้งพัฒนาตราสารทางการเงินขึ้นมาเป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุน
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
ออกข้อกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
๔.
เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิก
(๑)
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ลงวันที่ ๒๐
ตุลาคม ๒๕๓๖
(๒)
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๒)
ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน
๒๕๔๐
(๓)
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๓)
ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม
๒๕๔๐
(๔)
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๔)
ลงวันที่ ๑๘ กันยายน
๒๕๔๐
(๕)
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ ๕)
ลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม
๒๕๔๑
๔.๒
ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ยืมดังต่อไปนี้
(๑)
เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทกระแสรายวันและประเภทออมทรัพย์ที่ไม่ใช้เช็คในการถอน
เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลา
เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้โดยการออกบัตรเงินฝาก (Negotiable
Certificate of Deposit) และเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลา
ประเภทเงินฝากแบบผูกพันที่มีระยะเวลาการฝากต่อเนื่องเป็นรายเดือนไม่ต่ำกว่า ๒๔
เดือน (Contractual Savings) ให้จ่ายดอกเบี้ยได้ตามอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนด ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์อาจกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าบางรายเพิ่มขึ้นได้แต่ต้องไม่เกินร้อยละ
๐.๕
จากอัตราที่กำหนดจ่ายสำหรับลูกค้าทั่วไป
(๒)
กรณีเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้มีวันครบกำหนดตรงกับวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์และลูกค้าไม่ประสงค์จะฝากต่อโดยมาขอถอนเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยในวันทำการถัดไป
ให้ธนาคารพาณิชย์คิดดอกเบี้ยให้ลูกค้าสำหรับวันหยุดทำการนั้นด้วย
(๓)
เงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่ธนาคารพาณิชย์จ่ายผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าประเภทสถาบันโดยอ้างอิงกับตัวแปรอื่นที่มิใช่อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
ให้จ่ายผลตอบแทนตามวิธีการคำนวณที่ธนาคารพาณิชย์ได้ตกลงกับลูกค้า ทั้งนี้
ประเภทลูกค้าและขอบเขตการทำธุรกรรมให้เป็นไปตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่ธนาคารพาณิชย์กำหนดจะจ่ายสำหรับเงินฝากแต่ละประเภทตาม
(๑)
ทั้งที่จ่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไป
ลูกค้ารายใหญ่และลูกค้าบางราย
รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่จะจ่ายสำหรับเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาซึ่งธนาคารพาณิชย์ยินยอมให้ถอนก่อนครบกำหนดด้วย
ทั้งนี้
ประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวต้องใช้บังคับกับสำนักงานใหญ่และสาขาทุกแห่ง
เว้นแต่เรื่องวงเงินฝาก
สาขาของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งอาจกำหนดวงเงินฝากเพื่อการจ่ายดอกเบี้ยให้แตกต่างกันได้
๔.๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับดอกเบี้ยและส่วนลดเงินให้สินเชื่อดังต่อไปนี้
(๑)
ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศอัตราดอกเบี้ยและส่วนลดสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์จะเรียกจากลูกค้าทุกประเภท
รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆ (ถ้ามี)
โดยจำแนกตามประเภทลูกค้าและสินเชื่อแต่ละประเภท
ซึ่งรวมถึงการประกาศกำหนด
(ก)
อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา
(Minimum Loan Rate (MLR)) และคำจำกัดความของลูกค้าที่จะเรียกดอกเบี้ยและส่วนลดโดยอ้างอิงกับอัตราที่กล่าว
(ข)
อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี
(Minimum Retail Rate (MRR)) และส่วนต่าง (Margin)
สูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์จะใช้บวกเข้ากับ
MRR
(ค)
อัตราดอกเบี้ยและส่วนลดที่อ้างอิงกับอัตราอื่นที่มิใช่
MLR หรือ
MRR เงื่อนไข
และประเภทลูกค้าที่จะเรียกดอกเบี้ยและส่วนลดโดยอ้างอิงกับอัตราดังกล่าว
(ง)
อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์จะเรียกจากลูกค้าทุกประเภทซึ่งปฏิบัติผิดเงื่อนไข
(๒)
ให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดจากลูกค้าได้ไม่เกินอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนดสำหรับสินเชื่อแต่ละประเภทตาม
(๑)
เว้นแต่ในกรณีลูกค้าปฏิบัติผิดเงื่อนไข
ธนาคารพาณิชย์จะเรียกดอกเบี้ยและส่วนลดรวมทั้งค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อรวมกันทั้งสิ้นได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตาม
(๑)
(ง)
(๓)
การให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยได้ทำสัญญาผูกพันกันไว้ก่อนวันที่
๑ มิถุนายน ๒๕๓๕ เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินอัตรา MLR ตาม (๑) (ก)
(๔)
การให้สินเชื่อบัตรเครดิต
ให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำหนด
แต่ต้องไม่เกินเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบัตรเครดิตที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
๔.๔ ให้ธนาคารพาณิชย์จัดส่งสำเนาประกาศเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อตามข้อ
๔.๒
และข้อ ๔.๓
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน ๓ วัน
นับแต่วันที่ธนาคารพาณิชย์ออกประกาศและทุกคราวที่ออกประกาศเปลี่ยนแปลง
พร้อมทั้งปิดประกาศดังกล่าวในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง
ให้ธนาคารพาณิชย์จัดเก็บต้นฉบับของประกาศดังกล่าวไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเอกสาร
สื่อบันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือในรูปแบบใดๆ เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี
เพื่อจัดให้ลูกค้าหรือศาล ตามที่ร้องขอ
๔.๕
ประกาศนี้ไม่ใช้บังคับแก่กรณีการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงินระหว่างธนาคารพาณิชย์กับสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน
และกรณีที่ธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินหรือให้สินเชื่อโดยตกลงกันเป็นเงินตราต่างประเทศ
เว้นแต่เป็นกรณีตามข้อ ๔.๒
(๓)
๕. [๑] วันเริ่มต้นใช้บังคับ
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๗
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
มยุรี/พิมพ์
๒๕
มิถุนายน ๒๕๔๗
จีระ/สุนันทา/ตรวจ
๒๙
มิถุนายน ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๒๒ง/๔๒/๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ |
438368 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
ของธนาคารพาณิชย์
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อเป็นการพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน
และเป็นการระมัดระวังและป้องกันปัญหาจากบัตรเครดิตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนเพื่อให้หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจบัตรเครดิตมีความเหมาะสม
ชัดเจนและสามารถถือปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน
๒. อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๒ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารที่ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
๔. เนื้อหา
๔.๑
ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน
๒๕๔๕ และหนังสือ ที่ ธปท.สนส.(๒๑)ว.๕๓๕/๒๕๔๖
เรื่อง ซักซ้อมความเข้าใจเรื่องคุณสมบัติของผู้ถือบัตร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์
๒๕๔๖
๔.๒
ในประกาศนี้
บัตรเครดิต หมายความว่า
บัตรที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ธนาคารพาณิชย์กำหนด
เพื่อใช้ชำระค่าสินค้า ค่าบริการ
หรือค่าอื่นใดแทนการชำระด้วยเงินสดหรือเพื่อใช้เบิกถอนเงินสด
ทั้งนี้ไม่รวมถึงบัตรที่ได้มีการชำระค่าสินค้า ค่าบริการ หรือค่าอื่นใดไว้ล่วงหน้า
บัตรหลัก หมายความว่า
บัตรเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคที่เป็นผู้มีรายได้หรือฐานะทางการเงินเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ตามบัตรเครดิตได้
บัตรเสริม หมายความว่า
บัตรเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคที่ผู้ถือบัตรหลักยินยอมให้ใช้จ่ายเงินภายในวงเงินของผู้ถือบัตรหลัก
และผู้ถือบัตรหลักจะเป็นผู้รับผิดชอบชำระหนี้อันเกิดจากบัตรเสริมทั้งหมด
๔.๓
คุณสมบัติของผู้ถือบัตรเครดิต
กรณีผู้ถือบัตรหลัก
ธนาคารพาณิชย์จะออกบัตรหลักให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคได้
เมื่อผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคมีคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้
(๑) มีรายได้จากแหล่งที่มาต่างๆ
รวมกันไม่ต่ำกว่า ๑๕,๐๐๐ บาท ต่อเดือน หรือไม่ต่ำกว่า ๑๘๐,๐๐๐
บาท ต่อปี โดยต้องแสดงหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับแหล่งที่มาของรายได้
(๒) มีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นหลักประกันเต็มวงเงินของบัตรเครดิตที่อนุมัติ
(๓) เป็นผู้มีรายได้หรือเคยมีรายได้จากการทำมาหาได้ของตนเองโดยพิจารณาจากกระแสเงินสดหมุนเวียนในบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า
๖ เดือน
ซึ่งธนาคารพาณิชย์พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นผู้มีฐานะทางการเงินเพียงพอสำหรับการชำระเงินตามบัตรเครดิตได้
กรณีผู้ถือบัตรเสริม
ธนาคารพาณิชย์อาจออกบัตรเสริมให้กับผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติตาม
(๑)-(๓) ข้างต้น
หรือผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำได้ ภายใต้สัญญาที่ทำกับผู้ถือบัตรหลัก
โดยวงเงินการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรเสริมต้องอยู่ภายในวงเงินของผู้ถือบัตรหลักเท่านั้น
และผู้ถือบัตรหลักจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบชำระหนี้อันเกิดจากบัตรเสริมทั้งหมด
กรณีผู้ถือบัตรรายเก่า
ธนาคารพาณิชย์จะต่ออายุบัตรเครดิตให้แก่ผู้ถือบัตรรายเก่าที่มีรายได้จากแหล่งที่มาต่างๆ
รวมกันต่ำกว่า ๑๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน หรือต่ำกว่า ๑๘๐,๐๐๐
บาทต่อปีได้ หากผู้ถือบัตรรายเก่ามีประวัติการชำระหนี้ที่ดีต่อเนื่องกัน โดยในรอบ
๑ ปีย้อนหลัง ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ เกิน ๒ ครั้ง แต่ละครั้งไม่เกิน ๓๐ วัน
๔.๔
ดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใดๆ เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต
ธนาคารพาณิชย์ต้องถือปฏิบัติในเรื่อง
ดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการและค่าธรรมเนียมใดๆ เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต
ดังต่อไปนี้
(๑) ประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ในการใช้บัตรเครดิตซึ่งมีผลใช้บังคับในขณะนั้นตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตามประกาศนี้
ในที่เปิดเผย ณ
สถานที่ทำการทุกแห่งในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดังกล่าวหรือเงื่อนไขใดๆ
ธนาคารพาณิชย์ต้องแจ้งให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคทราบล่วงหน้าก่อนวันที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไม่น้อยกว่า
๓๐ วัน
(๒) แจ้งรายละเอียดตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม
(๑) ให้ถือผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคที่ประสงค์จะขอมีบัตรเครดิตทราบ
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาขอมีบัตรเครดิต
(๓) การเรียกเก็บดอกเบี้ย
ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใดๆ เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
ดอกเบี้ยและค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(๔) ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์จะเรียกเก็บค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายใดๆ
จากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคนอกเหนือจากรายการตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม
(๑) ธนาคารพาณิชย์ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน
๔.๕
การเรียกให้ชำระหนี้และการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้
ธนาคารพาณิชย์ต้องถือปฏิบัติในการเรียกให้ชำระหนี้และติดตามทวงถามให้ชำระหนี้
ดังนี้
(๑) หากธนาคารพาณิชย์ประสงค์จะให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคผ่อนชำระหนี้เป็นงวด
จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการผ่อนชำระหนี้โดยให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวด
ดังนี้
(ก) ผู้ถือบัตรรายใหม่ตั้งแต่วันที่
๑ เมษายน ๒๕๔๗ จะต้องชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐
ของยอดคงค้างทั้งสิ้น
(ข) ผู้ถือบัตรรายเก่าก่อนวันที่
๑ เมษายน ๒๕๔๗ ต้องชำระหนี้ในแต่ละงวดไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕ ของยอดคงค้างทั้งสิ้น
และตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๐
จะต้องชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ของยอดคงค้างทั้งสิ้น
(๒) ต้องมีหนังสือเตือนผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๒๐ วัน ก่อนดำเนินการบังคับชำระหนี้ตามกฎหมาย
(๓) จัดส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๑๐ วันก่อนวันถึงกำหนดชำระหรือหักบัญชี ทั้งนี้
ในกรณีที่มีการคิดดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายในหนี้ค้างชำระให้แสดงรายละเอียดการคำนวณดอกเบี้ยหรือค่าใช้จ่ายดังกล่าวในใบแจ้งหนี้ด้วย
(๔) กรณีที่ผู้ถือบัตรมีการผิดนัดชำระหนี้เกินกว่า
๓ เดือนนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระ ให้ธนาคารพาณิชย์ยกเลิกการใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตรรายนั้นทันที
๔.๖
การเปลี่ยนประเภทหนี้
ห้ามธนาคารพาณิชย์โอนหนี้
หรือเปลี่ยนประเภทหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต
ไปเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด หรือหนี้ตามสัญญาสินเชื่อประเภทอื่น เว้นแต่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๑) ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคก่อน
(๒) ต้องกำหนดให้มีการชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๑๐ ของยอดหนี้คงค้าง เว้นแต่เป็นการดำเนินการเพื่อการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้ถือบัตร โดยเฉพาะในเรื่องดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ
และค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ต่ำลง
และธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำเอกสารหลักฐานสัญญาต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ครบถ้วนและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
(๓) การเรียกเก็บดอกเบี้ย
ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใดๆ ต้องเป็นไปตามข้อ ๔.๔ (๓)
และ (๔) ของประกาศฉบับนี้
(๔) ต้องยกเลิกการใช้บัตร
และบัญชีบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภครายนั้นทันที
(๕) การโอนหนี้หรือเปลี่ยนประเภทหนี้ดังกล่าวต้องไม่เป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันสำรองหรือเป็นเหตุให้มีการจดแจ้งบัญชีสินทรัพย์และหนี้สินไม่ถูกต้อง
ทั้งนี้
หนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิต
ที่ยังมิได้โอนไปเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดจะเอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับเงินต้นแล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นไม่ได้
๔.๗
การปฏิบัติและการจัดการเกี่ยวกับข้อมูลผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภค
(๑) ธนาคารพาณิชย์ต้องให้ความสำคัญและจัดให้มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขอบัตรที่ถูกต้องและครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติและกำหนดวงเงินบัตรเครดิตที่เหมาะสม
และสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้ เช่น
บริษัทที่ประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตเป็นต้น
หรือร่วมกันจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกัน
เพื่อสอบยันประวัติส่วนตัวของผู้ขอมีบัตร
จำนวนบัตรและวงเงินบัตรเครดิตที่ได้รับทั้งสิ้น ตลอดจนข้อมูลอื่นๆ
(๒) วงเงินที่จะให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิต
แต่ละรายต้องไม่เกิน ๕ เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน
หรือกระแสเงินสดหมุนเวียนในบัญชีเงินฝากตามข้อ ๔.๓
สำหรับผู้ถือบัตรรายเก่าก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้
อนุโลมให้ถือปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อนี้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๘ เป็นต้นไป
(๓) ให้ผู้ยื่นขอบัตรรายใหม่และผู้ถือบัตรรายเก่าที่ประสงค์จะขอวงเงินเพิ่ม
ต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับบัตรเครดิตและวงเงินที่ได้รับขณะยื่นขอบัตรเครดิตหรือขอเพิ่มวงเงิน
ที่ครบถ้วนและถูกต้อง
โดยธนาคารพาณิชย์ต้องแจ้งให้ลูกค้ารับทราบเกี่ยวกับความสำคัญของการแจ้งข้อมูลดังกล่าว
ซึ่งมีผลให้ธนาคารพาณิชย์อาจบอกเลิกการถือบัตรได้หากต่อมาตรวจพบว่ามีการแจ้งข้อมูลดังกล่าวไม่ถูกต้อง
(๔) ธนาคารพาณิชย์ต้องรักษาข้อมูลของผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคไว้เป็นความลับ
เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
(ก) การเปิดเผยโดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภค
(ข) การเปิดเผยตามหน้าที่
หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือการพิจารณาคดี
(ค) การเปิดเผยแก่ผู้สอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์นั้น
(ง) การส่งข้อมูลเครดิตให้แก่บริษัทข้อมูลเครดิต
(จ) การเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมาย
๔.๘
การปฏิบัติเมื่อมีข้อร้องเรียน
ธนาคารพาณิชย์จะต้องดำเนินการตรวจสอบเมื่อผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต
และแจ้งความคืบหน้ารวมทั้งชี้แจงขั้นตอนต่อไปให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคทราบภายใน
๗ วัน
นับจากวันที่ได้รับแจ้งการร้องเรียนรวมทั้งให้ดำเนินการแก้ไขข้อร้องเรียนนั้นให้แล้วเสร็จ
และแจ้งให้ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคนั้นทราบโดยเร็ว
๔.๙
การบริหารความเสี่ยงของธุรกิจบัตรเครดิต
(๑) ธนาคารพาณิชย์ต้องกำหนดนโยบายและแผนงานในการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิต
และเสนอคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้ความเห็นชอบทุกปี ทั้งนี้
นโยบายและแผนงานดังกล่าวควรประกอบด้วยทิศทางและแนวทางในการให้บริการบัตรเครดิต
พร้อมทั้งเป้าหมายในการให้บริการแก่ลูกค้าตามระดับรายได้ของผู้ถือบัตร
(๒) ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีระเบียบ
หรือพิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ธนาคารพาณิชย์
หรือระบุในสัญญาการแต่งตั้งตัวแทนเพื่อกระทำการแทนธนาคารพาณิชย์ในเรื่องการติดต่อหาผู้ถือบัตรรายใหม่
หรือติดต่อกับผู้ถือบัตรรายเก่าเพื่อเสนอสินเชื่อประเภทใหม่
พร้อมทั้งถือปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ก) การติดต่อหาผู้ถือบัตรรายใหม่
หรือติดต่อกับผู้ถือบัตรรายเก่า จะดำเนินการได้คือตั้งแต่เวลา ๘.๐๐๒๐.๐๐
น. ในวันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดราชการ
ให้ดำเนินการตั้งแต่เวลา ๘.๐๐๑๘.๐๐
น.
(ข) ห้ามมิให้มีการแจกเงิน
สิ่งของ หรือบัตรกำนัลใดๆ ในการรับสมัครลูกค้ารายใหม่
หรือการอนุมัติบัตรให้ลูกค้ารายใหม่
เว้นแต่จะมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรแล้วอย่างน้อย ๑ งวด
(๓) ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีระบบการบริหารความเสี่ยงในการให้บริการบัตรเครดิต
ดังนี้
(ก) ระบบการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นขอบัตรเครดิตเพื่อการอนุมัติและกำหนดวงเงินบัตรเครดิตตามระดับความสามารถในการชำระหนี้
(ข) ระบบการเรียกเก็บหนี้ที่สามารถเตือนให้ทราบเมื่อลูกหนี้เริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้หรือไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามข้อตกลง
ตลอดจนกลยุทธ์ในการเรียกเก็บหนี้ในกรณีต่างๆ
(ค) ระบบการติดตามพฤติกรรมในการใช้จ่ายและการชำระหนี้ของผู้ถือบัตรแต่ละราย
เพื่อประโยชน์ในการทบทวน
เปลี่ยนแปลงวงเงินให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและรูปแบบการใช้บัตรของผู้ถือบัตรแต่ละราย
(ง) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารสำหรับใช้ในการกำหนดและทบทวนนโยบายและแผนงานเกี่ยวกับการให้บริการบัตรเครดิตด้วย
๔.๑๐
การจัดทำบัญชีและการรายงาน
ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดทำรายงานตามที่กำหนดไว้ในหนังสือที่
ธปท.สนส.(๐๓)ว.๒๒๐๓/๒๕๔๖
ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๖ เรื่อง การปรับปรุงรูปแบบและวิธีการส่งรายงานข้อมูลที่กำหนดให้ยื่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
๔.๑๑
ข้อกำหนดในประกาศนี้
ไม่ใช้บังคับแก่กรณีการออกบัตรเดบิตเพื่อใช้เบิกถอนเงินสดหรือหักทอนค่าสินค้าหรือค่าบริการ
จากบัญชีเงินฝากในขณะที่ใช้บัตรนั้น
๔.๑๒
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ได้ออกบัตรเครดิตให้แก่ผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคแล้ว
ในวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
หากคุณสมบัติของผู้ถือบัตรหรือผู้บริโภคดังกล่าวไม่ตรงตามประกาศนี้
ให้บัตรเครดิตนั้นยังมีผลใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดอายุของบัตรเครดิตหรือธนาคารพาณิชย์บอกยกเลิกการใช้บัตรเครดิตตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตนั้น
๕. วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ เมษายน ๒๕๔๗ เป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคาร
.
รายละเอียดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ในการใช้บัตรเครดิต
เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
มัตติกา/พิมพ์
๒
กรกฎาคม ๒๕๔๗
พัชรินทร์/สุมลรัตน์/ตรวจ
๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๓๕ง/๒๒/๒๕ มีนาคม ๒๕๔๗ |
438315 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารที่จำกัดขอบเขตธุรกิจ | ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารที่จำกัดขอบเขตธุรกิจ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๙
แห่งประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารที่จำกัดขอบเขตธุรกิจ
ลงวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๑ และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๙
ธนาคารที่จำกัดขอบเขตธุรกิจที่เปิดดำเนินการแล้วไม่ต่ำกว่า ๕ ปี หรือได้รับผ่อนผันจากรัฐมนตรีในกรณีที่เปิดดำเนินการต่ำกว่า
๕ ปี
และมีผลการดำเนินงานเป็นที่พอใจมีสิทธิยื่นคำขอดำเนินธุรกิจรับฝากเงินประเภททวงถามที่เบิกถอนโดยใช้เช็ค
และให้บริการสินเชื่อในรูปเงินเบิกเกินบัญชี
และปรับสถานะเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ
ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ร้อยเอก
สุชาติ เชาว์วิศิษฐ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ญาณี/พิมพ์
๑๒
มกราคม ๒๕๔๗
พัชรินทร์/สุมลรัตน์/ตรวจ
๒๘
กรกฎาคม ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๒๘ง/๗/๑๐
มีนาคม ๒๕๔๗ |
438304 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 (ครั้งที่ 2) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๒)
ในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๔๗[๑]
ด้วยประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕
(ครั้งที่ ๒) ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๔ วรรค ๒
กระทรวงการคลังจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน ในวันที่ ๙ เมษายน
ของทุกปี โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๕
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด
(มหาชน) จากอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๒.๘๐ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๙
เมษายน ๒๕๔๖ เป็นต้นไป
โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน
ตามประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังกล่าว
จึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
จากอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๘๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๗
เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
สมใจนึก เองตระกูล
ปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ศุภชัย/พิมพ์
๑๕ มิถุนายน
๒๕๔๗
พัชรินทร์/สุมลรัตน์/ตรวจ
๒
กรกฎาคม ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๓๖ง/๔/๒๖ มีนาคม
๒๕๔๗ |
438302 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 (ครั้ง ที่ 1) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๑)
ในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๔๗[๑]
ด้วยประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕
(ครั้งที่ ๑) ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๔ วรรค ๒
กระทรวงการคลังจะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน ในวันที่ ๙ เมษายน
ของทุกปี โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๑) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๕
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด
(มหาชน) จากอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๒.๘๐ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๙
เมษายน ๒๕๔๖ เป็นต้นไป
โดยที่เป็นการสมควรเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตั๋วสัญญาใช้เงิน
ตามประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังกล่าว
จึงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๔๕ (ครั้งที่ ๑) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
จากอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๘๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๗
เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
สมใจนึก เองตระกูล
ปลัดกระทรวงการคลัง
ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ศุภชัย/พิมพ์
๑๕ มิถุนายน
๒๕๔๗
พัชรินทร์/สุมลรัตน์/ตรวจ
๒
กรกฎาคม ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๓๖ง/๒/๒๖ มีนาคม
๒๕๔๗ |
436029 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและ ให้เช่าแบบลีสซิ่ง อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
| เนเธกเนเธเธเนเธญเธเธชเธฒเธฃเธเธตเนเธเธธเธเธเนเธญเธเธเธฒเธฃ
The document that you would like to see is not found. |
432755 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศ
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งสาขาของ
ธนาคารต่างประเทศ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศไว้ ดังต่อไปนี้
หมวด
๑
บททั่วไป
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
สาขาของธนาคารต่างประเทศ
หมายความว่า สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
โดยจัดตั้งเป็นสาขาเต็มรูปแบบของธนาคารที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ
สำนักงานวิเทศธนกิจ
หมายความว่า
สำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์
เฉพาะกิจการวิเทศธนกิจ
ธนาคารต่างประเทศ
หมายความว่า ธนาคารที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายในต่างประเทศ
และได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้เปิดดำเนินการสำนักงานวิเทศธนกิจในประเทศไทย
บริษัทแม่
หมายความว่า นิติบุคคลที่เป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในธนาคารต่างประเทศ ตั้งแต่ร้อยละ
๕๐ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
สถาบันการเงิน
หมายความว่า บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
หรือนิติบุคคลอื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
รัฐมนตรี
หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ข้อ ๒
ธนาคารต่างประเทศสามารถขออนุญาตจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศได้ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขตามประกาศนี้
หมวด
๒
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถยื่นคำขอจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศ
ข้อ ๓
ผู้ที่มีสิทธิยื่นคำขอจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศ
ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
๓.๑
เป็นธนาคารต่างประเทศที่มีสำนักงานวิเทศธนกิจ และประสงค์ที่จะขอยกฐานะสำนักงานวิเทศธนกิจเป็นสาขาเต็มรูปแบบ
๓.๒
เป็นธนาคารต่างประเทศที่ให้ความร่วมมือกับทางการเป็นอย่างดีและมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจและพัฒนาความรู้ในระบบการเงินของไทย
เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาบุคลากรของไทย รวมถึงความร่วมมือในด้านอื่นๆ
๓.๓ เป็นธนาคารต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่
มีชื่อเสียง มีฐานะมั่นคงและมีผลการดำเนินงานดี
๓.๔
เป็นธนาคารต่างประเทศที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการดำเนินธุรกิจการเงินระหว่างประเทศเป็นอย่างดี
หรือมีบทบาทในศูนย์กลางการเงินของโลก
รวมทั้งมีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจการเงินระหว่างประเทศในประเทศที่ธนาคารนั้นเปิดสาขาหรือเปิดธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูก
๓.๕
เป็นธนาคารต่างประเทศที่จดทะเบียนในประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับประเทศไทยทั้งด้านการเงิน
การค้า และการลงทุน
หรือมีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับประเทศไทยเป็นจำนวนมากในอนาคต
๓.๖
เป็นธนาคารต่างประเทศที่จดทะเบียนในประเทศที่มีมาตรฐานการกำกับควบคุมสถาบันการเงินเป็นอย่างดี
และน่าเชื่อถือ
๓.๗
เป็นธนาคารต่างประเทศที่จดทะเบียนในประเทศที่ธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับสถาบันการเงินของประเทศนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับธนาคารแห่งประเทศไทย
และธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถขอข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานหรือข้อมูลอื่นๆ
เพื่อประโยชน์ในการกำกับและดูแลความมั่นคงของสาขาธนาคารต่างประเทศนั้นได้
๓.๘
เป็นธนาคารต่างประเทศที่จดทะเบียนในประเทศที่เปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์ของไทยเข้าไปดำเนินธุรกิจในประเทศนั้น
ในระดับที่ใกล้เคียงกับที่ประเทศนั้นได้รับจากประเทศไทย
หมวด
๓
การยื่นคำขอจัดตั้งสาขาธนาคารต่างประเทศ
ข้อ ๔
ธนาคารต่างประเทศที่ประสงค์จะขออนุญาตจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศให้ยื่นคำขอ
พร้อมสำเนา ๑ ชุด ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ ๒๗๓ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา
เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ ในเวลาทำการภายใน ๖
เดือนนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับและธนาคารแห่งประเทศไทยจะตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารพร้อมจัดเตรียมเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาคำขออนุญาตให้แล้วเสร็จ
ภายใน ๑ เดือนนบแต่วันสิ้นสุดระยะเวลาการยื่นคำขอตามประกาศนี้
ข้อ ๕
ธนาคารต่างประเทศที่จะขอจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศต้องยื่นคำขอพร้อมด้วยเอกสารต่อไปนี้
๕.๑
หนังสือยินยอมให้จัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศจากทางการของประเทศที่จดทะเบียนจัดตั้งธนาคารต่างประเทศผู้ยื่นคำขอ
๕.๒
หนังสือรับรองจากธนาคารต่างประเทศ ดังนี้
๕.๒.๑
รับรองว่าจะดูแลและดำเนินการให้สาขาของธนาคารต่างประเทศต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎระเบียบ หรือนโยบายของประเทศไทย ทั้งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน
หรือที่จะมีขึ้นในอนาคต
๕.๒.๒
รับรองว่าจะให้การสนับสนุนด้านการเงินและสภาพคล่องแก่สาขาของธนาคารต่างประเทศ
๕.๒.๓
รับรองว่าสาขาของธนาคารต่างประเทศจะให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานหรือข้อมูลอื่นๆ
ของตนเองโดยตรงกับผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินของประเทศที่ธนาคารต่างประเทศหรือบริษัทแม่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วย
๕.๓
หนังสือรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินของธนาคารต่างประเทศผู้ยื่นคำขอว่าได้บังคับใช้กฎเกณฑ์การกำกับสถาบันการเงินตามมาตรฐานสากล
เช่น การกำกับความเพียงพอของเงินกองทุนตามแนวทางของ Bank for Intermational
Settlements
พร้อมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ (Solo
Basis) และกลุ่มสถาบันการเงินของธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทแม่ (Consolidated
Basis) ที่คำนวณได้ย้อนหลัง ๓ ปี
๕.๔ รายงานประจำปี
ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างผู้ถือหุ้นและงบการเงินของธนาคารต่างประเทศผู้ยื่นคำขอ
ย้อนหลัง ๒ ปี
๕.๖
หลักฐานแสดงการให้ความร่วมมือกับทางการในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจไทย
หรือด้านการพัฒนาความรู้ในระบบการเงินของไทย (เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยี
และการพัฒนาบุคลากรของไทย) หรือความร่วมมือในด้านอื่นๆ
๕.๖
ข้อมูลเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่ม (Consolidated Supervision) ของประเทศที่จดทะเบียนจัดตั้งธนาคารต่างประเทศผู้ยื่นคำขอ
โดยแปลเป็นภาษาอังกฤษ
๕.๗
ข้อมูลแสดงวงเงินและยอดคงค้างของการให้กู้ยืมหรือร่วมลงทุนกับภาครัฐบาล
ภาคสถาบันการเงินและภาคเอกชนอื่นๆ
ในประเทศไทยหรือการให้กู้ยืมแก่ภาคธุรกิจของไทยที่ไปประกอบธุรกิจในต่างประเทศ
ของสำนักงานวิเทศธนกิจและของธนาคารต่างประเทศผู้ยื่นคำขอ ณ
วันสิ้นเดือนมิถุนายนและธันวาคมของทุกปีย้อนหลัง ๓ ปี
๕.๘
แผนการประกอบธุรกิจหลังจากได้รับอนุญาตให้จัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศในประเทศไทยแล้ว
มีรายละเอียด ดังนี้
(๑)
แผนการดำเนินธุรกิจ
(๒)
ประมาณการงบการเงินไม่ต่ำกว่า ๓ ปี
โดยในปีแรกต้องแสดงรายละเอียดของงบการเงินเป็นรายไตรมาส
(๓)
รายละเอียดของโครงสร้างองค์กร
พร้อมคำอธิบายหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการบริหารงานของสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ขอจัดตั้งรวมทั้งระบุคุณสมบัติ
และประสบการณ์ของบุคลากรหลักของสาขาของธนาคารต่างประเทศ
ทั้งนี้
บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของสาขาของธนาคารต่างประเทศ
จะต้องมีประสบการณ์ในการจัดการและบริหารธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่เชื่อถือได้ในตำแหน่งสูงเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า
๕ ปี และมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
ก. มีความสามารถในการบริหาร
โดยมีผลงานการบริหารที่ดีในอดีตจนถึงปัจจุบัน
ข.
มีความซื่อสัตย์สุจริต
ค.
ไม่เคยมีประวัติเสียหายหรือดำเนินกิจการใดที่มีลักษณะอันเป็นการหลอกลวง
หรือแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบ
หรือความรอบคอบหรือสะท้อนถึงวิธีการทำธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม หรือไม่น่าเชื่อถือ
ง.
ไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย
จ.
ไม่มีปัญหาในการชำระเงินต้น หรือดอกเบี้ยกับธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงิน
ฉ.
ไม่เคยทำธุรกิจหรือเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจที่ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถหรือความรอบคอบของบุคคลนั้นไม่ว่าในเรื่องของประเภทธุรกิจหรือในเรื่องของวิธีการดำเนินธุรกิจ
ช.
ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเว้นแต่เป็นการกระทำความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ซ.
ไม่เคยถูกธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สั่งถอดถอนจากการเป็นผู้บริหารธนาคารพาณิชย์
บริษัทหลักทรัพย์ หรือสถาบันการเงินใดมาก่อน
ฌ.
ไม่เคยถูกธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือหน่วยงานของรัฐทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่กำกับและควบคุมธนาคารพาณิชย์
บริษัทหลักทรัพย์ หรือสถาบันการเงินกล่าวโทษ ร้องทุกข์
หรือกำลังถูกดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงหรือทุจริตตามกฎหมาย
ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์
และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือกฎหมายว่าด้วยการกำกับและควบคุมธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์
หรือสถาบันการเงินนั้น
๕.๙
แผนการเตรียมการเพื่อรองรับการประกอบธุรกิจของสาขาของธนาคารต่างประเทศในประเทศไทย
โดยต้องแสดงหลักฐานเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ได้ครบถ้วน
(๑) มีระบบการบริหารความเสี่ยงประเภทต่างๆ
ที่สามารถวัดและควบคุมติดตามระดับความเสี่ยงได้ ซึ่งได้แก่ ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit
risk) ความเสี่ยงด้านตลาด (Market risk) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
(Liquidity risk) ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic risk) และความเสียงด้านการดำเนินงาน
(Operational risk) ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงจากการทำนิติกรรม (Legal
risk) และความเสี่ยงจากชื่อเสียง (Reputational risk)
(๒)
มีนโยบายชัดเจนในเรื่องการให้กู้ยืมแก่กลุ่มธุรกิจหรือธุรกิจที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับสาขาของธนาคารต่างประเทศ
รวมทั้งมีระบบข้อมูลติดตามยอดสินเชื่อและภาระผูกพันคงค้างแก่กลุ่มธุรกิจข้างต้น
หากมีนโยบายที่แตกต่างไปจากการให้กู้ยืมแก่ลูกค้าทั่วไปจะต้องชี้แจงเหตุผล
(๓)
มีระบบการควบคุมภายในที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรมในเรื่องการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
วงเงินการอนุมัติสินเชื่อ เงินลงทุน หรือค่าใช้จ่ายต่างๆ
(๔)
มีระบบประเมินคุณภาพสินทรัพย์
ซึ่งครอบคลุมถึงการจ่ายชำระดอกเบี้ยและการชำระคืนเงินต้นของลูกค้า
การประเมินราคาหลักประกัน
และการกันเงินสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
(๕)
มีบุคลากรที่มีความรู้และประสงการณ์ทางด้านการเงินการธนาคารและมีการจัดสรรบุคลากรภายในองค์กรอย่างเหมาะสม
โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกันระหว่างความรู้และประสบการณ์เฉพาะด้านของบุคลากร
หน้าที่ความรับผิดชอบของบุคลากรในแต่ละหน่วยงานและแผนการประกอบธุรกิจ
หมวด
๔
การพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์
ข้อ ๖
ให้คณะกรรมการพิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง
(คณะกรรมการฯ) ดำเนินการพิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศ
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขแห่งประเทศนี้ เพื่อคัดเลือกผู้ที่สมควรให้จัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในการนี้ให้คณะกรรมการฯ
มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขดังกล่าว และมีอำนาจเรียกหลักฐานและเอกสารใดๆ
จากผู้ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ในประกาศนี้
เพื่อประกอบการพิจารณาได้
ข้อ ๗ เมื่อคณะกรรมการฯ
พิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศแล้ว ให้คณะกรรมการฯ
เสนอรายชื่อผู้ที่สมควรให้จัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศต่อรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบภายใน
๓ เดือน นับแต่ได้รับคำขอและเอกสารประกอบการพิจารณาครบถ้วน
และรัฐมนตรีจะพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน
นับแต่ได้รับผลการพิจารณาจากคณะกรรมการฯ
ในการให้ความเห็นชอบรัฐมนตรีอาจกำหนดเงื่อนไขอื่นใดด้วยก็ได้
ข้อ ๘
เมื่อรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบให้ธนาคารต่างประเทศดำเนินการจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศแล้ว
ให้ธนาคารต่างประเทศนั้นดำเนินการจัดตั้งและยื่นขอรับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ต่อรัฐมนตรีภายใน
๖ เดือน นับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบ ทั้งนี้
จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
๘.๑
ต้องเปิดดำเนินการภายใน ๖ เดือนนับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบเว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาผ่อนผัน
ในการผ่อนผัน ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมใดๆ ก็ได้
๘.๒
ต้องคืนใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยจัดตั้งเป็นสำนักงานวิเทศนกิจ
ให้แก่กระทรวงการคลังในวันที่สาขาของธนาคารต่างประเทศเปิดดำเนินการ
๘.๓
สาขาของธนาคารต่างประเทศจะต้องดำรงสินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า ๓,๐๐๐
ล้านบาท ตามชนิด วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
นับแต่วันเปิดดำเนินการ
๘.๔
การแต่งตั้งและเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสูงสุดของสาขาธนาคารต่างประเทศต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน
ข้อ ๙ เมื่อจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศแล้ว
ธนาคารต่างประเทศต้องไม่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในรูปแบบอื่น ได้แก่
สำนักงานวิเทศธนกิจ ธนาคารพาณิชย์ที่มีผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ (Hybrid
Bank) และบริษัทเงินทุนอีก
ข้อ ๑๐[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ร้อยเอก
สุชาติ เชาว์วิศิษฐ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
[๑] ๒๕๔๗/พ๑๑ง/๒๙/๒๘ มกราคม
๒๕๔๗ |
432753 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์
ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศไว้ดังต่อไปนี้
หมวด
๑
บททั่วไป
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ
หมายความว่าธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายไทย
และมีธนาคารต่างประเทศถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๙๕
สาขาของธนาคารต่างประเทศ
หมายความว่า
สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
โดยจัดตั้งเป็นสาขาเต็มรูปแบบของธนาคารที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ
สำนักงานวิเทศธนกิจ
หมายความว่า
สำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์เฉพาะกิจการวิเทศธนกิจ
ธนาคารต่างประเทศ
หมายความว่า ธนาคารที่จัดตั้งขึ้นตามกำหมายในต่างประเทศ
และได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้
(๑)
ตั้งสาขาในประเทศไทยเพื่อประกอบการธนาคารพาณิชย์ หรือ
(๒)
เปิดดำเนินการสำนักงานวิเทศธนกิจในประเทศไทย
บริษัทแม่
หมายความว่า นิติบุคคลที่เป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในธนาคารต่างประเทศตั้งแต่ร้อยละ
๕๐ ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
สถาบันการเงิน
หมายความถึง บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
หรือนิติบุคคลอื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
รัฐมนตรี
หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ข้อ ๒
ธนาคารต่างประเทศสามารถขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศได้ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขตามประกาศนี้
เมื่อธนาคารพาณิชย์ตามวรรคหนึ่งเปิดดำเนินการแล้ว สามารถขออนุญาตเปิดสำนักงานสาขาได้ ๑
สำนักงานสาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ ๓ สำนักงานสาขานอกเขตกรุงเทพฯ
และปริมณฑล รวมทั้งสิ้น ๔ สำนักงานสาขาโดยขออนุญาตเปิดสำนักงานสาขาได้ไม่เกินปีละ
๑ สำนักงานสาขา
หมวด
๒
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถยื่นคำขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็น
บริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ
ข้อ ๓
ผู้ที่มีสิทธิยื่นคำขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ
ต้องเข้าหลักเกณฑ์ และมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
๓.๑
เป็นธนาคารต่างประเทศที่
(๑) มีสาขาในประเทศไทย
หรือ
(๒)
มีสำนักงานวิเทศธนกิจในประเทศไทยและมีแผนการที่จะควบหรือรวมกิจการหรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดหรือส่วนใหญ่จากสถาบันการเงินอย่างน้อย
๑ แห่ง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเพื่อจัดตั้งเป็นธนาคารพาณิชย์ในรูปแบบบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ
๓.๒
เป็นธนาคารต่างประเทศที่ให้ความร่วมมือกับทางการเป็นอย่างดีและมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจและพัฒนาความรู้ในระบบการเงินของไทย
เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากรของไทย รวมถึงความร่วมมือในด้านอื่นๆ
๓.๓
เป็นธนาคารต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่ มีชื่อเสียง มีฐานะมั่นคง
และมีผลการดำเนินงานดี
๓.๔
เป็นธนาคารต่างประเทศที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการดำเนินธุรกิจการเงินระหว่างประเทศเป็นอย่างดี
หรือมีบทบาทในศูนย์กลางการเงินของโลก
รวมทั้งมีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจการเงินระหว่างประเทศในประเทศที่ธนาคารต่างประเทศนั้นเปิดสาขาหรือเปิดธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูก
๓.๕
เป็นธนาคารต่างประเทศที่จดทะเบียนในประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับประเทศไทยทั้งด้านการเงิน
การค้า และการลงทุน
หรือมีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับประเทศไทยเป็นจำนวนมากในอนาคต
๓.๖
เป็นธนาคารต่างประเทศที่จดทะเบียนในประเทศที่มีมาตรฐานการกำกับควบคุมสถาบันการเงินเป็นอย่างดี
และน่าเชื่อถือ
๓.๗
เป็นธนาคารต่างประเทศที่จดทะเบียนในประเทศที่ธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับสถาบันการเงินของประเทศนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับธนาคารแห่งประเทศไทย
และธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถขอข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานหรือข้อมูลอื่นๆ
เพื่อประโยชน์ในการกำกับและดูแลความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์นั้นได้
๓.๘
เป็นธนาคารต่างประเทศที่จดทะเบียนในประเทศที่เปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์ของไทยเข้าไปดำเนินธุรกิจในประเทศนั้นในระดับที่ใกล้เคียงกับที่ประเทศนั้นได้รับจากประเทศไทย
ข้อ ๔
สำนักงานวิเทศธนกิจที่ได้รับอนุญาตให้ยกฐานะเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศตามประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศ
ลงวันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และต่อมา
ประสงค์จะยื่นคำขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศตามประกาศฉบับนี้
ต้องมีเงินกองทุนครบถ้วน และมีแผนการที่จะควบหรือรวมกิจการหรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดหรือส่วนใหญ่จากธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอย่างน้อย
๑ แห่ง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ในการพิจารณาอนุญาต จะพิจารณาตามความเหมาะสมของภาวะเศรษฐกิจขณะที่ยื่นขออนุญาต
หมวด
๓
การยื่นคำขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ
ข้อ ๕
ธนาคารต่างประเทศที่ประสงค์จะขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศให้ยื่นคำขอพร้อมสำเนา
๑ ชุด ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ ๑๗๓ ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร
กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ ในเวลาทำการ และธนาคารแห่งประเทศไทยจะตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารพร้อมจัดเตรียมเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาคำขออนุญาตให้แล้วเสร็จ
ภายใน ๑ เดือน นับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาการยื่นคำขอที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
โดยธนาคารต่างประเทศต้องยื่นคำขอพร้อมด้วยเอกสารดังต่อไปนี้
๕.๑
หนังสือยินยอมให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศจากทางการของประเทศที่จดทะเบียนจัดตั้งธนาคารต่างประเทศผู้ยื่นคำขอ
๕.๒
หนังสือรับรองจากธนาคารต่างประเทศหรือบริษัทแม่ ดังนี้
๕.๒.๑
รับรองว่าจะดูแลและดำเนินการให้ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎระเบียบ หรือนโยบายของประเทศไทย ทั้งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน
หรือที่จะมีขึ้นในอนาคต
๕.๒.๒
รับรองว่าจะให้การสนับสนุนด้านสภาพคล่องและการเพิ่มทุนในธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกอย่างเต็มที่โดยทันทีที่เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกลดลงหรือมีแนวโน้มว่าจะลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
๕.๒.๓
รับรอว่าธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกจะให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานหรือข้อมูลอื่นๆ
ของตนเองโดยตรงกับผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินของประเทศที่ธนาคารต่างประเทศหรือบริษัทแม่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วย
๕.๓
หนังสือรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินของธนาคารต่างประเทศผู้ยื่นคำขอว่าได้บังคับใช้กฎเกณฑ์การกำกับสถาบันการเงินตามมาตรฐานสากล
เช่น การกำกับความเพียงพอของเงินกองทุนตามแนวทางของ Bank for International
Setlements พร้อมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์
(Solo Basis) และกลุ่มสถาบันการเงินของธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทแม่
(Consolidated Basis) ที่คำนวณได้ย้อนหลัง ๓ ปี
๕.๔ รายงานประจำปี
ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างผู้ถือหุ้นและงบการเงินของธนาคารต่างประเทศผู้ยื่นคำขอย้อนหลัง
๒ ปี
๕.๕
หลักฐานแสดงการให้ความร่วมมือกับทางการในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจไทย
หรือด้านการพัฒนาความรู้ในระบบการเงินของไทย (เช่น การถ่ายทอด เทคโนโลยี
และการพัฒนาบุคลากรของไทย) หรือความร่วมมือในด้านอื่นๆ
๕.๖
ข้อมูลเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่ม (Consolidated Supervision) ของประเทศที่จดทะเบียนจัดตั้งธนาคารต่างประเทศผู้ยื่นคำขอ
โดยแปลเป็นภาษาอังกฤษ
๕.๗
ข้อมูลแสดงวงเงินและยอดคงค้างของการให้กู้ยืมหรือร่วมลงทุนกับภาครัฐบาล
ภาคสถาบันการเงินและภาคเอกชนอื่นๆ ในประเทศไทย หรือการให้กู้ยืมแก่ภาคธุรกิจของไทยที่ไปประกอบธุรกิจในต่างประเทศของสาขาธนาคารต่างประเทศหรือสำนักงานวิเทศธนกิจ
และของธนาคารต่างประเทศผู้ยื่นคำขอ ณ วันสิ้นเดือนมิถุนายนและธันวาคมของทุกปี
ย้อนหลัง ๓ ปี
๕.๘
แผนการประกอบธุรกิจหลังจากได้รับอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยแล้ว
มีรายละเอียด ดังนี้
(๑)
แผนการดำเนินธุรกิจ
(๒) แผนการเปิดสาขา
(๓)
ประมาณการงบการเงินไม่ต่ำกว่า ๓ ปี
โดยในปีแรกต้องแสดงรายละเอียดของงบการเงินเป็นรายไตรมาส
(๔)
รายละเอียดของโครงสร้างองค์กร
พร้อมคำอธิบายหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการบริหารงานของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยที่ขอจัดตั้ง
รวมทั้งระบุคุณสมบัติและประสบการณ์ของบุคลากรหลักของธนาคารพาณิชย์ที่ขอจัดตั้ง
ทั้งนี้
บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ประธานกรรมการบริหาร
และ/หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการใหญ่ รองผู้จัดการใหญ่
รวมทั้งตำแหน่งอื่นที่เทียบเท่าไม่ว่าจะเรียกชื่อประการใดของธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว
จะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
ก.
มีวามสามารถในการบริหาร โดยมีแผนงานการบริหารที่ดีในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้
บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือประธานกรรมการบริหาร
ที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา กรรมการผู้จัดการใหญ่ รองผู้จัดการใหญ่
และตำแหน่งอื่นที่เทียบเท่าไม่ว่าจะเรียกชื่อประการใดของธนาคารพาณิชย์
จะต้องมีประสบการณ์ในตำแหน่งระดับสูงในการจัดการและบริหารธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่เชื่อถือได้เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า
๕ ปี
ข.
มีความซื่อสัตว์สุจริต
ค.
ไม่เคยมีประวัติเสียหายหรือดำเนินกิจการใดที่มีลักษณะอันเป็นการหลอกลวง
หรือแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบ หรือความรอบคอบ
หรือสะท้อนถึงวิธีการทำธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม หรือไม่น่าเชื่อถือ
ง.
ไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย
ซ. ไม่มีปัญหาในการชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยกับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงิน
ฌ.
ไม่เคยทำธุรกิจหรือเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจที่ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถหรือความรอบคอบของบุคคลนั้น
ไม่ว่าในเรื่องของประเภทธุรกิจหรือในเรื่องของวิธีการดำเนินธุรกิจ
ญ. ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเว้นแต่เป็นการกระทำความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ฎ.
ไม่เคยถูกธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สั่งถอดถอนจากการเป็นผู้บริหารธนาคารพาณิชย์
บริษัทหลักทรัพย์ หรือสถาบันการเงินใดมาก่อน
ฏ.
ไม่เคยถูกธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือหน่วยงานของรัฐทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่กำกับและควบคุมธนาคารพาณิชย์
บริษัทหลักทรัพย์หรือสถาบันการเงินกล่าวโทษ ร้องทุกข์ หรือกำลังถูกดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงหรือทุจริต
ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือกฎหมายว่าด้วยการกำกับและควบคุมสถาบันการเงินนั้น
(๕)
รายละเอียดของคณะกรรมการและคณะกรรมการชุดย่อยซึ่งรวมถึงคุณสมบัติ
และประสบการณ์ของคณะกรรมการ
โดยคณะกรรมการธนาคารพาณิชย์ต้องประกอบด้วยกรรมการอิสระอย่างน้อย ๓ คน หรือ ๑ ใน ๔
แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า และต้องจัดตั้งคณะกรรมการชุดย่อย ๒ ชุด คือ
คณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง โดยมีโครงสร้าง คุณสมบัติ
บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
(๖)
แผนการขายกิจการหรือคืนใบอนุญาต
และ/หรือแผนการรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากกิจการอื่นภายใต้กลุ่มธุรกิจเดียวกัน
ในกรณีที่มีการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินมากกว่า ๑ รูปแบบ
(๗)
แผนการควบหรือรวมกิจการ
หรือการโอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดหรือส่วนใหญ่กับสถาบันการเงินอย่างน้อย ๑
แห่ง ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอเป็นธนาคารต่างประเทศที่มีสำนักงานวิเทศธนกิจในประเทศไทย
โดยระบุรายชื่อสถาบันการเงินที่ได้ดำเนินการควบหรือรวมกิจการหรือโอนสินทรัพย์และหนี้สินหรือเข้าร่วมทุนแล้ว
หรือที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ
รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับฐานะที่สำคัญของสถาบันการเงินเหล่านั้นด้วย เช่น
จำนวนเงินกองทุนสุทธิหลังกันเงินสำรองตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย สินทรัพย์ หนี้สิน
และเงินทุนของสถาบันการเงินที่จะควบหรือรวมกิจการหรือโอนสินทรัพย์และหนี้สินหรือเข้าร่วมทุน
วิธีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ และการบริหารและฟื้นฟูสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เป็นต้น
พร้อมมติคณะกรรมการของทุกสถาบันการเงินที่จะควบหรือรวมกิจการหรือโอนทรัพย์สินและหนี้สินหรือเข้าร่วมทุน
(๘)
ธนาคารต่างประเทศผู้ยื่นคำขอที่มีสาขาในประเทศไทยโดยการยกฐานะจากสำนักงานวิเทศธนกิจตามประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งสาขาของธนาคารต่างประเทศ
ลงวันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และต่อมาประสงค์จะยื่นคำขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ
ตามประกาศฉบับนี้
ให้ยื่นแผนการควบหรือรวมกิจการหรือการโอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดหรือส่วนใหญ่กับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอย่างน้อย
๑ แห่ง โดยระบุรายชื่อธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่ได้ดำเนินการควบหรือรวมกิจการหรือโอนสินทรัพย์และหนี้สินหรือเข้าร่วมทุนแล้ว
หรือที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการรวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับฐานะที่สำคัญของธนาคารพาณิชย์
หรือสถาบันการเงินเหล่านั้น เช่น
จำนวนเงินกองทุนสุทธิหลังกันเงินสำรองตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย สินทรัพย์
หนี้สิน
และเงินทุนของธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่จะควบหรือรวมกิจการหรือโอนสินทรัพย์และหนี้สินหรือเข้าร่วมทุน
วิธีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ และการบริหารและฟื้นฟูสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เป็นต้น
พร้อมมติคณะกรรมการของทุกธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงิน
ที่จะควบหรือรวมกิจการหรือโอนทรัพย์สินและหนี้สิน
๕.๘
แผนการเตรียมการเพื่อรองรับการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศในประเทศไทย
โดยต้องแสดงหลักฐานเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ได้ครบถ้วน
(๑) มีระบบการบริหารความเสี่ยงประเภทต่างๆ
ที่สามารถวัดและควบคุมติดตามระดับความเสี่ยงได้ ซึ่งได้แก่ ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit
risk) ความเสี่ยงด้านตลาด (Market risk) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
(Liquidity risk) ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic risk) และความเสียงด้านการดำเนินงาน
(Operational risk) ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงจากการทำนิติกรรม (Legal
risk) และความเสี่ยงจากชื่อเสียง (Reputational risk)
(๒)
มีนโยบายชัดเจนในเรื่องการให้กู้ยืมแก่กลุ่มธุรกิจหรือธุรกิจที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
รวมทั้งมีระบบข้อมูลติดตามยอดสินเชื่อและภาระผูกพันคงค้างแก่กลุ่มธุรกิจข้างต้น
หากมีนโยบายที่แตกต่างไปจากการให้กู้ยืมแก่ลูกค้าทั่วไปจะต้องชี้แจงเหตุผล
(๓)
มีระบบการควบคุมภายในที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรมในเรื่องการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
วงเงินการอนุมัติสินเชื่อ เงินลงทุน หรือค่าใช้จ่ายต่างๆ
(๔)
มีระบบประเมินคุณภาพสินทรัพย์
ซึ่งครอบคลุมถึงการจ่ายชำระดอกเบี้ยและการชำระคืนเงินต้นของลูกค้า
การประเมินราคาหลักประกัน
และการกันเงินสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
(๕)
มีบุคลากรที่มีความรู้และประสงการณ์ทางด้านการเงินการธนาคารและมีการจัดสรรบุคลากรภายในองค์กรอย่างเหมาะสม
โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกันระหว่างความรู้และประสบการณ์เฉพาะด้านของบุคลากร
หน้าที่ความรับผิดชอบของบุคลากรในแต่ละหน่วยงานและแผนการประกอบธุรกิจ
หมวด
๔
การพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์
ข้อ ๖ ให้คณะกรรมการพิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง
(คณะกรรมการฯ)
ดำเนินการพิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขแห่งประเทศนี้ เพื่อคัดเลือกผู้ที่สมควรให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในการนี้ ให้คณะกรรมการฯ
มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขดังกล่าว และมีอำนาจเรียกหลักฐานและเอกสารใดๆ จากผู้ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารต่างประเทศที่จดทะเบียนในประเทศไทยเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ในประกาศนี้
เพื่อประกอบการพิจารณาได้
ข้อ ๗ เมื่อคณะกรรมการฯ
พิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศแล้ว
ให้คณะกรรมการฯ เสนอรายชื่อผู้ที่สมควรให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ต่อ
รัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบภายใน ๓
เดือนนับแต่ได้รับคำขอและเอกสารประกอบการพิจารณาครบถ้วน
และรัฐมนตรีจะพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน
นับแต่ได้รับผลการพิจารณาจากคณะกรรมการฯ
ในการให้ความเห็นชอบรัฐมนตรีอาจกำหนดเงื่อนไขอื่นใดด้วยก็ได้
ข้อ ๘
เมื่อรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบให้ธนาคารต่างประเทศดำเนินการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์แล้ว
ให้ธนาคารต่างประเทศนั้นดำเนินการจัดตั้งและยื่นขอรับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ต่อรัฐมนตรีภายใน
๑ ปี นับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบเว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอันควร
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจพิจารณาผ่อนผันให้ ทั้งนี้ ไม่เกิน ๖ เดือน
นับแต่วันที่ครบกำหนดให้ดำเนินการเสร็จสิ้น
และจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
๘.๑
ต้องเปิดดำเนินการภายใน ๑ ปี
นับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบเว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาผ่อนผัน
ในการผ่อนผัน ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมใดๆ ก็ได้
๘.๒
ต้องคืนใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยจัดตั้งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศ
หรือใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยจัดตั้งเป็นสำนักงานวิเทศธนกิจ แล้วแต่กรณี
ให้แก่กระทรวงการคลังในวันที่เปิดดำเนินการธนาคารพาณิชย์
๘.๓
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้วไม่ต่ำกว่า ๔,๐๐๐ ล้านบาท
นับแต่วันเปิดดำเนินการ
๕.๔
ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดให้มีคณะกรรมการและคณะกรรมการชุดย่อยตามรายละเอียดที่เสนอตามข้อ
๕.๘ (๕) นับแต่วันเปิดดำเนินการ
การแต่งตั้งและเปลี่ยนแปลงกรรมการ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้จัดการใหญ่ รองผู้จัดการใหญ่
และตำแหน่งอื่นที่เทียบเท่าไม่ว่าจะเรียกชื่อประการใดต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
๘.๕
ใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์จะโอนหรือขายให้แก่ผู้อื่นไม่ได้
๘.๖
ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์จะต้องเป็นธนาคารต่างประเทศที่ยื่นคำขอหรือบริษัทแม่เท่านั้น
หากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นของธนาคารต่างประเทศที่ยื่นคำขอหรือบริษัทแม่
ทำให้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์
ให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยอาจกำหนดเงื่อนไขใดๆ
ไว้ด้วยก็ได้
๘.๗
ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศที่ยื่นคำขอ หรือบริษัทแม่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต
ปิดกิจการ หรือสิ้นสภาพนิติบุคคล
รัฐมนตรีมีสิทธิเรียกใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์คืนได้
๘.๘
ห้ามนำหุ้นของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๙ เมื่อจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นแล้ว
ธนาคารต่างประเทศต้องไม่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในรูปแบบอื่น ได้แก่
สาขาของธนาคารต่างประเทศ สำนักงานวิเทศธนกิจ
ธนาคารพาณิชย์ที่มีผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ (Hybrid Bank) และบริษัทเงินทุนอีก
ข้อ ๑๐[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ร้อยเอก
สุชาติ เชาว์วิศิษฐ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
พรพิมล/พิมพ์
3
พฤษภาคม 2547
[๑] ๒๕๔๗/พ๑๑ง/๑๕/๒๘ มกราคม
๒๕๔๗ |
432751 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารที่จำกัดขอบเขตธุรกิจ ลงวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๑
และที่แก้ไขเพิ่มเติม คงมีผลบังคับใช้ต่อไปเฉพาะกับธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตตามประกาศดังกล่าวก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ
หมวด
๑
บททั่วไป
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
ธนาคารพาณิชย์
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
แต่ไม่หมายความรวมถึงสาขาของธนาคารต่างประเทศ
ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์
โดยมีเงื่อนไขห้ามประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
และห้ามประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตราสารอนุพันธ์
เว้นแต่จะเป็นการป้องกันความเสี่ยงสำหรับตนเอง
รวมทั้งมีเงื่อนไขกำหนดให้บริการได้เฉพาะแก่ประชาชนรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามคำจำกัดความที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และจำกัดวงเงินการให้สินเชื่อลูกหนี้แต่ละรายดังนี้
ก.
ให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่เป็นประชาชนรายย่อยต่อรายได้ไม่เกินวงเงินร้อยละ ๐.๐๕
ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ในกรณีที่เป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน และร้อยละ ๑
ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑ ในกรณีที่เป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน
ข.
ให้สินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อรายได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐
ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑
บริษัท
หมายความว่า บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
สถานบันการเงิน
หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์
และหมายความรวมถึงกิจการวิเทศธนกิจ
เงินกองทุนสุทธิ
หมายความว่า เงินกองทุนหลังหักค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ
ค่าเผื่อการลดราคา ค่าเผื่อการด้อยค่า ค่าเผื่อการปรับมูลค่า
สำหรับสินทรัพย์ที่สังสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
และสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้
และตามผลการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์
สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
หมายความว่า สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานสินทรัพย์จัดชั้นสงสัย
สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ สินทรัพย์จัดชั้นสูญ
มูลค่าตามบัญชีสุทธิของหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมูลค่าปัจจุบันสุทธิของตราสารหนี้ที่ได้รับจากการปรับโครงสร้างหนี้
มูลค่าตามบัญชีสุทธิของทรัพย์สินรอการขาย
มูลค่าตามบัญชีสุทธิของสินเชื่อและทรัพย์สินรอการขายที่โอนไปบริษัทบริหารสินทรัพย์ในเครือ
และสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มว่าจะมีความเสียหายตามผลการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ ให้หักด้วยสำรองจากสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญและสินทรัพย์จัดชั้นสูญ
สินทรัพย์รวม
หมายความว่า สินทรัพย์ทั้งสิ้นบวกเงินสำรอง
หักด้วยสำรองจากสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญและสินทรัพย์จัดชั้นสูญ
รัฐมนตรี
หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ข้อ ๓
บริษัทสามารถขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ได้ตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขตามประกาศนี้
การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ตามวรรคหนึ่ง
บริษัทจะขอจัดตั้งเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยก็ได้
หมวด
๒
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถยื่นคำขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์
ข้อ ๔
ผู้ที่มีสิทธิยื่นคำขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ต้องเข้าหลักเกณฑ์และมีคุณสมบัติ
ดังต่อไปนี้
๔.๑ เป็นบริษัทเงินทุน
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ที่เปิดดำเนินการอยู่ในวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ
๔.๒
มีคุณภาพการจัดการจากผลการประเมินครั้งล่าสุดผ่านเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้
ก.
บทบาทและพฤติกรรมของกรรมการและผู้บริหารระดับผู้อำนวยการฝ่ายขึ้นไป
ข. การบริหารความเสี่ยง
ค.
การดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง
ง.
โครงสร้างองค์กรและระบบงาน
จ.
การควบคุมภายในและการตรวจสอบ
ฉ.
การปฏิบัติตามกฎระเบียบที่สำคัญ
ช.
การให้ความร่วมมือกับทางการ
ซ.
พฤติกรรมไม่ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล
๔.๓
ดำรงเงินกองทุนสุทธิเป็นอัตราส่วนต่อสินทรัพย์เสี่ยงถ่วงน้ำหนักซึ่งคำนวณตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่องการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์และภาระผูกพันของบริษัทเงินทุน
และเรื่องการดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับสินทรัพย์ของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
แล้วแต่กรณีไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑๐ ณ วันสิ้นเดือนล่าสุดก่อนวันยื่นคำขอ
๔.๔
มีอัตราส่วนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพต่อสินทรัพย์รวมไม่เกินร้อยละ ๑๕ ณ
วันสิ้นเดือนล่าสุดก่อนวันยื่นคำขอ
๔.๕
กันเงินสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ให้เพียงพอตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
และตามผลการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์
๔.๖
ผู้ที่มีสิทธิยื่นคำขอจะต้องไม่มีบุคคลอื่น
เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นหลักรายใหม่ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีลงนามในประกาศฉบับนี้จนถึงวันที่ได้รับใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์หรือจนถึงวันที่ได้รับแจ้งการไม่เห็นชอบคำขอที่ยื่น
แล้วแต่กรณี
เว้นแต่การเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นหลักรายใหม่เนื่องจากกรณีการควบหรือรวมกิจการตามแผนการควบหรือรวมกิจการที่รัฐมนตรีเห็นชอบ
ข้อ ๕
ผู้ที่มีสิทธิยื่นคำขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยต้องมีแผนที่จะควบหรือรวมกิจการหรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดหรือส่วนใหญ่จากบริษัทเงินทุนและ/หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์แห่งอื่นอีกอย่างน้อย
๑ แห่ง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
หมวด
๓
การยื่นคำขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์
ข้อ ๖ บริษัทที่ประสงค์จะขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ตามประกาศนี้ให้ยื่นคำขอ
พร้อมสำเนา ๑ ชุด ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ ๒๗๓ ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา
เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ ในเวลาทำการภายใน ๖
เดือนนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับและธนาคารแห่งประเทศไทยจะตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสาร
พร้อมจัดเตรียมเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาคำขออนุญาตให้แล้วเสร็จ ภายใน ๑
เดือนนับแต่วันสิ้นสุดเวลาการยื่นคำขอตามประกาศนี้
ข้อ ๗
บริษัทที่จะขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ต้องยื่นคำขอพร้อมด้วยเอกสารต่อไปนี้
๗.๑
ข้อมูลของบริษัทผู้ยื่นคำขอ ซึ่งรวมถึงโครงสร้างผู้ถือหุ้น
รายชื่อกรรมการและผู้บริหารระดับสูง โครงสร้างกลุ่มธุรกิจ และงบการเงินย้อนหลัง ๒
ปี
๗.๒
แผนการประกอบธุรกิจหลังจากได้รับอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์มีรายละเอียดดังนี้
(๑)
ประมาณการงบการเงินไม่ต่ำกว่า ๓ ปี
โดยในปีแรกต้องแสดงรายละเอียดของงบการเงินเป็นรายไตรมาส
(๒)
รายละเอียดของโครงสร้างองค์กรพร้อมคำอธิบายหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการบริหารงานของธนาคารพาณิชย์ที่ขอจัดตั้ง
รวมทั้งระบุคุณสมบัติและประสบการณ์ของบุคลากรหลักของธนาคารพาณิชย์ที่ขอจัดตั้งและให้เสนอรายชื่อประธานกรรมการ
ประธานกรรมการบริหาร และ/หรือประทานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการใหญ่
รองผู้จัดการใหญ่ รวมทั้งตำแหน่งอื่นที่เทียบเท่าไม่ว่าจะเรียกชื่อประการใดด้วย
ทั้งนี้
บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งดังกล่าวข้างต้นจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
ก.
มีความสามารถในการบริหาร โดยมีผลงานการบริหารที่ดีในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้
บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือประธานกรรมการบริหารที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา
กรรมการผู้จัดการใหญ่
รองผู้จัดการใหญ่และตำแหน่งอื่นที่เทียบเท่าไม่ว่าจะเรียกชื่อประการใดของธนาคารพาณิชย์
จะต้องมีประสบการณ์ในตำแหน่งระดับสูงในการจัดการและบริหารธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่เชื่อถือได้เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า
๕ ปี
ข.
มีความซื่อสัตย์สุจริต
ค.
ไม่เคยมีประวัติเสียหาย หรือไม่เคยดำเนินกิจการใดที่มีลักษณะอันเป็นการหลอกลวง
หรือแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบหรือความรอบคอบ
หรือสะท้อนถึงวิธีการทำธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่น่าเชื่อถือ
หรือไม่เคยทำธุรกิจหรือเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจที่ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถหรือความรอบคอบของบุคคลนั้น
ง.
ไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย
จ.
ไม่มีปัญหาในการชำระเงินต้น หรือดอกเบี้ยกับสถาบันการเงิน
ฉ.
ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเว้นแต่เป็นการกระทำความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ช.
ไม่เคยถูกธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สั่งถอดถอนจากการเป็นผู้บริหารสถาบันการเงินใดมาก่อน
ซ.
ไม่เคยถูกธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือหน่วยงานของรัฐทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ซึ่งมีหน้าที่กำกับและควบคุมสถาบันการเงินกล่าวโทษ
ร้องทุกข์หรือกำลังถูกดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกง หรือทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือกฎหมายว่าด้วยการกำกับและควบคุมสถาบันการเงินนั้น
ทั้งนี้
ให้กรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทผู้ยื่นคำขอลงนามรับรองคุณสมบัติและการไม่มีลักษณะต้องห้ามของบุคลากรข้างต้นด้วย
(๓)
รายละเอียดของคณะกรรมการและคณะกรรมการชุดย่อยซึ่งรวมถึงคุณสมบัติ
และประสบการณ์ของคณะกรรมการ
โดยคณะกรรมการธนาคารพาณิชย์ต้องประกอบด้วยกรรมการอิสระอย่างน้อย ๓ คน หรือ ๑ ใน ๔
แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า และต้องจัดตั้งคณะกรรมการชุดย่อย ๒ ชุด
คือคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง โดยมีโครงสร้าง คุณสมบัติ
บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการตามแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
(๔)
รายละเอียดโครงสร้างผู้ถือหุ้นหลัก ซึ่งรวมถึงรายชื่อประวัติ
และสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ที่ขอจัดตั้งของผู้ถือหุ้นแต่ละราย ทั้งนี้
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ซึ่งถือหุ้นตั้งแต่ร้อยละ ๑๐
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่ระบุในข้อ
๗.๒ (๒) ข. ถึง ซ. ด้วย
(๕) แผนการขายกิจการหรือคืนใบอนุญาตและ/หรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สิน
จากสถาบันการเงินแห่งอื่นภายใต้กลุ่มธุรกิจเดียวกัน
ในกรณีที่มีสถาบันการเงินมากกว่า ๑ แห่งภายในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
(๖) แผนการเปิดสาขา
(๗)
แผนการควบหรือรวมกิจการหรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมด หรือส่วนใหญ่จากบริษัทเงินทุนและ/หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์แห่งอื่นอย่างน้อย
๑ แห่ง ในกรณียื่นขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
โดยระบุรายชื่อบริษัทเงินทุนและ/หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ที่ได้ดำเนินการควบหรือรวมกิจการหรือโอนสินทรัพย์และหนี้สินหรือเข้าร่วมทุนแล้ว
หรือที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ
รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับฐานะที่สำคัญของบริษัทเหล่านั้น เช่น
จำนวนเงินกองทุนสุทธิ สินทรัพย์ หนี้สิน
และเงินทุนของบริษัทที่จะควบหรือรวมกิจการหรือโอนสินทรัพย์และหนี้สินหรือเข้าร่วมทุน
วิธีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์และการบริหารและฟื้นฟูสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เป็นต้น
พร้อมมติคณะกรรมการของทุกบริษัทที่จะควบหรือรวมกิจการหรือโอนสินทรัพย์และหนี้สินหรือเข้าร่วมทุน
๗.๓
แผนการเตรียมการเพื่อรองรับการประกอบธุรกิจของธนาคารพาณิชย์โดยต้องแสดงหลักฐานเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ได้ครบถ้วน
(๑)
มีระบบการบริหารและจัดการความเสี่ยงประเภทต่างๆ ที่สามารถบ่งชี้ และสามารถวัด
ควบคุม ติดตามระดับความเสี่ยงโดยรวมองค์กรได้ซึ่งรวมถึง ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic
risk) ความเสียงด้านเครดิต (Credit risk) ความเสี่ยงด้านตลาด
(Market risk)ความเสียงด้านสภาพคล่อง (Liquidity risk) และความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ
(Operational risk) ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงด้านกฎหมาย Legal
risk) และความเสี่ยงจากชื่อเสียง (Reputational Risk)
(๒)
มีนโยบายชัดเจนในเรื่องการให้กู้ยืมแก่กลุ่มธุรกิจหรือธุรกิจที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับธนาคารที่ขอจัดตั้งนั้น
รวมทั้งมีระบบข้อมูลติดตามยอดสินเชื่อและภาระผูกพันคงค้างแก่กลุ่มธุรกิจข้างต้น
หากมีนโยบายที่แตกต่างไปจาการให้กู้ยืมแก่ลูกค้าทั่วไปจะต้องชี้แจงเหตุผล
(๓)
มีระบบการควบคุมภายในที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
วงเงินการอนุมัติสินเชื่อ เงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายต่างๆ
(๔)
มีระบบประเมินคุณภาพสินทรัพย์
ซึ่งครอบคลุมถึงการจ่ายชำระดอกเบี้ยและเงินต้นของลูกค้า การประเมินราคาหลักประกัน
และการกันเงินสำรองตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
(๕)
มีบุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
การเงินการธนาคาร และมีการจัดสรรบุคลากรภายในองค์กรอย่างเหมาะสม
โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกันระหว่างความรู้และประสบการณ์เฉพาะด้านของบุคลากร
หน้าที่ความรับผิดชอบของบุคลากรในแต่ละหน่วยงานและแผนการประกอบธุรกิจ
หมวด
๕
การพิจารณาให้ใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์
ข้อ ๘
ให้คณะกรรมการพิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง
(คณะกรรมการฯ) ดำเนินการพิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขแห่งประกาศนี้
เพื่อคัดเลือกผู้ที่สมควรให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์
เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการนี้ ให้คณะกรรมการฯ
มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขดังกล่าวและมีอำนาจเรียกหลักฐานและเอกสารใดๆ
จาดผู้ยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ในประกาศนี้เพื่อประกอบการพิจารณาได้
ข้อ ๙ เมื่อคณะกรรมการฯ
พิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้งธนาคารพาณิชย์แล้วให้คณะกรรมการฯ
เสนอรายชื่อผู้ที่สมควรให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ต่อรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบภายใน
๓ เดือน นับแต่ได้รับคำขอและเอกสารประกอบการพิจารณาครบถ้วน
และรัฐมนตรีจะพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน
นับแต่ได้รับผลการพิจารณาจากคณะกรรมการฯ
ในการให้ความเห็นชอบรัฐมนตรีอาจกำหนดเงื่อนไขอื่นได้ด้วยก็ได้
ข้อ ๑๐ เมื่อรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้บริษัทใดดำเนินการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์แล้ว
ให้บริษัทที่ได้รับความเห็นชอบดำเนินการดังต่อไปนี้
๑๐.๑
ในกรณีที่มีสถาบันการเงินมากกว่า ๑ แห่งภายในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
ให้บริษัทนั้นดำเนินการควบหรือรวมกิจการ ขายกิจการหรือคืนใบอนุญาตและ/หรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินจากสถาบันการเงินแห่งอื่นภายใต้กลุ่มธุรกิจเดียวแล้วแต่กรณี
ให้เสร็จสิ้นภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบ
๑๐.๒
ในกรณียื่นขอจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
ให้บริษัทนั้นดำเนินการควบหรือรวมกิจการหรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดหรือส่วนใหญ่จากบริษัทเงินทุนและ/หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์แห่งอื่นอย่างน้อย
๑ แห่งตามแผนงานที่ได้รับความเห็นชอบ
และให้บริษัทเงินทุนและ/หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ที่ถูกควบหรือรวมกิจการหรือโอนสินทรัพย์และหนี้สินให้บริษัทแล้วทุกแห่งคืนใบอนุญาต
ภายใน ๑ ปีนับตั้งแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบ เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอันควร
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจพิจารณาผ่อนผันให้ ทั้งนี้ ไม่เกิน ๖
เดือนนับแต่วันที่ครบกำหนดให้ดำเนินการเสร็จสิ้น
๑๐.๓
ให้บริษัทเสนอรายชื่อประธานกรรมการ ประธานกรรมการบริหาร กรรมการผู้จัดการใหญ่
คณะกรรมการบริษัท และผู้บริหารระดับสูง
ของธนาคารที่จะจัดตั้งขึ้นเพื่อธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบก่อนวันเปิดดำเนินการ
๑๐.๔
ในกรณีที่บริษัทที่ได้รับความเห็นชอบเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ให้บริษัทนั้นแยกธุรกิจหลักทรัพย์ออกไปดำเนินการในบริษัทหลักทรัพย์
ภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบ
ข้อ ๑๑ เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ ๑๐
และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดเพิ่มเติมครบถ้วนแล้ว
ให้ขอรับใบอนุญาตประกอบการธนาคารพาณิชย์ต่อรัฐมนตรี ทั้งนี้
จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
๑๑.๑ ต้องเปิดดำเนินการธนาคารพาณิชย์ภายใน
๑ ปีนับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบ เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาผ่อนผันโดยกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมใดๆ ก็ได้
๑๑.๒
ต้องคืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุนหรือใบอนุญาตประกอบธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์แล้วแต่กรณี
ให้แก่กระทรวงการคลังในวันที่เปิดดำเนินการและให้คงกิจการธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งไว้เพียงรูปแบบเดียว
๑๑.๓ ณ
วันเปิดดำเนินการ ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีเงินกองทุนชั้นที่ ๑
ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๑๑.๓.๑
ต้องไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
๑๑.๓.๒
ต้องไม่ต่ำกว่า ๒๕๐ ล้านบาท สำหรับธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย
๑๑.๔
การแต่งตั้งและเปลี่ยนแปลงกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้จัดการใหญ่
รองผู้จัดการใหญ่ และตำแหน่งอื่นที่เทียบเท่าไม่ว่าจะเรียกชื่อประการใด
ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
๑๑.๕
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ ๕
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์จะต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือให้เป็นไปตามกฎหมายที่ใช้กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์
การนับจำนวนหุ้นที่ถือตามวรรคหนึ่ง
ให้นับรวมหุ้นที่ผู้เกี่ยวข้องถืออยู่หรือมีไว้ด้วย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศกำหนด
๑๑.๖
การดำรงเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยสำหรับรองรับความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งประชาชนรายย่อยจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุน
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศกำหนด
๑๑.๗
ภายหลังจากที่ได้เปิดดำเนินการ แล้วอย่างน้อย ๓ ปี
หากธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยประสงค์จะขอปรับสถานะให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ได้เท่าเทียมกับธนาคารพาณิชย์อื่นก็สามารถยื่นขอต่อธนาคารแห่งประเทศไทยได้โดยนำหลักเกณฑ์ตามหมวด
๒ และหมวด ๓ ของประกาศฉบับนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม ทั้งนี้ จำนวนเงินกองทุนชั้นที่
๑ จะต้องเป็นไปตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศกำหนด แต่ไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในข้อ
๑๑.๓.๑ ตามประกาศฉบับนี้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาความเหมาะสมของภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นโดยอนุโลม
ก่อนนำเสนอรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
ข้อ ๑๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๔๗
ร้อยเอก
สุชาติ เชาว์วิศิษฐ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
พรพิมล/พิมพ์
๓๐
เมษายน ๒๕๔๗
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๑๑ง/๑/๒๘
มกราคม ๒๕๔๗ |
429676 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ให้บริการ
ด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น
อันเป็นการลดต้นทุนในการดำเนินงาน เพิ่มรายได้ และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของบริการด้านงานสนับสนุนของธนาคารพาณิชย์
๒. อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
ออกหลักเกณฑ์ในการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่นตามที่กำหนดในประกาศฉบับนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจ
๔. การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบกิจการให้บริการด้านงานสนับสนุน
๔.๑
ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบกิจการให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น
ลงวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๕ โดยถือปฏิบัติตามแนวประกาศฉบับนี้แทน
๔.๒
ในประกาศนี้
บุคคลอื่น หมายถึง
(๑) สถาบันการเงินอื่น
(๒) บริษัทแม่
บริษัทลูก และบริษัทร่วม ของธนาคารพาณิชย์นั้นหรือของสถาบันการเงินอื่น
ที่ประกอบธุรกิจทางการเงินหรือประกอบธุรกิจที่เป็นงานสนับสนุน
(๓) สถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
(๔) ธนาคารแห่งประเทศไทย
สถาบันการเงินอื่น
หมายถึง
(๑) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(๒) บริษัทเงินทุน
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์
และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
บริษัท หมายถึง
บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
หรือนิติบุคคลอื่น
บริษัทแม่ หมายถึง
บริษัทที่มีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทอื่น
บริษัทลูก หมายถึง
(๑) บริษัทที่มีบริษัทอื่นมีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทนั้น
(๒) บริษัทลูกของบริษัทตาม
(๑) ต่อไปทุกทอด
บริษัทร่วม หมายถึง
บริษัทลูกที่มีบริษัทแม่ร่วมกัน
อำนาจควบคุมกิจการ
หมายถึง
(๑) การที่บริษัทหนึ่งมีหุ้นในอีกบริษัทหนึ่งเกินกว่าร้อยละห้าสิบของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
(๒) การที่บริษัทหนึ่งมีอำนาจควบคุมคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของอีกบริษัทหนึ่ง
ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือไม่ว่าเพราะเหตุอื่นใด หรือ
(๓) การที่บริษัทหนึ่งมีอำนาจควบคุมการแต่งตั้งหรือถอดถอนกรรมการตั้งแต่กึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดในอีกบริษัทหนึ่ง
ในกรณีที่บริษัทหนึ่งมีหุ้นในอีกบริษัทหนึ่งตั้งแต่ร้อยละยี่สิบขึ้นไปของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริษัทที่มีหุ้นดังกล่าวมีอำนาจควบคุมกิจการอีกบริษัทหนึ่ง
ธุรกิจทางการเงิน
หมายถึง ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจประกันชีวิต ธุรกิจเพื่อการลงทุนในธุรกิจการเงิน
ธุรกิจเช่าซื้อ ธุรกิจเช่าซื้อแบบลิสซิ่ง ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจแฟคตอริ่ง
ธุรกิจที่ปรึกษาเกี่ยวกับการเงินหรือการลงทุน
ธุรกิจการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ ธุรกิจบัตรเครดิต
ธุรกิจที่เกี่ยวกับการชำระเงินและโอนเงินและธุรกิจอื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
งานสนับสนุน หมายถึง
งานปฏิบัติการด้านธนาคารพาณิชย์ที่เป็นการเอื้ออำนวยต่อการดำเนินงานปกติ
รวมถึงงานบัญชีและการเงิน งานเทคโนโลยีสารสนเทศ งานตรวจสอบภายใน
งานด้านกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance) หรืองานสนับสนุนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับงานดังกล่าว
งานเทคโนโลยีสารสนเทศ
หมายถึง
งานเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นงานสนับสนุนการให้บริการทางการเงิน เช่น
งานด้านการประมวลผลข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์
การพัฒนาและจำหน่ายระบบงานและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การจัดเก็บข้อมูล
และการบำรุงรักษาและการรักษาความปลอดภัยทรัพยากรคอมพิวเตอร์ เช่น
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ระบบงานและโปรแกรม ระบบเครือข่ายสื่อสารและข้อมูล
เป็นต้น
๔.๓
ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่นต้องปฏิบัติดังนี้
(๑) กำหนดนโยบายการให้บริการด้านงานสนับสนุนอย่างชัดเจนโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์
โดยคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์อาจมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารหรือคณะกรรมการที่รับผิดชอบด้านงานสนับสนุนของธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ให้ความเห็นชอบได้
(๒) ประเมินศักยภาพและความเพียงพอของทรัพยากรของธนาคารพาณิชย์ในการให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่น
ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์ต้องระมัดระวังไม่ให้บริการดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานและการให้บริการตามปกติของธนาคาร
และไม่ให้ปริมาณของงานให้บริการดังกล่าวมีมากเกินบทบาทของงานด้านการธนาคารพาณิชย์
หรือเกินกว่าความสามารถของธนาคารพาณิชย์ในการให้บริการได้ด้วยตนเอง
โดยการให้บริการดังกล่าวจะต้องไม่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องว่าจ้างผู้อื่นมารับช่วงให้บริการแทน
(๓) ประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการให้บริการด้านงานสนับสนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงต่อการดำเนินงานและภาพลักษณ์ของธนาคารพาณิชย์และกำหนดนโยบายการบริหารความเสี่ยงไว้อย่างชัดเจน
(๔) จัดทำสัญญาที่กำหนดรายละเอียดประเภทของการให้บริการ ขั้นตอนหรือวิธีการดำเนินการ ขอบเขตความรับผิดชอบ
การคิดค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการระหว่างกัน ระบบการควบคุมภายใน และระบบการรักษาความปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูลและทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์และผู้รับบริการ
(๕) จัดให้มีการบันทึกบัญชีรายได้จากการให้บริการดังกล่าวให้ถูกต้อง
ทั้งนี้
การคิดค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการจากการให้บริการดังกล่าวต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม
(๖) จัดให้มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมและเพียงพอ มีการจัดทำแผนฉุกเฉิน ทดสอบ
และปรับปรุงแผนฉุกเฉินดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ
(๗) เก็บรักษาเอกสารตาม
(๑) ถึง (๖)
ไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เพื่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา
เมื่อธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กล่าวใน
(๑) ถึง (๗)
ครบถ้วนแล้ว
ให้ถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ให้บริการด้านงานสนับสนุนแก่บุคคลอื่นได้
๔.๔
ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตตามข้อ ๔.๓
ต้องตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามข้อ ๔.๓ โดยเคร่งครัด
รวมทั้งตรวจสอบดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่มีกำหนดไว้ด้วย
๔.๕
หากธนาคารแห่งประเทศไทยพบหรือทราบว่าการปฏิบัติของธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตไม่เป็นไปตามที่กำหนดในข้อ
๔.๓ หรือข้อ ๔.๔
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ธนาคารพาณิชย์ชี้แจงเหตุผลและข้อเท็จจริงของการปฏิบัติดังกล่าว
หากธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นสมควรอาจกำหนดเงื่อนไขใดๆ
ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติเพิ่มเติม หรือยกเลิกการให้อนุญาตก็ได้
๕. วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
สุภาพร/พิมพ์
๒๖
มีนาคม ๒๕๔๗
สุนันทา/อรดา/ตรวจ
๗
เมษายน ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๗/พ๑๐ง/๒๔/๒๖ มกราคม ๒๕๔๗ |
575039 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบกิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์ (Shariah Banking Services)
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบกิจการ
การให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์
(Shariah
Banking Services)
๑.
เหตุผลในการออกประกาศ
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือที่
ธปท.ง.(ว) ๕๕๔/๒๕๔๑ เรื่อง การประกอบกิจการธนาคารปลอดดอกเบี้ย (Interest-Free
Units) ลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ไปแล้วนั้น
ปรากฏว่าข้อความในหนังสือดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความรู้สึกโน้มเอียงว่า
เป็นบริการที่จัดทำขึ้นเพื่อผู้นับถือศาสนาอิสลามโดยเฉพาะซึ่งโดยหลักการแล้ว
บริการดังกล่าวจะตกอยู่ภายใต้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์ (Shariah
Banking Services) จึงสมควรยกเลิกหนังสือฉบับเดิมและออกประกาศฉบับใหม่เพื่อปรับปรุงข้อความให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น
๒.
อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙
ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒
อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบกิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์ (Shariah
Banking Services) ตามข้อกำหนดในประกาศนี้
๓.
ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมาย
ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจ
๔.
เนื้อหา
๔.๑ ให้ยกเลิกหนังสือที่ ธปท.ง(ว) ๕๕๔/๒๕๔๑
เรื่อง การประกอบกิจการธนาคารปลอดดอกเบี้ย (Interest-Free Units)
ลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
๔.๒ กิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์
(Shariah Banking Services) หมายวามว่า
กิจการธนาคารตามหลักชาริอะฮ์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์สามารถให้บริการได้
ตามความหมายของการธนาคารพาณิชย์ในมาตรา ๔ แห่งกฎหมายการธนาคารพาณิชย์
และธุรกิจที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำ
และธุรกิจทำนองเดียวกันตามความในมาตรา ๙ ทวิแห่งกฎหมายการธนาคารพาณิชย์
๔.๓
ธนาคารพาณิชย์อาจประกอบกิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์
เป็นแผนกหนึ่งต่างหากในสำนักงานธนาคารพาณิชย์ได้
เมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
๔.๔ ในการพิจารณาอนุญาต
จะพิจารณาจากฐานะการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์และความพร้อมในการประกอบธุรกิจ
ทั้งด้านบุคลากรและการจัดการทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์ที่ยื่นคำขอจะต้องมีส่วนของผู้ถือหุ้นกรณีธนาคารพาณิชย์ไทยหรือสินทรัพย์ตามมาตรา
๖ กรณีสาขาธนาคารต่างประเทศไม่น้อยกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท และในคำขออนุญาต
จะต้อมีรายละเอียดอย่างน้อยดังต่อไปนี้
(๑)
สาขาที่จะประกอบกิจการให้บริการทางการเงินหลักชาริอะฮ์
(๒) ทุนดำเนินการเบื้องต้น และวิธีการจัดหา
(๓) ประเภทของเงินฝาก ประเภทเงินให้สินเชื่อ
รวมถึงแนวทางการลงทุนลูรกิจต่างๆ ที่จะให้บริการ รวมทั้งรายละเอียด วิธีปฏิบัติ
การจัดสรรและการจ่ายผลประโยชน์ที่จะได้รับ
(๔)
วิธีการแบ่งแยกเงินทุนของกิจการออกต่างหากจากกิจการธนาคารพาณิชย์ตามปกติ
(๕) ข้อกำหนดในเรื่องการใช้สายงานสนับสนุนต่างๆ
ของธนาคารพาณิชย์เพื่อประโยชน์ของกิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์
รวมทั้งการจัดสรรค่าใช้จ่าย เช่น การจัดหาบุคลากร การฝึกอบรมพนักงาน
การตรวจสอบกิจการภายใน และระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
(๖) เกณฑ์เกี่ยวกับการบัญชี การรับรูรายได้
ค่าใช้จ่าย และการจัดทำงบการเงินและเอกสารประกอบ
(๗) ขั้นตอน วิธีการดำเนินงานในแต่ละวัน เช่น
การจัดทำเอกสารหลักฐาน การลงบัญชี การกำหนดรหัสบัญชี และการใช้คอมพิวเตอร์
รวมทั้งการออกงบทดลองรายวัน เป็นต้น
๔.๕ ธนาคารพาณิชย์ต้องแจ้งสำนักงานที่ให้บริการ
และวันเปิดทำการกิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่า
๗ วัน ก่อนวันที่จะเริ่มประกอบกิจการ
๔.๖
ในการประกอบกิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดสรรเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นเพิ่มทุนมาใช้เป็นทุนดำเนินการเบื้องต้น
และเงินทุนของกิจการนี้ต้องปราศจากดอกเบี้ย นอกจากนี้ กิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์จะกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินอื่นที่มิใช่ระบบปราศจากดอกเบี้ยไม่ได้
๔.๗ ธนาคารพาณิชย์ต้องแบ่งแยกทรัพย์สิน หนี้สิน
และภาระผูกพันรวมทั้งระบบบัญชีของกิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์ออกต่างหากจากกิจการธนาคารพาณิชย์ปกติ
เสมือนหนึ่งเป็นคนละนิติบุคคล
๔.๘
ธนาคารพาณิชย์ต้องประกาศเรื่องการจ่ายหรือการคิดค่าตอบแทนของการดำเนินการต่างๆ
ของกิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์ อาทิ
วิธีคำนวณค่าตอบแทนสำหรับเงินฝากแต่ละประเภท
รวมทั้งกรณีที่ผู้ฝากเงินขอถอนเงินก่อนครบกำหนด และการคิดค่าธรรมเนียต่างๆ
ให้ลูกค้าทราบ และแจ้งธนาคารแห่งประเทศไทย ทำนองเดียวกับการจ่ายดอกเบี้ย ส่วนลด
และค่าธรรมเนียมของกิจการธนาคารพาณิชย์ตามปกติ
๔.๙
กำไรของกิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์ก่อนการจัดสรรให้แก่ผู้ฝากเงินหรือผู้ร่วมลงทุน
จะต้องมีการรับรู้รายได้รายจ่ายต่างๆ ครบถ้วนถูกต้อง
รวมทั้งได้หักหนี้สูญตั้งสำรองเผื่อการเสื่อมค่าของสินทรัพย์ไว้ครบถ้วนถูกต้องแล้ว
๔.๑๐
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดให้มีที่ปรึกษาของกิจการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์
ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านการศาสนาอิสลามอย่างน้อย ๑ คน
และแจ้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบทุกครั้งที่มีการแต่งตั้งหรือเปลี่ยนแปลง
๔.๑๑
หากธนาคารพาณิชย์ประสงค์จะให้กิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์
เสนอบริการใดๆ เพิ่มเติมจากที่ได้รับอนุญาตไว้ตอนเปิดดำเนินการครั้งแรก
จะต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนทุกครั้ง
๔.๑๒
การประกอบกิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์ถือเป็นสาขาและหรือแผนกหนึ่งต่างหากในกิจการธนาคารพาณิชย์ที่ต้องถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ที่แก้ไขแล้ว อาทิ ธนาคารพาณิชย์ต้องนับรวมทรัพย์สินหนี้สิน
และภาระผูกพันของกิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์
เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายการธนาคารพาณิชย์ในทุกเรื่อง อาทิ
ความเพียงพอของกองทุนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง การลงทุนในกิจการตามมาตรา ๑๒ (๕)
เป็นต้น และรวมทั้งการนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินด้วย
ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดทำงบทดลองของกิจการการให้บริการทางการเงินหลักชาริอะฮ์แยกต่างหากเป็นงบย่อยรายสาขาและบงรวมของกิจการรวมทั้ง
ให้รายงานฐานะการดำเนินงานของกิจการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของรายงานของธนาคารพาณิชย์ด้วย
๔.๑๓
ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการะนาคารปลอดดอกเบี้ย (Interest-Free
Units) อยู่แล้ว ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามหนังสือ ที่
ธปท.ง(ว) ๕๕๔/๒๕๔๑ เรื่อง การประกอบกิจการธนาคารปลอดดอกเบี้ย (Interest-Free
Units) ลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
ให้ประกอบกิจการนั้นได้ต่อไป โดยให้ถือปฏิบัติตามประกาศนี้แทน
และให้เปลี่ยนชื่อจากกิจการธนาคารปลอดดอกเบี้ย เป็น กิจการการให้บริการทางการเงินตามหลักชาริอะฮ์
(Shariah Banking Services)
๕.
วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖
หม่อมราชวงศืปรีดิยาธร
เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
อัมภิญา/พิมพ์
๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๐/ตอนพิเศษ ๑๓๔ ง/หน้า ๓๑/๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ |
429730 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การให้บริการแก่ลูกค้า การเปิดเผยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
หลักเกณฑ์การให้บริการแก่ลูกค้า การเปิดเผยและการเรียกเก็บ
ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการให้บริการ
การคิดค่าธรรมเนียมและบริการของธนาคารพาณิชย์ และเพื่อความเป็นธรรมกับผู้ใช้บริการ
ตลอดจนเพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน
๒. อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๒ (๘) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๒๘
ออกหลักเกณฑ์การให้บริการแก่ลูกค้า
การเปิดเผยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
๔. การให้บริการแก่ลูกค้า
การเปิดเผยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
๔.๑
ให้ธนาคารพาณิชย์กำหนดแนวทางและวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากลูกค้าและเปิดเผยแนวทางและวิธีปฏิบัติดังกล่าวให้ลูกค้าทราบโดยละเอียด
เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวประกอบการตัดสินใจเลือกใช้บริการได้ตรงตามความต้องการ
๔.๒
ในการให้บริการลูกค้า ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติ ดังนี้
๔.๒.๑
ในการทำสัญญาใหม่กับลูกค้า
ให้ธนาคารพาณิชย์มอบหรือส่งสำเนาสัญญาหรือข้อตกลงการให้บริการแก่ลูกค้าผู้ใช้บริการ
อย่างน้อย ๑ ชุด หรือเมื่อมีลูกค้าร้องขอ
๔.๒.๒ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสัญญา ข้อตกลง
อัตราค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ ค่าปรับ สูตรและวิธีการคำนวณ รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆ
ของสัญญาหรือข้อตกลงการให้บริการข้างต้นซึ่งทำให้ลูกค้าผู้ใช้บริการเสียประโยชน์
ธนาคารพาณิชย์ต้องได้รับความยินยอมจากลูกค้าเสียก่อนเว้นแต่ลูกค้าเลือกที่จะให้สิทธิธนาคารพาณิชย์ดำเนินการเป็นอย่างอื่น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีการตกลงใดๆ ไว้
ธนาคารพาณิชย์ต้องประกาศการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นให้ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๓๐ วันก่อนการเปลี่ยนแปลงจะมีผลใช้บังคับ
๔.๒.๓
ให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งยอดเงินฝากบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหวและไม่อยู่ในข่ายที่ถูกเรียกเก็บหรือหักค่าธรรมเนียมในการรักษาบัญชีเงินฝาก
โดยการส่งจดหมายลงทะเบียนแจ้งยอดเงินฝากคงเหลือบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์ให้ผู้ฝากเงินที่เป็นบุคคลธรรมดาทราบเป็นรายตัว
หลังจากบัญชีไม่เคลื่อนไหวเกิน ๑ ปี
๔.๒.๔
ในการเรียกเก็บหรือหักค่าธรรมเนียมในการรักษาบัญชีเงินฝากให้ธนาคารพาณิชย์จัดส่งหนังสือแจ้งผู้ฝากเงินทราบเป็นรายตัว
ภายใน ๑๐ วันนับจากวันที่เรียกเก็บหรือหักบัญชีเป็นค่ารักษาบัญชีดังกล่าว
โดยให้ระบุยอดเงินฝากคงเหลือ และค่าธรรมเนียมในการรักษาบัญชีที่เรียกเก็บ
ตลอดจนเงื่อนไขในการเรียกเก็บ
๔.๒.๕
การคิดค่าธรรมเนียมในการรักษาบัญชีเงินฝาก ให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาปัจจัยต่างๆ
ที่ได้กล่าวไว้ในหนังสือเวียน ที่ ธปท.ณก.(ว)
๑๕๔๓/๒๕๓๔ ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๓๔ เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการของธนาคารพาณิชย์ ประกอบด้วย
และธนาคารพาณิชย์จะทำข้อตกลง หรือเรียกเก็บ
หรือหักบัญชีเป็นค่ารักษาบัญชีเกินกว่ายอดเงินฝากคงเหลือในบัญชีไม่ได้
๔.๓
ให้ธนาคารพาณิชย์กำหนดแนวทางและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการรับข้อร้องเรียนต่างๆ
ในเรื่องค่าธรรมเนียม และการจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ใช้บริการธนาคารพาณิชย์
สำหรับความเสียหายใดๆ ที่ผู้ใช้บริการได้รับอันเกิดจากความผิดพลาดของธนาคารพาณิชย์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าปรับทุกประเภท
โดยอย่างน้อยต้องมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
๔.๓.๑
ช่องทางการติดต่อของลูกค้าในการแจ้งข้อร้องเรียน
๔.๓.๒
กระบวนการในการพิจารณาตรวจสอบข้อร้องเรียน
๔.๓.๓
ระยะเวลาในการดำเนินการ และการแจ้งผลการดำเนินการ
๔.๓.๔
กระบวนการพิจารณาการชดเชย รวมทั้งรายละเอียดการดำเนินการต่างๆ
๔.๔
ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดเผยและปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอโดยอย่างน้อยต้องมีรายละเอียด
ดังนี้
๔.๔.๑
รายละเอียดสัญญาหรือข้อตกลง อัตราค่าธรรมเนียม ค่าบริการ หรือค่าปรับ
รวมถึงสูตรและวิธีการคำนวณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเงื่อนไขต่างๆ ของสัญญา
หรือข้อตกลงในการให้บริการทุกประเภท ที่เป็นรูปแบบมาตรฐานสำหรับลูกค้าทั่วไป
๔.๔.๒
แนวทางและวิธีปฏิบัติในกรณีมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลง อัตราค่าธรรมเนียม
ค่าบริการ หรือค่าปรับ รวมถึงสูตรและวิธีการคำนวณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งเงื่อนไขต่างๆ
๔.๔.๓
แนวทางและวิธีปฏิบัติในการรับข้อร้องเรียนต่างๆ
ในเรื่องค่าธรรมเนียมรวมถึงกระบวนการพิจารณาการชดเชย สำหรับความเสียหายใดๆ
ที่ผู้ใช้บริการได้รับอันเกิดจากความผิดพลาดของธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้
ให้ธนาคารพาณิชย์จัดให้มีข้อมูลอันเป็นปัจจุบันข้างต้นไว้ในที่เปิดเผย ณ
สำนักงานของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง
พร้อมทั้งสามารถแสดงหรือมอบให้ผู้ใช้บริการได้ตามสมควรเมื่อมีการร้องขอ นอกจากนี้
ธนาคารพาณิชย์ควรพิจารณาช่องทางการเปิดเผยข้อมูลอื่นด้วย เช่น
การเผยแพร่ใน Homepage ของธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น ทั้งนี้
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค
๔.๕
หลักเกณฑ์ในประกาศฉบับนี้
ไม่ใช้บังคับกับเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้สินเชื่อ และเรื่องบัตรเครดิต
๕. วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ญาณี/พิมพ์
๒๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
จีระ/ต่อศักดิ์/ตรวจ
๙
เมษายน ๒๕๔๗
A+B
[๑]
รก.๒๕๔๖/พ๑๓๓ง/๑๕/๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ |
425900 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การแต่งตั้งตัวแทนรับฝากและถอนเงินของธนาคารพาณิชย์
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การแต่งตั้งตัวแทนรับฝากและถอนเงินของธนาคารพาณิชย์
๑. เหตุผลในการออกประกาศ
เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินขั้นพื้นฐานได้แก่
ช่องทางการฝาก ถอนและโอนเงิน ให้ครอบคลุมพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้นโดยการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสถาบันการเงิน
และไปรษณีย์ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ
๒. อำนาจตามกฎหมาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๑๓ จัตวาแห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
ออกหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการแต่งตั้งตัวแทนรับฝากและถอนเงินของธนาคารพาณิชย์ตามที่กำหนดในประกาศนี้
๓. ขอบเขตการบังคับใช้
ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับกับธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ยกเว้นกิจการวิเทศธนกิจ
๔. หลักเกณฑ์การแต่งตั้งตัวแทนรับฝากและถอนเงิน
๔.๑
ธนาคารพาณิชย์สามารถแต่งตั้งธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นเป็นตัวแทนรับฝากเงินเพิ่มในบัญชีเงินฝากที่ได้เปิดไว้แล้วได้
ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดในหนังสือเวียน ที่ ธปท. สนส.
(๓๑)ว. ๑๙๕๙/๒๕๔๕
ลงวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๕ เรื่อง การแต่งตั้งตัวแทนเพื่อรับฝากเงิน
รับชำระสินเชื่อและรับชำระค่าใช้จ่ายตามบัตรเครดิต
๔.๒
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการที่ธนาคารพาณิชย์จะแต่งตั้งบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
หรือบริษัทร่วมทุน (Joint Venture Company) ระหว่าง บริษัท ไปรษณีย์ไทย
จำกัด กับธนาคารพาณิชย์นั้นให้เป็นตัวแทนรับฝากและถอนเงิน ดังนี้
๔.๒.๑ การให้บริการตัวแทนรับฝากและถอนเงินของบริษัทไปรษณีย์ไทย
จำกัด หรือบริษัทร่วมทุน (Joint Venture Company) ดังกล่าว ต้องอยู่ภายในขอบเขต ดังนี้
๑) การรับฝากและถอนเงินในบัญชีเงินฝากที่ได้เปิดไว้แล้ว
๒) การโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของบุคคลที่สาม
๓) การรับส่งเอกสารระหว่างธนาคารพาณิชย์และลูกค้า
ทั้งนี้ไม่อนุญาตให้ตัวแทนทำการเปิดบัญชีเงินฝากใหม่
และการให้สินเชื่อ
๔.๒.๒
ให้ธนาคารพาณิชย์กำหนดนโยบายและวิธีปฏิบัติให้ชัดเจนเกี่ยวกับการแต่งตั้งบริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด หรือบริษัทร่วมทุน (Joint Venture Company) ระหว่างบริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด กับธนาคารพาณิชย์ เป็นตัวแทนรับฝากและถอนเงิน
โดยอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดในเรื่องต่อไปนี้
๑) วันที่ธุรกรรมเสร็จและวันที่เริ่มคิดดอกเบี้ย
ซึ่งควรเป็นมาตรฐานเดียวกับการทำธุรกรรมที่สาขาธนาคารพาณิชย์
แต่หากมีความแตกต่างธนาคารพาณิชย์หรือตัวแทนต้องแจ้งเงื่อนไขและข้อจำกัดในการให้บริการให้ลูกค้าทราบ
๒) หลักฐานการทำธุรกรรมที่ตัวแทนต้องออกให้แก่ลูกค้า
๓) ระบบการควบคุมภายในและการประสานงานระหว่างธนาคารพาณิชย์และตัวแทน
เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ซึ่งครอบคลุมถึงความเสี่ยงด้านการชำระเงิน (Settlement Risk) และความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ
(Operational Risk) ด้วย เช่น การใช้ระบบข้อมูลเงินฝาก Online
และ Real Time หรือระบบการตรวจสอบลายมือชื่อเจ้าของบัญชี
เป็นต้น
๔) แผนฉุกเฉินกรณีตัวแทนนั้น
ไม่สามารถให้บริการตามที่ธนาคารพาณิชย์แต่งตั้งไว้ได้
๕) เงื่อนไขสำคัญในสัญญาระหว่างธนาคารพาณิชย์กับตัวแทน
๔.๒.๓
สัญญาแต่งตั้งตัวแทนอย่างน้อยต้องมีแนวทาง
ซึ่งจะต้องมีผลไม่ว่าในทางตรงหรือทางอ้อม ดังนี้
๑) การฝากเงินของลูกค้าถือว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์
และถือว่าธนาคารพาณิชย์ได้รับฝากเงินเมื่อตัวแทน ได้ออกหลักฐานได้แก่ลูกค้า
ในกรณีการฝากโดยใช้เงินสดหรือบัตรเดบิต
หรือเมื่อเช็คสามารถเรียกเก็บเงินได้ครบถ้วนในกรณีการฝากโดยใช้เช็ค
๒) ต้องไม่ห้ามบริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด ทำหน้าที่ตัวแทนนี้ให้กับธนาคารพาณิชย์แห่งอื่น
๓) ตัวแทนต้องไม่ทำสัญญาช่วง
(Subcontract) ให้กับผู้อื่นเพื่อดำเนินการแทนตน
๔) ต้องดำเนินการรับฝากและถอนเงินในสถานที่ประกอบการหรือสาขาของบริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด เท่านั้น
๕) เงื่อนไขในสัญญาต้องระบุชัดเจนว่า
ตัวแทนต้องให้ความร่วมมือในการจัดเตรียมข้อมูล
หรือยินยอมให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าตรวจสอบเอกสารและการทำงานที่เกี่ยวข้องเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยร้องขอ
๔.๒.๔
ธนาคารพาณิชย์ใดประสงค์ที่จะแต่งตั้งตัวแทนรับฝากและถอนเงินตามข้อ ๔.๒
นี้ ให้ดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องขออนุญาตก่อน แต่ต้องแจ้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบอย่างน้อย
๓๐ วัน ก่อนตัวแทนดังกล่าวเริ่มดำเนินการตามข้อ ๔.๒.๑
๔.๒.๕
ในการเข้าถือหุ้นในบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หรือในบริษัทร่วมทุน (Joint
Venture Company) จะต้องเป็นไปตามมาตรา ๑๒ (๕)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่
๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
๔.๓
ในการแต่งตั้งบุคคลใดเป็นตัวแทนรับฝากและถอนเงินในกรณีอื่นนอกจากข้อ ๔.๑
และข้อ ๔.๒
จะต้องได้รับการพิจารณาจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นแต่ละกรณีไป
โดยธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการรับฝากเงินหรือเรื่องอื่นๆ
ตามความเหมาะสมสำหรับคำขอแต่ละกรณีต่อไป
๕. วันเริ่มต้นบังคับใช้
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ญาณี/พิมพ์
๑๗
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
สุมลรัตน์/พัชรินทร์/ตรวจ
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
A+B
[๑]
รก.๒๕๔๖/พ๑๒๘ง/๖๑/๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ |
425882 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรม Credit Default Swaps
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรม
Credit Default Swaps
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม
Credit Default Swaps โดยมีข้อกำหนดดังต่อไปนี้
ข้อ
๑
ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรม Credit Default Swaps ลงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๖
ข้อ
๒ ธุรกรรม Credit
Default Swaps หมายถึง
การซื้อขายข้อตกลงที่รับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการชำระคืนของสินทรัพย์อ้างอิงที่กำหนดไว้
โดยผู้ซื้อตกลงจะจ่ายเงินค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ขาย
และผู้ขายตกลงจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ตกลงไว้เมื่อเกิด Credit
Event ขึ้น
ข้อ
๓ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรม Credit
Default Swaps ในฐานะผู้ซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงที่อาจจะเกิดความเสียหายแก่ตน
หรือในฐานะผู้ขาย Credit Default Swaps ให้แก่ลูกค้าที่มีภาระความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงนั้น
ข้อ
๔ การซื้อ Credit
Default Swaps ที่สินทรัพย์อ้างอิงระบุจำนวนเงินเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ
ให้ทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
นิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ สถาบันการเงินระหว่างประเทศ
หรือคู่สัญญาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
ข้อ
๕ การซื้อ Credit
Default Swaps ที่สินทรัพย์อ้างอิงระบุจำนวนเงินเป็นสกุลเงินบาทให้ทำกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศ
บริษัทเงินทุนในประเทศ และนิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
สถาบันการเงินระหว่างประเทศ หรือ คู่สัญญาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจำกำหนดเพิ่มเติม
ข้อ
๖ การทำธุรกรรม Credit
Default Swaps กับนิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
จะต้องรับชำระหรือจ่ายชำระเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ
ข้อ
๗ การอนุญาตตามข้อ ๒ ถึงข้อ ๖
ไม่รวมถึงการทำธุรกรรม Credit Default Swaps ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของสถาบันการเงินผู้ขาย
Credit Default Swaps เอง
และการทำธุรกรรม Credit Default Swaps ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นกลุ่มของสินทรัพย์
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นการเฉพาะกรณี
ข้อ
๘ ธนาคารพาณิชย์ผู้ขาย Credit
Default Swaps ต้องมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงและผู้ออกสินทรัพย์อ้างอิงนั้นและปฏิบัติตามพิธีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อโดยถี่ถ้วน
พร้อมทั้งมีการจัดเก็บเอกสารหลักฐาน การสอบทานและดูแล
เสมือนหนึ่งเป็นการให้สินเชื่อแก่ผู้ออกสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง
ข้อ
๙ ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรม Credit
Default Swaps ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี
ต้องมีการกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ ขั้นตอนการปฏิบัติที่เกี่ยวกับการทำธุรกรรม Credit
Default Swaps และการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องไว้อย่างชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร
และจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง (ในกรณีสาขาธนาคารต่างประเทศ)
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร
หรือ คณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องก่อนทุกครั้ง
ข้อ
๑๐ ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรม Credit
Default Swaps จะต้องมีบุคลากรที่มีความรู้
ความสามารถในจำนวนที่เพียงพอ
มีระบบการควบคุมภายในและระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ พร้อมที่จะรองรับการทำธุรกรรม
Credit Default Swaps รวมทั้งจะต้องมีการรายงานข้อมูลต่อผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการธนาคาร
หรือ คณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ
ข้อ
๑๑ ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรม Credit
Default Swaps จะต้องดูแลให้สัญญามีผลบังคับตามกฎหมายและจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกรรมนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
ข้อ
๑๒ ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรม Credit
Default Swaps จะต้องบันทึกบัญชีและเปิดเผยข้อมูลให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีและวิธีปฏิบัติของสากล
ข้อ
๑๓ การทำธุรกรรม Credit
Default Swaps ของสาขาธนาคารพาณิชย์ไทยในต่างประเทศ
ให้อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลของประเทศที่สาขานั้นตั้งอยู่
และธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๘ ถึง ๑๒
ของประกาศฉบับนี้ด้วย
ข้อ
๑๔[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
มยุรี/พิมพ์
๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
ทรงยศ/ศุภสรณ์/ตรวจ
๒๔
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๖/พ๑๒๒ง/๗๑/๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ |
425880 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝาก
หรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร
หรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๙ ทวิและมาตรา ๑๓ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ทั้งในฐานะที่เป็นผู้รับฝากเงินหรือผู้กู้ยืม และผู้ฝากเงินหรือผู้ให้กู้ยืม
โดยมีข้อกำหนดดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร
ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๔๖
ข้อ
๒
การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
หมายถึง
การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มูลค่าตอบแทนขึ้นกับปัจจัยอ้างอิงที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าซึ่งไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยปกติหรือ
ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่ให้สิทธิผู้รับฝากหรือผู้กู้ยืมในการชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นหลักทรัพย์ตามที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
หรือให้สิทธิที่จะขยายระยะเวลาหรือไถ่ถอนก่อนครบกำหนดตามที่ได้ตกลงไว้ในสัญญา
ข้อ
๓
การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ในฐานะที่เป็นผู้รับฝากเงินหรือผู้กู้ยืม ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกระทำได้ภายในขอบเขตดังต่อไปนี้
(๑)
กรณีธุรกรรมที่ทำกับผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารที่แนบประกาศนี้
ยกเว้นสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศให้ทำเป็นสกุลเงินบาทเท่านั้น
(๒)
กรณีธุรกรรมที่ทำกับสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
ให้ทำเป็นสกุลเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศก็ได้
(๓)
กรณีธุรกรรมที่ทำกับบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
(Non-resident) ให้ทำเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเท่านั้น
ข้อ
๔ การทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ตามข้อ ๓ (๑)
และ (๒) ต้องมีจำนวนเงินขั้นต่ำ ๑๐
ล้านบาทหรือเทียบเท่า อายุไม่ต่ำกว่า ๓ เดือน
และจะต้องมีการชำระคืนเงินต้นเต็มจำนวนให้แก่ผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้
เว้นแต่กรณีการชำระคืนเป็นหลักทรัพย์ตามที่ได้กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า อย่างไรก็ดี
ในกรณีที่ลูกค้าต้องการถอนเงินฝากหรือเรียกคืนเงินให้กู้ยืมก่อนครบกำหนดสัญญา
ธนาคารพาณิชย์อาจคิดค่าปรับจากผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้ได้ตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา
โดยธนาคารพาณิชย์ต้องมีการชี้แจงให้ผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้รับทราบเงื่อนไขดังกล่าวอย่างชัดเจนก่อนตกลงทำสัญญา
ข้อ
๕
ในการทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงนั้น
ตัวแปรที่สามารถนำมาใช้อ้างอิงสำหรับการคำนวณและจ่ายผลตอบแทน ได้แก่
อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงภายในประเทศ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในต่างประเทศ
ดัชนีราคาหลักทรัพย์ในประเทศ
ราคาเฉลี่ยของกลุ่มหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ดัชนีราคาหลักทรัพย์ต่างประเทศ
ราคาเฉลี่ยของกลุ่มหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือตัวแปรอื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
ข้อ
๖
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
หากมีการชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นหลักทรัพย์ให้กระทำภายในขอบเขตดังนี้
(๑)
กรณีหลักทรัพย์เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศหากทำธุรกรรมกับผู้ลงทุนประเภทสถาบันที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศต้องทำกับคู่สัญญาที่เป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ สกง. (๐๕)
ว.
๓/๒๕๔๖ เรื่อง การขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยมีข้อจำกัดในเรื่องประเภทหลักทรัพย์ วงเงิน และการขายหลักทรัพย์ต่อ
ตามหนังสือฉบับที่กล่าว หรือหนังสืออนุญาตของเจ้าพนักงานการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินเป็นรายกรณี
โดยถือเสมือนหนึ่งเป็นการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
(๒)
กรณีหลักทรัพย์เป็นสกุลเงินบาท
หลักทรัพย์ดังกล่าวจะต้องเป็นตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล
พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหุ้นกู้ที่รัฐบาลค้ำประกัน
และตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับเป็นระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment
Grade) โดยเป็นตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับ
BBB หรือเทียบเท่าขึ้นไปจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินระหว่างประเทศ หรือหลักทรัพย์ประเภทอื่นๆ
ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
ข้อ
๗
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ในฐานะที่เป็นผู้รับฝากเงินหรือผู้กู้ยืม
จะต้องมีการชี้แจงให้ผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้เข้าใจเกี่ยวกับลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนพร้อมทั้งมีหลักฐานแสดงว่าผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้มีความเข้าใจความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
ข้อ
๘ ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมดังกล่าวต้องชี้แจงวิธีการคำนวณและวิธีการจ่ายชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนให้ลูกค้าเข้าใจอย่างชัดเจน
ข้อ
๙
การทำธุรกรรมดังกล่าวหากมีการออกบัตรเงินฝากหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้
จะต้องระบุเงื่อนไขห้ามเปลี่ยนมือ
ยกเว้นภายในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ผู้ออกสามารถควบคุมดูแลการโอนเปลี่ยนมือให้อยู่ภายในกลุ่มลูกค้าประเภทสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารที่แนบประกาศนี้
ธนาคารพาณิชย์อาจไม่กำหนดเงื่อนไขการห้ามเปลี่ยนมือดังกล่าวก็ได้
ข้อ
๑๐
ธนาคารพาณิชย์สามารถทำการป้องกันความเสี่ยงสำหรับธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝงได้ทั้งกับสถาบันการเงินภายในประเทศและภายนอกประเทศ
แต่จะทำการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเงินตราต่างประเทศซึ่งมีผลทำให้เกิดการปล่อยสภาพคล่องที่เป็นเงินบาทให้แก่บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศไม่ได้
ข้อ
๑๑ ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ต้องมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมสอดคล้องกับการทำธุรกรรม
ดังนี้
(๑)
คณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง (ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ)
จะต้องเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
โดยคณะกรรมการย่อยและผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าวจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในธุรกรรมดังกล่าวและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี
และจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลการทำธุรกรรมดังกล่าวตามนโยบายที่ได้รับความเห็นชอบอย่างใกล้ชิด
และให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการทำธุรกรรมดังกล่าว
(๒)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องกำหนดนโยบาย
กลยุทธ์ ขั้นตอนการปฏิบัติในการประกอบธุรกรรม การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
และการควบคุมภายในไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยนโยบายดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง (ในกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ)
หรือคณะกรรมการย่อยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าว
(๓)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยงที่เป็นอิสระ
(Risk Management Unit) เพื่อทำหน้าที่ประเมิน ติดตาม ควบคุม
ตรวจสอบดูแลการบริหารความเสี่ยงโดยรวมของธนาคารพาณิชย์นั้น
และมีการรายงานโดยตรงต่อคณะกรรมการธนาคารผ่านทางคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศหน่วยงานบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
โดยจะต้องมีการรายงานต่อหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่อย่างสม่ำเสมอ
(๔)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีบุคลากรเพียงพอที่จะรองรับการประกอบธุรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร
โดยบุคลากรดังกล่าวจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถและประสบการณ์เพียงพอ
(๕)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามาตรการในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องที่มีประสิทธิภาพ
สามารถสะท้อนและรองรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกรรม ทั้งนี้
ให้เน้นประสิทธิภาพของระบบบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest
rate Risk) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
(Foreign Exchange Risk) ความเสี่ยงด้านราคาตราสารทุน (Equity
Price Risk) ความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดจากการประกอบธุรกรรม
Options เช่น
Delta Vega Gamma Theta และ Rho ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity
Risk) และความเสี่ยงด้านเครดิต
(Credit Risk) ซึ่งรวมถึง
Pre-settlement Risk และ
Settlement Risk โดยธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบที่ใช้ในการวัดความเสี่ยงที่สามารถสะท้อนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและความเสี่ยงแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
ถูกต้อง และแม่นยำ
และมีการนำระบบบริหารความเสี่ยงดังกล่าวไปใช้ในการควบคุมความเสี่ยงในทางปฏิบัติ
มีการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่ใช้ในการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Mark
to Market) ที่เหมาะสม ชัดเจน
และสะท้อนมูลค่าตลาดที่แท้จริง และมีการประเมินมูลค่ายุติธรรมของยอดคงค้าง ณ
ทุกสิ้นวันทำการมีการกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Limits)
ให้มีความเหมาะสมกับระบบการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
ลักษณะการดำเนินงาน และฐานะเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น มีการทดสอบประสิทธิภาพ
ความถูกต้องและแม่นยำของระบบบริหารความเสี่ยงภายในระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น
มีการทดสอบ Back Test และมีการทดสอบ
Stress Test ของแบบจำลอง
Value at Risk อย่างสม่ำเสมอ
(๖)
ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีระบบควบคุมภายในที่สามารถรองรับการทำธุรกรรมดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพียงพอ เหมาะสม มีระเบียบ
และวิธีปฏิบัติในการควบคุมภายในที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร
มีการกำหนดโครงสร้างการควบคุมและมีการแบ่งแยกหน้าที่อย่างเหมาะสม
มีการตรวจสอบระบบควบคุมภายใน และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอ
รวมทั้งมีการจัดทำระบบข้อมูลเพื่อรายงานความเสี่ยงและการจัดทำรายงานเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ
หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่ (ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ)
โดยหน่วยงานดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
ข้อ
๑๒
ธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
โดยทั่วไปจะประกอบด้วย ๒ ส่วนหลัก คือ ส่วนที่เป็นเงินรับฝากหรือเงินกู้ยืม
และส่วนที่เป็นอนุพันธ์ทางการเงิน ให้ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมดังกล่าวต้องประเมินมูลค่ายุติธรรมส่วนที่เป็นอนุพันธ์ทางการเงินและธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง[๑]
(Hedging Instruments) (ถ้ามี)
ทุกสิ้นเดือนและนำผลขาดทุนสิทธิจากการประเมินมูลค่าดังกล่าวมาทดลองหักออกจากตัวเลขเงินกองทุนของเดือนที่รายงานล่าสุด
หากปรากฏว่ามีผลทำให้เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ต่ำกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงตามกฎหมาย
ให้ธนาคารพาณิชย์ระงับการทำธุรกรรมดังกล่าวเพิ่มเติม และเร่งดำเนินการแก้ไขต่อไป
ข้อ
๑๓
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดเก็บหลักฐานในการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เอง
เพื่อให้ผู้ตรวจการธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
ข้อ
๑๔
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
จะต้องดูแลให้สัญญามีผลบังคับตามกฎหมาย และจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกรรมนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
ข้อ
๑๕
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์การเงินแฝง
ต้องบันทึกบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีและวิธีปฏิบัติของสากล
ข้อ
๑๖ ให้ธนาคารพาณิชย์รายงานธุรกรรมดังกล่าวเป็นเงินฝากในแบบรายงานทุกรายงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ไม่ว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวจะเป็นในรูปแบบของการรับฝากเงินหรือการกู้ยืมเงิน
ข้อ
๑๗
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
หากมีการชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นหลักทรัพย์
จะต้องรายงานการประกอบธุรกรรมการซื้อสิทธิที่จะขายหลักทรัพย์ที่แฝงอยู่กับการรับเงินฝากหรือการกู้ยืมเงิน
ให้ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย (Thai Bond Dealing Center (TBDC)) โดยมีรายละเอียดตามที่ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้กำหนด
ข้อ
๑๘
ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมเงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
หากมีการชำระคืนเงินต้นหรือผลตอบแทนเป็นหลักทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศกับผู้ลงทุนประเภทสถาบันที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
จะต้องจัดทำรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมการซื้อสิทธิที่จะขายหลักทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศตามแบบรายงานการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศที่กำหนดในหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ สกง. (๐๕)
ว.
๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ ลงวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๔๖ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยถือเสมือนหนึ่งเป็นการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
ข้อ
๑๙ การทำธุรกรรมดังกล่าวของสาขาธนาคารพาณิชย์ไทยในต่างประเทศให้อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลของประเทศที่สาขานั้นตั้งอยู่
และธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจะต้องมีระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพตามที่ระบุไว้ในข้อ
๑๑ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๒ ถึง ๑๖ ของประกาศฉบับนี้ด้วย
ข้อ
๒๐[๒] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
หม่อมราชวงศ์
ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
เอกสารแนบประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม
เงินฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปรหรือมีอนุพันธ์ทางการเงินแฝง
ลงวันที่
๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๖
รายชื่อผู้ลงทุนประเภทสถาบัน
๑. ธนาคารพาณิชย์
๒. บริษัทเงินทุน
๓. บริษัทหลักทรัพย์
๔. บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
๕. บริษัทประกันวินาศภัย
๖. บริษัทประกันชีวิต
๗. นิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
๘. ธนาคารแห่งประเทศไทย
๙. ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
๑๐. กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
๑๑. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
๑๒. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
๑๓. กองทุนรวม
๑๔. กองทุนส่วนบุคคล
๑๕.
นิติบุคคลที่มีสินทรัพย์รวมตามงบการเงินปีล่าสุดที่ผู้สอบบัญชีรับรองแล้วตั้งแต่
๕๐๐ ล้านบาทขึ้นไป
๑๖. คู่สัญญาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
หมายเหตุ
นักลงทุนประเภทสถาบันที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานอื่นของทางการ
จะต้องได้รับอนุญาตให้ทำธุรกรรมที่กล่าวจากหน่วยงานนั้นด้วย
มยุรี/พิมพ์
๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
สุนันทา/อรดา/ตรวจ
๒๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
A+B
[๑] ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดเก็บเอกสารหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่าเป็นธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง
(Hedging)
[๒] รก.๒๕๔๖/พ๑๒๒ง/๖๒/๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ |
425878 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือ
ในการบริหารความเสี่ยงหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้
๓ ประเภท ได้แก่ (๑)
ธุรกรรม Forward
Bond (๒)
ธุรกรรม Bond
Options และ (๓) ธุรกรรม Equity Index
Linked Swap โดยมีข้อกำหนด
ดังต่อไปนี้
ข้อ
๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้
ลงวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๖
ข้อ
๒ ในประกาศนี้
ธุรกรรม
Forward Bond หมายถึง
การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้โดยมีกำหนดระยะเวลาในการส่งมอบหลักทรัพย์และชำระราคาภายหลังวันที่ตกลงราคาซื้อขายกันเกิน
๒ วันทำการ แต่ไม่เกิน ๑ ปี
ธุรกรรม
Bond Options หมายถึง
การซื้อหรือขายสิทธิที่จะซื้อ (Call) หรือสิทธิที่จะขาย (Put)
หลักทรัพย์อ้างอิงที่เป็นตราสารหนี้ตัวใดตัวหนึ่ง
หรือกลุ่มตราสารหนี้ (Port) ในราคาที่ตกลงกันไว้ตามสัญญา ณ
วันใดวันหนึ่งภายในช่วงระยะเวลาของสัญญา (American Options) หรือ ณ วันครบกำหนดสัญญา (European
Options) โดยให้ทำธุรกรรมเฉพาะที่เป็น
Options แบบพื้นฐาน
(Plain Vanilla Options) ที่มีวันครบกำหนดไม่เกิน ๑ ปี
ธุรกรรม
Equity Index Linked Swap หมายถึง
ข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาสองฝ่ายที่จะแลกเปลี่ยนอัตราผลตอบแทนที่ได้จากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในลักษณะคงที่
(Fixed Rate) หรือในลักษณะลอยตัว
(Floating Rate) กับอัตราผลตอบแทนที่อิงกับดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์
(Equity Index)
ข้อ
๓ การทำธุรกรรม Forward
Bond หรือ Bond
Options หรือ Equity
Index Linked Swap ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกระทำได้ภายในขอบเขตดังต่อไปนี้
(๓.๑) กรณีธุรกรรมที่ทำกับคู่ค้าประเภทผู้ลงทุนสถาบันตามที่ระบุไว้ในเอกสารที่แนบประกาศนี้
ยกเว้นสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
จะต้องตกลงจำนวนเงินตามสัญญาและชำระราคาในรูปเงินสกุลบาทเท่านั้น
(๓.๒) กรณีธุรกรรมที่ทำกับสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
ให้ตกลงจำนวนเงินตามสัญญา และชำระราคาเป็นสกุลเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศก็ได้
(๓.๓) กรณีธุรกรรมที่ทำกับบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
(Non-resident) จะต้องตกลงจำนวนเงินตามสัญญา
และชำระราคาเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเท่านั้น
ข้อ
๔ การทำธุรกรรม Forward
Bond หรือ Bond
Options ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารหนี้สกุลเงินบาท
ให้ธนาคารพาณิชย์ทำได้กับคู่สัญญาที่เป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุในเอกสารที่แนบประกาศนี้เท่านั้น
ทั้งนี้
หลักทรัพย์อ้างอิงที่เป็นตราสารหนี้สกุลเงินบาทต้องเป็น
ตั๋วเงินคลังพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ
หุ้นกู้ที่รัฐบาลค้ำประกัน
หรือตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับเป็นระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment
grade) โดยเป็นตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับ
BBB หรือเทียบเท่าขึ้นไป
จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
และตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
หรือหลักทรัพย์ประเภทประเภทอื่นๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม เท่านั้น
ข้อ
๕ การทำธุรกรรม Forward
Bond หรือ Bond
Options ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศ
ให้ธนาคารพาณิชย์ทำได้เฉพาะกับคู่สัญญาที่เป็นนิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
หรือกับคู่สัญญาที่เป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกง.
(๐๕)
ว.๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ ลงวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๔๖ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม ยกเว้น บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
ทั้งนี้
ในกรณีที่คู่สัญญาเป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม Forward Bond หรือ Bond Options ได้เฉพาะกรณีต่อไปนี้
(๕.๑) การทำธุรกรรม Forward
Bond ในฐานะผู้ขาย
หรือการทำธุรกรรม Bond Option ในฐานะผู้ซื้อสิทธิที่จะขายหรือผู้ขายสิทธิที่จะซื้อ
โดยให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับ ประเภทหลักทรัพย์ วงเงิน
ข้อกำหนดในการขายหลักทรัพย์ต่อ ตามหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกง.
(๐๕)
ว.๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ ลงวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๔๖ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
หรือหนังสืออนุญาตของเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินเป็นรายกรณี
โดยถือเสมือนหนึ่งเป็นการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
(๕.๒) การทำธุรกรรมเพื่อให้ผู้ลงทุนดังกล่าวใช้ปิดความเสี่ยง
(Unwind position) จากการทำธุรกรรมตามข้อ
(๕.๑) หรือป้องกันความเสี่ยงจากการถือครองหลักทรัพย์ที่เป็นตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศ
ข้อ
๖ ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม
Equity Index Linked Swap ได้
เฉพาะในกรณี ดังต่อไปนี้
(๖.๑) เป็นการแลกเปลี่ยนอัตราผลตอบแทนที่ได้จากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในประเทศกับอัตราผลตอบแทนที่อิงกับดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ไทย
ซึ่งได้แก่ SET Index SET ๕๐
และดัชนีของกลุ่มของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย (Basket
Index) โดยมีวันครบกำหนดไม่เกิน
๓ ปี กับคู่สัญญาที่เป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามที่ระบุในเอกสารที่แนบประกาศนี้
(๖.๒) เป็นการแลกเปลี่ยนอัตราผลตอบแทนที่ได้จากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในต่างประเทศกับอัตราผลตอบแทนที่อิงกับดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ไทย
ซึ่งได้แก่ แก่ SET Index SET ๕๐
และดัชนีของกลุ่มของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย
(Basket Index) โดยมีวันครบกำหนดไม่เกิน
๓ ปี
กับคู่สัญญาที่เป็นสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
ผู้ลงทุนประเภทสถาบันตามหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ ธปท.
สกง.
(๐๕)
ว.๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุน สถาบันในประเทศ ลงวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๔๖ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
(๖.๓) เป็นการแลกเปลี่ยนอัตราผลตอบแทนที่ได้จากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในต่างประเทศกับอัตราผลตอบแทนที่อิงกับดัชนีราคาหลักทรัพย์ในต่างประเทศกับคู่ค้าที่เป็นสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
หรือเป็นนิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident)
ข้อ
๗ การทำธุรกรรม Forward
Bond หรือ Bond
Options หรือ Equity
Index Linked Swap ในกรณีใดๆ
เว้นแต่การทำธุรกรรม Forward Bond และการซื้อ Bond
Options เพื่อป้องกันความเสี่ยง
(Hedging) การซื้อ
Bond Options เพื่อการค้าและการปิดความเสี่ยง
(Unwind Position) แบบ
Back to Back และการขายสิทธิที่จะซื้อ
(Call) ตราสารหนี้ที่ธนาคารพาณิชย์มีกรรมสิทธิ์ในตราสารนั้น
ให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(๗.๑) คณะกรรมการธนาคาร
หรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง (ในกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ)
จะต้องเข้าใจลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
โดยคณะกรรมการย่อยและผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าว
จะต้องมีความรู้
ความเข้าใจในธุรกรรมที่กล่าวและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี
และจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลการทำธุรกรรมดังกล่าวตามนโยบายที่ได้รับความเห็นชอบอย่างใกล้ชิด
และให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการทำธุรกรรมดังกล่าว
(๗.๒) ธนาคารพาณิชย์จะต้องกำหนดนโยบาย กลยุทธ์
ขั้นตอนการปฏิบัติในการประกอบธุรกรรม การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
และการควบคุมภายในไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยนโยบายดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารหรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง
(ในกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ)
หรือคณะกรรมการย่อยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลในการประกอบธุรกรรมดังกล่าว
(๗.๓) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีหน่วยงานบริหารความเสี่ยงที่เป็นอิสระ
(Risk management unit) เพื่อทำหน้าที่ประเมิน ติดตาม ควบคุม
ตรวจสอบดูแลการบริหารความเสี่ยงโดยรวมของธนาคารพาณิชย์นั้น
และมีการรายงานโดยตรงต่อคณะกรรมการธนาคารผ่านทางคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับกรณีสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศหน่วยงานบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
โดยจะต้องมีการรายงานต่อหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่อย่างสม่ำเสมอ
(๗.๔) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมีบุคลากรเพียงพอเพื่อรองรับการประกอบธุรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร
โดยบุคลากรดังกล่าวจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถและประสบการณ์เพียงพอ
(๗.๕) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีมาตรการในการควบคุมและบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องที่มีประสิทธิภาพ
สามารถสะท้อนและรองรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกรรม ทั้งนี้
ให้เน้นประสิทธิภาพของระบบบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest
Rate Risk) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
(Foreign Exchange Risk) ความเสี่ยงด้านราคาตราสารทุน (Equity
Price Risk) ความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดจากการประกอบธุรกรรม
Options เช่น
Delta Vega Gamma Theta และ Rho ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity
Risk) และความเสี่ยงด้านเครดิต
(Credit Risk) ซึ่งรวมถึง
Pre-settlement Risk และ
Settlement Risk โดยธนาคารพาณิชย์จะต้องมีระบบที่ใช้ในการวัดความเสี่ยงที่สามารถสะท้อนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องและความเสี่ยงแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
ถูกต้อง แม่นยำ
และมีการนำระบบบริหารความเสี่ยงดังกล่าวไปใช้ในการควบคุมความเสี่ยงในทางปฏิบัติ
มีการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่ใช้ในการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Mark
to Market) ที่เหมาะสม ชัดเจน
และสะท้อนมูลค่าตลาดที่แท้จริง และมีการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Mark
to Market) ของยอดคงค้าง ณ
ทุกสิ้นวันทำการมีการกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Limits)
ให้มีความเหมาะสมกับระบบการบริหารความเสี่ยงโดยรวม
ลักษณะการดำเนินงานและฐานะเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น มีการทดสอบประสิทธิภาพ
ความถูกต้องและแม่นยำของระบบบริหารความเสี่ยงภายในระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น
มีการทดสอบ Back Test และมีการทดสอบ
Stress Test ของแบบจำลอง
Value at Risk อย่างสม่ำเสมอ
(๗.๖) ธนาคารพาณิชย์จะต้องมั่นใจว่ามีระบบควบคุมภายในที่สามารถรองรับการทำธุรกรรมดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพียงพอ เหมาะสม มีระเบียบ และวิธีปฏิบัติในการควบคุมภายในที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร
มีการกำหนดโครงสร้างการควบคุมและมีการแบ่งแยกหน้าที่อย่างเหมาะสม
มีการตรวจสอบระบบควบคุมภายใน และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอ
รวมทั้งมีการจัดทำระบบข้อมูลเพื่อรายงานความเสี่ยงและการจัดทำรายงานเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ
หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานใหญ่ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศโดยหน่วยงานดังกล่าวอาจตั้งอยู่ในสำนักงานภูมิภาคก็ได้
(๗.๗) ให้ธนาคารพาณิชย์ทดลองนำผลขาดทุนสุทธิที่เกิดขึ้นจากการประเมินมูลค่ายุติธรรม
(Mark to Market) Portfolio ของธุรกรรมในข้อ ๒
และธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง[๑]
(Hedging Instruments) ของ
Portfolio ธุรกรรมดังกล่าว
ณ ทุกสิ้นเดือน ไปหักออกจากตัวเลขเงินกองทุนของเดือนที่รายงานล่าสุด
หากปรากฏว่าเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ต่ำกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องดำรงตามกฎหมาย
ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรมใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความสูญเสียเพิ่มขึ้น
ยกเว้นเป็นการทำธุรกรรมเพื่อปิดความเสี่ยง (Unwind Position) ทั้งนี้
หน่วยงานบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ (Risk Management Unit)
จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบให้มีการตรวจสอบดูแลอย่างใกล้ชิดว่ามีการปฏิบัติตามระดับผลขาดทุนที่ยอมรับได้
(Stop Loss Limit) ที่ได้กำหนดไว้
ข้อ
๘
ธนาคารพาณิชย์ที่จะประกอบธุรกรรมดังกล่าวข้างต้น
จะต้องวิเคราะห์ความเสี่ยงทางด้านเครดิตของคู่สัญญาตามพิธีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อสำหรับการประกอบธุรกรรมดังกล่าวข้างต้น
โดยถี่ถ้วนและระมัดระวัง
ข้อ
๙
ธนาคารพาณิชย์จะต้องบันทึกบัญชีและเปิดเผยข้อมูลการทำธุรกรรมดังกล่าวข้างต้นให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีหรือวิธีปฏิบัติของสากล
ข้อ
๑๐
ธนาคารพาณิชย์จะต้องรายงานการประกอบธุรกรรม Forward Bond และ Bond Options ให้ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย (Thai
Bond Dealing Center (TBDC)) โดยมีรายละเอียดตามที่ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยกำหนด
ข้อ
๑๑
ธนาคารพาณิชย์ที่จะประกอบธุรกรรมที่กล่าวข้างต้น
จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกรรมนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ข้อ
๑๒
ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดเก็บหลักฐานในการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ที่ธนาคารพาณิชย์
เพื่อให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบ
หรือจัดส่งสำเนาให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการร้องขอ
ข้อ
๑๓
ธนาคารพาณิชย์ผู้ทำธุรกรรมขายหลักทรัพย์ล่วงหน้า หรือขายสิทธิที่จะซื้อหลักทรัพย์
หรือซื้อสิทธิที่จะขายหลักทรัพย์
ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศกับผู้ลงทุนประเภทสถาบันที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศจะต้องจัดทำรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมขายหลักทรัพย์ล่วงหน้า
หรือขายสิทธิที่จะซื้อหลักทรัพย์ หรือซื้อสิทธิที่จะขายหลักทรัพย์
ตามแบบรายงานการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศที่กำหนดในหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ สกง. (๐๕)
ว.๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ ลงวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๔๖ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยถือเสมือนเป็นการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
ข้อ
๑๔[๒] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
เอกสารแนบประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์
ทำธุรกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้
ลงวันที่
๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๖
รายชื่อผู้ลงทุนประเภทสถาบัน
๑. ธนาคารพาณิชย์
๒. บริษัทเงินทุน
๓. บริษัทหลักทรัพย์
๔. บริษัทประกันวินาศภัย
๕. บริษัทประกันชีวิต
๖. ธนาคารแห่งประเทศไทย
๗. นิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
๘. ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
๙. กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
๑๐. กองทุนบำเหน็จบำนาญ
๑๑. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
๑๒. กองทุนรวม
๑๓. กองทุนส่วนบุคคล
๑๔. นิติบุคคลที่มีสินทรัพย์รวมตามงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับรองแล้วตั้งแต่
๕๐๐ ล้านบาทขึ้นไป
๑๕. คู่สัญญาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
หมายเหตุ นักลงทุนประเภทสถาบันที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานอื่นของทางการ
จะต้องได้รับอนุญาตให้ทำธุรกรรมที่กล่าวจากหน่วยงานนั้นด้วย
มยุรี/พิมพ์
๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
ทรงยศ/ศุภสรณ์/ตรวจ
๒๔
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
A+B
[๑] ธนาคารพาณิชย์จะต้องจัดเก็บเอกสารหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่าเป็นธุรกรรมที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยง
(Hedging)
[๒] รก.๒๕๔๖/พ๑๒๒ง/๕๓/๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ |
425876 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรม Credit Linked Notes หรือ Credit Linked Deposits
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรม
Credit Linked Notes หรือ
Credit Linked Deposits
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม Credit
Linked Notes (CLN) หรือ
Credit Linked Deposits (CLD) โดยมีข้อกำหนดดังต่อไปนี้
ข้อ
๑
ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกรรม Credit Linked Notes ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๕
ข้อ
๒ ธุรกรรม CLN
หรือ CLD
หมายถึง
ธุรกรรมที่ผู้ให้กู้ยืมเงิน หรือผู้ซื้อตราสาร หรือผู้ฝากเงิน (ผู้ซื้อ CLN หรือผู้ฝาก CLD)
ทำสัญญากับ
ผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ออกตราสาร หรือผู้รับฝากเงิน (ผู้ออก CLN หรือ CLD) แล้วแต่กรณี
ว่าตกลงจะรับโอนความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ของตราสารแสดงสิทธิในหนี้
หรือสินทรัพย์อ้างอิง (Reference Asset) ที่ออกโดยบุคคลอื่นแทน ผู้กู้ยืมเงิน
หรือผู้ออกตราสาร หรือผู้รับฝากเงิน โดยการนี้ผู้กู้ยืมเงิน หรือผู้ออกตราสาร
หรือผู้รับฝากเงิน
ตกลงที่จะให้ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเป็นอัตราอ้างอิงกับความเสี่ยงด้านเครดิตของตราสารแสดงสิทธิในหนี้หรือสินทรัพย์อ้างอิงนั้น
ข้อ
๓ ธนาคารพาณิชย์ที่ประสงค์จะออก CLN
หรือ CLD
เพื่อระดมเงินโดยกำหนดการชำระคืนให้อ้างอิงกับความสามารถในการชำระคืนของสินทรัพย์อ้างอิงใด
จะต้องมีภาระความเสี่ยงด้านเครดิตในสินทรัพย์อ้างอิงนั้น
ข้อ
๔ ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม CLN
หรือ CLD
ได้เฉพาะกับคู่สัญญาและสกุลเงินดังต่อไปนี้
๔.๑ กรณีที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ซื้อ CLN
หรือผู้ฝาก CLD
ไม่ว่าสินทรัพย์อ้างอิงจะเป็นสกุลเงินบาทหรือสกุลเงินตราต่างประเทศ
๔.๑.๑ คู่สัญญา
ให้ทำธุรกรรมกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศบริษัทเงินทุนในประเทศ
บริษัทหลักทรัพย์ในประเทศ สถาบันการเงินซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
นิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicles) ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำธุรกรรม Credit
Derivatives ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ทั้งในและนอกประเทศ
หรือคู่สัญญาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
๔.๑.๒ สกุลเงิน ให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม CLN
หรือ CLD
โดยตกลงจำนวนเงินตามสัญญาและชำระราคาเป็นสกุลเงินบาท
เว้นแต่การทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
จะทำธุรกรรมโดยตกลงจำนวนเงินตามสัญญาและชำระราคาเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศก็ได้
ส่วนการทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกประเทศธนาคารพาณิชย์จะต้องทำธุรกรรมโดยตกลงจำนวนเงินตามสัญญาและชำระราคาเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเท่านั้น
๔.๒ กรณีที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก CLN
หรือ
CLD หรือผู้ที่ขายต่อ CLN
หรือ
CLD ไม่ว่าสินทรัพย์อ้างอิงจะเป็นสกุลเงินบาทหรือสกุลเงินตราต่างประเทศ
๔.๒.๑ คู่สัญญา
ให้ทำธุรกรรมกับคู่สัญญาที่มีรายชื่ออยู่ในรายชื่อที่แนบหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทยที่
สกง. (๐๕)
ว.
๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖
หรือที่แก้ไขเพิ่มเติมนิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศหรือคู่สัญญาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเพิ่มเติม
ทั้งนี้
ไม่รวมถึงบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ซึ่งไม่สามารถทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรับโอนความเสี่ยงด้านเครดิตได้
๔.๒.๒
สกุลเงิน
ให้ทำธุรกรรมโดยตกลงจำนวนเงินตามสัญญาและชำระราคาเป็นสกุลเงินบาทเท่านั้น
ยกเว้นการทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
หรือนิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ จะทำเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศก็ได้
๔.๒.๓ อายุของ CLN
หรือ CLD
จะต้องไม่ต่ำกว่า ๓
เดือน
ข้อ
๕ กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกรรม CLN
หรือ
CLD ในฐานะผู้ซื้อ CLN
หรือผู้ฝาก
CLD กับบริษัทหลักทรัพย์
ห้ามมิให้ใช้ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (บัญชีลูกหนี้มาร์จิน)
เป็นสินทรัพย์อ้างอิงในการทำธุรกรรมดังกล่าว
ข้อ
๖ ธนาคารพาณิชย์ซึ่งทำธุรกรรม CLN
หรือ
CLD ในฐานะผู้ออก CLN
หรือ
CLD หรือผู้ที่ขายต่อ CLN
หรือ
CLD ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศกับผู้ลงทุนประเภทสถาบันที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ
ให้ถือปฏิบัติตามข้อกำหนดในหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สกง.
(๐๕)
ว.
๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ ลงวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๔๖ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
หรือหนังสืออนุญาตของเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินเป็นรายกรณีโดยถือเสมือนหนึ่งเป็นการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
ข้อ
๗ กรณีที่ CLN
หรือ
CLD และสินทรัพย์อ้างอิงเป็นสกุลเงินต่างกันธนาคารพาณิชย์ผู้ออก
CLN หรือ
CLD ต้องปฏิบัติตามแนวทางดังนี้
๗.๑ ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
โดยจะต้องถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการดำรงเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงของการทำสัญญาอัตราแลกเปลี่ยน
และการกำหนดอัตราส่วนจำนวนเงินที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน
และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุน สำหรับคู่สัญญาดังกล่าวด้วย
หรือ
๗.๒
ทำการประเมินมูลค่าของการรับประกันความเสี่ยงตามสัญญา CLN
หรือ
CLD และสินทรัพย์อ้างอิงที่อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศเป็นเงินสกุลบาท
ณ ทุกสิ้นวันโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน
หากมูลค่าของการรับประกันความเสี่ยงตามสัญญา CLN หรือ CLD เท่ากับหรือสูงกว่ามูลค่าสินทรัพย์อ้างอิง
ให้ถือว่าสินทรัพย์อ้างอิงดังกล่าวได้รับการป้องกันความเสี่ยงอย่างสมบูรณ์
แต่กรณีที่มูลค่าของการรับประกันความเสี่ยงตามสัญญา CLN
หรือ
CLD ต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์อ้างอิง
ผู้ออก CLN หรือ
CLD จะต้องดำรงเงินกองทุนสำหรับส่วนต่างดังกล่าวโดยใช้น้ำหนักความเสี่ยงเดิมของผู้ออกสินทรัพย์อ้างอิง
และต้องนับส่วนต่างดังกล่าวในการคำนวณอัตราส่วนที่ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ ลงทุน
และก่อภาระผูกพันเพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดกับเงินกองทุนด้วย
ข้อ
๘ กรณี CLN
หรือ
CLD และสินทรัพย์อ้างอิงเป็นสกุลเงินต่างกัน
ไม่ให้ธนาคารพาณิชย์นำสินทรัพย์ซึ่งออกโดยบุคคลหนึ่งบุคคลใด
มาใช้อ้างอิงสำหรับการออก CLN หรือ CLD เกินร้อยละ ๒๕ ของเงินกองทุนชั้นที่ ๑
ยกเว้นกรณีที่ธนาคารพาณิชย์นั้นไม่ต้องรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงที่กล่าวซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายอันเกิดจากภาระในการปฏิบัติตามเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทั้งหมด
หรือกรณีที่สินทรัพย์อ้างอิงเป็นหลักทรัพย์รัฐบาลไทย
ข้อ
๙
การอนุญาตข้างต้นไม่รวมถึงการทำธุรกรรม CLN หรือ CLD ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารที่นับเข้าเป็นเงินกองทุนของสถาบันการเงินผู้ซื้อ
CLN หรือ
ผู้ฝาก CLD เอง
และการทำธุรกรรม CLN หรือ
CLD ที่อ้างอิงกับกลุ่มสินทรัพย์อ้างอิง
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นการเฉพาะกรณี
ข้อ
๑๐ ธนาคารพาณิชย์ผู้ซื้อ CLN
หรือ ผู้ฝาก
CLD นอกจากจะต้องวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออก
CLN หรือ
CLD ตามพิธีการพิจารณาสินเชื่อโดยปกติแล้ว
ยังต้องมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิงและผู้ออกสินทรัพย์อ้างอิงนั้นและปฏิบัติตามพิธีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อโดยถี่ถ้วนพร้อมทั้งมีการจัดเก็บเอกสารหลักฐาน
การสอบทานและดูแลเสมือนหนึ่งเป็นการให้สินเชื่อแก่ผู้ออกสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง
ข้อ
๑๑ ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรม CLN
หรือ
CLD จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในลักษณะธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี
ต้องมีการกำหนดนโยบายกลยุทธ์และขั้นตอนปฏิบัติเกี่ยวกับการทำธุรกรรม CLN
หรือ
CLD และการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องไว้อย่างชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร
และจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารหรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง
(ในกรณีของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ)
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารหรือคณะผู้บริหารที่กล่าวก่อนทุกครั้ง
ข้อ
๑๒ ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรม CLN
หรือ
CLD จะต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในจำนวนที่เพียงพอ
มีระบบการควบคุมภายใน และระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งพร้อมที่จะรองรับการทำธุรกรรม CLN หรือ CLD รวมทั้งจะต้องมีการรายงานข้อมูลต่อผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการธนาคารหรือคณะผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ
ข้อ
๑๓ ธนาคารพาณิชย์ที่จะทำธุรกรรม CLN
หรือ
CLD ต้องดูแลให้สัญญามีผลบังคับตามกฎหมาย
ข้อ
๑๔ ธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรม CLN
หรือ
CLD จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกรรมนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
ข้อ
๑๕
ธนาคารพาณิชย์จะต้องบันทึกบัญชีและเปิดเผยข้อมูลการทำธุรกรรม CLN
หรือ
CLD ให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีหรือวิธีปฏิบัติของสากล
ข้อ
๑๖ ธนาคารพาณิชย์ซึ่งทำธุรกรรม CLN
หรือ
CLD ในฐานะผู้ออก CLN
หรือ
CLD หรือผู้ที่ขายต่อ CLN
หรือ
CLD ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศกับผู้ลงทุนประเภทสถาบันที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศจะต้องจัดทำรายงานข้อมูลการทำธุรกรรม
CLN หรือ
CLD ตามแบบรายงานการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศที่กำหนดในหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ สกง. (๐๕)
ว.
๓/๒๕๔๖ เรื่อง
การขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ ลงวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๔๖ หรือที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยถือเสมือนหนึ่งเป็นการขายหลักทรัพย์เงินตราต่างประเทศต่อให้แก่ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
ข้อ
๑๗
การทำธุรกรรมดังกล่าวของสาขาธนาคารพาณิชย์ไทยในต่างประเทศให้อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลของประเทศที่สาขานั้นตั้งอยู่
และธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๑๐ ถึง ข้อ ๑๕
ของประกาศฉบับนี้ด้วย
ข้อ
๑๘[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
มยุรี/พิมพ์
๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
สุมลรัตน์/พัชรินทร์/ตรวจ
๒๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๖/พ๑๒๒ง/๔๖/๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ |
419368 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตสำหรับผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต (ฉบับที่ ๒)
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ
บัตรเครดิตสำหรับผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
(ฉบับที่ ๒)
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘
ลงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ กำหนดได้การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
เป็นกิจการที่ต้องขออนุญาต
รวมทั้งกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วย นั้น
อาศัยอำนาจตามในข้อ ๘
แห่งประกาศกระทรวงการคลังฉบับดังกล่าวธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๕
ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตสำหรับผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ลงวันที่
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๕
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะต้องจัดทำข้อมูลตามรูปแบบชุดข้อมูล (Data
Set) ตามรายชื่อชุดข้อมูลและคำอธิบายการจัดทำข้อมูลตามแบบที่กำหนดไว้ท้ายประกาศตั้งแต่งวดข้อมูลเดือนธันวาคม
๒๕๔๖ เป็นต้นไป
โดยส่งข้อมูลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตามวิธีการและหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยบริการด้านการรับส่งข้อมูลด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับระบบบริหารข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๖
ทั้งนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะถือว่าได้รับข้อมูลตามชุดข้อมูล (Data Set) ผ่านระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์
ในวันที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตส่งข้อมูลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย
และผ่านเกณฑ์การตรวจสอบเบื้องต้น (Basic Validation) ของระบบบริหารข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖[๑]
ประกาศ ณ วันที่ ๒๙
กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖
หม่อมราชวงศ์ปรีดียาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
ญาณี/พิมพ์
๑๒ มกราคม ๒๕๔๗
[๑]
รก.๒๕๔๖/พ๑๑๓ง/๔๒/๓๐ กันยายน ๒๕๔๖ |
419364 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการะประกอบธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง
การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการะประกอบธุรกิจ
บัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์
(ฉบับที่ ๒)
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๒ (๘)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.
๒๕๐๕
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗
ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน
๒๕๔๕
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคม ๒๕๔๖ เป็นต้นไป[๑]
ประกาศ
ณ วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ญาณี/พิมพ์
๑๒
มกราคม ๒๕๔๗
[๑]
รก.๒๕๔๖/พ๑๑๓ง/๔๑/๓๐ กันยายน ๒๕๔๖ |
417061 | ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การเป็นกรรมการในบริษัทอื่นของกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์
| ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
เรื่อง การเป็นกรรมการในบริษัทอื่นของกรรมการและ
ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๒๒ (๘)
แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
พ.ศ.
๒๕๐๕
ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกข้อกำหนดเพื่อพิทักษ์รักษาประโยชน์ของประชาชน
ดังนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การเป็นกรรมการในบริษัทจำกัดอื่นของกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๔
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
ผู้บริหารระดับสูง
หมายความว่า ผู้จัดการ รองผู้จัดการอาวุโส รองผู้จัดการหรือผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่าที่กำหนดชื่อเป็นอย่างอื่น หรือบุคคลอื่นซึ่งธนาคารพาณิชย์ทำสัญญาให้มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานของธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนผู้ซึ่งปฏิบัติงานให้แก่บุคคลอื่นนั้นด้วย
บริษัท หมายความว่า บริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ที่จัดตั้งขึ้นทั้งในและต่างประเทศ
บริษัทแม่ หมายความว่า บริษัทที่มีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทอื่น
บริษัทลูก หมายความว่า
(๑) บริษัทที่มีบริษัทอื่นมีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทนั้น
(๒) บริษัทลูกของบริษัทตาม
(๑) ต่อไปทุกทอด
บริษัทร่วม หมายความว่า บริษัทลูกที่มีบริษัทแม่ร่วมกัน
อำนาจควบคุมกิจการ
หมายความว่า
(๑) การที่บุคคลหนึ่งมีหุ้นในอีกบริษัทหนึ่งเกินกว่าร้อยละห้าสิบของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
(๒) การที่บุคคลหนึ่งมีอำนาจควบคุมคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของอีกบริษัทหนึ่ง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือไม่ว่าเพราะเหตุอื่นใด หรือ
(๓) การที่บุคคลหนึ่งมีอำนาจควบคุมการแต่งตั้งหรือถอดถอนผู้มีอำนาจในการจัดการหรือกรรมการตั้งแต่กึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดในอีกบริษัทหนึ่ง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
ในกรณีที่บุคคลหนึ่งมีหุ้นในอีกบริษัทหนึ่งตั้งแต่ร้อยละยี่สิบขึ้นไปของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม และไม่มีผู้ถือหุ้นรายใดหรือกลุ่มใดถือหุ้นมากกว่า ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลที่มีหุ้นดังกล่าวมีอำนาจควบคุมกิจการบริษัทนั้น
กลุ่มธุรกิจ หมายความว่า
(๑) กลุ่มของบริษัทที่ประกอบด้วยบริษัทแม่ บริษัทลูก และบริษัทร่วม
(๒) กลุ่มของบริษัทที่อยู่ภายใต้อำนาจควบคุมกิจการของบุคคลเดียวกัน
ข้อ ๓ กรรมการและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ เป็นประธานกรรมการ กรรมการบริหาร หรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ในบริษัทอื่นได้ไม่เกิน ๓ กลุ่มธุรกิจ
การเป็นประธานกรรมการ กรรมการบริหาร หรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ในบริษัทตามวรรคหนึ่ง หากเป็นในบริษัทที่มิใช่กลุ่มธุรกิจ หรือหากบริษัทอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกับธนาคารพาณิชย์นั้น ให้นับเป็นหนึ่งกลุ่มธุรกิจ
ทั้งนี้ หาก ธปท.
เห็นว่าการเป็นประธานกรรมการ กรรมการบริหาร หรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ในบริษัทตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง มีจำนวนมากเกินไปจนส่งผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ ธปท. อาจจะสั่งการเป็นอย่างอื่นก็ได้
ข้อ ๔ ธนาคารพาณิชย์ใดยังมีกรรมการและผู้บริหารระดับสูงไม่เป็นไปตามข้อ ๓ เมื่อประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องและรายงานผลให้ ธปท. ทราบภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ หากยังดำเนินการแก้ไขไม่เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนด ธปท. อาจสั่งการหรือกำหนดเงื่อนไขใดๆ ให้ปฏิบัติก็ได้
ข้อ ๕[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
มัตติกา/พิมพ์
๖ มกราคม ๒๕๔๗
พัชรินทร์/ทรงยศ/ตรวจ
๘ มกราคม ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๖/พ๑๐๙ง/๑๙/๑๙ กันยายน ๒๕๔๖ |
417057 | ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารที่จำกัดขอบเขตธุรกิจ
| ประกาศกระทรวงการคลัง
ประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารที่จำกัดขอบเขตธุรกิจ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
๕ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๒๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในวรรคท้ายของข้อ ๕.๒ แห่งประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขออนุญาตจัดตั้งธนาคารที่จำกัดขอบเขตธุรกิจ ลงวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๑ และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอชื่อบริษัทที่มีแผนงานที่เหมาะสมและสมควรจัดตั้งธนาคารที่จำกัดขอบเขตธุรกิจต่อรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบ ในการให้ความเห็นชอบรัฐมนตรีอาจกำหนดเงื่อนไขอื่นใดด้วยก็ได้ เมื่อรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วให้บริษัทนั้นดำเนินการตามแผนที่ได้รับความเห็นชอบ ทั้งนี้ บริษัทจะต้องดำเนินการควบหรือรวมกิจการหรือรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินให้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่เกิน ๒ ปี นับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบคำขอในเบื้องต้น เว้นแต่จะได้รับผ่อนผันจากรัฐมนตรี
ข้อ ๒[๑] ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖
ร้อยเอก สุชาติ เชาว์วิศิษฐ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
มัตติกา/พิมพ์
๕ มกราคม ๒๕๔๗
ศุภสรณ์/อรรถชัย/ตรวจ
๘ มกราคม ๒๕๔๗
A+B
[๑] รก.๒๕๔๖/พ๑๐๙ง/๒/๑๙ กันยายน ๒๕๔๖ |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.