txt
stringlengths
202
53.1k
# Slack รายงานผลประกอบการไตรมาส รายได้โต 49% มีลูกค้าเสียเงินมากกว่า 130,000 องค์กร Slack รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ตามปีการเงินบริษัท 2021 สิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2020 รายได้รวม 215.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 49% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน และขาดทุนสุทธิ 73.1 ล้านดอลลาร์ จำนวนผู้ใช้งานแบบเสียเงินนั้น Slack บอกว่ามีมากกว่า 130,000 องค์กร เพิ่มขึ้น 30% มีลูกค้า 985 ราย ที่จ่ายค่าบริการมากกว่า 1 แสนดอลลาร์ต่อปี และ 87 ราย ที่จ่ายมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี ทั้งนี้ Slack ไม่ได้เปิดเผยจำนวนผู้ใช้งานรวมทั้งหมดว่ามีอยู่เท่าใด มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก Allen Shim ซีเอฟโอของ Slack ในช่วงแถลงผลประกอบการ ว่าในกลุ่มลูกค้าที่จ่ายค่าบริการมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าของ Office 365 ซึ่งมีบริการ Teams รวมอยู่มาด้วยนั่นเอง ที่มา: Slack และ CNBC
# NTT Docomo หยุดรับลูกค้า e-Wallet ใหม่หลังพบลูกค้าถูกขโมยเงินเป็นวงกว้าง คาดถูกแฮกเกอร์ไล่สุ่ม PIN สี่หลัก NTT Docomo ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในญี่ปุ่น และยังให้บริการ e-Wallet หยุดรับลูกค้าใหม่หลังพบว่าลูกค้าถูกขโมยเงินออกจากบัญชีเป็นวงกว้าง โดยบริษัทยังไม่เปิดเผยว่าคนร้ายใช้ช่องโหว่ใดในการโจมตี แต่ผู้อำนวยการ Hiromitsu Takagi นักวิจัยความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ก็ระบุว่าคนร้ายอาจจะอาศัยการไล่สุ่มเลขรหัส PIN ของธนาคารไปเรื่อยๆ โดยยังมีความเป็นไปได้อื่น เช่น คนร้ายอาจจะส่งอีเมลฟิชชิ่งหลอกเอารหัสจากเหยื่อ บริการ e-Wallet ของ NTT Docomo เปิดทางให้ผู้ใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ได้เมื่อผูกเข้ากับบัญชีธนาคารโดยตัวบัญชีของ NTT Docomo เองสามารถสร้างบัญชีใหม่ได้โดยไม่มีการยืนยันตัวตน โดยบริษัทระบุว่าจะกลับมาเปิดรับลูกค้าอีกครั้งหลังเตรียมระบบเปิดบัญชีใหม่ที่ต้องยืนยันตัวตนด้วยเอกสารทางการและหมายเลขโทรศัพท์ แม้ว่าจะมีผู้เสียหายเป็นวงกว้าง แต่บริการของ NTT Docomo ก็จำกัดวงเงินการจ่ายไว้ที่ครั้งละ 100,000 เยน และไม่เกินเดือนละ 300,000 เยน แต่ความกังวลคือคนร้ายอาจจะขโมยเงินไปไม่มากนัก ทำให้เหยื่อไม่รู้ตัวและไม่ได้แจ้งธนาคาร ที่มา - Nikkei Asian Review, The Japan Times ภาพโดย PhotoMIX-Company
# ไมโครซอฟท์ปล่อยแพตช์เดือนกันยายน Exchange, SharePoint มีแพตช์อุดช่องโหว่รันโค้ดระยะไกล ไมโครซอฟท์ปล่อยแพตช์ความปลอดภัยตามรอบเดือนกันยายน โดยรอบนี้มีแพตช์ช่องโหว่ระดับวิกฤติ 23 รายการ, ระดับสำคัญ 105 รายการ, และระดับปานกลาง 1 รายการ ไม่มีช่องโหว่ใดมีการโจมตีก่อนปล่อยแพตช์ แต่ช่องโหว่หนึ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ CVE-2020-16875 ที่เป็นช่องโหว่รันโค้ดระยะไกลของ Exchange Server โดยตอนแรกไมโครซอฟท์ระบุว่าช่องโหว่นี้ถูกโจมตีผ่านอีเมลจากภายนอกได้ ทำให้ความร้ายแรงสูงมาก แต่ภายหลังไมโครซอฟท์เปลี่ยนคำอธิบายช่องโหว่ระบุว่าต้องโจมตีโดยผู้ใช้ที่ล็อกอินแล้วเท่านั้น ทำให้ความร้ายแรงลดลงไปมาก อีกช่องโหว่หนึ่งคือ CVE-2020-1210 ช่องโหว่รันโค้ดเมื่อผู้ใช้อัพโหลดแพ็กเกจขึ้น SharePoint แม้จะต้องโจมตีโดยผู้ใช้ที่ล็อกอินแล้วเท่านั้นแต่กระบวนการโจมตีก็มีความซับซ้อนต่ำจนคะแนนความร้ายแรงตาม CVSS 3.0 สูงถึง 9.9 คะแนน ที่มา - Zero Day Initiative
# AMD ประกาศวันเปิดตัว Ryzen 4000 วันที่ 8 ต.ค., Radeon RX 6000 วันที่ 28 ต.ค. นี้ หลังจากรอกันมานาน ล่าสุด AMD ประกาศวันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ชุดใหม่แล้วทั้ง Ryzen 4000 แกน Zen 3 วันที่ 8 ตุลาคมนี้ ขณะที่จีพียูใหม่ตระกูล Radeon RX 6000 ที่จะใช้สถาปัตยกรรมใหม่ RDNA 2 จะเปิดตัววันที่ 28 ตุลาคมนี้ ตามที่เคยยืนยันเอาไว้ทั้งคู่ว่าจะเปิดตัวในปีนี้ ไม่มีเลื่อน ที่มา - AMD
# OpenSSL รายงานช่องโหว่ในมาตรฐาน TLS กระทบการเข้ารหัสที่ใช้ Diffie-Hellman แฮกเกอร์อาจดักฟังการสื่อสารได้ OpenSSL รายงานถึงช่องโหว่ CVE-2020-1968 หรือ Racoon Attack ที่เป็นช่องโหว่ของตัวมาตรฐานการเข้ารหัส TLS เอง ทำให้ไลบรารีที่ใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนกุญแจแบบ Diffie-Hellman โดยใช้ค่าความลับแบบคงที่ (pre-master secret) ถูกดักฟังการสื่อสารที่เข้ารหัสไว้ได้ หากคนร้ายเก็บข้อมูลจากการเชื่อมต่อได้หลายๆ ครั้งและใช้ค่าความลับเดียวกันทั้งหมด ช่องโหว่นี้ไม่กระทบ OpenSSL เวอร์ชั่น 1.1.1 ขึ้นไปเพราะได้ถอดกระบวนการเข้ารหัสที่เข้าข่ายไปทั้งหมดแล้ว ที่น่ากังวลคือ OpenSSL 1.0.2 ที่หมดซัพพอร์ตไปแล้วแต่ยังรองรับกระบวนการเข้ารหัสที่มีช่องโหว่เหล่านี้ พร้อมกับตั้งค่าเริ่มต้นไว้จนได้รับผลกระทบทั้งหมด และทาง OpenSSL จะปล่อยอัพเดต OpenSSL 1.0.2w ให้กับลูกค้าที่ซื้อซัพพอร์ตเท่านั้น แม้ช่องโหว่ดักฟังข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสไว้ได้จะเป็นช่องโหว่ร้ายแรง แต่ทาง OpenSSL ระบุว่ากระบวนการเข้ารหัสที่ได้รับผลกระทบนั้นไม่ค่อยมีใครใช้งานกัน จึงถือว่าช่องโหว่นี้มีความร้ายแรงระดับต่ำเท่านั้น ที่มา - OpenSSL
# EA นำ Colin Kaepernick กลับมาให้เล่นในเกม Madden NFL 21 แม้ในโลกจริงยังไม่มีสังกัด Colin Kaepernick เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลในลีก NFL ที่กลายเป็นชนวนขัดแย้งในปี 2016 หลังเขา "คุกเข่า" ระหว่างเพลงชาติสหรัฐ เพื่อประท้วงเรื่องความแบ่งแยกสีผิวในประเทศ หลังเหตุการณ์นั้นทำให้ Kaepernick มีปัญหากับลีก NFL และทีม San Francisco 49ers ต้นสังกัด จนต้องบอกเลิกสัญญา กลายเป็นผู้เล่นอิสระ (free agent) และยังไม่มีทีมเล่นมาจนถึงบัดนี้ แม้ว่าตัวเขาเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถสูง และกลายเป็นไอดอลของวงการกีฬาในแง่การลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิด้านสีผิวไปแล้วก็ตาม ล่าสุด EA ประกาศว่าเกม Madden NFL 21 ภาคล่าสุด เราสามารถเล่นเป็น Kaepernick ได้ด้วย โดยผู้เล่นสามารถนำ Kaepernick ไปอยู่กับทีมใดๆ ก็ได้ตามต้องการ การกลับมาของ Kaepernick ในเกมภาค NFL 21 ทำให้แฟนๆ สามารถเล่นเป็นตัวเขาได้อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน 4 ปีเต็ม (ภาคสุดท้ายคือ NFL 16 ที่ยังอยู่ในทีม 49ers) แม้ในโลกจริง Kaepernick ยังไม่มีทีมให้เล่นก็ตามที ที่มา - EA
# Xbox Game Pass ประกาศเพิ่มเกมจาก EA Play โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม พร้อมกับการเปิดราคาของ Xbox Series X ที่ 499 ดอลลาร์ และ สเปกของ Xbox Series S วันนี้ไมโครซอฟท์ยังมีประกาศข่าวอีกอย่างคือ บริการเกมเหมาจ่าย Xbox Game Pass ที่กลายเป็นไม้ตายของค่าย Xbox จะเพิ่มเกมจากบริการ EA Play ของค่าย EA ที่เป็นคู่แข่งกันด้วย โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม จ่ายค่าสมาชิกเท่าเดิม ผู้ที่จะได้เกมจาก EA Play ต้องเป็นสมาชิก Xbox Game Pass for PC และ Xbox Game Pass Ultimate เท่านั้น (ไม่รวม Xbox Game Pass รุ่นปกติที่มีเฉพาะเกมบน Xbox) สิทธินี้จะเพิ่มเข้ามาในช่วงปลายปีนี้ การเพิ่มเกมจาก EA Play เข้ามายิ่งทำให้ Xbox Game Pass ยิ่งคุ้มค่ามากขึ้น เพราะได้เกมดังๆ จากฝั่ง EA เข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก เช่น เกมกีฬาซีรีส์ FIFA หรือ Madden NFL, เกมดังหลายซีรีส์ เช่น The Sims, Mass Effect, Battlefield, Need for Speed เป็นต้น โดย EA Play มีเกมทั้งหมดประมาณ 60 เกม บวกกับเกมของ Xbox Game Pass เดิมอีกประมาณ 100 เกม ที่มา - Xbox
# เผยสเปก Xbox Series S ใช้ซีพียูตัวเดียวกับ Series X, จีพียู 4 TFLOPS, แรม 10GB เมื่อวานนี้ไมโครซอฟท์เปิดตัว Xbox Series S ที่ราคา 299 ดอลลาร์ วันนี้มีรายละเอียดของสเปกเครื่องออกมาแล้ว ซึ่งก็ตรงตามข้อมูลหลุดก่อนหน้านี้ Xbox Series S ถูกเรียกว่าเป็นคอนโซลตระกูล Xbox ที่มีขนาดเล็กที่สุด (Smallest Xbox Ever) โดยเล็กกว่า Series X ราว 60% และไม่มีไดรฟ์สำหรับอ่านแผ่นดิสก์ ต้องเล่นเกมผ่านการดาวน์โหลดเท่านั้น ซีพียู จุดเด่นของ Series S คือซีพียูตัวเดียวกับ Series X ทุกประการ (เป็น AMD Zen 2 Custom แบบ 8 คอร์ ที่ 3.6GHz + 3.3GHz) ทำให้การพัฒนาเกมสะดวก เพราะเขียนทีเดียวใช้ได้ทั้งสองเครื่อง จีพียู เป็นจุดต่างสำคัญของคอนโซลทั้งสองรุ่น ในแง่ฟีเจอร์จีพียูใช้สถาปัตยกรรม RDNA 2 ตัวเดียวกัน รองรับ Ray tracing และ Variable Rate Shading เหมือนกัน ต่างกันที่สมรรถนะเท่านั้น จีพียูของ Series S มีสมรรถนะ 4 TFLOPS รองรับเกมที่ความละเอียด 1440p ดันเฟรมเรตได้สูงสุดที่ 120 FPS (Series X คือ 12 TFLOPS, Native 4K, 120 FPS) อย่างไรก็ตาม Series S ก็สามารถแสดงผลเกมแบบ 4K ได้ด้วยวิธี upscaling แรม Series S ใช้แรม GDDR6 ขนาด 10GB (Series X ขนาด 16GB) สตอเรจ ของ Series S เป็น NVMe SSD แบบคัสตอมความเร็วสูง มีสถาปัตยกรรม Xbox Velocity Architecture ช่วยเร่งความเร็ว I/O สลับเกมได้รวดเร็ว มีขนาด 512GB (เทียบกับ Series X มีขนาด 1TB) รองรับการ์ดสตอเรจเสริมของ Seagate เหมือนกับ Series X ฟีเจอร์อย่างอื่นของ Series S ได้แก่ ระบบเสียง Spatial Sound, รองรับ Dolby Atmos และ Dolby Vision ส่วนคอนโทรลเลอร์เป็น Xbox Wireless Controller เวอร์ชันใหม่ตัวเดียวกับ Series X แต่เปลี่ยนมาใช้สีขาว Robot White เหมือนสีเครื่อง ไมโครซอฟท์ระบุว่าจีพียูของ Series S มีสมรรถนะมากกว่าจีพียูของ Xbox One (รวมถึง Xbox One S) ประมาณ 3 เท่า อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกับ Xbox One X ที่ใช้จีพียู 6 TFLOPS ก็ยังถือว่าเป็นรองอยู่ Xbox Series S มีกำหนดวางขาย 10 พฤศจิกายน 2020 พร้อมกับ Xbox Series X ที่ประกาศราคา 499 ดอลลาร์ ที่มา - Xbox
# ยืนยันแล้ว Xbox Series X 499 เหรียญ วางจำหน่ายพร้อม Series S 10 พฤศจิกายนนี้ หลังเมื่อวานเปิดเผยราคา Xbox Series S ไปแล้ว วันนี้ทวิตเตอร์ Xbox ทวีตข้อมูลยืนยันอีกครั้ง ว่า Xbox Series S มีราคา 299 เหรียญ (ราว 9,400 บาท) และเพิ่มเติมข้อมูลว่า Xbox Series X จะมีราคา 499 เหรียญ (ราว 15,700 บาท) ทั้งสองรุ่นวางจำหน่ายในวันที่ 10 พฤศจิกายน และเริ่มสั่งจองได้ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนนี้ ในสหรัฐอเมริกา ที่มา - Twitter: Xbox
# [ลือ] Nintendo เตรียมเพิ่มเป้าผลิตเครื่อง Switch ในปีนี้ มากขึ้นอีก 20% แหล่งข่าวไม่เปิดเผยที่มาของ Bloomberg ระบุว่า ตอนนี้นอกจากการผลิตของ Nintendo จะกลับมาเดินเครื่องผลิตได้เต็มกำลังเหมือนเดิมแล้วและ Nintendo ยังเพิ่มเป้าผลิตเครื่อง Switch เป็น 30 ล้านเครื่องภายในปีงบประมาณนี้อีกด้วย หลังเพิ่มเป็น 25 ล้านเครื่อง เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาแต่ยังไม่เพียงพอ โดยแหล่งข่าวกล่าวว่า โรงงานกำลังทำงานกันที่กำลังการผลิต ถึง 120% เลยทีเดียว Nintendo ประสบปัญหาเครื่อง Switch ขาดตลาดในช่วงครึ่งปีแรก เพราะอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากเกม Animal Crossing ภาคใหม่ และอุปทานที่ลดลงจากภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ราคาเครื่องพุ่งสูง แต่ปัจจุบันการกลับมาผลิตได้ปกติ และการเพิ่มกำลังผลิตในปีนี้น่าจะทำให้ราคาลดลงในไม่ช้า นอกจากนี้ Bloomberg ยังรายงานอีกว่า มีแหล่งข่าวไม่เปิดเผยที่มาอีกรายในวงการเกม ให้ข้อมูลว่า Nintendo เริ่มแจ้งให้ผู้พัฒนา เตรียมพัฒนาเกมที่รองรับการแสดงผลแบบ 4K แล้ว แปลว่าเราอาจได้เห็นเครื่อง Nintendo Switch รุ่นอัปเกรดเร็วๆ นี้ ตามข่าวลือก่อนหน้าที่ระบุว่า อาจมาในปี 2021 ที่มา - Bloomberg
# รอง ผอ. รพ. มหาราชนครเชียงใหม่ เผยเคยโดน Ransomware แต่รับมือได้ ชี้การสำรองข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ จากงานแถลงข่าว Cisco ลงนามความร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ มช. พัฒนา Telehealth ผู้สื่อข่าวได้ถามเพิ่มเติมกรณีโรงพยาบาลสระบุรีถูก Ransomware โจมตี ผศ.นพ. ภาสกร สวัสดิรักษ์ รอง ผอ. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เผยว่า ช่วงปลายปี 2019 ที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลเองก็เคยถูก Ransomware โจมตีเช่นกัน แต่ไม่เกิดความเสียหายใดๆ ในตอนนั้น ผศ.นพ. ภาสกร เล่าย้อนให้ฟังว่า ตอนที่เกิดเหตุการณ์ถูกโจมตี ระบบป้องกันภายในก็แจ้งเตือนไปยังผู้ดูแล ตอนนั้นทางโรงพยาบาลปิดระบบไอทีแล้วทำงานแบบแมนนวลแทน โดยก่อนเกิดเหตุก็มีการซักซ้อมรองรับกรณีแบบนี้อยู่แล้วจึงรับมือได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น การสำรองข้อมูลหรือ backup ข้อมูลนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากและเป็นสิ่งต้องบังคับทำ การรักษาวินัยบุคลากรก็เป็นเรื่องสำคัญด้วย ควรกันระบบภายในของโรงพยาบาลออกจากระบบทั่วไปให้บุคคลากรเข้าถึงหรือแก้ไข เพราะจะเป็นช่องโหว่และเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์โจมตีได้ ด้านนายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Cisco ให้คำแนะนำเรื่องระบบไอทีในโรงพยาบาลว่า การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ป้องกันภัยไซเบอร์เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ต้องเตรียมบุคลากรเพื่อป้องกัน ตรวจจับ และกู้คืนระบบอย่างต่อเนื่อง ด้านการที่โรงพยาบาลหลายแห่งให้บริการอินเทอร์เน็ตด้วยนั้น ทางโรงพยาบาลควรต้องออกแบบการป้องกันข้อมูลให้ชัดเจน เช่น ใช้หลักการ zero trust ต้องยืนยันตัวตนก่อนใช้งาน Wi-Fi, จัดหาเครื่องมือป้องกันข้อมูล เป็นต้น และเน้นย้ำว่า ตราบใดที่เรามีข้อมูลสำคัญ ก็ต้องออกแบบการป้องกันให้มากขึ้นตามไปด้วย ภาพจาก โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
# Cisco ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มช. พัฒนา Telehealth, ใช้ AI คัดกรองผู้ป่วยวัณโรค ฯลฯ Cisco ลงนามความร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่พัฒนาวัตกรรมด้านสาธารณสุขและเทคโนโลยีทางการแพทย์ ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญคือ พัฒนาระบบดิจิทัลเฮลท์แคร์ให้กับผู้ใช้บริการและบุคลากรการแพทย์ในรูปแบบโรงพยาบาล และ พัฒนานวัตกรรมใหม่เพื่อการรักษาและการสาธารณสุข มุ่งหวังว่าจะรองรับผู้ป่วยจากทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือได้ โครงการส่วนแรกคือการพัฒนาระบบติดตามการจ่ายยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ สร้างระบบติดตามสถานะของยาและเครื่องมือแพทย์ ที่ใช้ในโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และสถานบริการเครือข่าย 13 แห่งแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ตรวจสอบสถานะของยาและอุปกรณ์การแพทย์ได้สะดวกต่อการบริหารจัดการงบประมาณ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบติดตามสถานะการให้บริการทางการแพทย์ โดยผู้ป่วยสามารถเรียกดูข้อมูลสถานะการให้บริการผ่านระบบเครือข่ายไร้สาย และแอปพลิเคชั่นของโรงพยาบาล ทราบสถานะการให้บริการ คิวตรวจ รับยา จ่ายเงิน และข้อมูลด้านสุขภาพอื่นๆ รวมถึงการให้คำปรึกษาจากแพทย์ผ่านระบบทางไกล (Tele-consulting) เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาล ด้านโครงการส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรักษา มีสามโครงการสำคัญคือ พัฒนาระบบคัดกรองผู้ป่วยวัณโรค Tuberculosis Screening Project ใช้ AI และ Deep Learning ช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยความผิดปกติของภาพเอกซเรย์ทรวงอกเบื้องต้น ให้แพทย์สามารถนำข้อมูลภาพเอ็กซเรย์มาทำโมเดลสอนระบบให้สามารถคัดกรองผู้ป่วยวัณโรคขั้นร้ายแรงมารักษาได้ทัน โครงการดูแลผู้ป่วยประคับประคองผ่านระบบการสื่อสารทางไกล Tele Palliative Care สร้างห้องตรวจและห้องรักษาเสมือนจริง เพื่อช่วยดูแลผู้ป่วยประคับประคอง และผู้ป่วยติดเตียงโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาโรงพยาบาล โดยแพทย์จะทำการวินิจฉัย พิจารณาให้ยาอย่างเหมาะสมผ่านระบบ Tele-consulting บนแพลตฟอร์ม Cisco WebEx แก้ปัญหาจำนวนผู้ป่วยติดเตียงล้นโรงพยาบาล และเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย โครงการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานโดยเจ้าหน้าที่ อสม. Diabetes Patient Data & Communication Project เนื่องจากช่วงโควิด-19 เจ้าหน้าที่ อสม. มีบทบาทสำคัญ แต่การสื่อสารระหว่าง อสม. และประชาชนอาจไม่สามารถทำได้ทันท่วงทีและไม่สามารถทำในสเกลใหญ่ได้ Cisco จึงร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวาน สื่อสารและฝึกอบรม อสม. ผ่าน Cisco Webex เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง ลดความแออัดในการที่จะต้องเดินทางเข้ามารักษาที่โรงพยาบาล นายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Cisco ระบุไทม์ไลน์ของความร่วมมือ ว่ามีการเริ่มพูดคุยตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา และคาดว่าจะทำโครงการนำร่องได้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 ก่อนหน้านี้ Cisco ได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มช. พัฒนา Smart Connected Healthcare ทำโซลูชั่นการแพทย์คือ Live surgery, Tele-consult ที่มา - งานแถลงข่าว และ จดหมายข่าว
# รีวิว Android 11 มีฟีเจอร์ใหม่อะไรบ้าง วันนี้กูเกิลปล่อย Android 11 ตัวจริงให้กับมือถือตระกูล Pixel และมือถือบางรุ่นจากพันธมิตรหลายแบรนด์ ตัวของ Android 11 เปิดทดสอบพรีวิวมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จึงไม่มีของใหม่อะไรที่เป็นเซอร์ไพร์สอีกแล้ว แต่เชื่อว่าผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่ใช่นักพัฒนาหรือผู้ทดสอบ Beta น่าจะเริ่มได้จับ Android 11 กันจริงๆ จังๆ ก็ในวันนี้เป็นต้นไป ผมมีโอกาสใช้งาน Android 11 บน Pixel 3 มาสักระยะตั้งแต่ตอน Beta พอเวอร์ชันจริงเปิดให้ใช้งานกัน ก็อยากมาแนะนำของใหม่ใน Android 11 จากการใช้งานเองโดยตรง หลังจากกดอัพเดต Android 11 ที่รอกันมานาน บูตเครื่องใหม่ สิ่งที่ผู้ใช้ Android 11 ทุกคนคงรู้สึกเหมือนกันหมดคือ มันไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนเลย (วะ) ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะหน้าจอหลักของ Android เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงมาหลายเวอร์ชันแล้ว (ส่วนหนึ่งก็สะท้อนว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่เติบโตจนถึงระดับหนึ่งแล้ว) อย่างไรก็ตาม ในรายละเอียดแล้ว Android 11 มีของใหม่เพิ่มเข้ามาอีกพอสมควร (แม้หลายอย่างอาจไม่เห็นชัดเจนใน UI) ในประกาศของกูเกิลเอง แยกของใหม่ออกเป็น 3 หมวดคือ People, Control, Privacy ซึ่งในบทความนี้ก็ขอยึดตามการแยกหมวดของกูเกิลด้วย People Conversations ฟีเจอร์ใหม่ที่เด่นที่สุดของ Android 11 คือการปรับปรุงระบบ notification ไปอีกขั้น (ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใน notification คงไม่สามารถเรียกวาเป็น Android เวอร์ชันใหม่ได้ เพราะเปลี่ยนทุกรุ่นจริงๆ) จากเดิมใน Android 10 เราสามารถแยกหมวดของการแจ้งเตือนได้เป็น alert กับ silent (ซึ่งแยกกันให้เห็นด้วย UI) พอมาถึง Android 11 มีการแจ้งเตือนหมวดที่สามเพิ่มเข้ามาคือ conversations ซึ่งอธิบายง่ายๆ ว่ามันเป็นหมวดแยกเฉพาะสำหรับการแชทนั่นเอง กูเกิลให้เหตุผลว่า ยุคสมัยนี้เราแชทกันเยอะมาก ทำให้การแจ้งเตือนว่ามีแชทใหม่ มีความสำคัญมากกว่าการแจ้งเตือนชนิดอื่นๆ (เช่น มีอีเมลใหม่หรือมีคอมเมนต์ใหม่) เพราะเรามักคุยกับคนเดิมๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ต่างจากการกดดูอีเมลใหม่เพียงครั้งเดียวแล้วเลิกสนใจอีเมลฉบับนั้นไปเลย กูเกิลจึงแยกหมวด conversations ออกมาให้เฉพาะ นอกจากการมีหมวด conversation ของตัวเองแยกต่างหากในแถบ notification แล้ว เรายังสามารถตั้งค่าการแชทให้มีความสำคัญ (priority) เป็นพิเศษได้ด้วย ทำให้มันสามารถทะลุผ่านโหมด Do Not Disturb เข้ามาได้อีกต่างหาก (ตัวอย่างการใช้งานเช่น ตอนกลางคืนเปิดโหมด DND เพื่อไม่แชทกับใครเลย ยกเว้นคนในครอบครัวที่ตั้งเป็น priority) ฟีเจอร์ conversations จำเป็นต้องให้แอพแชทรองรับด้วยจึงจะใช้งานได้ (รายละเอียดในหน้า Android Developers) เท่าที่ผมหาข้อมูลได้ ตอนนี้ยังมีเพียง Facebook Messenger และ Android Messages เท่านั้นที่รองรับ คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าแอพแชทยอดนิยมตัวอื่นๆ (เช่น LINE, Telegram, WeChat, Slack) จะรองรับตามมา Bubbles นอกจาก conversations แล้วยังมีฟีเจอร์อีกตัวที่มาคู่กัน (แต่เป็นคนละอย่างกัน) คือ bubble หรือการให้หน้าจอแชทลอยทับแอพตัวอื่นๆ ใครที่เคยใช้ฟีเจอร์ Chat Head ของ Facebook Messenger มาแล้วคงคุ้นเคยกับฟีเจอร์นี้ ฟีเจอร์ bubble ของ Android 11 ไม่ต่างอะไรจาก Chat Head เลยสักนิดในแง่การใช้งาน จุดต่างคือระบบการทำงานเบื้องหลัง เพราะ Chat Head เดิมเป็นฟีเจอร์ของ Messenger เขียนขึ้นเอง แต่ bubble เป็นการรองรับที่ระดับ OS ทำให้แอพแชทตัวอื่นๆ สามารถทำหน้าจอลอยทับแบบเดียวกันได้ด้วย ไม่น่าแปลกใจอะไรที่ Messenger เป็นแอพแชทตัวแรกที่รองรับ bubble เพราะทำได้อยู่แล้ว แค่เปลี่ยนเอนจินเบื้องหลังมาเรียกใช้บริการของ OS แทนการเขียนทับหน้าจอเองเท่านั้น อีกทั้งเมื่อเป็นฟีเจอร์ของ OS ก็สามารถทำอะไรได้มากขึ้น เช่น กำหนดได้ว่าแชทห้องไหนบ้างที่คุยเป็น bubble ได้ (เลือกได้ all, select, none) ฟีเจอร์ bubble จำเป็นต้องให้แอพแชทรองรับด้วยเช่นกัน (รายละเอียดในหน้า Android Developers) ซึ่งก็คงต้องรอกันอีกสักระยะกว่าจะใช้กันแพร่หลาย Control Device Controls หากถามว่าหน้าจอไหนของ Android 11 ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงเยอะที่สุด คงเป็นหน้าจอ Power Menu เวลาที่เรากดปุ่มปิดหน้าจอค้างไว้ ของเดิมเป็นการขึ้นปุ่มเล็กๆ ขึ้นมาที่ขอบด้านข้างว่าต้องการปิดเครื่องหรือไม่ ของใหม่กลายเป็นหน้าจอใหม่เต็มจอ ที่ใช้ควบคุมหรือสั่งการอุปกรณ์สมาร์ทโฮมในบ้านได้ด้วย ถ้าในบ้านมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม Google Home อยู่แล้ว เช่น Chromecast, Nest Hub หรืออุปกรณ์สมาร์ทโฮมอื่นๆ ที่รองรับ อย่างหลอดไฟอัจฉริยะหรือเครื่องฟอกอากาศ ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก เราจะเห็นอุปกรณ์เหล่านี้โผล่ขึ้นมาในหน้าจอนี้ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องเปิดแอพแยกอีกต่อไป ในประเทศที่มีระบบจ่ายเงิน Google Pay ให้บริการ หน้าจอนี้ยังรวมระบบจ่ายเงินอิเล็กทรอนิกส์ เปิดบัตรเพื่อไปแตะจ่ายผ่าน NFC ได้ด้วย (ลักษณะคล้ายๆ Wallet ของ iOS) แต่คนไทยก็อดกันตามเคยนะครับ หน้าจอตัวอย่างที่กูเกิลนำมาโชว์ Media Controls ฟีเจอร์อีกอันเกี่ยวกับการควบคุม ที่น่าจะได้ใช้ประโยชน์กันเยอะ คือการควบคุมเพลงหรือมีเดียใน notification ใน Android เวอร์ชันก่อนหน้านี้สามารถควบคุมการเล่นเพลงจาก Spotify หรือคลิป YouTube ได้จากแถบ notification อยู่แล้ว เพียงแต่เวอร์ชันนี้ออกแบบตัวควบคุมใหม่ ให้มีลักษณะเป็น widget ลอยค้างอยู่ตลอด และรองรับการควบคุมแอพมีเดียหลายตัวพร้อมกันได้ด้วย (สังเกตภาพขวาจะเห็นจุดสีขาวในกรอบสีน้ำเงินของ Spotify ที่เราสามารถปัดไปเป็นแอพตัวอื่นที่เปิดอยู่ได้ เช่น YouTube ในภาพซ้าย) Privacy ในยุคที่คนสนใจเรื่องความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นมาก ผู้ใช้ Android คงสังเกตได้ว่า OS มีความเข้มงวดเรื่องความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกเวอร์ชันเช่นกัน ของใหม่ใน Android 11 คือ one-time permission หรือการอนุญาตให้สิทธิการเข้าถึง "เพียงครั้งนี้ครั้งเดียว" แบบเดียวกับที่ iOS มีมานาน ช่วยให้ผู้ใช้เปิดสิทธิให้แอพเป็นการชั่วคราว ก่อนตัดสินใจในภายหลังว่าจะให้สิทธิแบบถาวรหรือไม่ Android 11 ยังสามารถเพิกถอนสิทธิที่เคยให้ไปแล้ว กับแอพที่ไม่เปิดใช้เป็นเวลานานๆ (ที่เราลืมไปแล้วว่าเคยให้สิทธิอะไรไปบ้าง) กูเกิลเรียกฟีเจอร์นี้ว่า auto-reset permissions ซึ่งตรงนี้คงยังไม่มีใครได้ใช้งานจริงๆ จังๆ (ไม่รู้ว่า "นาน" ของกูเกิลมันนานแค่ไหนกัน) ฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจ Screen Record ฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์มากๆ และเรียกร้องกันมานานคือ Screen Record หรือการอัดคลิปหน้าจอ ก่อนหน้านี้เราต้องใช้แอพแยกเฉพาะ ซึ่งความเสี่ยงเรื่องความเป็นส่วนตัว เพราะแอพสามารถบันทึกหน้าจอของเราได้หมด ตอนนี้กูเกิลมาทำเองที่ระดับ OS เลย น่าจะทำให้หลายคนสบายใจมากขึ้น วิธีการใช้งานต้องเปิดจากช็อตคัตในแถบ notification เท่านั้น (ไม่มีแอพแยกเฉพาะ) ตอนแรกผมก็หาไม่เจอว่าอยู่ตรงไหน เพราะไอคอน Screen Record แอบอยู่ในช็อตคัตที่ต้องเลือกเพิ่มเข้ามาก่อนจากหน้า edit พอเพิ่มช็อตคัต Screen Record เรียบร้อยแล้ว ก็กดปุ่ม Screen Record เพื่อบันทึกหน้าจอได้เลย ฟีเจอร์ที่มีก็พื้นฐานคือ เลือกแหล่งเสียงที่ต้องการอัดได้ว่าเอาเสียงจากไมโครโฟน หรือเสียงประกอบของแอพที่ใช้อยู่ตอนนั้น และเลือกแสดงการแตะหน้าจอในคลิปที่บันทึกได้ เมื่ออัดคลิปเสร็จแล้วสามารถตัดต่อคลิปแบบง่ายๆ (ตัดหัวตัดท้าย) แล้วแชร์ไปยังแอพอื่นๆ ได้เหมือนการแชร์คลิปวิดีโอตามปกติ Recommendations ฟีเจอร์อีกชุดของ Android 11 จำเป็นต้องใช้บนสมาร์ทโฟนตระกูล Pixel 2 ขึ้นไป ที่มีชิปแยกเฉพาะสำหรับประมวลผล AI ในเครื่อง ฟีเจอร์ชุดนี้ไม่มีอะไรที่เป็นฟีเจอร์ใหญ่ๆ แต่เน้นการใช้ AI ช่วยคาดเดาเพื่ออำนวยความสะดวกให้เราในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากกว่า ตัวอย่างฟีเจอร์ชุดนี้ได้แก่ ในแถบด้านล่างสุดของหน้าโฮมที่เป็นไอคอน 5 ตัวอยู่เหนือ search bar ตอนนี้ OS สามารถคาดเดาไอคอนที่เราน่าจะใช้งานบ่อยๆ ได้จากพฤติกรรมในอดีตของเรา (ผ่าน machine learning ที่รันในเครื่องมือถือ) หากเราลากไอคอนเดิมออกจากแถวด้านล่าง ถ้าเป็น Android เวอร์ชันก่อนๆ ไอคอนตรงนี้จะโบ๋หายไป แต่ใน Android 11 บน Pixel จะมีไอคอนใหม่โผล่ขึ้นมาแทน โดยไฮไลท์สีล้อมรอบเพื่อให้สังเกตเห็นว่าเป็นการเลือกโดย AI ตัวอย่างในคลิปเป็นการลองลากไอคอน Camera ออกไป จะเห็นว่ามีไอคอน Settings โผล่ขึ้นมาแทน (คลิปนี้อัดโดย Screen Record ของ Android 11) ฟีเจอร์อื่นในชุดได้แก่ การคาดเดาสิ่งที่เราจะแชทผ่านฟีเจอร์ Smart Reply (ต้องใช้ร่วมกับ Gboard และใช้ได้เฉพาะแชทภาษาอังกฤษ) หรือ การลากไอคอนแอพสองตัวมาชนกันเพื่อสร้างเป็นโฟลเดอร์ โดย OS จะตั้งชื่อโฟลเดอร์ให้อัตโนมัติ โดยคาดเดาจากประเภทของแอพที่เอามารวมในโฟลเดอร์นั้น (เช่น โฟลเดอร์นั้นมี Camera กับ Google Photos ก็จะตั้งชื่อว่า Photography ให้เลย) รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านใน Google Blog ฟีเจอร์อื่นๆ ของ Android 11 ขยายการอัพเดตบางส่วน OS ผ่าน Google Play ให้มากขึ้น แก้ปัญหาผู้ผลิตมือถือไม่ยอมอัพเดต OS ให้ รองรับ Android Auto แบบไร้สาย Scoped Storage การแยกพื้นที่เก็บข้อมูลของแต่ละแอพไม่ให้ยุ่งกัน ที่เลื่อนมาจาก Android 10 ฟีเจอร์สำหรับองค์กร เช่น การแยกแท็บ Work/Personal ในหน้า Share (รายละเอียด) ฟีเจอร์สำหรับนักพัฒนา อ่านได้จาก Android Developers Blog บทสรุป: ของใหม่ไม่เยอะมาก แต่อัพเดตเร็วขึ้นเรื่อยๆ ภาพรวมของ Android 11 คงเป็นเหมือนที่กล่าวไปตอนต้นบทความ ว่าเริ่มมีของใหม่ที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ ไม่มากนัก โดยรวมแล้ว UI ยังคงเหมือนเดิม แต่ในรายละเอียดแล้วก็ยังมีของใหม่อีกพอสมควรที่ซ่อนอยู่ และช่วยให้ชีวิตดีขึ้นในระยะยาว เช่น Conversations หรือหน้าจอ Devices/Media Control สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของ Android 11 อาจไม่ใช่ฟีเจอร์ใหม่ แต่เป็นระยะเวลาในการอัพเดตที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เพราะในรอบนี้ไม่ได้มีแต่มือถือตระกูล Pixel ที่ได้อัพเดตตั้งแต่วันแรก แต่ยังครอบคลุมถึงมือถือยี่ห้ออื่นๆ อย่าง Xiaomi, Oppo, OnePlus, Realme ด้วย แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของ Android ในฐานะแพลตฟอร์ม ที่แก้ปัญหายักษ์ใหญ่มากเรื่องมือถือไม่ได้อัพเดตเวอร์ชัน ไปได้พอสมควรแล้ว ปิดท้ายด้วยหน้าจอ easter egg ของ Android 11 ที่ยังใช้ธีม "ลูกบิด" ตามมีม up to eleven โดยต้องหมุนให้ได้จังหวะเพื่อให้โชว์เลข 11 นั่นเอง
# [ลือ] ซัมซุงและ SK Hynix เตรียมเลิกผลิตและส่งมอบชิปให้ Huawei หลัง 15 ก.ย. นี้ ซัมซุงและ SK Hynix ผู้ผลิตชิปเซ็ตจากเกาหลีกำลังเป็นรายล่าสุดที่ถูกบีบจากกฎหมายของสหรัฐ ทำให้ไม่สามารถผลิตและส่งมอบชิปให้ Huawei หลังวันที่ 15 กันยายนนี้ตามกำหนด 120 วัน หลังออกกฎหมาย ซึ่งอาจครอบคลุมทั้งชิปเซ็ตและชิปความจำ ตัวเลือกของ Huawei ในตลาดแทบไม่เหลือแล้ว ไม่ว่าจะ TSMC หรือ MediaTek โดยไม่ต้องพูดถึง Qualcomm ที่เป็นบริษัทสหรัฐ (แม้จะยื่นเรื่องขอรัฐบาลสหรัฐไปแล้ว) ทำให้ตอนนี้ทางเลือกของ Huawei อาจเหลือแค่ UNISOC ที่เป็นบริษัทจีนเองเท่านั้น ที่มา - ChosunBiz via The Verge
# เปิดตัว Vivo X50 Pro 5G มือถือ 4 กล้อง พร้อมกันสั่นแบบ Gimbal ราคา 24,999 บาท Vivo เปิดตัว Vivo X50 Pro 5G สมาร์ทโฟนที่เน้นด้านการถ่ายภาพ มาพร้อมกล้องหน้า 32MP และกล้องหลัง 4 กล้อง กล้องหลัก 48MP มาพร้อมกันสั่นที่ Vivo ระบุว่าเป็นแบบ Gimbal ที่มีองศาของการหมุนและพื้นที่ป้องกันการสั่นกว้างกว่าเมื่อเทียบกับระบบกันสั่นอื่น มีกล้องอัลตร้าไวด์ 8MP กล้องพอร์ตเทรต 13MP และกล้องซูมแบบ Periscope 8MP ซูมได้ 5x หน้าจอเป็นแบบ AMOLED ความละเอียด 2376 x 1080 ขนาด 6.56 นิ้ว แบบ 90Hz สเปกภายในใช้ชิป Snapdragon 765G แรม 8GB หน่วยความจำ 256GB แบตเตอรี่ 4,315 mAH รองรับชาร์จเร็ว 33W รองรับ 5G รองรับ Bluetooth 5.1 และรัน Android 10 ครอบทับด้วย Funtouch OS 10.5 Vivo X50 Pro 5G มีสีเดียวคือ สี Alpha Gray วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ในราคา 24,999 บาท ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์
# Sid Meier เผย Nuclear Gandhi ใน Civilization ไม่ได้เกิดจากบั๊ก แต่ยังไม่บอกที่มาที่ไป หนึ่งในเหตุการณ์คลาสสิคของเกม Civilization ภาคแรก จนกลายเป็นมุขและมีมจนถึงทุกวันนี้ คือเหตุการณ์ที่ Mahatma Gandhi ผู้นำประเทศอินเดียที่ชวนผู้เล่นทำสงครามกับประเทศอื่นด้วยนิวเคลียร์ ซึ่งขัดกับภาพลักษณ์การใช้สันติวิธีของ Gandhi ที่ผ่านมามีคนวิเคราะห์ว่าน่าจะเกิดจากบั๊กของเกม เพราะ Gandhi มีค่า aggression อยู่ที่ 1 ซึ่งต่ำสุดในเกม และเมื่ออินเดียเลือกระบอบการปกครองประชาธิปไตย ที่จะลดค่า aggression ลงให้อัตโนมัติ 2 ทำให้ตัวเลขดังกล่าวติดลบและเป็นบั๊กของระบบที่คำนวนค่าติดลบไม่ได้ ตัวเลข aggression เลยวนลูบกลับขึ้นไปเป็น 255 ซึ่งสูงที่สุดในเกม ทว่า Sid Meier ผู้ออกแบบเกมดังกล่าวได้ออกหนังสือ Sid Meier's Memoir! : A Life in Computer Games และเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นครั้งแรกว่า Nuclear Gandhi ไม่ได้เกิดจากบั๊กใด ๆ และข้อสันนิษฐานข้างต้นไม่ได้มีความจริงอยู่แม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้เปิดเผยว่าเกิดจากอะไรและเลือกจะเก็บไว้เป็นความลับ กระนั้น Sid Meier ก็ยอมรับว่าเขาชอบมุขตลกและมีม Nuclear Gandhi มาก ที่มา - Bloomberg
# Spotify Lite แอปเวอร์ชั่นขนาดเล็ก 10 MB เปิดตัวในไทยแล้ว ปี 2019 Spotify เปิดตัวแอปเวอร์ชั่น Lite ขนาดเล็ก 10 MB รองรับมือถือแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 4.3 ขึ้นไป ล่าสุดขยายการบริการมายังประเทศไทยแล้ว ความสามารถของ Spotify Lite คือ ผู้ใช้งานยังสามารถเข้าถึงเพลงกว่า 60 ล้านเพลง และ 1.5 ล้านพอดแคสต์ได้, จัดการ cache ได้ด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว, กำหนดขีดจำกัดการจัดเก็บข้อมูล และแจ้งเตือนเมื่อใช้ข้อมูลถึงค่าที่ตั้งไว้ ปัจจุบัน Spotify Lite ใช้งานได้ใน 37 ประเทศ ที่มา - ข่าวประชาสัมพันธ์
# Nutanix เตรียมเปิดบริการคลัสเตอร์บน Azure, เพิ่มฟีเจอร์ Software-Defined Network Nutanix จัดงาน .NEXT วันนี้พร้อมกับประกาศบริการชุดใหม่ โดยบริการสำคัญคือ Nutanix Clusters on Azure เปิดทางให้ลูกค้าสามารถใช้ Azure สำหรับขยายคลัสเตอร์ออกไป จากเดิมที่รองรับเฉพาะ AWS ทำให้ลูกค้า Nutanix สามารถย้ายโหลดไปยังคลาวด์ที่ต้องการ ทั้งกรณีต้องการขยายระบบชั่วคราว, ย้ายระบบถาวร, หรือใช้คลาวด์เป็นศูนย์ข้อมูลสำรอง สำหรับลูกค้าที่ใช้ Azure อยู่แล้ว ทาง Nutanix ระบุว่าการใช้งาน Nutanix Clusters on Azure จะนับเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาการใช้งาน Microsoft Azure Consumption Commitment (MACC) สำหรับผู้ใช้ระบบจัดการ VM ของ Nutanix ในงานมีการเปิดตัว Flow Networking ระบบจัดการเน็ตเวิร์คแบบ software-defined network จัดการการเชื่อมต่อ VPC ไปยังคลาวด์, NAT, Access Control Lists (ACL), ไปจนถึง VPN โดยหน้าจอจัดการยังอยู่ใน Prism เช่นเดิม และสามารถจัดการได้ไม่ว่าเซิร์ฟเวอร์จริงจะอยู่ on-premise หรือบนคลาวด์ Flow Networking จะปล่อยฟีเจอร์จริงปีหน้า ส่วน Nutanix Clusters on Azure เปิดให้ลงทะเบียนรอคิวทดสอบพรีวิวแล้ว ที่มา - Nutanix (Azure), Nutanix (Flow)
# ลูกคุณเป็น Doomslayer โปรแกรมเมอร์แปลงที่ตรวจครรภ์แบบดิจิทัล จนเล่น Doom ได้ มุกวงในของเกม Doom ภาคแรก คือเกมนี้สามารถเล่นได้บนทุกอุปกรณ์ โดยมีชาเล้นจ์ “Will it run Doom?” บนเว็บไซต์ Reddit ให้คนพอร์ตเกมนี้ไปลงอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งก็มีทั้งเครื่องคิดเลข เครื่องพิมพ์เอกสาร กล้องดิจิทัล และอื่นๆ ล่าสุดโปรแกรมเมอร์หัวใส @Foone บนทวิตเตอร์ดัดแปลงโค้ด และตัวเครื่องภายในของที่ตรวจครรภ์แบบดิจิทัล จนเล่นเกม Doom ได้จริงแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาทำได้แค่เล่นวิดีโอเท่านั้น แม้ Foone อาจจะแอบโกงไปหน่อย เพราะเขาเปลี่ยนซีพียูของเครื่องใหม่ (บน PCB ไซส์เดิม) แล้วยัดกลับเข้าไป กับเปลี่ยนหน้าจอเป็นจอ OLED ขาวดำ ความละเอียด 128x32 แทนหน้าจอดิจิทัลของเครื่อง และเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด Bluetooth จิ๋ว แต่ความพยายามในการดัดแปลงทั้งตัวเครื่องและตัวเกม Doom จนพอจะเล่นบนฮาร์ดแวร์แปลกประหลาดนี้ได้ ก็ยังน่าชื่นชมอยู่ดี ที่มา - Twitter: Foone via CNET
# เปิดตัว Hyrule Warriors: Age of Calamity เกม Zelda เนื้อเรื่องก่อน Breath of the Wild 100 ปี Nintendo เปิดตัวเกม Zelda แนวแอ็กชั่นตะลุยฝูงศัตรูภาคใหม่บน Nintendo Switch ชื่อภาค Age of Calamity เนื้อเรื่องจะอยู่ในช่วงเดียวกันกับชื่อภาค คือประมาณ 100 ปีก่อนเริ่มเรื่องภาค Breath of the Wild เป็นช่วงการทำสงครามกับ Great Calamity Ganon ก่อน Link จะหลับไหล ตัวเกมยังอิงระบบแอ็กชั่น เน้นทำคอมโบตะลุยฝูงศัตรู จากเกมตระกูล Warriors เช่นเคย และมีตัวละครคือ Link, Zelda, Daruk, Mipha, Revali, และ Urbosa มีเนื้อเรื่องที่จะเปิดเผยรายละเอียดความสัมพันธ์และมิตรภาพของตัวละครในช่วงสงครามกับ Great Calamity Nintendo จะมีแถลงเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้งในวันที่ 26 กันยายนนี้ ตัวเกมมีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่มา - Polygon
# Waze แอปนำทางของกูเกิลให้วางแผนการเดินทางบนเว็บ และบันทึกไปยังแอปได้ Waze บริการแผนที่และนำทางในเครือกูเกิล เพิ่มความสามารถใหม่ สามารถวางแผนการเดินทางได้จากฟีเจอร์ Live Map บนเว็บ และกดบันทึกไปยังแอปมือถือได้โดยการคลิก Save to app ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปสางแผนการเดินทางล่วงหน้าผ่านเว็บได้ ปักจุดเริ่มต้น จุดหมายปลายทาง และเวลาที่คาดว่าจะต้องถึงที่หมาย และกดบันทึกไปยังแอป ตัวแอปจะส่งการแจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงเวลาออกจากที่พัก และจะส่งคำเตือนล่วงหน้าด้วยถ้าการจราจรติดขัดกว่าปกติ ข้อดีคือสามารถวางแผนล่วงหน้า ไม่ต้องคอยกดดูใหม่บนมือถือในวันที่ต้องเดินทาง และสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ 7 วัน ที่มา - Waze
# กูเกิลเปิดตัว Orion WiFi เชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะอัตโนมัติ เมื่อเน็ตมือถือเริ่มใช้งานไม่ได้ Area 120 หน่วยบ่มเพาะนวัตกรรมในกูเกิล เปิดตัวโปรเจกต์ใหม่ Orion WiFi เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้คนใช้งานมือถือเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะได้ในเวลาที่อินเทอร์เน็ตมือถือของตัวเองไม่สามารถใช้งานได้ เช่น เวลาที่ต้องเข้าอาคาร เริ่มใช้งานในสหรัฐฯ ก่อน ผู้ให้บริการ WiFi สาธารณะ สามารถขายความสามารถการเชื่อมต่อให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมผ่านแพลตฟอร์ม Orion WiFi ซึ่งกูเกิลบอกว่าวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายและห้างร้านต่างๆ สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีแก่ลูกค้าได้ และในมุมผู้ใช้งานก็จะสามารถเชื่อมต่อ WiFi สาธารณะได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้ Google Fi และ Republic Wireless เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายรายแรกๆ ที่เข้าร่วมโปรเจกต์ Orion WiFi และยังมีการทำงานร่วมกับผู้ให้บริการ Wi-Fi อย่าง Cisco Systems, CommScope (RUCKUS) และ Juniper Mist รวมถึง Boingo ผู้ให้บริการ Wi-Fi สาธารณะรายใหญ่ในสหรัฐฯ เป็นต้น ที่มา - กูเกิล
# [ไม่ยืนยัน] จีนบล็อกเว็บสอนเขียนโค้ด Scratch คาดว่าเพราะวิดีโอสนับสนุนฮ่องกงในฟอรั่ม เว็บไซต์ The Register รายงานว่าจีนบล็อกเว็บไซต์สอนเขียนโค้ดสำหรับเด็ก Scratch โดยมีผู้ใช้งานในจีนพบว่าพวกเขาเข้าใช้งานเว็บไซต์ไม่ได้ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สาเหตุที่บล็อกนั้นไม่ชัดเจน แต่คาดว่าน่าจะมาจากวิดีโอที่โพสต์ในฟอรั่ม มีเนื้อหาไม่เห็นด้วยกับกฎหมายความมั่นคงใหม่ในฮ่องกง การเข้าใช้งาน Scratch ไม่ได้ เท่ากับไม่สามารถเข้าถึงโปรเจกต์และตัวอย่างโค้ดจำนวนมากที่เก็บไว้ที่ scratch.mit.edu/ จึงยากที่จะจินตนาการว่า ผู้ใช้งานชาวจีนจะได้รับผลกระทบขนาดไหนแก่นักพัฒนาหรือนักเรียนในจีน ภาพจาก Scratch ที่มา - The Register
# แอปเปิลฟ้องกลับ Epic เรียกค่าเสียหายและให้ศาลสั่งถอดระบบจ่ายเงิน หลัง Epic Games ฟ้องร้องแอปเปิลและ Google ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่แล้วฐานผูกขาด ล่าสุดแอปเปิลยื่นฟ้อง Epic กลับแล้ว พร้อมเรียกค่าเสียหายจากกรณีที่ไม่สามารถเก็บค่าธรรมเนียม 30% จากธุรกรรมที่เกิดขึ้นจากระบบเก็บเงินของ Fortnite รวมถึงขอให้ศาลสั่งให้ Epic ถอดระบบจ่ายเงินดังกล่าวออกจากตัวเกม แอปเปิลบอกว่าพฤติกรรมของ Epic ทำร้ายและแทรกแซงความสัมพันธ์ระหว่างแอปเปิลและลูกค้า ไม่รวมการพรากผลประโยชน์ของแอปเปิล ขณะที่แม้ Epic จะบอกว่าตัวเองเป็นโรบิน ฮู้ด แต่ในความจริงก็เป็นบริษัทมูลค่าหลายหมื่นล้าน ที่ไม่ต้องการจ่ายเงินสักเหรียญ จากมูลค่ามหาศาลที่ตัวเองได้ประโยชน์จาก App Store ที่มา - Bloomberg
# Bloomberg: Apple Event 15 กันยายนนี้จะมีแต่ iPad และ Apple Watch Marc Gurman นักข่าว Bloomberg ที่เขียนบทวิเคราะห์และข่าวอินไซด์เกี่ยวกับแอปเปิลได้ค่อนข้างแม่นยำ ระบุว่างาน Apple Event ที่จัดวันที่ 15 กันยายนนี้จะเป็นการเปิดตัวเฉพาะ iPad และ Apple Watch ขณะที่ iPhone จะเปิดตัวตามข่าวลือก่อนหน้านี้คือช่วงเดือนตุลาคม ฮาร์ดแวร์ใหม่ทั้งหมดที่แอปเปิลจะเปิดตัว (ไม่ใช่ทีเดียวพร้อมกัน) นอกจาก iPhone, iPad, Apple Watch และ MacBook ที่ใช้ Apple Silicon แล้ว Marc ยังระบุว่าจะมี HomePod รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นแรกและหูฟังไร้สายแบบ over-the-head ที่เป็นแบรนด์ Apple เอง ซึ่งฮาร์ดแวร์ 2 ชิ้นหลังอาจเปิดตัวในปีนี้เป็นอย่างเร็ว ที่มา - Bloomberg
# กูเกิลเปิดตัว Verified Calls ให้ธุรกิจโทรหาลูกค้าได้โดยไม่โดนเข้าใจผิดว่าเป็นสแปม กูเกิลเปิดตัว Verified Calls by Google ให้ธุรกิจโทรหาลูกค้าได้โดยไม่โดนเข้าใจผิดว่าเป็นสแปม เมื่อธุรกิจโทรหาลูกค้า ระบบจะแสดงโลโก้ธุรกิจบนหน้าจอมือถือของลูกค้า รวมทั้งข้อมูลสำคัญอย่างเหตุผลที่โทรมา ยกตัวอย่างเช่น โทรมายืนยันการจ่าย, โทรมายืนยันเที่ยวบิน, โทรมาเพื่อยืนยันว่าอาหารกำลังจะมาส่งถึงบ้านเป็นต้น นอกจากนี้ยังแสดงสัญลักษณ์ Verified เพื่อยืนยันว่าเป็นธุรกิจเจ้านี้จริงๆ ที่โทรเข้ามา ผู้ใช้งานสามารถใช้งานฟีเจอร์ Verified Calls by Google ได้ผ่านแอปพลิเคชั่น Phone ของกูเกิล ซึ่งจะเปิดให้ดาวน์โหลดบนมือถือแอนดรอยด์ในอนาคต เบื้องต้นจะยังใช้งานได้เฉพาะ สหรัฐฯ เม็กซิโก อินเดีย สเปน และบราซิล กูเกิลบอกว่าฟีเจอร์นี้จะช่วยแก้ปัญหาการสื่อสารระหว่างธุรกิจกับลูกค้าได้ เพราะคนมักไม่อยากรับโทรศัพท์ที่เป็นเบอร์แปลก เกรงว่าจะเป็นสแปม หรือร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือเป็นสายที่โทรเข้ามาเพื่อต้มตุ๋น ที่มา - กูเกิล
# กูเกิลปล่อย Android 11 ตัวจริง Pixel, OnePlus, Xiaomi, OPPO, realme ได้อัพเดตวันแรก กูเกิลปล่อย Android 11 เป็นทางการตามที่ประกาศไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว โดยโทรศัพท์ที่ได้รับอัพเดตวันแรก ได้แก่ Pixel 2/3/3A/4/4A, OnePlus 8/8 Pro, Oppo X2/Reno 3, Xiaomi Mi 10/Mi 10 Pro, Redmi K30 Pro (POCO F2 Pro), และ realme X50 Pro Android 11 เพิ่มฟีเจอร์สำคัญๆ เช่น Bubble API สำหรับทำ Chat Head แบบเดียวกับ Facebook Messenger, ระบบอัดวิดีโอหน้าจอในตัว, รองรับ Android Auto แบบไร้สาย, ควบคุมการให้สิทธิแอปได้ละเอียดขึ้นด้วยการให้สิทธิ์สำหรับการใช้งานครั้งนั้นครั้งเดียว, ระบบปฎิบัติการรู้ว่าแอปใดไม่ได้ใช้งานนาน จะถอดสิทธิ์ที่ให้ไว้อัตโนมัติ สำหรับผู้ใช้ในไทย มีรายงานว่าแอปธนาคารบางแห่งยังไม่รองรับ Android 11 ควรตรวจสอบก่อนอัพเดต ที่มา - Google
# โรงพยาบาลสระบุรีถูก Ransomware โจมตี โรงพยาบาลขอคนไข้นำรายการยาเดิมไปรับบริการ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาโรงพยาบาลสระบุรีประกาศว่าระบบคอมพิวเตอร์ขัดข้องจนกระทั่งไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้ทางโรงพยาบาลต้องขอให้ผู้มารับบริการนำเอกสาร รวมถึงรายการยาเดิมและตัวยาเดิมมารับบริการด้วย คุณ Jarinya Jupanich แพทย์ที่โรงพยาบาลโพสเปิดเผยว่าสาเหตุเกิดจากระบบคอมพิวเตอร์ถูกมัลแวร์เรียกค่าไถ่โจมตี ทำให้ข้อมูลสูญหาย และไฟล์สำรองที่มีอยู่ไม่ถึงปัจจุบัน คาดว่ามัลแวร์ที่ติดมาเป็น VoidCrypt (.spade) มัลแวร์เข้ารหัสเรียกค่าไถ่หรือ ransomware ยังคงเป็นภัยไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายขนาดใหญ่ต่อเนื่อง กรณีที่ความเสียหายร้ายแรงเป็นวงกว้างที่สุดช่วงที่ผ่านมาคือ การโจมตี Garmin จนระบบล่มไปเกือบสัปดาห์ ที่มา - Facebook: โรงพยาบาลสระบุรี
# แอปเปิลประกาศจัดงานอีเวนท์วันที่ 15 กันยายนนี้, คาดเปิดตัว iPhone 12, iPad Air ไม่นานหลังมีกระแส #AppleEvent บนทวิตเตอร์ ล่าสุดแอปเปิลประกาศจัดงาน Apple Event วันที่ 15 กันยายนนี้ เวลา 10.00 ตามเวลาแปซิฟิก ตรงกับเที่ยงคืน เข้าวันที่ 16 กันยายน ข่าวลือที่ลือกันคืองานรอบนี้จะเป็นการเปิดตัว iPhone 12, iPad Air รุ่นใหม่และ Apple Watch Series 6 ที่มา - Apple Event
# หลุดสเปก Xbox Series S เล่นเกมที่ 1440p, SSD ความเร็วสูง 512GB, รองรับ Ray Tracing วันนี้ไมโครซอฟท์เปิดตัว Xbox Series S ในราคา 299 ดอลลาร์ หลังมีข้อมูลหลุดได้ไม่กี่ชั่วโมง แต่ยังอุบรายละเอียดของตัวเครื่องไว้อยู่ หลังไมโครซอฟท์ทวีตเปิดตัว Xbox Series S อย่างเป็นทางการ บัญชีทวิตเตอร์ WalkingCat (@_h0x0d_) ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องข่าวหลุดไมโครซอฟท์มานาน ก็โพสต์คลิปเปิดตัว Xbox Series S ตามมาทันที ในคลิปนี้แสดงให้เห็นดีไซน์ของ Xbox Series S ที่มีตะแกรงระบายความร้อนขนาดใหญ่ ตัวเครื่องที่โฆษณาว่าเล็กที่สุดในบรรดา Xbox ทั้งหมด และการไม่มีช่องอ่านแผ่นดิสก์ เล่นได้เฉพาะเกมแบบดิจิทัลดาวน์โหลดเท่านั้น ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคือสเปกคร่าวๆ ของ Series S คือ ความละเอียด 1440p เฟรมเรตสูงสุด 120 FPS โดยสามารถอัพสเกลภาพได้เป็น 4K จีพียูรองรับ Ray Tracing และ Variable Rate Shading เหมือน Series X สตอเรจเป็น SSD แบบคัสตอมขนาด 512GB รองรับสถาปัตยกรรม Velocity Engine เหมือน Series X (แต่ Series X ให้สตอเรจ 1TB) เท่ากับว่าตอนนี้เรายังขาดข้อมูลสำคัญๆ แค่สเปกละเอียดของซีพียู จีพียู แรม เท่านั้น ข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการจากเว็บไซต์ Windows Central ระบุไว้ดังนี้ ซีพียูเท่ากับ Series X จีพียู 4 TFLOPS (Series X 12 TFLOPS) แรม 10GB (Series X ให้ 16GB) ที่มา - MSPoweruser, Windows Central
# ออสเตรเลียเริ่มสอบสวน Google Play/App Store ขายพ่วงหรือไม่ กรรมการการแข่งขันทางการค้าและการปกป้องผู้บริโภคออสเตรเลีย (Australian Competition and Consumer Commission - ACCC) ออกเอกสารขอข้อมูลและความเห็นต่อสภาพการแข่งขันของตลาดแอปพลิเคชั่น ที่มีกูเกิลและแอปเปิลครองตลาดส่วนใหญ่ เอกสารมีทั้งส่วนปูพื้นภาพรวมอุตสาหกรรมและคำถามถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม โดย ACCC ต้องการหาข้อมูลใน 8 ประเด็นได้แก่ กูเกิลและแอปเปิลมีแรงจูงใจในการขายพ่วงบริการอื่นๆ เข้ากับบริการแอปสโตร์ของตัวเองหรือไม่ หากมีแล้วจะมีผลต่อผู้บริโภคและธุรกิจอย่างไรบ้าง ผลกระทบจากการที่กูเกิลและแอปเปิลมีบทบาทหลายส่วนพร้อมกัน โดยเป็นทั้งผู้พัฒนาแอป, ผู้พัฒนาระบบปฎิบัติการ, ผู้ผลิตอุปกรณ์ ไปพร้อมกับเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ จากคู่แข่ง สภาพเช่นนี้กระทบต่อการแข่งขันจากผู้พัฒนาแอปภายนอกหรือไม่ ผลกระทบของเงื่อนไข และค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมถึงค่าธรรมเนียม In-App Purchase ที่เก็บจากผู้พัฒนาแอป ผลกระทบของค่าธรรมเนียมกับการสร้างนวัตกรรม กระบวนอนุญาตนำแอปขึ้นสโตร์มีผลกระทบต่อผู้พัฒนาและผู้บริโภคอย่างไรบ้าง กระบวนการเรียงลำดับแอปในสโตร์ทำอย่างไร กระบวนการเก็บข้อมูลผู้ใช้แอปสโตร์ มีการใช้งานโดยผู้ให้บริการสโตร์เองหรือไม่ และแจ้งผู้ใช้เพียงพอหรือไม่ว่าเก็บข้อมูลอะไรบ้าง แอปสโตร์มีกระบวนการปกป้องผู้ใช้จากแอปอันตรายเพียงพอหรือไม่ ทาง ACCC ระบุว่าการสำรวจครั้งนี้เป็นเพียงการหาข้อมูลเพื่อออกรายงานเสนอต่อกระทรวงการคลัง (Treasurer) แต่ผลต่อเนื่องจากรายงานอาจจะเป็นการออกคำสั่งจาก ACCC ด้วยอำนาจตามกฎหมายการแข่งขันทางการค้า ไปจนถึงการแนะนำให้รัฐบาลตรากฎหมายใหม่เพื่อแก้ปัญหา โดยตัวรายงานจะออกตัวจริงเดือนมีนาคม 2021 ที่มา - ACCC
# Ruby 3 ยืนยันออกวันคริสตมาสปีนี้ Yukihiro Matsumoto ผู้สร้างภาษา Ruby ยืนยันว่าจะออก Ruby 3 ในวันที่ 25 ธันวาคมหรือวันคริสตมาสปีนี้ หลังจากก่อนหน้านี้มีกำหนดปล่อย Ruby 3 พร้อมกับการแข่งขันโอลิมปิกในโตเกียวแต่โอลิมปิกเลื่อนออกไป Ruby 3 จะไม่สามารถทำงานร่วมกับ Ruby 2.x ได้จากการเปลี่ยนระบบการใช้ Hash แทนอาร์กิวเมนต์ระบุชื่อ (keyword argument) โค้ดที่ยังใช้รูปแบบเดิมจะถูกเตือนว่าโค้ดจะทำงานใน Ruby 3 ไม่ได้ตั้งแต่ Ruby 2.7 เป็นต้นมา โดย Matsumoto ตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เข้ากับของเดิมเช่นนี้เป็นความท้าทาย เขายกตัวอย่าง Python ที่ใช้เวลาถึง 10 ปีในการยกเลิกซัพพอร์ตเวอร์ชั่นเก่า ส่วนภาษาอื่นๆ ก็ต้องยกเลิกการเปลี่ยนโครงสร้างภาษาที่กระทบผู้ใช้หนักๆ มาแล้วหลายครั้ง แต่อีกด้านหนึ่งหากภาษาไม่มีพัฒนาการ นักพัฒนาก็อาจจะเลือกพัฒนาโครงการใหม่ในภาษาอื่นแทน Ruby 3 จะรองรับ Pattern Matching จากเดิมที่เป็นฟีเจอร์ทดลองใน Ruby 2.7, สามารถกำหนดค่าตัวแปรไปทางขวา (right side assignment), และอ้างอิงอาร์กิวเมนต์จากหมายเลขตำแหน่ง (numbered block parameters) ที่มา - The New Stack ฟีเจอร์ Pattern Matching ของ Ruby 2.7/3
# ผู้พัฒนา Cyberpunk 2077 ระบุ microtransactions ในส่วน multiplayer จะไม่ขูดรีดผู้เล่น แม้ CD Projekt Red จะเคยระบุว่าในโหมดเนื้อเรื่อง จะไม่มีการเก็บเงินแบบ microtransactions โดยเด็ดขาด แต่ในเกมส่วน multiplayer ที่จะออกตามมาทีหลัง เคยมีการเปิดเผยไปก่อนหน้านี้ว่าอาจมี microtransactions หรือระบบจ่ายเงินซื้อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในเกม ล่าสุด Adam Kicinski ซีอีโอของ CD Projekt Red พูดในการรายงานผลประกอบการของบริษัทว่าทีมพัฒนา กำลังหาวิธีให้ผู้เล่นสามารถจ่ายเงินเพิ่มได้อย่างมีความสุข และยังยืนยันว่าจะไม่ขูดรีดผู้เล่น (“we won't be aggressive.”) แต่จะออกแบบระบบจ่ายเงินที่ผู้เล่นรู้สึกว่าของที่ซื้อมานั้นมีคุณค่า คุ้มกับเงินที่จ่ายไป เกมส่วน multiplayer ของ Cyberpunk 2077 ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ และ Gamespot เคยรายงานว่าน่าจะเสร็จหลังปี 2021 ไปอีก ส่วน Cyberpunk 2077 ภาคหลัก เตรียมวางขายวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้แน่นอน (ไม่เลื่อนแล้ว) จะมี DLC และเนื้อหาฟรี พร้อมตั้งเป้า เอาชนะมาตรฐานที่ตัวเองตั้งไว้ จากเกม The Witcher 3 ที่มา - Gamespot
# [ลือ] Apple เตรียมเริ่มผลิต iPhone รองรับ 5G กลางเดือนกันยายนนี้ Nikkei Asian Review อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตน รายงานว่า Apple เตรียมเริ่มผลิต iPhone รุ่นแรกที่รองรับ 5G แบบจำกัดจำนวนกลางเดือนกันยายนนี้ ก่อนจะขยายไปผลิตแบบจำนวนมากในช่วงสิ้นเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม แทนที่จะล่าช้าเป็นเดือน อาจะเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์ แหล่งข่าวของ Nikkei คาดว่า Apple น่าจะผลิต iPhone รุ่นรองรับ 5G ได้ประมาณ 73-74 ล้านเครื่อง ภายในสิ้นปีนี้ แม้ช่วงแรกจะสั่งชิ้นส่วนไว้สำหรับยอดประมาณ 100 ล้านเครื่อง ก่อนจะลดลงเป็น 80 ล้านเครื่องหลังมีวิกฤตโควิดก็ตาม โดยส่วนต่างจะถูกยกยอดไปผลิตในปี 2021 แทน iPhone รุ่น 5G จะเริ่มผลิตอย่างน้อยหนึ่งรุ่นกลางเดือนกันยายน คือรุ่นหน้าจอ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ที่มีกล้องหลังสองกล้อง คิดเป็น 40% ของยอดการผลิตทั้งหมดที่ Apple สั่งในปีนี้ ส่วนรุ่นที่แพงที่สุด จะเป็นรุ่นหน้าจอ OLED 6.7 นิ้ว กล้องหลังสามกล้อง ขณะที่ iPhone ทั้งหมดยังผลิตในประเทศจีนอยู่ โดยสายพานการผลิตจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด และค่อยๆ เพิ่มการผลิตขึ้นในเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ก่อนหน้านี้ คำสั่งกักตัวของรัฐแคลิฟอร์เนียในช่วงเดือนมีนาคมกระทบกับการผลิต iPhone รุ่นใหม่ จน Apple ถึงกับเคยถกภายในว่าอาจเลื่อนการเปิดตัวไปถึงปีหน้า รวมถึงมีการปรับรูปแบบวงจรภายในจาก 4G มาเป็น 5G ซึ่งต้องใช้การทดสอบและการสื่อสารที่ใกล้ชิดระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศผู้ผลิตในเอเชีย แต่สุดท้ายก็เร่งปรับการผลิตจนทันภายในปีนี้ แหล่งข่าวระบุว่า Apple เตรียมเปิดตัว iPhone ที่รองรับ 5G ทั้งหมด 4 รุ่น 3 ขนาดในปีนี้ โดยมีขนาดหน้าจอ 5.4, 6.1 และ 6.7 นิ้ว เป็นจอ OLED ทั้งหมด นอกจากนี้ยังสั่งเพิ่มกำลังการผลิต iPad เพื่อรองรับการทำงานจากบ้านที่มากขึ้น เตรียมวางจำหน่าย Airtag อุปกรณ์ติดตามที่แหล่งข่าวของ Nikkei ระบุว่าเริ่มผลิตไปแล้ว และอาจเปิดตัว MacBook รุ่นที่ใช้ชิป ARM จาก Apple เอง ภายในปีนี้อีกด้วย ที่มา - Nikkei Asian Review
# สิงคโปร์เตรียมติดระบบติดตามรถด้วยดาวเทียมบนรถทุกคัน คิดค่าใช้ถนนตามสภาพจราจร ขนส่งทางบกสิงคโปร์ (Land Transport Authority - LTA) ประกาศอัพเกรดระบบคิดค่าใช้ทางพิเศษและที่จอดรถจากเดิมคิดตามจุดเก็บค่าผ่านทางและสภาพจราจรมาเป็นระบบคิดค่าใช้งานตามจริงจากกล่องจ่ายค่าผ่านทางที่สามารถบันทึกตำแหน่งรถด้วยสัญญาณดาวเทียมนำทางเช่น GPS ได้ ในชื่อระบบ nexgen ERP ระบบ ERP เดิมของสิงคโปร์เป็น RFID ที่เรียกเก็บค่าผ่านทางจากบัตรเครดิตที่เสียบอยู่กล่อง ERP ในรถคล้าย EasyPass/M-Pass ในไทย แต่กล่อง on-board unit (OBU) ของ nexgen ERP สามารถบันทึกพิกัดจากดาวเทียมนำทางได้ทำให้ทาง LTA สามารถกำหนดค่าผ่านทางได้อย่างละเอียด และจะได้รับข้อมูลสภาพการจราจรอย่างชัดเจน ทาง LTA จะบังคับรถใหม่ทั้งหมดต้องติดกล่อง OBU ในอนาคต โดยกล่องจะเริ่มภายในปลายปี 2021 สำหรับผู้ติดกล่อง ERP เดิมจะได้เปลี่ยนฟรี และการคิดค่าผ่านทางจะใช้ระบบ ERP เดิมไปก่อนจนถึงปี 2023 สำหรับประเด็นความเป็นส่วนตัว LTA ยืนยันว่าการเก็บข้อมูลพิกัดรถโดยทั่วไปจะไม่ระบุตัวตน ยกเว้นการบันทึกเพื่อเก็บค่าผ่านทางหรือบันทึกไม่ยอมจ่ายค่าผ่านทาง ที่มา - LTA กล่อง OBU สำหรับรถทั่วไป มีอุปกรณ์ 3 ชิ้น ได้แก่ เสารับสัญญาณ, จอสัมผัส, และกล่องประมวลผลที่รับบัตรเครดิต
# Facebook เปิดให้โอนถ่ายข้อมูลรูปภาพและวิดีโอไปยัง Dropbox, Koofr แล้ว ก่อนหน้านี้ Facebook เปิดให้โอนถ่ายข้อมูลรูปภาพและวิดีโอไปยัง Google Photos แล้ว ล่าสุดเพิ่มอีกสองทางเลือกคือ Dropbox และ Koofr (บริการคลาวด์ในยุโรป) แล้ว วิธีการคือ กดที่เมนู Your Facebook Information จะเห็นปลายทางถ่ายโอนเพิ่มขึ้น ในการถ่ายโอนข้อมูล ต้องกรอกทั้งรหัสผ่านทั้ง Facebook และบริการปลายทางที่เราจะโอนข้อมูลไป การถ่ายโอนข้อมูลเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Data Transfer Project ที่เปิดทางเลือกให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายโอนข้อมูลข้ามแพลตฟอร์มได้ Facebook ระบุด้วยว่าจะเพิ่มทางเลือกการถ่ายโอนข้อมูลให้มากขึ้นในอนาคต ที่มา - Facebook
# ไมโครซอฟท์ให้โหลด Expressive Pixels เครื่องมือสร้างอีโมจิเคลื่อนไหวบน Windows 10 ฟรี ไมโครซอฟท์เปิดตัวแอปพลิเคชั่น Expressive Pixels บน Windows 10 ให้นักพัฒนาเข้าถึงชุดเครื่องมือสร้างอีโมจิแอนิเมชั่นฟรี สามารถดาวน์โหลดได้ที่ Microsoft Store นักพัฒนาสามารถเข้ามาสร้างอีโมจิในแบบของตัวเอง นำไปใช้งานบนอุปกรณ์ LED หรือใน PC ทั่วไปได้ โดยไมโครซอฟท์บอกว่า อีโมจิเคลื่อนไหว คือสื่อหนึ่งที่สามารถแทนการสื่อสารเป็นคำพูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปิดโอกาสการเข้าถึงสำหรับผู้พิการ โดย Expressive Pixels นี้เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่าง Enable Group และกลุ่มคนที่มีปัญหาทางการสื่อสารมาเป็นระยะเวลาหลายปี ที่มา - ไมโครซอฟท์
# เปิดราคา Xbox Series S 299 เหรียญ, Xbox Series X คาด 499 เหรียญ ขาย 10 พ.ย. นี้ อัปเดตเพิ่มเติม: Xbox ทวีตภาพอย่างเป็นทางการแล้ว ดีไซน์ตามที่หลุดมา ราคา 299 เหรียญจริง Brad Sams จากเว็บไซต์ Thurrott โพสต์รูปภาพที่อ้างว่าเป็นดีไซน์ของ Xbox Series S เครื่องคอนโซลเน็กซ์เจ็นรุ่นประหยัดจากฝั่งไมโครซอฟต์ ที่จะเน้นการเล่นเกมความละเอียด 1080p พร้อมราคา 299 เหรียญสหรัฐ (ราว 9,400 บาท) หลังจากนั้นทวิตเตอร์ WalkingCat (@h0x0d) ก็ทวีตวิดีโอที่เป็นดีไซน์เครื่องแบบเดียวกัน หลังจากนั้น Windows Central ก็ออกมายืนยันอีกเสียง ว่าแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตนของเว็บ ยืนยันว่าภาพนี้เป็นดีไซน์จริง ราคา 299 เหรียญจริง และจะถูกรวมอยู่ในแพ็คเกจ Xbox All Access ที่จะมาพร้อมตัวเครื่อง Xbox Live และ Game Pass ในราคาเดือนละ 25 เหรียญด้วย นอกจากนี้ Windows Central ยังเปิดเผยอีกว่า Xbox Series X จะมีราคา 499 เหรียญ (ราว 15,690 บาท) จะรวมอยู่ในแพ็คเกจ Xbox All Access ราคา 35 เหรียญต่อเดือน และทั้งสองรุ่นจะวางจำหน่าย ในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ ที่มา - Thurrott, Windows Central via The Verge, Twitter:Xbox
# หลุดภาพ Spotify กำลังทดสอบฟีเจอร์คาราโอเกะ, ผู้ใช้ฟรีฟังเพลงออฟไลน์วันละ 30 นาที Jane Manchun Wong (@wongmjane) นักวิจัยจากฮ่องกงเปิดเผยภาพสกรีนช็อตเปิดเผยว่า Spotify กำลังทดสอบฟีเจอร์คาราโกเอะภายในแอป โดยในหน้าแสดงเนื้อเพลง ด้านล่างซ้ายจะมีตัวเลือกไมโครโฟน ก่อนจะสามารถเลือกให้ลดเสียงนักร้องลงได้ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกเช่น Group Session เล่นบนลำโพงไร้สายหากเชื่อมต่ออยู่ในวง Wi-Fi เดียวกัน, หน้า UI ใหม่ของ Car Mode, ผู้ใช้ฟรีสามารถฟังเพลงแบบออฟไลน์ได้วันละ 30 นาที เป็นต้น ที่มา - @wongmjane via Android Police
# iCloud, Google Drive, Dropbox ถูกหน่วยงานด้านการแข่งขันอิตาลีสอบสวน AGCM หรือหน่วยงานด้านการแข่งขันของอิตาลีประกาศสอบสวนผู้ให้บริการคลาวด์สตอเรจ iCloud, Google Drive และ Dropbox ทั้งหมด 6 กรณี หลังจากได้รับข้อร้องเรียนมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ประเด็นหลัก ๆ ที่ทั้ง 3 เจ้าถูกสอบสวนเหมือนกันคือการเก็บข้อมูลผู้บริโภคเพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยไม่มีการเปิดเผยหรือถามความยินยอมก่อน ขณะที่ Dropbox มีเรื่องการไม่เปิดเผยถึงข้อมูลในสัญญา เช่น บริษัทสามารถยกเลิกสัญญาหรือใช้สิทธิพิจารณาสัญญาใหม่ ที่มา - AGCM via TechCrunch
# ซัมซุงต้องมีคำตอบ ผลทดสอบ Exynos 990 กับ SD 865+ ใน Note 20 Ultra 5G คะแนนต่างกัน 10-15% Jerry Rig Everything ยูทูบเบอร์สายแกะเครื่องทดสอบชื่อดัง ทำการทดสอบชิป Exynos 990 เทียบกับ Snapdragon 865+ ใน Galaxy Note 20 Ultra 5G ที่นอกจากจะใช้ระบบระบายความร้อนต่างกัน (Exynos ใช้ทองแดง Snapdragon ใช้กราไฟต์) ยังพบข้อแตกต่างด้านประสิทธิภาพเกือบ 10-15% และแบตเตอรี่ฝั่ง Exynos ลดลงมากกว่า Snapdragon ถึง 5% หลังการทดสอบ Jerry Rig Everything (Zack Nelson) ใช้แอป Geekbench เพื่อทำการทดสอบ ได้ผลคะแนน Single Core รุ่น Exynos 990 อยู่ที่ 896 คะแนน ส่วน Snapdragon 865+ อยู่ที่ 983 คะแนน หรือต่างกัน 87 คะแนน (ประมาณ 10%) ซึ่งอาจจะไม่มากนัก และน่าจะเป็นจุดที่ซัมซุงเคลมว่าใน “การใช้งานทั่วไป” มีประสิทธิภาพไม่ต่างกัน แต่เมื่อดูคะแนนทดสอบแบบ Multi Core ที่ Exynos 990 ได้ 2696 คะแนน เทียบกับ Snapdragon 865+ ที่ได้ 3152 คะแนนแล้ว ต่างกันถึง 456 คะแนนเลย (ประมาณ 16%) ส่วนในด้านอุณหภูมิ Zack บอกว่าต่างกันไม่มาก และมีหลายปัจจัยแวดล้อม อาจจะเป็นเพราะตัวระบายความร้อนที่ต่างกันก็ได้ จึงยังไม่สรุปอะไรด้านความร้อน นอกจากนี้หลังการทดสอบ แบตรุ่น Exynos เหลือ 72% ในขณะที่แบตรุ่น SD 865+ เหลือ 77% อีกด้วย ต่างกันประมาณ 5% นอกจากนี้เขายังเอา Galaxy Note 10+ รุ่น Snapdragon ของตัวเองมาทดสอบเทียบ และได้คะแนน Multi Core ไป 2500 คะแนน น้อยกว่า Note 20 Ultra 5G รุ่น Exynos 990 ไม่ถึงสองร้อยคะแนน ทำให้ Zack ค่อนข้างไม่พอใจ ที่ผู้ใช้จ่ายเงินเท่ากัน แต่ได้ของที่ประสิทธิภาพต่างกัน เขาคิดว่าซัมซุงไม่ควรทำแบบนี้ต่อ และยังพูดอีกว่า Galaxy Note 10+ น่าจะเป็นมือถือซัมซุงเครื่องสุดท้ายที่เขาจะใช้อีกด้วย ที่มา - Jerry Rig Everything via Android Community
# AI วิเคราะห์ Henry Cavil / Karl Urban เหมาะเป็น James Bond คนต่อไป No Time to Die จะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายในบท James Bond ของ Daniel Craig แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวนักแสดงคนใหม่ที่จะมารับบท Bond คนต่อไป (มีการคาดกันว่า Bond อาจจะตายในภาคนี้) ขณะที่ Largo.ai บริษัทพัฒนา AI สำหรับวิเคราะห์ภาพยนตร์ได้พัฒนาอัลกอริทึม ML เพื่อวิเคราะห์หานักแสดงที่เหมาะจะเป็น Bond คนต่อไป ก่อนจะที่ผลจะออกมาเป็น Henry Cavil จาก Man of Steel และซีรีส์ The Witcher Largo ใช้ ML วิเคราะห์และเปรียบเทียบคุณสมบัติของ Bond และนักแสดงชาวอังกฤษที่เหมาะสมและน่าจะได้รับเสียงตอบรับจากคนดู โดย Henry Cavil นำมาเป็นอันดับ 1 ที่ 92.3% ตามมาด้วย Richard Armitage (รับบท Thorin ใน The Hobbit) ที่ 92% และ Idris Elba (รับบท Heimdall ใน MCU และ Stacker Pentecost ใน Pacific Rim) ขณะที่หากไม่ใช่นักแสดงอังกฤษ ตัวเลือกที่มาเป็นอันดับ 1 คือ Karl Urban (William "Billy" Butcher จากซีรีส์ The Boys และ Leonard McCoy าก Star Trek) ที่ 96.7% ตามมาด้วย Chris Evan 93.9% และ Will Smith 92.2% หรือแม้แต่หากเป็นผู้หญิง ตัวเลือกอันดับหนึ่งคือ Gina Carano (Cara Dune ใน The Mandalorian) ที่ 97.3% ทั้งนี้ Largo.ai ไม่ได้เปิดเผยว่าใช้ชุดข้อมูลใดในการทำนายครั้งนี้ รวมถึงไม่ได้เปิดเผยโมเดลของการทำนาย ที่มา - Screenrant
# Xiaomi เปิดตัว POCO X3 NFC ชิป Snapdragon 732G จอ 120Hz ราคาเริ่มต้น 229 ยูโร Xiaomi เปิดตัวมือถือรุ่นกลาง POCO X3 NFC หน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล รีเฟรชเรต 120Hz อัตรารีเฟรชเรตการสัมผัส 240Hz ใต้กระจก Gorilla Glass 5 ชิปเซ็ตใช้ Snapdragon 732G แรม 6GB แบต 5,160 mAh รองรับชาร์จเร็ว 33W แสกนลายนิ้วมือข้างตัวเครื่อง มีช่องเสียบหูฟัง รัน Android 10 ครอบด้วย MIUI12 รองรับ Wi-Fi 5, Bluetooth 5.1, และ NFC แต่ไม่รองรับ 5G กล้องหน้าเจาะรูกลางจอ ความละเอียด 20MP f 2.2 กล้องหลัง 4 กล้อง กล้องหลัก 64MP กล้องอัลตร้าไวด์มุมมอง 119 องศา 13MP กล้องมาโคร 2MP และ depth sensor 2MP ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K แบบ 30 เฟรมต่อวินาทีได้ หน่วยความจำภายใน มีตัวเลือก 64GB และ 128GB มีสองสี Shadow Gray และ Cobalt Blue รุ่นแรม 6GB + 64GB ราคา 229 ยูโร (ราว 8,500 บาท) รุ่นแรม 6GB + 128GB ราคา 269 ยูโร (ราว 9,990 บาท) วันและราคาวางจำหน่ายในประเทศไทย ต้องติดตามกันต่อไป ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์, XDA Developers
# รู้จัก ARV จากชมรมหุ่นยนต์สู่บริษัทลูก ปตท. สผ. ที่หวังจะเป็นผู้นำด้าน AI และ Robotics ของไทย เทคโนโลยี Deep Tech อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์ (robotics)เริ่มได้รับความสนใจและมีความสำคัญกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่บริษัทสายนี้ยังถือว่ามีค่อนข้างน้อยในไทย และข่าวความก้าวหน้าต่างๆ กลับมาจากบริษัทต่างประเทศแทบทั้งหมด บริษัท AI and Robotics Venture (ARV) เป็นบริษัทลูกของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ปตท. สผ. (PTTEP) เติบโตขึ้นมาจากการเป็นเพียงชมรมหุ่นยนต์เล็ก ๆ ในบริษัท ก่อนจะแยกตัวออกมาเป็นบริษัทลูกเพื่อพัฒนาและขับเคลื่อนวงการ AI/Robotics และตอนนี้ก็มีผลงานที่จับต้องได้ มีการใช้งานจริงออกมาให้เห็นกันแล้ว ARV กำลังมองหานักพัฒนาและวิศวกรมาร่วมงานจำนวนมาก เพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายของการเป็นผู้นำด้าน AI/Robotics ในประเทศไทย จุดเริ่มต้นจากชมรมสู่การสปินออฟบริษัทลูก ดร.ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไปของ ARV เล่าถึงจุดเริ่มต้นของบริษัท ว่าเริ่มขึ้นเมื่อราว 5 ปีที่แล้ว จากการรวมตัวของพนักงาน ปตท. สผ. หลากหลายฝ่าย ที่ส่วนใหญ่มีแบ็คกราวด์เป็นวิศวกร และต้องการหาเทคโนโลยีมาเพื่อช่วยงานภายในบริษัท ก่อนจัดตั้งขึ้นเป็นหนึ่งในชมรมของ ปตท. สผ. ดร.ธนา สราญเวทย์พันธุ์ กิจกรรมช่วงแรก ๆ ของชมรมแบ่งเป็น 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือการชวนพนักงานที่สนใจเรื่องหุ่นยนต์ ไม่ว่าจะมีพื้นฐานหรือไม่ มาทำกิจกรรมร่วมกันในเวลาว่าง เช่น การเขียนแอป พัฒนาซอฟต์แวร์หรือประกอบโดรน อีกด้านคืองานวิจัยและพัฒนาที่ออกแบบหุ่นยนต์มาช่วยแก้ปัญหาให้ ปตท. สผ. โปรเจ็คแรก ๆ ของชมรมคือการนำโดรนมาช่วยงานภายในองค์กร ก่อนจะกลายเป็นโปรเจ็คพัฒนา "โดรนตรวจสอบเพื่อซ่อมบำรุงปล่องเผาเชื้อเพลิงส่วนเกิน" (Flare Stack) ที่ทีมงานช่วยกันพัฒนาขึ้นมาจากศูนย์ ไม่ได้นำโดรนยี่ห้อไหนมาดัดแปลงเลยแม้แต่น้อย การตรวจสอบเพื่อซ่อมบำรุงปล่องเผาเชื้อเพลิงส่วนเกิน เดิมมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เพราะต้องใช้เฮลิคอปเตอร์และช่างกล้องมาบินวนรอบปล่องเพื่อถ่ายรูป เมื่อมีโปรเจ็คโดรนนี้เกิดขึ้น จึงช่วยลดต้นทุนการบำรุงรักษาของ ปตท. สผ. ได้มาก แถมยังสามารถขยายไปให้บริการเชิงพาณิชย์กับบริษัทอื่นๆ ในกลุ่ม ปตท. และพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น อสังหาริมทรัพย์ สำหรับตรวจสอบตึกอาคารสูง หรือการตรวจสอบเสาสัญญาณโทรคมนาคม เป็นต้น อีกโปรเจ็คที่เริ่มต้นช่วงใกล้ ๆ กันคือการพัฒนาหุ่นยนต์ตรวจสอบซ่อมบำรุงท่อใต้น้ำ ที่พัฒนาร่วมกับภาควิชาวิศวคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และยังส่งไปแข่งขันในรายการ RoboSub รายการแข่งขันหุ่นยนต์ใต้น้ำระดับสากล หุ่นยนต์ตัวนี้เข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบซ่อมบำรุงท่อใต้น้ำ จากเดิมที่หุ่นต้องใช้รีโมทควบคุม ทำให้ต้องมีเรือให้คนนั่งไปด้วย ต้องใช้เรือสำรวจที่มีสเปคสูงและค่าใช้จ่ายสูง แต่การทำงานของหุ่นยนต์ตัวนี้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการใช้เรือสำรวจที่มีสเปคสูงลงได้ เพราะขับหุ่นยนต์ตัวนี้สามารถเคลื่อนตัวเองไปตามท่อ แยกแยะวัตถุ เก็บข้อมูลท่อว่าเสื่อมสภาพไปมากน้อยแค่ไหนด้วยซอฟต์แวร์แบบ machine learning และ deep learning (ML/DL) ด้วยตัวเอง ทำให้นับได้ว่าเป็นหุ่นสำรวจท่อใต้น้ำแบบอัตโนมัติตัวแรกของโลก จากความสำเร็จของโปรเจ็คโดรน และความก้าวหน้าของหุ่นยนต์ใต้น้ำ ทำให้เมื่อปี 2018 ชมรมหุ่นยนต์ได้รับความสนใจจากผู้บริหารของ ปตท. สผ. ที่เริ่มมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ ทำให้ ชมรมหุ่นยนต์ถูกจัดตั้งแยกออกมาเป็นบริษัทลูกที่มี ปตท. สผ. ถือหุ้นทั้งหมดในชื่อบริษัท AI and Robotics Venture (ARV) เมื่อประมาณกลางปี 2019 นอกจากโดรนตรวจสอบซ่อมบำรุงและหุ่นยนต์ใต้น้ำที่สมบูรณ์ตั้งแต่ปีที่แล้ว อีกโปรเจ็คที่เป็นตัวชูโรงของ ARV ที่กำลังพัฒนาร่วมกับสตาร์ทอัพของนอร์เวย์คือหุ่นยนต์ซ่อมท่อใต้ทะเลตัวแรกของโลก พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ทดแทนการส่งนักประดาน้ำลงไปซ่อม ตอนนี้การพัฒนาคืบหน้าไปราว 90-95% และกำลังทดสอบอยู่ที่นอร์เวย์ โดยถ้าไม่ติดโควิดไปเสียก่อน ก็น่าจะนำมาทดสอบในอ่าวไทยแล้ว ไม่ใช่แค่บริษัทหุ่นยนต์ แต่เป็นแพลตฟอร์มเพื่อวิจัย พัฒนาและลงทุน ดร.ธนา บอกว่าเป้าหมายของ ARV ไม่ใช่แค่บริษัทพัฒนาหุ่นยนต์อย่างเดียว แต่มองตัวเองเป็นหน่วยงานลงทุน (venture arm) ของ ปตท. สผ. ที่จะสร้างแพลตฟอร์มและมองหาธุรกิจใหม่ด้าน AI/Robotics ให้กับ ปตท. สผ. ในระยะยาวด้วย แนวทางของ ARV คือตั้งบริษัทลูกแยกออกมาเพื่อดูแลธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ตอนนี้ตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทลูกของไทยคม เพื่อดูแลธุรกิจเทคโนโลยีด้านการเกษตร เช่น การทำโดรนพ่นยา พ่นปุ๋ย เพื่อให้บริการแบบ sharing economy เอาไว้แล้ว โดยในปี2020นี้ ARV มีแผนจะตั้งบริษัทลูกเพิ่มอีก 3-4 บริษัท เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจจากโซลูชันที่ตอนนี้ ARV มีอยู่ในมือได้แก่ โดรนสำหรับงานตรวจสอบ (multi-purpose inspection octocopter) โดรนแปรอักษร (swarm drones) ยานยนต์ใต้น้ำบังคับระยะไกล (Observation class Remotely Operated Underwater Vehicle - OBS-ROV) หุ่นยนต์ซ่อมบำรุงท่อใต้น้ำ (Subsea FLowline Control and Repair Robot - SFCR) หุ่นยนต์ใต้น้ำอัตโนมัติไร้สาย (Inspectgion-class Autonomous Underwater Vehicle - IAUV) มัลติโดรนเพื่อสนับสนุนภารกิจดับเพลิง (Multi-Firefighting Drones) เป้าหมายของ ARV ในอีก 3-5 ปีข้างหน้าคือจะต้องเป็นผู้นำด้าน AI/Robotics ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ดร. ธนา มองว่ามูลค่าทางธุรกิจของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทุกอุตสาหกรรมต้องการเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไปช่วย ดังนั้น ARV มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นธุรกิจ New S-Curve ให้กับ ปตท. สผ. ได้ในท้ายที่สุด วัฒนธรรมองค์กร ARV เพิ่งตั้งได้ไม่นาน วัฒนธรรมองค์กรหลายอย่างยังอยู่ในกระบวนการสร้างและปรับตัว ซึ่ง ปตท. สผ. ในฐานะบริษัทแม่ก็ให้อิสระ และพร้อมเปิดรับหากอยากปรับอะไรหลาย ๆ อย่างที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาองค์กร ตอนนี้ ARV มีวัฒนธรรมองค์กรที่ค่อนข้าง flat เปิดให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ สนับสนุนการลองผิดลองถูก เพราะธุรกิจในลักษณะนี้ความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ แต่ที่สำคัญคือต้องล้มเร็วลุกเร็ว ต้องมีวิธีคิดแบบผู้ประกอบการ (entrepreneur) เพราะต้องมองหาและรีบคว้าโอกาสที่เข้ามาอยู่ตลอด ในแต่ละทีมย่อย เช่น ทีมซอฟต์แวร์ก็มีวัฒนธรรมหรือกระบวนการทำงานย่อยของตัวเอง ด้วยการเอา Agile มาใช้แบบ 100% ข้อดีของการเป็นบริษัทลูกของ ปตท. สผ. คือ ARV มีทั้งเงินทุน โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม อุปกรณ์และเวิร์คช็อปที่ครบครัน มีพื้นที่จริงสำหรับทดลองและ use case สำหรับแก้ปัญหาจริง จากทั้งปัญหาภายใน ปตท. สผ. เองหรือเครือข่ายพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง มองหาพนักงานแบบไหน ARV กำลังมองหาพนักงานคนรุ่นใหม่ที่เก่ง มี passion ที่อยากทำอะไรใหม่ ๆ และกล้าลองผิดลองถูกในสาย AI/Robotics และเป็นคนที่เปิดรับความเห็นต่างจากเพื่อนร่วมงาน ที่ตั้งออฟฟิศ ออฟฟิศ ARV ตั้งอยู่ที่อาคารภิรัช (Bhiraj Tower) ถนนสาทร ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสุรศักดิ์ เสียงตอบรับจากพนักงาน จตุวัฒน์ เสงี่ยมพักตร์ UX/UI Designer ทำงานที่นี่เป็นที่แรก ทำมาราว 1 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยฝึกงานที่นี่มาก่อนด้วย เลือกมาทำงานที่นี่เพราะรู้สึกประทับใจตั้งแต่ตอนฝึกงาน รู้สึกว่าเนื้องานตอบโจทย์และได้ทำงานจริง ที่สำคัญคือเปิดให้แม้กระทั่งเด็กฝึกงานสามารถคิดและนำเสนอไอเดีย ประทับใจสภาพแวดล้อมในการทำงานและเพื่อนร่วมงาน เพราะทุกคนเก่ง ได้เรียนรู้ รวมถึงมีบุคลิกลักษณะนิสัยที่คล้ายกัน ทำให้เข้ากันง่าย ทำงานเป็นครอบครัว และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีมเร็วมาก คนที่จะเหมาะกับการทำงานที่นี่ จะต้องเป็นคนที่กล้าแสดงความเห็น และกล้าเปิดรับความคิดเห็นของคนอื่น ศิรวัชร ศกศวัตเมฆินทร์ Software Robotics Engineer เพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ 4 เดือน ก่อนหน้านี้เคยทำสตาร์ทอัพสาย AI/Robotics มาก่อน ความแตกต่างของที่นี่ที่ชัดเจนเลยคือระบบการทำงานที่ดีกว่า และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ครบครันกว่า อย่างเช่นการมี workshop ให้ที่ออฟฟิศเลย คนที่เหมาะกับการทำงานที่นี่จะต้องชอบขวนขวายหาความรู้ใหม่ ๆ ชอบท้าทายตัวเอง ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ เพราะหุ่นยนต์เป็นเหมือนศาสตร์แห่งศิลป์ (state-of-the-arts) การแปลงงานวิจัยในห้องแล็บ ให้ออกมาเป็นโปรดักจริงจะต้องใช้ความสร้างสรรค์ และต้อง improvise อยู่ตลอด กันดิศ วงศ์สุวรรณ Software Robotics Engineer ทำงานได้ราว 1 ปี ก่อนหน้านี้เคยทำกับบริษัทแบบ corporate ทำให้รู้สึกการทำงานที่นี่ค่อนข้างยืดหยุ่นกว่า ให้อิสระ ทำให้รู้สึกว่าการทำงานไม่เครียดและได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์เต็มที่ ที่นี่ค่อนข้างสนับสนุนความคิดริเริ่ม (initiative) ไม่ได้จำเป็นต้องทำตามคำสั่งอย่างเดียว เมื่อคิดโปรเจ็คได้แล้วก็สามารถขอความเห็นไปจนถึงของบเพื่อทำได้ แถมมีอิสระในการทำงานด้วย การทำงานที่นี่ให้ความรู้สึกว่างานวิจัยไม่ได้ถูกเอาขึ้นหิ้ง เพราะ ARV มีงบในการทำ R&D และพยายามผลักดันให้งานวิจัยต่าง ๆ ออกมาเป็นรูปธรรมและออกสู่ตลาดได้จริงๆ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าไปดูตำแหน่งงานที่ ARV เปิดตัวได้ที่นี่
# C++20 ผ่านเป็นมาตรฐาน ISO เพิ่มฟีเจอร์ Module ลดเวลาคอมไพล์ 10 เท่า, Coroutine รองรับ asynchronous กลุ่มมาตรฐาน ISO ลงมติเอกฉันรับรอง C++20 เข้าเป็นมาตรฐาน โดยฟีเจอร์ทั้งหมดได้รับเห็นชอบแล้ว และจะตีพิมพ์เผยแพร่ตัวมาตรฐานเป็นเล่มสมบูรณ์ภายในปลายปีนี้ โดยฟีเจอร์สำคัญ 4 ประการของ C++20 ได้แก่ Modules สามารถคอมไพล์ซอร์สโค้ดและเรียกใช้งานจากไฟล์ไบนารีได้โดยตรง แทนที่การใช้ไฟล์ header แบบเดิมๆ ช่วยแยกอินเทอร์เฟซของโมดูลให้ชัดเจนขึ้น ที่สำคัญคือลดเวลาคอมไพล์ได้ 5 ถึง 10 เท่าตัว Concepts ฟีเจอร์ที่เสนอกันมาตั้งแต่ C++11 ใช้กำหนดคุณสมบัติของ Template ที่รับชนิดของตัวแปรเป็นอาร์กิวเมนต์ ว่าชนิดของตัวแปรที่ใส่มานั้นต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดจึงคอมไพล์ผ่าน Ranges ไลบรารีใหม่ที่อาศัยฟีเจอร์ Concepts มาจัดการข้อมูลประเภท collections Coroutines ฟังก์ชั่นที่สามารถหยุดรอผลได้ สำหรับการทำงานแบบ asynchronous มีฟีเจอร์บางส่วนที่มีการพูดคุยกันแต่ถูกตัดออกจาก C++20 เช่น Contracts การตรวจสอบเงื่อนไขก่อนและหลังรันฟังก์ชั่น ถูกเลื่อนไป C++23 และยังมี standard module ที่ยังออกไม่ทัน C++20 ต้องรอ C++23 เช่นกัน ตอนนี้ฟีเจอร์ยังอิมพลีเมนต์กันไม่ครบในคอมไพลเลอร์ส่วนมาก และคอมไพล์เลอร์ที่รองรับบางฟีเจอร์ก็อาจจะปิดไว้เป็นค่าเริ่มต้น ต้องกำหนด flag ตอนรันจึงใช้งานได้ ที่มา - The Register
# Microsoft ออกไทม์ไลน์หยุดซัพพอร์ต Flash Player บน Edge และ IE11 เริ่มธันวาคมนี้ Microsoft เผยรายละเอียดเกี่ยวกับการหยุดซัพพอร์ตเทคโนโลยี Flash Player บนเบราว์เซอร์ของ Microsoft ทั้งหมด โดยจะเริ่มการตัดซัพพอร์ตตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป สำหรับ Microsoft Edge รุ่น Chromium จะปิด Flash Player เป็นค่าเริ่มต้นตั้งแต่ธันวาคมนี้ ซึ่งถ้าใครใช้ Flash Player รุ่นเก่ากว่าอัพเดตเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตัวเบราว์เซอร์จะบล็อคไม่ให้เปิดใช้งาน Flash Player และกรณีของผู้ใช้เบราว์เซอร์เก่าของ Microsoft ทั้ง Edge รุ่นก่อน Chromium และ IE11 ทาง Microsoft จะหยุดออกแพทซ์ความปลอดภัย Flash Player ให้ผู้ใช้เบราว์เซอร์กลุ่มนี้ตั้งแต่เดือนธันวาคม ส่วน Flash Player บน Windows ทาง Microsoft จะปล่อย Update for Removal of Adobe Flash Player เพื่อลบส่วนของ Flash Player ออกจาก Windows โดยอัพเดตนี้จะใส่เข้ามาใน Microsoft Update Catalog ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ส่วน Windows Update และ WSUS จะใส่เข้ามาในช่วงต้นปี 2021 และจะกำหนดเป็นอัพเดตแนะนำในอีกไม่กี่เดือนถัดจากนั้น ซึ่งการติดตั้งอัพเดตนี้จะถอด Flash Player ออกจาก Windows และไม่สามารถถอนอัพเดตนี้ออกได้ จากนั้น ในปีหน้า Microsoft จะทยอยถอดสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ Flash Player ออกจาก Edge รุ่นเก่าและ IE11 ผ่านการอัพเดต Windows อย่างต่อเนื่องหลาย ๆ เวอร์ชัน ส่วนฝั่งลูกค้าองค์กรที่จำเป็นต้องใช้ Flash Player ทาง Microsoft มีตัวเลือกให้ใช้ผ่านโหมด IE ใน Microsoft Edge รุ่น Chromium แต่การรันในลักษณะนี้ถือเป็นการย้ายออกจาก Flash Player ที่ Microsoft ดูแล ซึ่งจะไม่ได้รับการซัพพอร์ตจากบริษัท ที่มา - Windows Blogs, Engadget ภาพจาก @MicrosoftEdge
# ซัมซุงชนะสัญญาอุปกรณ์ 5G ให้ Verizon มูลค่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ ซัมซุงประกาศชัยชนะในการเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์เครือข่าย 5G ให้กับ Verizon โอเปอเรเตอร์อันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ด้วยสัญญามูลค่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ เป็นเวลานาน 5 ปี (จนถึงปี 2025) ชัยชนะของซัมซุง เป็นผลมาจากการแบนหัวเว่ยของสหรัฐอเมริกา เปิดช่องให้ผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายรายอื่นๆ เมื่อบวกกับคู่แข่งอีกรายคือโนเกีย มีปัญหาเรื่องคุณภาพของอุปกรณ์เครือข่าย ทำให้ตัวเลือกที่เหลือมีเพียงซัมซุงกับอีริคสันเท่านั้น แม้ซัมซุงมีส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์เครือข่ายของโลกเพียง 3% ก็ตาม (หัวเว่ยนำด้วยสัดส่วน 28%, โนเกีย 16%, อีริคสัน 14%) ก่อนหน้านี้ ซัมซุงมีสัญญาให้บริการอุปกรณ์เครือข่าย 5G มาบ้างแล้ว เช่น Sprint ที่ปัจจุบันควบรวมกับ T-Mobile แล้ว ที่มา - Nikkei, Financial Times
# Huawei บอกพัฒนา Harmony OS ได้เทียบเท่า 70-80% ของ Android แล้ว Richard Yu ซีอีโอของ Huawei Consumer ให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนถึงสถานะของ Harmony OS หรือ Hongmeng OS ว่าตอนนี้พัฒนามาได้ประมาณ 70-80% ของ Android แล้ว บริษัททุ่มงบประมาณหลักร้อยล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนา OS ตัวนี้ และมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน Yu ยอมรับว่าการแบน Google Mobile Services (GMS) มีผลสะเทือนต่อธุรกิจสมาร์ทโฟนของ Huawei นอกประเทศจีนอย่างมาก ในขณะที่ธุรกิจอุปกรณ์เครือข่ายไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่าการแบนระลอกสอง ที่ห้ามโรงงานผลิตชิปให้ Huawei และห้ามบริษัทอื่นขายชิปให้ด้วย ก็ส่งผลอย่างมากเช่นกัน เขายังพูดถึงตลาดอุปกรณ์ 5G ว่านำหน้าคู่แข่งไปไกลมาก โดยประเมินว่า Huawei นำหน้า Ericsson อยู่ปีครึ่ง ส่วน Ericsson ก็นำหน้า Nokia อยู่ 5 ปี Huawei จะเปิดเผยรายละเอียดของ Harmony OS ในงานสัมมนาประจำปี Huawei Developer Conference 2020 ในสัปดาห์นี้ (10-12 กันยายน) ที่มา - ITHome (ภาษาจีน), Huawei Central
# สมาร์ทโฟนใหม่ LG คาดว่าบิดออกเป็น 2 จอเป็นรูปตัว T ได้ชื่อแล้วคือ LG Wing วันที่ 14 กันยายนนี้ LG เตรียมเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ และได้ยืนยันชื่อผลิตภัณฑ์แล้วว่าเป็น LG Wing และจากวิดีโอทีเซอร์ก่อนเปิดตัวเครื่องจริงทำให้เข้าใจว่า ตัวเครื่องสามารถบิดออกเป็นสองหน้าจอ เมื่อบิดเครื่องออกมาแล้วจะได้รูปทรงตัว T ก่อนหน้านี้ยังมีรายงานด้วยว่าตัวเครื่องรองรับ 5G, กล้องหลัง 3 ตัว กล้องหลักละเอียด 64 เมกะพิกเซล, ชิป Snapdragon 7 โดยตัว LG Wing เป็นสมาร์ทโฟนตัวแรกภายใต้ Explorer Project โปรเจกต์สร้างมือถือแนวใหม่ของ LG ที่มา - The Verge
# EA ขอโทษกรณีโฆษณาบังจอเกม UFC 4 บอกจะไม่ทำอีกแล้ว ต่อจากข่าว EA แทรกโฆษณาบังหน้าจอในเกมต่อสู้ EA Sports UFC 4 ที่เพิ่งวางขาย ตัวแทนของ EA มาตอบกระทู้ Reddit ต้นเรื่อง ยอมรับว่าผลตอบรับจากผู้เล่นออกมาแย่ ทำให้ทีมงานตัดสินใจปิดโฆษณาตัวนี้แล้ว และขอโทษต่อความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีโฆษณาระหว่างรีเพลย์แบบนี้อีก ที่มา - Reddit, The Verge, ภาพจาก EA
# Facebook ทดสอบให้มองเห็น Instagram Stories เพื่อนๆ ได้จากใน Facebook เลย Facebook ทดสอบให้ผู้ใช้งานสามารถมองเห็น Instagram Stories ของเพื่อนๆ ได้จากใน Facebook เลย โดยสามารถแยกความแตกต่างระหว่าง Facebook Stories และ Instagram Stories ได้จากสีรอบวงกลม ถ้าเป็น Facebook จะเป็นสีฟ้า และ Instagram เป็นสีชมพูปนส้มตามเอกลักษณ์สีของ Instagram Stories ปกติแล้วผู้ใช้งาน Instagram สามารถเลือกได้ว่า จะโพสต์ Stories ให้เพื่อนๆ ใน Facebook มองเห็นด้วยหรือจะโพสต์เฉพาะใน Instagram อย่างเดียว ซึ่งการทดสอบล่าสุดนี้จะช่วยให้เห็น Stories ได้ทั้งสองแพลตฟอร์มพร้อมกัน โดยคนที่สามารถเห็นโพสต์ของเราได้ต้องเป็นผู้ติดตามเราบน Instagram ที่เชื่อมบัญชีบน Facebook ด้วย เราสามารถมองเห็นว่ามีใครเข้ามาดูบ้าง รวมถึงมีใครมาคอมเม้นท์ Stories เราบ้างได้จากบน Facebook ภาพปรกอบจาก Instagram Media Assets จากหน้าจอการใช้งานพบว่า ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะปิดฟีเจอร์นี้ได้ โฆษก Facebook บอกว่ายังทดสอบในกลุ่มจำกัดเพื่อเก็บฟีดแบค และให้ความสำคัญกับการตั้งค่าเพื่อความเป็นส่วนตัว Facebook มีความพยายามในการรวมฟังก์ชั่นของทั้งสองแพลตฟอร์มหลักเข้าด้วยกัน ก่อนหน้านี้ก็เริ่มแสดงฟีเจอร์รวมแชททั้ง Facebook Messenger และ Instagram Direct เข้าไว้ด้วยกันแล้ว ที่มา - The Verge
# Gartner ออกรายงานตลาดคลาวด์ปี 2020 ผู้นำยังเป็น AWS, Azure, Google Gartner ออกรายงานสรุปสถานการณ์แข่งขันในตลาดคลาวด์ (Magic Quadrant for Cloud Infrastructure and Platform Services) ประจำปี 2020 ผลลัพธ์ออกมาไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ เพราะยังเหมือนปีก่อนๆ ที่ผู้ให้บริการ Top 3 ของโลก (AWS, Microsoft, Google) ยังอยู่ในกลุ่ม "ผู้นำ" (leaders) โดย AWS ยังนำคู่แข่งรายอื่นๆ แบบค่อนข้างทิ้งห่าง ส่วนผู้เล่นรายที่เหลือ 4 ราย (Alibaba Cloud, Oracle, IBM, Tencent Cloud) อยู่ในกลุ่ม "เฉพาะทาง" (niche players) ความน่าสนใจคงอยู่ที่รายละเอียดการวิเคราะห์ของ Gartner ที่สรุปได้คร่าวๆ ดังนี้ Amazon Web Services (AWS) ยังแข็งแกร่งที่สุดทั้งในแง่ส่วนแบ่งตลาด และฟีเจอร์ของบริการ บริษัทสามารถออกแบบทุกอย่างได้เองตั้งแต่ชิปซิลิกอน ไปจนถึงระบบปฏิบัติการฝังตัว จุดอ่อนของ AWS คือการอยู่คนเดียวไม่พึ่งใคร มีปัญหากับชุมชนโอเพนซอร์สอยู่เรื่อยๆ และหลายครั้งที่บริการในเครือตัวเองก็ตีกันเอง เพราะต่างทีมพัฒนากัน Microsoft เด่นเรื่องบริการที่ครบครัน รองรับแอพพลิเคชันหลากหลาย เช่น Oracle, SAP, VMware รวมถึงบริการใหม่ๆ สำหรับนักพัฒนา เช่น Azure DevOps, GitHub, Visual Studio Codespaces ข้อด้อยคือมีสัดส่วน availability zones ต่อ regions ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้ง 6 ราย และไม่มีการการันตีบริการว่าใช้งานได้, ค่าซัพพอร์ตแพง Google เด่นเรื่องโครงการโอเพนซอร์ส โดยเฉพาะ Kubernetes และ TensorFlow อีกทั้งเริ่มมีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นในช่วงปีหลังๆ เริ่มปิดช่องว่างกับ Azure ได้บ้างแล้ว บริการด้านข้อมูล (big data, data science) ทำได้ดี แต่มีจุดอ่อนเรื่องการรองรับแอพกลุ่มองค์กร โดยเฉพาะ Oracle Alibaba Cloud บริการของ Alibaba Cloud เข้มแข็งมากในจีน และมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐจีน แต่บริการคลาวด์นอกจีนกลับมีฟีเจอร์ไม่เท่ากับในจีน และเอกสารของ Alibaba Cloud มักอิงกับบริการในจีนเป็นหลัก ลูกค้าของ Alibaba Cloud ชื่นชมเรื่องบริการวิเคราะห์ข้อมูลและฐานข้อมูล Oralce เร่งขยายพื้นที่บริการมากขึ้นในช่วงหลัง ออกแบบสถาปัตยกรรมคลาวด์ได้ดี ส่วนแบ่งตลาดน้อย ฐานผู้ใช้ยังน้อย และความร่วมมือกับไมโครซอฟท์ อาจทำให้ลูกค้าเลือกใช้ Azure แทน เพราะมีซอฟต์แวร์ของ Oracle ให้ใช้เหมือนกัน IBM มีบริการที่แตกต่างจากคู่แข่ง เช่น มีสถาปัตยกรรม Power ให้เช่าใช้, มีบริการขายโซลูชันจาก IBM Services โดยตรง, หันมาเน้นตลาดไฮบริดคลาวด์หรือคลาวด์เฉพาะทางแทน สถาปัตยกรรมบางส่วนยังเก่า เพราะมีมรดกตกทอดมาจากในอดีต (เช่น SoftLayer) และยังขาดฟีเจอร์หลายอย่างเรื่องการจัดการตัวตน (identity and access management - IAM) ยุทธศาสตร์การดันไฮบริดคลาวด์ผ่าน OpenShift ยังไม่เห็นผลมากนัก เพราะต้องอาศัยปัจจัยคลาวด์ยี่ห้ออื่นรองรับด้วย จึงจะใช้ได้ผล Tencent Cloud มีส่วนแบ่งตลาด IaaS ชนะ IBM และ Oracle แล้วด้วยซ้ำ และมีบริการในบางภูมิภาคที่ไม่มีใครทำ (เช่น รัสเซีย) นอกจาก IaaS แล้วยังมีจุดเด่นเรื่องบริการคลาวด์สำหรับเกม ซึ่งเป็นสิ่งที่ Tencent เชี่ยวชาญ และมีบริษัทเกมจากโลกตะวันตกไปใช้งานเยอะ เพื่อให้ทำตลาดจีนได้ง่าย จุดอ่อนคล้ายกับ Alibaba คือยังเน้นโฟกัสที่ตลาดจีนเป็นหลัก ตลาดนอกจีนใช้ศูนย์ข้อมูลของพาร์ทเนอร์แทน ที่มา - Gartner (ต้องลงทะเบียน), AWS Blog
# ผู้ใช้ Galaxy S8/Note 8 รายงานปัญหา GPS ไม่ทำงานเมื่อเปิดโหมดนำทาง Navigation มีผู้ใช้ Samsung Galaxy S8 และ Note 8 จำนวนหนึ่ง รายงานปัญหา GPS ไม่สามารถจับพิกัดได้เวลาใช้แอพนำทางตอนขับรถ (เช่น Google Maps) ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น กระทู้ Reddit หรือเว็บบอร์ด XDA ผู้ใช้บางรายระบุว่าอาการนี้จะเกิดเฉพาะในโหมดนำทาง (navigation) เท่านั้น เมื่อสั่งหยุดนำทาง สัญญาณ GPS จะกลับมาเป็นปกติ ผู้ใช้อีกรายตั้งข้อสังเกตว่าอาการนี้เกิดขึ้นหลังติดตั้งแพตช์ความปลอดภัยรอบเดือนมิถุนายน 2020 แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันว่าสาเหตุมาจากแพตช์ตัวนี้จริงๆ หรือไม่ ตอนนี้ซัมซุงยังไม่แถลงหรือกล่าวถึงปัญหานี้ ที่มา - Reddit, XDA
# Crysis Remastered จะมีโหมด Can it Run Crysis? เค้นประสิทธ์ภาพฮาร์ดแวร์ให้ถึงที่สุด หลังจากเปิดตัว Crysis Remastered ที่เป็นการรีมาสเตอร์หนึ่งในเกม FPS แห่งยุค แต่เมื่อเกมขายแบบมัลติแพลตฟอร์ม ชาว PC จึงสงสัยว่าเอกลักษณ์ของการกินสเปครีดประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์เหมือนสมัยออกมาครั้งแรกจะยังมีอยู่หรือไม่ ล่าสุด ทวิตเตอร์ของ Crysis คลายความกังวลนั้นด้วยการปล่อยภาพตัวอย่างของโหมด "Can it Run Crysis?" ที่สร้างมาเค้นประสิทธ์ภาพของฮาร์ดแวร์ให้ถึงที่สุดด้วยการตั้งค่าที่ไร้ขีดจำกัด โหมดนี้มีเฉพาะบน PC เท่านั้น Crysis Remastered วางขายแล้วบน Nintendo Switch และจะวางขายบน PC, PS4, Xbox One 18 กันยายนนี้ ที่มา - @Crysis
# กลาโหมสหรัฐยืนยันไมโครซอฟท์ชนะประมูล JEDI Cloud, ฝั่ง AWS โวยว่า Trump กดดัน จากกรณี ไมโครซอฟท์เบียดชนะ AWS คว้างานใหญ่ JEDI Cloud กลาโหมสหรัฐ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนตุลาคม 2019 จนทำให้ AWS ต้องยื่นฟ้องศาลว่ากระบวนการพิจารณาไม่เป็นธรรม กระทรวงกลาโหมสหรัฐตรวจสอบกระบวนการแล้วไม่พบความผิดปกติ และล่าสุดเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบ ยืนยันว่ายังให้ไมโครซอฟท์เป็นผู้ชนะโครงการ JEDI Cloud ดังเดิม (วิธีการคัดเลือกคือ กระทรวงกำหนดราคา 10,000 ล้านดอลลาร์ แล้วให้บริษัทเป็นผู้เสนอว่าจะให้อะไรบ้างในงบประมาณเท่านี้) AWS ออกมาตอบโต้การตัดสินใจของกระทรวงกลาโหมทันที โดยระบุว่ากระบวนการตรวจสอบไม่จริงจัง ไม่แก้ปัญหาในกระบวนการคัดเลือกที่ AWS ยกประเด็นมาตั้งแต่ต้น และระบุว่าประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ Amazon มานาน มีบทบาทในการ "สั่ง" กระทรวงกลาโหมไม่ให้คัดเลือก AWS ให้ได้งานนี้ นอกจากไมโครซอฟท์และ AWS แล้ว ผู้ที่ยื่นข้อเสนอชิงโครงการ JEDI Cloud ยังมีออราเคิลและไอบีเอ็มด้วย ในกรณีของออราเคิลถือเป็นอีกบริษัทที่มีความใกล้ชิดกับ Trump แต่ข้อเสนอของทั้งสองบริษัทนี้ก็ตกรอบแรกไป ตอนนี้ กระทรวงกลาโหมยังไม่สามารถเซ็นสัญญากับไมโครซอฟท์ได้ เพราะเรื่องยังอยู่ในกระบวนการของศาล (ที่ AWS ยื่นฟ้อง) ในเอกสารของศาลระบุว่าไมโครซอฟท์ยื่นข้อเสนอที่ดีกว่า AWS (คิดราคาคลาวด์ถูกกว่า) แต่ไม่เปิดเผยตัวเลขว่าถูกกว่ากันเท่าไร ภาพจาก Facebook Department of Defense ที่มา - Department of Defense, AWS, Washington Post
# ค่าเกมก็จ่ายเต็ม แต่ต้องมาดู EA แทรกโฆษณาบังหน้าจอในเกมต่อสู้ UFC 4 ที่เพิ่งวางขาย ถ้าไม่มีประเด็นทะเลาะกับบรรดาเกมเมอร์คงไม่ใช่ EA ขนานแท้ ล่าสุด EA มีประเด็นกับผู้เล่นเกมกีฬาต่อสู้ EA Sports UFC 4 ที่เพิ่งวางขายมาได้ไม่นาน เพราะแฟนๆ ซื้อเกมตัวเต็มในราคา 59.99 ดอลลาร์ แล้วต้องมาถูกบังคับให้ดูโฆษณาแบบบังเต็มหน้าจอ โฆษณาของ UFC 4 จะถูกแสดงในจังหวะรีเพลย์การชก (ลักษณะเดียวกับที่เราเห็นเวลาดูรีเพลย์ในรายการถ่ายทอดกีฬาทั่วไป) โดยเป็นโฆษณาซีรีส์ The Boys ที่ฉายบน Amazon Prime Video ถึงแม้ภาพโฆษณาถูกแสดงเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่การขึ้นโชว์ทุกครั้งที่รีเพลย์ ก็คงสร้างหงุดหงิดให้ผู้เล่นที่จ่ายเงินซื้อเกมราคาแพง ไม่ใช่เกมแบบ free-to-play แต่อย่างใด (นอกจากนี้ยังมีโฆษณาโลโก้ซีรีส์ The Boys ขึ้นตรงนาฬิกาเป็นระยะๆ ด้วย) ประเด็นหนี่งที่น่าสนใจคือ EA เลือกแสดงโฆษณาแบบนี้หลังเกมวางขายประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกพูดถึงในรีวิวต่างๆ ช่วงที่เกมออกใหม่ๆ ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้เล่น กระทู้เรื่องโฆษณาในเกม UFC 4 ถูกโหวตไปแล้วเกิน 90,000 ครั้งใน Reddit แต่ฝั่ง EA ยังเงียบอยู่ ไม่ได้ออกมาชี้แจงหรือตอบโต้อะไร ที่มา - Reddit, IGN, Eurogamer
# ไมโครซอฟท์ยุบ Visual Studio Codespaces บริการ IDE ออนไลน์ ไปรวมกับ GitHub ไมโครซอฟท์มี Visual Studio Codespaces ซึ่งเป็นบริการ IDE (VS Code) ผ่านเว็บ + โฮสต์เซิร์ฟเวอร์สำหรับคอมไพล์ เปิดมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 (ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อ Visual Studio Online) ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศยุบ Visual Studio Codespaces เข้าเป็นส่วนหนึ่งของบริการแบบเดียวกันแต่คนละแบรนด์คือ GitHub Codespaces เหตุผลของการยุบคือบริการทั้งสองตัวซ้ำซ้อนกัน และสร้างความสับสน แถมความเห็นจากผู้ใช้งานมองว่าบริการ codespace ลักษณะนี้เหมาะกับการเชื่อมต่อผ่าน repository (GitHub) มากกว่า IDE (Visual Studio) ไมโครซอฟท์จึงตัดสินใจยุบเหลือตัวเดียว และโยกไปอยู่ใต้แบรนด์ GitHub แทน รูปแบบการใช้งาน GitHub Codespaces คือเข้าหน้าเว็บ repository แล้วกดปุ่ม open codespace เพื่อแก้โค้ดผ่านหน้าเว็บ (ด้วย VS Code เวอร์ชันเว็บ หรือจะเป็น VS Code เวอร์ชันเดสก์ท็อปก็ได้) แล้วสั่ง build/debug/deploy โดยไม่ต้องออกจากเบราว์เซอร์เลย ข้อดีของการทำงานแบบ codespace คือเก็บทุกอย่างไว้บนคลาวด์ ไม่ใช่แค่โค้ดบน repository แต่รวมถึงสภาพแวดล้อมในการพัฒนา ไลบรารี รันไทม์ ไฟล์คอนฟิก ส่วนขยายของ VS Code ฯลฯ ช่วยให้ทำงานได้จากที่ไหนก็ได้ และมีสภาพแวดล้อมเหมือนเดิมเสมอ ลดความซับซ้อนในการเซ็ตระบบ แถมยังสลับสภาพแวดล้อมตามโปรเจคต์ที่ต่างกันได้ง่าย ไมโครซอฟท์ไม่คิดเงินค่าใช้งาน VS Code ผ่านเว็บ แต่คิดค่าเช่าเครื่องที่เก็บข้อมูล-คอมไพล์งานเหมือนการเช่าเครื่องบน Azure (ตอนนี้ยังไม่ประกาศราคาของเวอร์ชัน GitHub) ส่วน Visual Studio Codespaces เดิมจะเปิดให้ใช้งานไปจนถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2021 ที่มา - Microsoft
# Epic ขอศาลคุ้มครอง Fortnite, เผยผู้เล่นบน iOS เยอะที่สุด โดนแบนแล้วหายไป 60% Epic Games ยื่นเอกสารเพิ่มเติมต่อศาล ขอให้ศาลสั่งคุ้มครองการแบนเกม Fortnite ออกจาก App Store หลังจากก่อนหน้านี้ศาลคุ้มครองเฉพาะ Unreal Engine แต่ไม่คุ้มครอง Fortnite ประเด็นสำคัญที่ Epic นำเสนอคือบริษัทและลูกค้า "ได้รับความเสียหาย" จากการแบนของแอปเปิล พร้อมเผยสถิติว่าปัจจุบัน Fortnite มีผู้เล่นที่ลงทะเบียนทั้งหมด 350 ล้านคน โดย iOS เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้เล่นเยอะที่สุด 116 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ มีผู้เล่น 63% ที่เล่นเฉพาะบน iOS อย่างเดียวเท่านั้น ไม่เล่นบนแพลตฟอร์มอื่น แต่จากการแบนของแอปเปิลทำให้ผู้เล่นต่อวันของ iOS หายไปมากกว่า 60% ซึ่งส่งผลกระทบให้ผู้เล่นบนแพลตฟอร์มอื่นๆ หายไปด้วย เพราะไม่สามารถเล่นร่วมกับเพื่อนได้ สถิติที่น่าสนใจอีกตัวคือ Epic ระบุว่าหลังเปิดระบบจ่ายเงินของตัวเอง เป็นระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 11 วันก่อนโดนแบน พบว่าผู้เล่น 53.4% เลือกจ่ายเงินผ่าน Epic ในขณะที่อีก 46.6% ยังคงใช้ระบบ in-app purchase ของแอปเปิลต่อไป ถือเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าตลาดต้องการระบบจ่ายเงินทางเลือก ศาลมีนัดคู่กรณีไปเจอกันในวันที่ 28 กันยายนนี้ ที่มา - Epic Games (PDF), Kotaku, The Verge
# Twitch ประกาศปิดให้บริการเกมคาราโอเกะ Twitch Sings ปีหน้า Twitch ประกาศเตรียมปิดให้บริการเกมคาราโอเกะแบบไลฟ์สตรีม Twitch Sings ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2021 เป็นต้นไป โดย Twitch ให้เหตุผลว่าเป็นการปรับแผนการลงทุนในเครื่องมือและบริการ ที่สนับสนุนการเติบโตของชุมชนด้านดนตรีใน Twitch บริการ Twitch Sings เปิดตัวเมื่อต้นปี 2019 โดยผู้ใช้งานสามารถร้องเพลงผ่านเนื้อเพลงที่แสดงขึ้นมา และผู้ชมยังสามารถขอเพลงหรือมาร่วมร้องเพลงได้อีกด้วย Twitch บอกว่าเพื่อเป็นการทิ้งทวนก่อนปิดบริการ จึงนำเพลงที่เตรียมปล่อยในอนาคตทั้งหมดราว 400 เพลง ออกมาให้เลือกร้องได้ จากนั้นจะเริ่มทยอยลบวิดีโอออกตั้งแต่ 1 ธันวาคม เป็นต้นไป ที่มา: Twitch ผ่าน Engadget
# YouTube อธิบายการจัดการข่าวปลอมช่วง COVID-19 แสดงข้อมูลทางการแล้วสามแสนล้านครั้ง ลบคอนเทนต์หลอก 200,000 รายการ YouTube จัดงานแถลงข่าวออนไลน์สำหรับการจัดการเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะประเด็น COVID-19 ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลัง (เช่นเนื้อหาสมคมคิดว่า COVID-19 แพร่กระจายผ่านสัญญาณ 5G) ทาง YouTube ก็รายงานความคืบหน้าของการจัดการปัญหา ที่เริ่มมาตั้งแต่การแสดงพาเนลตรวจสอบข้อเท็จจริง และทำงานร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขเพื่อแสดงข้อมูลทางการ นับจากช่วงเริ่มโครงการปลายเดือนเมษายนจนถึงตอนนี้พาเนลแสดงข้อเท็จจริงนี้แสดงไปแล้วกว่าสามแสนล้านครั้ง ส่งผลให้อัตราการรับชมคอนเทนต์จากหน่วยงานทางการเพิ่มขึ้น 75% นอกจากการสนับสนุนข้อมูลหน่วยงานรัฐแล้ว ทาง YouTube ยังพยายามลดการแพร่กระจายข่าวหลอกลวง (hoax) โดยข้อมูลที่เป็นอันตราย เช่น ข่าวหลอกลวงเกี่ยวกับยาและการรักษานั้นจะถูกลบออก โดยรวมแล้วมีวิดีโอถูกลบไปกว่า 200,000 รายการ แต่ยังมีวิดีโอจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ผิดกฎโดยตรง เช่นชักจูงให้ผู้คนเข้าใจผิดก็จะอาศัยการลดการแนะนำคอนเทนต์เหล่านั้นลง ที่มา - งานแถลงข่าวออนไลน์ YouTube สำหรับสื่อเอเชียแปซิฟิก การแสดงป้ายบอกเนื้อหาทางการจากหน่วยงานสาธารณสุข กฎห้ามเนื้อหาเพิ่มเติมสำหรับ COVID-19 โดยเฉพาะ
# เกม Forza Horizon 3 เตรียมถูกถอดจาก Microsoft Store ในวันที่ 27 ก.ย. นี้, ลดราคาสูงสุดถึง 70% Forza Horizon 3 เกมแข่งรถที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเกมหนึ่งของไมโครซอฟท์ ได้ประกาศทางทวิตเตอร์ว่าเกมกำลังจะเข้าสู่สถานะ "End of Life" ใน วันที่ 27 ก.ย. นี้ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เล่นไม่สามารถซื้อ Forza Horizon 3 บน Windows 10 และ Xbox One ทั้งตัวเกมหลัก, ส่วนเสริมและ DLC ผ่าน Microsoft Store ภายหลังจากวันที่ได้ประกาศไว้ข้างต้นได้อีกต่อไป โดยไม่ได้ระบุถึงเหตุผลเบื้องหลังการถอดเกมออกจากหน้าร้านแต่อย่างใด แต่เว็บไซต์ข่าวเกมต่างประเทศหลายแห่งก็ได้คาดว่า สาเหตุน่าจะมาจากการที่ลิขสิทธิ์รถยนต์หรือเพลงประกอบที่ใช้ในเกมหมดอายุ สำหรับผู้ที่มีเกมไว้ในครอบครองอยู่ก่อนหน้านั้นจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แม้ว่าผ่านวันที่ 27 ก.ย. ไปแล้วก็จะยังสามารถดาวน์โหลดและเล่นเกมได้ตามปกติ ส่วนท่านใดที่สนใจซื้อเกม Forza Horizon 3 หรือตั้งใจจะเก็บส่วนเสริมให้ครบชุด ทางไมโครซอฟท์ยังได้ประกาศลดราคาเกม Forza Horizon 3 แต่ละ edition ดังนี้ Standard Edition (ตัวเกมหลัก) เหลือเพียง 9.89 ดอลลาร์สหรัฐ Ultimate Edition (ตัวเกมหลัก + DLC เพิ่มรถใหม่) เหลือเพียง 21.00 ดอลลาร์สหรัฐ Expansion Pass (ชุดรวมส่วนเสริม Blizzard Moutain และ Hot Wheels) เหลือเพียง 10.49 ดอลลาร์สหรัฐ ตอนนี้ยังเหลือเวลาให้ตัดสินใจอีก 22 วัน (นับจากเวลาที่เขียนข่าว) เข้าไปถอยเกมได้ตามลิงก์ที่แปะไว้ข้างต้นครับ ที่มา - Windows Central, Gamespot
# Acer เปิดตัวโน้ตบุ๊ก Intel Core 11th Gen, Swift 3 เริ่ม 699 เหรียญ, Swift 5 เริ่ม 999 เหรียญ Acer เปิดตัวโน้ตบุ๊กตระกูล Swift รุ่นใหม่ มาพร้อมซีพียู Intel Core 11th Gen และจีพียูออนบอร์ด Iris Xe แบ่งเป็นรุ่น Swift 5 หน้าจอขนาด 14 นิ้ว และ Swift 3 สองขนาด คือ 13.5 นิ้ว อัตราส่วน 3:2 (SF313-53) และ 14 นิ้ว อัตราส่วน 16:9 (SF314-59) Swift 5 หน้าจอ 14 นิ้ว Full HD ความสว่างสูงสุด 350 nits รองรับสีมาตรฐาน sRGB 100% ซีพียู Intel Core Gen 11th ตัวเลือก i5 และ i7 ผ่านมาตรฐาน Intel Evo ทัชแพดเคลือบสารป้องกันแบคทีเรีย เลือกเคลือบคีย์บอร์ดและตัวเครื่องด้วยสารป้องกันแบคทีเรียด้วย น้ำหนัก 1 กิโลกรัม แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 17 ชั่วโมง รองรับชาร์จเร็ว 30 นาที ใช้งานได้ 4 ชั่วโมง รองรับ Wi-Fi 6 และมีพอร์ต Thunderbolt 4 ราคาเริ่มต้น 999 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 32,000 บาท) วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เดือนพฤศจิกายนนี้ Swift 3 มีสองรุ่น ตัวเลือกซีพียู Intel 11th Gen รุ่น Core i5 และ Core i7 เช่นกัน คีย์บอร์ดมีไฟ backlit ฮาร์ดดิสก์ SSD NVMe (ยังไม่เปิดเผยความจุ) ตัวเลือกแรม LPDDR4X สูงสุด 16GB รองรับ Wi-Fi 6 และมีพอร์ค Thunderbolt 4 และวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เดือนพฤศจิกายนนี้ โดยทั้งสองรุ่น มีรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้ SF313-53 หน้าจอ 13.5 นิ้ว ความละเอียด 2K อัตราส่วน 3:2 รองรับสีมาตรฐาน sRGB 100% ความสว่างสูงสุด 400 nits แบตเตอรี่ 18 ชั่วโมง น้ำหนัก 1.19 กิโลกรัม ราคา 799 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 25,100 บาท) SF314-59 หน้าจอ Full HD ขนาด 14 นิ้ว น้ำหนัก 1.2 กิโลกรัม ราคา 699 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 22,000 บาท) ส่วนราคา และวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเรา ต้องติดตามกันต่อไป ที่มา - Acer
# วิศวกร Vox Media สร้างเฟรมเวิร์ค Flareact เรนเดอร์ React บน Cloudflare Workers Josh Larson วิศวกร Vox Media สร้างเฟรมเวิร์ค Flareact เป็นเฟรมเวิร์คทดลองที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Next.js เพื่อให้แอปพลิเคชั่นแบบ React สามารถเรนเดอร์ด้วย Cloudflare Workers ได้ ปกติแล้ว React ออกแบบสำหรับสร้างแอปพลิเคชั่นที่เรนเดอร์ฝั่งเบราว์เซอร์ทั้งหมด หลายครั้งประสิทธิภาพบนเบราว์เซอร์ไม่ดีนัก และบริการหลายตัวที่ต้องการอ่าน HTML โดยไม่สามารถเรนเดอร์ React ได้ก็จะได้ข้อมูลไม่ครบ การทำ server side rendering (SSR) จึงเป็นฟีเจอร์สำคัญที่หลายเว็บใช้งานกัน เช่น Next.js ที่ได้รับความนิยมสูง ข้อจำกัดสำคัญของ Next.js ที่ทำให้รันบน Cloudflare Workers ไม่ได้คือมันใช้ Node.js HTTP Server API ขณะที่ Cloudflare Workers ใช้ V8 และมี FetchEvent API ของตัวเอง Larson จีงสร้าง Flareact ที่รองรับ API ของ Cloudflare Workers แทน การใช้งานของ Flareact ใกล้เคียงกับ Next.js อย่างมาก ระบบ routing แบบไฟล์ยังคงเหมือนเดิม และชื่อโมดูลหลายตัวก็หยิบยืมกันมา แต่ Larson ระบุว่าการปรับแต่งประสิทธิภาพยังไม่ดีเท่าใดนัก แต่ความได้เปรียบสำคัญคือตัวซอฟต์แวร์ที่ทำงานบน Workers นั้นอยู่ใกล้กับผู้ใช้อย่างมาก (ตามปกติของ CDN) และ Flareact รองรับ Cache API ของ Cloudflare Workers ทำให้ควบคุมได้อย่างละเอียดว่าจะใช้ค่าจากในแคชหรือไม่ ที่มา - Cloudflare Blog
# Apple ออกอัปเดต iOS 13.7 ปรับปรุง Exposure Notifications ไม่ต้องลงแอปเพิ่ม แอปเปิลออกอัปเดต iOS 13.7 และ iPadOS 13.7 ตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา โดยมีคุณสมบัติใหม่ที่สำคัญคือ Exposure Notifications System สำหรับการทำ Tracing โควิด-19 โดยไม่ต้องลงแอปเพิ่มเติม กรณีต้องการเปิดการใช้งาน ในประเทศหรือพื้นที่ซึ่งรองรับคุณสมบัตินี้ ผู้ใช้งานสามารถอัปเดตแบบ OTA ได้ที่ Settings > General > Software Update iPadOS 13.7 ไม่ได้รองรับ Exposure Notifications แอปเปิลจึงระบุในอัปเดตนี้ว่าเป็นการแก้ไขบั๊กทั่วไป ทั้งนี้คาดว่า iOS 13.7 น่าจะเป็นอัปเดตใหญ่ตัวสุดท้ายของ iOS 13 เนื่องจากตามกำหนดแล้ว iOS 14 จะออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ที่มา: MacRumors
# The Witcher 3 เตรียมออกอัพเดตใหม่รองรับ Ray Tracing สำหรับคอนโซลยุคหน้า คนซื้อเดิมได้อัพเดตฟรี CD Projekt ประกาศออก The Witcher 3: Wild Hunt รุ่นอัพเดตสำหรับคอนโซลยุคต่อไป คือ Xbox Series X และ PlayStation 5 มีฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ ray tracing และยังลดเวลาโหลด สำหรับผู้ที่ซื้อเกมบนแพลตฟอร์มเดิมไปแล้วทาง CD Projekt จะได้อัพเดตฟรี ยังไม่มีรายละเอียดว่าอัพเดตเวอร์ชั่นใหม่จะได้อะไรบ้าง เพราะเกมที่ออกบนคอนโซลยุคต่อไปเป็น Complete Edition และผู้ที่เล่นบนคอนโซลเวอรชั่นเดิมก็ไม่น่าจะรองรับ ray tracing ไหว แต่บริษัทก็เคยแจกเวอร์ชั่นพีซีให้ผู้เล่นคอนโซลมาแล้ว เกม The Witcher 3 กลับมาได้รับความนิยมอย่างสูงหลังซีรีส์เรื่องเดียวกันลงฉายใน Netflix และมีแนวโน้มว่าทาง Netflix จะทำคอนเทนต์ในจักรวาล The Witcher ออกมาอีกหลายเรื่อง การทำเกมเวอร์ชั่นอัพเดตมาเลี้ยงกระแสไว้ก็ดูสมเหตุสมผล ที่มา - The Witcher
# GitHub รายงานการอัพเกรด Ruby 2.7 พบต้องแก้คำเตือน deprecated กว่า 11,000 จุด เตรียมรับ Ruby 3 GitHub รายงานถึงการอัพเกรด Ruby ที่ GitHub ใช้งานเป็นหลัก รวมโค้ดกว่า 400,000 บรรทัด โดยมีความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการแจ้งเตือนการยกเลิกรองรับ Hash แทน keyword argument ใน Ruby 3 แม้ว่าจะยังใช้งานได้ใน Ruby 2.7 ก็ตาม แต่ GitHub ยืนยันว่าจะใช้โค้ดแบบไม่มีคำเตือน deprecated ทำให้ต้องแก้ไขโค้ดจำนวนมาก แนวทางของ GitHub คือการแพตช์โมดูล Warning เพื่อให้เก็บการแจ้งเตือน deprecated ลงไฟล์ระหว่างการรันเทสในระบบ CI ทีมงานนั่งแก้คำเตือนโดยร่วมกัน 40 ทีม รวมถึงการอัพเกรดแพ็กเกจต่างๆ อีกกว่า 30 รายการ ใช้เวลาหลายเดือนจึงแก้ไขได้ทุกจุด เมื่อเรียบร้อยแล้วก็แพตช์โมดูล Warning อีกทีเพื่อให้แจ้ง error ไปเลยหากมีคำเตือน deprecated อีก เพื่อไม่ให้มีนักพัฒนาส่งโค้ดที่ถูกเตือนเข้าระบบ ทาง GitHub พบว่าการปรับแก้คำเตือนนี้ทำให้ Ruby เริ่มทำงานได้เร็วขึ้น จากเดิมเริ่มรันแอปพลิเคชั่นใช้เวลา 90 วินาทีก็ลดลงเหลือ 70 วินาที สอดคล้องกับคำสัญญาของทีมงาน Ruby ว่า Ruby 3 จะเร็วขึ้น 3 เท่าตัว รวมถึงอัตราการทำ object allocation ก็ลดลงมาก ทาง GitHub ยืนยันว่าแรงงานที่ทุ่มลงไปเพื่อเตรียมการรองรับซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุดนี้คุ้มค่า และทีมงานกำลังรอใช้งาน Ruby 3.0 ต่อไป ที่มา - GitHub
# Facebook ประกาศไม่รับโฆษณาการเมืองชิ้นใหม่ก่อนวันเลือกตั้งสหรัฐฯ 1 สัปดาห์ Facebook ประกาศไม่รับโฆษณาการเมืองชิ้นใหม่ก่อนวันเลือกตั้งสหรัฐฯ 1 สัปดาห์ ป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลปลอมเกี่ยวกับการเลือกตั้งในช่วงเวลาสำคัญ Facebook ระบุด้วยว่าจะลบโพสต์ที่อ้างว่าคนจะติดโรค COVID-19 ถ้าออกไปเลือกตั้ง พร้อมทั้งแนบแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับโรคระบาดและการเลือกตั้ง 2020 ไปยังโพสต์ที่ใช้ COVID-19 เป็นข้ออ้างในการกีดกันการลงคะแนนเสียงรวมถึงโพสต์ที่พยายามลดความชอบธรรมของการเลือกตั้ง และหากพรรคการเมืองใดพยายามจะประกาศชัยชนะหรือแถลงผลคะแนน Facebook ก็จะแนบแหล่งตรวจสอบข้อมูลผลการเลือกตั้งคือ Reuters และ National Election Pool ในระหว่างนี้ Facebook ก็จะผลักดันแหล่งข้อมูลเลือกตั้งหรือ Voter Information Center ไว้ด้านบนสุดของหน้าจอแอป Facebook, Instgram ที่มา - Facebook Newsroom
# อินเดียจัดแข่งออกแบบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ฝังตัว สนับสนุนการใช้ซีพียู RISC-V แบบโอเพนซอร์ส รัฐบาลอินเดียประกาศแข่งขันออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ฝังตัวเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมไอทีในประเทศ แต่จุดน่าสนใจคือการแข่งขันครั้งนี้บังคับว่าต้องใช้ซีพียู RISC-V ในการแข่งขันเท่านั้น โดยใช้ซีพียูได้สองตระกูลได้แก่ Shakti และ Vega ที่เป็นซีพียูโอเพนซอร์สทั้งคู่สามารถอิมพลีเมนต์บนชิป FPGA ได้ RISC-V เป็นชุดคำสั่งแบบโอเพนซอร์สที่เปิดให้บริษัทต่างๆ ใช้งานได้ฟรี ทำให้ไม่ต้องเสียค่าไลเซนส์สำหรับการผลิตเพิ่มเติม ขณะที่ชุดคำสั่งอย่าง x86 หรือ ARM นั้นมีบริษัทถือสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้บริษัทออกแบบซีพียูต้องไปซื้อสิทธิ์ในการออกแบบชิปตามชุดคำสั่งมา อย่างไรก็ดีซีพียูที่ออกแบบตามชุดคำสั่ง RISC-V เองไม่จำเป็นต้องเป็นซีพียูโอเพนซอร์สเสมอไป ในกรณีการแข่งขันครั้งนี้ทั้ง Shakti และ Vega เป็นซีพียูโอเพนซอร์สทั้งคู่ทำให้ผู้แข่งขันสามารถนำโค้ดมาสร้างซีพียูใน FPGA ด้วยตัวเองได้ ในสองตระกูลนี้ Shakti มีความก้าวหน้าในการผลิตมากกว่าจากการผลิตชิปทดสอบไปแล้วด้วยเทคโนโลยี 180 นาโนเมตรและ 22 นาโนเมตร การแข่งขันการออกแบบคอมพิวเตอร์นี้จะทำให้มี "ซอฟต์แวร์" ที่รันบนซีพียูทั้งสองตระกูลได้มารอใช้งานเมื่อชิปทั้งสองตระกูลพร้อมสำหรับการผลิตจริงในอนาคต แนวทางการใช้งานที่รัฐบาลอินเดียเปิดแข่งขันไม่ได้ซับซ้อนมากนัก เช่นระบบ IoT ควบคุมไฟฟ้า, ประปา, เปิดปิดประตู บางระบบที่ซับซ้อนขึ้นอาจจะมีการจดจำใบหน้าไปจนถึงการควบคุมโดรน การแข่งขันเริ่มเปิดรับใบสมัคร และจะใช้เวลาแข่งขันถึง 10 เดือน รางวัลที่ 1 มีเงินรางวัลลงทุนสตาร์ตอัพ 23 ล้านรูปีหรือประมาณ 10 ล้านบาท มี 10 รางวัล ที่มา - The Register
# แอพ Gojek Thailand เปิดให้ดาวน์โหลดแล้ว, แอพ GET เดิมใช้ได้ถึง 16 ก.ย. ต่อจากข่าว Gojek รวมแบรนด์และแอปในภูมิภาคเป็นชื่อเดียว เลิกใช้แบรนด์ GET ตอนนี้แอพ Gojek ขึ้นสโตร์ในประเทศไทยให้ดาวน์โหลดและใช้งานแล้ว ทั้งบน iOS และ Android แต่จะเปิดให้ใช้บริการอย่างเป็นทางการ วันที่ 16 กันยายน 2563 Gojek Thailand บอกว่าแอพตัวใหม่จะมีอินเทอร์เฟซที่ดีกว่าเดิม รองรับบริการทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ บริการส่งอาหาร (GoFood) บริการเรียกรถจักรยานยนต์ (GoRide) บริการขนส่งพัสดุ (GoSend) และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (GoPay) ส่วนแอพ Get ตัวเดิมจะใช้งานได้ถึงวันที่ 16 กันยายนเช่นกัน Disclaimer: บริษัทแม่ของ Blognone คือ LINE MAN Wongnai เป็นคู่แข่งของ GET/Gojek
# หน่วยงานต่อต้านการผูกขาดญี่ปุ่นจับตาคดี Epic vs Apple, บริษัทเกมญี่ปุ่นเริ่มสนับสนุน Epic ต่อจากข่าว หน่วยงานต่อต้านการผูกขาดเยอรมนีเริ่มจับตาดูคดี Apple vs Epic ที่ฟ้องกันในสหรัฐ ล่าสุด Bloomberg รายงานว่า หน่วยงานกำกับดูแลด้านการผูกขาดของญี่ปุ่น (ในที่นี้คือ Japan Fair Trade Commission) ก็เริ่มจับตาเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ความน่าสนใจของญี่ปุ่นอยู่ที่การมีสตูดิโอเกมจำนวนมาก ที่ไม่พอใจเรื่องการเก็บส่วนแบ่ง 30% ของแอปเปิล และกระบวนการอนุมัติขึ้นสโตร์ที่คาดเดาไม่ได้มานานแล้ว การที่ Epic ลุกขึ้นมาสู้ (อ่านรายละเอียดในบทความ ไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส) ทำให้ผู้บริหารบริษัทเกมญี่ปุ่นลุกขึ้นมาสนับสนุนตามบ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น Hironao Kunimitsu ประธานบริษัทเกมมือถือ Gumi (ร่วมพัฒนา Final Fantasy Brave Exvius ให้ Square Enix) ออกมาโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "อยากให้ Epic ชนะ" Bloomberg บอกว่านักพัฒนาเกมญี่ปุ่นคุ้นเคยกับส่วนแบ่ง 30% ของวงการคอนโซลมาตั้งแต่ยุคตลับเกม ซึ่งนักพัฒนาไม่ได้มีปัญหากับเรื่องส่วนแบ่ง 30% แต่ต้องการบริการที่ดีกว่าในปัจจุบันจากแอปเปิล ซึ่งมีปัญหาเรื่องการสื่อสารมาก ถึงขั้นนักพัฒนาบางรายต้องเลิกทำระบบอีเวนต์ตามฤดูกาล เพราะไม่มีอะไรการันตีว่าแอปเปิลจะอนุมัติอัพเดตของเกมขึ้นสโตร์ได้ทัน หรือถึงขั้นมีบริษัทนายหน้า รับจัดการปัญหาเรื่องการถูกแอปเปิลปฏิเสธอัพเดตเลยด้วยซ้ำ ที่มา - Bloomberg, ภาพจาก Gumi
# Arm เปิดตัว Cortex-R82 ชิป 64 บิตตัวแรกสายเรียลไทม์ ใช้แรมได้เกิน 4GB รองรับลินุกซ์ Arm เปิดตัวชิปใหม่ Cortex-R82 สำหรับตลาดอุปกรณ์เรียลไทม์ โดยเน้นตลาดอุปกรณ์สตอเรจ เช่น SSD หรือโซลูชันสตอเรจสำหรับองค์กร ที่ต้องการใช้ชิปสมรรถนะสูงขึ้นมาควบคุมสตอเรจรุ่นใหม่ที่ประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆ Arm มีชิปสาย Cortex-R สำหรับงานเรียลไทม์อยู่แล้วคือ Cortex-R52 ที่ออกในปี 2016 การออก Cortex-R82 จึงถือเป็นการอัพเกรดใหญ่ในรอบ 4 ปี เพื่อให้ได้ชิปตัวใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น Cortex-R82 ถือเป็นชิป 64 บิตตัวแรกของสาย Cortex-R และเป็นชิปตัวแรกที่รองรับลินุกซ์ด้วย ทาง Arm บอกว่าอุปกรณ์ฝังตัวชนิดใหม่ๆ เริ่มต้องการใช้งานหน่วยความจำสูงกว่า 4GB ซึ่งเป็นเพดานของชิปแบบ 32 บิตเดิม จึงจำเป็นต้องยกระดับชิปเป็น 64 บิต (อ้างหน่วยความจำได้ถึง 1TB) นอกจากเรื่อง 64 บิตแล้ว แอพพลิเคชันรุ่นใหม่ๆ เริ่มต้องการใช้ระบบปฏิบัติการขั้นสูงขึ้นคือลินุกซ์ (Arm รองรับอยู่แล้วบนชิปตระกูล Cortex-A สามารถย้ายมารันบน Cortex-R ได้ทันที) ทำให้ Cortex-R82 สามารถเพิ่มตัวจัดการหน่วยความจำ Memory Management Unit (MMU) เข้ามาได้ นอกเหนือจากการใช้ Memory Protection Unit (MPU) กับระบบปฏิบัติการเรียลไทม์ (RTOS) แบบดั้งเดิม ที่มา - Arm, Arm
# NVIDIA โชว์คลิป GeForce 3080 vs 2080 Ti ด้วยการเล่น Doom Eternal ระดับ 4K มาถึงตอนนี้ยังไม่มีใครได้ลองใช้ GeForce RTX ซีรีส์ 30 กันอย่างจริงจังมากนัก (สินค้าจริงวางขาย 17 กันยายน ตอนนี้สื่อที่ได้ของไปรีวิวคงทดสอบกันอยู่) NVIDIA จึงถือโอกาสออกคลิปเปรียบเทียบระหว่าง GeForce RTX 3080 กับรุ่นพี่ระดับเดียวกัน GeForce RTX 2080 Ti ให้ดูกันชัดๆ ด้วยการเล่นเกม Doom Eternal ซึ่งเป็นเกมที่เอนจินสามารถดันเฟรมเรตไปได้ถึง 1000 FPS NVIDIA ทดสอบการเล่น Doom Eternal ที่ความละเอียด 4K 3840x2160 และตั้งค่าทุกอย่างเหมือนกัน ฝั่ง GeForce RTX 2080 Ti ทำเฟรมเรตได้เฉลี่ยอยู่ราว 100 FPS ในขณะที่ GeForce RTX 3080 ทำเฟรมเรตได้เฉลี่ยราว 150 FPS และสามารถดันไปได้ถึง 200 FPS ในบางซีน (ช่วงท้ายคลิปที่มีการเคลื่อนไหวเยอะมากๆ จะตกไปอยู่ราวร้อยต้นๆ) ระหว่างรอผลการรีวิวจากสำนักเป็นกลาง แฟนๆ ที่รอซื้อ GeForce RTX 3080 ก็ดูคลิปนี้กันไปพลางๆ ให้เกิดกิเลสก่อนได้ ที่มา - ExtremeTech
# Qualcomm ประกาศทำ Snapdragon ซีรีส์ 400 ที่รองรับ 5G ออกช่วงต้นปี 2021 Qualcomm ประกาศออก Snapdragon ซีรีส์ 400 ที่รองรับ 5G ในช่วงต้นปี 2021 ซึ่งจะทำให้เราเห็นสมาร์ทโฟนระดับกลาง-ล่าง ที่รองรับ 5G เพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก ปัจจุบัน Qualcomm รองรับ 5G ใน Snapdragon ซีรีส์ 600 ขึ้นไป ได้แก่ 690 ที่เพิ่งเปิดตัวเดือน มิ.ย., 765, 765G, 768G, 855, 865, 865 Plus ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดของ Snapdragon ซีรีส์ 400 ตัวใหม่ (ตัวสูงสุดในปัจจุบันคือ 460 ออกช่วงต้นปี 2020) แต่ Qualcomm ให้ข้อมูลว่าจะเห็นมือถือออกขายในไตรมาแรกของปี 2021 โดยผู้ผลิตที่ระบุชื่อแล้วคือ Motorola, Oppo, Xiaomi ที่มา - Qualcomm
# Nintendo เปิดตัว Super Mario Bros. 35 เล่นมาริโอ้พร้อมกัน 35 คน แบบ Battle Royale ในงานแถลงข่าวมาริโอ้ครบรอบ 35 ปี เมื่อวานนี้ นินเทนโดยังเปิดตัว Super Mario Bros. ภาคพิเศษในชื่อ Super Mario Bros. 35 ที่เปิดให้เล่นได้ฟรี สำหรับลูกค้าที่สมัคร Nintendo Switch Online Super Mario Bros. 35 มีรูปแบบเกมคล้ายกับ Tetris 99 นั่นคือผู้เล่นเกมทั้งหมด 35 คน จะเล่นเกมมาริโอ้เหมือนกันในฉากต่าง ๆ คนที่อยู่รอดในเกมเป็นคนสุดท้ายเป็นผู้ชนะ ลูกเล่นของเกมคือเมื่อผู้เล่นโจมตีศัตรูในฉากตนเอง ศัตรูนั้นจะไปปรากฏเพิ่มเพื่อสร้างความลำบากกับผู้เล่นคนอื่น โดยสามารถกำหนดเงื่อนไขได้ด้วยว่าเป็นผู้เล่นคนไหน (มีเหรียญเยอะที่สุด, น้อยที่สุด, โจมตีกลับ, สุ่ม) เกม Super Mario Bros. 35 เปิดให้เล่นตั้งแต่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2021 ที่มา: The Verge
# Google Maps ร่วมมือกับ DeepMind ปรับปรุงการคำนวณเวลาเดินทางให้แม่นยำมากขึ้น กูเกิลเขียนบล็อกอธิบายแนวคิดการทำงานของ Google Maps ส่วนที่ใช้คำนวณเวลาที่จะเดินทางถึงจุดหมาย (ETA) และการเลือกเส้นทาง ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้กูเกิลต้องปรับโมเดลการคำนวณเช่นกัน Google Maps ใช้ข้อมูลสภาพการจราจร ณ ขณะเวลานั้น ผ่านการใช้งานของผู้ใช้ในจุดต่าง ๆ ทั่วโลก แต่ข้อมูลนี้ไม่เพียงพอสำหรับการหา ETA สิ่งที่กูเกิลใช้คือแพทเทิร์นในอดีต เช่น ค่าเฉลี่ยความเร็วรถยนต์ที่ทำได้ในช่วงถนนแต่ละสาย แยกตามช่วงเวลา ช่วยให้คำนวณเวลาเดินทางได้ดีขึ้น กูเกิลยังเผยว่าไม่นานมานี้ ได้ร่วมมือกับ DeepMind เพื่อพัฒนาการคำนวณ ETA ที่แม่นยำมากขึ้น โดยมีหัวใจสำคัญคือ Supersegments ที่แบ่งย่อยเส้นทางการเดินทางเป็นส่วน ๆ และคำนวณปัจจัยที่ส่งผลในแต่ละส่วน ผลลัพธ์คือ ETA ที่แม่นยำมากขึ้น หลายเมืองดีขึ้นมากกว่า 50% ส่วนกรุงเทพฯ นั้น เพิ่มขึ้น 21% มีประเด็นที่น่าสนใจคือการระบาดของโควิด-19 ทำให้ปริมาณการจราจรรวมทั่วโลกลดลงถึง 50% จากมาตรการปิดเมือง ทำให้กูเกิลต้องปรับการใช้ข้อมูลอดีตของ Google Maps เช่นกัน โดยเพิ่มเป็น 4 สัปดาห์ย้อนหลัง จากเดิมใช้ 2 สัปดาห์ และลดน้ำหนักข้อมูลในอดีตที่เก่ากว่านั้น สุดท้ายกูเกิลอธิบายการเลือกเส้นทางที่เหมาะสมในการเดินทาง ซึ่งหากเส้นทางหนึ่งมีการจราจรหนาแน่นมากไป ก็จะเลือกเส้นทางอีกแบบมาให้ และยังคำนึงถึงปัจจัยสภาพถนน ทางดิน การซ่อมแซมเส้นทาง รวมเข้ามาด้วย ที่มา: กูเกิล และ DeepMind
# Nintendo รวมเกมเก่า Super Mario 3D All-Stars เล่นบน Switch ขายจำนวนจำกัดถึงมีนาคมปีหน้า ในการแถลงข่าว Direct ฉลองครบรอบ 35 ปี มาริโอ้ นินเทนโดยังเปิดตัว Super Mario 3D All-Stars บน Nintendo Switch ซึ่งเป็นการพอร์ตเกมเก่า 3 ภาค ได้แก่ Super Mario 64, Super Mario Sunshine และ Super Mario Galaxy นินเทนโดระบุว่าเกมทั้ง 3 ภาค ยังได้ปรับเพิ่มความละเอียดในการแสดงผลภาพอีกด้วย นอกจากตัวเกมแล้ว ยังมีโหมด Music Player ไว้สำหรับเปิดเพลงประกอบจากในเกมฟังเพียงอย่างเดียว Super Mario 3D All-Stars จะจำหน่ายแบบจำนวนจำกัดในเวอร์ชันตลับที่วางขายในร้าน รวมทั้งเวอร์ชันดิจิทัลก็จะขายจำกัดช่วงเวลาเช่นกัน โดยเริ่มขายตั้งแต่ 18 กันยายน จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2021 ราคา 6,480 เยน สำหรับในญี่ปุ่น และ 59.99 ดอลลาร์ ในอเมริกา ที่มา: IGN
# Mario Kart Live: Home Circuit เกมขับรถมาริโอ้ เวอร์ชันรถบังคับวิทยุผสานกับ AR ในการแถลงข่าวครบรอบ 35 ปี มาริโอ นินเทนโดได้เปิดตัวเกม Mario Kart ภาคใหม่บน Nintendo Switch ในชื่อ Mario Kart Live: Home Circuit ซึ่งมีจุดขายคือมาพร้อมกับรถบังคับวิทยุให้ควบคุมแบบวิ่งรอบบ้าน! อุปกรณ์ในกล่องประกอบด้วยตัวรถบังคับวิทยุ ที่มีกล้องติดอยู่ด้านบน มีให้เลือก 2 แบบคือ มาริโอ้ และหลุยจิ, ฉากจัดวางในเกม ได้แก่รั้วและป้ายลูกศรบอกทิศทาง ซึ่งนำมาจัดเรียงสร้างเส้นทางเสมือนในเกมได้ ผู้เล่นจะควบคุมรถบังคับผ่าน Switch โดยหน้าจอจะแสดงผลฉากในบ้านที่ประกอบกับ AR แสดงตัวละครและการเก็บไอเท็มต่าง ๆ ในเกม สามารถเล่นพร้อมกันได้สูงสุด 4 คน (แต่ละคนต้องมีเครื่อง Switch ของตนเอง) เกมเริ่มวางจำหน่าย 16 ตุลาคม เป็นต้นไป สามารถเล่นได้ทั้งบน Switch และ Switch Lite ราคาในญี่ปุ่น 9,980 เยน และอเมริกา 99.99 ดอลลาร์ รับชมเทรลเลอร์ประกอบการตัดสินใจได้ท้ายข่าว ที่มา: The Verge
# Nintendo ฉลอง 35 ปี มาริโอ้ เปิดตัวเกมกดเรโทร Super Mario Bros. หน้าจอสี นินเทนโดเปิดตัวเกมในตระกูลมาริโอ้ชุดใหญ่ ใน Direct งานนำเสนอฉลองครบรอบ 35 ปี Super Mario Bros. สินค้าแรกคือเกมกดของนินเทนโด ซึ่งเป็นการนำแบรนด์ Game & Watch มาผลิตอีกครั้ง ตัวเครื่องออกแบบอย่างเรโทรด้วยหน้าตาของจอยแฟมิคอม มาพร้อมกับจอสี LCD เกมในเครื่องประกอบด้วย Super Mario Bros. ภาคแรก, Super Mario Bros. 2 และเกมนาฬิกา Ball ที่ใช้มาริโอ้เป็นคาแรกเตอร์ Game & Watch: Super Mario Bros. เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ราคาขายในญี่ปุ่น 4,980 เยน และในอเมริกา 49.99 ดอลลาร์ ที่มา: The Verge
# หน่วยงานต่อต้านการผูกขาดเยอรมนีเริ่มจับตาดูคดี Apple vs Epic Reuters รายงานว่าหน่วยงานต่อต้านการผูกขาดของเยอรมนี เริ่มจับดูการพิพาททางกฎหมายระหว่าง Apple และ Epic ที่กำลังเกิดขึ้นที่ศาลแขวงแคลิฟอร์เนีย Andreas Mundt หัวหน้าหน่วยงานระบุว่าจะจับตาดูอย่างใกล้ชิด รวมถึงแสดงความเห็นด้วยว่าทั้ง App Store และ Play Store อยู่ในสภาพแวดล้อมด้านการแข่งขันที่น่าสนใจ เพราะสโตร์บนสมาร์ทโฟนทั่วโลกมีเพียง 2 เจ้านี้เป็นหลักเท่านั้น ที่มา - itnews
# Qualcomm เปิดตัวซีพียูสำหรับโน้ตบุ๊ก ARM รุ่นที่สอง Snapdragon 8cx Gen 2 5G เมื่อปลายปี 2018 Qualcomm เปิดตัวหน่วยประมวลผล Snapdragon 8cx สำหรับพีซี ARM รันวินโดวส์ โดยชูจุดเด่นเรื่องการประหยัดแบตเตอรี่ และการเชื่อมต่อเครือข่าย LTE ตลอดเวลา (Always On, Always Connected) แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนักในแง่ยอดขายหรือจำนวนสินค้าที่ใช้งาน (มีเพียง Samsung Galaxy Book S, Lenovo Yoga 5G และ Surface Pro X ที่ใช้ชิป SQ1 ซึ่งเป็น 8cx รุ่นพิเศษ) แต่ Qualcomm ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ล่าสุดวันนี้เปิดตัว Qualcomm Snapdragon 8cx Gen 2 5G ที่พัฒนาขึ้นจากเดิมในบางจุด ซีพียูยังเป็น Kryo 495 8 คอร์ ตัวเดิม แต่ไม่ระบุสัญญาณนาฬิกา จีพียูเป็น Adreno 690 รองรับ DirectX 12 (ของเดิมคือ Adreno 680, ถ้าเป็น SQ1 ใช้ Adreno 685) รองรับ 5G (ชิปโมเด็ม X55 แยกจากชิปหลัก), Wi-Fi 6, Bluetooth 5.1 ผู้ผลิตพีซีที่ประกาศทำฮาร์ดแวร์แล้วคือ Acer และ HP ซึ่งจะเปิดตัวสินค้าภายในปีนี้ ที่มา - Qualcomm, Qualcomm
# Windows 10 ปรับหน้าตา Touch Keyboard ใหม่, ยกเครื่อง Voice Typing นอกจาก Windows 10 ปรับหน้าจอ Emoji Picker ใหม่ ยังปรับปรุงอินพุตแบบอื่นๆ ได้แก่ Touch Keyboard และ Voice Typing ด้วย Touch Keyboard หรือคีย์บอร์ดสำหรับอุปกรณ์จอสัมผัส ปรับหน้าตาให้เข้าชุด Fluent Design และเพิ่มฟีเจอร์การค้นหา Emoji/GIF เข้ามาที่ตัวคีย์บอร์ดเลย (ลักษณะเดียวกับ Gboard ของ Android) นอกจากนี้ยังเพิ่มฟีเจอร์เล็กๆ น้อยอย่างการกดปุ่มตัวอักษรบางตัว (เช่น e) ค้างไว้เพื่อดูตัวอักษรย่อยของบางภาษา เป็นต้น ส่วน Voice Typing หรือฟีเจอร์การพิมพ์ข้อความด้วยเสียงพูด เป็นพัฒนาการจาก Windows Dictation เดิม โดยปรับเอนจินฟังเสียงให้แม่นยำมากขึ้น มีการใส่เครื่องหมายวรรคตอน (เช่น . หรือ ?) ให้อัตโนมัติโดยไม่ต้องสั่งเอง เพื่อให้การพูดไหลลื่นมากขึ้น Voice Typing ยังรองรับการสั่งพิมพ์งานด้วยเสียงเป็นบางภาษา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น และจีน ฟีเจอร์ทั้งสองส่วนเปิดให้ทดสอบแล้วใน Windows 10 Insider กลุ่ม Dev Channel ที่มา - Microsoft
# Firefox for Android ตัวใหม่ถูกวิจารณ์ยับ เพราะฟีเจอร์หายไปจากรุ่นเดิมหลายอย่าง Firefox for Android เวอร์ชันใหม่ที่เพิ่งเปิดให้ใช้งาน ได้รับเสียงวิจารณ์ไม่ดีนักจากผู้ใช้ Firefox ตัวเดิม เพราะขาดแคลนฟีเจอร์หลายอย่างที่เคยมีในตัวเดิม ฟีเจอร์สำคัญที่ขาดหายไปคือ Extension ที่เดิมทีเคยรองรับส่วนขยายของ Firefox เวอร์ชันเดสก์ท็อปด้วย แต่ Firefox for Android ตัวใหม่ยังรองรับส่วนขยายที่ถูก whitelist เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ด้วยเหตุผลว่าทีมพัฒนาต้องการให้รองรับส่วนขยายแบบค่อยเป็นค่อยไป ฟีเจอร์อย่างอื่นที่ขาดหายไปได้แก่ หน้า about:config, ความสามารถในการปรับแต่งหน้าโฮม, การเปิดแท็บที่เคยเปิดไว้คราวก่อน, การบันทึกหน้าเพจเป็น PDF, view source เป็นต้น ผู้ที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดจากกระทู้ Reddit ที่ตอนนี้มีเกือบ 700 คอมเมนต์แล้ว ในประกาศออกเวอร์ชันใหม่ของ Firefox บนทวิตเตอร์ ก็มีผู้ใช้มาตอบ reply เป็นจำนวนมากถึงปัญหาต่างๆ รวมถึงปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการโหลดหน้าเว็บที่แย่ลงด้วย ส่วนคอมเมนต์ใน Play Store ก็ไปในทิศทางเดียวกัน ที่มา - Android Police
# Facebook Messenger จำกัดการส่งต่อข้อความได้แค่ทีละ 5 คน ป้องกันการแพร่ข่าวปลอม เฟซบุ๊กประกาศจำกัดการส่งข้อความต่อให้ได้แค่ครั้งละ 5 คน (หรือกลุ่ม) เท่านั้น เพื่อลดการแพร่กระจายข่าวปลอม โดยเฉพาะช่วงก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปลายปีนี้ ซึ่งเมื่อกดส่งครบ 5 คน (กลุ่ม) แล้วจะเด้งข้อความ Forwarding limit reached ด้านบน มาตรการนี้เคยถูกใช้มาแล้วกับ WhatsApp เพื่อป้องกันการแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับ COVID-19 ซึ่งก็ค่อนข้างประสบผลสำเร็จ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เฟซบุ๊กจะใช้มาตรการเดียวกันกับ Messenger ที่มา - Facebook Newsroom
# ASUS เปิดตัวโน้ตบุ๊ก Intel Core Gen 11th ตระกูล Zenbook และ Expertbook หลังเปิดตัว Intel Gen 11th ไปเมื่อคืนนี้ ASUS ก็ประกาศเปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่มาพร้อม Intel Gen 11th คือ ZenBook Flip S, Zenbook Flip 13, Zenbook S, Zenbook 14 Ultralight, Zenbook Pro 15 และ Expertbook B9 Zenbook Flip S เป็นโน้ตบุ๊ก 2-in-1 รุ่นแรกของ ASUS ที่ผ่านมาตรฐานใหม่ Intel Evo เน้นบางเบา บางเพียง 0.55 นิ้ว หนักเพียง 950 กรัม มีกล้องหน้า รองรับ Windows Hello สเปกดังนี้ หน้าจอ ตัวเลือก LED FullHD, OLED 4K ซีพียู Intel Core-i7-1165G7, Core-i5-1135G7 แรมสูงสุด 16GB 4,266 MHz LPDDR4x ฮาร์ดดิสก์ สูงสุด SSD NVMe M.2 ขนาด 1TB พอร์ต Thunderbolt 4, 2 พอร์ต, USB-A 1 พอร์ต และ HDMI 1 พอร์ต ไม่มีช่องเสียบหูฟัง แถมหัวแปลง 3.5 mm to USB-C รองรับ Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0 แบตเตอรี่ 67 Wh ที่ชาร์จ 65W ผ่าน USB-C เวลาใช้งานแบตเตอรี่สูงสุด ประมาณ 15 ชั่วโมง Zenbook Flip 13 โน้ตบุ๊ก 2-in-1 อีกรุ่น ที่มีบานพับแบบ ErgoLift ใช้ได้หลายโหมด ทั้งโหมดโน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต และกางแบบเต้นท์ บาง 0.55 นิ้วเช่นกัน แต่หนักกว่ารุ่น S เล็กน้อย น้ำหนักอยู่ที่ 1.3 กิโลกรัม สเปกดังนี้ หน้าจอ ตัวเลือก LED Backlit FullHD, OLED FullHD ซีพียู Intel Core-i7-1165G7, Core-i5-1135G7 แรมสูงสุด 16GB 4,266 MHz LPDDR4x ฮาร์ดดิสก์ สูงสุด SSD 1TB NVMe M.2 พอร์ต Thunderbolt 4, 2 พอร์ต, USB-A 1 พอร์ต และ HDMI 1 พอร์ต ไม่มีช่องเสียบหูฟัง แถมหัวแปลง 3.5 mm to USB-C รองรับ Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0 แบตเตอรี่ 67 Wh ที่ชาร์จ 65W ผ่าน USB-C เวลาใช้งานแบตเตอรี่สูงสุด ประมาณ 14 ชั่วโมง ZenBook S โน้ตบุ๊ก 13.9 นิ้ว หน้าจออัตราส่วน 3:2 บาง 0.62 นิ้ว หน้าจอความละเอียด 3.3K แบบ NanoEdge รองรับมาตรฐานสีโดย PANTONE เช่นกัน น้ำหนักประมาณ 1.35 กิโลกรัม มีสเปกดังนี้ หน้าจอ 13.9 นิ้ว 3.3K อัตราส่วน 3:2 ซีพียู Intel Core-i7-1165G7, Core-i5-1135G7 แรมสูงสุด 16GB 4,266 MHz LPDDR4x ฮาร์ดดิสก์ สูงสุด SSD 1TB NVMe M.2 พอร์ต Thunderbolt 4, 2 พอร์ต, USB-A 1 พอร์ต และ HDMI 1 พอร์ต ช่องอ่าน microSD 1 ช่อง ไม่มีช่องเสียบหูฟัง แถมหัวแปลง 3.5 mm to USB-C รองรับ Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0 แบตเตอรี่ 67 Wh ที่ชาร์จ 65W ผ่าน USB-C เวลาใช้งานแบตเตอรี่สูงสุด ประมาณ 12 ชั่วโมง Zenbook 14 Ultralight โน้ตบุ๊ก 14 นิ้ว น้ำหนัก 1.04 กิโลกรัม มีตัวเลือกการ์ดจอ Intel Iris X และ Geforce MX450 สเปกอื่นๆ ดังนี้ หน้าจอ LED Backlit FullHD 14 นิ้ว ซีพียู Intel Core-i7-1165G7, Core-i5-1135G7 แรมสูงสุด 16GB 4,266 MHz LPDDR4x ฮาร์ดดิสก์ สูงสุด SSD 1TB NVMe M.2 พอร์ต Thunderbolt 4, 2 พอร์ต, USB-A 1 พอร์ต และ HDMI 1 พอร์ต มีช่องเสียบหูฟัง รองรับ Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0 แบตเตอรี่ 63 Wh ที่ชาร์จ 65W ผ่าน USB-C Zenbook Pro 15 โน้ตบุ๊กหน้าจอ 15.6 นิ้ว น้ำหนัก 1.8 กิโลกรัม อัพหน้าจอได้สูงสุดถึง OLED 4K UHD และมีตัวเลือกจอสัมผัส มาพร้อมการ์ดจอ GTX 1650 Ti Max-Q และซีพียู Intel Core Gen 11th รหัส H มีสเปกดังนี้ หน้าจอ 15.6 นิ้ว มีตัวเลือก LED Full HD, 4K แบบธรรมดาและแบบสัมผัส กับหน้าจอ OLED 4K แบบสัมผัส ซีพียู Intel Core-i7-10750H, Core-i5-10300H แรมสูงสุด 16 GB 2933 MHz DDR4 ฮาร์ดดิสก์ สูงสุด SSD 1TB NVMe M.2 การ์ดจอ GTX 1650 Ti Max-Q พอร์ต Thunderbolt 3, 1 พอร์ต, USB-A 1 พอร์ต และ HDMI 1 พอร์ต และช่องอ่าน SD Card มีช่องเสียบหูฟัง รองรับ Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0 แบตเตอรี่ตัวเลือก 96 Wh และ 64 Wh ที่ชาร์จ 150W ผ่านช่อง DC Expertbook B9 โน้ตบุ๊กสำหรับทำงานแบบบางเบาสุดๆ รุ่นนี้น้ำหนักเพียง 880 กรัมในรุ่นแบต 33 Wh และ 1.005 กิโล สำหรับรุ่น 66 Wh หนา 0.59 นิ้ว มาพร้อมซีพียู Intel Core Gen 11th และยังมีรูหูฟังอยู่ มีสเปกดังนี้ หน้าจอ 14 นิ้ว LED Full HD ซีพียู Intel Core-i7-1165G7, Core-i5-1135G7 แรมสูงสุด 32 GB 4266 MHz LPDDR4x (รองรับ dual channel) ฮาร์ดดิสก์ M.2 NVMe PCIe 3.0 คู่ สูงสุด 2 TB x2 พอร์ต Thunderbolt 4, 2 พอร์ต, USB-A 1 พอร์ต HDMI 1 พอร์ต LAN 1 พอร์ต มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และ Kensington lock รองรับ Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0 แบตเตอรี่ ตัวเลือก 33 Wh และ 66 Wh ที่ชาร์จ 65W ผ่าน USB-C ที่มา - Windows Blog, ASUS
# Xiaomi เปิดตัว Mi Air Purifier 3C ราคา 3,190 บาท, Mi Air Purifier Pro H 8,990 บาท Xiaomi เปิดตัวเครื่องฟอกอากาศใหม่อีกสองรุ่น คือ Mi Air Purifier 3C มาพร้อมไส้กรองอากาศ HEPA อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ (CADR) อยู่ที่ 320 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง พื้นที่ครอบคลุมสูงสุดถึง 38 ตารางเมตร มีจอแสดงผล LED แสดงคุณภาพอากาศ AQI แบบเรียลไทม์ อีกรุ่นคือ Mi Air Purifier Pro H ประสิทธิภาพอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์อนุภาค (PCADR) อยู่ที่ 600 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และสามารถฟอกอากาศบริสุทธิ์ได้ 10 ตารางเมตรต่อนาที หรือสร้างอากาศหมุนเวียนในพื้นที่ 200 ตารางเมตรความสูง 3 เมตรได้ภายใน 1 ชั่วโมง มาพร้อมไส้กรอง HEPA ขนาดใหญ่ ใช้งานได้นาน 14 เดือน Mi Air Purifier 3C จำหน่ายในราคา 3,190 บาท ผ่าน Shopee, Lazada และ JD Central เริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 8 กันยายน พร้อมโปรโมชั่นราคาพิเศษ 2 ชั่วโมง ช่วง 00:00 - 02:00 น. Mi Air Purifier Pro H จำหน่ายในราคา 8,990 บาท ในวันที่ 8 กันยายนนี้ ผ่านช่องทางออนไลน์แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Shopee, Lazada และ JD Central และผ่านช่องทางและร้านค้าอื่นๆ ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน เป็นต้นไป ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์
# Xiaomi เปิดตัว Redmi 9C มือถือรุ่นประหยัด ราคาเริ่มต้น 3,099 บาท Xiaomi เปิดตัวมือถือ Redmi 9C หน้าจอ 6.53 นิ้ว กล้องหน้าเว้าแบบหยดน้ำ ชิป MediaTek Helio G35 กล้องหลัง 3 ตัว แบตเตอรี่ 5,000 mAh มีสองรุ่น คือรุ่น แรม 2GB หน่วยความจำภายใน 32GB ราคา 3,099 บาท กับรุ่น แรม 3GB หน่วยความจำภายใน 64GB ราคา 3,399 บาท Redmi 9C เริ่มจำหน่ายบน Shopee เพียงเจ้าเดียว ในวันที่ 8-20 กันยายนนี้ มีราคาพิเศษในวันที่ 9 กันยายนนี้ในโปร 9.9 ก่อนจะวางจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ และร้านค้าอื่นๆ เช่น TG Fone, Jaymart, COM7 และร้านที่ได้รับอนุญาตจาก Xiaomi ตั้งแต่ 21 กันยายนเป็นต้นไป ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์
# พรีวิว Galaxy Z Fold2 เมื่อมือถือจอพับเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง เมื่อวานซัมซุงประเทศไทยเปิดราคาของ Galaxy Z Fold2 ในไทยที่ 69,990 ราคาเท่ากับรุ่นแรกที่มีข่าวปัญหามากมายโดยเฉพาะเรื่องหน้าจอ แต่ถึงกระนั้นยอดขายของ Galaxy Fold ก็ดูจะเป็นบวก ขณะที่ Galaxy Z Fold2 ที่ผมได้ลองเล่นช่วงสั้น ๆ เมื่อวาน มันยิ่งตอกย้ำที่คนแซวกันว่า Galaxy Fold รุ่นแรกยังเป็นฮาร์ดแวร์เวอร์ชันเบต้า เพราะ Fold2 มันเหมือนสมาร์ทโฟนจอพับที่สมบูรณ์พร้อมแล้วจริง ๆ ทั้งในแง่งานประกอบที่ดูดี พรีเมียม (งานประกอบแบบเดียวกับ Note 20 Ultra) และหน้าจอด้านในที่ปรับปรุงให้ดีมากขึ้นและดูเป็นจอพับที่ใช้งานได้จริงเหมือน Galaxy Z Flip จากที่ Fold รุ่นแรกหน้าจอด้านในเหมือนถูกครอบไว้ด้วยแผ่นพลาสติกบาง ๆ ในแง่ดีไซน์รวม ๆ ไม่แตกต่างจากเดิม เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือก็ยังคงเป็นที่ปุ่มล็อกหน้าจอด้านขวาตัวเครื่อง ยังไม่ได้ฝังมาไว้ใต้จอ แต่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือหน้าจอด้านนอกที่ขยายขึ้นมาเต็มพื้นที่ตัวเครื่องที่ 6.2 นิ้วจาก 4.6 นิ้ว รวมถึงหน้าจอด้านในที่ขยายขึ้นมาเป็น 7.6 นิ้วจาก 7.3 นิ้วในรุ่นก่อนหน้า และไม่มีแถบกล้องดำ ๆ บริเวณขวาบนมากวนใจแล้ว แต่กลายเป็นกล้อง punch hole เล็ก ๆ แทน นอกจากนี้บานพับจอก็รู้สึกได้ว่าแข็งแรงมากขึ้นด้วย (แหงล่ะ) รู้สึกว่ากล้าจะเปิดปิดได้มากกว่ารุ่นแรก รวมถึงฟีเจอร์ด้าน productivity เวลาใช้งานหลายหน้าจอก็ถูกปรัปบรุงด้วย เช่น รองรับการเปิดแอปพร้อมกัน 3 แอป, การเปิด 2 แอปรองรับการแสดงผลในแนวนอน (horizontal) แล้วจากเดิมที่ล็อกเอาไว้แค่แนวตั้ง (vertical) รวมถึงสามารถเปิดแอปเดียวกันพร้อมกันได้ 2 หน้าจอ แต่เบื้องต้นรองรับเฉพาะแอปของซัมซุงก่อนเท่านั้น สรุปคือ Fold2 ที่เปิดมาราคาเท่าเดิม แต่การปรับปรุงที่ทำให้มันเป็นสมาร์ทโฟนจอพับที่สมบูรณ์ขึ้น น่าใช้มากขึ้น และก็น่าจะทำให้ยอดขายของซัมซุงเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่าสมาร์ทโฟนตระกูล Fold จะสมบูรณ์กว่านี้ โดยเฉพาะจากการที่ซัมซุงพยายามขายว่ามันเป็นให้ได้ทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต คือการเพิ่ม S Pen เข้ามาให้ด้วย เพราะขนาดเวลากางจอออกมา ส่วนตัวคิดว่าเป็นขนาดที่กำลังดีสำหรับการอ่านเขียน เพราะใหญ่กว่า Galaxy Note แต่ก็เล็กกว่าแท็บเล็ตตระกูล Tab S ที่ดูเหมาะกับการใช้เป็นกึ่ง ๆ แล็บท็อปมากกว่า
# Google Maps ให้จ่ายค่าที่จอดรถได้ในแอป เริ่มที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส Google Maps เปิดตัวความสามารถใหม่ สามารถจ่ายค่าที่จอดรถได้ในแอป โดยใช้ช่องทางชำระผ่าน Google Pay เริ่มใช้งานที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ใช้งานได้ทั้งแอปแอนดรอยด์และ iOS และเว็บแอป pay.google.com/parking วิธีการทำงานคือ เมื่อคนขับเข้าใกล้จุดหมาย Google Maps จะแจ้งให้จ่ายค่าจอดรถ เมื่อผู้ใช้งานกด Start a new session ระบบจะให้ป้อนหมายเลขโซนจอดรถในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถกดบันทึกรถของตัวเองด้วยการกรอกหมายเลขทะเบียนรถได้ และบันทึกลงในบัญชีกูเกิลของตัวเองได้ด้วยเพื่อความรวดเร็วในการใช้งานครั้งต่อไป ผู้ใช้สามารถกดบันทึกระยะเวลาที่จะจอดรถ และสามารถเพิ่มรถคันอื่นเข้ามาในบัญชีกูเกิลของเราได้ด้วย ฟีเจอร์นี้กูเกิลได้ร่วมมือกับ Passport บริษัททำซอฟต์แวร์ด้านรถและการขนส่ง ตั้งอยู่ในเมือง Charlotte รัฐ North Carolina ที่มา - 9to5Google, Passport
# ซัมซุงเป็นเบอร์ 1 ส่วนแบ่งตลาด ด้านทีวีสำหรับดูสตรีมมิ่งใน Q1 ปีนี้ Strategy Analytics รายงานว่าซัมซุงเป็นอันดับ 1 ในด้านยอดขายทีวี ในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ และกลายเป็นช่องทางหลักที่คนดูใช้ดูบริการสตรีมมิ่งในช่วงกักตัว เหตุจากโรค COVID-19 โดยทีวีที่ผู้บริโภคใช้ดูบริการสตรีมมิ่งต่างๆ เป็นทีวีซัมซุงถึง 14 เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วยโซนี่ ที่ 12 เปอร์เซ็นต์ และ แอลจี ที่ 8 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ถ้าเป็นในด้านแพลตฟอร์ม OS บนทีวี Tizen ที่พัฒนาโดยซัมซุงและอินเทล ก็ยังมาเป็นอันดับหนึ่ง ที่ 11 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาเป็น Web OS ของ LG และ แพลตฟอร์ม PlayStation ของ Sony Strategy Analytics ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ายอดการรับชมบริการสตรีมมิ่ง ย้ายจากบนอุปกรณ์บนมือถือ มาเป็นบนทีวีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงกักตัวอยู่บ้าน ปัจจุบันมีอุปกรณ์ทีวีที่ดูสตรีมมิ่งได้กว่า 1.1 พันล้านเครื่องทั่วโลก และ Strategy Analytics ก็กล่าวอีกว่าสุดท้ายแล้ว บริการสตรีมมิ่ง จะกลายเป็นคอนเทนต์หลักที่ผู้บริโภครับชมมากที่สุดบนทีวี ส่วนทีวีแบบจ่ายเงิน (เช่นเคเบิ้ลทีวี) ทีวีทั่วไป หรือคอนเทนต์แบบอื่น จะลดลงเรื่อยๆ ในอนาคต ที่มา - Strategy Analytics via The Korea Herald
# Lenovo ทำกล่องกระดาษ ThinkPad ใหม่ ไม่ใช้เทปคาด ลดการใช้พลาสติก Lenovo เปิดตัวกล่องบรรจุโน้ตบุ๊กแบบใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นกล่องกระดาษที่สามารถปิดบรรจุได้โดยไม่ต้องใช้เทปกาว ลดการใช้พลาสติก เริ่มตั้งแต่กล่องบรรจุโน้ตบุ๊ก ThinkPad ก่อน อย่าง ThinkPad X390 และ X13 และจะใช้ในการบรรจุแท็บเล็ต ThinkPad X12 ในอนาคต กล่องบรรจุ ThinkPad ใหม่ ใช้โครงสร้างแบบล็อคตัวเองโดยมีชิ้นส่วนแยกสองอันที่ด้านล่างที่สามารถเกี่ยวกันไว้ได้ และรูล็อคที่ตรงกันเพื่อปิดผนึกด้วยความเสถียรและความปลอดภัยเวลาขนย้ายสินค้า Lenovo เผยด้วยว่า เฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ ThinkPad ในทุกๆ ปีจนถึงปี 2018 ต้องใช้เทปพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวถึง 54 ตันสำหรับการปิดกล่อง และยังบอกด้วยว่า Lenovo เริ่มใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล 100% ในปี 2008 กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการใช้วัสดุรีไซเคิลให้แก่ซัพพลายเออร์ เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทได้เริ่มเปลี่ยนวัสดุบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ ThinkPad บางส่วนด้วยเช่นกัน เริ่มที่ Lenovo ThinkPad X280 ได้มาพร้อมกับวัสดุกันกระแทกที่ทำจากไม้ไผ่และอ้อย เป็นต้น ที่มา - Lenovo
# Windows 10 ปรับหน้าจอเลือก Emoji ใหม่ แทรกรูป GIF ได้, แสดง Clipboard ด้วย Windows 10 รองรับการใส่ emoji มานานหลายปี โดยเพิ่มหน้าจอ emoji picker (กดปุ่มลัด Win + . หรือ Win + ;) เพื่อเลือกใส่ eomji ที่ต้องการได้ (ภายหลังเพิ่ม kaomoji และ symbols เข้ามา) ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศปรับดีไซน์หน้าจอ emoji picker ใหม่ดังนี้ เพิ่มการแทรกภาพ GIF เข้ามาด้วย (ต้องต่อเน็ตเพื่อใช้งาน) รวมหน้าจอ clipboard history เข้ามาไว้ด้วยกัน (ยังสามารถกด Win + V ได้เหมือนเดิม) เพิ่มช่องค้นหา emoji (ของเดิมพิมพ์เพื่อค้นหาได้ แต่ไม่มีช่องให้เห็นชัดๆ) เปลี่ยนหน้าตาเป็น Fluent Design ใช้พื้นสีโปร่งแสงอะคริลิก ฟีเจอร์นี้เปิดให้ทดสอบแล้วใน Windows 10 Insider Preview Build 20206 ซึ่งยังมีสถานะเป็น Dev Channel ภาพหน้าจอ emoji picker ของใหม่ (ซ้าย) ของเก่า (ขวา) ที่มา - Microsoft
# Chrome 85 บนแอนดรอยด์รองรับ DNS-over-HTTPS แล้ว Google ประกาศรองรับ DNS-over-HTTPS บน Chrome 85 สำหรับแอนดรอยด์แล้วในชื่อฟีเจอร์ Secure DNS หลังเปิดใช้บนเดสก์ท็อปมาตั้งแต่ Chrome 83 หลักการทำงานแทบไม่ต่างกันคือหาก ISP รองรับก็จะเปิดใช้อัตโนมัติ ผู้ใช้งานจะเจอหน้า Secure DNS ใน Settting บน Chrome 85 สำหรับเปิดปิดฟีเจอร์นี้ รวมถึงสามารถเลือก DNS Provider ได้เอง ขณะที่ Google จะทยอยปล่อย Secure DNS ให้ผู้ใช้แบบสุ่ม ไม่ได้ปล่อยทีเดียวพร้อมกันหมด ที่มา - Chromium Blog
# ปากีสถานบล็อกแอปหาคู่อย่าง Tinder, Grindr ฐานเผยแพร่เนื้อหาผิดศีลธรรม หน่วยงานโทรคมนาคมของปากีสถาน หรือ PTA เผยว่า ได้บล็อกแอปหาคู่ 5 ตัวคือ Tinder, Grindr, Tagged, Skout และ SayHi เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น และเผยแพร่เนื้อหาผิดศีลธรรม ปัจจุบันปากีสถานถือเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากอินโดนีเซีย และการรักร่วมเพศยังถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ข้อมูลจาก บริษัทวิเคราะห์ Sensor Tower ชี้ว่า Tinder ได้รับการดาวน์โหลดมากกว่า 440,000 ครั้งในปากีสถานภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา ด้าน Grindr, Tagged และ SayHi มีการดาวน์โหลดประมาณ 300,000 ครั้งและ Skout 100,000 ครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน ปากีสถานมีกฎควบคุมและเซนเซอร์เนื้อหาเข้มงวด และส่งคำเตือนไปยังผู้ให้บริการแพลตฟอร์มหลายรายไม่ว่าจะเป็น TikTok, Bigo Live, YouTube เพื่อเตือนให้ลบเนื้อหาหยาบคาย โป๊เปลือยตามการตีความของรัฐบาลปากีสถาน ที่มา - Reuters
# GeForce RTX 2080 Ti มือสองเริ่มออกขายเลหลัง ราคาใน eBay เริ่มต้นราว 400 ดอลลาร์ การเปิดตัว GeForce RTX ซีรีส์ 30 ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นจากเดิมมาก เช่น GeForce RTX 3080 ที่แรงกว่า GeForce RTX 2080 Ti แต่ในราคาเปิดตัวที่ถูกกว่ากันมาก (699 ดอลลาร์ vs 999 ดอลลาร์ ยังไม่รวมประเด็นที่ราคาของ 2080 Ti เพิ่มขึ้นในช่วงหลังด้วย) ปัจจัยเรื่องการ์ดใหม่แรงกว่าถูกกว่า ทำให้เจ้าของ 2080 Ti เดิมเริ่มหาทางปล่อยของกันแล้ว อย่างใน eBay ตอนนี้ 2080 Ti มือสองเริ่มปล่อยขายกันที่ราคาราว 400 ดอลลาร์ หรือถ้าเป็น 2070 ก็อยู่ที่ราว 250 ดอลลาร์แล้ว เว็บไซต์ Notebookcheck วิเคราะห์ว่าตอนนี้เจ้าของ 2080 Ti เพิ่งทยอยนำของมาขายกัน และหากการแข่งขันในตลาดมือสองเริ่มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่ 3080 เริ่มวางขายแล้วจริงๆ 17 กันยายนนี้ ราคาน่าจะลงต่ำกว่านี้อีก และน่าจะลงไปถึงระดับ 300 ดอลลาร์ ที่มา - Notebookcheck
# The Division ภาคแรกแจกฟรีผ่าน Uplay แบบจำกัดเวลา ถึง 7 กันยายน Ubisoft ประกาศแจกเกมฟรี Tom Clancy's The Division ภาคแรกที่ออกในปี 2016 ผ่าน Uplay แต่จำกัดเวลาแจกถึงวันที่ 7 กันยายนนี้ The Division เป็นเกมยิง FPS ในโลกอนาคตอันใกล้ที่เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ ผู้เล่นต้องรับบทบาทเป็นทีมผู้รักษากฎหมายในหน่วย Strategic Homeland Division ที่ต้องรับมือกับอาชญากรกลุ่มต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากภาวะสับสนอลหม่านหลังโรคระบาด เกมมีทั้งโหมดเนื้อเรื่องและมัลติเพลเยอร์แบบ co-op The Division ถือเป็นเกมซีรีส์ใหม่ของ Ubisoft ในรอบหลายปีหลังๆ ที่ประสบความสำเร็จทั้งในแง่เสียงวิจารณ์ (คะแนนรีวิวเฉลี่ย 80/100) และยอดขาย จนต้องมีภาคต่อคือ The Division 2 ตามมาในปี 2019 เกมทั้งสองภาคพัฒนาโดยสตูดิโอ Massive Entertainment บริษัทลูกของ Ubisoft ในสวีเดน ผู้ที่จะรับเกม The Division ฟรีต้องกดรับใน Uplay ภายในวันที่ 7 กันยายน 2020 ที่มา - Ubisoft
# ทวิตเตอร์ตั้ง 2 ทีมใหม่ พัฒนาฟีเจอร์เพื่อผู้พิการ เตรียมใส่คำบรรยายลงคลิปเสียง ทวิตเตอร์เผยผ่านบล็อกว่าได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 2 ทีม ทำงานด้านฟีเจอร์การใช้งานเพื่อผู้พิการหรือ Accessibility โดยเฉพาะ คือ Accessibility Center of Excellence (ACE) และ Experience Accessibility Team (EAT) โดยทีม ACE เน้นทำงานผลักดันนโยบายองค์กร ภาคส่วนต่างๆในธุรกิจของทวิตเตอร์ให้เข้าถึงได้ หรือมี Accessibility มากขึ้น ส่วน ACE เน้นทำงานพัฒนาฟีเจอร์ที่มีอยู่ให้สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น เรื่องราวทั้งหมดเริ่มจากการที่ทวิตเตอร์เปิดตัวฟีเจอร์อัดคลิปเสียงโพสต์ลงบนไทม์ไลน์ได้ ก็มีเสียงวิจารณ์จากกลุ่มสิทธิพลเมืองว่า ทวิตเตอร์ยังขาดฟีเจอร์เพื่อผู้พิการ อย่างในกรณีคลิปเสียงก็ควรมี closed captions หรือคำบรรยายเป็นซับไตเติลมาให้เพื่อผู้ใช้งานที่มีปัญหาทางการได้ยิน ซึ่ง closed captions ถือเป็นฟีเจอร์พื้นฐานที่โซเชียลมีเดียใหญ่รายอื่นมีเป็นปกติ แต่ทวิตเตอร์ยังไม่มี ผู้ที่ชี้แจงเรื่องนี้เป็นคนแรกไปยังทวิตเตอร์คือ ทนายความชื่อ Matthew Cortland และทวิตเตอร์ก็ออกมาขอโทษที่ไม่ได้พัฒนาฟีเจอร์ Accessibility ได้ดีพอ และล่าสุดก็ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาและให้สัญญาว่าจะใส่ closed captions ในวิดีโอภายในต้นปี 2021 ที่มา - Engadget, ทวิตเตอร์
# อินเทลเปิดตัวแบรนด์ Intel Evo มาตรฐานโน้ตบุ๊กรุ่นต่อไป ประหยัดไฟ, ชาร์จไว, ตื่นเร็ว อินเทลเปิดตัวแบรนด์มาตรฐานโน้ตบุ๊ก Intel Evo ที่เป็นแบรนด์ต่อเนื่องจาก Project Athena โดยโน้ตบุ๊กที่จะใช้แบรนด์ Evo ได้ต้องใช้ซีพียู Core รุ่นที่ 11 ระดับ Core i5 ขึ้นไป รองรับ Thunderbolt 4 และ Wi-Fi 6 นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขประสบการณ์การใช้งานได้แก่ ประสิทธิภาพดีพอแม้ทำงานด้วยแบตเตอรี่ ใช้งานที่จอ 1080p ได้นานกว่า 9 ชั่วโมง ตื่นจากโหมด sleep ภายใน 1 วินาที ชาร์จเร็ว ใช้เวลาชาร์จ 30 นาทีใช้งานได้นาน 4 ชั่วโมง ตอนนี้มีโน้ตบุ๊กที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว 20 รุ่น ที่เปิดเผยออกมาแล้วได้แก่ Acer Swift 5, Asus Zenbook Flip S, Lenovo Yoga 9i, และ Samsung Galaxy Book Flex 5G ที่มา - Intel
# อินเทลประกาศเปลี่ยนโลโก้บริษัท วงกลมล้อมรอบหายไปแล้ว อินเทลประกาศเปลี่ยนโลโก้บริษัท นับเป็นโลโก้ที่ 3 จากโลโก้แรกในปี 1968 และโลโก้ที่สองที่มีวงกลมล้อมรอบในปี 2006 มาสูงโลโก้ใหม่ในปีนี้ โลโก้ใหม่เรียบง่ายกว่าเดิมโดยเป็นคำว่า intel คล้ายโลโก้แรกแต่ไม่มีตัว e ตกลงไปครึ่งบรรทัด โดยการเปลี่ยนโลโก้ครั้งนี้อินเทลปรับแบรนด์ย่อยทั้งหมดไปพร้อมกัน โลโก้ใหม่ของอินเทล โลโก้อินเทลสองแบบแรก เริ่มจากปี 1968 (ซ้าย) และเปลี่ยนมาเป็นฟอนต์ Neo Sans Intel พร้อมวง "swoosh" ในปี 2006 (ขวา) ป้ายแบรนด์ย่อยของซีพียู Core
# อินเทลเปิดตัวซีพียู Core รุ่นที่ 11 Tiger Lake สำหรับโน้ตบุ๊กมาพร้อมกราฟิก Iris Xe, Thunderbolt 4, PCIe Gen 4 อินเทลเปิดตัวซีพียู Core รุ่นที่ 11 สำหรับโน้ตบุ๊กบางเบา พร้อมส่วนกราฟิกใหม่ Iris Xe หรือชื่อรหัส Tiger Lake ผลิตด้วยกระบวนการผลิต SuperFin 10 นาโนเมตร ตัวชิปรองรับการเชื่อมต่อ Thunderbolt 4 และ PCIe Gen 4 ใช้แรม LPDDR4X พร้อมระบุว่าตัวควบคุมรองรับแรมแบบอื่นในอนาคตได้ อินเทลทดสอบซีพียูรุ่นใหม่เทียบกับ AMD Ryzen 7 4800U เป็นหลักเพื่อยืนยันว่าผลการทดสอบการใช้งานประสิทธิภาพดีกว่าทุกประเภท ด้านกราฟิกอินเทลระบุว่า Iris Xe สามารถคอนฟิกจำนวนคอร์ได้สูงสุด 96 EU ประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการเล่นเกมยุคใหม่ เช่น Borderlands 3, Far Cry New Dawn, และ Hitman 2 ที่ระดับ 1080p รองรับข้อมูลแบบ INT8 ในตัวสำหรับการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ อินเทลเปิดตัวชิป Core รุ่นที่ 11 ชุดแรกออกมา 9 รุ่น แบ่งเป็นกลุ่ม UP3 สำหรับสเปคความร้อน 12-28 วัตต์ สัญญาณนาฬิกาสูงสุด 4.3GHz สำหรับซีพียูและ 1.35GHz สำหรับกราฟิก และ UP4 สเปคความร้อน 7-15 วัตต์ สัญญาณนาฬิกาสูงสุด 3.6GHz สำหรับซีพียู และ 1.1GHz สำหรับกราฟิก อินเทลระบุว่ามีพันธมิตรกำลังเตรียมผลิตโน้ตบุ๊กด้วย Tiger Lake กว่า 150 รุ่น และจะเริ่มวางจำหน่ายภายในช่วงวันหยุดปลายปีนี้ ที่มา - งานแถลงข่าวออนไลน์โดยอินเทล ภาพแพ็กเกจชิปแบบ UP3 (ซ้าย) และ UP4 (ขวา) ผลทดสอบของอินเทล Core i7-1185G7 เทียบกับ AMD Ryzen 7 4800U
# อินเดียแบนแอพจีนระลอกสาม 118 ตัว PUBG, AoV, Alipay, Baidu โดนกันถ้วนหน้า ต่อจากข่าวรัฐบาลอินเดียแบนแอพจีนระลอกแรก 59 ตัว และระลอกสอง 47 ตัว วันนี้อินเดียประกาศแบนแอพระลอกสาม ชุดใหญ่ 118 ตัว ในจำนวนนี้มีแอพดังๆ อย่าง PUBG Mobile, Baidu, Alipay, VOOV, Youku, Taobao, Arena of Valor (AoV) และแอพตระกูล APUS รวมถึงแอพสายเบราว์เซอร์ ฟังเพลง แกลเลอรี และเกมจีนอีกจำนวนมาก (รายชื่อทั้งหมดอ่านได้จากที่มา) การแบนแอพจีน 3 ระลอก มีแอพโดนแบนไปแล้ว 224 ตัว โดยใช้อำนาจตามมาตรา 69 ของกฎหมาย Information Technology Act ของอินเดีย ที่มา - รัฐบาลอินเดีย, Medianama