txt
stringlengths
202
53.1k
# ซัมซุงเปิดตัว Galaxy A42 5G, แท็บเล็ต Galaxy Tab A7 และแท่นชาร์จ Trio Wireless Charger ซัมซุง เปิดตัวสามอุปกรณ์ใหม่ในงาน Virutual Life Unstoppable ที่เป็นการจัดแสดงในรูปแบบกราฟฟิก เสมือนได้เดือนอยู่ในห้องจัดงานจริง และเปิดให้ชมในเวลาเดียวกับงาน IFA Electronics Show แบบเสมือนที่เบอร์ลิน โดยเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ Galaxy A42 5G, Galaxy Tab A7 และ Trio Wireless Charger Galaxy A42 5G เป็นมือถือตระกูล Galaxy A ที่ซัมซุงระบุว่าจะรองรับ 5G ในราคาที่จับต้องได้ มาพร้อมหน้าจอ Super AMOLED 6.6 นิ้ว 4 กล้องหลัง และจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายในปีนี้ ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดสเปกหรือราคา แต่คาดว่าจะมาพร้อมกล้องหลัก 48MP และชิป Snapdragon 690 Galaxy Tab 7A เป็นแท็บเล็ตหน้าจอขนาด 10.4 นิ้ว มีลำโพง 4 จุด รอบตัวเครื่อง รองรับ Dolby Atmos โดยซัมซุงระบุว่าจะเป็นสุดยอดประสบการณ์ภาพและเสียงแบบพกพา น่าจะเน้นไปในทางเสพย์สื่อบันเทิง เช่นเพลงและภาพยนตร์ มีสีทอง เงิน และเทา อุปกรณ์สุดท้ายเป็นที่ชาร์จไร้สาย Trio Wireless Charger ที่ต่อยอดจากรุ่น Duo ที่ชาร์จได้สองอุปกรณ์ มาเป็นสามอุปกรณ์ในรุ่นนี้ แต่ยังไม่เปิดเผยว่ารองรับการชาร์จกี่วัตต์ มีสีขาวและดำ และ SamMobile รายงานเพิ่มเติมว่าจะวางจำหน่ายในราคา 99 ยูโร (ประมาณ 3,690 บาท) ที่มา - CNET, Sammobile,SamMobile
# NVIDIA เปิดตัว RTX IO จีพียูเข้าถึงสตอเรจโดยตรง ใช้ DirectStorage API ของไมโครซอฟท์ อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ GeForce RTX ซีรีส์ 30 คือ NVIDIA RTX IO ที่ออกแบบมาแก้ปัญหาเกมรุ่นใหม่มีขนาดใหญ่ๆ มากๆ ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องการโหลดเกมจากสตอเรจเพราะ SSD รุ่นใหม่เร็วพอ แต่กลับไปคอขวดที่ซีพียูแตกไฟล์ที่บีบอัดเอาไว้ไม่ทัน NVIDIA บอกว่าเรื่องนี้ไม่เคยเป็นปัญหา เพราะสตอเรจในอดีตช้ากว่ายุคปัจจุบันมาก แต่พอเราเข้าสู่ยุค NVMe ที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ มันจึงกลายเป็นปัญหาขึ้นมา ทางออกคือให้จีพียูทำหน้าที่แบ่งงานโหลดไฟล์ texture แทนซีพียู ประเด็นนี้ไมโครซอฟท์มี DirectStorage API เพื่อให้จีพียูเข้าถึงสตอเรจโดยตรงอยู่แล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งของ Velocity Architecture ของ Xbox Series X แต่ในวันนี้ไมโครซอฟท์ก็ประกาศ DirectStorage API สำหรับพีซีออกมาพร้อมกัน ฝั่งของ NVIDIA จึงประกาศรองรับ DirectStorage API โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า RTX IO ตอนนี้ RTX IO ยังเปิดให้นักพัฒนาเกมบางรายทดสอบเท่านั้น ส่วนไมโครซอฟท์บอกว่าจะเปิด DirectStorage ให้ใช้งานจริงในปีหน้า ที่มา - NVIDIA, Microsoft การทำงานของ I/O ยุคปัจจุบัน ซีพียูโหลดไฟล์จากสตอเรจ แต่พลังซีพียูตามความเร็วสตอเรจไม่ทัน การทำงานของ RTX IO ใช้จีพียูทำงานแทน ลดโหลดของซีพียู
# GeForce RTX ซีรีส์ 30 เป็นจีพียูตัวแรกที่มีตัวถอดรหัสวิดีโอแบบ AV1 เราเริ่มเห็นฮาร์ดแวร์ที่รองรับตัวเข้ารหัสวิดีโอ AV1 ออกสู่ตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ (เช่น MediaTek Dimensity 1000) ฝั่งของจีพียูก็มี NVIDIA ประกาศว่า GeForce RTX ซีรีส์ 30 สถาปัตยกรรม Ampere รองรับ AV1 แล้วเช่นกัน นอกจากการใช้ฮาร์ดแวร์เร่งความเร็วการถอดรหัส AV1 ตามปกติแล้ว NVIDIA ระบุว่าการรองรับ AV1 จะช่วยปิดช่องว่างเรื่องการถ่ายทอดเกม เพราะสตรีมเมอร์มักเล่นเกมที่ความละเอียด 1440p @ 144 FPS แต่การถ่ายทอดสดยังเป็น 720p/1080p @ 60 FPS ซะเป็นส่วนใหญ่ การที่จีพียูรองรับ codec รุ่นใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ก็ช่วยผลักดันวงการสตรีมเกมไปได้อีก ซึ่ง GeForce RTX ซีรีส์ 30 สามารถดันไปได้ถึงการสตรีม 8K HDR ด้วยซ้ำ Intel Xe-LP จีพียูของ Tiger Lake ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในคืนนี้ ก็ประกาศไว้ว่ารองรับ AV1 เช่นกัน ในขณะที่ H.266/VVC คู่แข่งโดยตรงของ AV1 เพิ่งประกาศสเปกออกมา และคงต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆ กว่าที่จะมีฮาร์ดแวร์รองรับในท้องตลาด (AV1 เปิดตัวในปี 2018 และต้องรอถึงปี 2020 ถึงเห็นฮาร์ดแวร์รองรับ) ที่มา - NVIDIA
# AIS เผยตั้งแต่ปี 2016 นำขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปกำจัดอย่างถูกวิธีแล้ว 710 ตัน AIS จัดงานแถลงวันนี้ ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2016 - 2019 ได้นำขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งที่เกิดจากโครงข่ายและการดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงการรับจากคนไทยทั่วประเทศ ไปกำจัดอย่างถูกวิธี แบบ Zero Landfill หรือการไม่ฝังกลบลงดินรวมทั้งสิ้นกว่า 710 ตัน ทาง AIS ระบุว่า ในจำนวนทั้งหมดแบ่งเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดจากการดำเนินการ เช่น การวางโครงข่าย เป็นต้น จำนวน 707 ตัน สามารถนำไปรีไซเคิลได้ 96% ไม่นับรวมอุปกรณ์จำพวกสายไฟเบอร์ซึ่งยังไม่มีวิธีหรือเทคโนโลยีที่จะนำไปกำจัดได้ และอีก 3 ตัน หรือคิดเป็น 60,000 ชิ้น เป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่รับมาจากผู้บริโภค สามารถนำเข้ากระบวนการรีไซเคิลได้ 100% สำหรับโครงการ AIS E-Waste หรือการขยายทำจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์นั้น AIS ได้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2019 ล่าสุดมีการร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก 52 องค์กร และขยายจุดรับทิ้งทั่วแระเทศราว 2,000 จุด และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนทั่วไปนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ 5 ประเภทคือ โทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต, แบตเตอรี่มือถือ, สายชาร์จ, หูฟัง และพาวเวอร์แบงก์มาทิ้ง AIS จึงเปิดตัวแคมเปญใหม่ “เอไอเอส E-Waste ทิ้งรับพอยท์” ทิ้งขยะแลกเป็นคะแนนเข้ามาที่แอปพลิเคชั่น My AIS โดยต้องไปทิ้งที่ AIS Shop Blognone เคยสัมภาษณ์ คุณนัฐิยา พัวพงศกร หัวหน้าแผนกงานพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน AIS ผู้ริเริ่มโครงการ AIS E-Waste พูดคุยรายละเอียดเรื่องขยะอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงวิธีการคัดแยกอย่างถูกวิธี อ่านย้อนหลังได้ ที่นี่
# ดีลเจรจาซื้อ TikTok ชะงักหลังจีนออกกฎ รัฐบาลต้องรับรองดีลขายเทคโนโลยี AI สุดสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้เพิ่มเทคโนโลยี AI เข้าไปในกลุ่มสินค้าควบคุมการนำเข้าและส่งออก ทำให้บริษัทจีนที่จะขายเทคโนโลยี AI จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลจีนก่อน ซึ่งก็เป็นผลให้ดีลการเจรจาซื้อ TikTok ในสหรัฐถึงกับหยุดชะงัก เพื่อหาความกระจ่างจากประเด็นนี้ก่อน Bloomberg อ้างอิงคนที่ใกล้ชิดกับดีลระบุว่า ทั้ง 2 ฝ่ายคือ ByteDance และผู้ซื้อต้องหาความกระจ่างก่อนว่าดีล TikTok นี้เข้าข่ายต้องให้รัฐบาลจีนเห็นชอบใช่หรือไม่ หากใช่รัฐบาลจีนจะเห็นชอบหรือไม่ ซึ่งความซับซ้อนดังกล่าวยิ่งทำให้โอกาสที่ดีลนี้จะถูกปิดได้ในเร็ววันนั้นยิ่งน้อยลงไปอีก เพราะอัลกอริทึม AI ของ TikTok ถือเป็นส่วนสำคัญและมูลค่าหลักของ TikTok จึงค่อนข้างสร้างความลังเลให้บริษัทสหรัฐ หากซื้อ TikTok ไปแล้วไม่ได้อัลกอริทึมที่มีอยู่ ที่มา - Bloomberg ภาพจาก Shutterstock
# ไมโครซอฟท์เปิดตัว Microsoft Video Authenticator ตรวจจับวิดีโอ DeepFake วิดีโอ DeepFake กำลังสร้างความกังวลให้หลายภาคส่วน โดยเฉพาะเรื่องการข่าวปลอม ข้อมูลปลอมและการเลือกตั้งในสหรัฐที่กำลังจะเกิดขึ้น ล่าสุดไมโครซอฟท์เปิดตัว Microsoft Video Authenticator เครื่องมือตรวจสอบและตรวจจับวิดีโอหรือภาพนิ่งที่ผ่าน DeekFake โดยเป็นความร่วมมือระหว่างทีม Microsoft Research, ทีม Responsible AI และคณะกรรมการ AI, Ethics and Effects in Engineering and Research (AETHER) ของไมโครซอฟท์ ตัวเครื่องมือจะตรวจสอบวิดีโอหรือภาพนิ่งแบบเฟรมต่อเฟรม และแสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ความมั่นใจของ AI ว่าในแต่ละเฟรมของวิดีโอมีโอกาสผ่านการปลอมแปลงมามากน้อยแค่ไหน โดยอาศัยการตรวจจับขอบของพื้นที่ระหว่างรูปจริงและส่วนที่ถูกสร้างขึ้น, ความเข้มและสเกลของสี ไปจนถึง fading ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ส่วนอัลกอริทึมถูกพัฒนาจากชุดข้อมูลของ Face Forensic++ และ DeepFake Detection Challenge ซึ่งเอาไว้สำหรับฝึกการตรวจสอบ DeepFake อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามไมโครซอฟท์ยอมรับว่าเครื่องมือยังไม่ได้สมบูรณ์พร้อมขนาดตรวจจับได้ท้งหมด ขณะที่ DeepFake เองก็สามารถพัฒนาให้นำหน้าไปได้ตลอด และทีมพัฒนาก็จะพัฒนาอัลกอริทึมให้เก่งมากขึ้นต่อไป อีกโฟกัสหลักตอนนี้คือต้องการนำมาใช้งานช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะถึงนี้ก่อน ที่มา - Microsoft Blog
# จากคนรักเก่า ย้อนอดีต 10 ปีที่แล้ว เมื่อ Epic คือผู้บุกเบิกเกม 3D บน iOS ให้แอปเปิล ปี 2020 อาจเป็นปีที่เราเห็น Epic Games ออกมาเปิดหน้าชนกับแอปเปิลอย่างเต็มตัว แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในปี 2010 ทั้งสองบริษัทมีสัมพันธ์อย่างแนบแน่นในการบุกเบิกเกมบนมือถือและแท็บเล็ตฝั่ง iOS ถ้ายังจำกันได้ Epic Games เคยขึ้นเวทีงานแอปเปิล โชว์แสนยานุภาพกราฟิกของเกม Infinity Blade ซึ่งถือเป็นเกมแรกที่ใช้ Unreal Engine และรันได้บน iOS โดยเกมวางขายในเดือนธันวาคม 2010 และประสบความสำเร็จอย่างมากในแง่รายได้ ทำเงิน 1.6 ล้านดอลลาร์ภายใน 4 วันแรกที่วางขาย เกมซีรีส์นี้ยังถือเป็นเอ็กซ์คลูซีฟของ iOS เพียงอย่างเดียวด้วย (มีเวอร์ชัน Android และ Xbox แต่ขายเฉพาะในประเทศจีน) Epic ยังออก Infinity Blade ภาค II และ III ตามมาในปี 2011 และ 2013 ตามลำดับ แต่หลังจากนั้นก็หยุดพัฒนาเกมนี้ไป และถอนเกมออกจาก App Store ในปี 2018 ด้วยเหตุผลว่าซัพพอร์ตเกมเก่าไม่ไหว และทีมงาน Chair Entertainment บริษัทลูกของ Epic ผู้พัฒนาเกมนี้ ต้องการทุ่มทรัพยากรไปทำเกมใหม่ Spyjinx ที่ตอนนี้อยู่ระหว่างการทดสอบเบต้า (และเพิ่งโดนแบนจากแอปเปิลไปพร้อมกับ Fortnite) ถ้าย้อนไปไกลกว่านั้นสักนิด ช่วงกลางปี 2010 ก่อนเปิดตัว Infinity Blade ไม่นาน Epic ยังออกเดโมชื่อ Citadel โชว์แสนยานุภาพของเอนจิน Unreal Engine 3 บน iOS ที่มีภาพเทียบเคียงได้กับคอนโซลในยุคนั้นอย่าง PS3 หรือ Xbox 360 ด้วย เดโมตัวนี้เป็นเอ็กซ์คลูซีฟบน iOS อยู่นานถึง 2 ปีครึ่งกว่าจะเปิดให้ฝั่ง Android ได้ลองเล่นกันด้วย ที่มา - The Verge
# NVIDIA เปิดตัวจอมอนิเตอร์ G-Sync อัตรารีเฟรชสูง 360Hz เน้นลูกค้ากลุ่มอีสปอร์ต NVIDIA เปิดตัวจอมอนิเตอร์ตระกูล G-Sync ที่มีอัตรารีเฟรชสูงถึง 360Hz จับตลาดกลุ่มผู้เล่นอีสปอร์ตเป็นหลัก มอนิเตอร์ G-Sync 360Hz มีอัตรารีเฟรชสูงสุดเพิ่มขึ้น 50% จากจอ 240Hz ในปัจจุบัน (เป็น variable refresh rates คือจาก 1HZ-360Hz ขึ้นกับภาพ) ใช้พาเนลแบบ IPS รุ่นใหม่จาก AU Optronics ให้ภาพและสีสันสม่ำเสมอทั่วทั้งจอ และรองรับฟีเจอร์ NVIDIA Reflex สำหรับวัดค่า latency จากกดเมาส์ถึงภาพแสดงผลบนจอ ฝั่งซอฟต์แวร์มี Esports Mode เป็นพรีเซ็ตเฉพาะสำหรับเกมยอดนิยม เช่น CS:GO, Valorant, Rainbow Six Siege ช่วยปิดแสง backlight บางจุดเพื่อลด latency และปรับค่า gamma เพื่อให้เห็นวัตถุในซีนมืดๆ ได้ชัดเจนขึ้น, มีโหมด Ultra Low Motion Blur (ULMB) 240Hz ช่วยลดการเบลอของภาพ เหมาะกับการเลื่อนจอในเกม MOBA พาร์ทเนอร์ที่ขายจอมีประกาศแล้ว 4 ยี่ห้อคือ Acer, Alienware, ASUS, MSI สินค้าเริ่มขายช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ ยังไม่ประกาศราคา ที่มา - NVIDIA
# ยุคใหม่มาถึงแล้ว ZTE Axon 20 5G มือถือกล้องหน้าใต้จอรุ่นแรก เปิดตัวในจีน เริ่มต้น 11,000 บาท ZTE บริษัทที่เราน่าจะคุ้นเคยกันพอสมควร จากการเป็นยี่ห้อเร้าเตอร์ที่หลายๆ ค่ายในไทยใช้ แต่แบรนด์นี้ยังทำมือถือด้วย และล่าสุดหลังจากที่ Xiaomi ประกาศเตรียมทำมือถือกล้องใต้จอในปีหน้า ZTE ก็ตัดหน้า ชิงเปิดตัว ZTE Axon 20 5G มือถือกล้องหน้าใต้จอที่พร้อมเปิดขายให้คนทั่วไปเป็นรุ่นแรก Axon 20 5G มีสเปกภายในดังนี้ หน้าจอ OLED 6.92 นิ้ว ความละเอียด 2460x1080 ชิป Snapdragon 765G แรม 6GB, 8GB ความจุ 128GB, 256GB รองรับ microSD กล้องหลังหลัก 64MP, กล้องอัลตร้าไวด์ 8MP, กล้องมาโคร 2MP และ depth sensor 2MP กล้องหน้า 32MP อยู่ใต้จอ รองรับ 5G, Bluetooth 5.1, NFC ไม่รองรับ Wi-Fi6 แบตเตอรี่ 4220 mAh ชาร์จเร็ว 30W กล้องใต้จอ, สแกนลายนิ้วมือใต้จอ, ลำโพงใต้จอ ZTE ระบุว่ากล้องใต้จอ ใช้การ “ทำงานร่วมกันของเม็ดสีและกล้อง” ซึ่งอาจแปลได้ว่าโทรศัพท์ของ ZTE อาจเก็บภาพในช่วงระหว่างการกะพริบของเม็ดสี OLED ร่วมกับการออกแบบการวางพิกเซลแบบพิเศษ และซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพพิเศษสำหรับกล้องหน้า ZTE Axon 20 5G เปิดจองในประเทศจีนแล้ว ราคาเริ่มต้น 2,198 หยวน (ประมาณ 11,000 บาท) แต่ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการวางจำหน่ายในประเทศอื่น ที่มา - ZTE, Android Police
# เปิดราคาไทย Galaxy Z Fold 2 ที่ 69,990 บาท วางขาย 18 กันยายนนี้ เมื่อวานนี้ Galaxy Z Fold 2 เปิดรายละเอียดสเปกเครื่องและกล้องอย่างเป็นทางการไปในไลฟ์ Galaxy Unpacked Part 2 วันนี้ซัมซุงประเทศไทย เปิดเผยราคาเครื่องในไทยแล้ว ราคาเต็มอยู่ที่ 69,990 บาท สามารถเลือกสีขอบ (hinge) ที่มี 4 สีได้บนหน้าเว็บไซต์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม Galaxy Z Fold 2 ยังมีโปรโมชั่นคู่กับโอเปอเรเตอร์ ลดค่าเครื่องเหลือ 49,990 บาท โดยต้องพ่วงกับแพ็กเกจของโอเปอเรเตอร์แต่ละเจ้า Galaxy Z Fold 2 เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 18 กันยายนนี้ โดยเริ่มพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันนี้ รับฟรี Galaxy Buds Live, Samsung Care+ และ Samsung Butler Gold ส่วน Galaxy Z Fold 2 รุ่นพิเศษ Thom Browne Edition เปิดให้จองแล้วเช่นกัน บนหน้าเว็บไซต์ Samsung ราคา 109,900 บาท ที่มา - งานเปิดตัว Samsung Galaxy Z Fold 2
# ผลทดสอบเบื้องต้น GeForce RTX 3080 ประสิทธิภาพดีขึ้น 70-90% จาก 2080 NVIDIA โฆษณาว่า GeForce RTX ซีรีส์ 30 มีประสิทธิภาพดีขึ้นจากซีรีส์ 20 สูงสุด 2 เท่า (มีดอกจันว่าต้องเปิดโหมด RTX On เป็นกราฟิกแบบ ray tracing ถึงจะได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า และเป็นการเทียบระหว่าง 3080 กับ 2070 Super) ส่วนเบนช์มาร์คหรือผลทดสอบจริงๆ ที่ไม่ได้มาจาก NVIDIA เอง คงต้องรอกันอีกสักระยะ โดยตอนนี้มีเพียงเว็บไซต์ Digital Foundry รายเดียวที่ได้ GeForce RTX 3080 รุ่น Founders Edition มาทดสอบก่อนใครประมาณหนึ่งสัปดาห์ ผลการทดสอบเบื้องต้น เทียบกับ GeForce RTX 2080 บนความละเอียด 4K ตั้งค่าสูงสุด พบว่าประสิทธิภาพอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่คุยไว้ คือเพิ่มขึ้นมาประมาณ 70-90% ขึ้นกับเกมที่ทดสอบ โดยเกมที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นสูงสุดคือ Quake II RTX (เปิดโหมด RTX) ขึ้นมาประมาณ 92% ส่วนเกมที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาน้อยที่สุดคือ Shadow of the Tomb Raider ขึ้นมา 69.8% Digital Foundry บอกว่าก่อนหน้านี้ถ้าเราอยากเล่นเกม Control แบบ 4K60 เปิดโหมด RTX เต็มรูปแบบ ต้องใช้จีพียูระดับ GeForce RTX 2080 Ti รุ่นท็อปที่มีราคาแพง (ราคาเปิดตัว 1,199 ดอลลาร์) แต่ตอนนี้ใช้ GeForce RTX 3080 ก็เพียงพอ ในราคา 699 ดอลลาร์ หรือลดลงไปเกือบครึ่ง ตัวเลขของ NVIDIA เอาไว้ดูเปรียบเทียบ คลิปรีวิวแบบเต็มของ Digital Foundry ที่มา - Eurogamer
# เปิดราคาไทย RTX 3090 เริ่มต้นที่ 52,800 บาท, RTX 3080 24,600 บาทและ RTX 3070 17,600 บาท หลังจากที่เมื่อคืน NVIDIA ได้เปิดตัวการ์ดตระกูล GeForce RTX สถาปัตยกรรม Ampere ชุดแรกไป ในหน้าเว็บของ NVIDIA ภาษาไทยก็ได้มีการเพิ่มราคาเริ่มต้นที่เป็นราคาไทยด้วยเช่นกัน GEFORCE RTX 3090 เริ่มต้นที่ 52,800 บาท วางจำหน่ายวันที่ 24 กันยายน GEFORCE RTX 3080 เริ่มต้นที่ 24,600 บาท วางจำหน่ายวันที่ 17 กันยายน GEFORCE RTX 3070 เริ่มต้นที่ 17,600 บาท วางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ที่มา - NVIDIA
# ทุกเสี้ยววินาทีมีค่า NVIDIA Reflex เทคโนโลยีช่วยวัดค่า Latency เกม เน้นสาย E-sport ในงานเปิดตัว GeForce RTX Series 30 เมื่อคืนนี้ NVIDIA ยังเปิดตัวโซลูชันด้านเทคโนโลยีกราฟิกอื่นๆ ด้วย เช่น NVIDIA Broadcast App สำหรับถ่ายทอดเกม เทคโนโลยีอีกตัวที่น่าสนใจคือ NVIDIA Reflex ซึ่งเป็นชุดของเทคโนโลยีทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ที่ออกแบบมาเพื่อลด latency ของเกม (หมายถึง system latency คือการดีเลย์ที่เกิดขึ้นในเครื่องพีซีของเรา จากเมาส์คลิกไปจนถึงภาพแสดงบนจอ โดยไม่เกี่ยวกับ latency ของเครือข่าย) โดยมุ่งไปที่เกมสาย e-sport เป็นหลัก NVIDIA Reflex แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ตัวซอฟต์แวร์ SDK และชุดฮาร์ดแวร์สำหรับวัดค่า latency NVIDIA Reflex SDK Reflex SDK เป็นชุดของ API ที่นักพัฒนาเกมสามารถนำไปใช้ลดค่า latency ของเกมลงได้ โดยเกมจะต้องรองรับ SDK ตัวนี้และผู้เล่นเปิดโหมด Reflex Low Latency (ซึ่งต่างจากโหมด Ultra Low Latency ที่มีเป็นมาตรฐานอยู่แล้วจากไดรเวอร์จีพียู) สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ซีพียูจะลดการประมวลผลเฟรมที่เกินกว่าจีพียูจะเรนเดอร์ได้ ปรับลดคิวการเรนเดอร์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างซีพียู-จีพียู บูสต์คล็อคของจีพียูให้แรงขึ้น ผลคือค่า latency ของเกมจะลดลง ในกรณีของบางเกมอย่าง Destiny 2 สามารถลดจาก 75ms ลงมาเหลือ 50ms หรือเกมที่ค่า latency น้อยๆ อยู่แล้วอย่าง Valorant ก็ลดลงอีกหน่อย จาก 30ms มาเหลือ 24ms NVIDIA บอกว่า Reflex จะเห็นผลชัดในการเล่นเกมความละเอียดสูงๆ เช่น Fortnite ที่ 2160p สามารถลดจาก 49ms ลงมาเหลือ 31ms ได้ ในขณะที่การเรนเดอร์แบบ 1080p จะไม่เห็นความแตกต่างมากนัก ฟีเจอร์ Reflex Mode สามารถใช้ได้กับการ์ดจอรุ่นเก่าตั้งแต่ GeForce GTX 900 ขึ้นไป โดยเกมที่สัญญาแล้วว่าจะรองรับคือ Fortnite, Valorant, Apex Legends, Call of Duty: Black Ops Cold War, Call of Duty: Modern Warfare, Call of Duty: Warzone, Destiny 2 NVIDIA Reflex Latency Analyzer NVIDIA บอกว่าปัญหา latency ไม่ค่อยถูกพูดถึงกันมากนัก (คนไปพูดเรื่องเฟรมเรตกันเยอะกว่า) เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะการวัดค่า latency ทำได้ยากมาก ต้องมีอุปกรณ์ราคาแพง เช่น กล้องความเร็วสูงระดับ 1000 FPS หรือ เมาส์เฉพาะกิจ เพื่อมาจับภาพการคลิกเมาส์ไปจนถึงภาพปรากฎบนจอ แล้วค่อยมาวิเคราะห์ทีหลัง ราคารวมทั้งชุดเริ่มต้นที่ 7,000 ดอลลาร์ ซึ่งเกมเมอร์ทั่วไปไม่มีทางซื้อหามาใช้กันได้ ทางออกที่ดีกว่าคือการใช้ฮาร์ดแวร์สายเกมมิ่งในปัจจุบัน โดยจอภาพ G-Sync แบบอัตรารีเฟรชสูง 360Hz รุ่นใหม่ๆ จะมีพอร์ต Reflex USB ด้านหลังจอมาให้ด้วย เมื่อเสียบเมาส์ที่รองรับฟีเจอร์นี้ (ประกาศตัวแล้ว 4 ยี่ห้อคือ ASUS, Logitech, Razer, SteelSeries) จะทำให้เราสามารถวัดค่า latency จากเมาส์คลิกไปจนถึงภาพขึ้นจอ ได้จากพีซีของเราเอง ซอฟต์แวร์ในชุด Reflex SDK ยังจะช่วยให้การวัดผลทำได้ง่ายขึ้น เพราะแสดงค่า latency ขึ้นมาบนจอแบบเรียลไทม์ได้เลย หรือถ้าเกมยังไม่ซัพพอร์ต Reflex SDK เต็มรูปแบบ ตัวไดรเวอร์ GeForce Experience ก็ยังช่วยแสดง render latency ให้ด้วยเช่นกัน แม้ไม่ถึงขั้น latency ของทั้งระบบก็ตาม ผู้ที่สนใจเรื่อง latency ของเกมสามารถดูคลิปอธิบาย หรืออ่านบทความต้นฉบับของ NVIDIA มีข้อมูลอธิบายไว้ละเอียดมาก ที่มา - NVIDIA
# Joe Biden จากพรรคเดโมแครต เปิดเกาะหาเสียงเลือกตั้ง ปธน. ผ่านเกม Animal Crossing โรคระบาดทำให้ต้องคิดใหม่เรื่องการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องหาเสียงผ่านออนไลน์มากขึ้นเพราะจัดงานได้น้อยลง ล่าสุด Joe Biden ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต เปิดเกาะหาเสียงในเกม Animal Crossing: New Horizons แคมเปญ Biden-Harris (Kamala Harris คู่หาเสียงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี) เปิดตัวสัญลักษณ์สี่แบบที่แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนพรรคเดโมแครตให้ผู้เล่นไปดาวน์โหลดผ่าน Nintendo Switch Online นำไปตกแต่งเกาะตัวเองได้ ตัวสัญลักษณ์มีสีน้ำเงินเป็นธีมหลัก มีทั้งที่เขียนว่า Biden-Harris, Team Joe เป็นต้น ภาพจาก joebiden.com Christian Tom ผู้อำนวยการความร่วมมือด้านดิจิทัลสำหรับแคมเปญหาเสียงของ Biden กล่าวว่า Animal Crossing เป็นแพลตฟอร์มที่มีความหลากหลายของชุมชนจากทั่วโลก เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่จะได้มีส่วนร่วมและสื่อสารกับผู้เล่นด้วย Animal Crossing เป็นเกมที่ประสบความสำเร็จมากโดยเฉพาะช่วงโรคระบาดที่คนหันมาทำกิจกรรมออนไลน์และอยู่กับบ้านมากขึ้น Nintendo บอกเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า เพราะเกม Animal Crossing ส่งผลให้ Nintendo Switch ขายออกไปได้ถึง 22 ล้านเครื่อง ที่มา - The Verge
# Fortnite รองรับฟีเจอร์ Ray Tracing และ DLSS บนจีพียู NVIDIA แล้ว ในงานเปิดตัว GeForce RTX ซีรีส์ 30 เมื่อคืนนี้ ทาง Epic Games ร่วมกับ NVIDIA ก็ประกาศข่าวเกม Fortnite รองรับ ray tracing ด้วยอีกเกมแล้ว รองรับ Ray tracing ทั้งการสะท้อน (reflection) เงา (shadow) ระบบแสงรวม (global illumination) รองรับ DLSS ใช้ AI ช่วยสเกลภาพ เพื่อเพิ่มเฟรมเรต และปรับแต่งภาพให้คมชัดขึ้น รองรับ NVIDIA Reflex ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ช่วยลด latency ของระบบ เพิ่มการตอบสนองของเกม นอกจากนี้ NVIDIA กับ Epic ยังประกาศแผนที่ใหม่ชื่อ RTX Treasure Run เพื่อโชว์ฟีเจอร์ใหม่ๆ ข้างต้นให้เห็นเด่นชัดด้วย ฟีเจอร์ทั้งหมดจะเพิ่มเข้ามาใน Fortnite Chapter 2 - Season 4 บนพีซีเร็วๆ นี้ NVIDIA บอกว่าตอนนี้เกมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกทั้ง 2 เกมคือ Fortnite และ Minecraft ต่างก็รองรับ RTX เรียบร้อยแล้ว ในแง่จำนวนผู้เล่นที่เข้าถึง RTX จึงจะเพิ่มสูงมากจากทั้งสองเกมนี้ ที่มา - NVIDIA
# บุกทุกตลาด GitHub เปิดบริการ Container Registry ฟรีสำหรับอิมเมจสาธารณะ GitHub เปิดบริการ GitHub Container Registry บริการริจิสตรีสำหรับเก็บอิมเมจคอนเทนเนอร์แบบไม่ต้องล็อกอิน ขยายมาจากบริการ GitHub Packages ที่เปิดตัวตั้งแต่ปีที่แล้วแต่เน้นใช้งานในองค์กรเท่านั้น ทาง GitHub ประกาศบริการนี้เพียงสองสัปดาห์หลัง Docker ประกาศว่าจะเริ่มลบอิมเมจที่ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานๆ ออกจาก Docker Hub ทำให้น่าสนใจว่า Docker Hub ที่ทุกวันนี้เป็นรีจิสตรีมาตรฐานสำหรับโครงการจำนวนมากจะคงความนิยมในระยะยาวได้หรือไม่ สามารถใช้งานได้แล้ววันนี้ โดยแต่ละโครงการจะมีเมนู Packages เพิ่มเข้ามาสำหรับการวางอิมเมจ ทาง GitHub ประเดิมเปิดตัวโครงการด้วยการวางอิมเมจ Super Linter ของตัวเองเป็นอิมเมจแรก ที่มา - GitHub
# เปิดตัว NVIDIA Broadcast App ใช้ปัญญาประดิษฐ์ตัดเสียงรบกวน, เบลอฉากหลัง, เลื่อนกล้องตามใบหน้า NVIDIA เปิดตัว NVIDIA Broadcast App ซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับการสตรีมเกมถ่ายทอดสดหรือประชุมออนไลน์โดยไม่ต้องลงทุนอุปกรณ์อย่าง ไมโครโฟนคุณภาพสูง, ห้องเก็บเสียง, หรือฉากหลัง แต่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาประมวลผลภาพและเสียงแทน โดยมี 3 ฟีเจอร์ได้แก่ ตัดเสียงรบกวน แอปจะตัดเสียงรบกวนให้เหลือแต่เสียงพูด โดยตัดได้ทั้งเสียงมอเตอร์ (ไดร์เป่าผม), คีย์บอร์ด, เสียงรถ, หมาเห่า, หรือกริ่งบ้าน รวมถึงสามารถตัดเสียงจากอินพุตเช่นเพื่อนที่กำลังร่วมสตรีมไปพร้อมกัน ฉากหลังเสมือน เบลอฉากหลังเพื่อซ่อนความรกของบ้าน หรือเปลี่ยนไปใช้ภาพฉากหลังอื่น ไปจนถึงการใช้สตรีมหน้าจอเป็นฉากหลัง แพนภาพอัตโนมัติ ซูมภาพจากกล้องเว็บแคมแล้วใช้ปัญญาประดิษฐ์เลือกโซนที่จะซูมตามใบหน้า ทำให้เหมือนมีตากล้องแพนภาพตาม ตัวแอปทำงานร่วมกับระบบสตรีมยอดนิยมได้หลากหลาย เช่น OBS, Discord, Streamlabs, Twitch Studio, และ XSplit หรือแม้แต่ระบบประชุมออนไลน์อย่าง Zoom หรือ Discord สามารถใช้งานกับการ์ด GeForce RTX, TITAN RTX, หรือ Quadro RTX รุ่นใดก็ได้ เริ่มเปิดให้ดาวน์โหลดภายในเดือนกันยายนนี้ ที่มา - NVIDIA
# NVIDIA เปิดตัวการ์ดตระกูล GeForce RTX สถาปัตยกรรม Ampere ชุดแรก, RTX 3090 ใส่แรม GDDR6X ถึง 24GB NVIDIA เปิดตัวการ์ดกราฟิกตระกูล GeForce RTX 30 สถาปัตยกรรม Ampere ชุดแรก 3 รุ่น ได้แก่ GeForce RTX 3090, 3080, และ 3070 โดย NVIDIA ระบุว่าประสิทธิภาพในการเรนเดอร์แบบ Real-Time Ray Tracing จะสูงขึ้นได้ถึง 2 เท่าตัวเทียบกับ GeForce RTX 20 ขณะที่บางเกมเช่น Battlefield V ประสิทธิภาพดีขึ้นประมาณ 1.6 เท่า ชิปชุดใหม่นี้ มีพลังประมวลผลโดยรวมประมาณ 2 เท่าตัวที่การคำนวณ FP32, มีฟีเจอร์ NVIDIA RTX IO ช่วยขยายข้อมูลที่บีบอัดเอาไว้ ลดคอขวดจากการโหลดไฟล์ asset ต่างๆ เข้าไปยังการ์ดกราฟิก ช่วยลดเวลาโหลดเกม, และใช้หน่วยความจำแบบ GDDR6X ที่ส่งข้อมูล 4 ระดับหรือ 2 บิตต่อครั้ง ทำให้อัตราการส่งข้อมูลเข้าหน่วยความจำทำได้เกือบ 1 TB/s เทียบกับ 616 GB/s ใน RTX 2080 Ti การ์ดรุ่น Founders Edition จาก NVIDIA เปิดตัว 3 รุ่น ได้แก่ GeForce RTX 3090 การ์ดกราฟิกรุ่นสูงสุดชื่อเล่น BFGPU (Big Ferocious GPU) อัดแรม GDDR6X มาถึง 24GB (เดิม 1080 Ti และ 2080 Ti สูงสุดเพียง 11GB) ระบบระบายความร้อนแบบเงียบพิเศษกินพื้นที่ 3 สล็อต เล่นเกมใหม่ๆ ที่ความละเอียด 8K ได้ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ราคา 1,499 ดอลลาร์ หรือประมาณ 47,000 บาท เริ่มวางตลาด 24 กันยายนนี้ GeForce RTX 3080 รุ่นอัพเกรดจาก RTX 2080 ใส่แรม GDDR6X มา 10GB น่าจะทำให้เล่นเกมที่ 4K ได้สบายๆ ราคา 699 ดอลลาร์ หรือประมาณ 22,000 บาท วางตลาด 17 กันยายนนี้ GeForce RTX 3070 รุ่นกลางที่ NVIDIA ระบุว่ายังแรงกว่า RTX 2080 Ti ใส่แรม GDDR6 8GB ราคา 499 ดอลลาร์ หรือประมาณ 16,000 บาท วางตลาดเดือนตุลาคมนี้ ชิปทั้งสามรุ่นมีผู้ผลิตเตรียมนำไปผลิตการ์ดทั้งแบบสัญญาณนาฬิกาปกติและแบบโอเวอร์คล็อกแล้ว เช่น ASUS, Colorful, EVGA, Gainward, Galaxy, Gigabyte, Innovision 3D, MSI, Palit, PNY, และ Zotac แต่ NVIDIA ยังไม่ระบุช่วงเวลาวางจำหน่าย ที่มา - NVIDIA
# เปิดสเปก Galaxy Z Fold 2 จอ 120Hz กล้องหลังสามกล้อง ราคาเริ่มต้น 1,999 เหรียญ หลังเปิดข้อมูลเบื้องต้นของ Galaxy Z Fold 2 ไปเมื่อต้นเดือนวันนี้ซัมซุงเปิดข้อมูลเพิ่มเติม และราคาอย่างเป็นทางการของ Galaxy Z Fold 2 ในงาน Galaxy Unpacked Part 2 แล้ว รายละเอียดดังนี้ หน้าจอด้านหน้าขนาด 6.2 นิ้ว ความละเอียด 2260x816 พิกเซล หน้าจอภายใน 7.6 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz อัตราส่วน 22.5:18 ความละเอียด 2208x1768 พิกเซล ชิป Snapdragon 865+ หรือ Exynos 990 ในบางประเทศ (คาดว่าในบ้านเราด้วย) แรม 12GB หน่วยความจำภายใน UFS 3.1 ขนาด 256GB และ 512GB แบตเตอรี่ 4,500 mAh รองรับชาร์จเร็ว มี Wireless PowerShare ชาร์จอุปกรณ์อื่นได้ รองรับ Bluetooth 5, Wi-Fi 6 และ 5G มีกล้องหลังสามกล้อง เป็นกล้องหลัก 12MP F 2.2 OIS, อัลตร้าไวด์ 12MP F 1.8 และ กล้องเทเล 12MP F 2.4 ซูมได้ 2x OIS โดยซัมซุงระบุว่าเป็นคุณภาพระดับเรือธง กล้องหน้าสองกล้อง ทั้งบนหน้าจอด้านหน้าและหน้าจอภายใน ความละเอียด 10MP F2.2 เท่ากัน สามารถแสดงตัวอย่างภาพก่อนถ่ายได้ทั้งจอภายในและด้านหน้าพร้อมกัน ทำให้สามารถใช้กล้องหลักแทนกล้องเซลฟี่ได้ มี Flex Mode สามารถงอหน้าจอครึ่งหนึ่งไว้เพื่อแบ่งทำอย่างอื่น เช่นควบคุมวิดีโอหรือเพลงได้ Galaxy Z Fold 2 มีสองสีหลักคือ Mystic Black และ Mystic Bronze เหมือนกับสีของ Galaxy Note 20 แต่ของใหม่ที่แตกต่างจาก Galaxy Fold รุ่นแรกคือ เลือกสีขอบได้ 4 สี คือ Metallic Silver, Metallic Gold, Metallic Red และ Metallic Blue เริ่มวางจำหน่าย สั่งจองได้วันที่ 1 กันยายน วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 กันยายนนี้ ในราคา 1,999 เหรียญ (ประมาณ 62,500 บาท) นอกจากนี้ซัมซุงยังเปิดตัว Galaxy Z Fold 2 ลายพิเศษ Thom Browne Edition แบบเดียวกับ Galaxy Note 20 โดยจำกัดจำนวน 5,000 ชุดทั่วโลก มาพร้อมอุปกรณ์ Galaxy Z Fold 2, Galaxy Buds Live และ Galaxy Watch 3 ในดีไซน์ 4 แถบของ Thom Browne วางจำหน่ายวันที่ 25 กันยายนนี้ ที่มา - Galaxy Unpacked Part 2, Samsung, Samsung
# MediaTek เปิดตัว Helio G95 หน่วยประมวลผลสำหรับเกมมิ่งโฟนตัวใหม่ MediaTek เปิดตัวชิป Helio G95 หน่วยประมวลผลสำหรับเกมมิ่งโฟนตัวใหม่ ต่อจาก Helio G90 ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ซีพียู 8 คอร์ Cortex-A55 + Cortex-A76 สัญญาณนาฬิกาสูงสุด 2.05GHz จีพียู Arm Mali-G76 M4 สัญญาณนาฬิกาสูงสุด 900MHz ฟีเจอร์ MediaTek HyperEngine เพิ่มความเร็วการตอบสนองเครื่องขณะเล่นเกม หน่วยประมวลผลภาพ (ISP) รองรับกล้องความละเอียดสูงสุด 64MP หรือ 24MP+16MP หน่วยประมวลผลสัญญาณ (DSP) รอรับคำสั่งเสียงปลุกเครื่องได้ 2 คำ (เช่น Google Assistant หรือ Alexa) รองรับแรม LPDDR4X ขนาดสูงสุด 10GB สัญญาณนาฬิกาสูงสุด 2133MHz รองรับสตอเรจ UFS 2.1 หรือ eMMC 5.1 เครือข่าย 4G LTE Cat.12 (3x CA 4x4 MIMO), Bluetooth 5.0, Wi-Fi 5 (ac) ที่มา - MediaTek
# เปิดตัว Walmart+ ค่าสมาชิก 98 ดอลลาร์ต่อปี ส่งสินค้าฟรีไม่อั้น คู่แข่งตรงของ Amazon Prime Walmart เปิดตัวบริการสมาชิกพรีเมียมรายปี Walmart+ คู่แข่งโดยตรงของ Amazon Prime ตามข่าวลือก่อนหน้านี้ Walmart+ คือการจ่ายค่าสมาชิกปีละ 98 ดอลลาร์ หรือเดือนละ 12.95 ดอลลาร์ (เทียบกับ Prime ปีละ 119 ดอลลาร์) แลกกับการส่งสินค้าฟรีแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง และถ้าอยู่ในพื้นที่บริการของห้าง Walmart จำนวน 2,700 สาขา (จากทั้งหมด 4,700 สาขา) จะได้ส่งฟรีภายในวันเดียวกับที่สั่งสินค้าด้วย นอกจากเรื่องค่าส่งฟรีแล้ว สมาชิก Walmart+ ยังจะได้ฟีเจอร์ Scan & Go ในแอพ Walmart เพื่อสแกนสินค้าแล้วจ่ายเงินเองได้โดยไม่ต้องรอคิว และได้ส่วนลดค่าน้ำมันจากปั๊มของ Walmart และพันธมิตรอีก 5 เซนต์ต่อแกลลอน Walmart บอกว่าสิทธิประโยชน์ของ Walmart+ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ลักษณะเดียวกับ Amazon Prime ที่ภายหลังก็ได้บริการกลุ่มออนไลน์ (เช่น Amazon Prime Music หรือ Video) เพิ่มเข้ามา ที่มา - Walmart
# MediaTek โดนด้วย ยื่นขอใบอนุญาตจากสหรัฐ เพื่อซัพพลายชิปให้ Huawei หลังจากที่สหรัฐออกกฎให้บริษัทนอกสหรัฐ ที่ใช้เทคโนโลยีสหรัฐในการผลิตและจะขายชิปให้ Huawei ต้องขออนุญาตก่อน ซึ่งกระทบ TSMC ที่เป็นซัพพลายเออร์ให้ Huawei เต็ม ๆ ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าหวยจะไปตกกับ MediaTek ที่ถึงแม้จะจ้าง TSMC ผลิต แต่ยังพอมีช่องว่างให้สามารถขายชิปให้ Huawei ได้อยู่ อย่างไรก็ตามดูเหมือนสถานการณ์จะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เมื่อ MediaTek ได้ยื่นเรื่องไปยังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ขอใบอนุญาตเพื่อส่งมอบชิปให้ Huawei ก่อนเดดไลน์วันที่ 15 กันยายนนี้ ที่มา - Reuters
# Ming Chi Kuo นักวิเคราะห์แอปเปิลชี้ Huawei มีสิทธิออกจากตลาดมือถือ, กระทบซัพพลายเชน Ming Chi Kuo นักวิเคราะห์สายซัพพลายเชนแอปเปิลมองว่าสถานการณ์ตอนนี้ของ Huawei หลังโดนบีบทุกช่องทางโดยเฉพาะซัพพลายเชนชิปเซ็ต เคสที่ดีที่สุดคือส่วนแบ่งการตลาดลดลง ส่วนเคสที่แย่ที่สุดคือ Huawei อาจต้องออกจากธุรกิจมือถือนี้ไปเลย ซึ่งอาจส่งผลต่อซัพพลายเชนสมาร์ทโฟนในภาพรวมไปเลย Ming Chi Kuo บอกว่า Huawei มักสั่งชิ้นส่วนกล้อง, HDI, ชิปสตอเรจและชิป 5G ที่คุณภาพสูงกว่าและจำนวนชิ้นเยอะกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นในตลาด และหากความสามารถในการแข่งขันในตลาดนี้ของ Huawei ลดลง (หรือออกจากตลาด) ก็จะกระทบเทรนด์การอัพเกรดชิ้นส่วนเหล่านี้ในอุตสาหกรรมให้ช้าลงอีกทอด ที่มา - My Fix Guide, Gizchina
# Crusader Kings III ได้คะแนนเต็ม 100 จาก IGN และได้คะแนนเกือบเต็มจากสื่อหลายสำนัก Crusader Kings III เกมแนว RTS จากค่าย Paradox Interactive ที่กำลังจะเปิดตัว 2 กันยายนนี้ และเริ่มเปิดคะแนนรีวิวรอบสื่อออกมาแล้ว โดยได้คะแนนเต็ม 100 จาก IGN 8 เต็ม 10 จาก Gamespot และ 94 เต็ม 100 จาก PCGamer นอกจากนี้ยังมีสื่ออีกหลายเจ้า ให้คะแนนอยู่ในระดับ 9 หรือ 90 คะแนนขึ้นไปแทบทั้งสิ้น โดยคะแนนเฉลี่ยบน Metacritic ในตอนนี้อยู่ที่ 91 คะแนนจาก 100 Crusader Kings เป็นตระกูลเกมแนววางแผนบริหารอาณาจักร แต่โฟกัสจะอยู่ที่ระบบเจ้าขุนมูลนายในยุคกลาง และจุดเด่นไม่ได้อยู่ที่การขยายถิ่นฐาน แต่อยู่ที่เนื้อเรื่องของตัวละครและการบริหารอำนาจของอาณาจักรในยุคกลาง โดยตัวละครแต่ละตัวจะมีความสามารถและลักษณะจำเพาะ รวมถึงสามารถ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่งงาน พร้อมได้ค่าสถานะจากเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดชีวิต เช่น ถ้าตัวละครกษัตริย์รบแพ้ อาจติดสถานะ “กลัวสงคราม” หรือ “บาดเจ็บ” อย่างถาวร นอกจากนี้ตัวละครยังสามารถแต่งงาน มีลูกได้ (ถ้าในครอบครัวมีลูกกันเอง ลูกออกมาผิดปกติได้ด้วย) โดยมีระบบ DNA ที่สืบทอดลักษณะต่างๆ จากรุ่นสู่รุ่น และในภาคนี้ยังเพิ่มโมเดลตัวละครแบบสามมิติ ที่หากเป็นตัวลูก ก็จะสร้างขึ้นจากส่วนผสมของหน้าตาตัวละครพ่อแม่ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้แบบไดนามิก แสดงอายุ อาการบาดเจ็บ หรืออาการเจ็บป่วยของตัวละครได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มระบบความเครียด ที่อาจทำให้ตัวละครเกิดสถานะ “ติดเหล้า” “เสเพล” และยังเหตุการณ์ใหม่ๆ อีกเพียบ Crusader Kings III วางจำหน่ายบน PC เท่านั้น ราคาบน Steam อยู่ที่ 579 บาท Royal Edition แถม DLC ครบ อยู่ที่ 899 บาท เปิดพรีออเดอร์แล้ว เริ่มเล่นได้วันที่ 2 กันยายนนี้ และมีอยู่ใน Xbox Game Pass สำหรับ PC ที่มา - Gamespot, Metacritic
# Lenovo เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง Legion Slim 7i, วางขาย Legion BoostStation eGPU แล้ว Lenovo เปิดตัว Lenovo Legion Slim 7i โน้ตบุ๊กเกมมิ่ง 15 นิ้ว พร้อม GeForce RTX ที่ Lenovo ระบุว่าเบาที่สุดในโลก ตัวเลือกซีพียูมีถึง Intel Core i9 10th Gen รหัส HK การ์ดจอ GeForce RTX 2060 Max-Q มีระบบเลือกปรับใช้การ์ดจอแยกและออนบอร์ด Advanced Optimus และรองรับ DLSS 2.0 แบตเตอรี่อยู่ได้ 7.75 ชั่วโมง พร้อมชาร์จเร็ว Rapid Charge Pro และคีย์บอร์ด TrueStrike keyboard ที่ให้ความรู้สึกคล้ายคีย์บอร์ด Mechanic มากขึ้น และลำโพง Dolby Atmos รองรับ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5 และมีพอร์ต Thunderbolt ตัวเลือกแรมสูงสุด DDR4 32GB 3,200 MHz ตัวเลือกฮาร์ดดิสก์สูงสุด SSD M.2 NVMe PCIe 2TB (RAID 0) หน้าจอเลือกได้สูงสุดถึง 4K IPS VESA DisplayHDR 400 รองรับมาตรฐานสี Adobe RGB 100 เปอร์เซ็นต์ ความสว่างสูงสุด 600 nits รีเฟรชเรตสูงสุด 60Hz หรือจะเลือกเป็นหน้าจอ IPS FullHD 144Hz รองรับมาตรฐานสี sRGB 100 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ และหน้าจอทั้งสองแบบรองรับ Dolby Vision Lenovo Legion Slim 7i วางจำหน่ายเดือนตุลาคมนี้ ราคาเริ่มต้น 1,299 ยูโร (ประมาณ 48,200 บาท) นอกจากนี้ Legion BoostStation eGPU กล่องต่อ GPU แยก เปิดตัวไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็เริ่มวางจำหน่ายแล้วในราคา 349 ยูโร (ประมาณ 13,000 บาท) ซื้อคู่การ์ดจอตระกูล NVIDIA GeForce RTX (ยังไม่มีรายละเอียดรุ่น) หรือ AMD Radeon RX 5700 XT 8GB ได้ แต่ Lenovo ไม่ได้แจ้งรายละเอียดราคาแบบซื้อคู่ไว้ ตัว eGPU รองรับการ์ดจอสูงสุด GeForce RTX 2080 Super ในกล่องติดตั้งพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX 500 วัตต์ เชื่อมต่อกับโน้ตบุ๊กผ่านพอร์ต Thunderbolt 3 พร้อมชาร์จไฟให้โน้ตบุ๊กได้สูงสุดที่ 100 วัตต์ ที่มา - Lenovo
# Lenovo เปิดตัวโน้ตบุ๊ก Yoga Slim 9i 14 นิ้ว เริ่ม 1,899 และรุ่น 2-in-1 Yoga 9i เริ่ม 1,799 ยูโร Lenovo เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ในตระกูล Yoga คือรุ่น Lenovo Yoga Slim 9i (ใช้ชื่อ IdeaPad Slim 9i ในอเมริกา), Lenovo Yoga 9i โน้ตบุ๊กทูอินวันมีทั้ง 14 นิ้ว และ 15.6 นิ้ว Lenovo Yoga Slim 9i โน้ตบุ๊ก 14 นิ้ว ซีพียู Intel Core 11th Gen พร้อมจีพียูสถาปัตยกรรม Intel Xe ฝาหลังบุด้วยหนัง หน้าจอ IPS แบบสัมผัส ตัวเลือกสูงสุดถึงความละเอียด 4K VESA DisplayHDR 400 รองรับ Dolby Vision รองรับมาตรฐานสี DCI-P3 ที่ 90 เปอร์เซ็นต์ ความสว่างสูงสุด 500 nits ลำโพงรองรับ Dolby Atmos มี Smart Sense Keyboard ปรับระดับแสงไฟคีย์บอร์ดตามความสว่างของแสงในห้อง กล้อง IR รองรับ Windows Hello พร้อมสวิตช์ตัดไฟกล้องเพื่อความปลอดภัย แบตเตอรี่ใช้งานได้ถึง 20 ชั่วโมง พร้อมระบบ Rapid Charge Express ชาร์จ 15 นาที เล่นวิดีโอบนเครื่องได้นาน 4 ชั่วโมง พอร์ต Thunderbolt 4 แบบ Type-C 3 พอร์ต รองรับ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.1 Yoga Slim 9i วางจำหน่ายเดือนพฤศจิกายนนี้ ราคาเริ่มต้น 1,899 ยูโร (ประมาณ 71,000 บาท) Lenovo Yoga 9i โน้ตบุ๊ก 2-in-1 มีขนาดจอให้เลือก 2 ขนาด คือ 14 และ 15.6 นิ้ว รุ่น 14 นิ้ว มาพร้อมซีพียูตระกูล Intel Core 11th Gen พร้อมจีพียูสถาปัตยกรรม Intel Xe และมีตัวเลือกหุ้มหนังบนฝาแบบเดียวกับ Yoga Slim 9i ส่วนรุ่น 15.6 นิ้ว อัพซีพียูได้ถึง Intel Core i9 10th Gen รหัส HK พร้อมตัวเลือกการ์ดจอสูงสุด GTX 1650 Ti Max-Q ทั้งสองขนาดมีลำโพงซาวด์บาร์แบบหมุนได้ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Lenovo Yoga รองรับ Dolby Atmos หน้าจอ IPS แบบสัมผัสทั้ง 14 และ 15.6 นิ้วมีตัวเลือกถึงหน้าจอ 4K VESA DisplayHDR 400 แบบเดียวกับ Yoga Slim 9i และมาพร้อมปากกาที่เสียบชาร์จในตัวเครื่องได้ Yoga 9i มีพอร์ต Thunderbolt 4 สองพอร์ตสำหรับชาร์จและเชื่อมต่ออื่นๆ แบตเตอรี่ 18 ชั่วโมง บนรุ่น 14 นิ้ว พร้อม Rapid Charge Express และ แบตเตอรี่ 13 ชั่วโมงพร้อม Rapid Charge Boost บนรุ่น 15 นิ้ว ทั้งสองขนาดวางจำหน่ายเดือนตุลาคมนี้ รุ่น 14 นิ้ว บุหนัง เริ่มต้น 1,799 ยูโร (ประมาณ 67,000 บาท) รุ่น 15 นิ้ววัสดุโลหะ เริ่มที่ 1,999 ยูโร (ประมาณ 74,200 บาท) ที่มา - Lenovo
# Facebook ขู่เตรียมบล็อกไม่ให้สำนักข่าวออสเตรเลียแชร์ข่าว หากต้องจ่ายค่าข่าว กลางปีที่ผ่านมาออสเตรเลียกำลังร่างกฎที่บังคับให้ Facebook และ Google แบ่งรายได้ให้สำนักข่าวด้วย ซึ่ง Facebook ก็เคยออกมายืนยันว่าจะไม่จ่าย และธุรกิจเองก็ไม่กระทบมากนัก เพราะข่าวในออสเตรเลียเป็นแค่ส่วนน้อยบนฟีดเท่านั้น ล่าสุด Facebook ออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านกฎหมายนี้อีกครั้ง พร้อมประกาศมาตรการสุดท้ายว่า หากกฎหมายนี้ผ่านออกมา จะบล็อกไม่ให้สำนักข่าวหรือแม้แต่ชาวออสเตรเลียแชร์ข่าวจากสำนักข่าวในประเทศบนฟีดของ Facebook และ Instagram ปัจจุบันกฎหมายนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องจำนวนเงินรายได้ที่ Facebook/Google ต้องจ่ายให้สำนักข่าว ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ ก็จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการของสภาที่จะเป็นคนกำหนด ฝั่งรัฐบาลออสเตรเลียมองว่า Facebook และ Google เป็น free-rider ที่หารายได้จากฟีดข่าวของสำนักข่าวเหล่านี้มานาน สมควรที่จะต้องแบ่งรายได้ให้กับต้นทางบ้าง ขณะที่ Faecbook ก็เคยออกมาแย้งว่า กฎหมายเป็นการบังคับให้อุดหนุนคู่แข่ง และอาจจะทำให้ค่าโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มสูงขึ้น รวมถึงเป็นการผลักภาระเรื่องรายได้ที่หดหายของสำนักข่าวออสเตรเลียมาให้ Facebook/Google รับผิดชอบ ที่มา - Bloomberg
# AIS Fibre อัปเกรดชีวิตไปอีกขั้น กับเน็ตบ้านคุณภาพการันตีรางวัลระดับโลก รองรับการใช้งาน WiFi6 พร้อมอัปสปีดเน็ตบ้านเร็วกว่า แรงกว่า AIS Fibre ผู้ให้บริการเน็ตบ้านชั้นนำที่ได้รับรางวัล อินเทอร์เน็ตบ้านที่เร็วที่สุดในประเทศไทย (Thailand’s Fastest Fixed Network) จาก Ookla Speedtest ในปี 2019 เดินหน้าอัปเกรดคุณภาพของบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตไปอีกขั้น โดยอัปเกรดเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดทั้งเราเตอร์ AIS Fibre Wi-Fi6 อัปเกรดความบันเทิง ผ่าน AIS PLAYBOX และอัปเกรดการทำงานด้วยเทคโนโลยี Mesh Wi-Fi และตามใจผู้ใช้งาน ด้วยฟังก์ชั่น Speed Toggle AIS Fibre Wi-Fi6 Upgrade Kit เป็นชุดอัปเกรดเราเตอร์ด้วยอุปกรณ์เสริมในการปล่อยสัญญาณ Wi-Fi6 (IEEE 802.11ax) ราคา 1,490 บาท โดยนำมาใช้ร่วมกับเราเตอร์ของ AIS Fibre และใช้งานได้กับ AIS Fibre เท่านั้น โดยผู้ใช้จะได้เงินค่าอุปกรณ์ส่วนนี้คืนเป็นส่วนลดค่าบริการรายเดือนของ AIS Fibre เดือนละ 100 บาท เหมือนได้อัปเกรดอุปกรณ์ฟรี เมื่อใช้ Wi-Fi6 Upgrade Kit ร่วมกับเราเตอร์ AIS SuperMesh WiFi อุปกรณ์เชื่อมต่อที่รองรับ WiFi6 จะได้ความเร็วอินเทอร์เน็ตเมื่อใช้งานผ่านสัญญาณ Wi-Fi เต็มที่ขึ้น รองรับความเร็วสูงสุดถึง 1Gbps ช่วยเลี่ยงสัญญาณรบกวนในพื้นที่ที่มีผู้ใช้ Wi-Fi เป็นจำนวนมากได้ดีขึ้น รองรับการเชื่อมต่อแบบ 2x2 MU-MIMO ช่วยบริหารแบนด์วิดท์ให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อพร้อมกันหลายเครื่องโดยไม่ติดขัด กินพลังงานน้อยลง ช่วยให้โน้ตบุ๊ก และมือถือ ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi ได้นานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ AIS ยังอัปเกรดความบันเทิงผ่านกล่อง AIS PLAYBOX ไปอีกขั้น พร้อมใช้งาน AIS PLAY ทั้งบน Apple TV 4K และ Samsung Smart TV รุ่นปี 2017 ขึ้นไปแล้ว โดยผู้ใช้ AIS Fibre แพ็กเกจ 699 บาทหรือมากกว่า จะได้สิทธิ์ซื้อ Apple TV 4K ลด 30% พร้อมได้ส่วนลดค่าบริการรายเดือนของ AIS Fibre เดือนละ 150 บาท นาน 12 เดือนอีกด้วย AIS PLAY จะมีถ่ายทอดสดฟุตบอลจาก BEIN Sports เช่น เอฟเอคัพ รอบ 4 ทีมสุดท้าย และรอบชิงชนะเลิศ, ลา ลีกา สเปน, กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี และตุรกี ซุปเปอร์ลีก รวมถึงมีสารคดียอดนิยมจากช่อง Discovery และ Animal Planet สำหรับแพ็กเกจ PLAY Premium และ PLAY Premium Plus อีกด้วย ฟังก์ชั่นที่น่าสนใจอีกฟังก์ชั่นนึงคือ Speed Toggle ที่ให้ผู้ใช้ปรับความเร็วอินเทอร์เน็ตได้เอง เพื่อตอบโจทย์การใช้งานรูปแบบที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะทำงานออนไลน์ สตรีมหนัง เล่นเกม หรือไลฟ์ขายของออนไลน์ โดยสามารถปรับความเร็วดาวน์โหลดกับอัปโหลดได้ตามการใช้งาน อีกโหมดที่น่าสนใจคือ Overdrive Download ที่นำความเร็วอัปโหลดมาปรับเป็นความเร็วดาวน์โหลดได้ด้วย เมื่อต้องการใช้ความเร็วดาวน์โหลดมากกว่าปกติ สามารถปรับได้ผ่าน AIS Fibre LINE Connect หรือผ่าน www.myaisfibre.com (เข้าได้ผ่านเน็ตบ้านของ AIS Fibre เท่านั้น) นอกจากนี้ อีกหนึ่งความสำคัญที่ AIS Fibre ใส่ใจ คือคุณภาพสัญญาณ Wi-Fi ที่ต้องครอบคลุมทุกพื้นที่ที่ลูกค้าต้องการใช้งานตั้งแต่วันแรกที่ติดตั้ง โดย AIS Fibre ออกแบบบริการ การเข้าติดตั้งของช่าง รวมถึงออกแบบอุปกรณ์เราเตอร์ให้เป็นรุ่นเดียวกันเพื่อให้ง่ายต่อการ Pairing อุปกรณ์ Mesh Wi-Fi ตัวแม่กับตัวลูก ทำให้แค่กดปุ่มก็ทำงานได้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเพิ่มบริการติดตั้ง SuperMESH WiFi Router ได้ทันที ไม่ยุ่งยาก พร้อมมาตรฐานงานบริการที่เหนือระดับ โดยการดูแลของช่างมืออาชีพแบบ One Stop Service ปิดท้ายการอัปเกรดเน็ตบ้านให้แรงและเร็วกว่าเดิม อัปสปีดเน็ตบ้านกับแพ็กเกจ POWER4 Online 100/100 Mbps เพิ่มเป็น 300/300 Mbps ในราคาเพียง 399 บาท พร้อมรับซิมเน็ตไม่อั้น 5 GB (จ่ายเพิ่ม 50 บาท/เดือน รับกล่องความบันเทิง AIS PLAYBOX และชมฟรี 12 เดือน แพ็กเกจเสริม PLAY FAMILY ปกติมูลค่า 119 บาท/เดือน) เมื่อสมัครใช้บริการด้วยตนเองผ่านทางเว็ปไซด์ AIS Fibre (https://www.ais.co.th/fibre/power4online/) หรือทาง AIS Fibre LINE Connect เป็นอีกโปรที่น่าสนใจ สำหรับใครที่กำลังมองหาเน็ตบ้านแรงๆ ราคาคุ้ม
# ซีอีโอ Epic Games เย้ยแอปเปิล ทวีตโปรโมท PUBG บอกใช้ Unreal Engine ปลายสัปดาห์ที่แล้ว แอปเปิลทวีตโปรโมท PUBG ที่เป็นเหมือนคู่แข่ง Fortnite กลาย ๆ ซึ่งก็เป็นการเย้ยหยัน Epic อ้อม ๆ หลังจากนั้นไม่นาน Tim Sweeney ซีอีโอ Epic Games เย้ยแอปเปิลกลับกลาย ๆ ด้วยกว่าโควททวีตดังกล่าว พร้อมระบุว่า PUBG เป็นเกมแบทเทิลรอยัลที่ยอดเยี่ยมอีกหนึ่งเกมที่ใช้ Unreal Engine ของ Epic หลังจากก่อนหน้านี้ศาลมีคำสั่งคุ้มครอง ห้ามแอปเปิลแบนเกม Unreal Engine ที่มา - @TimSweeneyEpic
# พร้อมเพย์มีปัญหา SCB/KBANK โอนข้ามธนาคารไม่ได้ วันนี้พร้อมเพย์มีปัญหาในบางธนาคารส่งผลให้ผู้ใช้ SCB Easy และ K PLUS ไม่สามารถโอนเงินข้ามธนาคารได้ โดยทางไทยพาณิชย์แนะนำให้ลูกค้าเว้นช่วงทำธุรกรรม ขณะที่ทางธนาคารกสิกรไทยระบุว่าทีมงานกำลังแก้ไขปัญหา ไม่แน่ชัดว่าปัญหานี้เป็นวงกว้างเพียงใด ผมทดสอบบริการของธนาคารออมสินโอนไปยังธนาคารอื่น เช่น ธนาคารทหารไทยพบว่ายังทำงานได้อยู่ ปัญหาการโอนเงินข้ามธนาคารเดือนนี้นับเป็นครั้งที่สองในรอบสัปดาห์ หลังจากเมื่อวานนี้ก็มีปัญหาการโอนเงินเป็นช่วงๆ
# AWS เปิดตัว Bottlerocket OS ระบบปฎิบัติการสำหรับรันคอนเทนเนอร์โดยเฉพาะ พัฒนาด้วย Rust AWS เปิดตัว Bottlerocket OS ระบบปฎิบัติการเพื่อการรันคอนเทนเนอร์โดยเฉพาะ ตัดส่วนประกอบอื่นๆ ที่ใช้งานสำหรับเซิร์ฟเวอร์ปกติออกไป และเพิ่มระบบคอนฟิกผ่าน API แทนระบบไฟล์ จุดขายสำคัญของ Bottlerocket คือความปลอดภัย โดยส่วนประกอบอื่นๆ นอกจากเคอร์เนลพัฒนาด้วยภาษา Rust เป็นส่วนใหญ่เพื่อลดความเสี่ยงช่องโหว่การจัดการหน่วยความจำ, โครงการตั้งค่า SELinux แบบ enforcing เป็นค่าเริ่มต้น, และยังตรวจสอบการแก้ไขระบบปฎิบัติการ เพื่อหาการฝัง rootkit ด้วย dm-variety ตัว Bottlerocket มาพร้อมกับ Control Container ที่ใช้รับคำสั่งผ่าน API หากใช้งานใน AWS ก็สามารถใช้ AWS CLI ในการส่งคำสั่งเปลี่ยนแปลงคอนฟิกได้ และหากต้องการเข้าไปดีบั๊กก็สามารถเปิดใช้ Admin Container ขึ้นมารันคำสั่งลินุกซ์ได้โดยตรง ตอนนี้โครงการ Bottlerocket ออกเวอร์ชั่น 1.0 สามารถใช้งานกับ AWS EKS และ Amazon ECS ได้แล้ว รวมถึงซัพพอร์ตทั้งเซิร์ฟเวอร์แบบ x86 และ arm64 ที่มา - AWS
# Qualcomm เปิดตัว Snapdragon 732G รุ่นอัพเกรดจาก Snapdragon 730G Qualcomm เปิดตัวชิป Snapdragon 732G ชิปรุ่นอัพเกรดประสิทธิภาพจาก Snapdragon 730G บนสถาปัตยกรรมการผลิตขนาด 8nm มีแกนหลัก 2 แกน และแกนประหยัดพลังงานอีก 6 แกน โดยรุ่นนี้เพิ่มความเร็วให้แกนหลักของซีพียู Kryo 470 จาก 2.2 GHz เป็น 2.3 GHz และใช้จีพียู Adreno 618 ที่เพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์ภาพสามมิติอีก 15 เปอร์เซ็นต์ Snapdragon 732G มาพร้อม Qualcomm AI Engine, โมเด็ม LTE X15 รองรับหน้าจอ Quad HD+ แสดงผล 4K HDR ในโหมดแนวตั้งได้ รองรับ Bluetooth 5 และ Wi-Fi 6 และจะใช้ในมือถือ POCO เป็นเจ้าแรก หลัง Qualcomm แถลงร่วมกับ POCO ในวันนี้ แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมอื่นๆ ที่มา - Qualcomm via 9to5Google
# Lenovo เปิดตัวแท็บเล็ต Tab P11 Pro, Tab M10 HD Gen 2 และนาฬิกาตั้งโต๊ะ Lenovo เปิดตัวสินค้าใหม่ทั้งแท็บเล็ต Lenovo Tab P11 Pro, Tab M10 HD Gen 2 ที่มาพร้อมโหมดเด็ก Google Kids Space และนาฬิกาตั้งโต๊ะอัจฉริยะ Lenovo Smart Clock Essential Lenovo Tab 11 Pro เป็นแท็บเล็ตสำหรับความบันเทิงขนาด 11.5 นิ้ว หน้าจอ OLED ความละเอียด 2560 x 1600 รองรับ HDR10 และ Dolby Vision พร้อมลำโพง JBL สี่ตัวรองรับ Dolby Atmos ใช้ชิป Snapdragon 730G ต่อคีย์บอร์ดและปากกาได้ แบตเตอรี่ใช้งานได้ 15 ชั่วโมง The Lenovo Tab P11 Pro วางจำหน่ายเดือนพฤศจิกายนนี้ ในราคาเริ่มต้น 699 ยูโร (ประมาณ 25,935 บาท) Lenovo Tab M10 HD Gen 2 เป็นแท็บเล็ตสำหรับการศึกษาและสำหรับเด็ก มาพร้อม Google Kids Space โหมดสำหรับเด็กบนแอนดรอยด์ ที่จะคัดวิดีโอและหนังสือบน Google Play ที่เหมาะสมสำหรับเด็กมาให้ชม พร้อมทั้งมีกิจกรรมที่ทำได้นอกแท็บเล็ต เช่นการประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ อีกด้วย Tab M10 HD Gen 2 มีหน้าจอขนาด 10.5 นิ้ว ความละเอียด HD ลำโพงคู่รองรับ Dolby Atmos ชิปแบบ Octa-Core ความเร็วสูงสุด 2.3 GHz และหน้าจอป้องกันแสงสีฟ้ามาตรฐาน TÜV Rheinlandวางจำหน่ายเดือนกันยายนนี้ ในราคา 159 ยูโร (ประมาณ 5,900 บาท) และจะมีรุ่นที่เพิ่ม Google Assistant เพิ่มมาทีหลังในราคา 179 ยูโร (ประมาณ 6,645 บาท) ในเดือนตุลาคม และรุ่น Alexa ราคา 199 ยูโร (ประมาณ 7,385 บาท) ในเดือนพฤศจิกายน Lenovo Smart Clock Essential นาฬิกาตั้งโต๊ะอัจฉริยะ รุ่นต่อจาก Lenovo Smart Clock แต่ตัดฟีเจอร์จากหน้าจอแสดงผลแบบสี ให้เหลือเป็นหน้าจอ LED แบบเรียบง่ายที่แสดงเวลาและอุณหภูมิห้อง พร้อมไฟ ลำโพง 3W และรองรับการใช้งาน Google Assistant สำหรับควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ในบ้าน Lenovo Smart Clock Essential วางจำหน่ายเดือนกันยายนนี้ ในราคาเริ่มต้น 59.99 ยูโร (ประมาณ 2,230 บาท) ที่มา - Lenovo
# ฟลีตโดรนส่งของ Amazon Prime Air ได้ใบอนุญาตจากองค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐแล้ว Amazon กลายเป็นบริษัทที่ 3 ในสหรัฐ ที่ได้รับใบอนุญาตให้ใช้โดรนส่งสินค้า ต่อจาก UPS และ Wing บริษัทลูกอีกบริษัทของ Alphabet โดย Amazon จะได้รับอนุญาติให้ “ส่งสินค้าให้กับผู้ใช้บริการอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ” โดยใช้บริการโดรนที่มีชื่อเรียกว่า Prime Air และได้รับอนุญาตให้โดรนสามารถบรรทุกสิ่งของได้ แม้อยู่นอกระยะสายตา Amazon จะใช้โอกาสที่ได้ใบอนุญาตนี้ เริ่มทดสอบการส่งสินค้าให้ผู้ใช้บริการทันที หลังจากที่ได้แสดงให้องค์การบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ (FAA) เห็นแล้วว่าเทคโนโลยีนี้ปลอดภัยจริงๆ นอกจากนี้ David Carbon รองประธานของบริการ Prime Air ยังกล่าวว่าจะพัฒนาระบบการขนส่งด้วยโดรนอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับ FAA เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการขนส่งสินค้าให้ได้ภายใน 30 นาที แม้ในตอนนี้ Prime Air จะยังไม่พร้อมใช้งานในสเกลใหญ่ แต่ Amazon ก็กำลังเร่งทดสอบและพัฒนาระบบขนส่งด้วยโดรน และยังได้ลงทุนไปหลายพันล้าน เพื่อลดเวลาการจัดส่งให้กับสมาชิก Prime จากสองวันเป็นวันเดียว และได้เปิดตัวโดรนรุ่นใหม่ในปี 2019 ที่สามารถขนพัสดุน้ำหนักน้อยกว่า 5 ปอนด์ ไปส่งให้ผู้ใช้ได้ในระยะ 30 นาที และสามารถบินได้ถึง 15 ไมล์อีกด้วย ที่มา - CNBC
# แอปเปิลปรับกฎ การอัพเดตแก้บั๊กจะไม่ถูกระงับไว้กรณีแอปละเมิดกฎ App Store แอปเปิลประกาศอัพเดตกระบวนการรีวิวแอปบน App Store ใหม่ ทำให้แอปที่ขึ้นสโตร์ไปแล้ว จะสามารถปล่อยอัพเดตแอปเพื่อแก้บั๊กได้เลยทันที แม้ว่าแอปนั้นจะอยู่ระหว่างการเคลียร์ข้อพิพาทกับแอปเปิล เรื่องการละเมิดไกด์ไลน์ก็ตาม (ยกเว้นแอปที่มีปัญหาเรื่องกฎหมาย) การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังแอปเปิลมีข้อพิพาทกับแอป Hey จนทำให้ทีมพัฒนาแอปไม่สามารถอัพเดตแก้บั๊กระหว่างที่ยังมีปัญหาอยู่ได้ นอกจากนี้แอปเปิลยังเปิดหน้าข้อเสนอแนะสำหรับการเปลี่ยนแปลงไกด์ไลน์ของ App Store ด้วย ซึ่งแม้จะเป็นท่าทีที่เปิดกว้างและรับฟังเสียงของนักพัฒนามากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าแอปเปิลจะยอมทำตามข้อเสนอทั้งหมดได้ ที่มา - Apple Developer via ArsTechnica
# รู้หรือไม่ Ransomware โจมตีประมาณ 4,000 ครั้งต่อวัน หรือทุก ๆ 40 วินาทีมีการโจมตีเริ่มขึ้น Ransomware ฝันร้ายที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้ดูแลระบบไอทีที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไรก็มีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์สามารถโจมตีตามช่องโหว่ต่างๆ ได้ ดังนั้นคุณต้องมีการสำรองข้อมูลไว้ในที่ปลอดภัยหรือ private zone ซึ่งยูสเซอร์ แอปพลิเคชั่นและระบบปฏิบัติการไม่สามารถเข้าถึงได้โดยตรง และมีแผนการกู้คืนที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว เพื่อนำข้อมูลซึ่งปราศจาก ransomware มาใช้งาน IBM Ransomware Safeguard Solution เป็นการป้องกันข้อมูล 4 ขั้นตอนที่เริ่มต้นง่าย และมีประสิทธิภาพ สามารกู้คืนข้อมูลรวดเร็ว ทำสำรองข้อมูลที่สำคัญเก็บไว้ใน Private Area ในสตอเรจที่ซึ่งยูสเซอร์ แอปพิเคชั่น และระบบปฏิบัติการไม่สามารถเข้าถึงได้โดยตรงทำให้ Ransomware มองไม่เห็นข้อมูลชุดนี้ ทำสำรองข้อมูลข้ามไปเก็บในสตอเรจอีกเครื่องซึ่งเป็นสตอเรจสำหรับสำรองข้อมูลโดยเฉพาะ จากนั้นเราสามารถทำสำเนาข้อมูลสำรองชุดนี้ข้ามไปเก็บในไซท์ 2 หรือในคลาวด์ นำสำเนาของข้อมูลที่สำรองไว้ไปเก็บในเทป โดยบริษัท คอมพิวเตอร์ยูเนี่ยน จำกัด ร่วมกับ IBM ประเทศไทย นำเสนอโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าดังนี้ โปรโมชั่นพิเศษตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่บริษัท คอมพิวเตอร์ยูเนี่ยน จำกัด โทร 02-311-6881 # 7151, 7156 หรือ email: [email protected]
# Twitter เริ่มแสดงจำนวน Quote Tweets แยกจาก Retweets แล้ว Twitter ประกาศเปลี่ยนแปลงระบบการ retweet แบบมีคอมเมนต์ ดังนี้ เปลี่ยนชื่อ Retweets with comments เป็น Quote Tweets แสดงจำนวน Quote Tweets แยกจาก Retweets เดิม (ก่อนหน้านี้นับรวมกัน) Twitter ให้เหตุผลว่า Quote Tweets หรือการอ้างถึงข้อความทวีตอื่นๆ ช่วยให้เกิดการสนทนาระหว่างกันมากขึ้น จึงแยกส่วนนี้จาก Retweets แบบปกติ ออกมาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ที่มา - @Twitter
# Zoom ยังเติบโตสูง รายได้ไตรมาสล่าสุดเพิ่มขึ้นถึง 355% Zoom Video Communications เจ้าของแอป Zoom รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ตามปีการเงินบริษัท 2021 สิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2020 มีรายได้เพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนถึง 355% เป็น 663.5 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 185.7 ล้านดอลลาร์ ตัวชี้วัดด้านจำนวนลูกค้าก็เติบโตสูงเช่นกัน โดยมีผู้ใช้งานแบบองค์กรที่มีพนักงานมากกว่า 10 คน 370,200 ราย เพิ่มขึ้น 458% มีลูกค้า 988 ราย ที่จ่ายเงินมากกว่า 100,000 ดอลลาร์ ในช่วง 12 เดือน ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Eric S. Yuan กล่าวว่าองค์กรต่างต้องการเครื่องมือสนับสนุนการทำงานที่ต่อเนื่อง โดยสามารถทำงานได้ทุกที่ เรียนได้ทุกที่ เชื่อมต่อได้ทุกที่ บนแพลตฟอร์มของ Zoom ที่พัฒนาเริ่มต้นจากวิดีโอก่อน ที่มา: Zoom ภาพ Zoom
# Netflix ปล่อยหนัง, ซีรีส์บางเรื่องให้ดูฟรีทั่วโลก ไม่ต้องมีบัญชีก็ดูได้ Netflix ออกวิธีกระตุ้นคนที่ไม่ได้จ่ายเงินดู Netflix ด้วยการปล่อยหนังและซีรีส์ออริจินัลของตัวเองบางเรื่องให้ดูฟรีทั่วโลก ไม่ต้องมีบัญชี Netflix ก็ดูได้ สามารถดูได้ผ่านอุปกรณ์แอนดรอยด์, Windows, Mac แต่ไม่รวมอุปกรณ์ iOS, ทีวี, Fire Stick, บราวเซอร์ไม่ระบุตัวตน หนังและซีรีส์ที่ Netflix เปิดให้ดูฟรีคือ Stranger Things, Murder Mystery, Élite, Boss Baby: Back in Business, Bird Box, When They See Us, Love Is Blind, The Two Popes, Our Planet และ Grace and Frankie สามารถดูหนังได้เต็มเรื่อง แต่ซีรีส์จะดูได้แค่ตอนแรกเท่านั้น Netflix บอกว่า กำลังมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการกระตุ้นผู้ใช้ให้มาสมัครรับบริการ Netflix สามารถเข้าไปดูหนังฟรีได้ที่ netflix.com/watch-free นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Netflix ปล่อยเนื้อหาให้ดูฟรี ก่อนหน้านี้ก็ปล่อย To All the Boys I’ve Loved Before ให้คนสหรัฐฯได้ดู และปล่อย Bard of Blood ซีรีส์อินเดียให้คนอินเดียดูฟรี รวมถึงปล่อยทอล์คโชว์ Patriot Act with Hasan Minhaj ให้ดูฟรีบางตอนบน YouTube ที่มา - TechCrunch
# กูเกิลเปิดตัว Kids Space โหมดเด็กบนแท็บเล็ต Android นำเสนอเนื้อหาสร้างสรรค์-ปลอดภัย กูเกิลเอาใจผู้ใช้กลุ่มเด็กและครอบครัว เปิดตัวโหมดเด็ก Google Kids Space บนแท็บเล็ต Android บางรุ่น เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานของเด็กๆ มากขึ้น Kids Space มีหน้าตาคล้ายกับ YouTube Kids คือสีสันสดใส มีตัวการ์ตูนดึงดูดความสนใจของเด็กๆ รวมถึงแยกเนื้อหาแนะนำในหมวดต่างๆ เช่น เกม หนังสือ คลิปวิดีโอ และกิจกรรมนอกแท็บเล็ต (เช่นการประดิษฐ์สิ่งของ) ตัวอินเทอร์เฟซหน้านี้ยังเชื่อมกับฟีเจอร์ด้านครอบครัวอื่นๆ ของโลก Android เช่น Family Link ที่ให้ผู้ปกครองจัดการเวลาใช้งานแท็บเล็ตของลูกๆ หรือเนื้อหาสำหรับเด็กๆ บน Google Play ที่คัดมาแล้วว่าครูแนะนำ Kids Space จะเริ่มใช้ในแท็บเล็ตของ Lenovo บางรุ่น (เช่น Lenovo Smart Tab M10 HD Gen 2 ที่เปิดตัวพร้อมกันในวันนี้) และขยายไปยังแท็บเล็ตยี่ห้ออื่นต่อไป ที่มา - Google
# ซัมซุงเริ่มเดินเครื่องผลิต DRAM LPDDR5 แบบ 16Gb ด้วยกระบวนการ EUV แล้ว ไลน์ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หมายเลข 2 ของซัมซุง ในเมืองพย็องแท็ก ที่มีพื้นที่กว่า 128,900 ตารางเมตร และเป็นไลน์ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มผลิตชิปความจำ DRAM LPDDR5 แบบ 16Gb (กิกะบิต) ด้วยกระบวนการ EUV (extreme ultraviolet) ขนาดการผลิต 10nm รุ่นที่สาม หรือที่เรียกว่าการผลิตแบบ 1z แล้ว ซัมซุงระบุว่าชิป LPDDR5 แบบ 16Gb นี้ เป็นชิปหน่วยความจำรุ่นแรกที่มีการผลิตเป็นจำนวนมาก (mass production) ด้วยกระบวนการ EUV และเป็นชิปหน่วยความจำบนมือถือที่มีประสิทธิภาพและความจุสูง พร้อมรองรับ 5G และ AI ในอนาคต มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลถึง 6,400 Mb/s เร็วกว่าชิป 12Gb DRAM ที่มีความเร็ว 5,500 Mb/s อยู่ประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ การผลิตแบบ 1z ยังทำให้ขนาดโดยรวมของชิป LPDDR5 นี้ เล็กลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และใช้ชิปเพียง 8 ชิ้นเท่านั้น ในการประกอบเป็นแรมขนาด 16GB จากเดิมที่กระบวนการผลิตแบบ 1y (แบบก่อนหน้านี้) ต้องใช้ชิปถึง 12 ชิ้น (แบบ 12Gb 8 ชิ้น และแบบ 8 Gb อีก 4 ชิ้น) เพิ่มพื้นที่ให้กับกล้อง ชิปโมเด็ม 5G และเพิ่มความสะดวกสำหรับการจัดวางแผงวงจรของอุปกรณ์แบบพับได้ (foldable) อีกด้วย ซัมซุงจะเป็นเจ้าแรกที่ผลิตแพ็คเกจแรม 16GB LPDDR5 ด้วยกระบวนการ 1z สู่ท้องตลาด และยังเตรียมขยายตลาดชิปในมือถือรุ่นเรือธงในปี 2021 รวมทั้งจะพัฒนาให้แรมแบบ LPDDR5 มีความคงทนต่อสภาวะอุณหภูมิที่สูงขึ้น เพื่อให้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย สำหรับใช้งานในตลาดชิปรถยนต์ในอนาคตอีกด้วย ที่มา - Samsung
# วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการออกใบรับรองเข้ารหัสเว็บอายุ 2 ปี จากนี้ไปใบรับรองอายุไม่เกิน 397 วัน แนวทางการลดอายุใบรับรองการเข้ารหัสเว็บเป็นแนวทางที่ต่อเนื่องกันมาในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จากเดิมสมัยก่อนที่เราเคยซื้อใบรับรองเข้ารหัสอายุยาวนานถึง 8 ปีได้ ในปี 2015 CA/Browser Forum ก็ลดเพดานอายุใบรับรองเหลือ 39 เดือน และในปี 2017 ก็ลดเพดานลงเหลือ 825 วัน วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการซื้อใบรับรองอายุ 2 ปี เนื่องจากใบรับรองที่ออกวันที่ 1 กันยายนเป็นต้นไป หากมีอายุเกิน 397 วันจะใช้งานกับเบราว์เซอร์หลักทั้ง Chrome, Firefox, และ Safari ไม่ได้อีกต่อไป กูเกิลเคยเสนอให้ลดเพดานอายุใบรับรองลงเหลือ 398 วันตั้งแต่ปี 2017 แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน แต่ในปีนี้แอปเปิลกลับเป็นผู้ผลิตเบราว์เซอร์แรกที่ประกาศเพดานอายุใบรับรอง 397 วันก่อนที่กูเกิลและมอซิลล่าจะประกาศตามมา ใบรับรองอายุยาวนานนับเป็นปัญหาความปลอดภัยของเว็บอย่างหนึ่ง เนื่องจากบ่อยครั้งที่ไคลเอนต์ไม่ได้ตรวจสอบรายการใบรับรองที่ถูกยกเลิก ทำให้ใบรับรองที่กุญแจหลุดไปยังคนร้ายแล้วกลับใช้งานได้อีกเป็นเวลานาน หรือกระบวนการเข้ารหัสที่เปลี่ยนไป เช่นการเลิกใช้ใบรับรองที่เซ็นด้วยค่าแฮชแบบ SHA-1 ที่ต้องใช้เวลานานนับปีเนื่องจากเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากยังใช้ใบรับรองเก่า การบังคับออกใบรับรองใหม่ไปเรื่อยๆ ลดปัญหาเหล่านี้ไปได้ ตอนนี้บริษัทผู้ออกใบรับรองหลายบริษัทเลิกออกใบรับรองอายุ 2 ปีไปก่อนแล้ว แต่ก็อาจจะมีบางบริษัทที่ออกให้จนวันสุดท้าย ที่มา - Bleeping Computer
# ซัมซุงร่วมมือกับ Mastercard เปิดตัวบัตรเครดิต Samsung Pay Card ในเกาหลีใต้ ซัมซุงเปิดตัวบัตรเครดิตแบบบัตรแข็งของตัวเองบนความร่วมมือกับ Mastercard ในชื่อ Samsung Pay Card สามารถเปิดบัตรรวมถึงจัดการบัตรทุกอย่างผ่านแอป Samsung Pay บัตรเครดิตนี้เปิดให้บริการเฉพาะในเกาหลีใต้ก่อน และมาพร้อมส่วนลดเมื่อใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มซัมซุงเช่น ส่วนลด 1% เมื่อซื้อผ่านหน้าร้าน, ส่วนลด 1.5% เมื่อซื้อออนไลน์, ส่วนลด 5% เมื่อนำไปรูดต่างประเทศ ไม่รวมโปรโมชันส่วนลดอื่น ๆ ซัมซุงเริ่มขยับเข้ามาให้บริการการเงินผ่านบัตรแข็งตามรอย Apple Card หลังก่อนหน้านี้เปิดตัวบริการ Samsung Money by SoFi บัตรเดบิตที่ใช้งานร่วมกับ Samsung Pay ไปในสหรัฐ ที่มา - Samsung via SamMobile
# มหามิตร! Huawei หันไปลงทุนในรัสเซียแทนสหรัฐ, โฟกัสธุรกิจคลาวด์มากขึ้น Ren Zhengfei ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Huawei เปิดเผยในปาฐกถา Shanghai Jiao Tong เมื่อเดือนที่แล้วว่า Huawei เริ่มหันไปลงทุนในรัสเซียมากขึ้น ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการถูกแบนโดยรัฐบาลสหรัฐ การลงทุนของ Huawei ไม่ใช่แค่เม็ดเงินที่จะลงในรัสเซีย แต่รวมถึงการเพิ่มจำนวนและเพิ่มเงินเดือนให้นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย นอกจากนี้ Financial Times รายงานด้วยว่า Huawei จะหันไปโฟกัสกับธุรกิจคลาวด์ให้มากขึ้น เพื่อให้บริษัทอยู่รอดได้ในระยะยาว โดยนักวิเคราะห์มองว่าธูรกิจคลาวด์ของ Huawei ไม่ได้รับผลกระทบในแง่ของซัพพลายชิปเหมือนธุรกิจสมาร์ทโฟน ที่ตอนนี้แทบจะสิ้นหวังไปแล้ว ที่มา - SCMP, FT
# OnePlus เตรียมเปิดตัวมือถือรุ่นประหยัด แบต 6,000mAh ราคาแค่ 200 เหรียญ หลังจาก OnePlus Nord ที่เป็นมือถือรุ่นกลางราคาเริ่มต้น 14,990 บาทไปแล้ว OnePlus ก็เตรียมเปิดตัวมือถืออีกรุ่น ที่ระดับราคา 200 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,230 บาท ภายในปีนี้ ถือเป็นมือถือรุ่นแรกของค่ายที่มีราคาต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาท ข้อมูลที่หลุดออกมา ณ ตอนนี้คือ OnePlus ‘Clover’ (ชื่อรหัส) จะมาพร้อมหน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.52 นิ้ว ความละเอียด 720p ใช้ชิป Snapdragon 460 แรม 4GB หน่วยความจำภายใน 64GB รองรับ microSD มีกล้องหลังสามกล้อง กล้องหลัก 13MP และกล้อง 2MP อีกสองกล้อง (ยังไม่ปิดเผยชนิดของอีกสองกล้อง) แบตเตอรี่ให้มาถึง 6,000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 18W สแกนลายนิ้วมือด้านหลัง และยังมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร OnePlus ‘Clover’ คาดว่าจะเปิดตัวภายในปีนี้ ส่วนในบ้านเราคงต้องติดตามกันต่อไป แต่ดูจากการที่ OnePlus Nord มีวางจำหน่ายในบ้านเรา และตลาดมือถือราคาไม่เกินหมื่นที่แบตอึด ค่อนข้างเฟื่องฟูในช่วงโควิด เนื่องจากการใช้ทำงาน คาดว่า OnePlus น่าจะนำ ‘Clover’ เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเช่นกัน ที่มา - Android Central ภาพ: OnePlus Nord
# Tesla ปล่อยซอฟต์แวร์ใหม่ กล้องอ่านป้ายจำกัดความเร็วได้ เพิ่มเสียงเตือนเมื่อไฟเขียว ก่อนหน้านี้ฟีเจอร์ควบคุมความเร็วบนท้องถนนของ Tesla หรือ Speed Assist ไม่เป็นที่แน่ชัดนัก ว่าใช้การตรวจสอบป้ายบนถนนจริงโดยกล้องติดรถ หรือใช้ GPS เพื่อช่วยระบุความเร็วที่ควรใช้ในจุดนั้นกันแน่ แต่ในซอฟต์แวร์อัพเดตเวอร์ชัน 2020.36 ได้มีระบุไว้แล้วว่า Speed Assist จะใช้กล้องเพื่อตรวจสอบป้ายจริงบนท้องถนน และป้ายที่กล้องของรถตรวจพบ จะแสดงขึ้นมาเป็นภาพกราฟิกบนหน้าจอ และจะถูกใช้เป็นตัวกำหนดความเร็วของรถโดยอัตโนมัติ แต่ยังปรับแต่ง หรือปิดได้เช่นเคย นอกจากนี้ Tesla ยังเพิ่มสัญญาณเตือนไฟจราจร เพื่อให้คนขับรู้สึกตัวเมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว หรือหากจอดต่อท้ายคันอื่นอยู่ ก็จะดังเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัวเท่านั้น พร้อมระบุว่าเป็นฟีเจอร์ช่วยเตือนเท่านั้น คนขับยังต้องเป็นผู้สนใจและเฝ้าระวังสภาพแวดล้อมรอบตัวด้วยตนเองอยู่ ส่วนอีกการปรับแต่งในอัพเดตนี้ยังเพิ่มให้คนขับสามารถปรับความเร็วของ Traffic-Aware Cruise Control หรือ Autosteer ได้ เพียงแค่แตะที่หน้าจอเกจ์วัดความเร็วรถ หรือแตะที่กราฟิกของป้ายจำกัดความเร็ว เพื่อตั้งความเร็วตามป้ายได้ทันที จากเดิมที่ต้องใช้การเลื่อนปรับความเร็วบนพวงมาลัย Tesla จะทยอยอัพเดตให้กับรถเป็นกลุ่มๆ และอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ ในการปล่อยฟีเจอร์ใหม่ ก่อนที่รถทุกคันจะสามารถใช้งานได้ ที่มา - Electrek
# Facebook ทดสอบเชื่อมบัญชีผู้ใช้กับบัญชีสำนักข่าวที่เป็นสมาชิก ลดขั้นตอนล็อกอิน Facebook เผยว่าได้ร่วมมือกับสำนักข่าวหลายแห่ง เพื่อทดสอบฟีเจอร์เชื่อมบัญชีผู้ใช้งานกับบัญชีสำนักข่าวที่ผู้ใช้งานเป็นสมาชิก ลดขั้นตอนการล็อกอินเพื่อดูเนื้อหา มองเห็นเนื้อหาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้มากขึ้นผ่านประสบกาณณ์รับข่าวสารบน Facebook ผู้ใช้งานที่ได้อยู่ในกลุ่มทดสอบ จะไม่ต้องเจอหน้า paywall เมื่อเข้าถึงเนื้อหาข่าวบน Facebook และไม่ต้องเจอหน้าเว็บที่ให้ล็อกอินซ้ำๆ ซึ่งเป็น pain point ของผู้ใช้งานที่สมัครรับบริการข่าวสาร Facebook บอกด้วยว่าช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้ทดสอบฟีเจอร์เชื่อมบัญชีกับผู้ใช้งานและสำนักข่าวส่วนหนึ่ง พบว่ามีการคลิกบทความโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 111% เมื่อเทียบกับสมาชิกที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มทดสอบ นอกจากนี้การเชื่อมบัญชียังกระตุ้นให้คนสมัครสมาชิกติดตามข่าวสารมากขึ้น ตัวอย่างสำนักข่าวที่ Facebook ร่วมมือด้วยคือ The Atlantic, Winnipeg Free Press, The Athletic เป็นต้น ที่มา - Facebook
# เจอตัวการ Cloudflare ชี้ระบบมีปัญหาเพราะ CenturyLink/Level(3) ล่ม เมื่อวานนี้ Cloudflare มีปัญหาบางส่วนยาวนานถึงห้าชั่วโมง วันนี้ทางบริษัทก็ออกรายงานสาเหตุของปัญหา โดยระบุว่าเกิดจากผู้ให้บริการเครือข่าย Level(3) ที่เป็นบริษัทลูกของ CenturyLink มีปัญหา ระบบอัตโนมัติของ Cloudflare โยกทราฟิกไปยังผู้ให้บริการรายอื่นในทันที ทำให้อัตราการ error ลดลงเหลือ 1 ใน 4 แต่ระบบนี้จะพิจารณาถึงขีดจำกัดของผู้ให้บริการรายอื่นด้วย ทำให้ผู้ใช้จำนวนหนึ่งพบปัญหาต่อไป และทางทีมวิศวกรเข้ามาย้ายทราฟิกด้วยมือภายหลังช่วยลดปัญหาได้อีก 5% แต่เซิร์ฟเวอร์บางรายเชื่อมต่อกับ Cloudflare ผ่าน CenturyLink เท่านั้น ทำให้ไม่มีทางแก้ไขอื่น ทาง CenturyLink ส่งคำชี้แจงมายัง Cloudflare ว่าต้นตอปัญหาเกิดจากการคอนฟิกไฟร์วอลล์ด้วย Flowspec ที่เป็นส่วนขยายของ BGP โดยไม่บอกรายละเอียดอื่น แต่ทาง Cloudflare ก็ระบุว่าเคยคอนฟิกไฟร์วอลล์ด้วย Flowspec แล้วพลาดจนเน็ตเวิร์คล่มเองเหมือนกัน ความเป็นไปได้หนึ่งคือการคอนฟิก Flowspec แล้วไปบล็อค BGP เอง ทำให้ไม่สามารถส่งอัพเดตเส้นทางไปยังเราท์เตอร์ในเครือข่ายได้ Cloudflare คาดการณ์ถึงสาเหตุที่ทำให้ CenturyLink แก้ไขเครือข่ายได้ช้า ว่าอาจจะเพราะยิง Flowspec แล้วบล็อคทราฟิกจนผู้ดูแลเครือข่ายล็อกอินเข้าเราท์เตอร์ไม่ได้ หรือ CenturyLink อาจจะเชื่อใจลูกค้าบางรายให้ยิง Flowspec เข้ามาในเครือข่ายทำให้ใช้เวลาหาสาเหตุนานขึ้น รวมถึงปัญหาเกิดในวันอาทิตย์ [ที่อาจจะใช้เวลาตามบุคคลากรนาน] ที่มา - Cloudflare กราฟทราฟิกของผู้ให้บริการรายหลักที่เชื่อมต่อกับ Cloudflare ทราฟิกของ CenturyLink คือสีส้มแดง
# ทวิตเตอร์ประกาศ ทวีตสุดท้ายของ Chadwick Boseman เป็นทวีตที่มียอดไลก์สูงสุดของแพลตฟอร์ม ทวิตเตอร์ประกาศว่า ทวีตสุดท้ายของ Chadwick Boseman เป็นทวีตที่มียอดไลก์สูงที่สุด ทำลายสถิติเก่าของบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ไปแล้ว Chadwick Boseman เพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ซึ่งหลังจากเสียชีวิต บัญชีทางการ @chadwickboseman ก็ได้โพสต์ภาพเขาพร้อมกับข้อความไว้อาลัย และบัญชีทางการของทวิตเตอร์ได้ประกาศว่าทวีตนี้เป็นทวีตที่มียอดไลก์สูงสุดบแพลตฟอร์มไปแล้ว ปัจจุบัน ยอดไลก์ทวีตของ Boseman มากกว่า 7 ล้านครั้ง ส่วนทวีตของโอบามาปัจจุบันอยู่ที่ 4 ล้านครั้ง ที่มา - Engadget ภาพจาก Wikimedia ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY-SA 2.0
# Dell เปิดตัว Latitude 7410 Chromebook Enterprise สเปกพรีเมียม วางขายในไทยด้วย Dell เปิดตัว Latitude 7410 Chromebook Enterprise ซึ่งเป็น Chromebook เกรดพรีเมียมสำหรับลูกค้าองค์กร มีทั้งแบบโน้ตบุ๊กปกติ และแบบ 2-in-1 พับจอได้ ซีพียูเป็น Intel Core 10th Gen (สูงสุดคือ Core i5-10310U), แรมสูงสุด 16GB, สตอเรจเป็น SSD NVMe ขนาด 128GB, หน้าจอ 14" เลือกได้ทั้งแบบ touch และ non-touch ความละเอียดสูงสุด 4K, แบตเตอรี่อยู่ได้นานสูงสุด 21 ชั่วโมง และมีระบบชาร์จเร็ว ExpressCharge ทาง Dell Thailand บอกว่านำ Chromebook ตัวนี้เข้ามาขายด้วย แต่ไม่ได้เปิดเผยราคาขายปลีก เพราะต้องสั่งผ่านช่องทางของลูกค้าองค์กร แต่ถ้าดูราคาบนหน้าเว็บ Dell สหรัฐอเมริกา เริ่มต้นที่ 1,299 ดอลลาร์ ที่มา - Dell
# มองย้อนหลัง GeForce RTX ซีรีส์ 20 อนาคตที่ยังมาไม่ถึง ผ่านมา 2 ปีแล้วก็ยังมาไม่ถึง ในโอกาสที่ NVIDIA จะเปิดตัว GeForce "Ampere" วันที่ 1 กันยายนนี้ ถือเป็นช่วงครบรอบ 2 ปีของการเปิดตัว GeForce RTX ซีรีส์ 20 สถาปัตยกรรม "Turing" ด้วยพอดี เว็บไซต์ PCWorld จึงมีบทความย้อนอดีต มองกลับไปว่า 2 ปีที่เราอยู่กับ GeForce RTX ส่งผลอะไรต่อวงการเกมบ้าง GeForce 20 เปลี่ยนใหญ่ระดับเปลี่ยนชื่อ GTX เป็น RTX GeForce RTX ซีรีส์ 20 ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการจีพียู (ถึงขั้น NVIDIA ยอมเปลี่ยนชื่อ GTX ที่ใช้มานานเป็น RTX) เพราะมีฟีเจอร์สำคัญ 2 อย่างเพิ่มเข้ามาจากจีพียูรุ่นก่อนหน้า (GeForce GTX ซีรีส์ 10) คือ RT core สำหรับทำ ray tracing แสดงลำแสงได้สมจริงมากขึ้นกว่าเดิม Tensor core สำหรับประมวลผล AI โดยมีฟีเจอร์สำคัญคือ Deep-Learning Super Sampling หรือ DLSS ช่วยอัพสเกลภาพให้ความละเอียดสูงขึ้น โดยไม่ต้องเรนเดอร์เต็มความละเอียด อย่างไรก็ตาม ตัวคอร์หลักของจีพียูคือ CUDA core ที่ใช้ประมวลผลกราฟิกทั่วๆ ไป กลับไม่ได้พัฒนาประสิทธิภาพขึ้นจาก GeForce 10 มากนัก แต่ราคาของ GeForce 20 กลับแพงขึ้นจาก GeForce 10 อีกพอสมควร (ประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อรุ่น หรือถ้าเป็นตัวท็อปคือแพงขึ้นถึง 500 ดอลลาร์) ทำให้ความคุ้มค่าของ GeForce 20 ขึ้นกับฟีเจอร์ ray tracing และ DLSS เป็นหลัก Ray Tracing ผู้มาก่อนกาล และตอนนี้ก็ยังมาก่อนกาล Ray tracing ถือเป็นฟีเจอร์สำคัญที่สุดของ GeForce 20 เพราะพลิกโฉมวงการกราฟิกไปอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม เกมจำนวนมากกลับยังไม่รองรับฟีเจอร์นี้ เพราะต้องลงทุนออกแบบระบบจัดการแสงกันใหม่, เปลืองพลังการประมวลผลทำให้เฟรมเรตตกลง แถมในท้องตลาดก็ยังมีเพียง NVIDIA เพียงเจ้าเดียวที่รองรับด้วย (AMD RDNA 2 และ Intel Xe จะรองรับในช่วงปลายปีนี้) ทำให้นักพัฒนาเกมยังไม่ค่อยมีแรงจูงใจในการปรับเกมให้รองรับ ray tracing กันสักเท่าไรนัก PCWorld รวบรวมข้อมูล 2 ปีย้อนหลังแล้วพบว่า ปี 2018 ที่ GeForce 20 เปิดตัว มีเกมเพียงเกมเดียวที่รองรับ ray tracing คือ Battlefield V ซึ่งก็ไม่ค่อยเห็นประโยชน์มากนัก ปี 2019 มีเกมใหญ่อย่าง Metro Exodus, Control, Call of Duty: Modern Warfare ที่รองรับ ถือว่ามีพัฒนาการขึ้น ปี 2020 กลับไม่มีเกมใหญ่ๆ ที่รองรับเพิ่มขึ้นมากนัก ที่เด่นๆ คือ Wolfenstein: Youngblood (เกมปี 2019 แต่เพิ่งรองรับปี 2020) และ Minecraft เวลาผ่านมา 2 ปี แต่เกมที่รองรับ ray tracing กลับมีเพียง 13 เกมเท่านั้น (นับรวม World of Warcraft: Shadowlands ที่ยังเป็น Beta) โดย PCWorld ประเมินว่าเกมที่คุ้มค่า ray tracing จริงๆ มีเพียง 4 เกมคือ Metro Exodus, Control, Minecraft และ Quake II RTS PCWorld ประเมินว่า การพัฒนาเกมให้รองรับ ray tracing ต้องใช้เวลาในระยะแรกนานพอสมควร แต่เกมยุคถัดไปที่จะออกพร้อมคอนโซลยุคใหม่ (ซึ่งรองรับ ray tracing กันหมดแล้ว) จะเริ่มออกสู่ตลาดแล้ว เช่น Cyberpunk 2077 หรือ Watch Dogs Legion ซึ่งจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น นอกจากนี้ การที่ ray tracing ของ NVIDIA เรียกใช้ผ่าน DirectX 12 Ultimate ของไมโครซอฟท์ ที่เป็น API กลางของอุตสาหกรรม (อย่างน้อยใช้ได้บนพีซีและ Xbox Series X) ทำให้ฮาร์ดแวร์ของค่ายอื่นๆ ทั้ง Intel/AMD ได้ประโยชน์ตามไปด้วย เมื่อฮาร์ดแวร์ทุกค่ายรองรับ ray tracing บน API ตัวเดียวกันหมด นักพัฒนาก็ทำงานง่าย และตลาดมีขนาดใหญ่พอที่จะมีแรงจูงใจให้ทำ DLSS ทำได้ง่ายกว่า แต่จำกัดเฉพาะ NVIDIA ฟีเจอร์สำคัญอีกตัวของ GeForce 20 คือ DLSS ที่ใช้ AI ช่วยอัพสเกลภาพให้ความละเอียดสูงขึ้น ช่วยลดทรัพยากรการประมวลผลลงเพราะไม่ต้องประมวลผลภาพที่ความละเอียดเต็ม (ถือเป็นตัวช่วยของ ray tracing ที่เปิดใช้แล้วทำให้มีปัญหาประสิทธิภาพตกด้วย) DLSS เวอร์ชัน 1.0 ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะภาพที่เรนเดอร์ออกมาดูแย่ แต่ NVIDIA ก็แก้เกมอย่างรวดเร็ว ด้วยการออก DLSS เวอร์ชัน 2.0 ที่แก้ปัญหาไปมาก ทั้งเรื่องคุณภาพของภาพ และประสิทธิภาพในการเรนเดอร์ ช่วงแรกของการเปิดตัว DLSS เมื่อปี 2018 ทาง NVIDIA ประกาศรายชื่อเกมที่รองรับทั้งหมด 25 เกม แต่พอถึงปัจจุบันปี 2020 มีเพียง 8 จาก 25 เกมที่รองรับ DLSS ได้ตามที่สัญญาไว้ ซึ่งเป็นสถานการณ์เดียวกับที่ ray tracing เจอในช่วงแรกๆ ถ้านับรวมเกมทั้งหมดที่รองรับ DLSS มีอยู่ประมาณ 15 เกม DLSS เป็นเทคโนโลยีที่ปรับเกมให้รองรับได้ง่ายกว่า ray tracing เพราะไม่ต้องปรับกระบวนการทำงานของเกมมากนัก (เท่ากับการออกแบบระบบแสงใหม่ของ ray tracing) แต่ข้อจำกัดของมันคือต้องพึ่งพา tensor core ที่เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ NVIDIA อย่างเดียว ต่างจากกรณีของ ray tracing ที่เรียกใช้ DirectX ของกลาง ก็อาจเป็นจุดอ่อนที่ทำให้นักพัฒนาเกมไม่สนใจรองรับ DLSS สักเท่าไร สรุป: ไม่คุ้มค่าตัวในระยะสั้น แต่ถือเป็นตัวเปลี่ยนเกมในระยะยาว PCWorld สรุปภาพรวมของ GeForce 20 ว่า ผลประโยชน์ในระยะสั้นไม่เยอะเท่าที่ควร เพราะผ่านมาแล้ว 2 ปี เกมที่รองรับฟีเจอร์เหล่านี้ยังมีน้อยมาก (คนที่ซื้อ GeForce 20 ไปก็คงไม่คุ้มค่ามากนัก) แต่ส่งผลประโยชน์ต่อ NVIDIA ในระยะยาว เพราะว่า ฟีเจอร์ ray tracing ของ DirectX 12 Ultimate ใช้แกนหลักมาจากสถาปัตยกรรม Turing เกือบหมด และความคุ้มค่าในการทำ ray tracing จะถูกทวีคูณด้วยคอนโซลยุคใหม่ ส่วน DLSS ถึงแม้จำกัดเฉพาะการ์ด NVIDIA เท่านั้น แต่ในอนาคตอันใกล้ การ์ด NVIDIA ทุกตัวหลังจากนี้น่าจะรองรับ DLSS ทั้งหมด ช่วยให้ขนาดตลาดใหญ่ขึ้นเองโดยธรรมชาติ ส่วนผู้เล่นเองที่ซื้อ GeForce 20 ไปแล้วก็คงต้องรอกันต่อไปยาวๆ และความคุ้มค่าของการ์ดก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกมากในช่วงเวลาถัดจากนี้ ที่มา - PCWorld
# Bloomberg เผยดีลขาย TikTok ในสหรัฐจะต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐบาลจีน ดีลการขาย TikTok ในสหรัฐอาจซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเมื่อ Bloomberg เปิดเผยว่า ByteDance จะขาย TikTok ให้กับบริษัทสหรัฐได้ จะต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐบาลจีนก่อน เพราะเทคโนโลยี AI ใน TikTok เพิ่งถูกเพิ่มเข้าไปในกลุ่มสินค้าควบคุมการนำเข้าและส่งออกของกระทรวงพาณิชย์จีน เทคโนโลยี AI ที่เข้าข่ายข้างต้นรวมถึงระบบตรวจจับใบหน้า, ข้อความและระบบประมวลผลวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อแนะนำเนื้อหาที่เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละคน (personalized recommendation) ซึ่งการเพิ่มเทคโนโลยีนี้เข้าไปในสินค้าควบคุม ก็เพื่อดึงเวลาการขายออกไป โดยแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลนี้กับ Bloomberg มองว่ารัฐบาลจีนอาจอาศัยจังหวะนี้ ดึงการอนุมัติดีลขาย TikTok ออกไปจนกระทั่งหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐก็ได้ ที่มา - Bloomberg ภาพจาก Shutterstock
# Cloudflare ล่มบางส่วน เว็บกลายเป็น HTTP status 5xx Cloudflare รายงานว่าพบปัญหากับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายหนึ่ง (a transit provider) ทำให้เว็บที่ Cloudflare ให้บริการอยู่คืนค่าเป็น HTTP 5xx เช่น HTTP 522, 502, หรือ 503 โดยปัญหาเริ่มตั้งแต่ช่วงห้าโมงครึ่งที่ผ่านมา จากรายงาน Cloudflare Status ระบุว่ากรุงเทพและประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบ แต่บางโซนในอาเซียนเช่น ฟิลิปปินส์ และเวียดนามได้รับผลกระทบ ที่มา - Cloudflare Status
# “ไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส” กับการปลดแอกทุนผูกขาดจากกรณี Epic vs Apple/Google ช่วงปีที่แล้วต่อมาจนถึงช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เรื่องการผูกขาดของบริษัทไอทีถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในมิติการเมืองสหรัฐที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตฝ่ายซ้ายอย่างอลิซาเบธ วอร์เรนที่มีบทบาทผลักดันกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมการแข่งขัน ได้นำเสนอนโยบาย Break Up Big Tech ที่จะจับแยกบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ ให้แตกออกมาเป็นบริษัทย่อย เพื่อเสริมการแข่งขันและลดอิทธิพลของบริษัทเหล่านี้ลง ทว่าหลังการถอนตัวของวอร์เรน กอปรกับวิกฤติโควิด ประเด็นเรื่องการจัดการการผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยีโดยภาครัฐกลายเป็นแค่คลื่นกระทบฝั่งเท่านั้น ก่อนที่เรื่องนี้จะกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งอีกครั้ง จากกรณีที่ Epic ขบถด้วยการทำระบบจ่ายเงินของ Fortnite เอง จนตามมาด้วยการแบนของ App Store และ Play Store ต่อด้วยคดีความเรื่องการผูกขาดที่ Epic เตรียมไว้อยู่แล้ว บทความนี้จะพาไปสำรวจพฤติกรรมและแนวคิดการผูกขาดของ Apple (และ Google) และการต่อสู้เพื่อการปลดแอกของ Tim Sweeney ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Epic Games ที่ในท้ายที่สุดอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเรื่องกฎหมายต่อต้านการผูกขาดในสหรัฐก็เป็นได้ Apple กับการผูกขาดที่ฝังอยู่ในฐานคิดของบริษัท ปฏิเสธไม่ได้ว่าสมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันจนกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ไปแล้ว ส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้ Steve Jobs ที่ผลักดันให้เกิด iPhone ไปจนถึงเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์ จากเดิมที่มีทั้งซื้อแผ่นจากหน้าร้านเอามาลงหรือดาวน์โหลด ให้อยู่ในรูปของการดาวน์โหลดและติดตั้งผ่าน App Store ช่องทางเดียว การมาถึงของ App Store ไม่ใช่แค่เปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดจำหน่ายและติดตั้งซอฟต์แวร์ ให้นักพัฒนาไม่ว่าจะรายเล็กรายใหญ่ สามารถนำเสนอแอปตัวเองไปยังผู้ใช้งานได้แพร่หลายมากขึ้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงแนวคิดเรื่องความเชื่อใจ (trust) และความปลอดภัย (safety) ในการใช้งานและติดตั้งซอฟต์แวร์รวมถึงเรื่องข้อมูลบัตรเครดิตไปพร้อม ๆ กัน เดิมการติดตั้งซอฟต์แวร์ลงบนพีซี เราอาจกังวลเรื่องไวรัส เรื่องมัลแวร์หากไม่ใช่ซอฟต์แวร์แท้ที่มาจากบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Adobe หรือ Microsoft แต่ App Store ได้สร้าง trust และ safety ไปพร้อม ๆ กันผ่านนโยบายการควบคุมและตรวจสอบแอปอย่างเข้มงวดของ Apple แบบระบบปิด ทำให้ผู้ใช้งานกล้าที่จะโหลดแอปจากนักพัฒนาที่ไม่รู้จักโดยไม่ต้องกลัวเรื่องไวรัสหรือมัลแวร์ แนวคิดของ Apple เลยอยู่ในรูปแบบของอำนาจรวมศูนย์ การตัดสินถูกผิดทุกอย่าง อนุญาตหรือไม่อนุญาตให้แอปไหนขึ้นสโตร์ ขึ้นอยู่กับ Apple แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งพอเข้าใจได้หากมองในฐานคิดด้านวิศวกรรมและด้านความปลอดภัย ทว่า Apple เริ่มขยายขอบเขตของการใช้อำนาจรวมศูนย์ออกไป จากการรองรับการจ่ายเงินสมัครสมาชิก (subscription) ผ่านระบบจ่ายเงินของตัวเองในปี 2011 ซึ่งหักค่าธรรมเนียม 30% พร้อมทั้งบังคับให้แอปที่มีระบบสมาชิกต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบจ่ายเงินของ Apple เท่านั้น บังคับไม่ให้แอปที่เป็นพับลิชเชอร์ (เช่น Kindle, Netflix, หรือหนังสือพิมพ์อย่าง WSJ ที่สามารถเสพคอนเทนท์นอกแพลตฟอร์ม Apple ได้) ใส่ระบบจ่ายเงินของตัวเองเข้ามาในแอป รวมถึงห้ามมีสโตร์ซ้อนอยู่ในแอปอีกที แม้แต่ในรูปของการเปิดหน้าเว็บผ่าน webview (ไม่ว่าจะหน้าสโตร์หรือหน้าจ่ายเงิน) ก็ไม่อนุญาตเช่นกัน เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนวิธีคิดของ Apple ว่าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนก็ตาม มาใช้ฮาร์ดแวร์และแพลตฟอร์ม Apple แบบฟรี ๆ แม้จะเกิดประโยชน์กับผู้บริโภคหรือนักพัฒนาก็ตาม (แม้กระทั่งช่วยภาคธุรกิจในช่วงโควิดก็ไม่ยอม) (แต่เหตุผล Apple เวลาแก้ตัวมักจะอ้างประโยชน์ของผู้บริโภคหรือนักพัฒนา) นอกจากนี้ยังมีเอกสารหลักฐานจากการไต่สวนการผูกขาดของสภาคองเกรสล่าสุด เป็นอีเมลภายในของ Apple ช่วงปี 2011 ที่ตอกย้ำฐานคิด "ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จโดย Apple เพื่อ Apple" ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของ Steve Jobs ที่ยอมรับกลาย ๆ ว่าการบีบให้จ่ายค่าธรรมเนียม 30% จะสร้างความเดือดร้อนให้บริษัทอื่น หรือคำพูดของ Eddy Cue รองประธานอาวุโสฝ่ายซอฟต์แวร์และบริการอินเทอร์เน็ตแสดงความเห็นเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมกรณีการต่ออายุสมาชิก (recurring subscription) ว่าควรเก็บที่ 40% ด้วยซ้ำไปในปีแรก พฤติกรรมของ Apple ที่ทำลายการแข่งขัน Apple จึงเปรียบเสมือนการท่าเรือที่คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ สามารถไล่ต้อนคน (แอป) ให้ผ่านเข้าออกแค่ประตูเดียวที่มี Apple เป็น ตม. แถมต้องจ่ายศุลกากร (30%) ให้ Apple ด้วย มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถผ่านเข้าประตูนี้ไปได้ เจ้าของแอปไม่มีทางเลือกอื่นหากจะให้บริการบน iOS/iPadOS นอกจากต้องก้มหน้าทำตามนโยบายของ Apple เท่านั้น กรณีของ Android และ Play Store อาจมีความคล้ายคลึงกับ App Store ในแง่ของการบังคับช่องทางการจัดจำหน่ายแอปและการคิดเงิน แต่ผู้พัฒนาแอปและผู้ใช้งานยังพอมีทางเลือกอยู่บ้าง เช่น ไซด์โหลดเกมลงในเครื่องโดยไม่ผ่าน Play Store ด้วยไฟล์ apk หรือการมีสโตร์และระบบคิดเงินแยกอย่าง Galaxy Store ของซัมซุง หรือ Huawei AppGallery ที่ผ่านมานโยบายของ Google ในแง่การสร้าง trust และ safety ค่อนข้างแตกต่างจาก Apple ดังที่เห็นจากความอะลุ่มอะล่วยหลาย ๆ อย่าง จนเกิดปัญหาแอปมัลแวร์ แอปดักข้อมูลผู้ใช้งานอยู่เต็ม Play Store ทำให้ Google ต้องพยายามไล่แก้ปัญหามาหลายปีและค่อย ๆ บังคับใช้นโยบายแบบปิดตามรอย Apple มากขึ้นด้วยบริการ Google Play Protect ที่เริ่มเข้ามาสแกนแอปในเครื่องของผู้ใช้ ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของ Apple ยิ่งสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในช่วงหลัง ดังจะเห็นได้จากกรณีดังๆ เช่น แอป Hey ของ Basecamp, Facebook Gaming หรือ WordPress ที่ล้วนแต่มีปัญหาโดน Apple กีดกัน ผ่านการห้ามไม่ให้อัปเดตแอปของตัวเองบน App Store ทั้งสิ้น แม้ว่าบางครั้งเป็นความผิดพลาดของฝั่ง Apple เองด้วยซ้ำ เช่น กรณีของ WordPress ก็ตาม ภาพการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จและการผูกขาด ที่สร้างความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันยิ่งสะท้อนออกมากยิ่งขึ้นจากท่าทีต่อบริการคลาวด์เกมมิ่งล่าสุดของ Apple ที่บล็อคทั้ง xCloud และ Stadia โดยอ้างการตรวจสอบเนื้อหา ทั้งที่ในความเป็นจริงหากปิดกั้นหรือจำกัดการเข้าถึงสิทธิของแอปหนึ่ง ๆ โดยอ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยก็พอเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ แต่กับกรณีของคลาวด์เกมมิ่ง มันออกไปในแนว Apple ไม่ได้ประโยชน์เลยไม่อนุญาตมากกว่า บวกกับข่าวลือว่า Apple จะทำบริการคลาวด์เกมมิ่งเอง เลยกีดกันคู่แข่งเอาไว้ตั้งแต่แรก นอกจากเรื่องการผูกขาดสโตร์แล้ว Apple ยังมีประเด็นเรื่องการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม จากบทบาทที่ทับซ้อนกันในการเป็นทั้งเจ้าของแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการ อย่างกรณีการทำแอป Parental Control ออกมาแล้วแล้วแบนแอปนักพัฒนาภายนอก หรือการทำ Apple Music ส่งผลให้ Spotify ต้องต่อสู้บนสนามที่ไม่เท่าเทียม ทั้งในแง่การพรีโหลดมาในเครื่องของ Apple Music และเรื่องต้นทุนที่มากกว่าของ Spotify จากค่าธรรมเนียม เพราะ Apple เป็นทั้งเจ้าของตลาด (App Store) และคนขายของ (Apple Music) ในขณะที่ Spotify เป็นคนขายของแบบเดียวกัน เป็นคู่แข่งโดยตรง แล้วถูกบีบให้ต้องมาขายในตลาดของคู่แข่ง เคส Spotify ค่อนข้างฉายภาพความได้เปรียบของ Apple ออกมาอย่างชัดเจน เพราะ Spotify ช่วงปี 2014 ต้องขึ้นค่าบริการจากสมาชิกที่ใช้ iOS เป็น 13 เหรียญจาก 10 เหรียญเพื่อชดเชยค่าธรรมเนียม (ผลักไปให้ผู้บริโภคเพราะตัวเองก็รับต้นทุนไม่ไหว ตอนนั้นยังขาดทุนอยู่) ก่อนที่ Apple Music จะเปิดตัวในปี 2015 ด้วยราคาแค่ 10 เหรียญ ทำให้ Spotify ต้องยกเลิกระบบสมาชิกผ่าน App Store และให้ผู้ใช้จ่ายเงินผ่านเว็บแทน กรณีนี้ของ Apple คล้าย ๆ กับที่ Amazon โดนโจมตีเรื่องผูกขาดจากการทำแพลตฟอร์มขายของแล้วทำสินค้าแบรนด์ตัวเองมาขาย ซึ่งทำให้ผู้ผลิตสินค้าแบบเดียวกันแข่งขันได้ยาก (ประเทศอินเดียถึงกับออกกฎหมายห้ามอีคอมเมิร์ซขายสินค้าที่ตัวเองมีส่วนได้ส่วนเสีย) หรือถ้าจะให้ยกตัวอย่างใกล้ตัวขึ้นมาหน่อยก็มีกรณีของ 7-11 ที่มีข้อมูลว่าสินค้าชิ้นไหนขายดี ก็ทำสินค้าชนิดเดียวกันแต่เป็นแบรนด์ของตัวเองมาแข่ง Tim Sweeney กับอุดมการณ์ไม่ยอมเป็นทาส ก่อนหน้านี้ ผู้พัฒนาแอปที่โดน Apple แบน อาจทำได้แค่ต้องยอมทำตามที่แอปเปิลต้องการ หรือบ่นเล็กๆ น้อยๆ พอให้เป็นข่าว แต่กรณีของ Epic กับเกม Fortnite อาจถือเป็นครั้งแรกที่ Apple ต้องพบเจอกับ "ขบถ" ที่มีกำลังพอสมน้ำสมเนื้อ เพราะ Fortnite เป็นเกมที่มีฐานผู้เล่นจำนวนมหาศาล อีกทั้งพฤติกรรมของ Epic Games เองที่มีนิสัย "ขบถ" มานานแล้ว แม้ระยะหลังเราอาจเห็น Tim Sweeney ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Epic Games ออกมาพูดถึงเรื่องระบบเปิด หรือโจมตีแอนดรอยด์ว่าเป็นระบบเปิดจอมปลอม แต่ซีอีโอ Epic ก็เคยเขียนบทความ op-ed โจมตีไมโครซอฟท์เมื่อปี 2016 มาแล้ว จากกรณีผลักดันโครงการแอป UWP ที่ Sweeney มองว่าเป็นแพลตฟอร์มปิดและผูกขาดช่องทางการจัดจำหน่ายแอป ภาพจาก Getty Images ในแง่หนึ่งอาจบอกได้ว่าเขามีอุดมการณ์ มีหลักการต่อต้านระบบปิดและการผูกขาดมานานแล้ว เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากผู้บริหารและนักลงทุนของ Lightspeed Venture Partners และ aXiomatic ที่ลงทุนใน Epic ซึ่งบอกไปในทางเดียวกันว่า Tim Sweeney มีแนวคิดเรื่องระบบเปิดและระบบที่เป็นธรรมมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีเงินเยอะเหมือนทุกวันนี้ด้วยซ้ำ Tim Sweeney เคยออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยหลายครั้งว่าเจ้าของแพลตฟอร์มอย่าง Steam, Apple, Google เอาเปรียบนักพัฒนา (โดยเฉพาะนักพัฒนาอิสระที่ไม่ใช่บริษัททุนใหญ่) จากการหักค่าธรรมเนียม 30% ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นองค์ประกอบสำคัญในซัพพลายเชนการพัฒนาเกม แต่กลับสามารถทำเงินได้มากกว่าผู้พัฒนาที่ไม่มีทางเลือก (ช่องทางในการจัดจำหน่ายเกม) นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Sweeney วางตัว Epic Games Store ในภาพลักษณ์ของนายทุนที่ดี มีเมตตา จากการหักค่าธรรมเนียมเพียง 12% เพื่อแสดงให้เห็นว่าการเก็บค่าธรรมเนียมเท่านี้ (12%) เจ้าของแพลตฟอร์มก็สามารถทำกำไรได้ที่ราว 5-7% แล้ว เมื่อเทียบกับ Steam ที่หักไปถึง 30% (ก่อนที่ Steam จะเริ่มปรับเงื่อนไขลดค่าธรรมเนียมเหลือ 25% ถ้ายอดขายอยู่ที่ 10-50 ล้านเหรียญและ 20% ถ้าเกิน 50 ล้านเหรียญ) คำถามคือทำไม Tim Sweeney ถึงเพิ่งลุกขึ้นสู้อย่างจริงจังกับทุนผูกขาดอย่าง Apple/Google ส่วนหนึ่งคิดว่าเพราะ Epic เพิ่งมี Fortnite ที่มีจำนวนผู้ใช้มหาศาลและมีอิทธิพลพอจะเอามาใช้เป็นคานงัดกับ Apple/Google ได้ Epic เปิดเผยเองในเอกสารคำฟ้องว่าจำนวนผู้เล่น Fortnite ทั่วโลกขึ้นไปถึง 350 ล้านคนแล้ว ขณะที่อีเวนท์ที่เป็นปรากฎการณ์สำคัญของ Fortnite คือคอนเสิร์ต Travis Scott เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่จัดขึ้นภายในเกม มีผู้เข้าชมรวมกันทุกรอบถึง 28 ล้านคน เพิ่มจากคอนเสิร์ต Marshmello ปีที่แล้วที่มีแค่ 10 ล้านคน ไม่เพียงเท่านั้น Fortnite ก็เป็นเกมทำเงินสูงสุดในปี 2019 อีกด้วย Fortnite ไม่ได้เป็นเพียงไม้คานที่ Epic เอามาใช้งานกับ Apple/Google เท่านั้น แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ Sweeney ใช้แสดงออกซึ่งอุดมการณ์ของตัวเองด้วย จากการทำ cross-play ให้ตัวเกมเล่นข้ามแพลตฟอร์มกันได้ รวมถึงการเปิด Online Services บนทุกแพลตฟอร์มเกม (ถ้าจะมองว่าการทำแบบนี้ Epic ได้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจมากกว่าเป็นการทำตามอุดมการณ์ล้วน ๆ ก็ไม่ผิด) ไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส คดีความการฟ้องร้องระหว่าง Epic และ Apple/Google ครั้งนี้ Epic ยืนยันชัดเจนว่าทำเพื่ออุดมการณ์ล้วนๆ เพราะไม่ได้เรียกร้องค่าชดเชยค่าเสียหายเป็นเงินเลย เทียบตัวเองเป็นเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวที่เช้ามาช่วยให้เกิดการปลดแอกจากทุนผูกขาด ซึ่งประโยชน์ไม่ใช่แค่จะเกิดกับ Epic แต่รวมถึงนักพัฒนาอิสระและผู้บริโภคจำนวนมาก ขณะเดียวกัน Epic ก็ดูจะไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวเพราะมีอีกหลายแบรนด์ออกมาสนับสนุน เช่น Xbox และ Spotify ที่เป็นโจทก์ Apple เช่นกัน ไม่รวมว่าคดีความครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทั้งการแฉถึงการใช้อำนาจผูกขาดของ Apple จาก WordPress และ กลุ่มสื่อ DCN ที่แฉเรื่องการลดค่าธรรมเนียม 15% ของ Amazon Prime Video ไปจนถึงเป็นแบบอย่างให้ผู้ที่ถูกกดขี่ลุกขึ้นมาสู้ด้วย ไม่ว่าจะกลุ่มสตาร์ทอัพเกาหลีหรือนักพัฒนา Android แม้ผลการฟ้องร้องครั้งนี้จะคาดเดายาก และน่าจะกินเวลาเป็นปี ๆ แต่อย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือ Epic สามารถสร้างการตระหนักรับรู้เรื่องการผูกขาดไปยังผู้บริโภค นักพัฒนาหรือแม้แต่หน่วยงานภาครัฐให้ตื่นตัวมากขึ้น ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐอเมริกา มีการสอบสวนการผูกขาดของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงไม่มีมาตรการใด ๆ ออกมาเป็นรูปธรรม กระแส Apple vs Fortnite ครั้งนี้อาจใหญ่พอ จนกดดันภาครัฐให้ออกมาตรการหรือควบคุมการผูกขาดที่ทันสมัยและจริงจังมากขึ้นได้บ้าง (หลังมีผลงานวิชาการชี้ว่าการจัดการการผูกขาดของสหรัฐในปัจจุบัน ด้อยประสิทธิภาพกว่าในช่วงทศวรรษ 1970s) และนี่อาจเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของ Epic มากกว่าหวังผลการตัดสินของศาล
# โลกไม่ได้มีแต่ Google Play อย่างเดียว Unity เปิดระบบช่วยส่งเกมขึ้นหลายสโตร์พร้อมกัน ถึงแม้ผู้ใช้ Android ส่วนใหญ่ในโลกดาวน์โหลดแอพหรือเกมผ่าน Google Play Store แต่ก็ยังมีร้านขายแอพทางเลือกอีกมาก โดยเฉพาะจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออก เช่น สโตร์จีน (Huawei AppGallery, Xiaomi GetApps, AppTutti) หรือเกาหลี (Samsung Store, One Store) Unity ในฐานะผู้พัฒนาเอนจินเกมรายใหญ่ ที่ครองตลาดเกมมือถือจำนวนมาก จึงออกฟีเจอร์ Unity Distribution Portal (UDP) ให้รองรับสโตร์เหล่านี้ด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักพัฒนาเกมที่ใช้ Unity อยู่แล้ว สามารถส่งเกมขึ้นสโตร์ทั้งหมด (ทั้ง Play Store และอื่นๆ) ได้จากหน้าจอเดียวกัน Unity บอกว่าสโตร์ทางเลือกมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และมีจำนวนผู้ใช้รวมกันมากกว่า 1 พันล้านคน (ส่วนใหญ่คือในจีน) จึงถือเป็นตลาดใหม่ๆ ของนักพัฒนาเกมนอกเหนือจาก Play Store แต่การมาสมัครและส่งแอพขึ้นทีละสโตร์ก็ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะสำหรับนักพัฒนารายเล็กๆ ทำให้ Unity พัฒนาฟีเจอร์นี้ขึ้นมาช่วย ตั้งแต่การ build โปรแกรมตาม SDK ที่แต่ละสโตร์ต้องใช้งาน ไปจนถึงการส่งขึ้นสโตร์ และเก็บสถิติกลับมาให้วิเคราะห์ในหน้าแดชบอร์ดเดียว ที่มา - Unity
# ซัมซุงประกาศปิดฟีเจอร์ซิงก์รูปขึ้น Samsung Cloud ให้ย้ายไปใช้ OneDrive แทน ซัมซุงเริ่มลดความสำคัญของบริการ Samsung Cloud บางส่วนมาตั้งแต่ปลายปี 2019 โดยให้ย้ายไปใช้ OneDrive แทน (จากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับไมโครซอฟท์ในหลายๆ เรื่อง) ล่าสุดซัมซุงประกาศแผนการปิดฟีเจอร์แบ็คอัพรูปจาก Samsung Gallery ขึ้น Samsung Cloud (ที่เรียกว่า Gallery Sync) ดังนี้ ผู้ใช้ใหม่ไม่สามารถซิงก์รูปขึ้น Samsung Cloud ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020 ผู้ใช้เดิม ไม่สามารถซิงก์รูปขึ้น Samsung Cloud ตั้งแต่เดือนเมษายน 2021 ผู้ใช้เดิม สามารถดาวน์โหลดรูปกลับจาก Samsung Cloud ได้จนถึงเดือนมิถุนายน 2021 ซัมซุงจะเปิดให้ย้ายรูปเดิมบน Samsung Cloud ไปเก็บบน OneDrive ได้จนถึงเดือนเมษายน 2021 และผู้ที่จ่ายค่าสมาชิกแบบพรีเมียมไปแล้วจะได้เงินคืน หากยังมีอายุสมาชิกเหลืออยู่ การประกาศครั้งนี้เป็นแค่การปิดฟีเจอร์ซิงก์รูปและไฟล์เท่านั้น ส่วนการซิงก์สมุดที่อยู่ ปฏิทิน หรือโน้ต ขึ้นไปเก็บบน Samsung Cloud ยังใช้งานได้ตามปกติ ที่มา - Samsung, Android Central ภาพจาก Samsung
# Sony เผยมีแผนนำเกมเอ็กคลูซีฟลงพีซีอีก, แผนซื้อสตูดิโอเกมยังดำเนินอยู่เหมือนเดิม หลังจากที่นำเกมเอ็กคลูซีฟอย่าง Horizon Zero Dawn มาลงพีซี จนสร้างความเดือดดาลให้แฟนเกม PS4 อยู่ไม่น้อย ล่าสุดดูเหมือน Sony Interactive Entertainment มีแผนจะนำเกมเอ็กคลูซีฟอีกหลายเกมมาพอร์ทลงพีซีอยู่ เพื่อเพิ่มกำไรให้กับบริษัท จากการเปิดเผยในรายงานผลประกอบการประจำปีของ Sony นอกจากเรื่องนำเกมเอ็กคลูซีฟมาลงพีซีแล้ว Sony ระบุว่าแผนการลงทุนหรือซื้อกิจการสตูดิโออื่นเพื่อมาเสริมทัพ PlayStation Studios ยังคงดำเนินอยู่ หลังเพิ่งซื้อ Insomniac Games เข้ามาอยู่ในเครือเมื่อปีที่แล้ว ที่มา - Sony Corporate Report 2020 via Gematsu
# ไม่ได้โม้ Bethesda โชว์การเล่น Doom Eternal ที่เฟรมเรต 1000 fps ด้วยไนโตรเจนเหลว เมื่อต้นปี id Software เปิดเผยว่าเอนจินของ Doom Eternal รองรับเฟรมเรตสูงสุด 1000 fps ซึ่งอาจดูทำไม่ได้จริงในทางปฏิบัติ (ความเห็นหนึ่งในข่าวเก่าคือ "เป็นตัวเลขที่จะโม้เท่าไหร่ก็ได้") แต่ตอนนี้มันทำได้จริงๆ แล้ว Bethesda ต้นสังกัดของ id Software โพสต์คลิปสาธิตการเล่น Doom Eternal ที่ 1000 fps ร่วมกับทีมฮาร์ดแวร์ x-kom จากโปแลนด์ โดยใช้พีซีสเปกค่อนข้างไฮเอนด์ ซีพียู Core i7-9700K, จีพียู RTX 2080 Ti จุดสำคัญคือใช้ระบบระบายความร้อนด้วยไนโตรเจนเหลว เพื่อโอเวอร์คล็อคซีพียูให้ขึ้นไปถึง 6.6GHz (จากปกติ 4.9GHz) และจีพียูขึ้นไปถึง 2.4GHz (จากปกติ 1.6GHz) จนสามารถดันเฟรมเรตไปแตะ 1000 fps ได้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ (เพราะไนโตรเจนเหลวระเหย และต้องเติมตลอดเวลา) การดันเฟรมเรตขึ้นไปถึง 1000 fps คงเน้นเรื่องแคมเปญการตลาด มากกว่าใช้ประโยชน์ได้จริงๆ เพราะไม่มีจอมอนิเตอร์ที่รองรับได้ แถมในซีนที่เฟรมเรตแตะ 1000 fps ก็เป็นห้องมืดๆ ที่ใช้พลังประมวลผลไม่เยอะนัก แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นการสาธิตพลังของเอนจิน Tech 7 ที่ยังไม่มีเอนจินตัวอื่นเทียบเคียงได้ในเรื่องนี้ ที่มา - ExtremeTech
# Japan Airlines ทดสอบตู้ kiosk เช็คอินสนามบินแบบหน้าจอไร้สัมผัส Japan Airlines (JAL) เริ่มทดสอบตู้ kiosk สำหรับเช็คอินในสนามบินฮาเนดะ โดยเป็นหน้าจอแบบไร้สัมผัส (touchless) ที่พัฒนาโดย Mitsubishi Electric และ Oki Electric Industry ทดสอบจอสัมผัสแบบเดิม เพื่อให้ความมั่นใจกับผู้โดยสารในช่วง COVID-19 เช่นนี้ จอมีเซ็นเซอร์อินฟราเรดตรวจระยะห่างของนิ้ว และถือว่าเหมือนกดจอเมื่อนิ้วเข้าระยะจากจอ 3 เซนติเมตร ตอนนี้ทาง JAL ติดตั้งตู้ทดสอบแล้วสองตู้ มีระยะเวลาทดสอบประมาณ 3 สัปดาห์ถึงวันที่ 15 กันยายนนี้ จากนั้นจะพิจารณาว่าจะติดตั้งเต็มรูปแบบหรือไม่ ที่มา - JAL, Japan Times ภาพจาก Japan Airlines
# นักวิจัยพบโปรโตคอล EMV มีช่องโหว่ เปิดทางคนร้ายแตะจ่ายแบบ Contactless โดยไม่ใส่รหัสผ่านเกินเพดาน นักวิจัยจาก ETH Zurich รายงานถึงช่องโหว่ของโปรโตคอล EMV ที่ใช้ในบัตรเครดิตยอดนิยมทั่วโลก โดยช่องโหว่เปิดทางให้คนร้ายที่ขโมยบัตรไป สามารถจ่ายบิลที่วงเงินสูงๆ ได้โดยไม่ต้องใช้รหัส PIN แม้ตัวบัตรเครดิตจะกำหนดเพดานที่หากยอดจ่ายเกินเพดานจะต้องใช้ PIN ไว้ก็ตาม สำหรับผู้ใช้บัตรเครดิตในไทยอาจจะไม่ชินนักเนื่องจากการยืนยันจ่ายเงินผ่านบัตรใช้ลายเซ็น แต่ในยุโรปหากวงเงินน้อยๆ การจ่ายแบบ Contactless จะสามารถแตะจ่ายได้ทันที แต่หากยอดชำระสูงขึ้นตัวเทอร์มินัลก็จะขึ้นถามรหัส PIN เพื่อยืนยันอีกครั้ง นักวิจัยพบว่าฟิลด์ Card Transaction Qualifiers ในโปรโตคอลของ EMV ไม่มีการป้องกันการแก้ไข ทำให้นักวิจัยสามารถสร้างตัวกลางด้วยโทรศัพท์สองเครื่อง เครื่องหนึ่งทำหน้าที่อ่านบัตร และอีกเครื่องทำหน้าที่จำลองบัตร (card emulator) เพื่อใช้แตะเทอร์มินัลรับชำระเงิน ซอฟต์แวร์ในโทรศัพท์จะแก้ไขข้อมูลฟิลด์ Card Transaction Qualifiers เพื่อแจ้งว่าไม่ต้องใช้รหัส PIN ในการชำระเงิน ช่องโหว่นี้มีผลจำกัด เนื่องจากตัวคนร้ายต้องมีบัตรเครดิตอยู่ในมือ ทีมงาน ETH Zurich แจ้ง Visa ถึงช่องโหว่นี้แล้ว ที่มา - ZDNet ภาพโดย [AhmadArdity
# แอปเปิลแบนบัญชี Epic ตามที่แจ้งเตือน เกมอื่นๆ ถูกถอดตาม Fortnite แอปเปิลแบนบัญชีนักพัฒนาของ Epic Games ตามที่เคยแจ้งเตือนไว้ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้เกมอื่นนอกจาก Fortnite เช่น Battle Breakers และ Infinity Blade ถูกถอดจาก App Store ไปด้วย แต่แอปเปิลบังไม่แบนบัญชี Unreal Engine ตามคำสั่งศาลที่คุ้มครองชั่วคราวมาก่อนหน้านี้ แอปเปิลส่งแถลงการณ์ถึงสื่อมวลชนหลังการแบนครั้งนี้ ระบุว่าการที่ Epic ไม่ยอมทำตามแนวทางของ App Store ทั้งที่ทำตามมาตลอดสิบปีไม่เป็นธรรมต่อนักพัฒนารายอื่นๆ ที่ทำตามกฎของแอปเปิล และการต่อสู้เช่นนี้เป็นการเอาผู้เล่นเข้ามารับผลกระทบ นอกจากผู้เล่น Fortnite บน iOS จะไม่ได้รับอัพเดตใหม่ๆ และไม่สามารถเล่นกับผู้เล่นบนแพลตฟอร์มอื่นๆ แล้ว บรรดาไอเท็มที่ซื้อผ่านบริการ In-App Purchase ก็จะใช้งานไม่ได้อีกด้วย ที่มา - 9to5mac, Apple Insider
# Microsoft Edge ออกเวอร์ชัน 85, ไฮไลท์สีใน PDF ได้แล้ว, แชร์ Collections ไป OneNote ไมโครซอฟท์ออก Edge เวอร์ชัน 85 ตามรอบการออกของ Chromium ฟีเจอร์ใหม่เฉพาะของ Edge ได้แก่ ตัวอ่าน PDF สามารถไฮไลท์ข้อความในเอกสารได้แล้ว รองรับการซิงก์ข้อมูลในบัญชีลงในเซิร์ฟเวอร์องค์กร สำหรับบัญชี Active Directory ฟีเจอร์ Collections รองรับการแชร์ไฟล์ไปยัง OneNote (ก่อนหน้านี้รองรับ Word/Excel) ปรับปรุง DevTools รองรับอีมูเลเตอร์ Surface Duo และตั้งค่าคีย์บอร์ดช็อตคัตให้เหมือน VS Code ได้ ที่มา - Microsoft, Neowin
# Elon Musk แถลงข่าวความคืบหน้า Neuralink ทดลองในหมูแล้ว ฝังอยู่ในกะโหลก คนอื่นไม่รู้ว่าติดตั้งอยู่ Neuralink คือบริษัทที่ Elon Musk ก่อตั้งขึ้นเพื่อวิจัยเกี่ยวกับการเชื่อมต่อสมองมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์ เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โดยเมื่อกลางปี 2019 ได้จัดแถลงข่าวครั้งแรก มีการโชว์สายสื่อประสาทที่ทีม Neuralink พัฒนาขึ้นมา รวมถึงหุ่นยนต์ที่ใช้สำหรับการฝังสายสื่อประสาทเข้ากับสมองของสิ่งมีชีวิต (ข่าวเก่า) เช้าวันนี้ตามเวลาประเทศไทย Neuralink ได้จัดแถลงข่าวเป็นครั้งที่สองเพื่ออัพเดตความคืบหน้าหลายประการ อย่างแรกคือขณะนี้ฮาร์ดแวร์ของ Neuralink เปลี่ยนดีไซน์จากโมดูลที่จะติดตั้งไว้หลังใบหูมาเป็นแบบเหรียญ ฝังอยู่ร่วมกับกะโหลกศีรษะไปเลย มองจากด้านนอกจะไม่เห็นความแตกต่างจากมนุษย์คนอื่น แล้วเชื่อมสายสื่อประสาทเข้ากับผิวของสมอง นอกจากนี้ยังทำงานแบบไร้สายได้แล้ว โดยใช้บลูทูธปกติ แต่ทีมงานระบุว่ามีแผนจะเปลี่ยนไปใช้คลื่นความถี่อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาณรบกวน ส่วนแบตเตอรี่อยู่ได้ทั้งวัน ชาร์จไฟไร้สายด้วยการเหนี่ยวนำแบบสมาร์ทโฟนหรือสมาร์ทวอทช์ทั่วไป ในงานแถลงข่าว ทีม Neuralink ได้โชว์หมูสามตัว ตัวแรกเป็นหมูปกติ ตัวที่สองเป็นหมูที่เคยติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวแต่ถอดออกแล้วเพื่อสาธิตว่าหากต้องการเลิกใช้ก็ทำได้ และหมูตัวที่สามถูกติดตั้งอุปกรณ์มานานสองเดือนแล้ว โดยแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์ทำงานได้จริง เมื่อหมูนำจมูกไปสัมผัสโดนวัตถุอื่นก็จะมีเสียงบี๊บและกราฟมีความเคลื่อนไหว ในด้านการแพทย์ อุปกรณ์ของ Neuralink จะสามารถช่วยผู้ป่วยความจำเสื่อม, ติดยา หรือเตือนว่ากำลังจะมีอาการหัวใจวาย รวมถึงช่วยผู้ที่ไม่สามารถขยับอวัยวะบางส่วนได้ด้วย โดยการผ่าตัดติดตั้งจะใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง, ไม่ต้องวางยาสลบ และกลับบ้านได้เลย ต้องย้ำว่า Neuralink ไม่ได้คิดค้นวิธีเชื่อมสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์ เพียงแต่ทำสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่นเพิ่มขั้วไฟฟ้าในสายสื่อประสาทให้มากขึ้นเป็น 1,024 ขั้ว ทำให้รับส่งข้อมูลได้มากและเร็วขึ้นกว่าเดิม รวมถึงทำให้สายสื่อประสาทมีความอ่อนนุ่มไม่ให้ระคายเคืองสมอง การทดลองในมนุษย์กลุ่มเล็กจะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้ในกลุ่มผู้ที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณไขสันหลังอย่างรุนแรง อีกเป้าหมายของการแถลงข่าวในวันนี้คือการประกาศรับสมัครงานในหลายแขนง โดย Elon Musk ย้ำว่าผู้สนใจไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับสมองมาก่อนก็ได้ ที่มา - ถ่ายทอดสดงานแถลงข่าว
# Dell Technologies ไตรมาสล่าสุด ธุรกิจ Client เติบโตจากคนต้องทำงาน-เรียนจากที่บ้าน Dell Technologies รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ตามปีการเงินบริษัท 2020 สิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2020 มีรายได้ 22,733 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 1,099 ล้านดอลลาร์ ซีโอโอ Jeff Clarke กล่าวว่า Dell Technologies ได้นำเสนอโซลูชันเทคโนโลยี ที่ลูกค้าต้องการไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำงานหรือการเรียน ไตรมาสที่ผ่านมา Dell Technologies มีรายได้เพิ่มขึ้นจากลูกค้าหน่วยงานรัฐและภาคการศึกษา 16% และ 24% ตามลำดับ เนื่องจากทั้งผู้ปกครองและโรงเรียนต่างต้องการเครื่องมือ สำหรับจัดการเรียนการสอนแบบ Virtual กลุ่มธุรกิจ Client Solutions มีรายได้ 11,203 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มลูกค้าทั่วไปเพิ่มขึ้น 18% เป็น 3,164 ล้านดอลลาร์ และกลุ่มองค์กรลดลง 11% เป็น 8,039 ล้านดอลลาร์ ที่น่าสนใจคือสินค้ากลุ่ม XPS พรีเมียม และสินค้าเกมมิ่งอย่าง Alienware มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นถึง 25% กลุ่มธุรกิจ Infrastructure Solutions รายได้ 8,207 ล้านดอลลาร์ และกลุ่ม VMware รายได้ 2,908 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10% ที่มา: Dell Technologies
# ไมโครซอฟท์โยกอดีตทีมงาน Halo เข้ามาช่วยทำ Halo Infinite, ยืนยันยังออกปี 2021 ไมโครซอฟท์แก้เกมเรื่อง Halo Infinite มีปัญหาคุณภาพจนต้องเลื่อนเป็นปี 2021 ด้วยการโยกอดีตทีมงาน Halo ภาคแรกๆ 2 คนเข้ามาช่วยในโครงการ Halo Infinite คนแรกคือ Joseph Staten ที่อยู่กับซีรีส์ Halo มาตั้งแต่ยุค Bungie โดยมีส่วนร่วมกับ Halo สามภาคแรก รวมถึงเป็นผู้เขียนบทของ Destiny ด้วย เขาลาออกจาก Bungie ในปี 2013 แล้วกลับมาอยู่กับไมโครซอฟท์ในปี 2014 แต่ทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Halo (เกมล่าสุดที่มีส่วนคือ Tell Me Why ซึ่งพัฒนาโดยสตูดิโอข้างนอก แต่ไมโครซอฟท์เป็นผู้จัดจำหน่าย) คนที่สองคือ Pierre Hintze ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมจัดจำหน่ายของ Halo: The Master Chief Collection จะเข้ามาเป็นหัวหน้าทีมมัลติเพลเยอร์ ซึ่งภาคนี้เป็น Free-To-Play คือไม่จำเป็นต้องมีสมาชิก Xbox Live Gold บนพีซีด้วย ไมโครซอฟท์ยังปฏิเสธข่าวลือที่ว่า Halo Infinite จะต้องเลื่อนไปไกลถึงปี 2022 ที่มา - Halo, IGN
# BioWare เผยภาพคอนเซปต์ชุดแรกของ Dragon Age 4 BioWare เผยคลิปสัมภาษณ์ทีมพัฒนาเกม Dragon Age ภาคใหม่ (เรียกกันเล่นๆ ในวงการว่า Dragon Age 4 แต่ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ และไม่มีข้อมูลวันวางขาย) เผยให้เห็นภาพคอนเซปต์ของเกม และฟุตเตจของเกมระหว่างการพัฒนาบางส่วน BioWare ประกาศทำ Dragon Age 4 ในปี 2018 แล้วเงียบหายไปนาน การกลับมาคราวนี้ช่วยให้แฟนๆ พอเห็นพัฒนาการของเกมมากขึ้น ข้อมูลในวิดีโอยังมีเพียงภาพคอนเซปต์ของตัวละครต่างๆ และชื่อตัวละครในภาคนี้ 2 ตัวคือ Davrin และ Bellara Dragon Age ภาค 3 คือ Dragon Age: Inquisition ออกขายในปี 2014 ซึ่งประสบความสำเร็จทั้งยอดขายและเสียงวิจารณ์ ทำให้เกมภาค 4 ซึ่งเป็นเกมเดียวที่ BioWare กำลังพัฒนาอยู่ในตอนนี้ (เท่าที่เปิดเผย) จึงถูกจับตาอย่างมาก เพราะแบกชื่อเสียงของภาคก่อนๆ ไว้ รวมถึงความคาดหวังในการมากอบกู้สถานการณ์ของ BioWare ยุคหลัง ที่ไม่ประสบความสำเร็จกับทั้ง Mass Effect: Andromeda (2017) และ Anthem (2019) มาสองเกมติดกันแล้ว ที่มา - Eurogamer
# Age of Empires III: Definitive Edition ภาครีมาสเตอร์มาแล้ว เพิ่ม 2 ชาติใหม่ ไมโครซอฟท์เปิดตัว Age of Empires III: Definitive Edition ภาครีมาสเตอร์ ตามหลัง ภาค 1 ที่รีมาสเตอร์ในปี 2018 และ ภาค 2 ในปี 2019 โดยมีกำหนดขายวันที่ 15 ตุลาคม 2020 ผ่าน Steam, Microsoft Store และ Xbox Game Pass for PC Age of Empires III ออกครั้งแรกในปี 2005 โดยเวอร์ชันรีมาสเตอร์ได้ปรับปรุงกราฟิกใหม่เป็น 4K, ทำโมเดล 3D ใหม่, ปรับปรุง UI ให้ทันสมัย, ปรับปรุงเสียงและเพลงประกอบใหม่, รองรับมัลติเพลเยอร์ cross-play ระหว่างเวอร์ชัน Microsoft Store และ Steam ทั้งหมดเป็นฝีมือของสตูดิโอ World’s Edge ในเครือ Xbox Game Studios ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคืนชีพซีรีส์ Age of Empires โดยเฉพาะ ไมโครซอฟท์ยังเพิ่มโหมดใหม่ 2 โหมดคือ Historical Battles สงครามตามประวัติศาสตร์จริงในแต่ละช่วง และ Art of War ที่เริ่มในภาค II ตอนรีมาสเตอร์ นอกจากนี้ยังเพิ่มชนชาติใหม่อีก 2 ชาติคือสวีเดนและอินคา ทำให้มีชนชาติให้เล่นทั้งหมด 16 ชาติ ราคาขายอยู่ที่ 19.99 ดอลลาร์เท่าภาคก่อนๆ (ราคา Steam ไทยคือ 289 บาท) ถ้าซื้อแบบชุดบันเดิล 3 ภาครวดตอนนี้มีส่วนลดให้ 25% นอกจากการรีมาสเตอร์เกม 3 ภาคเก่า ทีมงาน World's Edge กำลังพัฒนาเกมภาคใหม่คือ Age of Empires IV ที่ยังไม่มีกำหนดวางขายในตอนนี้ ที่มา - Xbox
# พบ Shopee ดึงภาพไม่เกี่ยวข้องเข้าแอป ยังไม่มีคำชี้แจงว่าเอาไปทำอะไร ผู้ใช้ XCIX99 บนเว็บ Pantip.com รายงานถึงแอป Shopee ที่อยู่ๆ ก็ดึงภาพในเครื่องเข้าไปยังสตอเรจส่วนของแอป ทำให้น่าสงสัยว่าตัวแอปพยายามดึงข้อมูลไปทำอะไร รวมถึงมีการส่งขึ้นไปยังเซิร์ฟเวอร์หรือไม่ โดยแอป Shopee ต้องการสิทธิเข้าถึงรูปภาพในเครื่องเมื่อผู้ใช้ต้องการส่งภาพรีวิวสินค้า ขณะที่สมาชิก 1596817 ของเว็บ Pantip.com ระบุว่าทาง Shopee แจ้งว่าเป็นบั๊กและแก้ไขแล้ว สอดคล้องกับข้อความบน Google Play Store ที่ Shopee แจ้งเพียงว่า "แก้ไขบั๊กบางตัว และปรับปรุงประสิทธิภาพแอป" โดยอัพเดต 2.60.07 เพิ่งปล่อยอัพเดตเมื่อวานนี้ Shopee นับเป็นแอปอีคอมเมิร์ชที่มีประวัติด้านความเป็นส่วนตัวผู้ใช้ไม่ดีนัก เมื่อปีที่แล้วบริษัทเคยเป็นข่าวเมื่อเปิดเผยรายการร้านค้าที่ผู้ใช้ติดตามอยู่ต่อใครก็ตามที่รู้หมายเลขโทรศัพท์ แถมเมื่อบริษัทออกแถลงว่าจะปิดฟีเจอร์นี้ผู้ใช้ก็พบว่าไม่ได้ปิดจริง ที่มา - Pantip.com
# แอปเปิลทวีตโปรโมท PUBG Mobile เวอร์ชั่นใหม่ โดนไล่ประท้วง #FreeFornite วันนี้บัญชี @AppStore ทวีตโปรโมท PUBG Mobile เวอร์ชั่น New Era ที่กำลังจะปล่อยอัพเดตวันที่ 8 กันยายนนี้ แต่คนจำนวนมากก็มาประท้วงด้วยการตอบกลับทวีตว่า #FreeFortnite แสดงความไม่พอใจที่แอปเปิลแบนเกม Fortnite ไปก่อนหน้านี้ ความเห็นส่วนน้อยบางส่วนมาแสดงความสนับสนุนแอปเปิลว่าทำถูกแล้วที่แบน Fortnite ไป ความขัดแย้งสำคัญของแอปเปิลและ Epic ผู้สร้างเกม Fortnite คือค่าธรรมเนียมการจ่ายเงินในเกม 30% ที่แอปเปิลบังคับต้องจ่ายผ่านแอปเปิลเท่านั้น นอกจาก Epic แล้วกลุ่มอื่นๆ ที่ใช้บริการผ่านแอปเปิล เช่น กลุ่มสื่อ, สตาร์ตอัพเกาหลีใต้, หรือ WordPress ก็มีปัญหาคล้ายคลึงกัน โพสของแอปเปิลแนะนำถึงแผนที่ใหม่ใน PUBG ชื่อว่า New Erangle ที่ปรับพื้นที่ให้อาคารหนาแน่นขึ้น และบางอาคารมีชั้นใต้ดินซ่อนอยู่ พร้อมกับปรับปรุงกราฟิกให้สวยงามขึ้น ที่มา - @AppStore
# หมดโปร Salesforce เริ่มปลดคนออกนับพัน หลังเคยประกาศงดปลดคนช่วง COVID-19 เหตุการณ์ COVID-19 ทำให้บริษัทลดคนเป็นวงกว้าง เมื่อเดือนมีนาคม Marc Benioff ซีอีโอ Salesforce ก็ออกมาประกาศว่าจะไม่ปลดพนักงานเป็นเวลาสามเดือน ผ่านมา 5 เดือนในการประกาศผลประกอบการรอบล่าสุด Marc ก็ระบุว่าจะมีการลดคนบางส่วน หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับการทำแผนปลดคนว่าจำนวนพนักงานที่ถูกปลดรอบนี้น่าจะประมาณ 1,000 คน จากพนักงาน 54,000 คน ข้อมูลจากเว็บไซต์ TheLayoff.com ที่ให้พนักงานที่ถูกปลดมาโพสข้อมูลโดยไม่เปิดเผยตัวตนระบุว่าพนักงานที่ถูกปลดส่วนมากเป็นฝ่ายขาย โดยเฉพาะพนักงานจากบริษัทที่ควบรวมมา เช่น MuleSoft, Tableau, Datorama, และ ExactTarget ที่มา - CRN Marc Benioff ซีอีโอ Salesforce ภาพจาก Wikipedia
# HP ไตรมาสล่าสุด ยอดขายพีซีลูกค้าทั่วไปเพิ่มถึง 42% จากคนต้องทำงานที่บ้าน เอชพีรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ตามปีการเงินของบริษัท 2020 สิ้นสุดเดือนกรกฎาคม รายได้สุทธิ 14,294 ล้านดอลลาร์ ลดลง 2.1% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 734 ล้านดอลลาร์ กลุ่มธุรกิจ Personal Systems มีรายได้เพิ่มขึ้น 7% ที่น่าสนใจคือลูกค้าองค์กรนั้นรายได้ลดลง 6% แต่ลูกค้าทั่วไปรายได้เพิ่มขึ้นถึง 42% ซึ่งในภาพรวมนั้นโน้ตบุ๊คมีจำนวนขายได้เพิ่มขึ้นถึง 32% ส่วนเดสก์ท็อปลดลง 30% แนวโน้มก็เป็นเช่นเดียวกันกับกลุ่มธุรกิจ Printing ภาพรวมรายได้ลดลง 20% จำนวนฮาร์ดแวร์ที่ขายได้ของลูกค้าองค์กรลดลง 32% ขณะที่กลุ่มลูกค้าทั่วไปเพิ่มขึ้น 3% ซีอีโอ Enrique Lores กล่าวว่าผลประกอบการนั้นออกมาดีกว่าที่บริษัทคาดไว้ แม้อยู่ในสถานการณ์โรคระบาดที่มีความไม่แน่นอน การเติบโตนั้นมาจากความต้องการพีซีสำหรับใช้งานและเรียนหนังสือจากที่บ้าน ที่มา: เอชพี
# ลาก่อนจอแหว่ง Xiaomi เตรียมขายมือถือซ่อนกล้องหน้าใต้จอแบบแนบเนียน ในปี 2021 หลัง Xiaomi เริ่มโชว์เทคโนโลยีกล้องใต้จอตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ก่อนจดสิทธิบัตรกล้องใต้หน้าจอไปเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ล่าสุด Xiaomi ออกมาเปิดเผยแล้วว่ากล้องใต้หน้าจอรุ่นที่สามของบริษัท พร้อมผลิตเพื่อจำหน่ายให้คนทั่วไปในปี 2021 แล้ว ในบล็อกของ Xiaomi ระบุว่าการซ่อนกล้องแบบใหม่ ทำให้หน้าจอส่วนที่มีกล้องอยู่ แสดงพิกเซล สี และความสว่างได้ไม่ต่างจากจุดอื่นบนหน้าจอ เนื่องจากวิธีเรียงพิกเซลแบบพิเศษบนหน้าจอที่ Xiaomi พัฒนาขึ้นมา ทำให้แสงยังทะลุผ่านช่องว่างระหว่างซับพิกเซลเข้าไปยังกล้องได้ รวมถึงเพิ่มจำนวนพิกเซลทั้งแนวตั้งแนวนอนเป็นสองเท่า ทำให้ความหนาแน่นของพิกเซล สี และความสว่างยังเท่ากับส่วนอื่นบนหน้าจอ นอกจากนี้ Xiaomi ยังพัฒนาอัลกอริทึมของกล้อง เพื่อให้ภาพที่ถ่ายออกมา มีคุณภาพเท่าเทียมกับกล้องหน้าทั่วไปในตลาดปัจจุบัน และโมดูลกล้องยังใช้แผงวงจรแบบพิเศษ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ซ่อนส่วนต่างๆ ไว้ใต้ซับพิกเซล RGB เพื่อให้แสงทะลุลงมาได้มากขึ้นอีกด้วย และจะเริ่มผลิตมือถือที่ใช้ระบบกล้องใต้หน้าจอรุ่นที่สามนี้ ภายในปีหน้า ที่มา - Xiaomi Blog via Android Central
# Audible เพิ่มบริการ Audible Plus ฟังได้ไม่อั้น ค่าสมาชิก 7.95 ดอลลาร์ต่อเดือน Audible บริษัทหนังสือเสียงในเครือ Amazon ประกาศเพิ่มบริการ Audible Plus ให้สมาชิกสามารถฟังหนังสือเสียงในรายการจากทั้งหมดมากกว่า 11,000 เรื่องได้ไม่อั้น หนังสือเสียงเป็นคอนเทนต์ที่ราคาค่อนข้างสูงเทียบกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ราคาไม่เกิน 15 ดอลลาร์นัก แต่หนังสือเสียงอาจหากซื้อแยกมักอยู่ที่ 25-30 ดอลลาร์ขึ้นไป ตัวบริการ Audible เองนอกจากจะขายเป็นเล่มแยกแล้วยังมีบริการสมัครสมาชิก Audible Premium แต่สมาชิกจะได้รับเครดิตสำหรับซื้อหนังสือเดือนละเล่มไม่ใช่การฟังคอนเทนต์ได้ทั้งหมด สำหรับหนังสือที่เข้าร่วมกับ Audible Plus ตอนนี้จะเป็นหนังสือ Audible Originals ทั้งหมด ร่วมกับหนังสือ และรายการพ็อตแคสอื่น ส่วนสมาชิกเดิมของ Audible จะกลายเป็น Audible Premium Plus ที่ได้เครดิตซื้อหนังสือได้ทุกเล่มเดือนละเล่ม พร้อมกับสามารถฟังหนังสือในรายการของ Audible Plus ได้ฟรี Amazon มีบริการ Kindle Unlimited สำหรับจ่ายค่าสมาชิกรายเดือนเพื่ออ่านอีบุ๊กไม่จำกัดมาตั้งแต่ปี 2014 โดยโมเดลการจ่ายเงินจะเป็นการจ่ายตามจำนวนหน้าที่ผู้อ่านเข้ามาอ่านจากเงินกองกลางจากค่าสมาชิก ปีที่แล้ว Kindle Unlimited จ่ายเงินนักเขียนอิสระรวม 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มา - Audible
# ผู้ใช้ Microsoft Teams ได้รับแจ้งเตือนประหลาด คาดเกิดจากกุญแจ Firebase หลุด เมื่อวานนี้ผู้ใช้แอป Microsoft Teams จำนวนมากได้รับ notification ประหลาด ข้อความจำนวนมากระบุว่าเป็นการทดสอบ วันนี้ทางเว็บ The Register ก็พูดคุยกับ Abhishek Dharani นักวิจัยความปลอดภัยที่เพิ่งรายงานช่องโหว่กุญแจ Firebase Cloud Messaging (FCM) หลุดไปกับตัวแอป โดย Dharani คาดว่ามีคนอื่นอ่านรายงานช่องโหว่ของเขาแล้วนำไปทดสอบกับแอปอื่นๆ ช่องโหว่นี้เป็นช่องโหว่ของแอปที่เก็บรักษากุญแจ FCM ผิดพลาด โดยติดกุญแจไปกับตัวแอปจนคนร้ายสามารถดึงออกมาจากไฟล์ APK บนแอนดรอยด์ได้ แม้แต่กูเกิลเองก็พลาดในเรื่องนี้จน Dharani สามารถดึงกุญแจสำหรับแอป Google Hangouts และ Google Play Music ออกมาได้ ทำให้กูเกิลจ่ายเงินรางวัลสำหรับรายงานช่องโหว่ถึง 30,000 ดอลลาร์ ไมโครซอฟท์ไม่ได้ออกมาตอบรับอะไรนักนอกจากตอบผู้ใช้ว่าไม่ต้องสนใจข้อความแจ้งเตือนเหล่านี้ และแจ้งไปยัง The Register ว่าได้แก้ไขปัญหาแล้ว โดยไม่ได้ยืนยันว่าไปช่องโหว่กุญแจ FCM หลุดจริงหรือไม่ ที่มา - The Register ภาพแผนผังการส่งข้อความของ FCM จากเอกสาร Xamarin
# Amazon เปิดตัวแอปสุขภาพ Halo วิเคราะห์รูปร่างและโทนเสียงเราได้ ว่ามีความสุขดีหรือไม่ Amazon เปิดตัว Amazon Halo แอปฟิตเนส เก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์สุขภาพ มาพร้อมนาฬิกา Amazon Halo band โดยจุดเด่นของแอปคือ วิเคราะห์รูปร่างของผู้ใช้ด้วยการถ่ายรูปเซลฟี่ของตัวเอง และวิเคราะห์เสียงของเราว่ามีความสุขดีหรือไม่ ทางบริษัทระบุว่าตัวแอปสามารถคำนวณค่าไขมันได้จากการถ่ายรูปเซลฟี่เต็มตัวส่งเข้าไปในแอป จากนั้นระบบจะสร้าง 3D body model หรือรูปร่างของผู้ใช้งานแบบสามมิติขึ้นมา ระบบจะบอกค่าาไขมันในร่างกายเปรียบเทียบกับเพศและอายุของผู้ใช้ ตัวแอปยังแนะนำให้ผู้ใช้งานถ่ายรูปใหม่ทุก 2 สัปดาห์เพื่อดูความคืบหน้าการลดหุ่นด้วย ฟีเจอร์เด่นตัวถัดมาคือ วิเคราะห์เสียงของผู้ใช้งานว่าโทนเสียงดูมีความสุขดีหรือไม่ วิธีการคือสร้างโปรไฟล์เสียงในแอป ตัวแอปจะให้อ่านประโยคที่กำหนดให้ หรือข้อความจากหนังสือบันทึกไว้ เมื่อผู้ใช้เลือกเปิดใช้งานฟีเจอร์ Tone ระบบจะบันทึการสนทนาขนาดสั้นที่เกิดขึ้นในวันนั้นๆ และนำมาวิเคราะห์เป็นแดชบอร์ดสรุปง่ายๆ ให้ผู้ใช้งาน Amazon ระบุว่า ไฟล์เสียงจะไม่ถูกเก็บไว้ในคลาวด์ แต่จะอยู่ในมือถือและประมวลผลในเครื่อง และจะถูกลบออกอัตโนมัติหลังประมวลผลแล้ว ผู้ใช้งานสามารถปิดไมโครโฟนโดยกดค้างที่ปุ่มบนนาฬิกาสามวินาทีจนเห็นแสดงไฟ LED สีแดงปรากฏขึ้น ราคาขาย Amazon Halo band อยู่ที่ 64.99 ดอลลาร์ เป็นราคาโปรโมชั่น ราคาเต็มคือ 99.99 ดอลลาร์ มีสายสามสีคือ ชมพู เทา และดำ ที่มา - Amazon
# กูเกิลให้ใช้คำสั่งเสียงเรียกใช้ Snapshot หน้าจอรวมข้อมูลและสิ่งที่ต้องทำในวันนั้นแล้ว Google Assistant อัพเดทความสามารถใหม่ สามารถใช้คำสั่งเสียงเรียก Snapshot หรือฟีดคำสั่งสิ่งที่ต้องทำสำหรับเราแสดงเป็นการ์ดมาให้ จากเดิมที่ต้องกดที่ปุ่ม Google Assistant เท่านั้น ถึงจะเรียกดูได้ โดยใช้คำเรียกว่า Hey Google, show me my day เริ่มเปิดใช้งานเฉพาะประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาตั้งต้น Snapshot เริ่มเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นหน้ารวมข้อมูลต่างๆ สำหรับผู้ใช้แต่ละคน เช่น ปฏิทิน สภาพอากาศ การเดินทาง ฯลฯ และมีการดีไซน์หน้าตาใหม่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จนกระทั่งล่าสุดเพิ่มคำสั่งเสียงเพื่อเรียกดูได้ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มการ์ดใหม่ๆ เช่น Plan's today meal แนะนำร้านอาหารตามความสนใจและประสบการณ์ของผู้ใช้งาน รวมถึงการ์ดข่าวสาร 5 อันดับต้นบน Google News ที่มา - กูเกิล, 9to5Google
# หลุดวิดีโอโปรโมต Sony Xperia 5 II สามกล้อง จอ 120Hz เพิ่มรูหูฟังให้ด้วย เว็บไซต์ AndroidHeadlines โพสต์วิดีโอที่อ้างว่าเป็นวิดีโอโปรโมต Sony Xperia 5 II (อ่านว่า เอ็กซ์พีเรียห้า มาร์คทู) พร้อมเปิดเผยสเปกเบื้องต้นคร่าวๆ ว่าจะมาพร้อมกับหน้าจอ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ รองรับ HDR รีเฟรชเรต 120Hz อัตราส่วน 21:9 เช่นเคย ภายในมาพร้อมชิป Snapdragon 865 แรม 8GB หน่วยความจำภายใน 128GB รองรับ microSD card แบตเตอรี่ 4,000 mAh รองรับการชาร์จแบบ PD ผ่าน USB-C และมีรูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร สวนกระแสโดยการเพิ่มเข้ามาใหม่ เพราะ Xperia 5 รุ่นแรกไม่มี จุดที่น่าสนใจคือให้กล้องหลังความละเอียดเท่ากันทั้งสามกล้อง กล้องหลัก 12MP f/1.7 กล้องเทเล 12MP f/2.4 ซูม 3x และกล้องอัลตร้าไวด์ มุมมอง 124 องศา 12MP f/2.2 ถ่ายวิดีโอ 4K HDR ได้ถึง 120 fps มี OIS และ EIS ใช้งานได้ทั้งวิดีโอและภาพนิ่ง Sony Xperia 5 II เปิดตัวอย่างเป็นทางการ 17 กันยายนนี้ ส่วนราคาและวันวางจำหน่ายในบ้านเรา ต้องติดตามกันต่อไป ที่มา - AndroidHeadlines
# Walmart เข้าร่วมวงเป็นพาร์ทเนอร์กับ Microsoft ในการซื้อกิจการ TikTok Walmart ยืนยันกับ Financial Times ว่าได้เข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ Microsoft ในกระบวนการพูดคุยเพื่อซื้อกิจการ TikTok ในสหรัฐ หลังจากก่อนหน้านี้ Microsoft ยืนยันสนใจซื้อกิจการเพียงรายเดียว Walmart ระบุว่าการเป็นพาร์ทเนอร์กับ Microsoft ในการซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงธุรกิจโฆษณาให้กับบริษัท ขณะเดียวกันที่เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับ Microsoft ก็เพราะ Walmart ไม่ได้มีธุรกิจและความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเลย อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดว่าการเป็นพาร์ทเนอร์นี้จะอยู่ในรูปแบบไหน หากการซื้อกิจการสำเร็จ ขณะที่ The New York Times รายงานอ้างอิงผู้ที่เกี่ยวข้องว่าดีลซื้อกิจการ TikTok ในสหรัฐอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว (final stage) โดยนอกจาก Walmart/Microsoft ก็มี Oracle อีกรายที่อยู่ในกระบวนการเจรจานี้ ที่มา - FT, The New York Times
# Facebook เผยถูก Apple สั่งห้ามไม่ให้บอกผู้ใช้ว่าถูกเก็บค่าธรรมเนียม App Store 30% Facebook เตรียมจะเปิดฟีเจอร์จัดอีเวนท์แบบจ่ายเงินสำหรับภาคธุรกิจ ในช่วง COVID-19 โดยก่อนหน้านี้ Facebook เคยพยายามร้องขอ Apple เรื่องลดหรือละเว้นค่าธรรมเนียม 30% แต่ถูกปฏิเสธ ล่าสุด Facebook เปิดเผยว่าถูก Apple ห้ามชี้แจงกับผู้ใช้งานว่าถูกเก็บค่าธรรมเนียม 30% โดย Apple อ้างกฎของ App Store ว่าห้ามระบุข้อมูลที่ "ไม่เกี่ยวข้อง" กับผู้ใช้งานในแอป ขณะที่จุดประสงค์ของ Facebook ก็เพื่อต้องการให้ผู้ใช้งานหรือภาคธุรกิจรับรู้ว่าเงินที่จ่ายหรือได้รับผ่านฟีเจอร์ข้างต้น หายไปไหนและต้องผ่านอะไรบ้าง ในทางตรงกันข้าม Reuters ค้นพบว่าฟีเจอร์นี้ของ Facebook ไม่ถูกเก็บค่าธรรมเนียม 30% บน Play Store แต่ก็ไม่ได้มีการระบุเอาไว้เช่นกัน ที่มา - Reuters รูปที่ Facebook ใช้ส่งคำร้องไปยัง Apple เพื่อขอให้เว้นค่าธรรมเนียม
# เปิดตัวแคมเปญ APAC SMEGoCloud 828 อย่างเป็นทางการ สนับสนุนธุรกิจองค์กรสู่ระบบคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบ ปี 2020 เป็นปีแห่งอภิมหาวิวัฒนการของ Cloud Computing, AI, 5G การพัฒนาและประยุกต์ใช้ Cloud+AI+5G แบบผสมผสานจะเป็นแรงผลักดันใหม่ในการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาดจะช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมขององค์กร ปัจจุบันการรับรู้เกี่ยวกับระบบคลาวด์ขององค์กรกำลังเป็นที่แพร่หลายบริษัทจำนวนมากเริ่มหันมาใช้ Cloud Computing ในระบบข้อมูลขององค์กร เพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆได้สัมผัสกับความสะดวกสบายที่มาจากการประมวลผลแบบคลาวด์ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพนวัตกรรมทางธุรกิจ และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล HUAWEI CLOUD และ ecosystem partners ได้ร่วมกันเปิดตัวแคมเปญ "APAC SMEGoCloud 828" ที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 สิงหาคมนี้ เพื่อสนับสนุนให้บริษัทระดับโลกใช้ระบบคลาวด์แบบครบวงจรในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันระดับมืออาชีพและเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับองค์กร รวมถึงการเข้าถึงระบบคลาวด์ได้อย่างง่ายดาย ในงานนี้มีกิจกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจ เช่น ผลิตภัณฑ์ยอดนิยม 10 อันดับแรกลดราคาลงเหลือเพียง 40% ของราคาเดิมและโซลูชันบนคลาวด์ 3 รายการครอบคลุมการสร้างไซต์อีคอมเมิร์ซและแอปพลิเคชันระดับองค์กรมาพร้อมส่วนลดแพ็กเกจที่ลดราคาเหลือเพียง 22% จากราคาเดิม และเปิดตัว "Blooming Plan" แผนสนับสนุนระยะยาวสำหรับผู้ให้บริการไอที การบริการเชิงคุณค่าสามประการช่วยให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัล การสร้างเว็บไซต์ขององค์กร เว็บไซต์ขององค์กรเป็นแพลตฟอร์มสำหรับองค์กรต่างๆที่ตระหนักถึงการตลาดบริการและการแสดงภาพบนอินเทอร์เน็ต และยังเป็นนามบัตรเครือข่ายขององค์กร เมื่อเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจ เช่น การเข้าถึงเว็บซึ่งมีลูกค้าจำนวนมหาศาลในเวลาเดียวกัน ประสบการณ์ของผู้ใช้ การวิเคราะห์ข้อมูล และความปลอดภัยของข้อมูล HUAWEI CLOUD นำเสนอโซลูชันการสร้างเว็บไซต์ที่ยืดหยุ่น คุ้มค่า มีเสถียรภาพ เชื่อถือได้และปลอดภัยสำหรับลูกค้าองค์กรขนาดต่างๆเพื่อช่วยให้ลูกค้าองค์กรสร้างเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว ให้บริการทั้งกระบวนการตั้งแต่การจดทะเบียนชื่อโดเมน การยื่นการจัดซื้อเซิร์ฟเวอร์ระบบคลาวด์ การจัดเก็บเว็บไซต์ การแก้ไขชื่อโดเมนและการผลิตเว็บไซต์ รายละเอียดแพ็คเกจการสร้างเว็บไซต์ https://activity.huaweicloud.com/intl/en-us/828_promotion/index.html อีคอมเมิร์ซ HUAWEI CLOUD ใช้ประสบการณ์การบริการแพลตฟอร์มที่หลากหลายในอุตสาหกรรมและบริการคลาวด์พื้นฐานของหัวเว่ยเพื่อมอบโซลูชันอีคอมเมิร์ซแบบ end-to-end ให้กับบริษัทต่างๆในการสร้างอีคอมเมิร์ซของตนเอง นำเสนอบริการพื้นฐานความปลอดภัย ฐานข้อมูล และทรัพยากรอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับบริษัทต่างๆในการสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ HUAWEI CLOUD ขอนำเสนอโซลูชันคลาวด์แบบครบวงจรสำหรับบริษัทอีคอมเมิร์ซขนาดเล็ก กลาง และใหญ่เพื่อช่วยให้ลูกค้าอีคอมเมิร์ซสามารถปรับใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว มีต้นทุนต่ำ ความยืดหยุ่นสูง ความน่าเชื่อถือสูง การทำงานพร้อมกันสูง และการป้องกันความปลอดภัย HUAWEI CLOUD สามารถตอบสนองต่อกิจกรรมส่งเสริมการขายของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น กิจกรรมการส่งเสริมการขาย เป็นต้น รายละเอียดเกี่ยวกับแพ็คเกจอีคอมเมิร์ซ https://activity.huaweicloud.com/intl/en-us/828_promotion/index.html แอปพลิเคชันระดับองค์กร องค์กรขนาดเล็กและขนาดกลางมีจุดอ่อนในการใช้ดิจิทัล ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินงานโดยรวมขององค์กร HUAWEI CLOUD ขอนำเสนอโซลูชันบนคลาวด์ที่ยืดหยุ่น สะดวก และต้นทุนต่ำสำหรับลูกค้าระดับองค์กรซึ่งช่วยให้ลูกค้าองค์กรสามารถลดต้นทุนการลงทุนด้านไอทีได้อย่างมาก OA, CRM, ERP, ระบบการเงินและระบบอื่น ๆ ขององค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบคลาวด์ในการจัดการข้อมูล รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็คเกจแอปพลิเคชันสำหรับองค์กร https://activity.huaweicloud.com/intl/en-us/828_promotion/index.html โปรโมชั่นสุดพิเศษ 6 รายการ เพื่อสนับสนุนองค์กรเข้าสู่ระบบคลาวด์ กิจกรรมเซอร์ไพรส์ 1: ข้อเสนอพิเศษสามแพ็คเกจเริ่มต้นที่ 19 เหรียญสหรัฐฯ APAC SMEGoCloud 828 ได้เปิดตัวแคมเปญพิเศษสามชุดสำหรับการสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซและแอปพลิเคชันระดับองค์กร ได้แก่ แพ็คเกจผลิตภัณฑ์ตามเวลาที่กำหนด ราคาเริ่มต้นที่ 19 เหรียญสหรัฐ กิจกรรมเซอร์ไพรส์ 2 ลดราคาสูงสุดจ่ายเพียงแค่ 40% จากราคาเดิม สำหรับผลิตภัณฑ์บริการคลาวด์ยอดนิยม 10 อันดับแรก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ HUAWEI CLOUD ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ 10 ชนิดที่จำเป็นสำหรับการเข้าถึงระบบคลาวด์ขององค์กร ได้แก่ เซิร์ฟเวอร์คลาวด์ ฮาร์ดดิสก์บนคลาวด์ฐานข้อมูลความปลอดภัย CDN และอื่น ๆ การสมัครสมาชิกรายเดือนของเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ 1 Core 2G ราคาเพียง 18.3 เหรียญสหรัฐและมีส่วนลดเพิ่มเติมหากซื้อจำนวนมาก กิจกรรมเซอร์ไพรส์ที่ 3: แพ็คเกจพิเศษสำหรับมือใหม่เริ่มต้นที่ 1 เหรียญสหรัฐ ผู้ใช้ใหม่ที่เข้าร่วมกิจกรรมของ APAC SMEGoCloud 828 จะซื้อ 1Core 1G ภายในเวลา เวลา 8:00 น. ของทุกวันได้ในราคา 1 เหรียญสหรัฐ โดยแต่ละภูมิภาคจำกัดที่ 10 สิทธิ์ต่อวัน specที่เข้าร่วมได้แก่ : 1C2G, 2C4G และ 4C8G แพ็กเกจรายเดือนราคาพิเศษของเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ จำกัดการซื้อ 2 หน่วยต่อผู้ใช้หนึ่งคน สมัครก่อนได้ก่อน กิจกรรมสุดเซอร์ไพรส์ 4 : บัตรกำนัลเมื่อมียอดซื้อครบตามจำนวนที่กำหนด รับบัตรกำนัลสูงสุดถึง 1000 เหรียญสหรัฐ คุณจะได้รับบัตรกำนัลเมื่อคุณซื้อผลิตภัณฑ์บริการระบบคลาวด์ที่ตรงตามข้อกำหนดภายในช่วงระยะเวลาแคมเปญของ APAC SMEGoCloud 828 โดยมียอดซื้อตั้งแต่ 500 ถึง 1000 เหรียญสหรัฐ รับบัตรกำนัลมูลค่า 50 เหรียญสหรัฐ, 1000 ถึง 2000 เหรียญสหรัฐ รับบัตรกำนัลมูลค่า 100 เหรียญสหรัฐ, 2000 ถึง 5000 เหรียญสหรัฐ รับบัตรกำนัลมูลค่า 200 เหรียญสหรัฐ และสำหรับยอดซื้อ 5000 เหรียญสหรัฐขึ้นไป รับบัตรกำนัลมูลค่า 1000 เหรียญสหรัฐ กิจกรรมเซอร์ไพรส์ 5: "Blooming Plan" - การสนับสนุนผู้ประกอบการไอทีขนาดกลางและขนาดเล็ก "Blooming Plan" คือแผนการสนับสนุนพิเศษที่เปิดตัวโดย HUAWEI CLOUD สำหรับผู้ให้บริการไอทีขนาดเล็กและขนาดกลาง องค์กรที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขและได้รับการอนุมัติจะได้เป็นคู่ค้าของ HUAWEI CLOUD พร้อมรับ ส่วนลด 40%สำหรับผลิตภัณฑ์บริการคลาวด์ในปีแรก ฟรีการฝึกอบรมด้านเทคนิค และโอกาสในการร่วมมือทางการตลาดอื่นๆอีกมากมาย กิจกรรมเซอร์ไพรส์ 6: คูปองส่วนลดสำหรับการแนะนำลูกค้าใหม่ ในช่วงระยะเวลาของกิจกรรมลูกค้าองค์กรของ HUAWEI CLOUD หากมีการแนะนำผู้ใช้ใหม่ให้ลงทะเบียนและซื้อผลิตภัณฑ์บริการ HUAWEI CLOUD หลังจากใช้จ่ายครบตามจำนวนที่กำหนด ผู้ใช้เก่าจะได้รับรางวัลคูปองส่วนลดสูงถึง 1,500 เหรียญสหรัฐ องค์กรต่างๆที่ใช้ระบบคลาวด์ ทำไมถึงเลือก HUAWEI CLOUD? HUAWEI CLOUD ได้พัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชันผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ยในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ICT มานานกว่า 30 ปี ให้บริการกับลูกค้าผ่านทางออนไลน์ โดยให้บริการคลาวด์ที่มีความเสถียร เชื่อถือได้ ปลอดภัย ยั่งยืนและเป็นนวัตกรรมใหม่ HUAWEI CLOUD มีศูนย์ข้อมูล 8 แห่งทั่วโลกและโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก สามารถเชื่อมต่อเอเชียแปซิฟิกและลาตินอเมริกา นอกจากนี้ยังเป็นผู้ให้บริการคลาวด์รายแรกที่ได้รับการรับรองโดย NIST CSF ในประเทศจีนที่มีความสามารถในการบริการระดับมืออาชีพและให้บริการผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างรวดเร็วทันใจ ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อย่างทันท่วงที นับตั้งแต่เปิดตัว HUAWEI CLOUD ได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ICT อย่างต่อเนื่องและสั่งสมประสบการณ์หลายปีในเทคโนโลยีและบริการระดับองค์กร นอกจากนี้บริษัทยังได้ลงทุนในนวัตกรรมเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความร่วมมือในระยะยาว และเชิงลึกกับพันธมิตรเพื่ออัพเกรดเทคโนโลยีซอฟต์แวร์และประสิทธิภาพที่ก้าวล้ำ แก้ไขปัญหาคอขวด ปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมของเซิร์ฟเวอร์คลาวด์เพิ่มขีดความสามารถอย่างต่อเนื่องด้วยนวัตกรรม เพื่อส่งมอบและแบ่งปันเทคโนโลยีล่าสุดให้กับลูกค้าองค์กร แคมเปญ APAC SMEGoCloud 828 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วเลือก HUAWEI CLOUD ตัวเลือกที่ดีสำหรับระบบคลาวด์ขององค์กร ตามลิงค์ด้านล่างสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม: https://activity.huaweicloud.com/intl/en-us/828_promotion/index.html หัวเว่ยคลาวด์ได้เปิดตัว 2 AZs (Availability Zones) ในประเทศไทย ต้องขอขอบคุณความไว้วางใจและการสนับสนุนทั้งจากลูกค้าและคู่ค้าชาวไทยที่ทำให้เราได้เห็นอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของส่วนแบ่งการตลาดในประเทศ และเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและใช้งานคลาวด์ได้มากขึ้น หัวเว่ยจึงได้เปิดตัว Cloud Diary สัมมนาออนไลน์ฉบับภาษาไทยที่จะมาแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับหัวข้อในเชิงเทคนิคที่น่าสนใจ อีกทั้งยังมีการสาธิตการใช้งานจริงบนหัวเว่ยคลาวด์อีกด้วย เพื่อให้คุณไม่พลาดข่าวสารของ Cloud Diary สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก : @HuaweiCloudTH
# หลุดภาพคู่มือ iPad Air 4 ดีไซน์คล้าย iPad Pro มี USB-C, Touch ID ฝังในปุ่มพาวเวอร์ ทวิตเตอร์ @duanrui1205 ที่มักปล่อยข้อมูลหลุดของมือถือจากโรงงานในประเทศจีน ล่าสุดเปิดเผยรูปคู่มือ iPad Air 4 เป็นภาษาสเปน พร้อมข้อความระบุว่า “ใช้ Touch ID บนปุ่มด้านบนของตัวเครื่อง เพื่อปลดล็อก iPad Air” พร้อมแสดงดีไซน์เบื้องต้นคล้าย iPad Pro คือขอบบาง ไม่มีปุ่มโฮม ชาร์จด้วย USB-C แทนพอร์ต Lightning และมี Smart Connector ด้านหลัง iPad Air รุ่นใหม่ ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่ามีขนาดหน้าจอเท่าไรบ้าง คาดว่าเปิดตัวพร้อม iPhone 12 ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้ ส่วนข้อมูลจาก DuanRui ต้องพิจารณาแบบฟังหู เพราะไม่ได้มีประวัติการปล่อยข้อมูลที่ยืนยันได้ว่าถูกต้องมากนัก และคงรู้ได้อีกทีว่าจริงหรือในวันที่ iPad Air 4 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ที่มา - @duanrui1205 via MacRumors
# นักวิจัยเผย WeChat เซนเซอร์ 2,000 คีย์เวิร์ดใน 5 เดือน ส่วนใหญ่เป็นคำเกี่ยวกับโรคระบาด นักวิจัยจาก Citizen Lab หน่วยงานวิจัยของ University of Toronto เผยผลวิจัยใหม่ พบว่า WeChat แพลตฟอร์มโซเชียลข่าวสารที่คนจีนใช้งานกันอย่างกว้างขวาง มีการเซนเซอร์คำระหว่างสถานการแพร่ระบาด COVID-19 กว่า 2,000 คีย์เวิร์ด นับเฉพาะ เดือน ม.ค. - พ.ค. ปีนี้ ส่วนมากเป็นคำที่เกี่ยวกับโรคระบาด เนื่องขาก WeChet ใช้วิธีการบล็อกเนื้อหาจากระยะไกล จึงเป็นไปได้ที่นักวิจัยจะสามารถเข้าถึงโค้ดหรือนโยบายภายในว่าใช้เกณฑ์ใดในการเซนเซอร์คีย์เวิร์ด นักวิจัยจึงใช้วิธีสร้างกลุ่มแชทสามคน คนหนึ่งลงทะเบียนด้วยเบอร์โทรศัพท์จากจีน อีกสองคนลงทะเบียนใช้งานใช้เบอร์โทรศัพท์จากแคนาดา และลงเนื้อหาจากบทความหลากหลายที่ ทั้งสื่อจากฮ่องกง ไต้หวัน และสื่อที่รัฐบาลจีนคุมอยู่ แล้วดูว่าแพลตฟอร์มบล็อกคำไหนบ้าง จากรายงานของ Citizen Lab ยังแสดงให้เห็นถึงขอบเขตที่รัฐบาลจีนพยายามควบคุม พบว่ามีการเซนเซอร์เนื้อหาตั้งแต่เกิดการระบาดต้นๆ ที่เมืองอู่ฮั่น WeChat บล็อกคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ Li Wenliang แพทย์ที่ออกมาเตือนเรื่องการระบาดก่อนรัฐบาลจะเปิดเผย WeChat ยังบล็อกผู้ใช้ไม่ให้พูดคุยเกี่ยวกับการประกาศของเจ้าหน้าที่ที่บอกว่า จีนได้รับคำแจ้งเตือนเรื่องการระบาดจากสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. และยังเซนเซอร์การพูดถึงเซ็นเซอร์ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ CDC ด้วย ภาพจาก Shutterstock จนกระทั่งเข้าสู่เดือน มี.ค. ซึ่ง COVID-19 เริ่มระบาดไปทั่วโลกแล้ว นักวิจัยพบว่า WeChat ในช่วงนั้น เพิ่มการเซนเซอร์เนื้อหาการติดเชื้อจากประเทศอื่น เช่น ซาอุดีอาระเบีย, ตุรกี, รัสเซียและสหราชอาณาจักร และยังแบนคำที่เกี่ยวข้องกับ Bannon และ Bio Lab เนื่องจากมีทฤษฎีสมคบคิดในสหรัฐว่าจีนเพาะเชื้อนี้ในห้องแล็บด้วย ก่อนหน้านี้ Vice ก็ออกรายงาน รัฐบาลจีนเพ่งเล็งคนที่แชร์ข้อมูลและวิจารณ์รัฐบาลเรื่องไวรัสบนโซเชียลมีเดีย บางรายถึงกับมีเจ้าหน้าที่มาหาถึงประตูบ้านเลยทีเดียว ที่มา - Wired
# Steam ทดสอบฟีเจอร์กรองคำในแชทที่ไม่ต้องการออก ใช้คำอื่นแทนที่ได้ Steam เผยกำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ คือกรองคำที่ไม่ต้องการออกจากแชทได้ และสามารถใช้คำอื่นมาแทนที่ได้ด้วย ผู้ที่ได้รับการทดสอบสามารถเข้าไปตั้งค่าคำที่ไม่ต้องการได้ที่เมนู Text & Chat Filtering นักพัฒนาใน Steam ระบุว่า แทนที่จะเซนเซอร์คำที่ไม่ต้องการออก ก็ให้ผู้ใช้งานมีอำนาจในการเลือกสิ่งที่เขาอยากจะเห็นจากข้อความของคนอื่น และมีประสิทธิภาพกว่า เพราะภาษามีการพัฒนาตลอดเวลา และขึ้นอยู่กับบริบทและพื้นที่ชุมชนต่างๆ ทั่วโลก ฟีเจอร์ใหม่จะใช้งานได้ในช่องแชทของ Steam, เกมอื่นๆ ที่รองรับ ที่มา - Engadget
# Netflix เตรียมสร้างซีรีส์ Resident Evil แบบไลฟ์แอ็กชั่น ผู้เขียนบทจาก Supernatural หลังจากมีข่าวลือ ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ตอนนี้น่าจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า Netflix เตรียมดัดแปลงเกม Resident Evil เป็นซีรีส์ โดยได้ Andrew Dabb จาก Supernatural มารับหน้าที่ผู้เขียนบท สองตอนแรกกำกับโดย Bronwen Hughes จาก The Walking Dead ตัวซีรีส์จะมี 8 ตอน ตอนละประมาณ 1 ชั่วโมง ตอนแรกมีชื่อว่า “Welcome to New Raccoon City” ในโพสต์เฟสบุ๊กของเพจ NX ที่นำรูปบทที่เสร็จแล้วมาลง ระบุไว้ว่า เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับ ลูกๆ ของ Wesker ที่เดินทางมายังเมือง New Raccoon City ก่อนจะพบความลับที่จะเปลี่ยนทุกสิ่งไปตลอดกาล ซีรีส์ Resident Evil ยังไม่เปิดเผยรายชื่อนักแสดงหรือวันกำหนดฉายบน Netflix คงต้องติดตามรายละเอียดกันต่อไป ที่มา - Facebook Page: NX
# Activision เปิดราคา CoD: Black Ops Cold War บนคอนโซลเจนใหม่ 70 เหรียญ Activision ประกาศเปิดราคาของ Call of Duty: Black Ops Cold War ออกมาแล้วโดยเวอร์ชัน PS5 และ Xbox Series X (ที่เล่นบน PS4, Xbox One ได้ด้วย) ราคาอยู่ที่ 70 เหรียญ เท่า 2K21 ที่นำร่องขึ้นราคาเป็นเกมแรก ขณะที่เวอร์ชันบน PS4, Xbox One และ Battle.net จะอยู่ที่ 60 เหรียญเท่าเดิม นอกจากนี้ยังมี Ultimate Edition ที่เล่นได้หมดทั้งเจนเก่าและเจนใหม่ราคา 90 เหรียญ ดูทรงแล้วคาดว่าแนวโน้มของเกมบนคอนโซลเจนใหม่อย่าง PS5 และ Xbox Series X หลังจากนี้น่าจะทยอยเปิดราคากันที่ 70 เหรียญเป็นอย่างน้อย หลังต้นทุนการพัฒนาเกมสูงขึ้นเรื่อย ๆ และแทบไม่มีการปรับราคามากว่า 15 ปีแล้ว ที่มา - GameIndustry
# เปิดตัว The Witcher: Monster Slayer เกมมือถือแนว AR คล้าย Pokemon Go CD Projekt ยังคงต่อยอดกับความสำเร็จของเกมตระกูล The Witcher อย่างต่อเนื่อง (ยกเว้นทำเกมภาคต่อ) กับเกมล่าสุดอย่าง The Witcher: Monster Slayer ที่คราวนี้มาในรูปแบบเกม AR บนสมาร์ทโฟนคล้าย Pokemon Go ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Witcher ไล่กำจัดมอนสเตอร์บน The Continent ตัวเกมมีองค์ประกอบแบบเกม RPG ไม่ว่าจะการเก็บวัตถุดิบเพื่อต้มโพชัน, ทำน้ำมัน, ทำระเบิดและเสริมทักษะตัวละคร โดยเรื่องราวของเกมนี้เกิดขึ้นก่อนช่วงเวลาของ Geralt หลายปี ซึ่งนอกจากการเดินกำจัดมอนสเตอร์ตามแผนที่แล้ว ยังมีเควสต์เนื้อเรื่องให้เล่นด้วย The Witcher: Monster Slayer พัฒนาโดย Spokko สตูดิโอพัฒนาเกมมือถือในเครือ CD Projekt (CD Projekt RED เป็นสตูดิโอของ CD Projekt อีกที) เปิดให้เล่นทั้งบน iOS และ Android ส่วนวันที่ยังไม่ระบุ ที่มา - The WItcher: Monster Slayer
# ซัมซุงเปิดตัวจอโค้ง 2 รุ่น ใต้แบรนด์ Odyssey ราคาเริ่มต้น 18,900 บาท ซัมซุง เปิดตัวซับแบรนด์ใหม่ Odyssey แยกออกมาเพื่อโฟกัสด้านเกมมิ่งมอนิเตอร์โดยเฉพาะ ตั้งเป้าเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดเกมมิ่งมอนิเตอร์จอโค้ง (Curved Gaming Monitor) พร้อมเปิดตัวมอนิเตอร์เกมมิ่งจอโค้งสองรุ่น คือ Odyssey G9 และ G7 Odyssey G9 หน้าจอ QLED แบบโค้ง 1000R ขนาด 49 นิ้ว อัตราส่วน 32:9 ความละเอียด 5,120 x 1,440 พิกเซล รีเฟรชเรตสูงสุด 240Hz อัตราตอบสนอง 1ms รองรับ HDR10+ และมาตรฐาน HDR1000 แบ่งหน้าจอได้ 6 จอพร้อมกัน พร้อมไฟ RGB แบบ Infinity Core ด้านหลัง ที่แสดงสีได้ 52 เฉดสี ราคา 45,990 บาท Odyssey G7 หน้าจอ QLED แบบโค้ง 1000R เช่นเดียวกัน มีสองขนาด คือ 27 นิ้ว และ 32 นิ้ว ความละเอียด 2,560 x 1,440 พิกเซล อัตราการตอบสนอง 1ms รีเฟรชเรตสูงสุด 240Hz และรองรับ HDR600 ขนาด 27 นิ้ว ราคา 18,900 บาท และ 32 นิ้ว ราคา 20,900 บาท ทั้งสองรุ่นวางจำหน่ายแล้วตามร้านค้าไอทีชั้นนำ และเว็บไซต์ Samsung ที่มา - งานเปิดตัวซัมซุง Odyssey
# Palantir เผยข้อมูลการเงินก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ขาดทุนทุกปีและอาจไม่มีวันกำไร Palantir Technologies บริษัทซอฟต์แวร์ด้านวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อความมั่นคง ยื่นเอกสารเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ต่อ ก.ล.ต. สหรัฐอย่างเป็นทางการ หลังมีข้อมูลหลุดออกมาก่อนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Palantir เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Peter Thiel นักลงทุนชื่อดังของซิลิคอนวัลเลย์ (เป็นนักลงทุนรายแรกๆ และปัจจุบันยังเป็นบอร์ดของ Facebook) แต่ด้วยแนวทางของบริษัทที่เต็มไปด้วยความลับ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ อีกทั้งตัว Thiel เองก็มีสายสัมพันธ์อันดีกับ Donald Trump จึงทำให้การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ Palantir ถูกจับตาอย่างมาก Palantir จะใช้วิธี direct listing คือไม่ออกหุ้นเพิ่มเพื่อมาขายแบบ IPO แต่เอาจำนวนหุ้นเดิมเข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) โดยใช้ตัวย่อว่า PLTR สิ่งที่น่าสนใจจากงบการเงินของ Palantir คือบริษัทมีรายได้เติบโตก้าวกระโดด (รายได้ปี 2019 ที่ 742 ล้านดอลลาร์ โต 25% จากปีก่อน) แต่ก็ขาดทุนมหาศาล บริษัทเปิดมาตั้งแต่ปี 2003 และขาดทุนมาตลอด ไม่เคยกำไรเลยแม้แต่น้อย ตัวเลขขาดทุนในปี 2018 อยู่ที่ 580 ล้านดอลลาร์ Alex Karp ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เขียนในจดหมายถึงนักลงทุน เตือนว่า Palantir อาจไม่มีวันกำไรเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม อัตราการขาดทุนเริ่มลดลงเรื่อยๆ อย่างในครึ่งแรกของปี 2020 ขาดทุนที่ 165 ล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 280.5 ล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2019 ในเอกสารของ Palantir ระบุว่ามีลูกค้าทั้งหมด 125 หน่วยงาน เช่น กองทัพบก-เรือ-อากาศสหรัฐ, คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SEC) โดยลูกค้ารายใหญ่ 20 อันดับแรก ทำรายได้คิดเป็น 67% ของรายได้ทั้งหมด สินค้าหลักของ Palantir มี 2 ตัวคือ Gotham ระบบวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับหน่วยงานรัฐ และ Foundry สำหรับภาคเอกชน หน้าตาของ Gotham หมายเหตุ: Peter Thiel เป็นแฟนนิยายเรื่อง Lord of the Rings และนำชื่อในเรื่องมาตั้งชื่อบริษัท นอกจาก Palantir แล้ว เขายังตั้งบริษัทลงทุนชื่อ Valar Ventures และ Mithril Capital ที่มา - Business Insider, Business Insider, CNBC
# สรรพากรเกาหลีใต้บุกสำนักงาน Netflix สอบสวนการเลี่ยงภาษี วันนี้สรรพากรเกาหลีใต้ (National Tax Service - NTS) เข้าค้นสำนักงาน Netflix ในกรุงโซล พร้อมกับเริ่มสอบสวนว่า Netflix เลี่ยงภาษีในเกาหลีใต้หรือไม่ ข้อสงสัยของ NTS เกิดจาก Netflix รายงานผลประกอบการในเกาหลีใต้ขาดทุน โดยอาศัยการลงบัญชีค่า "ให้คำปรึกษา" จากสำนักงานใหญ่จำนวนมาก ทาง Netflix ยืนยันว่า NTS เข้ามาตรวจสอบจริงและบริษัทจะให้ความร่วมมือกับการสอบสวน ที่มา - The Korea Herald
# ตลาดหุ้นนิวซีแลนด์โดน DDoS จนต้องหยุดซื้อขายสามวันติด ตลาดหุ้นนิวซีแลนด์ NZX ล่มอีกครั้งในวันนี้เป็นวันที่สาม หลังหยุดการซื้อขายเมื่อวานนี้เป็นเวลาสามชั่วโมงครึ่ง และหยุดไปอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยทาง NZX ระบุว่าถูกยิง DDoS จากต่างประเทศจนกระทั่งแบนวิดท์เต็ม ทาง NZX ประกาศเพียงว่ากำลังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยกำลังประสานงานกับ ISP ประเทศต่างๆ เพื่อตัดการเชื่อมต่อของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ยิงไปยัง NZX ตอนนี้หน้าเว็บของ NZX เชื่อมต่อไม่ได้ ที่มา - NZ Herald, RNZ ภาพหน้าจอซื้อขายหุ้นโดย PIX1861
# ซีอีโอ TikTok สหรัฐลาออกหลังทำงานได้ 4 เดือน จากปัญหาถูกบีบให้ขายกิจการ Kevin Mayer ซีอีโอ TikTok ของสหรัฐ ที่เพิ่งย้ายจากดิสนีย์มารับงานเมื่อกลางปี ประกาศลาออก โดย Mayer ไม่ได้เหตุผลตรง ๆ แต่อธิบายในอีเมลที่ส่งถึงพนักงานภายในว่า การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากการใคร่ครวญถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร จากสภาพแวดล้อมทางการเมือง ขณะที่สถานการณ์ของ TikTok ตอนนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอน โดยรายชื่อผู้ที่สนใจซื้อ ณ ตอนนี้มี Oracle และ Microsoft โดยก่อนหน้านี้มีรายงานด้วยว่า TikTok เข้าไปถามความสนใจควบรวมกิจการจาก Netflix ก่อนจะถูกปฏิเสธ โดย Bytedance มีกรอบเวลาถึงราวต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ในการหาและตกลงดีล TikTok ที่มา - NYT Kevin Mayer | ภาพจากดิสนีย์
# กูเกิลเปิดโครงการสะพานดิจิทัล (Saphan Digital) คนไทยเรียนทักษะทำธุรกิจออนไลน์ฟรี กูเกิลร่วมกับหน่วยงานสำคัญในไทย เช่น กระทรวงพาณิชย์, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จัดการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ฟรีสำหรับผู้ประกอบการ (SMEs) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGOs) ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่สนใจ เรียนรู้การทำธุรกิจเบื้องต้น เทคนิคการใช้เครื่องมือดิจิทัลฟรี ผ่านโครงการ Saphan Digital (สะพานดิจิทัล) ตัวอย่างเนื้อหา เช่น หลักสูตรการสร้างร้านค้าออนไลน์ (e-Commerce), การเริ่มทำเว็บไซต์, การบริหารและการจัดการร้านค้าออนไลน์, การเข้าถึงลูกค้าและการบริหารข้อมูลลูกค้า, การทำโฆษณาเพื่อองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร, วิธีการปักหมุดธุรกิจฟรี เพื่อให้ลูกค้าค้นหาธุรกิจได้บน Google Search และ Maps ผ่านเครื่องมือ Google My Business, วิธีการสมัครเพิ่มช่องทางการชำระเงินออนไลน์ผ่านคิวอาร์โค้ด (QR code) จากธนาคารต่างๆ, ขั้นตอนและวิธีการสมัครบริการจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าได้ ผ่านบริการการจัดส่งจากทาง Grab เป็นต้น ผู้เข้าร่วมสามารถเรียนด้วยตัวเองผ่านออนไลน์ หรือการถ่ายทอดสดจาก SME Knowledge Center และ Academy Bangkok ของ Google สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้วันนี้ (27 สิงหาคม 2563) - 18 กันยายน 2563 ดูรายละเอียดเพิ่มที่ saphandigital.moc.go.th ที่มา - งาน Google for Thailand
# ไม่ได้ไปต่อ ซีรีส์ Altered Carbon ถูก Netflix ยกเลิกการสร้างแล้ว Altered Carbon ซีรีส์แนวไซไฟไซเบอร์พังค์ ที่สร้างจากนิยายขายดีของ Richard K. Morgan และเพิ่งฉายซีซั่นสองไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ รวมถึงมีหนังอนิเมชั่นภาคแยก ถูก Netflix ยกเลิกการสร้างซีซั่นต่อแล้ว โดยเว็บไซต์ Deadline ให้เหตุผลว่าไม่เกี่ยวกับ COVID-19 แต่อย่างใด เป็นเหตุผลเดิมคือจำนวนคนดูไม่คุ้มกับทุนสร้าง แม้ก่อนหน้านี้ The Society กับ I Am Not OK With This จะถูกยกเลิกเพราะ COVID-19 ไป Altered Carbon มีสองซีซั่น ซีซั่นแรกนำแสดงโดย Joel Kinnaman และซีซั่นสองนำแสดงโดย Anthony Mackie เพราะเทคโนโลยีย้ายร่างในเรื่อง ทำให้สามารถเปลี่ยนตัวนักแสดงนำได้โดยไม่ขัดกับโลกภายในซีรีส์แต่อย่างใด แม้ Altered Carbon จะถูกยกเลิก แต่ Netflix ก็ยังมีซีรีส์ไซไฟเรื่องอื่นอยู่ ถึงแม้จะปะปนกันในด้านคุณภาพ เช่น Another Life ซีรีส์ออกเดินทางตามหาความลับของชีวิตต่างดาว ที่แม้ได้คะแนนเพียง 4.9 คะแนนจาก IMDB แต่ก็ยังได้ไปต่ออีกซีซั่น หรือเรื่อง Away อีกซีรีส์ที่เตรียมสำรวจความเป็นมนุษย์ของนักบินอวกาศหญิง ที่ต้องไปทำภารกิจที่ดาวอังคาร โดยทิ้งสามีและลูกไว้ที่โลกเป็นเวลาถึงสามปี ซึ่งเตรียมลงจอ 4 กันยายนนี้ ที่มา - Deadline
# สรุปรีวิว Ryzen 4800U บน Lenovo Yoga Slim 7, Vega 8 ชนะ Geforce MX250 เว็บไซต์ NotebookCheck รีวิว Lenovo Yoga Slim 7 รุ่น Ryzen 4800U พร้อม Radeon RX Vega 8 แรม 16GB DDR4 1,600 MHz แบบเชื่อมบนเมนบอร์ด แต่เป็น Dual Channel หน้าจอ 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD มี FreeSync ฮาร์ดดิสก์ Samsung SSD NVMe 512GB โดยผลที่น่าสนใจคือ NotebookCheck ค่อนข้างชื่นชม Ryzen 4800U อยู่ไม่น้อย NotebookCheck พบว่าประสิทธิภาพซีพียู Ryzen 4800U ที่เป็นแบบ 8 แกน 16 เธรด เอาชนะ Intel i7-10710U ที่เป็นซีพียูแบบ 6 แกน 12 เธรด ในระดับราคาใกล้เคียงกัน บนโปรแกรม Cinebench R20 ทั้งแบบ Single Core และ Multi Core (แต่ยังแพ้ให้กับ i7-9880H ในแบบ Multi Core) ส่วนในโปรแกรม PCMark ซีพียู Ryzen 4800U ก็เอาชนะทั้ง Core i7-1065G7 และ Core i7-10710U ไปในด้าน Digital Content Creation (แต่งภาพ ตัดวิดีโอ) โดยเป็นผลมาจาก Vega 8 ที่แรงกว่า Iris Plus Graphics G7 และ MX250 พอสมควร และ Ryzen รวมถึงชนะไปในหมวด Productivity (พิมพ์งาน ใช้ spreadsheet) และชนะคะแนนรวมไป แม้จะแพ้ i5-10210U และ i7-1065G7 ไปในหมวด Essentials (เล่นเว็บ เปิดแอป และวิดีโอคอล) ด้านการทดสอบภาพสามมิติ Vega 8 เอาชนะ MX250, Iris Plus Graphics G7 รวมถึง Vega 9 และ Vega 10 บน Ryzen 3000 ได้ในทุกการทดสอบบนโปรแกรม 3DMark แม้จะยังแพ้ MX350 อยู่ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการ์ดจอที่สามารถนำมาใช้แต่งภาพ หรือตัดวิดีโอเบาๆ ได้ โดยไม่ต้องซื้อการ์ดจอแยกเลยทีเดียว ในด้านการเล่นเกม จีพียู Vega 8 ยังแพ้ Geforece MX 250 อยู่เล็กน้อย ในเกม Rocket League หากเล่นบนความละเอียด High หรือเปิด Anti-Aliasing แต่ถ้าปิดสองอย่างนี้ Vega 8 สามารถทำจำนวนเฟรมต่อวินาทีได้เทียบเท่า MX250 โดยทำได้ 143.6 fps เมื่อเทียบกับ MX250 ที่ทำได้ 139.3 fps บนความละเอียด 1920 x 1080 อีกด้วย แต่หากจะเล่นเกมที่กินประสิทธิภาพเครื่อง เช่น Shadow of the Tomb Raider ก็ยังต้องปรับภาพแบบ Low บนความละเอียด 1280x720 ถึงจะได้เฟรมเรตที่ 59 fps อยู่ดี แต่ก็ถือว่าน่าประทับใจ สำหรับโน้ตบุ๊กรุ่นบางเบาแบบนี้ ในด้านแบตเตอรี่ Yoga Slim 7 อยู่ได้ถึง 27 ชั่วโมง 3 นาที ในโหมดไม่เปิด Wi-Fi และปรับความสว่างต่ำสุด 10 ชั่วโมง 19 นาที ในการทดสอบเล่นเน็ตผ่าน Wi-Fi และอยู่ได้ 1 ชั่วโมง 19 นาทีแบบใช้งานเครื่องเต็มที่ และเปิดความสว่างสูงสุด (load) สรุป Lenovo Yoga Slim 7 ที่ใช้ Ryzen 4800U และมาพร้อมกับ Vega 8 สามารถลุยกับ Ice Lake และ Comet Lake-U จากฝั่ง Intel ได้สบายๆ ในแทบทุกการทดสอบ Vega 8 เองก็แรงกว่า MX250 ในการทดสอบแต่งภาพ ตัดต่อวิดีโอ แถมแบตเตอรี่ก็อยู่ได้นานพอสมควร และพอเล่นเกมที่ไม่ต้องใช้ประสิทธิภาพมากนักเช่น Rocket League ได้ ถือเป็นโน้ตบุ๊กอีกรุ่นที่ทรงพลังและใช้งานได้ครบครัน รอบด้าน ที่มา - NotebookCheck
# Google Maps ในไทยเปิดใช้ฟีเจอร์เที่ยวกินตาม Local Guide แล้ว จากข่าว Google Maps ทดสอบฟีเจอร์ให้ผู้ใช้เที่ยวกินตาม Local Guide โดยพื้นที่กรุงเทพฯ ได้ทดสอบด้วย ล่าสุดในงาน Google for Thailand ได้ประกาศว่า ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานใน Google Maps ในประเทศไทยแล้ว กดที่ปุ่ม Explore จะมองเห็นคอนเทนต์จากครีเอเตอร์ที่มาแนะนำสถานที่เที่ยว ที่กิน รวมถึงรูปภาพเพื่อประกอบการตัดสินใจ ตัวครีเอเตอร์หรือคนที่เป็น Local Guide จะมีหน้าโปรไฟล์ของตัวเอง คล้ายโซเชียลมีเดีย รวมรูปและรีวิวของตัวเองเอาไว้ให้คนอื่นเข้ามาอ่านและกดเพื่อติดตามคนๆ นั้นได้ ที่มา - งาน Google for Thailand
# [ไม่ยืนยัน] Alibaba ชะลอการลงทุนในอินเดีย หลังประเด็นความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ Reuters รายงานอ้างอิงคนที่เกี่ยวข้อง 2 รายว่า Alibaba Group ได้ชะลอแผนการลงทุนในอินเดียออกไปก่อนแล้ว หลังเกิดการปะทะกันของทหารทั้งจีนและอินเดียบริเวณชายแดนประเทศ ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา การลงทุนของ Alibaba ในอินเดียรวมถึงการให้เงินสนับสนุนหรือลงทุนในสตาร์ทอัพด้วย ซึ่งก็ทำให้สตาร์ทอัพอินเดียหลายรายไม่ได้เม็ดเงินจาก Alibaba ไปอย่างน้อย 6 เดือน (ไม่ระบุว่าเริ่มนับจากเดือนไหน) จนกว่าความตึงเครียดจะลดลง แต่แหล่งข่าวของ Reuters ก็ยืนยันว่า Alibaba ไม่มีแผนจะถอนการลงทุนแน่นอน ที่มา - Reuters
# Facebook รับการปรับความเป็นส่วนตัวใหม่บน iOS 14 กระทบการทำ Target Ads หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงบน iOS 14 ที่แอปเปิลไม่ได้บอกคือผู้ใช้ต้องให้อนุญาตแอปเพื่อเก็บข้อมูล Advertising Identifier (IDFA) ของตัวเครื่อง ซึ่งเปรียบเสมือนการเก็บคุกกี้บนเบราว์เซอร์ สำหรับการทำ Target Ads การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกระทบการเก็บ IDFA เพื่อทำโฆษณาของหลายบริษัทโดยเฉพาะ Facebook เต็ม ๆ ที่ออกมายอมรับพร้อมเตือนพาร์ทเนอร์ให้เตรียมตัวว่าผู้ใช้ iOS 14 ส่วนใหญ๋น่าจะเลือกไม่อนุญาตและจะกระทบกับเครือข่ายโฆษณา Audience Network ทำให้การทำ Target Ads มีความแม่นยำน้อยลงและพับลิชเชอร์จะได้รับเงินผ่าน Audience Network น้อยลงด้วย นอกจากนี้ Facebook SDK ที่จะอัพเดตให้รองรับ iOS 14 จะปรับไปใช้ SKAdNetwork API ของแอปเปิล ซึ่งส่งผลให้ข้อมูลที่จะถูกเก็บเพื่อติดตามผลการโฆษณาลดน้อยลง พื้นที่ขายของ - เฟซบุ๊กดักฟังเราจริงหรือ? ไขความจริงเบื้องหลังระบบโฆษณาเฟซบุ๊ก ที่มา - Facebook for Business
# กูเกิลส่ง Nest Hub ใช้ตามโรงแรม ใช้คำสั่งเสียงเข้าถึงบริการโรงแรมเพื่อลดการสัมผัส กูเกิลเผยว่าโรงแรมบางแห่งในสหรัฐฯ และอังกฤษใช้งานหน้าจออัจฉริยะ Google Nest Hub ในห้องพัก ผู้เข้าพักสามารถใช้คำสั่งเสียง Google Assistant เพื่อเข้าถึงบริการต่างๆ ของโรงแรมทั้งสั่งอาหาร เปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้อง เปิดเพลง ฟังข่าวท้องถิ่น หรือใช้ Duplex ในการโทรออก เป็นต้น เพื่อลดการสัมผัสปุ่มต่างๆ ในห้องพัก และลดความเสี่ยงการติดเชื้อ กูเกิลบอกด้วยว่า ผู้ใช้งานหรือผู้เข้าพักไม่ต้องล็อกอินบัญชีตัวเอง จะได้ไม่ต้องมีกิจกรรมในห้องที่ผูกกับบัญชีของตัวเอง เพื่อความเป็นส่วนตัว บน Google Nest Hub ไม่มีกล้อง และสามารถกดปิดสวิตช์ไมโครโฟนได้ กิจกรรมที่เกิดขึ้นจะถูกลบออกจากเครื่องและรีเซตใหม่เพื่อรองรับแขกเข้าพักคนถัดไป ตัวอย่างโรงแรมที่ใช้งาน Google Nest Hub มี Fairmont Princess ใน Scottsdale, Dr. Wilkinson's Resort ใน Calistoga, Gale และ Shelborne South Beach ในไมอามี Gansevoort Meatpacking และ Synergy Chelsea ในนิวยอร์กซิตี้ Hotel Zena และ Viceroy DC ตลอดจน Village Hotels ในสหราชอาณาจักร ที่มา - กูเกิล
# รัฐบาลสหรัฐทุ่มงบ 1 พันล้านดอลลาร์ ตั้งศูนย์วิจัย AI-ควอนตัม เพิ่มอีก 12 แห่งทั่วสหรัฐ รัฐบาลสหรัฐ ประกาศตั้งงบ 1 พันล้านดอลลาร์ ตั้งศูนย์วิจัยด้าน AI และควอนตัมคอมพิวเตอร์ จำนวน 12 แห่งทั่วประเทศ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation หรือ NFS) จะรับผิดชอบการตั้งศูนย์วิจัยด้าน AI จำนวน 7 แห่งร่วมกับมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐ ด้วยงบประมาณราว 300 ล้านดอลลาร์ กระทรวงพลังงานสหรัฐ (Department of Energy หรือ DOE) จะรับผิดชอบการตั้งศูนย์วิจัยด้าน quantum information science (QIS) จำนวน 5 แห่ง ร่วมกับห้องวิจัยแห่งชาติในสังกัด (Argonne, Brookhaven, Fermi, Oak Ridge, Lawrence Berkeley) ใช้งบประมาณรวม 625 ล้านดอลลาร์ ที่มา - Whitehouse.gov, NSF ภาพแสดงตำแหน่งศูนย์วิจัย AI ทั้งหมดในสหรัฐ จาก NSF
# Cisco เข้าซื้อ BabbleLabs เพิ่มฟีเจอร์แยกเสียงพูดให้ชัดขึ้น เชื่อจะล้ำหน้าคู่แข่งไปหลายปี ซิสโก้ประกาศเข้าซื้อ BabbleLabs บริษัทวิจัยประมวลผลเสียงเพื่อปรับปรุงคุณภาพการประชุมออนไลน์ โดยเตรียมจะนำเทคโนโลยีของ BabbleLabs มาให้บริการบนแพลตฟอร์มต่างๆ โดยเฉพาะบริการประชุมออนไลน์ WebEx ภายในปีนี้ BabbleLabs เป็นบริษัทวิจัยปัญญาประดิษฐ์สำหรับแยกเสียงรบกวนต่างๆ ออกจากเสียงพูด ตัดเสียงรบกวนทั้งเสียงรถหรือเสียงคีย์บอร์ดไม่ให้เข้าไปในห้องประชุม โดยตัวปัญญาประดิษฐ์สามารถรันบนเครื่องไคลเอนต์ได้โดยตรงไม่ต้องพึ่งคลาวด์ โดยก่อนซิสโก้เข้าซื้อทาง BabbleLabs ก็ขายซอฟต์แวร์เป็น SDK สำหรับบริการประชุมออนไลน์อยู่แล้ว ฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนนับเป็นจุดขายสำคัญของบริการประชุมออนไลน์ ทั้ง Microsoft Teams และ Google Meet ก็เพิ่มฟีเจอร์นี้กันมาก่อน แต่ในการเข้าซื้อ BabbleLabs ครั้งนี้ผู้บริหารซิสโก้เชื่อว่าจะทำให้เทคโนโลยีเสียงล้ำหน้าคู่แข่งไปหลายปี ตอนนี้การเข้าซื้อบริษัทยังอยู่ในขั้นประกาศเจตนาซื้อ (intent to acquire) แต่ทางซิสโก้กระบวนการจะใช้เวลาไม่นาน และจะสามารถนำซอฟต์แวร์มาให้บริการได้ภายในปีนี้ ที่มา - Cisco, งานแถลงข่าวออนไลน์