txt
stringlengths 202
53.1k
|
---|
# สถาบันวิจัยปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทยปล่อยโมเดล deep learning แปลไทย-อังกฤษ พร้อมชุดข้อมูล 1 ล้านคู่ประโยค
สถาบันวิจัยปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (VISTEC-depa Thailand Artificial Intelligence Research Institute) ปล่อยโมเดล deep learning แบบ Transformer ที่ฝึกด้วย toolkitfairseq ของเฟซบุ๊ก ที่ฝึกกับชุดข้อมูลแปลภาษาไทย-อังกฤษมาแล้ว 1 ล้านคู่ประโยค พร้อมปล่อยชุดข้อมูล โดยได้คะแนน BLEU เหนือกว่า Google Translate API
ทางสถาบันสร้างชุดข้อมูลโดยอาศัยทั้งการจ้างนักแปลโดยตรง, จ้างจากแพลตฟอร์ม crowdsourcing, ใช้นักแปลตรวจสอบการแปลของ Google Translate API, ไปจนถึงเอกสารที่มีการแปลอยู่แล้ว เช่น เอกสารราชการหรือวิกิพีเดีย
โมเดล Transformer เป็นโมเดลที่กูเกิลเสนอไว้ตั้งแต่ปี 2017 และโมเดลในกลุ่มนี้ยังคงเป็นกลุ่มที่มีความแม่นยำสูงสุด ทางสถาบันวิจัยปัญญาประดิษฐ์ใช้โมเดล Transformer แบบพื้นฐานขนาด 74 ล้านพารามิเตอร์ แล้วทดสอบคะแนนด้วยชุดข้อมูล IWSLT 2015 จำนวน 4,242 ประโยค สร้างโมเดลแปลที่ความแม่นยำตามคะแนน BLEU สูงขึ้นกว่าเดิม โดยก่อนหน้านี้ทางสถาบันเคยใช้ชุดข้อมูล OPUS ขนาด 5.4 ล้านประโยคในการสร้างปัญญาประดิษฐ์แบบเดียวกันมาก่อนแล้ว
ที่มา - AIResearch.in.th 1, 2 |
# OnePlus ยืนยันสมาร์ทโฟนซีรีส์ใหม่ เน้นราคาถูก อาจใช้ชื่อ OnePlus Lite Z?
OnePlus โพสต์อัพเดตลงเว็บไซต์ของบริษัท ยืนยันว่าจะทำสมาร์ทโฟนราคาถูกแยกเป็นซีรีส์ใหม่ต่างหาก (ก่อนหน้านี้เราเรียกกันว่าเป็น OnePlus 8 Lite หรือ OnePlus Z)
ตอนนี้ OnePlus ยังไม่ประกาศชื่อของสมาร์ทโฟนซีรีส์ใหม่นี้ แต่บอกให้ติดตามบัญชี Instagram ชื่อ @OnePlusLiteZThing ซึ่งยังไม่มีโพสต์ใดๆ (และมีโอกาสที่จะเปลี่ยนชื่อซีรีส์ได้เมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการ)
ทีมพัฒนาสมาร์ทโฟนซีรีส์ใหม่จะนำโดย Paul Yu ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานพัฒนาฮาร์ดแวร์กับ OnePlus มานาน 5 ปี กลุ่มเป้าหมายจะเน้นตลาดยุโรปและอินเดียเป็นหลัก แต่ก็สัญญาว่าจะนำไปทำตลาดอเมริกาเหนือด้วยในระยะถัดไป
ที่มา - OnePlus |
# Xcode 12 ปรับหน้าตาตาม Big Sur, รองรับ Universal สำหรับ Mac ที่ใช้ซีพียู ARM
แอปเปิลออก Xcode 12 ตามรอบการอัพเดตปีละครั้งในงาน WWDC ของใหม่ที่สำคัญคือ ปรับหน้าตาและ UI เป็นสไตล์แบบใหม่ตามอย่าง macOS Big Sur เปลี่ยนไอคอนในทูลบาร์, ปรับหน้าตาและพฤติกรรมของแท็บ (เปิดแท็บใหม่ด้วยการดับเบิลคลิก), ปรับขนาดฟอนต์ในแถบ Navigator ด้านข้าง (อิงตามค่าของระบบปฏิบัติการ ซึ่งใช้กับโปรแกรมอื่นๆ อย่าง Finder ด้วย), ปรับหน้าตาของ code completion และหน้าตาของ Organizers ใหม่
นอกจากหน้าตาแล้ว ฟีเจอร์ใหม่ยังพัฒนาความสามารถของ SwiftUI เฟรมเวิร์คสำหรับสร้าง UI ของแอปเปิลที่เปิดตัวในปี 2019 อีกหลายด้าน รองรับการสร้าง widget ที่ทำงานได้ทั้งบน iPad, iPhone, Mac
อีกฟีเจอร์สำคัญคือ รองรับการเปลี่ยนผ่าน macOS สู่สถาปัตยกรรม ARM โดยคอมไพล์เป็น Universal App ที่รันได้ทั้งบนซีพียูอินเทล (x86_64) และ "Apple Silicon" (ARM) และตัวของ Xcode 12 เองก็เป็น Universal เรียบร้อยแล้ว
ที่มา - Xcode, Apple |
# Apple TV รองรับวิดีโอ 4K บน YouTube แล้ว
Apple เปิดตัว tvOS14 ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์มากมาย แต่อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ไม่ได้รับการพูดถึงแต่หลายคนอาจจะรอ คือ Apple TV จะสามารถเล่นวีดีโอแบบ 4K บน YouTube ได้แล้ว หลังจากที่สามารถเล่นได้แค่ความละเอียดสูงสุด 1080p เท่านั้น สาเหตุที่รองรับอาจเป็นเพราะ Google เปลี่ยนมาใช้ตัวเข้ารหัสวิดีโอ AV1 แทน VP9 ที่ Apple TV ไม่รองรับ
อนึ่ง tvOS14 จะปล่อยให้อัพเดทช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ (ประมาณเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน)
ที่มา - Apple via Neowin |
# พนักงาน Google เรียกร้องบริษัทหยุดขายเทคโนโลยีให้กับตำรวจ จากเหตุ George Floyd
เมื่อไม่นานมานี้ พนักงานของ Google กว่า 1666 คน เขียนจดหมายถึง Sundar Pichai ซีอีโอของบริษัท เรียกร้องให้ Google หยุดขายเทคโนโลยีให้กับตำรวจทั่วสหรัฐ เพื่อตอบโต้การใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมของตำรวจ สืบเนื่องจากกรณีของ George Floyd
พนักงานของ Google ชี้แจงว่า ทางบริษัทยังคงซื้อขายเทคโนโลยีให้กับตำรวจ พร้อมทั้งยังโปรโมทว่าเป็นความก้าวหน้าบริษัท โดยเฉพาะในกรณีที่ Google ทำสัญญาการใช้ Google Cloud กับกรมตำรวจเมือง Clarktown โดยทางตำรวจได้ใช้ในแพลตฟอร์มดังกล่าวในการเก็บข้อมูลและหลักฐานทางโซเซียลมีเดียของผู้ที่ออกมาเรียกร้องให้กับคนผิวดำ ซึ่งถูกองค์กร Black Lives Matter ฟ้องร้องว่าเป็นการเฝ้าระวังที่มิชอบโดยกฏหมาย (illegal surveillance) เมื่อปี 2015
อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Google ยังคงยืนยันว่ากรมตำรวจสามารถใช้งานต่อไปได้ เนื่องจากบริการดังกล่าวมีข้อตกลงการใช้งานสำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป
ก่อนหน้านี้ Google ออกนโยบายเพิ่มจำนวนผู้บริหารคนดำอีก 30% ภายใน 5 ปี พร้อมทั้งบริจาคเงินกว่า 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 370 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติ
ที่มา - The Verge , TechCrunch |
# กูเกิลขึ้นป้าย fact check บน Google Images บอกให้รู้ว่าเป็นภาพอะไร ถ่ายที่ไหน
กูเกิลแปะป้าย fact check บนช่องค้นหารูปภาพหรือ Google Images ด้วย เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับรูปภาพที่ค้นหาได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น โดยใช้พลังตรวจสอบข้อมูลเดัยวกันกับที่กูเกิลใช้ใน Google Search และ Google News
เมื่อผู้ใช้งานค้นหารูปภาพจะเห็นป้ายกำกับและข้อมูลอยู่ด้านล่างรูปภาพ thumbnail ที่เป็นผลการค้นหา อธิบายว่าเป็นรูปภาพอะไร ถ่ายที่ไหน เมื่อไร แก้ปัญหาข่าว mislead ที่เรามักจะเจอเวลามีข่าวอะไรก็ตาม แล้วแหล่งข่าวนั้นใช้รูปภาพที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา หรือจงใจใช้รูปให้เกิดความเข้าใจผิด เป็นต้น
ที่มา - กูเกิล |
# macOS Big Sur ปรับ UI ครั้งใหญ่ ดีไซน์เน้นโค้งมน ไอคอนใหม่สไตล์เดียวกับ iOS
macOS Big Sur ที่เปิดตัวไปในงาน WWDC เมื่อคืนนี้ นอกจากการปรับเปลี่ยนเพื่อเตรียมรองรับสถาปัตยกรรม ARM ที่ Apple จะผลิตชิปเองแล้ว ยังมีการปรับดีไซน์ใหม่ของ UI และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้ามาเพื่อให้การใช้งานสะดวกขึ้น และมีความเข้ากันได้กับ iOS และ iPad OS มากขึ้น
ดีไซน์หน้าต่างทั่วไป เป็นแบบโค้งมนมากขึ้น (เพิ่มองศามุมของหน้าต่างให้เป็นมุมป้านมากขึ้น) พร้อมอัพเดตไอคอนแบบใหม่ที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมที่มุมโค้งมนและมีเงา drop shadow คล้ายคลึงกับ iOS
นอกจากไอคอนและหน้าต่าง ก็มีการปรับ Toolbars และ Title Bars ให้ไม่มีขอบ และสูงขึ้น
เลือกสีไอคอน Accent Color ของแอปต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยจะไม่เป็นเพียงสีเทาหม่นๆ อีกต่อไป ซึ่งค่าเริ่มต้นจะตั้งไว้ที่ multicolor แต่ถ้าผู้ใช้ตั้งค่าเป็นสีอื่น สีนั้นก็จะถูกนำไปใช้กับไอคอนหรือปุ่มต่างๆ ในแอปโดยอัตโนมัติ ยกเว้นแต่ไอคอน glyph บน Sidebar ที่จะเป็นแบบหลากสีเหมือนเดิม เพราะเกี่ยวข้องกับการแยกประเภทของแอปต่างๆ ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
แอป iCloud Drive ยังเป็นสีฟ้า แม้ผู้ใช้จะตั้งเลือก Accent Color เป็นสีส้ม
มี Control Center และ Notifications Center เพิ่มมาแบบบน iOS และ iPadOS ให้การควบคุมเครื่อง Mac และการดู Notifications หรือ Widgets ต่างๆ ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น
Safari ปรับปรุงใหม่ ปรับแต่งหน้า Home เองได้ และเพิ่มความเป็นส่วนตัว โดยสามารถกดดูได้ว่าหน้าเว็บที่เข้าอยู่ กำลัง track ข้อมูลอะไรของผู้ใช้บ้าง
แอป Messages ปรับใหม่ พินการสนทนาที่สำคัญไว้บนสุดได้ เพิ่ม Memoji และเอฟเฟกต์ใหม่ๆ แท็กหาคนในกรุ๊ปด้วยการพิมพ์ชื่อได้แล้ว
ถือเป็นการปรับดีไซน์ครั้งใหญ่ของ macOS ที่หลังจากใช้เวอร์ชั่น 10.xx มานาน ก็กลายเป็น macOS 11 เต็มตัวเสียที และทำให้ UI บนอุปกรณ์ต่างๆ ของ Apple มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น (streamlined) ในที่สุด หลังจากที่ผู้ใช้ macOS ต้องเจอกับหน้า UI ที่แตกต่างพอสมควร |
# CS:GO อัพเดต ถ้าส่ายหน้าตอนแก้ระเบิด ต้องเริ่มแก้ใหม่, พ่นสเปรย์บังกระจกไม่ได้แล้ว
Counter Strike: Global Offensive ออกอัพเดตใหม่ เพิ่ม Music Kit เพลง “All for Dust” ของ Amon Tobin แต่ที่สำคัญคือเพิ่มระบบใหม่ ถ้าผู้เล่นส่ายหน้า หรือขยับหน้าจอรัวๆ ตอนแก้ระเบิด ตัวนับเวลาแก้ระเบิดจะถูกรีเซ็ต และจะต้องเริ่มแก้ใหม่
ผู้เล่นหลายๆ คนที่เคยใช้วิธีนี้เพื่อมองหาฝั่งโจรที่ยังเหลืออยู่ หรือถ่มถุยผู้เล่นฝั่งโจรหลังเก็บหมดทั้งทีมแล้วมาแก้ระเบิด น่าจะต้องปรับพฤติกรรมใหม่กันสักพัก รวมไปผู้เล่นใช้สีสเปรย์ graffiti พ่นกระจกเพื่อบดบังทัศนวิศัย ใน patch นี้ ทาง Valve ก็ปรับให้ไม่สามารถพ่นสีบนกระจกได้แล้วเช่นกัน โดยสามารถอ่าน patch note แบบเต็มๆ ได้ที่นี่
ที่มา CS:GO Twitter |
# Microsoft Teams เวอร์ชันใช้ในครอบครัวมาแล้ว แชร์พิกัด รายการช็อปปิ้งให้กันได้
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์เปลี่ยนชื่อ Office 365 เป็น Microsoft 365 และเพิ่ม Microsoft Teams เข้ามาในทุกแพ็กเกจ โดยขยายฟีเจอร์ของ Teams จากการพูดคุยเรื่องงาน มาใช้กับการสื่อสารในครอบครัวด้วย
วันนี้ Microsoft Teams เวอร์ชันคอนซูเมอร์เปิดให้ทดสอบแล้ว ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอพ Teams จากช่องทางต่างๆ ได้ตามปกติ ล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft Account ส่วนตัว แล้วใช้งาน Teams คุยกับเพื่อนหรือคนนครอบครัวได้ทันที (หากล็อกอินบัญชีขององค์กรอยู่แล้ว ก็สามารถล็อกอินบัญชีส่วนตัว แล้วสลับหน้าจอไปมาได้)
การใช้งาน Microsoft Teams ภายในครอบครัวก็ไม่ต่างอะไรจาก Teams ในองค์กร แกนหลักยังเป็นการแชทและวิดีโอคอลล์ แต่สามารถแชร์เอกสาร (เช่น แผนการเดินทาง โปรแกรมเที่ยว), ปฏิทินนัดหมาย, แจกงาน (เช่น รายการซื้อของสดเข้าบ้าน), แชร์พิกัด และแชร์เอกสารสำคัญหรือรหัสผ่านระหว่างกันได้
ตอนนี้ Teams สำหรับคอนซูเมอร์ยังรองรับเฉพาะแอพเวอร์ชันมือถือ Android/iOS เท่านั้น เวอร์ชันเดสก์ท็อปและเว็บจะตามมาภายในปีนี้
ที่มา - Microsoft |
# North Face, Patagonia, REI ไม่ซื้อโฆษณาลง Facebook เพราะไม่จัดการ hate speech ได้ดีพอ
แบรนด์สินค้ารายใหญ่จำนวนหนึ่งอย่าง North Face, Patagonia, REI ไม่พอใจที่ Facebook มีท่าทีนิ่งเฉยต่อการจัดการ hate speech, การปล่อยให้เนื้อหาเหยียดอยู่บนแพลตฟอร์ม ทั้งสามแบรนด์จึงประกาศไม่ลงโฆษณาใน Facebook และเรียกร้องให้แบรนด์อื่นๆ ร่วมทำตามด้วย
VF Corp บริษัทแม่ของ North Face ยังบอกกับ CNN ด้วยว่าแบรนด์เสื้อผ้าอื่นๆ ในเครืออย่าง Dickies, Vans และ Timberland ก็กำลังพิจารณามาตรการบอยคอต Facebook อยู่ด้วย
การบอยคอตไม่ลงโฆษณาเคยเกิดขึ้นกับ YouTube มาแล้ว ตอนที่มีแบนเนอร์โฆษณาแบรนด์ดังปรากฏขึ้นคู่กับวิดีโอที่มีเนื้อหารุนแรง ส่งเสริมการก่อการร้าย
ที่มา - Ars Technica |
# ปธ. สภาพัฒน์ไต้หวันเผย สหรัฐสั่งให้ตัดสัมพันธ์เฉพาะ Huawei ไม่ใช่จีนทั้งหมด
หลังสหรัฐต่อคำสั่งประธานาธิบดีแบน Huawei ต่ออีกปีและบีบให้บริษัทนอกสหรัฐที่จะขายชิปให้ Huawei ต้องขออนุญาตก่อน ซึ่งบริษัทใหญ่ของไต้หวันอย่าง TSMC ก็โดนบีบกลาย ๆ ไปด้วย
ล่าสุด Kung Ming-hsin ประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติของไต้หวันเปิดเผยว่า สหรัฐไม่ได้กดดันไต้หวันให้ตัดความสัมพันธ์กับจีนทั้งหมด เป้ามีแค่ Huawei เจ้าเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ เขาบอกว่า TSMC แม้จะได้รับผลกระทบจากออเดอร์ Huawei ที่หายไป แต่ตอนนี้ก็ได้ออเดอร์จากลูกค้ารายอื่นเข้ามาแทนที่ได้ทั้งหมดแล้ว
เมื่อ TSMC และซัมซุง จะไม่ผลิตชิป ก่อนหน้านี้เลยมีรายงานว่า Huawei ต้องหันไปหาผู้ผลิตในจีนที่เป็นรายเล็กกว่าอย่าง MediaTek และ UNISOC แทน
ที่มา - Reuters |
# Safari รองรับ WebExtensions API แล้ว ใช้ส่วนขยายที่พอร์ตจาก Chrome ได้
แอปเปิลประกาศ Safari เวอร์ชันใหม่ใน macOS 11 Big Sur รองรับส่วนขยายที่เขียนด้วย WebExtensions API ซึ่งหมายถึงส่วนขยายของ Chrome
การที่ Safari รองรับ WebExtensions API ทำให้ส่วนขยายของ Chrome สามารถพอร์ตมาได้แทบจะทันที (ลักษณะเดียวกับที่ Edge หรือ Firefox ทำอยู่ ซึ่ง Firefox เริ่มรองรับในปี 2015) ส่วนการแจกจ่ายสามารถทำผ่าน Mac App Store โดยจะมีหมวด Extension เพิ่มเข้ามาให้ (หมายเหตุ: เป็นคนละตัวกับ Safari App Extensions ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้)
ที่มา - Apple, Apple |
# แอปเปิลเปิด Find My ให้รองรับอุปกรณ์ภายนอก ค้นหาได้ผ่านอุปกรณ์แอปเปิล
เปิดประกาศเปิดระบบ Find My ให้ผู้ผลิตอุปกรณ์ภายนอกที่ไม่ใช่อุปกรณ์ของแอปเปิล สามารถเข้ามาเชื่อมต่อกับเครือข่ายและใช้ค้นหาอุปกรณ์นั้น ๆ ได้แม้จะไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็ตาม
การทำงานของ Find My คือจะใช้ GPS ร่วมกับบลูทูธบนอุปกรณ์ของแอปเปิลเชื่อมต่อกันเป็น mesh แบบเข้ารหัสเพื่อค้นหาอุปกรณ์ที่หาย สามารถทำงานได้เครื่องออฟไลน์ โดยโปรแกรมรับรองอุปกรณ์ภายนอกนี้จะเปิดอย่างเป็นทางการภายในสิ้นปีนี้ ระหว่างนี้นักพัฒนาสามารถยื่นเรื่องแสดงความสนใจไปให้แอปเปิลพิจารณาก่อนได้
โปรโตคอลและการทำงานของ Find My สามารถอ่านได้อย่างละเอียดที่นี่
ที่มา - The Verge |
# รู้จัก "ขุนทอง" แชทบอท LINE จาก KBTG ช่วยแก้ปัญหาหารเงินค่าข้าว แถมทวงเงินให้ด้วย
เวลานัดทานข้าวกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ๆ แล้วต้องหาคนจัดการหลังทานเสร็จ เพื่อหารเงินค่าข้าว คิดเงินรายหัว พิจารณาว่าใครจ่ายเท่าไหร่ ใครกินมากกินน้อย จนบางครั้งเครื่องคิดเลขอาจไม่พอใช้ หลายคนต้องหันไปพึ่ง Excel เพื่อแก้ปัญหานี้ไปเลย
ปัญหานี้กำลังจะหมดไปด้วยขุนทอง (KhunThong) แชทบอทจาก KBTG ใน LINE ที่ช่วยเป็นเหรัญญิกให้คนทั้งกลุ่ม ทำได้ทั้งหารค่าข้าวแบบหารเท่าและหารไม่เท่า เช็คให้ว่าใครยังไม่จ่าย แล้วคอยตามทวงให้เสร็จสรรพ
ใครที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว ตัวแชทบอทการันตีว่าไม่อ่านแชท ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ส่วนบุคคล (PDPA) และเป็นบริการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
ขุนทองเป็นผลผลิตจากโครงการ hackathon ภายในของ KBTG เมื่อทดสอบใช้งานภายในแล้วประสบผลสำเร็จ จึงปล่อยออกมาให้คนทั่วไปใช้งานเป็นแชทบอทในระบบ LINE
วิธีการใช้งานเริ่มจากเพิ่มเพื่อนผ่าน @KhunThong ใน LINE และแอดขุนทองเข้าไปในกลุ่มไลน์หรือแชทกลุ่ม
ฟีเจอร์หลัก ๆ ของขุนทองก็มี
หารบิลแบบแฟร์ ๆ สามารถเลือกได้ว่าจะหารเท่าทุกคน หรือหารไม่เท่า เช่นนาย A ออกให้ 500 ที่เหลือให้ทุกคนหารกัน
จ่ายของใครของมัน เช่นกรณีไปปาร์ตี้กันเยอะ ๆ แล้วสั่งมาแบ่งกัน แต่ไม่ได้กินกันทุกคน เราสามารถถ่ายรูปบิลให้ขุนทองใช้ OCR อ่านบิลแล้วแปลงเป็นรายการอาหารให้อัตโนมัติ เราสามารถเลือกได้ว่ารายการอาหารไหน ใครเป็นคนกินบ้าง แล้วสุดท้ายแต่ละคนต้องจ่ายเท่าไหร่
ทวงบิลจ่ายบิลให้ในตัว เมือรู้แล้วว่าใครต้องจ่ายเท่าไหร่ ขุนทองยังรองรับการจ่ายเงิน 4 วิธี
ผูกบัญชี K PLUS กับขุนทอง สามารถกดจ่ายได้เลยในแชท ไม่ต้องออกจากแอป ไม่ต้องกดจำนวนเงิน
ออกไปจ่ายภายในแอป K Plus โดยตรง พร้อมใส่เลขบัญชีและจำนวนเงินให้ ผู้จ่ายแค่ตรวจสอบความถูกต้องและกดยืนยันจ่าย
จ่ายด้วยโมบายแบงค์กิ้งอื่นและส่ง e-Slip ที่มี QR เข้าแชทกลุ่ม ขุนทองจะตรวจสอบการโอนเงินจาก QR ให้อัตโนมัติ
จ่ายด้วยเงินสด สามารถกดบอกขุนทองได้ว่าจ่ายด้วยเงินสดแล้ว
สุดท้ายขุนทองจะคอยเช็คให้อัตโนมัติว่าใครจ่ายแล้ว ใครยังไม่จ่าย พร้อมทวงเงินคนที่ยังไม่จ่ายให้ด้วย
ความปลอดภัยมาตรฐานเดียวกับ K PLUS และปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA แล้ว
KBTG ยืนยันว่าระบบหลังบ้านของขุนทองทั้งในแง่ความปลอดภัยของการทำธุรกรรม อยู่ในมาตรฐานเดียวกับที่ธนาคารใช้บน K PLUS ส่วนเรื่องความเป็นส่วนตัว อิงตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย และปฏิบัติตามกฎหมาย พ.ร.บ. ข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เรียบร้อยแล้ว แม้ตัวกฎหมายยังไม่มีผลบังคับใช้ก็ตาม ตัวแชทบอทจึงไม่มีการอ่านหรือเก็บข้อมูลส่วนตัวและบทสนทนาใด ๆ ในแชท
แม้เราต้องเพิ่มขุนทองเข้าไปในกรุ๊ปไลน์หรือแชทกลุ่มเพื่อเรียกใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ แต่ขุนทองจะทำงานหรือตอบโต้ ต่อเมื่อเราพิมพ์คีย์เวิร์ดคำว่า “ขุนทอง” เพื่อเรียกใช้งาน หรือคีย์เวิร์ดคำสั่งต่าง ๆ อย่าง “เก็บเงิน” เท่านั้น แปลว่าขุนทองจะไม่อ่านแชทอื่นของเราที่ไม่มีคีย์เวิร์ดเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม การที่ขุนทองเข้ามาอยู่ในกลุ่ม LINE ทำให้เราอาจเห็นจำนวนตัวเลข read ท้ายข้อความเพิ่มขึ้นมา 1 คน จากการที่ขุนทองเข้ามาเป็นสมาชิกอีกคนในกลุ่มไลน์ด้วย ตรงนี้ KBTG อธิบายว่าเป็นฟีเจอร์ที่ติดมากับการใช้งาน API ของไลน์ แต่ยืนยันว่า KBTG ไม่มีการเก็บข้อมูลหรืออ่านแชทใด ๆ ในบทสนทนา
ขุนทองยังมีอัพเดตฟีเจอร์ให้เรื่อย ๆ
KBTG ระบุว่าจะอัพเดตฟีเจอร์ให้ขุนทองอยู่เรื่อย ๆ โดยในอนาคตอันใกล้ นี้จะมีฟีเจอร์ใหม่อีก 3 ฟีเจอร์ ได้แก่
เก็บเงินรายเดือน (Scheduled Bill) บิลค่าใช้จ่ายประจำเดือนที่ต้องเอามาหารกันในกลุ่มเพื่อน เช่น สตรีมมิ่งออนไลน์ Netflix หรือ Spotify ที่แชร์กันดูและแชร์กันจ่าย ขุนทองจะแจ้งเตือนและตามเก็บเงินจนครบ จ่ายบิลได้ตรงตามเวลา
เก็บรวมหลายบิลมาหารทีเดียว (Multiple Bills) เป็นการนำฟีเจอร์หารบิลมาต่อยอด กรณีออกทริป ที่ต้องเก็บเงินหลายบิล (เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร หรือค่าเดินทาง) แล้วค่อยมาเคลียร์เงินกันทีหลัง ขุนทองจะช่วยหารค่าใช้จ่ายของแต่ละคนและตามเก็บเงินให้เหมือนเดิม
เก็บเงินกองกลางกลุ่ม (Social Wallet) เปรียบเสมือนเหรัญญิกห้องสมัยเรียนมัธยม ที่จะทวงเงินเก็บเงินทุกคนในกลุ่มไว้ให้เป็นกองกลาง สามารถโอนออกและบันทึกให้เอาว่าไปใช้จ่ายอะไรได้บ้าง
สรุป
"ขุนของ" ถือเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์และแก้ pain point ในกลุ่มเพื่อนเวลานัดทานข้าวหรือเที่ยว ช่วยประหยัดเวลาและความวุ่นวายลงไปได้เยอะ ที่สำคัญคือในแง่ความเป็นส่วนตัวก็มีมาตรการครอบอยู่ถึง 2 ขั้น คือ ข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยและกฎหมาย PDPA เลยไม่ต้องห่วงเรื่องบทสนทนาหรือข้อมูลในไลน์จะหลุดไปถึงธนาคาร
ช่วงนี้ KBTG มีโปรโมชันเชิญชวนคนมาใช้ขุนทองในช่วงเปิดตัว เพียงแค่ ใช้ขุนทองช่วยเคลียร์บิลในกรุ๊ปขั้นต่ำ 150 บาท รวมสมาชิกในบิล 3 คนขึ้นไป และจ่ายเงินครบผ่านวิธีผูกบัญชีกับขุนทอง, K PLUS หรือส่ง e-Slip เข้ากลุ่ม จะได้รับฟรี e-Voucher Shopee มูลค่า 50 บาท มีกำหนดตั้งแต่ 15 มิ.ย.-16 ส.ค. 63 และสิทธิ์มีจำนวนจำกัด
ข้อมูลเพิ่มเติมของขุนทอง คลิก https://kbank.co/3hjwEta หรือ K-Contact Center โทร. 02-888-8888 กด 815 หรือพิมพ์ “สอบถามบริการขุนทอง” ใน LINE Official Account ของ KBank Live |
# tvOS 14 รองรับ Multiuser สำหรับเล่นเกม, โหมดแสดงผล Picture in Picture
ระบบปฏิบัติการ tvOS อาจไม่ถูกพูดถึงมากนักในงาน WWDC 20 เมื่อคืนนี้ แต่แอปเปิลก็อัพเกรดเวอร์ชันตามรอบปกติเป็น tvOS 14 ที่ยังมีสถานะ Beta เช่นเดียวกับสมาชิกอื่นในครอบครัว
ของใหม่ใน tvOS 14 มีดังนี้
รองรับ Multiuser สำหรับการเล่นเกมบน tvOS ทำให้สมาชิกในบ้านเดียวกัน ที่แชร์ Apple TV ตัวเดียวกันสามารถเล่นเกมแบบแยกโพรไฟล์ได้ (Multiuser รองรับมาตั้งแต่ tvOS 13)
รองรับคอนโทรลเลอร์รุ่นใหม่ๆ เช่น Xbox Elite Wireless Controller Series 2 และ the Xbox Adaptive Controller
รองรับโหมดแสดงผล Picture in Picture และเปิดให้นักพัฒนาแอพปรับแต่งหน้าตาของตัวเล่นวิดีโอได้เอง (Custom Player Controls)
เพิ่มฟีเจอร์ด้านค้นหา เช่น search suggestions และรองรับ HomeKit Cameras สำหรับดูภาพจากกล้องวิดีโอ
ที่มา - Apple |
# ในที่สุด HomePod จะรองรับสตรีมมิ่งเพลงจากแอปภายนอกแล้ว
จากงาน WWDC เมื่อคืน Apple เผยว่า HomePod จะสามารถเล่นเพลงจากแอปสตรีมมิ่งอื่นๆ นอกจาก Apple Music ได้แล้ว นับเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์เล็กๆที่ใครหลายๆคนตั้งหน้าตั้งตารอ หลังจากก่อนหน้านี้ ผู้ใช้งานไม่สามารถควบคุมแอปสตรีมมิ่งอื่นๆบน HomePod ได้ ต้องเล่นผ่าน Airplay เท่านั้น
แอปสตรีมมิ่งทั้งหลายจะต้องอัพเดท API เพื่อให้รองรับการใช้งานบน HomePod ถือเป็นครั้งแรกที่ Apple อนุญาตให้แอปภายนอกใช้งานบน HomePod ได้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีกำหนดว่าจะสามารถใช้งานได้เมื่อไร รวมไปถึงจะมีรูปแบบการใช้งานอย่างไร
ที่มา - 9to5Mac |
# รวมฟีเจอร์ใหม่ iOS 14 ที่เหมือนยืมมาจาก Android: Widgets, Drawer, Wind Down
หลัง Apple เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่บน iOS 14 ไปในงาน WWDC เมื่อคืนนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกคุ้น ๆ เพราะคู่แข่งอย่าง Android มีออกมานานแล้ว ซึ่งฟีเจอร์ที่เหมือนกับของ Android ก็มี
App Library ที่ดูจะคล้ายคลึงกับ App Drawer และมี Suggested App คาดเดาแอปที่ผู้ใช้อาจต้องการใช้ในช่วงเวลานั้นจาก สถานที่ หรือกิจกรรมที่ทำอยู่ ซึ่ง Pixel Launcher ของ Google ก็ทำมาสักพักแล้ว
การวาง Widgets บนหน้าโฮม อันนี้ก็เป็นฟีเจอร์พื้นฐานของ Android
ระบบ Picture-in-Picture ดูวิดีโอแบบจอเล็ก
การวาง Siri ให้ไม่โผล่ขึ้นมาบังทั้งหน้าจอที่ Google Assistant ทำมาสักพักแล้ว
Translate หน้าตาคล้ายคลึงกับ Google Translate พอสมควรเลยทีเดียว
Wind Down Mode หรือโหมดเตรียมส่งผู้ใช้เข้านอน Google ก็เคยใช้ชื่อนี้มาก่อน แต่เปลี่ยนชื่อเป็น Bed Time Mode มาสักพักแล้ว
ระบบพิมพ์ด้วยเสียงพูด Speech-to-text บนตัวเครื่อง (On-Device) ก็มีบน Pixel มานานแล้วเช่นกัน
App Clips แอปขนาดเล็กที่เรียกใช้เฉพาะฟังก์ชั่นจำเป็น เหมือน Instant App ของ Android
แม้หลายๆ ฟีเจอร์จะมีการใส่ลูกเล่นเล็กน้อยแบบ iOS เข้าไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นฟีเจอร์พื้นฐานที่ชาว Android เคยชินกันมาสักพักแล้ว นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่ Apple ไม่ได้พูดถึง เช่น การเปลี่ยนแอปบราวเซอร์และอีเมลแบบดีฟอลต์ไปใช้แอปอื่นนอกจาก Safari หรือ Mail ของ iOS ได้แล้ว ซึ่งก็ตามหลัง Android ค่อนข้างนาน (หลายฟีเจอร์ของ Android ที่ถูกแซวว่าทำตาม iOS ก็มีเหมือนกัน)
การเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมฟีเจอร์ ถือเป็นสิ่งดีต่อผู้ใช้เสมอ ถึงแม้จะช้าไปสักหน่อย หรือโดนแซวไปบ้าง แถมการเพิ่มเติมฟีเจอร์ใหม่ๆ เหล่านี้บน iOS 14 ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่เมื่อรวมกับ iPhone SE ที่มีราคาถูกกว่ามือถือเรือธงจาก Android หลายๆ รุ่น ก็อาจดึงดูดผู้ใช้ชาว Android ให้ย้ายค่ายมากขึ้นก็ได้
ที่มา - Android Police, Droid Life |
# AMD กลับมาติด Top 10 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์โลกอีกครั้ง ด้วยเครื่องยี่ห้อ NVIDIA
AMD เคยเป็นเจ้าแห่งโลกซูเปอร์คอมพิวเตอร์อยู่พักหนึ่ง โดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Cray Titan ที่ใช้ซีพียู Opteron เคยครองแชมป์ของ TOP500 ช่วงปี 2012 แต่พอ AMD เข้าสู่ "ยุคมืด" ทำให้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นหลังๆ แทบไม่มีเครื่องที่อันดับสูงๆ ใช้ซีพียู AMD เลย
เมื่อ AMD "คัมแบ็ค" กลับมาด้วยซีพียูสถาปัตยกรรม Zen สิ่งที่ต้องจับตาคืออันดับของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ซีพียู EPYC ว่าจะไต่กลับเข้ามาเมื่อไร
ในการประกาศผล TOP500 รอบล่าสุด (กลางปี 2020) ในที่สุด AMD ก็สามารถกลับคืนสู่ TOP 10 ของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่แรงที่สุดในโลกได้แล้ว ที่น่าตื่นเต้นกว่าก็คือ คอมพิวเตอร์เครื่องนี้คือ Selene ของคู่แค้น NVIDIA ที่เลือกใช้ซีพียู EPYC จาก AMD
NVIDIA Selene เลือกใช้ซีพียู AMD EPYC 7742 (64 คอร์) มาใช้คู่กับการ์ด NVIDIA A100 ตัวใหม่ล่าสุด, ใช้ระบบเชื่อมต่อ Mellanox HDR Infiniband ที่เพิ่งซื้อกิจการมา (เรียกง่ายๆ ว่าทุกอย่างยกเว้นซีพียู ใช้ของ NVIDIA เองเพื่อแสดงศักยภาพของเทคโนโลยี)
ตัว Selene เกิดจากการใช้เครื่องเซิร์ฟเวอร์ DGX A100 มาเชื่อมต่อกัน 280 เครื่อง, การ์ด A100 จำนวน 2,240 ตัว, จำนวนคอร์รวม 277,760 คอร์ (นับรวมซีพียู-จีพียู), แรม 560,000 GB, มีพลังประมวลผล 27.6 PFlops อยู่อันดับ 7 ของโลก
การที่ NVIDIA เลือกใช้ซีพียู AMD คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เพราะก่อนหน้านี้บริษัทก็เคยอธิบายแล้วว่า เลือก AMD เพราะมีจำนวนคอร์เยอะกว่าอินเทล และรองรับ PCIe 4.0 แม้ในประกาศความสำเร็จของ Selene ไม่มีพูดถึง AMD แม้แต่คำเดียวก็ตาม
ตอนนี้ AMD มีเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ติดอันดับ TOP500 รวมแล้ว 11 เครื่อง และยังมีเครื่องอื่นๆ ที่จะทยอยตามมาอีก รวมถึงเครื่อง Frontier (1.5 ExaFlops) และ El Capitan (2.0 ExaFlops) ที่อยู่ระหว่างการสร้างร่วมกับ Cray และน่าจะติดอันดับ 1 ของโลกเมื่อสร้างเสร็จในปี 2021
ที่มา - AnandTech, TOP500 |
# อินเทลแถลง ยังสนับสนุนแอปเปิลต่อไป แม้แอปเปิลประกาศย้ายไป ARM
จากประเด็น แอปเปิลย้าย macOS ไปสู่สถาปัตยกรรม ARM หลายคนคงสงสัยว่าอินเทลจะว่ายังไงบ้าง
อินเทลออกแถลงการณ์ผ่าน AppleInsider ระบุว่าแอปเปิลยังเป็นลูกค้าของอินเทลอยู่ และอินเทลจะสนับสนุนแอปเปิลต่อไปตามปกติ โดยยกภารกิจของอินเทลในการผลักดันวงการพีซี และกล่าวถึงชิป Tiger Lake ที่จะออกในปีนี้ว่าจะช่วยให้พีซีก้าวหน้าต่อไป
Tim Cook เองก็ระบุว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ ARM จะใช้เวลาประมาณ 2 ปี ซึ่งระหว่างนี้จะขายเครื่องแมคที่เป็นซีพียูอินเทล
ที่มา - AppleInsider |
# ทรัมป์ระงับวีซ่าแรงงานต่างชาติทักษะสูง H1-B ชั่วคราว คนอเมริกันต้องได้งานก่อน
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งบริหาร ยกเลิกการใช้ H-1B หรือวีซ่าทำงานสำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพเชี่ยวชาญพิเศษ เช่น คนที่มีทักษะไอทีเป็นการชั่วคราวถึงสิ้นปี 2020 เป็นการกีดกันกำลังแรงงานทักษะสูงนอกสหรัฐฯ ออกไป ตั้งเป้าให้สร้างงานสร้างรายได้แก่คนอเมริกันแทน คนที่มีวีซ่า H-1B หรือเพิ่งได้รับการอนุมัติวีซ่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการใหม่นี้
นอกจากวีซ่า H-1B จะได้รับผลกระทบแล้ว คำสั่งยังกระทบการขอวีซ่า H-2B สำหรับแรงงานทักษะพิเศษที่เดินทางไปทำงานชั่วคราวตามฤดูกาล, วีซ่า J-1 สำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยน และ วีซ่า L-1 เพื่อการโยกย้ายคนภายในบริษัทระหว่างประเทศ
ภาพจาก โดนัลด์ ทรัมป์
เจ้าหน้าที่จากฝ่ายบริหารของทรัมป์บอกกับ Wall Street Journal ว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องงานให้คนอเมริกา ช่วยให้มีตำแหน่งงานให้คนอเมริกันถึง 500,000 ตำแหน่ง โดย Wall Street Journal คาดจำนวนผู้ได้รับผลกระทบว่าจะถึง 525,000 ราย รวมถึงคนที่ถือกรีนการ์ด 170,000 รายที่ถูกห้ามเข้าประเทศตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา
ประเด็นนี้เป็นข้อกังวลในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ซึ่งบรรดาคนไอทีก็ส่งสัญญาณเตือนมานานแล้วว่าข้อจำกัดวีซ่าจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อันส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษกิจ และยังบีบให้บริษัทต้องขยายสาขาไปต่างประเทศมากขึ้นเพื่อพยายามจ้างและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีเอาไว้
Linda Moore ซีอีโอ TechNet กลุ่มล็อบบี้บริษัทเทคโนโลยีบอกว่า ช่วงโรคระบาด อุตสาหกรรมไอทีทำงานหนักเพื่อให้คนอเมริกันได้เชื่อมต่อถึงกัน ทั้งการจัดส่งอาหาร, บริการต่างๆ, แพทย์ทางไกล เป็นต้น ในอนาคต เทคโนโลยีจะยังคงมีความสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ คำสั่งบริหารในวันนี้เป็นอุปสรรคต่อความสามารถของธุรกิจในการตัดสินใจว่าจะปรับใช้แรงงานที่มีอยู่ให้ดีที่สุดและจ้างพนักงานใหม่ได้อย่างไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้นวัตกรรมเดินหน้าช้าลง
ด้าน Sundar Pichai ซีอีโอกูเกิลออกมาโพสต์ทวิตเตอร์ว่า แรงงานต่างชาติมีความสำคัญต่อความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่ทำให้อเมริกาเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยี ทางกูเกิลรู้สึกผิดหวังกับคำสั่งบริหารในครั้งนี้อย่างมาก
Sharvari Dalal-Dheini ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์สมาคมทนายความด้านกฎหมายคนเข้าเมืองแห่งสหรัฐฯ แสดงความกังวลสูงสุดว่า การระงับวีซ่าในวงกว้างจะส่งผลเสียต่อความสามารถในการฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจตอนนี้ ชาวต่างชาติมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟู แต่รัฐบาลชุดนี้เลือกที่จะต่อต้านผู้อพยพมากกว่าการจัดลำดับความสำคัญอย่างเป็นระบบ
ทีม Global Public Policy ของทวิตเตอร์แถลงไม่เห็นด้วยกับคำสั่งบริหาร บอกว่าคำสั่งดังกล่าวทำลายทรัพย์สินทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของอเมริกา รวมถึงความหลากหลายของผู้คนในประเทศนี้ ซึ่งพวกเขามาจากทุกมุมโลกเพื่อมาทำงาน จ่ายภาษี และมีส่วนร่วมในการแข่งขันในเวทีโลก
ที่มา - TechCrunch, BuzzFeed |
# เข็นไม่ขึ้น ไมโครซอฟท์ปิดบริการไลฟ์สตรีม Mixer ย้ายผู้ใช้ไป Facebook Gaming
ไมโครซอฟท์ประกาศปิด Mixer บริการไลฟ์สตรีมสำหรับเกมเมอร์ ที่ซื้อกิจการตั้งแต่ปี 2016 (ชื่อในขณะนั้นคือ Beam) ด้วยเหตุผลว่าไม่สามารถขยายฐานผู้ใช้ได้มากอย่างที่คิด
ไมโครซอฟท์ระบุว่าจะย้ายกลุ่มสตรีมเมอร์ Mixer ไปใช้ Facebook Gaming แทน ซึ่งทั้งสองบริษัทก็เพิ่งเซ็นสัญญาความร่วมมือด้านเกมเพิ่มเติมด้วย เน้นที่การนำ Project xCloud บริการเกมสตรีมมิ่งไปเชื่อมกับ Facebook Gaming ให้สามารถสลับโหมดจากการดูไลฟ์มาเป็นการเล่นเกมได้ทันที (แบบเดียวกับที่ Stadia จะทำกับ YouTube)
Mixer จะปิดตัวในวันที่ 22 กรกฎาคม 2020 หลังจากนั้น เว็บไซต์ mixer.com จะรีไดเรคต์ไปยัง ff.gg, แอพ Mixer จะขึ้นข้อความเตือนให้ผู้ใช้ย้ายไปใช้ Facebook Gaming และฟีเจอร์ถ่ายทอดสดบน Xbox One จะถูกปิดชั่วคราว
สตรีมเมอร์ Mixer ชื่อดังที่มีสถานะเป็น Partners มีส่วนแบ่งรายได้จากไมโครซอฟท์ จะได้สิทธิเป็น Partners บน Facebook Gaming อัตโนมัติ และ Facebook จะเสนอสัญญาส่วนแบ่งรายได้ที่ใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด
สตรีมเมอร์ Mixer ที่เข้าร่วมโครงการหารายได้ ก็จะได้สิทธิเข้าร่วมโครงการ Facebook Gaming Level Up Program สำหรับหารายได้เช่นกัน
ผู้ใช้ Mixer จะสามารถเชื่อมบัญชีกับ Facebook Gaming โดย Facebook จะมีระบบแนะนำช่องที่เราติดตามบน Mixer ว่ากลายเป็นเพจใดบน Facebook
ช่วงก่อนหน้านี้ Mixer พยายามเร่งขยายฐานผู้ใช้เพื่อแข่งกับ Twitch โดยดึงสตรีมเมอร์ชื่อดังๆ หลายคนมาเข้าร่วมแพลตฟอร์ม (กรณีที่ดังที่สุดคือ Ninja) หลังจากไมโครซอฟท์ประกาศข่าวเรื่อง Mixer จะปิดตัว Ninja ก็ออกมาโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ว่า ตัวเขาเองมีเรื่องต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อไป
ที่มา - Microsoft, Mixer, Facebook |
# สรุปข้อมูล iPhone, iPad, Apple Watch, Mac รุ่นใด ที่ได้อัพเกรดไปต่อระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่
เป็นประจำทุกครั้ง เมื่อแอปเปิลประกาศระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ชุดใหญ่ในงาน WWDC ก็จะมีฮาร์ดแวร์รุ่นที่ยังสามารถอัพเกรดไปต่อ และฮาร์ดแวร์รุ่นที่แอปเปิลหยุดการสนับสนุน ซึ่งมีรายละเอียดทั้งหมดดังนี้
iOS 14
iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max, iPhone XS, iPhone XS Max, iPhone XR, iPhone X, iPhone 8, iPhone 8 Plus, iPhone 7, iPhone 7 Plus, iPhone 6s, iPhone 6s Plus,
iPhone SE (รุ่น 1), iPhone SE (รุ่น 2), iPod touch 7th Gen
กล่าวคือ iPhone ที่รองรับ iOS 13 จะรองรับ iOS 14 ทั้งหมด
iPadOS 14
iPad Pro ทุกรุ่น, iPad 5th Gen ขึ้นไป, iPad mini 4 ขึ้นไป, iPad Air 2 ขึ้นไป
iPad ทุกรุ่นที่เดิมรองรับ iPadOS 13 จะรองรับ iPadOS 14 ทั้งหมด
macOS Big Sur
MacBook รุ่นปี 2015 เป็นต้นไป
MacBook Pro รุ่นปลายปี 2013 เป็นต้นไป
MacBook Air รุ่นปี 2013 เป็นต้นไป
Mac mini รุ่นปี 2014 เป็นต้นไป
iMac รุ่นปี 2014 เป็นต้นไป
iMac Pro รุ่นปี 2017 เป็นต้นไป
Mac Pro รุ่นปี 2013 เป็นต้นไป
รุ่นที่หยุดสนับสนุน MacBook Pro ปี 2012 และต้นปี 2013, MacBook Air 2012, iMac 2012-2013 และ Mac mini 2012
watchOS 7
Apple Watch Series 3, Apple Watch Series 4 และ Apple Watch Series 5
รุ่นที่หยุดสนับสนุน Apple Watch Series 1 และ Apple Watch Series 2
ที่มา: แอปเปิล [1], [2], [3], [4] |
# เปิดตัว iPadOS 14 ปรับปรุงการใช้งานแอปหลายอย่าง, ระบบรู้จำลายมือแบบใหม่
แอปเปิลเปิดตัว iPadOS 14 เวอร์ชันล่าสุดของระบบปฏิบัติการสำหรับ iPad ซึ่งมีฟีเจอร์เฉพาะที่แตกต่างไปจาก iOS 14 มีรายละเอียดสำคัญดังนี้
ประเด็นแรกคือการออกแบบส่วนเสริมต่าง ๆ ที่แสดงผลกะทัดรัดขึ้น (แอปเปิลเรียกว่า Compact Design) เช่น การแจ้งเตือนสายโทรเข้า หรือ FaceTime จะปรากฏเป็นแถบเล็ก ๆ ด้านบน จากเดิมที่เตือนทั้งหน้าจอ จึงไม่รบกวนสมาธิหากกำลังทำงานอยู่ เช่นเดียวกับกล่องเสิร์ช และคำสั่ง Siri ที่ปรากฏลอยขึ้นมา ไม่กินเนื้อที่ทั้งหน้าจอ
แอปพื้นฐานของ iPadOS 14 หลายตัว มีการปรับปรุง sidebar ให้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้สะดวกมากขึ้น ตัวอย่าง Photos ในภาพ
ฟีเจอร์ถัดมา เป็นการนำเทคโนโลยีของ Scribble มาใส่ใน iPad เพื่อทำงานร่วมกับ Apple Pencil โดยสามารถเขียนตัวหนังสือด้วยลายมือในกล่องข้อความใด ๆ แล้วจะถูกแปลงเป็นตัวหนังสือเพื่อใช้งานต่อได้
คุณสมบัติอื่น ๆ มีดังนี้
ARKit รองรับ Depth API สำหรับเซ็นเซอร์วัดความลึกใน iPad Pro รุ่นใหม่
ส่วน Widgets เพิ่มตัวเลือก Smart Stack ที่จะจัดลำดับการแสดงผลตามความสำคัญอัตโนมัติ
iPadOS 14 เปิดให้ดาวน์โหลดรุ่นทดสอบสำหรับนักพัฒนาแล้ววันนี้ ส่วนรุ่นทั่วไปจะเปิดให้ดาวน์โหลดปลายปีนี้ รองรับ iPad Air 2 ขึ้นไป, iPad Pro ทุกรุ่น, iPad 5th Gen ขึ้นไป และ iPad mini 4 ขึ้นไป
ที่มา: แอปเปิล |
# เปิดตัว macOS Big Sur รองรับ ARM, ปรับเป็นเวอร์ชั่น 11, Safari เพิ่มระบบรายงานความเป็นส่วนตัว
แอปเปิลเปิดตัว macOS Big Sur (ชื่อภูเขาในแคลิฟอร์เนีย โดยตัวระบบปฎิบัติการเองมีการปรับแต่งหน้าจอปลีกย่อย จุดสำคัญคือมันเป็น macOS เวอร์ชั่นแรกที่จะรองรับชิป ARM อย่างเป็นทางการ โดยแอปเปิลปรับเลขเวอร์ชั่นเป็น 11.0 หลังจากก่อนหน้านี้ใช้เป็นเวอร์ชั่น 10.x มานาน
Safari เพิ่มตัวแปลภาษาในตัว รองรับภาษาอังกฤษ, สเปน, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, รัสเซีย, และโปรตุเกสแบบบราซิล ฟีเจอร์ Privacy Report รวมรายงานว่า Safari บล็อคส่วนต่างๆ ในเว็บที่ติดตามผู้ใช้ไปอย่างไรบ้าง และด้านความปลอดภัยนั้นเพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งานรหัสผ่านที่เคยรั่วไหลมาแล้ว โดยระบบตรวจสอบจะไม่เปิดเผยรหัสผ่านนี้ให้แอปเปิลเอง
แอป Maps รองรับการวางแผนการเดินทางแบบขี่จักรยานหรือขับรถไฟฟ้าที่สามารถหาเส้นทางที่มีสถานีชาร์จตามประเภทรถที่เราใช้งานได้ พร้อมข้อมูลจุดต่างๆ ในแผนที่เพิ่มเติม
Mac App Store จะเริ่มปรับการแสดงข้อมูลความเป็นส่วนตัว โดยนักพัฒนาต้องส่งข้อมูลแนวทางการใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ในแนวทางเดียวกันเพื่อให้แอปเปิลแสดงได้ตรงกันแบบเดียวกับฉลากโภชนาการในอาหาร
นักพัฒนาเริ่มดาวน์โหลดเบต้าสำหรับนักพัฒนาได้แล้ววันนี้ ส่วนคนทั่วไปจะเริ่มดาวน์โหลดได้เดือนหน้า โดยย้อนไปถึง MacBook Air (2013), MacBook Pro (2013), iMac (2014), Mac mini (2014), MacBook (2015), และ iMac Pro (2017) หรือรุ่นที่ใหม่กว่าทั้งหมด
ที่มา - Apple |
# แอปเปิลเตรียมรองรับ macOS บนชิป ARM ออกสินค้าจริงในปีนี้ รันแอปจาก iOS ได้ ชุดพัฒนาให้ยืม 500 ดอลลาร์
แอปเปิลประกาศรองรับ macOS บนชิป ARM นับเป็นการย้ายสถาปัตยกรรมซีพียูครั้งใหญ่รอบที่ 3 หลังจากเคยย้ายจาก Motorolla 68000 ไป PowerPC และมายัง x86 ทุกวันนี้ โดยระบุว่าเป็นการย้ายมาใช้ชิปที่พัฒนาโดยแอปเปิลเองเพื่อให้ควบคุมได้ทุกส่วน ฟีเจอร์สำคัญคือ macOS ที่รันบนชิป ARM นี้จะสามารถรันแอปพลิเคชั่นจาก iOS ได้ในตัว
การเตรียมการรองรับสถาปัตยกรรม ARM จะคล้ายสมัยย้ายมายัง x86 โดยแอปเปิลเตรียมใช้ Universal 2 ฟอร์แมตไบนารีที่นักพัฒนาสามารถใส่ทั้งโค้ด x86 และ ARM ลงไปพร้อมกัน และ Rosetta 2 แปลงโค้ดที่รองรับเฉพาะ x86 ให้มารันบน ARM ได้โดยจะแปลงโค้ดขณะกำลังติดตั้ง ในงาน WWDC ทางแอปเปิลสาธิตด้วยเกม Shadow of the Tomb Raider ว่าสามารถเล่นได้ที่ความละเอียด 1080P โดยเป็นโค้ดที่ยังไม่ได้แปลงอะไรมาล่วงหน้า
ฮาร์ดแวร์ตัวแรกที่จะรองรับ macOS บน ARM คือ Developer Transition Kit (DTK) ที่เป็นบอร์ดชิป A12Z ตัวเดียวกับ iPad Pro พร้อมแรม 16GB และสตอเรจ 512GB มาพร้อมกับ macOS Big Sur โดยราคาพร้อมกับสิทธิ์เข้าถึงฟอรั่มนักพัฒนาและเอกสารที่เกี่ยวข้องอยู่ที่ 500 ดอลลาร์ โดยต้องคืนเครื่องหลังจบโครงการ
แอปเปิลระบุว่าพีซีที่ใช้ ARM สำหรับผู้ใช้ทั่วไปจะเริ่มวางขายภายในปีนี้ และช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีโดยระหว่างนี้ยังมีเครื่องแมคที่ยังใช้ชิปอินเทลออกรุ่นใหม่ๆ ต่อไป
ที่มา - Apple |
# เปิดตัว watchOS 7 จับเวลานอน, เตือนให้ล้างมือนานๆ, จับการเต้นออกกำลังกาย
แอปเปิลเปิดตัว watchOS 7 โดยเป็นอัพเดตย่อยที่เพิ่มฟีเจอร์ตามรอบปี ได้แก่
Watch Faces แบบใหม่ปรับแต่งได้มากขึ้น และสามารถแชร์การปรับแต่งให้เพื่อนผ่านทางเมลหรือแชตได้ ตัวนักพัฒนาก็สามารถแสดงข้อมูลหลายอย่างพร้อมกันบนหน้าจอได้
ระบบตรวจจับการนอน โดยทำได้เฉพาะการนับเวลานอนหลับอัตโนมัติด้วยการตรวจจับการเคลื่อนไหว
จับเวลาล้างมืออัตโนมัติด้วยการจับการเคลื่อนไหวและฟังเสียงน้ำ โดยเมื่อเริ่มล้างมือ Apple Watch จะจับเวลา 20 วินาทีอัตโนมัติ
แอป Workout รองรับการออกกำลังกายแบบใหม่ เช่น Core Training, การเต้น, ออกกำลังแบบ functional, และช่วง cooldown
นับเวลาฟังเสียงผ่านหูฟัง โดยหากผู้ใช้ฟังเสียงจากหูฟังที่ความดังสูง watchOS จะจับเวลารายสัปดาห์ก่อนจะแจ้งเตือนให้เบาเสียงลงเมื่อเวลาครบ
watchOS 7 เปิดให้นักพัฒนาทดสอบแล้ว และจะออกเบต้าสำหรับผู้ใช้ทั่วไปเดือนกรกฎาคมนี้ โดยอัพเดตย้อนไปได้ถึง Apple Watch 3
ที่มา - Apple |
# TOP500 ประกาศตำแหน่งชุดใหม่ เครื่อง Fugaku จากญี่ปุ่นใช้ซีพียู ARM ขึ้นอันดับหนึ่ง, NVIDIA ส่ง Selene ขึ้นที่ 7
TOP500 ประกาศผลคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงสุดรอบเดือนมิถุนายน 2020 โดยเครื่อง Supercomputer Fugaku ขึ้นอันดับหนึ่งด้วยประสิทธิภาพสูงสุด 415.5 เพตาฟลอบสูงกว่าเครื่อง Summit แชมป์เก่าถึง 2.8 เท่าตัว จุดสำคัญคือมันใช้ซีพียู Fujitsu A64FX ที่เป็นสถาปัตยกรรม ARM เครื่องแรกที่ได้ที่หนึ่งในรายการ TOP500 โดยเครื่องติดตั้งที่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การประมวลผล RIKEN
เครื่องที่น่าสนใจอีกเครื่องคือ Selene ที่ NVIDIA สร้างขึ้นมาเพื่อสาธิตพลังของ DGX A100 โดยเฉพาะ โดยภายในเป็น DGX A100 จำนวน 280 เครื่อง รวมชิป A100 ทั้งหมด 2,240 ชิป เชื่อมต่อผ่าน Infiniband ประสิทธิภาพ fabric ที่ 56 TB/s เครื่อง Selene ได้อันดับ 7 ของ TOP500 ด้วยพลังประมวลผล 27.6 เพตาฟลอป ขณะที่ประสิทธิภาพด้านพลังงานยังได้ที่ 2 ของรายการ Green500 ด้วยพลังประมวลผล 20.5 กิกะฟลอปต่อวัตต์
เครื่อง NVIDIA Selene
ทาง NVIDIA ระบุว่าตอนนี้มีซูเปอร์คอมพิวเตอร์กำลังอยู่ระหว่างการสร้าง 6 เครื่องโดยใช้ชิป A100 และยังไม่ได้เข้ารายการ TOP500
ที่มา - TOP500, NVIDIA |
# เปิดตัว iOS 14 จัดระเบียบหน้าโฮมใหม่, แปลภาษาเรียลไทม์, App Clips, CarKey
แอปเปิลเปิดตัว iOS 14 (ไม่มีการเปลี่ยนชื่อเป็น iPhoneOS) มีการเปลี่ยนแปลงฟังก์ชันหลัก ๆ หลายส่วน ตั้งแต่หน้าโฮม ที่สามารถลบหน้าโฮมที่ไม่ใช้ออกไปได้ เช่นมีอยู่ 6 หน้า ลบให้เหลือ 2 หน้าเฉพาะแอปที่ใช้บ่อย ๆ ส่วนแอปที่เหลือทั้งหมดจะไปอยู่ใน App Library ที่เป็นหน้ารวมแอปทั้งหมดในเครื่อง โดยแยกหมวดหมู่ประเภทเอาไว้ให้ หรือกดเสิร์ชบาร์ใน App Library เพื่อเปิดลิสต์แอปทั้งหมดตามลำดับตัวอักษร
เช่นเดียวกับ Widget ที่สามารถเพิ่มมาแทรกระหว่างแอปในหน้าโฮม มีตัวเลือกหลายขนาดมากขึ้น นอกจากนี้ iOS 14 ทำให้ iPhone สามารถเล่นคลิปวิดีโอแบบ Picture-in-Picture ได้แบบบน iPad แล้วด้วย
ส่วนของ Siri นอกจาก UI ใหม่และรองรับการส่งเมสเสจด้วยเสียง ที่น่าสนใจคือการเปิดตัวแอป Translation รองรับการแปลภาษาได้จากเสียงพูดและบทสนทนาแบบเรียลไทม์ด้วย Siri เหมือนบน Google Translate แต่ทำงานแบบออฟไลน์ เบื้องต้นรองรับ 11 ภาษาได้แก่อังกฤษ, จีนกลาง, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, สเปน, อิตาเลียน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อารบิก, โปรตุเกสและรัสเซีย
อีกหนึ่งของใหม่ที่น่าสนใจคือ App Clips เปรียบเทียบกับฝั่งแอนดรอยด์ก็คือ Google Play Instant ที่ทำให้สามารถใช้งานฟังก์ชันหลักส่วนหนึ่งของแอปได้โดยไม่ต้องแอปเต็ม App Clips รองรับการเปิดใช้งานผ่านทั้ง NFC หรือเปิดกล้องสแกนโลโก้แท็ก เช่นเปิดเช่าสกู๊ตเตอร์ผ่าน App Clips ด้วยการแตะ NFC โดยไม่ต้องโหลดแอป รวมถึงสามารถส่งเป็นลิงก์ผ่านแชทหรือกดเปิดผ่าน Safari ก็ได้เช่นกัน โดย App Clips รองรับการจ่ายเงินผ่าน Apple Pay และล็อกอินด้วย Sign in with Apple ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องเสียเวลากรอกข้อมูลใดๆ ให้ยุ่งยาก
อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่คือ CarKey สำหรับการปลดล็อกและสตาร์ทรถด้วย iPhone ผ่าน NFC และชิป U1 โดยอาศัยสเปคของ Car Connectivity Consotrium เวอร์ชัน 2.0 ยืนยันตัวตนด้วย Face ID หรือ Touch ID สามารถแชร์รายละเอียดการใช้งานรถได้ผ่าน iMessage หรือตั้งโปรไฟล์การใช้งานรถยนต์หรือล็อกกุญแจรถกับ iPhone บางเครื่อง เช่น เครื่องของลูกก็ได้ โดยรถยนต์ยี่ห้อแรกที่รองรับคือ BMW ซีรีส์ 5
ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ก็มี Messages รองรับการ mention และปักหมุดบทสนทนา, Maps เพิ่มประเทศ UK, ไอร์แลนด์และแคนาดา รวมถึงแสดงตำแหน่งสถานีชาร์จรถไฟฟ้าแล้ว |
# ถอยคนละก้าว แอปเปิลอนุมัติ Hey ขึ้นสโตร์, Hey ยอมปรับแอพ ให้ลองใช้ฟรี 14 วัน
ความขัดแย้งระหว่างแอพอีเมล Hey ของ Basecamp กับแอปเปิล ดูจะยุติลงแล้ว เมื่อแอปเปิลอนุมัติให้แอพ Hey เวอร์ชัน 1.0.2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันแก้บั๊ก สามารถขึ้นเผยแพร่บน App Store ได้แล้ว
Jason Fried ซีอีโอของ Basecamp ยังอ้างคำพูดของ Phil Schiller ผู้บริหารแอปเปิลที่ให้สัมภาษณ์กับ TechCrunch ถึงแนวทางที่แอปเปิลอยากให้ Hey ปรับปรุง (ทำไมไม่คุยกันเองตรงๆ ก็ไม่แน่ใจ) โดย Schiller บอกว่าแอพ Hey ดาวน์โหลดมาแล้วใช้งานไม่ได้เลยถ้าไม่ได้จ่ายเงิน จึงอยากให้ Hey ออกเวอร์ชันฟรีที่ใช้งานอีเมลแบบพื้นๆ และเวอร์ชันเสียเงินเพื่ออัพเกรดความสามารถ
ทีม Hey ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์แก้ปัญหานี้ โดยไม่ได้แยกเวอร์ชันตามคำแนะนำของ Schiller แต่เปิดตัวเลือกทดลองใช้งานฟรีมาในตัวแอพ Hey เลย ผู้ที่ลองใช้จะได้อีเมลแบบสุ่ม @hey.com มาใช้ชั่วคราว 14 วัน และส่งไปให้แอปเปิลตรวจเพื่อขอขึ้น App Store แล้ว
ความขัดแย้งระหว่าง Hey กับแอปเปิลน่าจะจบลง แต่แอปเปิลก็มีประเด็นอื่นๆ ของ App Store ให้ถูกวิจารณ์ เช่น กรณีของ Facebook Gaming รวมถึงการถูก EU สอบสวนในข้อหากีดกันการแข่งขันด้วย
ที่มา - Hey |
# Crash Bandicoot 4 เปิดตัวบน PS4, Xbox One ทิ้งช่วงห่างจากภาค 3 นาน 22 ปี
หลังจากมีข่าวหลุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันนี้ Activision เปิดตัว Crash Bandicoot 4: It’s About Time ภาคใหม่ของเกมแอคชั่นแพลตฟอร์ม 3 มิติ Crash Bandicoot ที่เคยเป็นมาสค็อตของแบรนด์ PlayStation ในช่วงแรกๆ (ภายหลังลิขสิทธิ์ย้ายจาก Naughty Dog มาสู่ Activision ทำให้ลงแพลตฟอร์มอื่นด้วย)
Crash Bandicoot 4 ทิ้งช่วงห่างจากภาค 3 นานถึง 22 ปี (ภาค 3 ออกปี 1998 แต่ก็มีภาคอื่นๆ ที่ไม่มีเลขภาคออกจนถึงปี 2008) แต่เดินเรื่องต่อเนื่องจากตอนจบของ Crash Bandicoot 3 : Warped ที่เหล่าตัวเอกไปถูกทิ้งอยู่บนอวกาศ ในเกมภาค 4 ตัวเอกสามารถกลับบ้านได้ผ่านหลุมดำ แต่ก็ต้องมาเจอกับตัวร้ายใหม่ๆ แทน
รูปแบบเกมเพลย์ของ Crash Bandicoot 4 ยังเป็นเกมแอคชั่น 3 มิติ คงเกมเพลย์แบบดั้งเดิมและสไตล์การ์ตูนจากยุค 90s แต่ปรับกราฟิกให้สวยงามอลังการกว่าเดิม เกมภาคนี้พัฒนาโดยสตูดิโอ Toys for Bob บริษัทลูกของ Activision ซึ่งเคยมีผลงานพัฒนาเกมตระกูล Skylanders และช่วยรีมาสเตอร์ Crash Bandicoot N. Sane Trilogy กับ Spyro Reignited Trilogy มาก่อน
เกมจะออกขายวันที่ 2 ตุลาคม 2020 โดยออกบน Xbox One และ PS4 (ยังไม่มีข่าวของเวอร์ชันพีซีและ Switch)
ที่มา - Kotaku |
# เผย Nintendo ปรับแผนธุรกิจ มุ่งเกมคอนโซลอย่างเดียว ไม่มีเกมมือถือออกใหม่อย่างน้อยถึงมีนาคมปีหน้า
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่านินเทนโดได้ปรับแผนธุรกิจสำหรับเกมบนมือถือ โดยต้องการกลับไปโฟกัสที่การพัฒนาเกมลงคอนโซล Nintendo Switch มากกว่า ส่งผลให้นินเทนโดไม่มีแผนออกเกมใหม่บนสมาร์ทโฟนไปอย่างน้อยถึงมีนาคมปีหน้า (สิ้นสุดปีการเงิน) โดยมีเกมสุดท้ายคือ Mario Kart Tour ซึ่งจากนี้นินเทนโดจะเน้นรักษาฐานผู้ใช้เกมเดิมอย่าง Mario Kart Tour กับ Animal Crossing: Pocket Camp เป็นหลัก
รายงานบอกว่าเหตุผลที่นินเทนโดลดความสำคัญของเกมมือถือ ก็เนื่องจากความสำเร็จที่สูงมากจาก Animal Crossing: New Horizons ทำให้บริษัทต้องการมุ่งเน้นทำเงินจากเกมคอนโซลมากกว่า
ที่ผ่านมาก็มีข้อมูลว่านินเทนโดเองไม่ได้ต้องการทำเงินเยอะ ๆ จากเกมบนมือถือมากนัก แต่ต้องการให้เกมมือถือเป็นช่องทางสร้างการรับรู้ และทำให้คนไปซื้อเกมคอนโซลต่อมากกว่า
ที่มา: IGN |
# [ไม่ยืนยัน] แอปเปิลเตรียมถอนเกมนับพันออกจาก App Store จีน หลังผู้จัดจำหน่ายยังไม่ได้รับใบอนุญาต
สำนักข่าว South China Morning Post อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตนระบุว่าแอปเปิลกำลังแจ้งผู้จัดจำหน่ายเกมจำนวนมากให้ขอใบอนุญาตทางการจีนให้ทันวันที่ 30 กรกฎาคมนี้ไม่เช่นนั้นเกมจะถูกถอนออกจาก App Store ในจีน
จีนมีแนวทางตรวจสอบเนื้อหาเกมก่อนจัดจำหน่ายได้มาตั้งแต่ปี 2018 กระบวนการตรวจสอบนั้นมีรายละเอียดมากและกระบวนการล่าช้าจนกระทั่ง Tencent ต้องถอนการขออนุญาตเกม PUBG ออกไป แนวทางการอนุญาตจำกัดความรุนแรง รวมถึงห้ามมีเลือด หากมีระบบแต่งงานจะจำกัดอายุผู้เล่น เป็นต้น
เกมที่รอดระบบขออนุญาตของจีนมาได้ยาวนาน เช่น Grand Theft Auto ที่เนื้อหาไม่น่าผ่านการเซ็นเซอร์ของจีนแต่ก็ยังโหลดผ่าน App Store ได้ โดยรวมแล้วคาดว่าจะมีเกมหายไปนับพัน
ที่มา - South China Morning Post |
# รวมข่าวลือก่อนงาน WWDC20 คืนนี้ - ไม่มีเปิดตัวฮาร์ดแวร์ใหม่, iOS อาจเปลี่ยนชื่อเป็น iPhone OS
ข่าวนี้เป็นการรวมข่าวลือทั้งหลายในช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนงาน WWDC20 ของแอปเปิล ที่จะเริ่มต้นในคืนนี้ ถึงแม้เนื้อหาหลักของงานจะเน้นไปที่นักพัฒนา ทำให้เป็นเรื่องของซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ แต่ก็คาดว่าแอปเปิลจะเปิดตัวฮาร์ดแวร์เช่นกัน
เริ่มต้นที่ Mark Gurman จาก Bloomberg โดยเขาบอกว่าในงาน WWDC20 จะไม่มีฮาร์ดแวร์ใหม่เปิดตัว แต่แอปเปิลจะประกาศแผนการใช้ซีพียู ARM เพื่อให้นักพัฒนาเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่าน แต่ตัว Mac ที่ใช้ ARM จะเริ่มวางจำหน่ายเร็วที่สุดคือปลายปี 2020 ซึ่งคล้ายกับที่ Ming Chi Kuo นักวิเคราะห์ขาประจำระบุไว้ เช่นเดียวกับระบบปฏิบัติการอื่นทั้ง tvOS, watchOS และ HomePod ที่แอปเปิลจะประกาศฟีเจอร์ใหม่หลายอย่าง แต่ตัวฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ จะไปเปิดตัวช่วงปลายปี
ข้อมูลจาก Jon Prosser และ Max Weinbach ซึ่งเป็นสื่อด้านไอที ก็ระบุว่าแอปเปิลจะไม่มีฮาร์ดแวร์ใดที่เปิดตัวในงานนี้ แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวลือ อาทิ แท็กติดอุปกรณ์ AirTags หรือหูฟัง AirPods Studio รุ่นใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นปัญหาต่อเนื่องจากจากซัพพลายเชนช่วงต้นที่ผ่านมา
นอกจากนี้ Prosser ยังกล่าวว่าแอปเปิลอาจเปลี่ยนคำเรียกระบบปฏิบัติการ iOS ซึ่งปีนี้น่าจะเป็น iOS 14 มาใช้ชื่อ iPhone OS แทน เพื่อให้สอดคล้องกับ iPadOS ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อดั้งเดิมของระบบปฏิบัติการบน iPhone ก่อนจะเปลี่ยนมาแรกว่า iOS ในปี 2010 ที่มีการเปิดตัว iPad
งาน WWDC20 จะเริ่มต้นในเวลาเที่ยงคืนวันนี้ (คืนวันที่ 22 มิถุนายน) ตามเวลาในประเทศไทย
ที่มา: MacRumors [1], [2] และ Apple Insider |
# Amazon จะเลิกสนับสนุน Dash Wand ตัวสแกนบาร์โค้ดสั่งงานด้วยเสียง 21 กรกฎาคมนี้
Amazon ประกาศเลิกสนับสนุน Dash Wand อุปกรณ์สแกนบาร์โค้ดที่มาพร้อมกับ Alexa ที่เปิดตัวในปี 2017 เอาไว้สำหรับสแกนบาร์โค้ดสินค้าที่ต้องการซื้อ หรือสั่ง Alexa ด้วยเสียง สินค้าตัวนั้นก็จะถูกเพิ่มลงในตะกร้าสินค้าในแอป Amazon ทันที โดย Dash Wand สามารถใช้งานได้แค่ในสหรัฐอเมริกา
Amazon ยกเลิกการสนับสนุนอุปกรณ์นี้โดยไม่แจ้งเหตุผล มีเพียงโครงการให้นำเครื่องมาคืนเพื่อรีไซเคิลได้ โดยไม่มีอุปกรณ์หรือเงินทดแทนหรือให้ แต่ก่อนหน้านี้ Dash Wand ก็แจกฟรีให้กับผู้สมัคร Amazon Fresh บริการซื้อของสดของ Amazon อยู่หลายครั้ง และมีราคาเพียง 50 เหรียญ (ประมารณ 1550 บาท) ทำให้ Amazon อาจจะไม่ต้องชดเชยใดๆ
คาดว่าการยกเลิก Dash Wand มาจากลำโพง Alexa มีราคาถูกลงมาก และถ้าผู้ใช้อยากสแกนบาร์โค้ด ก็สามารถใช้มือถือสแกนได้ อุปกรณ์ชิ้นนี้เลยอยู่ในจุดที่ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
ที่มา - Engadget |
# เปิดตัว Aruba ESP โซลูชันวิเคราะห์จัดการระบบเครือข่ายอุปกรณ์ปลายทางด้วย AI
Aruba เปิดตัว Aruba ESP (Edge Services Platform) แพลตฟอร์มวิเคราะห์ คาดการณ์และแก้ไขปัญหาของเครือข่ายในอุปกรณ์ปลายทางโดยใช้ AI ที่ Aruba เคลมว่าช่วยลดเวลาในการแก้ปัญหาลงถึง 90% และเพิ่มความสามารถรับส่งข้อมูล (Throughput Capacity) ที่ 15%
Aruba ESP เป็นโซลูชันแบบ Unified Infrastructure ที่ทำงานผ่าน Aruba Central อีกที ทำให้สามารถเข้าถึงและวิเคราะห์เครือข่ายและอุปกรณ์ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะไร้สาย, มีสายหรือแม้แต่ SD-WAN รวมถึงออกแบบมาในแบบ open standard ทำให้สามารถทำงานร่วมกับโซลูชันหรือบริการของ third-party ได้ด้วย
ในแง่ความปลอดภัย ตัวโซลูชันก็ถูกออกแบบมาภายใต้หลักการ Zero Trust และรองรับกับกฎหมาย พ.ร.บ. ความมั่นคงไซเบอร์และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ปี 2562 ด้วย โดยองค์กรสามารถเลือกใช้งาน Aruba ESP ได้ทั้งแบบ as a Service, ติดตั้งเองแบบ on-prem หรือแบบ Managed Service |
# Bootstrap ออกเวอร์ชัน 5.0 Alpha เลิกใช้ jQuery แล้ว เปลี่ยนมาใช้ JavaScript ธรรมดา
Bootstrap เฟรมเวิร์คสำหรับเขียนเว็บชื่อดัง ประกาศออกเวอร์ชัน 5.0 Alpha 1 มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือเลิกใช้เฟรมเวิร์ค jQuery ที่ใช้มายาวนาน เปลี่ยนมาใช้โค้ด JavaScript ปกติแทน ด้วยเหตุผลว่าฟีเจอร์ของ JavaScript และเบราว์เซอร์รุ่นใหม่ๆ สามารถทดแทน jQuery ได้แล้ว
ผลของการเลิกใช้ JQuery ช่วยให้ขนาดไฟล์เว็บที่สร้างด้วย Bootstrap เล็กลง และเว็บเพจโหลดได้เร็วขึ้น ทีมงาน Bootstrap บอกว่ายังต้องปรับปรุงแก้ไขการแสดงผลอีกหลายจุดหลังถอด jQuery ออกไป ซึ่งก็จะค่อยๆ แก้ไขในรุ่นทดสอบถัดๆ ไป
Bootstrap 5 ยังเลิกซัพพอร์ต Internet Explorer แล้ว ทำให้เรียกใช้ฟีเจอร์เว็บใหม่ๆ ได้ เช่น CSS custom properties
ที่มา - Bootstrap |
# งานวิจัยเผยคนเสพข่าวผ่าน Instagram มากขึ้น ไล่ตามทวิตเตอร์มาติดๆ
งานวิจัยจาก Reuters Institute Digital News วิจัยพฤติกรรมการเสพข่าวของคนในหลายประเทศ เผยว่า คนเสพข่าวจากช่องทาง Instagram เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับปี 2018 แต่ในภาพรวมจากงานวิจัย คนยังใช้โซเชียลมีเดียด้วยจุดประสงค์ทั่วไป แต่อัตราการใช้เพื่อเสพข่าวเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ และที่น่าสนใจคือ Instagram ที่คนมักใช้เพื่อดูรูป กลับมีการใช้เพื่อเสพข่าวเป็นอันดับที่ 5 รองจากทวิตเตอร์
Facebook ยังคงเป็นที่ 1 ในบรรดาโซเชียลมีเดียที่คนใช้ตามข่าวเยอะ รองลงมาเป็น YouTube, WhatsApp, Twitter, Instagram, Facebook Messenger, Snapchat
อย่างไรก็ตามในแง่ของความน่าเชื่อถือ งานวิจัยเผยคนยังไม่เชื่อถือแหล่งข่าวจากโซเชียลมีเดียมากนัก มีแค่ 26% ส่วนอีก 59% เชื่อแหล่งข่าวจากสำนักข่าวจริงๆ หรือหน่วยงานรัฐบาล
Nic Newman หัวหน้างานวิจัยบอกว่า คนอายุน้อยใช้ Instagram ตามข่าวมากขึ้น เพราะย่อยง่าย ใช้เพียงข้อความประกอบรูปภาพ ยิ่งในเวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญอย่างโรคระบาด, การประท้วง Black Lives Matter ข่าวใน Instagram จะได้รับ engagement มากเป็นพิเศษ
ที่มา - BBC |
# จิ๋วแต่แจ๋ว! แนะนำมือถือรุ่นงบต่ำกว่า 5,000 บาท แต่ใช้งานได้คุ้มราคา
ครั้งที่แล้วผู้เขียนแนะนำมือถือในงบต่ำกว่า 10,000 บาทไป แต่หลายท่านอาจยังมองว่า ไม่ประหยัดพอ ยุคเศรษฐกิจแบบนี้ อยากประหยัดกว่านี้อีก วันนี้ผู้เขียนจึงมีอีก 5 ตัวเลือกมือถือที่งบต่ำกว่า 5,000 มาแนะนำ แน่นอนว่าในระดับราคาเท่านี้ อาจไม่ได้สเปกที่ดีที่สุด หรือระบบปฏิบัติการที่อัพเดตทีสุด แต่ก็อยู่ในระดับที่ใช้งานได้
ผู้เขียนจะมาจำแนกข้อดีข้อเสียพร้อมสเปกคร่าวๆ ของแต่ละรุ่นไว้เป็นข้อมูล โดยใช้เกณฑ์เลือกมือถือปี 2020 ในเรตราคาใกล้เคียง 5,000 บาท จาก 5 ค่ายที่มีขายในไทย (หรือถ้าเกิน ก็จะหารุ่นที่สามารถซื้อได้ในโปรโมชั่นที่ราคาต่ำกว่า 5,000 ตามเว็บไซต์ต่างๆ แม้ราคาตั้งต้นจะแพงกว่านั้น)
Realme 6i
ราคา:
รุ่นแรม 3GB + ความจุ 64GB ราคา 4,699 บาท
รุ่นแรม 4GB + ความจุ 128GB ราคา 6,499 บาท
สเปก:
ชิป Mediatek Helio G80
แรม 3 GB ความจุ 64 GB
หน้าจอ LCD 720 x 1560
แบตเตอรี่ 5,000 mAh
กล้องหลัง 48MP + อัลตร้าไวด์ 2MP + depth sensor 2MP
Android 10
จุดเด่น:
กล้องหลัก 48MP, แบต 5,000 mAh, Android 10
ข้อเสีย:
รองรับชาร์จเร็วแค่ 18W อาจน้อยไปหน่อยสำหรับแบต 5,000 mAh
Realme 6i มาพร้อมหน้าจอ LCD ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 720 x 1560 ใช้ชิป Mediatek Helio G80 ให้แรมมา 3GB หน่วยความจำ 64 GB (มีรุ่นแรม 4GB+64GB ถ้าเพิ่มเงินอีกหน่อย ซึ่งเกินเกณฑ์ 5,000 บาท) ให้กล้องหลังมา 3 กล้อง คือกล้องหลัก 48MP กล้องอัลตร้าไวด์ 2MP และ depth sensor 2MP จุดที่เด่นที่สุดน่าจะเป็นแบตเตอรี่ 5,000 mAh และโฆษณาบนเว็บทางการไว้ว่าสแตนด์บายได้ถึง 39 วัน และระบบปฏิบัติการ Android 10 มาจากโรงงานอีกด้วย
OPPO A31
ราคา:
5,499 บาท (มีโปรโมชั่นที่ราคาไม่ถึง 5,000 บาท)
สเปก:
ชิป Mediatek P35
แรม 4 GB ความจุ 128 GB
หน้าจอ LCD 720 x 1560
แบตเตอรี่ 4,230 mAh
กล้องหลัง 12MP + มาโคร 2MP + depth sensor 2MP
Android 9
จุดเด่น:
แรม 4 GB ความจุ 128 GB เยอะกว่ารุ่นอื่นในระดับราคาเดียวกัน
ข้อเสีย:
ไม่รองรับชาร์จเร็ว, ไม่มีกล้องอัลตร้าไวด์
OPPO A31 หน้าจอ LCD 6.5 นิ้ว ความละเอียด 720 x 1560 มาพร้อมชิป Mediatek Helio P35 ให้แรมมา 4GB เท่ากับ Huawei Y7p แต่ให้หน่วยความจำมาถึง 128 GB ซึ่งมากกว่ารุ่นอื่นๆ ทุกรุ่นในระดับราคานี้
กล้องหลังมี 3 กล้องคือกล้องหลัก 13MP กล้องมาโคร 2MP และ depth sensor 2MP กับกล้องหน้า 5MP น่าเสียดายที่ไม่มีกล้องอัลตร้าไวด์มาให้
ราคาอย่างเป็นทางการของ Oppo A31 อยู่ที่ 5,499 บาท แต่ในร้านค้าออนไลน์หลายร้านก็สามารถซื้อได้ในราคาจริงๆ ไม่ถึง 5,000 บาทแล้ว
Redmi Note 9
ราคา:
5,599 บาท (มีโปรโมชั่นราคาต่ำกว่า 5,000 บาท)
สเปก:
ชิป Mediatek Helio G85
แรม 3GB ความจุ 64GB
หน้าจอ LCD 1080 x 2340
แบตเตอรี่ 5,020 mAh
กล้องหลัง 48MP + อัลตร้าไวด์ 8MP + depth sensor 2MP
Android 10
จุดเด่น:
หน้าจอ Full HD, กล้องหลังหลัก 48MP, มีกล้องอัลตร้าไวด์, แบตเตอรี่ 5,020 mAh, Android 10
ข้อเสีย:
รองรับชาร์จเร็วแค่ 18W อาจน้อยไปหน่อยสำหรับแบต 5,020 mAh
Redmi Note 9 มาพร้อมหน้าจอ LCD ความละเอียด 1080 x 2340 และใช้ชิป Mediatek Helio G85 แรม 3 GB และหน่วยความจำ 64 GB เป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะให้สเปกมาค่อนข้างครบครันกว่ามือถือรุ่นอื่นในระดับราคานี้ ทั้งกล้องหลัง 48MP มีกล้องอัลตร้าไวด์ 8MP มากับ depth sensor 2MP บวกกับกล้องหน้า 13MP แถมยังให้แบตเตอรี่มา 5,020 mAh (เยอะที่สุดใน 5 รุ่นที่แนะนำ) และรองรับชาร์จเร็ว 18W (ถือถึงจะไม่เร็วสุดสำหรับแบตขนาดนี้ แต่ก็พอไหว)
Huawei Y7p
ราคา:
4,499 บาท
สเปก:
ชิป Kirin 710F
แรม 4GB ความจุ 64GB
หน้าจอ LCD 720 x 1560
แบตเตอรี่ 4,000 mAh
กล้องหลัง 48MP + อัลตร้าไวด์ 8MP + depth sensor 2MP
Android 9
จุดเด่น:
กล้องหลังหลัก 48MP, แรม 4 GB
ข้อเสีย
ยังเป็น Android 9, ไม่มี GMS
Huawei Y7p หน้าจอ LCD ความละเอียด 720 x 1560 ใช้ชิป Kirin 710F ให้แรมมา 4GB ถือว่าเยอะกว่ารุ่นอื่นๆ ในระดับราคานี้ที่มักให้แรมมาแค่ 3GB กล้องหลังหลัก 48MP มีกล้องอัลตร้าไวด์ 8MP กับ depth sensor 2MP เช่นเดียวกันกับ Redmi Note 9 แต่กล้องหน้าให้มาแค่ 8MP
แต่มีข้อเสียคือ แบตเตอรี่ 4,000 mAh อาจน้อยไปสักนิด, ไม่รองรับ Google Mobile Services (GMS) และระบบปฏิบัติการยังเป็น Android 9 อยู่ โดยยังไม่มีการยืนยันว่าจะได้อัพเดตหรือไม่
ตัวเลือกอื่นที่ใกล้เคียงคือ Huawei Y6p รุ่นปี 2020 ราคา 3,999 บาท แม้ทั้งสเปกชิปและกล้องจะด้อยกว่า เพราะเป็นรุ่นรองลงมา แต่วางจำหน่ายทีหลัง จึงได้เป็น Android 10 มาตั้งแต่แรก
หรือถ้ายอมเกินงบเล็กน้อย อัพเกรดเป็น Y8p ราคา 6,990 บาท จะได้ Android 10 หน้าจอ OLED ความละเอียด 1080 x 2400 ได้กล้องหน้าเป็น 16MP และความจุ 128 GB (แต่ทั้งสามรุ่นที่กล่าวถึง ไม่มี GMS ซึ่งเป็นข้อเสียหลักของ Huawei ในช่วงนี้)
Samsung Galaxy A11
ราคา:
5,199 บาท (แต่มีโปรโมชั่นที่ราคาไม่ถึง 5,000 บาท)
สเปก:
ชิป Octa Core
แรม 3GB ความจุ 32GB
หน้าจอ TFT-LCD 720 x 1560
แบตเตอรี่ 4,000 mAh
กล้องหลัง 13MP + อัลตร้าไวด์ 5MP + depth sensor 2MP
Android 10
จุดเด่น:
ชาร์จเร็ว 15W, Android 10
ข้อเสีย
กล้องหลักความละเอียดแค่ 13MP
Galaxy A11 เป็นมือถือ Samsung อีกรุ่นในระดับราคา 5,000 ที่ถึงจะเกินงบสักหน่อย แต่ส่วนใหญ่ราคาโปรโมชั่น จะไม่ถึง 5,199 บาทอยู่แล้ว แต่ได้เป็น Android 10 และ Samsung ก็ขึ้นชื่อเรื่องการซัพพอร์ตมือถือในระดับราคานี้ยาวนานกว่าแบรนด์แอนดรอยด์อื่นๆ และมีนโยบายเปิดเผยรุ่นที่ยังอัพเดตอยู่อย่างชัดเจน โดยในซีรีส์ A บางรุ่นเช่น Galaxy A5 ที่มีอายุถึง 3 ปี (2017) ก็ยังได้อัพเดตอยู่ ส่วน Galaxy A11 ก็ยังมีชื่ออยู่ใน Quarterly Update อย่างชัดเจน
Galaxy A11 มาพร้อมหน้าจอ TFT-LCD ความละเอียด 720 x 1560 กล้องหลังสามกล้อง กล้องหลัก 13MP ที่ความละเอียดอาจจะน้อยไปหน่อย แต่ก็ยังใช้งานได้ กับกล้องอัลตร้าไวด์ 5MP และ depth sensor 2MP ใช้ชิป Octa Core และให้แรมมา 3GB กับหน่วยความจำภายใน 32GB
ซัมซุงยังมีมือถือรุ่นใกล้เคียงกันคือ Galaxy A20 ราคา 4,990 บาท เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจในงบ 5,000 บาท แถมมีจุดเด่นกว่า A11 ตรงที่ A20 ใช้จอ Super AMOLED ที่สีสันสดใจกว่า แต่ข้อด้อยของ A20 คือใช้ชิป Exynos 7884 มีกล้องหลังแค่สองตัว และยังเป็น Android 9 อยู่
อีกทางเลือกคือเพิ่มเงินเล็กน้อย ขยับไป Galaxy A20s ที่ ราคา 5,490 บาท จะได้กล้องหลังสามกล้อง ชิป Snapdragon 450 และแรม 4GB หน่วยความจำ 64GB แต่จะได้เป็นจอ LCD แทน แต่ทั้งสองรุ่นเป็นรุ่นที่ออกปีที่แล้ว ระยะเวลาในการซัพพอร์ตอาจจะน้อยกว่า ผู้เขียนจึงเลือก A11 ซึ่งเป็นมือถือออกใหม่ของปี 2020 มาเป็นรุ่นหลักที่แนะนำ
สรุป
แม้ใน 5 รุ่นที่เลือกมานี้ Redmi Note 9 ดูเป็นตัวเลือกที่เด่นและครบครันที่สุด แต่ Realme 6i ก็ตามมาติดๆ ด้วยจุดขายเรื่องกล้องหลัก 48MP และแบต 5,000 mAh ส่วนมือถือรุ่นอื่นๆ ก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป เช่น Huawei Y7p ให้แรมมา 4 GB กับกล้อง 48MP, OPPO A31 ให้หน่วยความจำมาเยอะถึง 128GB เยอะที่สุดในตัวเลือกทั้งหมด และการซัพพอร์ตระยะยาวของ Samsung ก็ทำให้ Galaxy A11 น่าดึงดูดใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน |
# NVIDIA เปิดตัว Mellanox UFM Cyber-AI แพลตฟอร์มตรวจสอบภัยไซเบอร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ แจ้งเตือนฮาร์ดแวร์ไม่สมบูรณ์
NVIDIA เปิดตัว NVIDIA Mellanox UFM Cyber-AI แพลตฟอร์มตรวจจับความผิดปกติในเน็ตเวิร์ค ตั้งแต่ความผิดปกติด้านประสิทธิภาพ, ชิ้นส่วนอุปกรณ์เสียหาย, หรือมีการโจมตีไซเบอร์เช่นการขุดเหมืองเงินคริปโต
สินค้าในตระกูล UFM ของ NVIDIA เป็นซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการเน็ตเวิร์คมีอีกสองตัว คือ UFM Telemetry สำหรับการมอนิเตอร์เครือข่ายส่งข้อมูลไปยังระบบอื่นๆ ต่อไปเปิดตัวในวันนี้ และ UFM Enterprise สำหรับการจัดการเครือข่าย โดย UFM Cyber-AI จะไม่ขายเฉพาะซอฟต์แวร์ แต่ขายทั้งเซิร์ฟเวอร์เป็น appliance พร้อมซอฟต์แวร์
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงอย่างมาก และระยะยาวที่ระบบดาวน์สร้างความเสียหายได้มาก โดยมีงานวิจัยจาก ITIC ระบุว่าโดยทั่วไปค่าเสียหายอยู่ที่ชั่วโมงละ 300,000 ดอลลาร์หรือประมาณสิบล้านบาท
ที่มา - NVIDIA |
# Google Duplex เริ่มโทรเช็คว่าร้านค้ามีของใช้จำเป็นหรือไม่ ช่วยผู้ใช้ตรวจสอบก่อนไปซื้อ
หลังจากเปิดให้ใช้งานเมื่อปีที่แล้ว ล่าสุด Google Duplex เอไอคุยโทรศัพท์อัจฉริยะ กำลังช่วยรวบรวมข้อมูลด้วยการโทรเช็คแล้วว่าร้านค้าต่าง ๆ มีของใช้ที่จำเป็น (กระดาษชำระ, เจลล้างมือ) พร้อมหรือไม่ โดยข้อมูลเหล่านี้จะปรากฏบน Google Maps และ Google Search ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องเสียเที่ยวเดินทางไปร้านค้าแล้วไม่มีสินค้า
ก่อนหน้านี้ Google Duplex ถูกใช้งานในลักษณะคล้ายกันมาแล้วครั้งหนึ่ง ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ด้วยการโทรเช็คข้อมูลเกี่ยวกับบริการเดลิเวอรี่รวมไปถึงเวลาเปิดปิดของร้านค้าต่างๆ ช่วยให้ผู้ใช้งานปรับตัวเข้ากับสถาการณ์โรคระบาดได้ดียิ่งขึ้น
ร้านค้าที่ได้รับสายจาก Google Duplex จะมีข้อความแจ้งไว้ชัดเจนว่าเป็นระบบสอบถามข้อมูลจากระบบอัตโนมัติพร้อมขออนุญาตบันทึกเสียง หากผู้รับสายพูดไม่อนุญาตให้บันทึกระบบจะโอนสายไปยังเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามข้อมูลโดยไม่บันทึกเสียงต่อไป
ที่มา - VentureBeat |
# NVIDIA เปิดตัวการ์ด A100 แบบ PCIE ผู้ผลิตจำนวนมากรองรับเป็นออปชั่นเสริม
NVIDIA เปิดตัวการ์ด NVIDIA A100 แบบ PCIE หลังจากเปิดตัวการ์ดแบบ SXM มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยชิปเป็นตัวเดียวกัน บนตัวการ์ดติดตั้งแรมแบบ HBM2 มาด้วย 40GB เซิร์ฟเวอร์ที่เลือกใช้การ์ดแบบ PCIE สามารถเลือกติดตั้งได้ตั้งแต่การ์ดเดียวไปจนมากกว่า 10 ใบ
การเปิดตัวการ์ดแบบ PCIE ทำให้ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากประกาศรองรับชิป A100 บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเอง เช่น ASUS รองรับบนเครื่อง ECS4000A-E10 ใส่การ์ดได้ 4 ใบ, GIGABYTE ประกาศว่าเครื่อง G481-HA0 จะใส่ A100 ได้ถึง 10 ใบ เป็นต้น โดยแม้การ์ดจะเป็นแบบ PCIE ที่น่าจะติดตั้งเองได้ แต่ NVIDIA ระบุว่าจะขายการ์ดผ่านทางผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์เท่านั้นไม่ขายการ์ดแยก
การ์ดแบบ SXM เดิมของ NVIDIA นั้นต้องอาศัยเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะ โดยเชื่อมต่อระหว่าง GPU ด้วย NVSwitch ทำให้เชื่อมต่อได้เต็มแบนวิดท์ และการคอนฟิกสเปคความร้อนของ SXM ก็ปล่อยความร้อนสูงกว่า ทำให้ประสิทธิภาพของการ์ด SXM เมื่อรันต่อเนื่องจะสูงกว่าเล็กน้อย NVIDIA คาดว่าโดยรวมการ์ดแบบ PCIE จะมีประสิทธิภาพประมาณ 90% ของการ์ด SXM
ที่มา - NVIDIA |
# EU เริ่มสอบสวนแอปเปิลกีดกันการแข่งขัน จากการผูกขาด App Store และ Apple Pay
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมการยุโรป (European Commission หรือ EC) หน่วยงานรัฐบาลของสหภาพยุโรป (EU) ประกาศเริ่มสอบสวนแอปเปิลอย่างเป็นทางการ ในข้อหา "ผูกขาด" แยกเป็น 2 กรณีคือ App Store และ Apple Pay
กรณีของ App Store เริ่มมาจากเรื่องร้องเรียนของ Spotify และผู้ให้บริการอีบุ๊กอีกราย (ที่ EC ไม่ได้ระบุชื่อ) ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงกับแอปเปิลในบริการ Apple Music และ Apple Books
ประเด็นที่เป็นปัญหาคือ เงื่อนไขการหักส่วนแบ่งรายได้ 30% เมื่อจ่ายเงินสมัครบริการผ่าน in-app purchase (IAP) และเงื่อนไขที่แอปเปิลห้ามไม่ให้มีลิงก์หรือข้อความชวนไปจ่ายเงินนอกแอพ
EC ระบุว่าสอบสวนเบื้องต้นแล้ว เป็นไปได้ที่กฎของแอปเปิลจะมีผลต่อการแข่งขันในธุรกิจสตรีมมิ่งเพลง เพราะแอปเปิลเป็นทั้งเจ้าของ App Store และ Apple Music ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Spotify เสียเปรียบกว่าตั้งแต่แรก
ส่วนกรณี Apple Pay เป็นเรื่องการผูกขาดวิธีจ่ายเงินด้วย NFC บนอุปกรณ์ iOS ที่แอปเปิลไม่ยอมให้บริการจ่ายเงินรายอื่นๆ เข้ามาใช้งาน NFC สำหรับ "แตะเพื่อจ่าย" ได้เลย จึงอาจถือเป็นการกีดกันไม่ให้บริการจ่ายเงินบนมือถือรายอื่นๆ ได้เกิด ทำให้ผู้บริโภคไม่มีตัวเลือกอื่นเลย
ขั้นถัดไป EC จะสอบสวนในเชิงลึกว่าแอปเปิลทำผิดตามกฎหมายด้านต่อต้านการผูกขาดของ EU หรือไม่ (ประกาศนี้เป็นการบอกให้ทั้งแอปเปิลและสาธารณะทราบว่า EC กำลังสอบสวนเรื่องนี้อยู่)
ที่มา - EC (App Store), EC (Apple Pay) ภาพจาก European Commission |
# Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิล ก่อตั้งองค์กรช่วยเหลือภัยพิบัติอย่างเงียบๆ มีเทคโนโลยีเพียบพร้อม
Sergey Brin ผู้ก่อตั้งกูเกิล สร้างองค์กรการกุศลเพื่อป้องกันภัยพิบัติ Global Support and Development (GSD) ขึ้นมานานแล้ว และสร้างขึ้นอย่างเงียบๆ โดยคนที่ทำงานใน GSD ครึ่งหนึ่งเป็นทหารผ่านศึก และอดีตบอดี้การ์ดของ Brin เอง
ใน GSD มีเทคโนโลยีทันสมัยอย่างโดรน, เรือยอชต์แจกจ่ายสิ่งของจำเป็นในเขตภัยพิบัติ และได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้คนในภัยพิบัติครั้งสำคัญในสหรัฐฯเช่น พายุโดเรียน รวมถึงโรคระบาด COVID-19 ด้วย
แนวคิดการก่อตั้ง GSD เริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2015 เมื่อพายุไซโคลน Pam ถล่มวานูอาตู ประเทศหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ทำลายที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภคจำเป็นไปแทบหมดทั้งน้ำ พลังงานไฟฟ้า ซึ่งตัว Brin มีเรือยอชต์ Dragonfly ราคา 80 ล้านดอลลาร์อยู่ในครอบครองอยู่แล้ว แล่นอยู่ในละแวกนั้นแต่ Brin ไม่ได้อยู่บนเรือในขณะนั้น เมื่อพายุเข้าถล่ม กัปตันเรือ Mike Gregory ก็ติดต่อหา Brin เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
จากนั้นคนที่เข้ามารับหน้าที่ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยคือ Grant Dawson อดีตทหารกองทัพเรือและคนรู้จักกับ Brin อยู่แล้ว
ในการจัดส่งทีมแพทย์, หน่วยซีลและสิ่งของจำเป็นในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
หลังจากนั้น GSD ก็มีส่วนช่วยเหลือในภัยพิบัติสำคัญอีกหลายครั้ง คือ แผ่นดินไหวในเอกวาดอร์ปี 2016, เฮอริเคน Matthew ในบาฮามัส, เฮอริเคน Irma ในปี 2017 จนถึงตอนนี้ GSD มีพนักงานฟูลไทม์ 20 ราย
ที่มาภาพ - GSD
ที่มา - The Daily Best |
# Disney+ ในสหรัฐเลิกให้ทดลองใช้ฟรีแล้ว หลังเปิดให้บริการแค่ 7 เดือน
Disney+ ในสหรัฐยกเลิกการทดลองให้ใช้งานฟรี 7 วันแล้วหลังเปิดให้บริการมาแค่ 7 เดือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ขณะที่จำนวนสมาชิกตอนนี้อยู่ที่ 54.5 ล้านคนเข้าไปแล้ว ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างเร็ว
ด้าน Disney ชี้แจงว่ากำลังทดสอบการตลาดและโปรโมชันรูปแบบต่าง ๆ สำหรับ Disney+ อยู่ ขณะที่ค่าบริการของ Disney+ ก็ค่อนข้างถูกและคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคอนเทนท์ ดังนั้นบริษัทจึงคิดว่าตัว Disney+ ค่อนข้างดึงดูดในตัวมันเองอยู่แล้ว
ที่น่าสนใจคือ Bloomberg ได้ทำแบบสำรวจผู้ใช้งานบริการสตรีมมิ่งในสหรัฐ ว่าในงบประมาณจำกัด ผู้ตอบแบบสอบถามจะเลือกจ่ายค่าบริการให้เจ้าไหน และตอนนี้กำลังเป็นสมาชิกบริการไหนอยู่ ซึ่ง Netflix, Disney+ และ Hulu (ของ Disney) เป็นเพียง 3 เจ้าที่คนยอมจ่ายค่าสมาชิก
ที่มา - Bloomberg |
# Dell EMC เปิดตัวสตอเรจตระกูลใหม่ PowerScale แฟลชล้วน, เก็บ Unstructured Data
Dell EMC เปิดตัวสตอเรจเซิร์ฟเวอร์ตระกูลใหม่ PowerScale สำหรับงานเก็บข้อมูลแบบ unstructured data เข้ามาเสริมทัพในไลน์ของ Isilon เดิม
Dell EMC PowerScale เป็นสตอเรจแบบแฟลชล้วน (All-Flash) เช่นเดียวกับ Isilon ซีรีส์ F และใช้รหัสรุ่นเป็น F แบบเดียวกัน เบื้องต้น PowerScale เปิดตัวมา 2 รุ่นคือรุ่นล่าง F200 (All-Flash) และรุ่นกลาง F600 (All-NVMe) ยังเว้นที่ให้กับ Isilon F800/F810 ที่จับตลาดบนอยู่
ทั้ง PowerScale F200 และ F600 เป็นเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1U (ใช้บอดี้เดียวกับเซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge) รองรับซีพียูสูงสุด 2 ซ็อคเก็ต (สำหรับรุ่น F600) ความจุเริ่มต้นที่ 11TB และสามารถต่อคลัสเตอร์กันให้สเกลไปสูงสุดที่ 60PB
จุดเด่นของ Dell EMC PowerScale อยู่ที่ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ OneFS 9.0 ตัวเดียวกับใน Isilon จึงสามารถนำมาใช้งานร่วมกับสตอเรจ Isilon ที่มีอยู่เดิมได้, มีฟีเจอร์ DataIQ สำหรับบริหารชุดข้อมูล (dataset management) รวมถึงรองรับโหลดงานชนิดใหม่ๆ เช่น Ansible หรือ Kubernetes
ที่มา - Dell Technologies |
# เจาะลึก True Robotics โครงการพัฒนาหุ่นยนต์ Service Robot ของเครือซีพี
จุดเริ่มต้นเรื่องการใช้หุ่นยนต์ของบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด มาจากนโยบายของประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ เมื่อ 4-5 ปีก่อน ที่อยากให้นำหุ่นยนต์มาใช้ในร้านค้าปลีกของเครือ ทำให้ทุกบริษัทในเครือซีพีเข้ามาศึกษาเรื่องนี้ ถ้านับเฉพาะในส่วนของ True เอง มีทีมที่เรียกว่า True Robotics ซึ่งในช่วงแรกเน้นการสรรหาหุ่นยนต์จากทั่วโลกมาใช้งาน แต่ภายหลังก็คิดว่า คนไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์เองได้ จึงเริ่มโครงการพัฒนาหุ่นยนต์ด้วย
ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ผู้ช่วยบริหาร สำนักประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนองค์กร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ระบุว่า นโยบายของซีพีคือการดึงคนเก่งจากทั่วโลกมาทำงาน เวลาพูดถึงความสำเร็จ “ซีพี” คนมักนึกถึงท่านประธานธนินท์ แต่จริงๆ แล้วในเครือมีคนทำงานอยู่ถึง 3 แสนคนทั่วโลก ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของเครือซีพีมาจากคนเหล่านี้ ซีพีรู้ดีว่าการแข่งขันเชิงธุรกิจ วัดกันที่ว่าคนของใครเก่งกว่า เมื่อธุรกิจเติบโต สร้างคนเองไม่ทัน จึงต้องใช้วิธีดึงคนเก่งจากทั่วโลกเข้ามาร่วมงาน
ดร.ธีระพล บอกว่าวิกฤต COVID-19 เสมือนทำให้โลกถูกรีโปรแกรมใหม่ ผลักดันให้คนเข้าสู่ออนไลน์มากกว่าเดิม กลายเป็นโอกาสมหาศาล ขึ้นกับจะคว้าได้หรือไม่ พฤติกรรมผู้บริโภคยุคหลัง COVID-19 คือคนต้องการชีวิตที่มีสุขภาพดีขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น แต่ต้องการจ่ายเงินเท่าเดิมหรือถูกลง ทางออกเดียวที่ตอบโจทย์นี้ได้คือ ต้องนำเทคโนโลยีมาใช้งาน คำถามคือ เป็นเทคโนโลยีตัวไหนกันแน่ที่ควรลงทุน
ดร.ธีระพล บอกว่าเทคโนโลยีของยุคก่อนคืออินเทอร์เน็ต ที่เราเห็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ๆ รวยขึ้นมาจากการสร้างบริษัทอินเทอร์เน็ต ส่วนเทคโนโลยีของยุคนี้ มองว่าคือ “หุ่นยนต์”
เมื่อพูดถึงหุ่นยนต์ คนมักนึกถึงหุ่นยนต์ที่หน้าตาเหมือนมนุษย์แบบในภาพยนตร์ แต่จริงๆ แล้วคำว่าหุ่นยนต์มีความหมายกว้างกว่านั้นมาก ครอบคลุมไปถึงโดรน แขนกล หุ่นยนต์ดูดฝุ่น หุ่นยนต์ให้บริการ (service robot) ซึ่งเครือซีพีให้ความสนใจกับหุ่นยนต์ให้บริการที่สุด เพราะมีโอกาสนำไปต่อยอดธุรกิจได้ชัดเจน
วงการหุ่นยนต์ตอนนี้ยังไม่มีใครเป็นผู้ชนะชัดเจน จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยต้องรีบทำก่อน ประเทศไทยมีทรัพยากรด้านวิศวกรหุ่นยนต์จำนวนมาก มีคนไทยไปชนะการแข่งขันด้านหุ่นยนต์ในระดับโลกมาเยอะ ขาดแค่การผลักดันให้เกิดในทางธุรกิจเท่านั้น
คุณเจริญศักดิ์ รัตนวราห หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนา True Robotics บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เล่าว่าเริ่มโครงการมาประมาณ 3-4 ปี ในช่วงนั้นคำว่า service robot ยังใหม่มาก ยังไม่มีหุ่นในท้องตลาด จึงต้องใช้วิธีพาร์ทเนอร์กับบริษัทหุ่นยนต์ในต่างประเทศ ไปดูว่าหุ่นยนต์ทั่วโลกมีตัวไหนน่าสนใจบ้าง ถ้าคิดว่าน่าสนใจก็นำมาวิจัยและพัฒนา (R&D) ต่อ เพื่อให้การใช้งานเหมาะสมกับประเทศไทย พัฒนาซอฟต์แวร์ให้เหมาะสมกับคนไทยมากที่สุด แต่พอทำโครงการไปสักพัก ก็เริ่มคิดว่าควรพัฒนาฮาร์ดแวร์หุ่นยนต์ของคนไทยด้วย ซึ่งมีหลายโครงการ เช่น ทำหุ่นยนต์เล่นหมากฮอสที่นำเอนจินของ AlphaGo มาฝึกเล่นหมากฮอส
ตัวอย่างหุ่นยนต์จากต่างประเทศที่ True Robotics นำมาใช้งานมีหลากหลาย เช่น หุ่นยนต์ Pepper ของ SoftBank, หุ่นยนต์ Relay ของอเมริกา และล่าสุดคือ Temi จากอิสราเอล ที่นำมาใช้เป็นหุ่นยนต์ให้บริการในช่วง COVID-19 โดยเพิ่มตัวช่วยวัดไข้ หรือ หน้าจอสำหรับพูดคุยกับมนุษย์
Temi เป็นหุ่นยนต์บริการติดล้อเลื่อน มีกล้อง เซ็นเซอร์ และ LIDAR ใช้สร้างแผนที่สิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อเคลื่อนที่หลบสิ่งกีดขวางได้ด้วยตัวเอง ด้านบนมีจอภาพขนาดใหญ่ (ข้างในเป็น Android) เพื่อใช้แสดงผลข้อมูลและตอบโต้กับมนุษย์
ทีม True Robotics นำหุ่นยนต์ Temi มาพัฒนาต่อทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ปรับปรุงด้านการสื่อสารภาษาไทย และปรับปรุงการทำงานให้เหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น ติดอุปกรณ์รับสัญญาณ 5G สำหรับการใช้งานนอกสถานที่ ติดกล้องจับความร้อน และการพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานของแพทย์ในช่วง COVID-19 อย่างการเสิร์ฟยา เสิร์ฟอาหาร เพื่อไม่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง ตัวอย่างโรงพยาบาลที่นำไปใช้งานแล้วคือ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และโรงพยาบาลสนามวชิระภูเก็ต เป็นต้น
คุณเจริญศักดิ์ บอกว่าเรายังไม่เห็น service robot มากนักในช่วงก่อนหน้านี้ เป็นเพราะข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์ เพราะฮาร์ดแวร์ส่วนใหญ่ก็เหมือนๆ กันหมด มีมอเตอร์ เซ็นเซอร์ จอภาพ ฯลฯ แต่ทำอย่างไร หุ่นยนต์จะเข้ามาทำงานกับมนุษย์ได้ดี เป็นเรื่องซอฟต์แวร์ล้วนๆ ตัวซอฟต์แวร์พื้นฐานมีให้ใช้งานหมดแล้ว เหลือแค่การเขียนซอฟต์แวร์ไปต่อยอดมากกว่า ซึ่งคนที่เรียนต่อสาย software engineer หรือ computer science จะเข้ามาช่วยเสริมให้หุ่นยนต์เหล่านี้ทำงานได้ดีขึ้น
คุณณพวรรษ ฉอ้อน Senior Product Executive หน่วยงาน True Robotics บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เล่าถึง Homey หุ่นยนต์ที่คนไทยพัฒนาขึ้นเอง ว่าเน้นให้เป็นหุ่นยนต์ที่ใช้งานในบ้าน เป็นเพื่อนกับคนยุคใหม่ที่มักอยู่คนเดียว หุ่นยนต์ Homey จึงช่วยให้ข้อมูลข่าวสาร หรือ ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านด้วย
จุดเด่นของ Homey คือความสามารถในการปรับเปลี่ยนบุคลิกของตัวหุ่นยนต์ โดยเลือกแนวทางออกแบบเป็น “หูสัตว์” ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ เช่น หูหมา หูแมว หูกวาง พอเปลี่ยนแล้วก็เปลี่ยนบุคลิกไปด้วย ทั้งหน้าตาที่ปรากฏบนจอ เสียงร้อง หรือพฤติกรรมที่ตอบสนองมนุษย์ Homey มีเซ็นเซอร์หลายจุดรอบตัว สามารถลูบหัวหรือลูบคางได้ และมีลำโพง-ไมโครโฟนที่ฐานเพื่อความสะดวกในการสื่อสารด้วยเสียง
ตอนนี้หุ่นยนต์ Homey อยู่ระหว่างการพัฒนาซอฟต์แวร์เพิ่มเติม โดย True Robotics ได้ส่งไปประกวดนวัตกรรมที่ประเทศรัสเซีย และได้รางวัลเหรียญทองกลับมา จากผู้ส่งประกวดกว่า 600 ผลงานจาก 24 ประเทศ |
# ชาว TikTok และแฟนเคป๊อบบนทวิตเตอร์ เผยลงทะเบียนเข้าฟังทรัมป์หาเสียงไว้ แต่ไม่ไปเข้าร่วมเมื่อถึงเวลาจริงๆ
The New York Times รายงาน ผู้ใช้งาน TikTok และชาวเน็ตแฟนๆ เคป๊อบ อ้างว่าตัวเองลงทะเบียนจองตั๋วเข้าฟังโดนัลด์ ทรัมป์ พูดหาเสียงที่ Tulsa Fire Department ในโอกลาโฮมาไว้ แต่เมื่อถึงเวลางานจริงๆ ก็เทตั๋วไม่เข้าร่วมฟัง ทำให้มีคนเข้าร่วมน้อยกว่าที่ทีมหาเสียงของทรัมป์คาดหวังไว้
Brad Parscale ประธานแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์โพสต์บนทวิตเตอร์ว่ามีคนลงทะเบียนขอตั๋วมากกว่าหนึ่งล้านใบ แต่ผู้สื่อข่าวในเหตุการณ์ระบุว่าจำนวนผู้เข้าร่วมงานจริงๆ นั้น ต่ำกว่าที่คาดไว้ Tim Murtaugh โฆษกทีมหาเสียงทรัมป์ถึงกับบอกว่ากลุ่มผู้ประท้วงขัดขวางคนสนับสนุนทรัมป์ ไม่ให้มาเข้าร่วมฟัง แต่นักข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นบอกว่ามีผู้ประท้วงทรัมป์แค่นิดเดียว
ภาพจาก โดนัลด์ ทรัมป์
ในช่วงที่ทีมหาเสียงทรัมป์เปิดให้ลงทะเบียนเข้างานฟรี ชาวเน็ตบน TikTok และทวิตเตอร์ต่างก็แชร์ให้ลงทะเบียนกัน จนกระทั่งงานหาเสียงเริ่มขึ้น ชาวเน็ตแชร์วิดีโอภายในงานหาเสียงกันใหญ่ ต่างระบุว่าตัวเองลงทะเบียนเข้าร่วมงานไว้ แต่ก็ไม่ได้ไป Elijah Daniel ยูทูเบอร์ หนึ่งในผู้เข้าร่วมกระบวนการนี้บอกว่า คนใน TikTok และแฟนเคป๊อบในทวิตเตอร์ มีการกระจายข้อมูลกันอย่างรวดเร็ว พวกเขายังลบโพสต์ของพวกเขาหลังจากเวลาผ่านไป 24 ถึง 48 ชั่วโมงเพื่อปกปิดแผนของพวกเขาและป้องกันไม่ให้สิ่งที่พวกเขาทำดูเอิกเกริกเกินไป
อย่างไรก็ตาม ยังเป็นเรื่องยากที่จะระบุตัวเลขได้ชัดเจนว่า ชาวเน็ต TikTok และแฟนเคป๊อบบนทวิตเตอร์ ลงทะเบียนเข้าร่วมไปเท่าไร
แฟนเคป๊อบเริ่มมีส่วนร่วมในการเมืองสหรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ที่เหตุการณ์ George Floyd คุกรุ่น แฟนๆ เคป๊อบก็ทำลายแฮชแท็กนิยมคนขาวขวาจัด หรือ #WhiteLivesMatter ด้วยการใช้แท็กและโพสต์วิดีโอของไอดอลเกาหลีที่พวกเขาชอบ เพื่อให้ชาวเน็ตที่มีแนวคิดขวาจัดสื่อสารกันได้ยากขึ้นบนโลกทวิตเตอร์
ที่มา - The New York Times |
# ไมโครซอฟท์ออกส่วนขยาย Web Live Preview ให้ Visual Studio 2019, แก้ไขโค้ด UI บน ASP.NET แล้วดูผลในเบราว์เซอร์ได้ทันที
นับเป็นข่าวดีสำหรับนักพัฒนาเว็บแอพพลิเคชั่นที่ใช้เฟรมเวิร์คตระกูล ASP.NET เมื่อไมโครซอฟท์ประกาศออก Web Live Preview ส่วนขยายใหม่สำหรับ Visual Studio 2019 เพื่อเพิ่มความสะดวกใหักับการเขียนโค้ดในส่วนที่เป็น UI ของเว็บแอพพลิเคชั่นที่พัฒนาด้วย ASP.NET
การติดตั้งส่วนขยายดังกล่าวจะช่วยเพิ่มฟังก์ชั่น Edit in Browser ให้ VS 2019 ช่วยซิงก์การเปลี่ยนแปลงโค้ด UI ของเว็บกับการแสดงผลหน้าเว็บบนเบราว์เซอร์ ทำให้นักพัฒนาสามารถแก้ไขโค้ด ASPX (ASP.NET Web Forms) หรือ .cshtml, .vbhtml (ASP.NET MVC Razor) แล้วดูผลลัพธ์จากเบราว์เซอร์ได้ทันที
ไม่เพียงแค่นั้นฟังก์ชั่น Edit in Browser ยังช่วยซิงก์การไฮไลท์โค้ดและ element ที่นักพัฒนาคลิกเลือกหรือกำลังแก้ไข ณ ขณะนั้น
และสำหรับนักพัฒนาที่ใช้ DevTools ของเบราว์เซอร์เพื่อการดีบักหรือใช้ทดลองแก้โค้ดบนเบราว์เซอร์ตรงๆ มาก่อน ฟังก์ชั่นข้างต้นก็จะช่วยซิงก์โค้ดที่แสดงผลบน DevTools ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโค้ด UI ของเว็บบน VS 2019 อีกด้วย
ทั้งหมดนี้น่าจะช่วยให้การพัฒนาเว็บด้วยเฟรมเวิร์คตระกูล ASP.NET สะดวกขึ้นมาก โดยเฉพาะกับเฟรมเวิร์คสมัยใหม่อย่าง ASP.NET MVC ที่อิงกับมาตรฐาน HTML/CSS และไม่มีหน้า Design view ให้ใช้งาน ทำให้ก่อนหน้านี้การเปิดเว็บขึ้นมาเพื่อดูผลลัพธ์ แม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงแค่โค้ด UI ก็จำเป็นต้องคอมไพล์และรันเว็บแอพพลิเคชั่นขึ้นมาใหม่ทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม Web Live Preview ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ฟีเจอร์ต่างๆ จึงไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก ตัวส่วนขยายบน VS 2019 จะยังจำกัดเวอร์ชัน .NET ที่รองรับเพียงแค่ .NET Framework ส่วนการติดตั้งส่วนขยายฝั่งเบราว์เซอร์ก็ยังต้อง sideload เอาจากโฟลเดอร์ที่ใช้ติดตั้งส่วนขยายของ VS 2019 ตามที่ไมโครซอฟท์ระบุไว้ด้านล่างก่อน
สุดท้ายไมโครซอฟท์ยังได้กล่าวถึงโรดแมปของการพัฒนาส่วนขยาย Web Live Preview ซึ่งก็รวมถึงการรองรับ .NET Core และ Blazor และการนำส่วนขยายฝั่งเบราว์เซอร์ขึ้นสโตร์ และยังมีแผนที่จะฝังความสามารถของส่วนขยายเข้ามาในอัพเดตของ VS 2019 ในอนาคตอีกด้วย
ท่านใดต้องการทดลองใช้งาน Web Live Preview เข้าไปดาวน์โหลดได้ที่นี่ ส่วนตัวส่วนขยายฝั่งเบราว์เซอร์สามารถติดตั้งแบบ sideload ได้บนเบราว์เซอร์ตระกูล Chromium ทุกตัวครับ
ที่มา - ASP.NET Blog via MSPoweruser |
# Spotify ทดสอบปุ่มใหม่ คาดว่ากดดู MV ได้ เหมือน YouTube Music
ในวงการสตรีมมิ่งเพลงตอนนี้ มี YouTube Music ที่สามารถเลือกฟังเพลงและดู MV ไปด้วยได้ ถือเป็นฟีเจอร์ที่ทำให้ YouTube Music แตกต่างจากรายอื่น แต่ล่าสุด Jane Wong นักวิจัยสายแกะโปรแกรมไปเจอว่า Spotify กำลังทดสองฟังก์ชั่นนี้อยู่เหมือนกัน
โดยหน้าจอที่ Jane Wong แคปมาลงทวิตเตอร์ จะเห็นว่าผู้ใช้ฟังเพลงโดยสามารถเลือกดูคอนเทนต์นำเสนอความเป็นตัวตนของเพลงได้สามรูปแบบคือ ปุ่ม Canvas, Album Art และ Video ซึ่งปุ่ม Canvas เป็นสิ่งที่ Spotify มีอยู่แล้วคือ แสดงวิดีโอสั้นวนลูประหว่างฟังเพลง แต่ปุ่ม Video นี้ คาดว่าเป็นปุ่มให้ดูทั้ง MV เพลงได้ด้วย
Spotify ใส่วิดีโอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งมาระยะหนึ่งแล้วในพอดคาสต์บางรายการ ที่เป็นวิดีโอของผู้จัดรายการมาพูดคุยกัน
ที่มา - 9to5Google |
# Ming Chi Kuo บอก Mac ชุดแรกที่ใช้ซีพียู ARM คือ MacBook Pro 13 และ iMac 24
Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์สายแอปเปิลขาประจำที่มีผลงานความแม่นยำมาแล้วนับไม่ถ้วน ออกรายงานว่า Mac รุ่นแรกที่ใช้ซีพียู ARM ที่คาดว่าจะเปิดตัวในงาน WWDC สัปดาห์นี้ จะเป็น MacBook Pro 13.3 และ iMac 24 นิ้ว
Kuo ระบุว่าดีไซน์ของ MacBook Pro 13.3 เวอร์ชัน ARM จะยังคล้ายกับ MacBook Pro ในปัจจุบัน ส่วน iMac เวอร์ชัน ARM จะใช้ดีไซน์ใหม่หมด กำหนดการวางขายจะอยู่ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2020 หรือไตรมาส 1 ปี 2021
Kuo ยังบอกว่าแอปเปิลจะอัพเกรด iMac รุ่นอินเทลในไตรมาส 3/2020 ก่อนออก iMac ARM ส่วนกระบวนการเปลี่ยนผ่านเครื่อง Mac ทั้งหมดไปสู่ซีพียู ARM จะใช้เวลา 12-18 เดือน
ที่มา - MacRumors |
# หลุดแผนกูเกิล ฟีเจอร์ Nearby Sharing ของ Android จะใช้กับ OS อื่นได้ด้วย
เคยมีข่าวของฟีเจอร์ Nearby Sharing หรือ Fast Share ของ Android (ซึ่งเทียบได้กับ AirDrop ของ iOS) ออกมาเรื่อยๆ แต่ของจริงกลับยังไม่มาสักที
ล่าสุดมีคนไปค้นพบตัวเลือก Nearby Sharing ในระบบปฏิบัติการ Chrome OS ด้วย (ต้องเปิดใช้ใน flag และต้องเป็นเวอร์ชัน Canary ถึงจะเห็น แต่เปิดแล้วยังใช้งานไม่ได้จริง)
ความน่าสนใจคือข้อความใน Chrome OS ระบุว่าฟีเจอร์ Nearby Sharing จะสามารถใช้ได้กับระบบปฏิบัติการฝั่งเดสก์ท็อปทั้งหมดคือ Mac, Windows, Linux, Chrome OS แสดงให้เห็นแผนการใหญ่ของกูเกิลที่ต้องการสร้างระบบแชร์ข้ามแพลตฟอร์ม
เว็บไซต์ 9to5google คาดว่ากูเกิลจะเพิ่ม Nearby Sharing เข้ามาผ่าน Google Play Services เพื่อให้ใช้งานกับ Android เวอร์ชันเก่าๆ ได้ด้วย (ไม่ผูกกับ Android 11) ส่วนฝั่งเดสก์ท็อปก็น่าจะผูกเข้ากับ Chrome โดยตรง
ที่มา - 9to5google |
# Windows Terminal 1.1 เปลี่ยนสีแท็บ-ตั้งชื่อแท็บเองได้แล้ว
ไมโครซอฟท์ออก Windows Terminal Preview 1.1 มีของใหม่ดังนี้
รองรับเมนูคลิกขวาใน File Explorer แล้วสั่ง Open in Windows Terminal
เพิ่มการตั้งค่า "startOnUserLogin": true ให้รัน Windows Terminal เมื่อบูตเครื่อง
เพิ่มการตั้งค่า fontWeigth กำหนดน้ำหนักฟอนต์ที่แสดงผล
กดปุ่ม Alt ค้างไว้ตอนเปิดแท็บใหม่ เพื่อเปิดในโหมด split แบ่งครึ่งจอ
เพิ่มเมนู Color กำหนดสีของแท็บเองได้ และ Rename เปลี่ยนชื่อแท็บได้ตามต้องการ
เพิ่มการตั้งค่า "tabWidthMode": "compact" ย่อแท็บที่ไม่ได้ใช้งานให้เหลือแต่ไอคอน
Windows Terminal 1.1 ยังมีสถานะเป็น Preview และถูกมองว่าเป็นแอพคนละตัวกับ Windows Terminal รุ่นเสถียร สามารถดาวน์โหลดได้จาก Microsoft Store หรือ GitHub
ที่มา - Microsoft |
# เผย Facebook Gaming เวอร์ชัน iOS ถูกแอปเปิลปฏิเสธไม่ให้ขึ้น App Store สักที
The New York Times รายงานข่าวว่าเฟซบุ๊กประสบปัญหาไม่สามารถส่งแอพ Facebook Gaming เวอร์ชัน iOS ขึ้นเผยแพร่บน App Store ได้ เพราะโดนแอปเปิลปฏิเสธ แถมโดนปฏิเสธมา 5 รอบแล้วด้วย
เฟซบุ๊กเปิดตัวบริการ Facebook Gaming มาตั้งแต่ปี 2019 โดยเริ่มจากเวอร์ชันเว็บ และเมื่อเดือนเมษายนปีนี้ ก็ออกแอพเวอร์ชันมือถือ ซึ่งเวอร์ชัน Android อยู่บน Play Store เรียบร้อยแล้ว
แต่ New York Times รายงานว่าเฟซบุ๊กพยายามส่งแอพเวอร์ชัน iOS ขึ้น App Store มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2020 ซึ่งไม่สำเร็จสักที โดยแอปเปิลให้เหตุผลว่า Facebook Gaming ทำผิดกฎของ App Store เพราะสามารถเล่นเกมแบบง่ายๆ (casual games) จากในตัวแอพเลย (ตามเงื่อนไขของแอปเปิล เกมบน iOS ต้องแจกจ่ายผ่าน App Store โดยตรงเท่านั้น)
หน้าตาของ Facebook Gaming บน Android, ภาพจาก @FacebookGaming
ประเด็นความขัดแย้งระหว่างเฟซบุ๊กกับแอปเปิล ยิ่งทำให้ App Store ถูกวิจารณ์มากขึ้น เพราะในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีประเด็นเรื่องแอพอีเมล Hey ของ Basecamp กับ App Store เช่นกัน ช่วงหลังแอปเปิลจึงถูกวิจารณ์เรื่องการผูกขาด App Store และเริ่มโดนหน่วยงานภาครัฐของบางประเทศเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้แล้ว
ที่มา - New York Times |
# กูเกิลปล่อยส่วนขยาย Link to Text Fragment สร้างลิงก์หาข้อความในเว็บโดยตรง
กูเกิลปล่อยส่วนขยายใหม่สำหรับเบราว์เซอร์ Chrome ในชื่อ Link to Text Fragment โดยเป็นส่วนขยายสำหรับสร้างลิงก์ตามร่างมาตรฐาน Text Fragment ที่กำลังเสนอเข้า W3C ทำให้เบราว์เซอร์สามารถลิงก์ไปยังข้อความใดๆ ก็ได้ในหน้าเว็บ โดยตอนนี้เบราว์เซอร์โครมนั้นรองรับฟีเจอร์นี้ในตัว แต่ยังไม่สาารถสร้างลิงก์ได้ด้วยตัวเอง
Text Fragment จะกำหนดลิงก์แบบ anchor แบบใหม่ต่อท้าย URL ของเว็บในรูปแบบ #:~:text=[ข้อความ] เมื่อเบราว์เซอร์ได้รับลิงก์แบบนี้และรองรับฟีเจอร์ Text Fragment ก็จะเลื่อนไปยังจุดที่มีข้อความพร้อมกับไฮไลต์ข้อความให้ชัดเจนทันที
ลิงก์แบบ anchor เป็นฟีเจอร์เก่าแก่ของเบราว์เซอร์ โดยผู้พัฒนาเว็บต้องกำหนดชื่ออ้างอิงด้วย attribute id ทำให้เบราว์เซอร์หาจุดที่ต้องการลิงก์ไปถึงได้ แต่ฟีเจอร์ Text Fragments จะทำให้ข้อความทั้งหน้าเว็บสามารถสร้างเป็นลิงก์ได้
ตัวกูเกิลเองเริ่มแสดงผลค้นหาโดยสร้างลิงก์ไปยัง Text Fragment มาตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การเสนอร่างมาตรฐานไปพร้อมๆ กับการใช้งานทันทีคงเป็นอีกครั้งที่กูเกิลแสดงอิทธิพลในวงการเว็บ
ที่มา - ArsTechnica |
# ไมโครซอฟท์พบกลุ่มแฮกเกอร์ส่งลิงก์มุ่งร้าย แถมติด CAPTCHA ป้องกันระบบตรวจสอบลิงก์
ทีมข่าวกรองความมั่นคงปลอดภัยของไมโครซอฟท์รายงานถึงกลุ่มแฮกเกอร์ CHIMBORAZO ที่พยายามแพร่มัลแวร์ไปยังเครื่องของเหยื่อโดยส่งลิงก์หรืออีเมลพร้อม iframe ส่งเหยื่อไปยังหน้าเว็บดาวน์โหลดมัลแวร์ ที่น่าสนใจคือลิงก์เหล่านี้กลับถูกบล็อคไว้ด้วย CAPTCHA อีกชั้นหนึ่ง
แนวทางนี้แสดงให้เห็นว่าคนร้ายกำลังพยายามหลบเลี่ยงระบบตรวจสอบลิงก์อัตโนมัติที่บริการอีเมลหรือองค์กรต่างๆ เริ่มจัดหามาใช้กันมากขึ้น โดยระบบตรวจสอบลิงก์จะให้ระบบอัตโนมัติเข้ามาตรวจสอบเนื้อหาในลิงก์ที่แนบมากับอีเมลล่วงหน้าเพื่อตรวจสอบว่ามีการวางมัลแวร์ไว้ในลิงก์หรือไม่
ทีมงานของ Malwarebytes ผู้ให้บริการข่าวกรองความมั่นคงปลอดภัยอีกรายระบุว่ามีรายงานลิงก์มุ่งร้ายแบบมี CAPTCHA มาตั้งแต่เดือนธันวาคมของปีที่แล้ว โดยมักพยายามเลียนแบบบริการ reCAPTCHA ของกูเกิล แต่ไม่ว่าจะใช้ reCAPTCHA จริงหรือปลอม กระบวนการนี้ก็พยายามหลบหลีกการตรวจสอบเหมือนกัน
ที่มา - ArsTechnica |
# กูเกิลเสนอตัวไมโครซอฟท์ ใช้ Flutter เชื่อมการพัฒนาแอพระหว่าง Android และ Windows
ความนิยมในโครงการ Flutter ทำให้มันขยายจากการเขียน UI ของแอพมือถือไปสู่การเขียนเว็บ และแอพเดสก์ท็อป โดยเริ่มจาก macOS เป็นแพลตฟอร์มแรก ส่วน Windows/Linux จะตามมาในลำดับถัดไป
ล่าสุด Flutter ออกมาอธิบายความคืบหน้าของเวอร์ชัน Windows โดยบอกว่าปัจจุบัน Windows มีโมเดลการพัฒนาแอพ 2 แบบ ได้แก่ Win32 ที่มีจุดเด่นเรื่องการใช้ได้บน Windows เวอร์ชันเก่าด้วย และ UWP ที่รันได้เฉพาะบน Windows 10 ขึ้นไป แต่ก็ขยายไปยังแพลตฟอร์มอื่นอย่าง Xbox หรือ Windows 10X ได้ง่าย
ทีมงาน Flutter บอกว่ากำลังทดลองความเป็นไปได้ในแบบต่างๆ และประกาศว่ายินดีทำงานร่วมกับไมโครซอฟท์ในเรื่องนี้ เพราะมองว่าไมโครซอฟท์กำลังพยายามเชื่อมต่อ Android กับ Windows ผ่านอุปกรณ์สองจอ (Surface Duo/Neo) และ Flutter เป็นโซลูชันที่เหมาะสมมากในการพัฒนาแอพครั้งเดียว ใช้งานได้ข้ามแพลตฟอร์ม
หน้าตาของแอพ Win32 ที่เขียนด้วย Flutter
ที่มา - Flutter Blog |
# Google Meet เตรียมเพิ่มฟีเจอร์เบลอฉากหลัง-เปลี่ยนภาพพื้นหลัง แบบเดียวกับ Zoom
ฟีเจอร์เปลี่ยนภาพพื้นหลังหรือเบลอฉากหลังที่ริเริ่มโดย Zoom กลายเป็นฟีเจอร์มาตรฐานที่แอพ video call จำเป็นต้องมี และเราเห็นคู่แข่งอย่าง Microsoft Teams ต้องวิ่งไล่ตามให้ทัน
ล่าสุดคู่แข่งอีกรายคือ Google Meet ก็ประกาศพัฒนาฟีเจอร์นี้แบบเงียบๆ โดยในเอกสารฟีเจอร์ใหม่ของชุด G Suite ว่ากำลังพัฒนาอะไรอยู่บ้าง เพิ่มรายการของฟีเจอร์ Background blur and replace ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ ระบุสถานะว่ากำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา (in development)
ฟีเจอร์อื่นของ Google Meet ที่อยู่ในตารางนี้ ได้แก่ การควบคุมการประชุม (เช่น โฮสต์สั่งปิดไมค์), ห้องประชุมย่อย (breakout rooms), ยกมือถามในห้อง (handraising), ตั้งโพลล์, ถามตอบ (Q&A), กระดานวาดภาพ (whiteboard) เป็นต้น ซึ่งหลายฟีเจอร์ก็เพิ่งรองรับใน Microsoft Teams เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ Google Meet เพิ่มฟีเจอร์มาแล้วหลายอย่าง เช่น รองรับการประชุมแบบเห็นหน้า 16 คน, ฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน และ การร่วมประชุมได้จากหน้าจอ Gmail โดยตรง
ที่มา - MSpoweruser |
# Titanfall 2 กลับมาฮิตอีกครั้ง ผลพวงจากนโยบาย EA นำเกมมาขายบน Steam
หลังจาก EA หันมารักกับ Steam ที่เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2019 และทยอยเพิ่มเกมของตัวเองลง Steam มากขึ้นเรื่อยๆ (รอบล่าสุดคือเพิ่มเข้ามาอีก 25 เกม รวมถึง The Sims 4 และชุดเนื้อหาทั้งหมด
การนำเกมมาลง Steam กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยปลุกเกมเก่าๆ ให้คึกคักอีกครั้ง เว็บไซต์ Eurogamer รายงานว่า Titanfall 2 เกมยิงผสมขับหุ่นยักษ์ของ Respawn Entertainment ที่ออกในปี 2016 หลังจากเงียบเหงาไปนาน เพราะโดนเกมรุ่นใหม่เบียดบังความนิยม กลับมาฮิตอีกครั้งหลังวางขายบน Steam (ราคาตอนนี้คือ 263.67 บาท ลด 67% จากราคาปกติ 799 บาท)
ผลจากการลง Steam ทำให้ Titanfall 2 มีผู้เล่นถึง 7,655 คน และอยู่ใน Top 100 ของ Steam ด้วย ถือว่าไม่เลวเลยสำหรับเกมที่เคยหมดความนิยมไปแล้ว และไม่ใช่เกมฟรีอีกด้วย
ที่มา - Eurogamer |
# Opera GX เบราว์เซอร์สำหรับเกมเมอร์ เพิ่มการแชท Discord, หยุดแท็บที่กินโหลดเยอะ
Opera GX เว็บเบราว์เซอร์สำหรับเกมเมอร์ ฉลองอายุครบ 1 ปี (เปิดตัวเดือนมิถุนายน 2019) เพิ่มฟีเจอร์สำคัญคือรองรับ Discord แอพแชทยอดนิยมของชุมชนเกมเมอร์ โดยเพิ่มปุ่ม Discord ที่แถบ sidebar ด้านซ้ายมือ กดแล้วจะเป็นหน้าต่างแชทของ Discord ลอยขึ้นมาทับหน้าจอปกติ
ก่อนหน้านี้ Opera GX รองรับเว็บแอพยอดนิยมตัวอื่นๆ คือ Twitch, Facebook Messenger, WhatsApp และล่าสุดในอัพเดตเดือนพฤษภาคมคือ Instagram
ฟีเจอร์ใหม่ในอัพเดตนี้คือ Hot Tabs Killer หรือการ kill แท็บที่กินทรัพยากรเยอะๆ และ Force Dark Pages เปลี่ยนธีมหน้าเว็บใดๆ ก็ได้เป็นธีมสีมืด
จุดเด่นสำคัญของ Opera GX มาตั้งแต่แรกคือ สามารถจำกัดทรัพยากรของเบราว์เซอร์ เช่น ซีพียู แรม แบนด์วิดท์ เพื่อไม่ให้เบราว์เซอร์ไปกินทรัพยากรของแอพอื่นๆ ที่รันอยู่ด้วยกัน (โดยเฉพาะเกม)
ที่มา - Opera |
# Alibaba และ JD.com เผยสถิติยอดขายรวมเทศกาลช้อปปิ้งกลางปี 6.18 สูงกว่า 4.2 ล้านล้านบาท
สองยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีน Alibaba และ JD.com รายงานตัวเลขยอดขายสุทธิ จากเทศกาลช้อปปิ้งกลางปีในวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา หรือที่เรียกว่า 6.18 โดยมียอดขายรวมกัน 1.37 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 4.2 ล้านล้านบาท
โดย JD.com ระบุว่าปริมาณคำสั่งรวมทั้งมีมีมูลค่า 3.799 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน ส่วน Alibaba ระบุว่าจำนวนคำสั่งซื้อรวมมีมูลค่า 9.852 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่น่าสนใจคือตัวเลขยอดขาย 6.18 ของ Alibaba นั้น สูงกว่าเทศกาล 11.11 ปีที่แล้วมากกว่า 2 เท่าตัวเลยทีเดียว จึงอาจสะท้อนได้ทั้งภาวะเศรษฐกิจในจีนและการฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19
6.18 เป็นเทศกาลช้อปปิ้งกลางปี ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกโดย JD.com ส่วน 11.11 หรือเทศกาลคนโสดจีนเริ่มต้นโดย Alibaba แต่ปัจจุบันทั้งสองอีคอมเมิร์ซต่างใช้ทั้งสองวันดังกล่าวจัดกิจกรรมเหมือนกัน
ที่มา: CNBC |
# TikTok อธิบายกลไกการทำงานของฟีด For You ว่าคัดเลือกวิดีโอด้วยปัจจัยใดบ้าง
TikTok ออกมาอธิบายกระบวนการคัดเลือกเนื้อหา ที่นำมาแสดงในหน้าฟีด For You สำหรับผู้ใช้งานแค่ละคน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ TikTok ออกมาให้ข้อมูลในลักษณะนี้ ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจว่าทำไมได้ชมเนื้อหานี้ และผู้สร้างเนื้อหาก็จะเข้าใจกลไกมากขึ้น ทั้งนี้ TikTok ระบุว่า For You เป็นส่วนที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ ใช้เวลามากที่สุด
TikTok บอกว่าขั้นแรก กระบวนการเลือกเนื้อหามาแสดง เริ่มจากหลักการพื้นฐานแบบเดียวกับระบบ Recommendation ในแพลตฟอร์มใด ๆ โดยดูว่าเราติดตามบัญชีใด กดไลก์ หรือคอมเมนต์ในโพสต์แบบใด
ถัดไปเป็นการจัดลำดับความสำคัญเนื้อหาที่จะถูกแสดง โดยดูจากกลุ่มวิดีโอที่ผู้ใช้งานกดไลก์ แชร์ คอมเมนต์ ไปจนถึงแนวคอนเทนต์ที่ผู้ใช้งานสร้างขึ้นมาเองด้วย แคปชั่นในวิดีโอนั้น รูปแบบเพลง แฮชแท็กก็นำมาคำนวณด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ปัจจัยอย่าง ภาษา ประเทศผู้ใช้งาน ก็มีผลเช่นกัน แต่น้อยกว่าปัจจัยข้างต้น ทั้งนี้ปัจจัยทั้งหมดจะนำมาคำนวณกับวิดีโอที่ผู้ใช้ปัดข้ามอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน
ข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติม อาทิ ผู้ใช้งานที่มีผู้ติดตามเยอะ วิดีโออาจเข้าถึงคนได้มากจากฐานผู้ติดตามเยอะ แต่ไม่มีผลต่อการนำมาคำนวณใน For You, ผู้ใช้งานสามารถกดค้างในหน้าวิดีโอที่ไม่ชอบ เพื่อระบุว่าไม่สนใจ ทำให้ For You จะกรองวิดีโอแนวนี้ออกไปด้วย
ที่มา: TikTok |
# โดนอีกแล้ว Twitter แบนโพสต์ของ Trump ด้วยเหตุผลคลิปวิดีโอละเมิดลิขสิทธิ์
Twitter แบนข้อความทวีตของ Donald Trump อีกแล้ว โดยคราวนี้ด้วยเหตุผลว่าวิดีโอที่ Trump โพสต์นั้น "ละเมิดลิขสิทธิ์"
ในวิดีโอนี้ ทีมงานของ Trump นำคลิปข่าวจาก CNN ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน มาตัดต่อใหม่ ซึ่ง Twitter ซ่อนการแสดงผลของวิดีโอนี้ โดยขึ้นป้ายเตือนว่า "manipulated media" ไว้ใต้โพสต์ และข้อความแทนตัวคลิปวิดีโอว่าถูกปิดกั้น จากการแจ้งของเจ้าของลิขสิทธิ์
เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม Twitter เพิ่งขึ้นป้ายเตือนใต้โพสต์ และซ่อนโพสต์ของ Trump มาแล้วรอบหนึ่ง
ที่มา - Business Insider |
# ไมโครซอฟท์ปล่อย Microsoft Edge ให้ Windows 7/8.1 ผ่าน Windows Update
เมื่อต้นเดือนนี้ เราเห็นไมโครซอฟท์เริ่มปล่อย Microsoft Edge ตัวใหม่ผ่าน Windows Update สำหรับ Windows 10
ล่าสุดไมโครซอฟท์ออกอัพเดต Microsoft Edge ให้ผู้ใช้ Windows 7 SP1 และ Windows 8.1 ด้วยเช่นกัน ในแง่ตัวเบราว์เซอร์คงไม่มีอะไรต่างกัน แต่กรณีของ Windows 7/8.1 ไม่มี Edge ตัวเดิมมาให้ด้วย การมาถึงของ Edge ตัวใหม่จึงไม่ได้มาแทน Edge ตัวเดิม แต่เป็นเบราว์เซอร์ตัวใหม่ที่เพิ่มเข้ามานอกเหนือจาก Internet Explorer 11 โดยจะไม่เปลี่ยนค่าดีฟอลต์ของระบบด้วย
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ตัว Windows 7 หมดระยะซัพพอร์ตไปแล้วเมื่อต้นปีนี้ แต่ไมโครซอฟท์ยังออก Microsoft Edge ให้อยู่ ซึ่งไมโครซอฟท์ก็เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะซัพพอร์ต Edge บน Windows 7 ให้จนถึงเดือนกรกฏาคม 2021
ที่มา - Microsoft via Neowin |
# LINE เพิ่มฟีเจอร์ทดลอง Silent messaging ส่งข้อความโดยไม่แจ้งเตือนผู้รับ
LINE เพิ่มฟีเจอร์ Silent messaging สามารถเลือกส่งข้อความโดยไม่ขึ้นแจ้งเตือนที่ฝั่งผู้รับ แม้ว่าผู้รับจะเปิดการแจ้งเตือนของแชทดังกล่าวไว้
Silent messaging สามารถใช้ได้กับข้อความ สติกเกอร์ รูปภาพ และวิดีโอ ใช้ได้ทั้งในแชทส่วนตัวหรือแบบกลุ่ม โดยวิธีการส่งจะต้องแตะค้างที่ปุ่มส่ง จากนั้นจะมี pop-up ขึ้นให้เลือก Send silently
สามารถเปิดใช้ได้ใน Settings > LINE Labs ทั้งใน Android และ iOS |
# GOG แจก The Witcher 3 พร้อมโบนัสซาวน์แทร็คและดิจิทัลอาร์ตบุ๊ค ให้ผู้ที่เคยซื้อเกมบนแพลตฟอร์มอื่นฟรี
GOG (Good Old Games) ร้านขายเกมออนไลน์ที่ชื่อเสียงจากการขายเกมเก่า ไร้ระบบตรวจสอบลิขสิทธิ์ (DRM-free) ประกาศให้ผู้ที่มีเกม The Witcher 3 ไว้ในครอบครองบนแพลตฟอร์มใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเกมเวอร์ชันพีซีบนร้านขายเกมออนไลน์เจ้าอื่น หรือเกมเวอร์ชันบนเครื่องคอนโซลอย่าง Xbox และ PlayStation สามารถกดรับเกมเวอร์ชัน GOG ซึ่งมาพร้อมโบนัสซาวน์แทร็คและดิจิทัลอาร์ตบุ๊คได้ฟรี
โดยมีเงื่อนไขคือต้องใช้งานแอพ GOG Galaxy 2.0 ที่ได้เชื่อมต่อกับ account ของแพลตฟอร์มที่มี The Witcher 3 อยู่ในไลบรารี เพียงแค่นั้นก็จะสามารถกดเคลมสิทธิจากบนแอพเพื่อรับเกมเข้า account GOG ได้ทันที
ข้อเสนอนี้มีเวลาจำกัด การกดเคลมสิทธิต้องทำก่อนช่วงเย็นของวันที่ 23 มิถุนายน ตามเวลาประเทศไทย ตอนนี้เหลือเวลาแค่ 3 วัน ณ เวลาที่เขียนข่าว ท่านใดสนใจก็คงต้องรีบกันหน่อย
ที่มา - ทวิตเตอร์ @GOGGalaxy (1, 2) , Windows Central |
# Injustice: Gods Among Us เกมไฟติ้งฮีโร่ DC ปี 2013 แจกฟรีแบบจำกัดเวลา
Injustice: Gods Among Us เกมไฟติ้งของฮีโร่ค่าย DC Comics ที่พัฒนาโดย NetherRealm สตูดิโอเดียวกับที่ทำ Mortal Kombat ประกาศแจกฟรีแบบจำกัดเวลา ใครอยากได้ก็รีบไปรับสิทธิกันก่อน 26 มิถุนายนนี้
Injustice: Gods Among Us ออกครั้งแรกในปี 2013 บน PS3, Xbox 360, Wii U และภายหลังมีเวอร์ชัน Windows, PS4 ด้วย (มีภาคต่อคือ Injustice 2 ออกปี 2017) พล็อตเรื่องแบบคร่าวๆ คือเมื่อ Superman กลายเป็นวายร้าย และฮีโร่จากจักรวาลคู่ขนาน (ซึ่งรวม Superman อีกคน) จึงต้องข้ามมิติมากอบกู้โลก
เกมที่แจกฟรีเป็น Ultimate Edition มีทั้งบนพีซี (Steam จากราคาปกติ 369 บาท), PS4 ส่วน Xbox One ไม่มีเกมเวอร์ชันนี้ตรงๆ แต่สามารถดาวน์โหลดเวอร์ชัน Xbox 360 มาเล่นได้
ที่มา - Eurogamer |
# ไมโครซอฟท์เพิ่มคอมมานด์ไลน์ WSL Install และ Update บรรทัดเดียวเปิดใช้ลินุกซ์ได้
ไมโครซอฟท์ออก Windows 10 Insider Preview Build 20150 ในรุ่นทดสอบ Dev Channel (Fast Ring) เดิม มีของใหม่คือ Windows Subsystem for Linux (WSL) รองรับ GPU แล้ว ตามที่เปิดตัวในงาน Build 2020 เมื่อเดือนที่แล้ว ช่วยให้เราสามารถรันงานที่ต้องใช้ GPU (เช่น เทรน AI) บน WSL ได้โดยตรง
ไมโครซอฟท์ยังแก้ปัญหา WSL ติดตั้งยาก เพราะต้องกดเปิดใช้งานจากหน้า Settings ก่อนหลายขั้นตอน ด้วยคำสั่งเดียวจบ wsl.exe --install จากนั้นค่อยไปติดตั้งดิสโทรลินุกซ์ในขั้นถัดไป (ไมโครซอฟท์บอกว่าในอนาคตจะใช้คำสั่งเดียว เปิดใช้ WSL และติดตั้งดิสโทรให้ด้วยเลย)
นอกจากนี้ การที่เคอร์เนลของ WSL เปลี่ยนมาอัพเดตผ่าน Windows Update ไมโครซอฟท์ก็อำนวยความสะดวกให้สายคอมมานด์ไลน์ ด้วยคำสั่ง wsl.exe --update เพื่ออัพเดตเคอร์เนลเป็นเวอร์ชันล่าสุด และสามารถสั่ง wsl.exe --update --rollback เพื่อกลับไปเคอร์เนลเวอร์ชันก่อนหน้าได้เช่นกัน
ที่มา - Microsoft |
# แบงก์ชาติทดสอบสกุลเงินดิจิทัลกับเอกชนครั้งแรก ปูนซีเมนต์ไทยทดลองใช้ชำระเงินให้คู่ค้า
ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศทดสอบการใช้เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางเอง (Central Bank Digital Currency - CBDC) จากเดิมที่เคยทดสอบระหว่างธนาคารเท่านั้นมาเป็นการทดสอบในภาคเอกชนเพิ่มเติม โดยมีบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) จะทดสอบระบบร่วมกับคู่ค้า
เมื่อปีที่แล้วธนาคารแห่งประเทศไทยทดสอบ CBDC นี้โดยพัฒนาบนแพลตฟอร์ม Corda ของบริษัท R3 แต่ยังไม่มีข้อมูลทางเทคนิคว่ารอบนี้จะใช้แพลตฟอร์มเดิมต่อไปหรือจะพัฒนาใหม่ด้วยเทคโนโลยีอื่น
ทางธนาคารแห่งประเทศไทยคาดหวังว่าการทดสอบนี้จะทำให้มีความยืดหยุ่นในการโอนเงินทั้งความเร็วและความคล่องตัวในการชำระเงิน
ที่มา - ธนาคารแห่งประเทศไทย |
# Apex Legends ลง Switch, EA จะออกเกมบน Switch 7 เกมในรอบ 12 เดือนข้างหน้า
EA เป็นค่ายเกมยักษ์ใหญ่ที่ไม่สนใจทำเกมลง Nintendo Switch มากนักในช่วงปีแรกๆ ของ Switch เพราะหันไปเน้นคอนโซลกับพีซีมากกว่า แต่ภายหลังก็เริ่มเปิดใจกับ Switch มากขึ้น
ในงาน EA Play รอบล่าสุดเมื่อคืนนี้ บริษัทให้ข้อมูลว่าจะออกเกมให้ Switch ทั้งหมด 7 เกมในรอบ 12 เดือนข้างหน้า โดยเปิดชื่อมาแล้ว 3 เกมคือ Burnout Paradise Remastered, Apex Legends (ซึ่งจะ cross-play กับแพลตฟอร์มอื่นได้ด้วย) และ FIFA 21 (ที่เป็น Legacy Edition)
ที่มา - EA, GamesIndustry.biz, DualShockers |
# AIS Business ขอเชิญร่วมงาน AIS 5G Digital Enterprise of the Future
AIS Business ขอเชิญร่วมงาน AIS 5G Digital Enterprise of the Future : from Possibility to Reality
งานนี้ท่านจะได้พบกับเทคโนโลยี 5G ก่อนใคร พร้อมสัมผัสผู้นำธุรกิจยักษ์ใหญ่จากหลากหลายอุตสาหกรรม ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญจาก AIS ด้วยรูปแบบใหม่ Virtual Conference Live สดสุด Exclusive พร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 25 มิถุนายนนี้ เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป
พบกับเทคโนโลยี 5G ก่อนใคร แบบ Online Exclusive ในหัวข้อ
13.00 - 13.30 น. 5G Technologies as Business Digital Transformation Enablers
13.30 - 14.00 น. 5G Multi-access Edge Computing Fulfilling Ultra-Low Latency Business Cases
14.00 - 14.30 น. Enabling a Mission-Critical IoT with 5G Network Slicing and Private Network
14.30 - 15.00 น. Transforming Customer Experiences with 5G-enabled AI & AR/VR
15.00 - 15.30 น. 5G Fixed Wireless Access in Business Network Services
ลงทะเบียน คลิก https://www.eventpop.me/e/9113/ais
กรุณาลงทะเบียนด้วยอีเมล์องค์กรเท่านั้น
สำหรับท่านที่ลงทะเบียนสำเร็จแล้วและผ่านการพิจารณาของผู้จัดงาน จะได้รับอีเมล์ยืนยัน จาก [email protected] เพื่อใช้เข้าร่วมงานผ่านแอพลิเคชั่น Zoom
อีเมล์ยืนยันจะทยอยส่งให้ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป
รับจำนวนจำกัด ผู้ลงทะเบียนก่อน จะได้รับสิทธิ์การพิจารณาก่อน |
# Google เริ่มทดสอบแสดงผลข้อมูลร้านค้าแบบ AR บน Street View
Google เริ่มทดสอบฟีเจอร์ใหม่ แปะป้ายแสดงข้อมูลร้านค้าต่างๆ แบบ AR บน Street view โดยไม่ต้องออกจากหน้า Street view เพื่อค้นหาข้อมูล
ข้อมูลที่ปรากฏจะมีชื่อร้าน, คำอธิบายสั้นๆ, รีวิว, คะแนน และเรตราคา โดยหากเป็นร้านอาหารหรือคาเฟ่จะเป็นสีส้ม ส่วนร้านค้าทั่วไปจะเป็นสีน้ำเงิน
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ดังกล่าวยังคงอยู่ในช่วงทดสอบบน Maps เวอร์ชันเว็บอย่างเดียวก่อน ยังไม่พบการทดสอบบนสมาร์ทโฟนและเพิ่งเริ่มใช้ได้เฉพาะในเมืองใหญ่ๆ อย่าง New York หรือ Boston ก่อนด้วย
ที่มา - 9to5Google |
# ดีแทคเผยผลการศึกษากลั่นแกล้งออนไลน์ ส่วนใหญ่ยังคงเหยียดเรื่องรูปลักษณ์, เพศวิถี
ดีแทคเผยผลการศึกษาโดยร่วมกับ Wisesight ผู้ให้บริการวิเคราะห์ Big Data ในไทยศึกษา Social listening tool เรื่องการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ พบว่าการแกล้ง ล้อเลียน เหยียดยังคงเป็นเรื่องรูปลักษณ์ เพศวิถี และกระจุกตัวอยู่ในวงการการศึกษา ครูเองก็ยังคงขาดความเข้าใจและไม่มีวิธีการรับมือต่อปัญหา ขณะเดียวกัน ดีแทคยังผุดแคมเปญ #คำด่าไหนฝังใจที่สุด ให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์
โดยดีแทค และ Wisesight รวบรวมข้อความต่างๆ ทางโซเชียลมีเดียทั้ง Facebook, Twitter, Instagram, YouTube, ฟอรั่ม และบล็อกข่าวในประเทศ ช่วงเดือน พ.ย. 2561 - ต.ค.2562 พบว่า
โลกออนไลน์ของไทยประกอบด้วยข้อความที่เกี่ยวข้องกับการบูลลี่ แกล้ง ล้อ และเหยียดราว 700,000 ข้อความหรือเฉลี่ย 39 ข้อความต่อนาทีและมีการขยายความต่อผ่านการรีทวีต ไลค์ แชร์ ทำให้เกิดการขยายข้อความดังกล่าวทั้งสิ้นราว 20 ล้านรายการ
ลักษณะการบูลลี่ที่ปรากฎในโซเชียลมีเดียของไทยนั้น 36.4% เป็นการบูลลี่ด้านรูปลักษณ์ ตามด้วย 31.8% เป็นการบูลลี่ทางเพศวิถี และ 10.2% เป็นการบูลลี่ทางความคิดและทัศนคติ ส่วนที่เหลือเป็นการบูลลี่ด้านอื่นๆ เช่น เชื้อชาติ ศาสนา บุคลิกลักษณะนิสัย รสนิยมความชอบ ฐานะทางการเงิน และครอบครัว เป็นต้น
นอกจากนี้ยังพบว่าการแกล้งกันทางออนไลน์นั้นส่วนมากพบในวงการ “การศึกษา” ซึ่งสามารถเกิดขึ้นตั้งแต่ระดับ “อนุบาล” ไปจนถึงระดับมัธยม โดยมีเพื่อนเป็นคนที่ปรากฏในข้อความที่พูดถึงการบูลลี่มากที่สุด
ดีแทคยังระบุด้วยว่า ได้ร่วมมือกับองค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย หน่วยงานภาคประชาสังคมด้านสวัสดิภาพเด็ก เพื่อพัฒนาและอบรมหลักสูตร Gender diversity to stop cyberbullying พัฒนาจากองค์ความรู้วิถีทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ การแสดงออกทางเพศ และลักษณะเพศ (Sexual Orientation, Gender Identity and Expression, and Sex Characteristics หรือ SOGIESC) ซึ่งเป็นแนวคิดในการอธิบายเพศสภาพ เพื่อสร้างความเข้าใจถึงความแตกต่างทางเพศของแต่ละบุคคลให้เกิดทัศนคติที่เหมาะสมและนำไปสู่ทัศนคติและการแสดงออกที่เคารพต่อบุคคลอื่นในสังคมที่มีความหลากหลาย โดยปัจจุบัน ได้ดำเนินการอบรมไปแล้วในหลายโรงเรียนของจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือของไทย
ที่มา - ข่าวประชาสัมพันธ์ |
# Facebook เอาด้วย เพิ่มพนักงานคนดำและคนละติน 2 เท่าภายใน 2023
หลังจากเมื่อวันก่อน Google ได้ออกนโยบายจ้างงานคนดำ ล่าสุด Sheryl Sandberg ประธานฝ่ายปฏิบัติการของ Facebook ก็ได้ออกนโยบายช่วยเหลือกลุ่มคน underrepresented (กลุ่มคนที่ไม่ได้รับโอกาสมากนักเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากร เช่น คนดำคนที่มีเชื้อสายละตินหรือแม้แต่ผู้หญิง) ออกมาแล้ว
Sandberg ระบุว่าจะเพิ่มบุคลากรให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนบุคลากรจากกลุ่ม underrepresented ให้ขึ้นมาอยู่ที่ 50% ภายในปี 2023 โดยเน้นว่ากลุ่มคนดำและคนละตินจะต้องเพิ่มขึ้น 2 เท่า
นอกจากนี้ภายในระยะเวลา 5 ปีก็จะเพิ่มสัดส่วนกลุ่มคนที่ไม่ใช่คนผิวขาว (people of colour) ในตำแหน่งระดับสูงและบริหารอีก 30% (สัดส่วนนี้จะเป็นคนดำ 30%) และพยายามเพิ่มความหลากหลายของบุคลากรในกระบวนการตัดสินใจและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงโครงการและนโยบายต่างๆ ของบริษัทให้มากขึ้น พร้อมทั้งยังคงยึดมั่นในเป้าหมายเดิมคือ ผลักดันให้มีผู้หญิงขึ้นมาเป็นผู้นำมากขึ้น
ภาพจาก Facebook
นอกจากเรื่องตำแหน่งงาน Facebook ได้บริจาคเงินกว่า 200 ล้านเหรียญเพื่อช่วยเหลือกิจการและองค์กรของคนดำ, มอบทุนการศึกษากว่า 100,000 ทุนให้กับนักศึกษาผิวดำในหลักสูตร Facebook Blueprint และ เพิ่มพื้นที่และกระบอกเสียงให้กับคนดำบน Facebook โดยออกแบบให้เป็นพื้นที่แบ่งปันเรื่องราวจากคนดำ (Lift Black Voices) รวมไปถึงผลักดัน #ShareBlackStories บน Instagram อีกด้วย
ก่อนหน้านี้ Facebook ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนคนดำด้วยการลบบัญชีที่เชื่อมโยงกลุ่มนิยมคนขาว และปลุกระดมความรุนแรง
ภาพจาก Facebook
ที่มา - Facebook |
# EA แง้ม ทีมงานกำลังพัฒนา Dragon Age, Battlefield และ Need for Speed ภาคใหม่
นอกจากเปิดตัวเกมใหม่อย่าง Star Wars: Squadrons และอัพเดตเกม Apex Legends และ Fifa กับ Madden ภาคใหม่แล้ว ตอนท้ายของงาน EA Play Live เมื่อวานนี้ EA ยังได้แง้มเทคเดโมในเกมที่พัฒนาอยู่ให้ชมด้วย
ตัววิดีโอเป็นการโชว์เกมที่อยู่ในขั้นพัฒนาสำหรับเครื่องเกม Next-Gen ของค่ายในสังกัด เช่น เกมแข่งรถใหม่จาก Criterion ผู้สร้าง Burnout และมีส่วนร่วมกับ Ghost Games ในการพัฒนา Need for Speed Heat จากปีที่แล้ว (ที่ EA เพิ่งปล่อยวางจำหน่ายบน Steam) เกม Dragon Age ภาคใหม่ที่อยู่ในขั้นพัฒนาจาก Bioware และ ยังโชว์เทคโนโลยีใบหน้าและการแสดงอารมณ์ของตัวละคร ฉากโมเดลบนสมรภูมิ และระบบทำลายสภาพแวดล้อมใน Battlefield ภาคใหม่ของ Dice อีกด้วย
นอกเหนือไปจากนี้ EA ก็ไม่ได้โชว์อะไรมากนัก นอกจากเกมอินดี้ เช่น It Takes Two จาก Hazelight ผู้สร้างเกมแหกคุก A Way Out ที่ซื้อเกมแค่คนเดียวก็แบ่งกันเล่นกับเพื่อนแบบออนไลน์ได้ Lost in Random เกมผจญภัยภาพแนวการ์ตูน ภาคต่อของเกม Fe (เกมผจญภัย ได้คะแนนไป 73% จาก Metacritic) และ Rocket Arena เกมยิงแนว Arena shooter แบบ Quake ที่ใช้ภาพสไตล์ Fortnite และเพิ่มความตลกเฮฮาเข้ามา
ที่มา - PC World
ภาพจาก Dragon Age ในขั้นพัฒนาของ Bioware
ภาพใบหน้าของทหาร จากเอนจิ้น Next Gen ของ Battlefield
เกมแข่งรถเกมใหม่ จาก Criterion ที่น่าจะเป็น Need for Speed |
# ศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพของกูเกิล Area 120 เปิดตัว Keen แอปสร้างคอลเลกชั่นที่ตัวเองสนใจ เหมือน Pinterest
ศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพของกูเกิลหรือ Area 120 เปิดตัว Keen แพลตฟอร์มใหม่เวอร์ชั่นเว็บไซต์และแอปแอนดรอยด์ ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานบันทึกหัวข้อที่เรากำลังสนใจจากแหล่งข้อมูลบนเว็บไซต์อื่นๆ หรือคนดังที่เรากำลังติดตามเข้าอยู่เข้ามาไว้ในนี้ แชร์ให้เพื่อนๆ เห็นได้ การใช้งานและหน้าตาของแอปรวมๆ คล้ายกับ Pinterest
ตัวอย่างเช่น ถ้าช่วงนี้สนใจการทำอาหาร ก็สร้างบอร์ดเพื่อรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับการทำอาหารมาไว้ด้วยกัน ระบบก็จะแนะนำเนื้อหาอาหารเพิ่มเติมมาให้บันทึกเข้าคอลเลกชั่นตัวเองได้ ค้นหาหัวข้อที่น่าสนใจ และกดติดตามคอลเลกชั่นของเพื่อนๆ ได้
ที่มา - Google Blog |
# ทีมพัฒนา TypeScript ของไมโครซอฟท์ บอกภาษาฮิตเพราะกูเกิลเลือกใช้กับ Angular
Ryan Cavanaugh หัวหน้าทีมวิศวกรรมที่ดูแลการพัฒนาภาษา TypeScript ของไมโครซอฟท์ให้สัมภาษณ์กับ StackOverflow บอกว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ TypeScript ได้รับความนิยมอย่างมาก เป็นเพราะกูเกิลตัดสินใจนำไปใช้ในโครงการ Angular 2
Cavanaugh ร่วมทีมพัฒนา TypeScript มาตั้งแต่ก่อนเปิดตัวในปี 2012 (ผู้สร้าง TypeScript คือ Anders Hejlsberg ซึ่งเป็นผู้สร้าง Turbo Pascal, Delphi, C#) เขาเล่าว่าตอนนั้นไมโครซอฟท์ต้องการนำ JavaScript มาสร้างแอพพลิเคชันขนาดใหญ่ แต่ติดปัญหาเรื่องขาดฟีเจอร์ตัวแปรแบบ static typing
ทางเลือกที่เป็นไปได้ในตอนนั้นคือสร้างภาษาใหม่เลย (เช่น Script# ที่เป็นการเขียน C# แล้วแปลงเป็น JavaScript หรือ CoffeeScript ที่เป็น JavaScript เปลี่ยน syntax) แต่สุดท้ายเลือกการนำ JavaScript มาเพิ่มตัวแปร static type กลายเป็น TypeScript
เขาบอกว่าจุดเปลี่ยนสำคัญคือช่วงปลายปี 2015 ที่กูเกิลประกาศว่าจะใช้ TypeScript สำหรับโครงการ Angular 2 (Angular เวอร์ชันแรกใช้ JavaScript) ทำให้ความนิยมของ TypeScript เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด (ดูกราฟประกอบ)
Cavanaugh ยังพูดถึงกระแสความนิยมของภาษาแบบ static typing ในภาพรวม เช่น Rust หรือ Hack ของ Facebook ที่เป็น PHP แบบเพิ่ม static type ว่าวงการไอทีทดลองนำภาษาแบบ dynamic ไปสร้างโปรแกรมขนาดใหญ่ๆ ที่มีความซับซ้อนสูง แล้วเกิดปัญหาตามมามากมาย เป็นบทเรียนสำคัญว่าถ้าต้องการดูแลโค้ดในระยะยาว ต้องมีการกำหนดชนิดของตัวแปรที่ดีมาตั้งแต่ต้น
เขาบอกว่าโลกยังมีที่ว่างสำหรับภาษาทั้งสองแบบ และถ้าโปรแกรมเมอร์ที่นิยมภาษาแบบ dynamic สามารถเขียนโค้ด 30,000 บรรทัดโดยไม่ต้องมี static types เขาก็จะประทับใจมาก เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ยากมาก
ที่มา - StackOverflow via ZDNet |
# Intel เปิดตัว SSD ศูนย์ข้อมูลซีรีส์ D7 รองรับ PCIe 4.0
นอกจากซีพียูเซิร์ฟเวอร์ Intel ยังเปิดตัว SSD ซีรีส์ D7 ด้วย 2 รุ่นคือ D7-P5500 และ D7-P5600 อินเทอร์เฟสเป็น PCIe 4.0 U.2 ทั้งคู่ ชิป NAND เป็น 3D TLC ขนาด 96 เลเยอร์ form factor ขนาด 2.5 นิ้ว หนา 15 มม.
ทั้งสองรุ่นมีอัตราการอ่านข้อมูลต่อเนื่อง 7,000MB/s เขียนต่อเนื่อง 4,300MB/s อ่านสุ่ม (4k) 1M IOPS เขียนสุ่ม P5500 อยู่ที่ 130,000 IOPS ส่วน P5600 ที่ 260,000 IOPS โดยรุ่น P5500 มีความจุขนาด 1.92TB, 3.84TB และ 7.68TB ค่า DWPD อยู่ที่ 1 ระยะเวลาประกัน 5 ปี ส่วน P5600 มีขนาด 1.6TB, 3.2TB, 6.4TB ค่า DWPD อยู่ที่ 3 ระยะประกันเท่ากัน
ที่มา - Anandtech |
# Facebook แบนโฆษณาของทีมหาเสียงทรัมป์ เพราะใช้สัญลักษณ์ชี้ตัวนักโทษของนาซีมาประกอบเนื้อหา
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิ.ย. Facebook แบนโฆษณาแคมเปญหาเสียงจากทีมหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งหนึ่งในโฆษณาที่ถูกแบนมีการใช้สัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีแดงหัวคว่ำ ซึ่งเป็นสัญลักษณที่นาซีใช้เพื่อกำหนดและระบุความผิดของนักโทษ และยังมีเนื้อหาต่อต้านกลุ่มผู้ประท้วงจากเหตุ George Floyd ว่าเป็นม็อบอันตราย เป็น Antifa หรือกลุ่มซ้ายจัดหัวรุนแรง
โพสต์ดังกล่าวมาจากเพจ Team Trump ระบุเป็น paid post บน Facebook สนับสนุนโดย Trump and Vice President Pence ซึ่ง Facebook ให้เหตุผลในการแบนโฆษณาชุดนี้ว่า นโยบายโฆษณาห้ามไม่ให้มีการใช้สัญลักษณ์แสดงความเกลียดชัง
แต่ประเด็นอยู่ที่ โพสต์โฆษณาดังกล่าวแพร่ออกไปแล้วในวงกว้างตั้งแต่วันพุธที่ 17 มิ.ย. มียอด 950,000 impression หรือจำนวนครั้งที่แสดงโฆษณาออกไป และบนเพจของ Pence ก็มีการแสดงผลไปแล้ว 500,000 impression แคมเปญโฆษณาทั้งหมดยังระบุกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้งาน Facebook ทั้ง 50 รัฐ
ใน Washington Post บอกด้วยว่า การเคลื่อนไหวของ Facebook ต่อโฆษณาของทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากการพูดคุยร่วมกันของคณะกรรมการทนายความเพื่อสิทธิพลเมืองภายใต้กฎหมาย, David Brody ที่ปรึกษาขององค์กรและผู้อาวุโสเพื่อความเป็นส่วนตัวและเทคโนโลยี ได้รายงานเรื่องนี้ไปยัง Facebook
Tim Murtaugh โฆษกทีมหาเสียงของทรัมป์โต้ว่า สามเหลี่ยมสีแดงหัวคว่ำเป็นสัญลักษณ์ของ Antifa และ Facebook ก็ยังมีอีโมจิรูปร่างคล้ายกันนี้ นร่าสงสัยว่าทำไม Facebook จึงเพ่งเล็งแต่โฆษณาของทรัมป์
Facebook โดยเฉพาะช่วงก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ ถูกเพ่งเล็งมากเป็นพิเศษ และยังมีกรณีนิ่งเฉยต่อโพสต์ของทรัมป์ที่มีเนื้อหาชวนให้เข้าใจว่ามีความรุนแรง คุกคามประชาชน ในการประชุมร่วมกันของคณะกรรมการข่าวกรองกับผู้บริหารโซเชียลมีเดียหลัก Facebook ก็ยังคงถูกตั้งคำถามถึงบทบาทในการป้องกันการแทรกแซงการจากต่างประเทศ, อัลกอริทึม, ข่าวปลอม
ที่มา - Washington Post |
# Mozilla ตั้งเป้ามีผู้บริหารคนดำสัดส่วน 6% ขององค์กร, เพิ่มพนักงานคนดำ-ละตินอีกเท่าตัว
Mozilla เป็นอีกองค์กรที่ออกมาประกาศนโยบายเรื่องสีผิวและการเหยียดเชื้อชาติ โดยมีแผนการดังนี้
เพิ่มสัดส่วนพนักงานในสหรัฐที่เป็นกลุ่มคนดำ-ละตินขึ้นอีกเท่าตัว (double the percentage) โดย Mozilla ยืนยันว่าตัวเลขนี้เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมายในระยะยาว
เพิ่มจำนวนผู้บริหารที่เป็นคนดำ ตั้งเป้าให้มีสัดส่วนคนผิวดำในระดับผู้อำนวยการขึ้นไป (director) ที่ 6% ซึ่งเป็นตัวเลขสัดส่วนพนักงานคนดำในปัจจุบัน
ปรับปรุงกระบวนการจ้างพนักงานให้ดึงดูดคนดำและละตินมากขึ้น
พัฒนาผลิตภัณฑ์ในเครือเพื่อแก้ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ เริ่มจาก หน้ารวมบทความคนดำใน Pocket ที่จะเริ่มโปรโมทผ่านช่องทางของ Firefox
เงินของ Mozilla Foundations ที่ใช้สนับสนุนโครงการอื่นๆ อย่างน้อย 40% ให้กับโครงการที่มีคนดำเป็นผู้นำ
ก่อนหน้านี้ กูเกิลประกาศเพิ่มจำนวนผู้บริหารคนดำอีก 30% ภายใน 5 ปี
ที่มา - Mozilla |
# อังกฤษยอมถอย เลิกพัฒนาระบบ Contact Tracing เอง หันมาใช้ API ของกูเกิล/แอปเปิล หลังทำเองแล้วใช้บน iPhone ไม่ได้
สหราชอาณาจักรยอมเปลี่ยน API สำหรับการทำ Contact Tracing บนโทรศัพท์ จากเดิมพยายามพัฒนาด้วยตัวเองทั้งหมด หันมาใช้ Exposure Notification API ที่กูเกิลและแอปเปิลออกแบบร่วมกัน หลังจากพบว่าซอฟต์แวร์ที่พัฒนาเองสามารถตรวจจับการเข้าใกล้โทรศัพท์ไอโฟนได้เพียง 4% เท่านั้น และแอนดรอยด์เองก็ยังตรวจจับได้เพียง 75% เทียบกับ Exposure Notification API ที่ตรวจจับได้ 99% ทั้งสองแพลตฟอร์ม
รัฐมนตรีสาธารณสุขสหราชอาณาจักรระบุว่าแอปที่รัฐบาลพัฒนาเองอาจจะทำงานได้ดีกว่านี้หากแอปเปิลไม่จำกัดการใช้งาน โดยแอปเปิลไม่ยอมให้แอปบน iOS สแกน Bluetooth Low Energy หากไม่ได้ทำงานเบื้องหน้า โดยตอนนี้ยกเว้นให้เฉพาะการใช้งานผ่าน Exposure Notification API เท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้สหราชอาณาจักรเคยยืนยันว่าสามารถหาทางแก้ไขให้ทำงานได้ แต่ผลการทดสอบที่ออกมาก็พบว่าประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร
สาเหตุที่รัฐบาลจำนวนมากไม่พอใจ API ที่ทั้งสองบริษัทออกแบบให้ใช้งานเพราะรูปแบบการใช้งานนั้น เมื่อรัฐบาลพบผู้ป่วยและได้รับโทรศัพท์ของผู้ป่วย หากใช้ API ของรัฐบาลเองตัวรัฐบาลสามารถบอกได้ทันทีว่าใครเป็นคนเข้าใกล้ผู้ป่วยบ้าง ขณะที่ API ของกูเกิลและแอปเปิลนั้นไม่เปิดเผยตัวตนผู้เข้าใกล้ ตัวรัฐบาลทำได้เพียงเผยแพร่หมายเลขประจำตัวผู้ป่วยออกไปเพื่อให้โทรศัพท์ของผู้ที่เคยเข้าใกล้แจ้งเตือนให้ติดต่อรัฐบาลเท่านั้น รัฐบาลสิงคโปร์ก็ไม่พอใจต่อกระบวนการเช่นนี้ แต่ตัดสินใจสร้างฮาร์ดแวร์มาแจกประชาชนเอง
ที่มา - BBC
ภาพโดย JESHOOTS-com |
# เกม This War of Mine ถูกบรรจุเป็นสื่อการเรียนนอกเวลาของโปแลนด์
This War of Mine เกมจำลองการเอาตัวรอดของชาวเมืองในช่วงสงคราม ที่เต็มไปด้วยการตัดสินใจที่ยากลำบากและบรรยากาศที่มืดหม่นตลอดทั้งเกม แสดงให้เห็นภาพความโหดร้ายที่คนทั่วไปต้องเผชิญ ถูกบรรจุเป็นสื่อการเรียนนอกเวลา (recommend reading) สำหรับนักเรียนมัธยมปลายในโปแลนด์แล้ว
11 Bit Studio ผู้พัฒนาเกมนี้ ได้โพสต์เฟสบุ๊กว่านี่เป็นอีกก้าวสำคัญของวิดีโอเกม ในแง่ของงานศิลปะวัฒนธรรม โดยได้รับการอนุมัติจาก Mateusz Morawiecki นายกรัฐมนตรีของโปแลนด์ให้ถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมัธยมปลายในปี 2020/2021 สำหรับนักเรียนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป (เพราะเกมมีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรง) โดยจะอยู่ในวิชาเกี่ยวกับมนุษยศาสตร์, จิตวิทยา, วิชาจริยธรรม, ปรัชญา และประวัติศาสตร์ และจะมีการจัดส่งให้กับโรงเรียนมัธยมทั่วโปแลนด์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
ที่มา - Facebook Post 11 Bit Studio |
# เปิดราคาไทยโน้ตบุ๊ก-พีซีเกมมิ่ง Legion 7i, 5Pi, 5i, 5, IdeaPad 3i รุ่นใหม่จาก Lenovo
หลัง Lenovo เปิดตัวสเปก Legion 5i, 7i, Legion 5i, Legion 5, Ideapad Gaming 3i และเกมมิ่งทาวเวอร์ Lenovo Legion Tower 5i ในต่างประเทศ ไปเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา วันนี้ Lenovo เปิดเผยราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว ดังนี้
Lenovo Legion 7i หน้าจอ 15.6 นิ้ว ซีพียูสูงสุด Intel Core i9 H-Series การ์ดจอสูงสุด NVIDIA GeForce RTX 2080 SUPER Max-Q ราคาเริ่มต้นที่ 99,990 บาท
Lenovo Legion 5Pi หน้าจอ 15 นิ้ว ซีพียูสูงสุด Intel Core i7 H-Series การ์ดจอสูงสุด NVIDIA GeForce RTX 2060 เริ่มต้นที่ 49,990 บาท
Lenovo Legion 5i หน้าจอสองขนาด 15 และ 17 นิ้ว ซีพียูสูงสุด Intel Core i7 H-Series การ์ด NVIDIA GeForce RTX 2060 เริ่มต้นที่ 32,990 บาท
Lenovo Legion 5 หน้าจอ 15 นิ้ว ซีพียูใช้ตระกูล AMD สูงสุด AMD Ryzen 7 4800 H การ์ดจอสูงสุด Nvidia GeForce GTX1650Ti เริ่มต้นที่ 26,990 บาท
Lenovo IdeaPad Gaming 3i หน้าจอ 15 นิ้ว ซีพียูสูงสุด Intel Core i7 H-Series การ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti เริ่มต้น 25,990 บาท
Lenovo Legion Tower 5i ตัวเลือกซีพียู Intel Core ตัวเลือกการ์ดจอสูงสุด NVIDIA GeForce RTX 2080 SUPER ใช้ระบบ Liquid Cooling ระบายความร้อนด้วยน้ำ เริ่มต้น 28,990 บาท
ทุกรุ่นวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ซื้อ Lenovo Legion 2020 รุ่นใหม่ รวม Lenovo IdeaPad Gaming 3i จะได้รับแพ็คเกจประกัน Unbeatable Protection ระยะเวลา 2 ปี ยกเว้น IdeaPad Gaming 3i ได้ 1 ปี ประกันรวมซ่อม Onsite, Call center support, มีเครื่องสำรองให้ใช้, นำเครื่องเข้าซ่อมได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง หากเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุ และได้รับของแถมอื่นๆ เช่น กระเป๋าเป้ เกม Tom Clancy’s The Division™ 2 และอื่นๆ แล้วแต่รุ่น
ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์ |
# EA เปิดตัว FIFA 21 ประกาศลง PS5 และ Xbox Series X ด้วย
EA Sports เปิดตัวเทรลเลอร์แรกของ FIFA 21 (ในคลิปมาพร้อมกับ Madden NFL 21) โดยประกาศลง PS4, Xbox One, PC ก่อนในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ และจะตามไปลง PS5, Xbox Series X, Switch, Stadia ด้วย (ยังไม่ระบุวัน)
ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดของเกมเพลย์และฟีเจอร์ใหม่ๆ ของเกม ซึ่งจะเปิดเผยในเดือนสิงหาคม แต่จากภาพที่ EA นำมาโชว์ มีโหมด Career, Volta Football, Pro Clubs และ FIFA Ultimate Team (FUT) เช่นเดิม
EA การันตีว่าลูกค้าที่ซื้อ FIFA 21 หรือ Madden NFL 21 เวอร์ชัน PS4/Xbox One จะสามารถอัพเกรดไปเป็นเวอร์ชัน PS5/Xbox Series X ได้ฟรี (โดยมีเงื่อนไขว่าต้องซื้อเกมก่อน FIFA 22 หรือ Madden NFL 22 วางขาย) ซึ่ง EA เรียกโครงการนี้ว่า Dual Entitlement
เกมเวอร์ชัน PS4, Xbox One, PC เปิดให้พรีออเดอร์แล้ว โดยมี Standard Edition, Champions Edition, Ultimate Edition
ส่วนเกมเวอร์ชัน Nintendo Switch จะเป็น FIFA 21 Legacy Edition ที่มีเฉพาะอัพเดตนักเตะและชุดแข่งของฤดูกาลใหม่ แต่ไม่มีโหมดเกมใหม่ๆ หรือฟีเจอร์ใหม่ๆ (ท่าเดียวกับที่ออก FIFA 20 Legacy Edition และโดนวิจารณ์ไม่น้อย)
ที่มา - EA |
# เผยเกมเพลย์ Star Wars: Squadrons เน้นโหมดสงครามอวกาศขนาดใหญ่ มียานแม่
EA เผยเกมเพลย์และรายละเอียดของ Star Wars: Squadrons เกมขับยานรบภาคใหม่ในจักรวาล Star Wars
เกมมีโหมดให้เล่น 3 โหมดคือ
โหมดเนื้อเรื่องแบบเล่นคนเดียว (Story) จับเหตุการณ์ช่วงท้ายของสงคราม Galactic Civil War หลัง Episode VI ไม่กี่ปี ว่าหลังจักรพรรดิตายแล้ว สงครามจะจบลงอย่างไร โดยสลับให้เล่นจากมุมมองของทั้งสองฝ่าย
โหมดมัลติเพลเยอร์ Dogfight ขับยานรบสู้กันแบบ 5v5 กติกาเรียบง่าย กำจัดอีกฝ่ายให้หมดสิ้น
โหมดมัลติเพลเยอร์ Fleet Battles โหมดไฮไลท์ของเกมนี้ เป็นสงครามอวกาศขนาดใหญ่ที่มียานแม่ลำยักษ์เข้าร่วม ยังเล่นแบบ 5v5 แต่มีภารกิจให้ทำเป็นขั้นๆ มากกว่าสู้กันอย่างเดียว (โหมดนี้สามารถเล่นสู้กับ AI ได้ด้วย)
ยานรบที่มีให้ขับ แบ่งออกเป็น 4 คลาสคือ Fighter, Interceptor, Support, Bomber โดยแต่ละฝ่าย New Republic และ Imperial Navy มียานอย่างละ 4 แบบเท่ากัน (รวมเป็น 8 แบบ) ยานมีระบบ component slot สามารถปรับเปลี่ยนอาวุธหลัก อาวุธรอง โล่ เครื่องยนต์ ฯลฯ ได้
ส่วนฉากที่มีให้เล่น เปิดตัวมา 6 ฉากได้แก่ Yavin Prime, Esseles, Nadiri Dockyards, Sissubo, Galitan, Zavian Abyss
ที่มาของเกมนี้คือ Motive Studios ที่ช่วยพัฒนาโหมดเล่นคนเดียวของ Star Wars Battlefront II เกิดไอเดียอยากพัฒนาเกมขับยานในจักรวาล Star Wars จึงเริ่มพัฒนาเกมต้นแบบ โดยใช้ชื่อว่า Project Incom (ชื่อมาจาก Incom Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างยาน X-wing ในเรื่อง)
Ian Frazier ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Motive Studios ผู้สร้างเกมนี้ ให้สัมภาษณ์กับ Gameinformer ว่าตั้งใจออกแบบ Star Wars: Squadrons มาเป็นเกมแบบเก่าที่ครบจบในตัว (Our mindset has been very old school) เมื่อผู้เล่นจ่ายค่าเกม 40 ดอลลาร์เต็มจำนวน ก็ควรได้เกมที่สมบูรณ์กลับไป ทีมพัฒนาไม่ได้คิดถึงแนวทาง live-service ตามอย่างเกมสมัยใหม่ แต่ก็บอกว่าไม่ได้ปิดกั้นเรื่องการเพิ่มเนื้อหาอื่นๆ เข้ามาในอนาคต
Frazier บอกว่าเมื่อเกมวางขายในวันที่ 2 ตุลาคม ผู้เล่นจะสามารถปลดล็อคเนื้อหาทั้งหมดที่ Motive พัฒนาขึ้นได้เลย ต้องไม่ต้องรอว่าจะมีเนื้อหาใดตามมาอีกในอนาคต
ทิศทางของ Star Wars: Squadrons สะท้อนแนวทางช่วงหลัง EA ที่เริ่มหันกลับมาทำเกมแบบดั้งเดิม เล่นครบจบในตัวมากขึ้น (เช่น Star Wars: Jedi Fallen Order) หลังจากหันไปโฟกัสที่เกมแบบ live-service ขายเนื้อหาเพิ่มไปเรื่อยๆ (เช่น Battlefield หรือ Star Wars Battlefront) จนถูกวิจารณ์อย่างหนักอยู่ช่วงหนึ่ง
ที่มา - EA, Gameinformer |
# คณะกรรมการข่าวกรองสหรัฐฯตั้งคำถาม Facebook ถึงอัลกอริทึม สร้างความแตกแยกหรือไม่
คณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ หรือ The House Select Committee on Intelligence จัดการประชุมร่วมกับผู้บริหารบริษัท Facebook, Google, Twitter ผ่านการประชุมออนไลน์ หัวข้อคือความปลอดภัยในการเลือกตั้งและการแทรกแซงจากต่างประเทศก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2020
คณะกรรมการมีข้อกังวลถึงอัลกอริทึม Facebook จากที่ Wall Street Journal รายงานว่าผู้บริหารใน Facebook รู้ว่าอัลกอริทึมบนแพลตฟอร์มสามารถสร้างความแตกแยกได้จริง และไม่มีความพยายามจะปรับปรุงแก้ไข ซึ่ง Jim Himes หนึ่งในคณะกรรมการหยิบประเด็นนี้มาถาม Nathanial Gleicher หัวหน้าฝ่ายนโยบายความปลอดภัยที่ Facebook ที่เข้าร่วมประชุมด้วยว่า Facebook ได้พยายามทำอะไรกับเรื่องนี้หรือไม่ พร้อมทั้งรู้สึกกัลวลที่ Facebook อาจส่งเสริมการแบ่งขั้วในประเทศนี้
ด้าน Gleicher ก็ไม่ได้ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา ตอบเพียงว่าผู้ใช้งาน Facebook ไม่ต้องการเห็น clickbait หรือโพสต์ที่ส่งเสริมความแตกแยกในสังคม และ Facebook ได้โฟกัสไปที่การแสดงข่าวรอบตัว ข่าวจากเพื่อนและสังคมมากขึ้น และผู้ใช้ไม่ต้องการการจัดลำดับความสำคัญของโพสต์และข่าวสารที่ปรากฏบนหน้าฟีด
ที่มา - Engadget |
# YouTube เตรียมแสดงสินค้าของแบรนด์ใต้วิดีโอโฆษณา เลื่อนดูและกดซื้อได้
YouTube ทำรูปแบบโฆษณาโฆษณาใหม่ แสดงรูปผลิตภัณฑ์ของแบรนด์และราคาไว้ใต้วิดีโอโฆษณาด้วย ผู้ใช้งานสามารถเลื่อนดูผลิตภัณฑ์และกดซื้อได้ โดยแบรนด์ที่จะสามารถทำแบบนี้ได้ต้องเชื่อมร้านเข้ากับ Google Merchant Center ก่อน เพื่อจะเลือกสินค้าและคุณลักษณะที่ร้านต้องการ เช่นใส่ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีมาไว้ใต้วิดีโอโฆษณาเพื่อดึงดูดใจลูกค้า
นอกจากวิดีโอโฆษณาแบบใหม่แล้ว YouTube ยังเปิดตัว Video action campaigns นำแคมเปญวิดีโอโฆษณาของแบรนด์มาแสดงในสามช่องทางคือ YouTube home feed, watch pages และ Google video partners ช่วยให้แบรนด์ประหยัดเวลาในการคิดสร้างสรรค์ข้อความที่จะสื่อไปถึงลูกค้า โดย YouTube อ้างว่า Video action campaigns เหมาะกับธุรกิจทุกขนาด มีสตาร์ทอัพรายหนึ่งคือ Mos ที่ช่วยให้นักเรียนหาทุนเรียน พบว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 30% ตั้งแต่มาทดลองใช้ Video action campaigns
แบรนด์ยังสามารถสร้างฟอร์มเพื่อนับ lead ได้จากโฆษณาบน YouTube เพื่อให้แบรนด์ได้ติดต่อกลับหาลูกค้าที่สนใจใช้บริการของแบรนด์จริงๆ ตัวอย่างเช่นโฆษณาขายรถของ Jeep คนทั่วไปกดที่ฟอร์มถ้าสนใจจะทดลองขับ แต่มีข้อแม้ว่าแบรนด์ที่จะสร้าง lead ได้ต้องมีการใช้จ่ายแคมเปญโฆษณาบนกูเกิล 50,000 ดอลลาร์
ที่มา - กูเกิล |
# ไมโครซอฟท์ออกแพตช์แก้บั๊กพรินเตอร์ใช้งานไม่ได้ของ Windows 10 แล้ว
ไมโครซอฟท์ออกแพตช์แก้บั๊กพรินเตอร์หลายรุ่นใช้งานไม่ได้ ที่เกิดจากแพตช์รอบเดือน มิ.ย. 2020
แพตช์ตัวนี้แก้ปัญหาพรินเตอร์ ตั้งแต่ Windows 10 April 2018 Update ไล่มาจนถึง May 2020 Update ตัวล่าสุด (เลขแพตช์จะแตกต่างกันไปตามเวอร์ชันของ Windows โดย May 2020 Update จะเป็น KB4567523) ผู้ใช้สามารถอัพเดตผ่าน Windows Update ได้ตามปกติ
ที่มา - OnMSFT (1), OnMSFT (2)
ภาพจาก Brother |
# Firefox VPN เปลี่ยนชื่อเป็น Mozilla VPN แต่ยังเปิดทดสอบเฉพาะในสหรัฐ
Mozilla เปิดบริการ VPN ของตัวเองมาได้สักพักใหญ่ๆ (ยังจำกัดเฉพาะในสหรัฐ) โดยใช้ชื่อว่า Firefox VPN หรือ Firefox Private Network ล่าสุดมันถูกรีแบรนด์ใหม่เป็นผลิตภัณฑ์แยกต่างหากคือ Mozilla VPN เพื่อจับกลุ่มผู้ใช้ที่กว้างขึ้น
Mozilla บอกว่าต้องการสร้างบริการ VPN ที่รักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้จริงๆ โดยไม่ตามรอยผู้ใช้เลย และจะการันตีไม่ทำธุรกิจจากการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานด้วย
Firefox VPN จะปลดสถานะเบต้าในเร็วๆ นี้ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Mozilla VPN โดยยังคงค่าบริการเดือนละ 4.99 ดอลลาร์ ใช้งานได้ 5 อุปกรณ์พร้อมกัน รองรับ Windows, Android, iOS, Chromebook และในอนาคตจะรองรับ Mac กับ Linux ด้วย
ที่มา - Mozilla |
# Phil Schiller ยืนยัน จะไม่เปลี่ยนกฎของ App Store จากกรณีของแอปอีเมล Hey
Phil Schiller หัวหน้าฝ่ายการตลาดของแอปเปิล ให้สัมภาษณ์กับ TechCrunch ในประเด็นที่แอปอีเมล Hey ของ Basecamp ถูกปฏิเสธนำขึ้น App Store จนทำให้ David Heinemeier Hansson พาร์ทเนอร์ของ Basecamp ออกมาวิจารณ์ในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากแอปเปิลกำหนดให้แอปต้องจ่ายเงินค่าสมาชิกผ่าน App Store เท่านั้น
Schiller ย้ำว่าแอปเปิลจะไม่เปลี่ยนแปลงกฎกติกาดังกล่าว ส่วนที่กล่าวว่าแอปอย่าง Netflix หรือ Spotify สามารถเลือกจ่ายเงินค่าสมาชิกนอกแอปได้นั้น เพราะแอปกลุ่มนั้นถือเป็นแอปแบบ reader กล่าวคือเป็นแอปที่แสดงคอนเทนต์ภายนอก แต่กรณีของแอปอีเมลนั้นไม่เข้าข่าย
นอกจากนี้ Schiller ยังบอกว่าปัญหาสำคัญของ Hey คือเมื่อผู้ใช้งานดาวน์โหลดมาแล้ว แอปจะทำงานไม่ได้เลย ต้องเป็นสมาชิกก่อนเท่านั้น แต่ตัวแอปไม่มีช่องทางให้ In-App Purchase ซึ่งแอปเปิลไม่ต้องการให้มีแอปแบบนี้ใน App Store (แอปเปิลระบุว่า กรณีนี้มีข้อยกเว้นหากเป็นแอปใช้ภายในองค์กร)
Schiller บอกว่าผู้พัฒนาแอปสามารถหาทางออกได้หลายวิธี เช่น ให้ใช้งานฟรีแบบจำกัดฟีเจอร์, ตั้งราคาใน In-App แบบเพิ่มส่วนแบ่งที่จะถูกหัก ทั้งนี้แอปเปิลได้ส่งอีเมลถึง Basecamp ชี้แจงว่าแอปทำผิดกฎข้อใดบ้าง และสามารถแก้ไขอย่างไรได้บ้างแล้วก่อนหน้านี้
ที่มา: TechCrunch |
# อินเทลเปิดตัว Xeon Scalable รุ่นที่ 3 รองรับข้อมูลแบบ bfloat16 พร้อมชิป FPGA สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ
อินเทลเปิดตัวชิป Xeon Scalable รุ่นที่ 3 ชื่อรหัส Cooper Lake สำหรับเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ในกลุ่ม 4 และ 8 ซ็อกเก็ต โดยความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการรองรับข้อมูลแบบ bfloat16 ที่นิยมใช้งานกลุ่มปัญญาประดิษฐ์
การที่อินเทลรองรับคำสั่งแบบ bfloat16 นับเป็นความพยายามในการรวมเอาความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์เข้าไว้ในสินค้าทั้งชุด ตั้งซีพียู, ชิปกราฟิก Xe ที่อยู่ระหว่างพัฒนา, FPGA และชิปเฉพาะทางอย่าง Movidius โดย bfloat16 แปลงข้อมูลแบบเลขทศนิยมให้ความละเอียดต่ำลง ประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น แต่โมเดลจำนวนมากกลับพบว่าความแม่นยำโดยรวมของโมเดลนั้นเกือบจะเท่าเดิม แต่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 1.5-2 เท่าตัว
สเปคความร้อนของซีพียูอยู่ที่ 150-250 วัตต์ เริ่มต้น 16 คอร์ 32 เธรดไปจนถึง 28 คอร์ 56 เธรด รองรับแรมสูงสุด 4.5TB ต่อซ็อกเก็ต
Xeon Scalable รุ่นที่ 3 นี้เริ่มส่งมอบสินค้าแล้ว และคาดว่าผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์จะเริ่มอัพเกรดภายในปีนี้ โดย Xeon Scalable รุ่นที่สามในกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็ก Ice Lake จะตามมาภายในปีนี้
ชิป Intel เปิดตัวพร้อมกัน โดยเป็นชิปที่เพิ่มวงจร AI Tensor Block เข้าไว้ในตัว ขณะที่พลังประมวลผลเต็มชิปหากนับแบบ INT8 จะเพิ่มกว่าเดิม 15 เท่าตัว อินเทลระบลุการใช้งาน เช่น การรันโมเดล BERT บน Stratix 10 NX นั้นเร็วกว่า NVIDIA V100 อยู่ 2.3 เท่าตัว ขณะที่โมเดล ResNet50 นั้นเร็วกว่า 3.8 เท่าตัว
AI Tensor Block ประกอบไปด้วยวงจรคูณ 30 ชุดและ accumulator อีก 30 ชุด รองรับข้อมูลแบบ INT4, INT8, FP12 และ FP16
อินเทลคาดว่าจะเริ่มส่งมอบ Stratix 10 NX ภายในสิ้นปีนี้
ที่มา - Intel |
# Vivaldi บน Android ได้รับอัพเดต, เพิ่มโหมดปรับเว็บเป็นสีมืด
หลังจากออกรุ่นใช้งานจริงของ Vivaldi บน Android มาตั้งแต่เมื่อปลายเดือนเมษายนปีนี้ ล่าสุด Vivaldi เบราว์เซอร์สำหรับสมาร์ทโฟนที่มี UI จัดการหน้าเว็บแบบแท็บเป็นจุดขาย ก็ได้รับอัพเดตเพื่อความสามารถใหม่เป็นครั้งแรก
โดยในเวอร์ชันนี้ Vivaldi ได้เพิ่มตัวเลือกใหม่สำหรับการเปิด dark mode ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ปรับธีมของเบราว์เซอร์เป็นธีมมืดเท่านั้น แต่ยังสามารถปรับเว็บไซต์จากโทนสว่างเป็นโทนมืดได้ แม้ว่าเว็บไซต์นั้นๆ จะไม่ได้มีตัวเลือกให้เปิด dark mode ก็ตาม (เข้าใจว่าเบื้องหลังการทำงานคือการปรับ CSS ของแต่ละเว็บไซต์ให้เป็นโทนมืดโดยตรง - ผู้เขียน)
เมื่อติดตั้งอัพเดตล่าสุดแล้ว จะสามารถเข้าไปเปิดใช้งานโหมดข้างต้นได้ที่เมนู Settings > Themes > Dark mode for Web Pages ครับ
ที่มา - Vivaldi blog |
# GitHub เปิดตัว Super Linter คอนเทนเนอร์ตรวจคุณภาพโค้ดสารพัดภาษาก่อน merge
GitHub ปล่อย Super Linter อิมเมจคอนเทนเนอร์สำหรับตรวจสอบโค้ด สำหรับใช้เรียกจาก GitHub Action เพื่อตรวจสอบคุณภาพโค้ดก่อนที่จะ merge โค้ดเข้า mastermain
ตัวคอนเทนเนอร์นี้เป็นโครงการที่ GitHub ใช้งานเป็นการภายในแต่เดิม โค้ดหลักเป็น shell script สำหรับรัน linter ในภาษาต่างๆ เช่น Ruby, Python3, JavaScript, TypeScript, Go ไปจนถึงไฟล์คอนฟิกหรือสคริปต์ เช่น Dockerfile, Terraform, YAML
ค่าเริ่มต้นของ Super Linter จะใช้กฎตรวจสอบเริ่มต้นของ linter แต่ละภาษา แต่หากต้องการใช้กฎเฉพาะของทีมก็ตั้งเพิ่มเติมได้
ที่มา - GitHub |
# Cyberpunk 2077 เลื่อนอีกเป็นพฤศจิกายน, เกมยังไม่เรียบร้อย สตูดิโอก็จะไม่ปล่อย
แม้ช่วงเดือนเมษายน CD Projekt Red จะยืนยันว่า Cyberpunk 2077 จะวางจำหน่ายเดือนกันยายนนี้แน่นอน หลังจากเลื่อนมาแล้วรอบหนึ่งในเดือนเมษายน ล่าสุดกำหนดการวางจำหน่ายเกมนี้ก็เลื่อนอีกครั้งเป็นพฤศจิกายน
ใครที่เคยเล่นเกม Witcher 3 มาก่อนอาจพอรับรู้ได้ว่า CD Projekt Red เป็นสตูดิโอที่ค่อนข้างใส่ใจในรายละเอียดของเกม และจะทำเกมจนกว่าจะเรียบร้อยจริง ๆ ไม่รีบเข็นออกมาวางขาย ซึ่งก็ด้วยเหตุผลนี้เองที่ CD Projekt Red ใช้ในการเลื่อนการวางจำหน่ายครั้งนี้
อย่างไรก็ตามทางสตูดิโอยืนยันว่าเนื้อหา เกมเพลย์ เควสต์ คัทซีน ทักษะและไอเท็มทุกอย่างของตัวเกมเสร็จหมดแล้ว แต่ด้วยความเยอะของเนื้อหาและความซับซ้อนของปัจจัยข้างต้นที่มีความเกี่ยวโยงกัน ไม่รวมโลกของเกมที่ใหญ่ ทีมงานจึงต้องใช้เวลามากขึ้นจากที่เคยให้ไว้ ในการเก็บรายละเอียด บาลานซ์แมกคานิคเกมและแก้บั๊กที่มีจำนวนมากทั้งหมด
ทั้งนี้ CD Projekt Red เผยว่าวันที่ 25 มิถุนายนนี้จะปล่อยวิดีโอ Night City Wire เกี่ยวกับตัวเกมและข้อมูลพรีวิวชุดแรกจากสื่อที่ได้ทดลองเล่นก่อน
ที่มา - @CyberpunkGame |
# Vivaldi ออกเวอร์ชัน 3.1, เพิ่ม Notes Manager เปลี่ยนเว็บเบราว์เซอร์เป็นแอพจดโน้ตขนาดย่อม
Vivaldi เบราว์เซอร์ทางเลือกเพื่อผู้ใช้ power user ออกอัพเดตเวอร์ชัน 3.1 ที่มาพร้อมกับของใหม่อย่าง Notes Manager ฟีเจอร์จดโน้ตที่ได้อัพเกรดความสามารถจากเดิมไปอย่างมาก จนน่าจะพอเรียกได้ว่าเป็นการยกเอาฟีเจอร์ของแอพจดโน้ตมาไว้ในเบราว์เซอร์เลยทีเดียว
ฟีเจอร์ Notes Manager ใช้ประโยชน์จากตัวแก้ไขโน้ตแบบใหม่ที่ทำงานแบบ WYSIWYG (What You See Is What You Get) ผนวกกับเครื่องมืออำนวยสะดวกหลายอย่าง ทั้งเครื่องมือจัดฟอร์แมทข้อความที่ใช้งานได้ผ่านแถบ UI หรือผ่านการเขียนด้วยภาษา Markdown, ฟังก์ชั่นค้นหาข้อความ, แนบรูป จนไปถึงฟังก์ชั่น undo-redo พร้อมยกพื้นที่เกือบทั้งหน้าจอเพื่อใช้สำหรับการจดโน้ตโดยเฉพาะ
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำให้ Vivaldi เหมาะกับการใช้จดโน้ตที่มีความซับซ้อนขึ้นมาก และเมื่อใช้งานร่วมกับฟังก์ชั่นซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ ที่สามารถซิงก์โน้ตได้อยู่แล้ว ก็ยิ่งช่วยให้ Vivaldi กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการใช้งานเป็นแอพจดโน้ต
สามารถเข้าใช้งาน Notes Manager ได้ผ่านปุ่ม Notes ใน Start Page ของ Vivaldi
ส่วนการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างที่ถูกเพิ่มพร้อมกัน เป็นการเพิ่มตัวเลือกให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเมนูหลักเพื่อแสดง/ซ่อน/เรียงลำดับเมนู ที่ใช้งานบ่อยหรือไม่ได้ใช้งานได้ตามต้องการ เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Appearance > Menu
ท่านใดสนใจเข้าไปดาวน์โหลด Vivaldi เวอร์ชัน 3.1 ได้ที่นี่ครับ
ที่มา - Vivaldi blog |
# ซีอีโอกูเกิลประกาศเพิ่มจำนวนผู้บริหารคนดำอีก 30% ภายใน 5 ปี
Sundar Pichai ซีอีโอของกูเกิลออกแถลงการณ์สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนผิวดำ มีสาระสำคัญคือ มุ่งเน้นแก้ปัญหาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับ underrepresented group (กลุ่มคนที่ไม่ได้รับโอกาสมากนักเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากร เช่น คนดำ หรือ คนที่มีเชื้อสายละติน) โดยมีประเด็นหลัก 5 ข้อดังนี้
เพิ่มผู้บริหารระดับสูง (senior levels) ให้มีพนักงานผิวดำมากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้บริหารจาก underrepresented group ให้ขึ้นมาอีก 30% ภายในปี 2025
แก้ปัญหาเรื่องสัดส่วนตัวแทนจาก underrepresented group ตั้งแต่กระบวนการจ้างงาน รักษาคนไม่ให้ลาออก และเลื่อนตำแหน่ง พร้อมทั้งแต่งตั้งผู้ประสานงาน คณะทำงาน พัฒนาข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาที่พนักงานผิวดำต้องเผชิญ
สร้างความรู้สึกที่ว่าทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกูเกิลมากยิ่งขึ้น ทั้งในภาพรวมขององค์กร และเจาะจงที่พนักงานผิวดำ ตัวอย่างคือ ให้ทีมรักษาความปลอดภัยเลิกตรวจบัตรพนักงานกับคนที่มาละแวกสำนักงานกูเกิล (ซึ่งอาจตรวจคนดำมากเป็นพิเศษ) โดยมีมุมมองว่าระบบความปลอดภัยของกูเกิลดีอยู่แล้ว ไม่ต้องตรวจบัตรอีก
จัดอบรมให้ความรู้พนักงานกูเกิลในประเด็นทางเชื้อชาติ โดยจะขยายการอบรมไปทั่วโลก
ปรับปรุงสวัสดิการด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมถึงความเป็นอยู่ของพนักงานผิวดำให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ กูเกิลยังจะมุ่งสร้างผลิตภัณท์และโครงการช่วยเหลือผู้ใช้งานผิวดำ โดยเปิดรับไอเดียจากพนักงานทั่วโลก เช่น พัฒนา Google Assistant ให้ตอบคำถามเรื่อง Black Lives Matter ได้ดีขึ้น หรือ การให้แปะป้ายว่าเป็นธุรกิจของคนดำใน Search/Maps เพื่อให้คนไปสนับสนุนร้านค้าเหล่านี้มากขึ้น
กูเกิลยังบริจาคเงินสนับสนุนกว่า 175 ล้านเหรียญเพื่อสนับสนุนกิจการคนผิวดำ และบริจาคเงินอีก 55 ล้านเหรียญเพื่อสนับสนุนองกรณ์ที่ดูแลเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางด้านเชื้อชาติอีกด้วย
ที่มา - Google |
# Xiaomi Redmi 9 เปิดตัวในไทย กล้องหลัง 4 ตัว รุ่นแรม 3GB+32GB ราคา 3,899 บาท
Xiaomi เปิดตัว Redmi 9 มือถือราคาถูกของแบรนด์ Redmi ในประเทศไทย โดยแบ่งเป็นรุ่น 3GB+32GB ราคา 3,899 บาท และรุ่น 4GB+64GB ราคา 4,599 บาท
สเปกของ Redmi 9
หน้าจอ 6.54" FHD+ ติ่งกล้องหน้ารูปหยดน้ำ ความสว่าง 400 nit
หน่วยประมวลผล MediaTek Helio G80 แปดคอร์
กล้องหลัง 4 ตัว: กล้องหลัก 13MP, มุมกว้าง 8MP, มาโคร 5MP, วัดระยะลึก 2MP
กล้องหน้า 8MP
แบตเตอรี่ 5,020 mAh ชาร์จเร็ว 18 วัตต์, แถมที่ชาร์จ 10 วัตต์มาในกล่อง
รองรับ 2 ซิม 4G dual standby, รองรับ microSD สูงสุด 512GB
ระบบปฏิบัติการ Android 10 เป็นรอม MIUI 11
มีให้เลือก 3 สีคือ Carbon Grey, Ocean Green, Sunset Purple เริ่มวางขาย 25 มิถุนายนนี้ โดยมีโปรโมชั่นพรีออเดอร์กับ Lazada รุ่น 3GB+32GB ลดเหลือ 3,699 บาท (ลดไป 200 บาท) หากซื้อระหว่างวันนี้
จนถึงวันที่ 24 มิถุนายน
ที่มา - อีเมลประชาสัมพันธ์ Xiaomi Thailand |
# วิศวกร Red Hat ยอมรับ Kubernetes ซับซ้อนเกินไปสำหรับคนจำนวนมาก แต่ฟีเจอร์ก็เริ่มนิ่งแล้ว
The Register สัมภาษณ์ Clayton Coleman วิศวกร Red Hat ที่ดูแล OpenShift ตั้งแต่ปี 2012 และเข้าร่วมกับ Kubernetes ตั้งแต่ 2014 จนตอนนี้ดำรงตำแหน่ง Architect ดูแลทั้ง Kubernetes และ OpenShift โดยเขาเล่าถึงตอนที่ Red Hat ตัดสินใจเข้าร่วมกับ Kubernetes ว่าตอนนั้น Red Hat กำลังคิดว่าจะเข้าร่วมกับ Mesos แต่ทางกูเกิลก็มาชวนให้ร่วมกับ Kubernetes แทน
Red Hat พัฒนา OpenShift โดยมองแอปพลิเคชั่นเป็น Gear มาก่อนที่จะมี Docker เสียอีก แต่มาเปลี่ยนแนวทางใช้ Kubernetes เป็นแกนกลางใน OpenShift 3 ตัว Clayton ระบุว่า Red Hat โชคดีที่อยู่ถูกที่ถูกเวลาพอดี (ตีความโดยผู้เขียน: ทำให้เปลี่ยนเอนจินไป Kubernetes ในจังหวะที่ทุกคนยอมรับแนวทางนี้)
เขาตอบคำถามถึงความซับซ้อนของ Kubernetes ว่าเกิดจากโครงการมีคนร่วมจำนวนมาก มีนักพัฒนานับพันทำให้มันต้องรองรับความซับซ้อนปัญหาที่แต่ละกลุ่มพยายามแก้ อย่างไรก็ดี Clayton ยืนยันว่า Kubernetes เป็นเครื่องมือที่ดีอย่างมากสำหรับการดีพลอยแอปพลิเคชั่นที่ต้องขยายตัวได้ (scale) แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการฟีเจอร์นี้ โดยเขาอยากให้มีเครื่องมือที่มาซ่อนความซับซ้อนของ Kubernetes ได้ในอนาคต
Clayton ยังระบุว่าฟีเจอร์ของ Kubernetes น่าจะนิ่งแล้ว แต่ช่วงนี้เป็นการทำให้แต่ละฟีเจอร์พร้อมใช้งานมากขึ้น โดยฟีเจอร์จำนวนมากอยู่ในสถานะเบต้าหรืออัลฟ่า ในปีหน้าฟีเจอร์เหล่านี้หากไม่สมบูรณ์จนออกจากเบต้า ฟีเจอร์จำนวนมากก็อาจจะถูกทิ้งไป
ที่มา - The Register |
# สัมภาษณ์คุณปฐมา จันทรักษ์ IBM Thailand ทิศทาง IBM หลังควบกิจการ Red Hat
IBM เป็นบริษัทไอทีสายองค์กรที่มีความเคลื่อนไหวน่าสนใจที่สุดในรอบปีนี้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลายอย่าง ตั้งแต่การควบกิจการ Red Hat ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของ IBM ในตลาดคลาวด์ มาสู่การแต่งตั้งซีอีโอคนใหม่ Arvind Krishna
ต้องยอมรับว่า IBM ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนักในตลาด public cloud ที่มีผู้เล่น 3 รายใหญ่ AWS, Azure, Google Cloud แต่บริษัทก็ยังไม่ถอดใจ และเดินหน้าลุยในตลาดคลาวด์ต่อไป โดยซีอีโอ Arvind Krishna ก็ประกาศไว้ว่าจะใช้ hybrid cloud และ AI เป็นผลิตภัณฑ์หัวหอกของ IBM ในอนาคตหลังจากนี้
Blognone มีโอกาสสัมภาษณ์คุณปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด และรองประธานด้านการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอินโดจีน ถึงทิศทางของ IBM ในยุคซื้อ Red Hat โดยเฉพาะธุรกิจในประเทศไทย
คุณปฐมา เคยเป็นกรรมการผู้จัดการของไมโครซอฟท์ประเทศไทย ก่อนกลับไปทำงานกับไมโครซอฟท์บริษัทแม่ที่สหรัฐอเมริกา และตัดสินใจย้ายกลับมาไทยแบบถาวร ตอนที่เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ IBM Thailand ในช่วงปลายปี 2018
IBM Cloud ยังมีจุดเด่นที่คู่แข่งไม่มี
คุณปฐมายอมรับว่าตลาดคลาวด์ทั่วโลกถูกครอบครองโดยผู้เล่นรายใหญ่ 3 ราย แต่ก็ระบุว่า IBM Cloud มีจุดเด่นที่ทำให้บริการของตัวเองแตกต่างจากคู่แข่ง (key differentiators) แบ่งได้ออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้
1) ค่าใช้จ่าย
เหตุผลหลักในการใช้คลาวด์คือความยืดหยุ่น แต่คนที่ย้ายมาใช้คลาวด์มักประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าถ่ายโอนข้อมูล (data transfer) เข้า-ออกจากคลาวด์ ซึ่งหลายคนไม่ได้คำนวณงบประมาณตรงนี้ไว้ แถมบางครั้งค่าข้อมูลอาจสูงถึง 30% ของค่าคลาวด์ทั้งหมดด้วยซ้ำ
IBM มองเห็นถึงปัญหาตรงนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วจึงประกาศว่าทราฟฟิกขาเข้า (inbound data transfer) จะฟรีทั้งหมด และทราฟฟิกขาออก (outbound data) จะให้ฟรีสำหรับเซิร์ฟเวอร์แบบ Bare Metal คิดเป็นปริมาณ 5TB ต่อเดือน (ถ้าอยู่ในยุโรปหรือสหรัฐได้ 20TB ต่อเดือน ในเอเชียเป็น 5TB) ช่วยให้ลูกค้าประหยัดงบประมาณตรงนี้ลงได้มาก เมื่อเทียบกับคลาวด์คู่แข่งแล้ว ปริมาณข้อมูลขาออก 5TB ราคาประมาณ 400-600 ดอลลาร์ต่อเดือน
ส่วนทราฟฟิกระหว่างศูนย์ข้อมูลของ IBM ทั่วโลกที่วิ่งผ่าน private network ของ IBM เองจะฟรีทั้งหมด สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีศูนย์ข้อมูลกระจายอยู่หลายประเทศ ก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้อีกมากเช่นกัน
นอกจากค่าใช้จ่ายด้านทราฟฟิก IBM ก็พยายามลดค่าบริการด้านอื่นๆ หากทำได้ เช่น บริการ managed OpenShift ที่มีบนคลาวด์แทบทุกเจ้า แต่ IBM ไม่คิดเงินค่ารัน master node ในขณะที่คู่แข่งคิดเงินเต็ม เป็นต้น
2) ความปลอดภัย
ผู้ให้บริการด้านไอทีทุกเจ้าพูดถึงความปลอดภัยทั้งนั้น แต่เนื่องจากลูกค้าของ IBM อยู่ในธุรกิจที่ถูกกำกับดูแลอย่างหนัก (เช่น สายการเงิน) ด้านความปลอดภัยจึงต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ
ตัวอย่างบริการด้านความปลอดภัยของ IBM คือ Cloud Hyper Protect Crypto Services ที่ช่วยเก็บรักษาคีย์เข้ารหัสที่ระดับฮาร์ดแวร์เฉพาะ (hardware security module หรือ HSM) ซึ่ง IBM เป็นรายเดียวในอุตสาหกรรมไอที ที่มีฮาร์ดแวร์ความปลอดภัยผ่านมาตรฐานความปลอดภัย FIPS 140-2 Level 4 ของรัฐบาลสหรัฐ (รายอื่นได้มากที่สุดที่ Level 3)
บริการอีกตัวที่น่าสนใจคือ Cloud Data Shield ซึ่งเป็นการรันคอนเทนเนอร์ในพื้นที่ปลอดภัยของหน่วยความจำ (secure enclave) เพื่อป้องกันการเจาะเข้ามาดึงข้อมูลจากหน่วยความจำโดยตรง
3) ความเปิดกว้าง
IBM Cloud เน้นการใช้เทคโนโลยีที่เปิดกว้าง ไม่ผูกติดกับผู้ขายรายหนึ่งรายใด แกนหลักของ IBM Cloud ในปัจจุบันคือ Red Hat OpenShift ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Kubernetes ที่โอเพนซอร์สอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีโอเพนซอร์สตัวอื่นด้วย เช่น
บริการแบบ serverless ที่ใช้ Knative
IBM Schematics บริการ Infrastructure as Code ใช้ Terraform
บริการตัวใหม่ล่าสุดของ IBM คือ Cloud Satellite ซึ่งเป็นการนำบริการจากคลาวด์ของ IBM ไปรันแบบ on-premise เพื่อให้ได้ hybrid cloud ที่มีความสามารถเหมือนกันทุกที่ (ลักษณะเดียวกับ AWS Outpost หรือ Azure Arc) ก็รันอยู่บน OpenShift และซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สตัวอื่นๆ อย่าง Istio หรือ Razee
วิดีโอแนะนำ IBM Cloud Satellite ซึ่งปัจจุบันยังมีสถานะเป็นรุ่นทดสอบ
ทิศทางของ IBM หลังซื้อกิจการ Red Hat
คุณปฐมายังเล่าถึงทิศทางของ IBM หลังควบกิจการ Red Hat เสร็จสมบูรณ์ ว่าอยากให้มองว่า IBM เป็นพาร์ทเนอร์เชิงยุทธศาสตร์กับ Red Hat แต่ยังแยกกันบริหารเพื่อความคล่องตัว ทั้งสองบริษัททำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะด้านงานขายและการทำตลาด มีทีมเฉพาะที่เรียกว่า synergy team ช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน
ในแง่ผลิตภัณฑ์ IBM Cloud เป็นคลาวด์เจ้าแรกที่รองรับ OpenShift เวอร์ชัน 4.3 ก่อนคนอื่น และตอนนี้ซอฟต์แวร์ของ IBM เองถูกพัฒนาเข้าสู่ยุคคอนเทนเนอร์ รองรับ OpenShift อย่างเต็มที่ ใช้ชื่อทำตลาดว่า IBM Cloud Pak สามารถรันบนคลาวด์ยี่ห้อไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคลาวด์ของ IBM แต่ IBM เป็นคนจัดชุดซอฟต์แวร์ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละอุตสาหกรรม
คุณปฐมาเล่าว่าในไทยตอนนี้มีลูกค้าองค์กรที่ใช้งาน Red Hat OpenShift แล้ว โดยมาจากกลุ่มธนาคารที่เป็นฐานลูกค้าของ IBM มายาวนาน นอกจากนี้ยังมีลูกค้าที่เป็นหน่วยงานภาครัฐกำลังลองทำ government blockchain อยู่ด้วย
คำแนะนำต่อองค์กรไทยยุคคลาวด์
คุณปฐมาบอกว่าจากที่มีประสบการณ์สาย enterprise มายาวนาน (นับตั้งแต่อยู่กับไมโครซอฟท์) ยังไม่เห็นลูกค้าองค์กรรายใดย้ายงาน 100% ขึ้นมาอยู่บนคลาวด์ ดังนั้นงานที่รันแบบ on premise ยังคงมีอยู่เสมอ และไม่ใช่งานทุกประเภทจะเหมาะสำหรับคลาวด์ ทั้งในแง่เทคนิค (ยังไม่ถูก modernized ให้เป็นคอนเทนเนอร์) หรือในแง่ค่าใช้จ่ายที่การรันแบบ on premise อาจถูกกว่า
ดังนั้นองค์กรใดที่ต้องการย้ายขึ้นคลาวด์คงต้องดูความเหมาะสมเป็นกรณีไป ซึ่ง IBM มีความเชี่ยวชาญตรงนี้ เพราะนอกจากความรู้ทางเทคนิคแล้ว ยังเข้าใจเรื่องกฎระเบียบ (regulation) ของแต่ละอุตสาหกรรม สามารถแยกแยะได้ว่างานแบบไหนติดขัดกฎระเบียบข้อใด ควรนำมาอยู่บนคลาวด์หรือไม่
กรณีศึกษาที่ดีคือ Bank of America หนึ่งในธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจย้ายระบบ core banking ขึ้นคลาวด์ไปเรียบร้อยแล้ว การย้ายระบบแบบนี้มักมีความซับซ้อนสูงเพราะติดกฎระเบียบด้านการเงิน แต่เนื่องจาก IBM เชี่ยวชาญด้านนี้ จึงมีบริการที่เรียกว่า Financial Services Public Cloud ที่เตรียมไว้รอลูกค้าฝั่งธนาคารอยู่แล้ว เตรียมเรื่องความปลอดภัย, regulation, compliance มาให้เสร็จสรรพ ช่วยลดระยะเวลาและอุปสรรคลงไปได้มาก
ส่วนลูกค้าองค์กรในไทย แม้ย้ายขึ้นคลาวด์กันไปเยอะแล้ว แต่ยังไม่ค่อยได้ย้ายระบบสำคัญๆ (mission critical) ขึ้นคลาวด์กันมากนัก พอมาเจอปัญหา COVID-19 ที่ทำให้คนเข้าไปยังสำนักงานได้ยาก จึงเป็นตัวเร่งให้องค์กรเริ่มย้ายระบบ mission critical ขึ้นคลาวด์กันเร็วขึ้น
พอตัดสินใจย้ายมาคลาวด์แล้ว ปัญหาที่พบบ่อยกลับไม่ใช่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะองค์กรไทยโดยเฉพาะสายธนาคาร มักทดลองใช้คลาวด์หลายๆ ตัวเพื่อลองผิดลองถูกหรือเอาไว้เปรียบเทียบกัน แต่พอต้องย้ายงานสำคัญๆ ที่ต้องใช้ปริมาณทรัพยากรมากๆ การใช้คลาวด์หลายยี่ห้อจะทำให้ค่าใช้จ่ายแพงขึ้น เริ่มบีบให้องค์กรต้องเลือกว่าจะใช้คลาวด์รายใดรายหนึ่งไปเลย |
# AWS เปิดตัว Snowcone คลาวด์จิ๋วหนัก 2.1 กิโลกรัม 2 ซีพียู แรม 4GB ค่าใช้งานวันละ 6 ดอลลาร์
AWS มีเซิร์ฟเวอร์สำหรับสั่งมาใช้งานแบบ edge computing ในชื่อตระกูล Snow เช่น Snowball เซิร์ฟเวอร์สตอเรจความจุ 50TB แต่น้ำหนักก็มากกว่า 20 กิโลกรัม วันนี้ทางบริษัทก็เปิดตัว Snowcone เซิร์ฟเวอร์ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม
Snowcone มีซีพียูไม่ระบุรุ่นจำนวน 2 คอร์ แรม 4GB และสตอเรจ 8TB ตัวเครื่องในเคสแบบสมบุกสมบัน สามารถสร้างเครื่อง EC2 ได้ 3 ขนาด โดย snc1.medium จะกินทรัพยากรทั้งหมด
แนวทางการใช้งาน Snowcone เช่นการใช้เป็นเกตเวย์สำหรับส่งข้อมูลขึ้น AWS โดยอาจจะมีการประมวลผลบางส่วนก่อน เช่น การออกกองถ่ายและเซฟข้อมูลตลอดเวลา, การเก็บข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT และเครื่องจักรอุตสาหกรรม
ตอนนี้ Snowcone ยังเปิดให้สั่งเฉพาะในสหรัฐฯ ค่าใช้งานเริ่มต้น 60 ดอลลาร์ใช้งานได้ 5 วันเกินจากนั้นคิดวันละ 6 ดอลลาร์
ที่มา - AWS |
# 280 ตัวอักษรมันไม่พอ ทวิตเตอร์ทดสอบกดอัดเสียงโพสต์ในไทม์ไลน์ได้ สูงสุด 140 วินาที
ทวิตเตอร์กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ โพสต์บนไทม์ไลน์ด้วยการกดอัดเสียง เมื่อผู้ใช้สร้างข้อความบนไทม์ไลน์ จะเห็นไอคอนหน้าตาคล้ายคลื่นอยู่ด้านล่าง กดและอัดเสียงตัวเองหรือเสียงอะไรก็ตามได้สูงสุด 140 วินาที ถ้าความยาวเสียงเกินที่กำหนดไว้ เสียงนั้นก็จะกลายเป็นไฟล์ที่อยู่ถัดลงมาเป็น thread
นั่นเท่ากับว่า นอกจากผู้ใช้งานจะเขียน 280 ตัวอักษรได้แล้ว ยังแนบไฟล์เสียงของตัวเองเข้าไปด้วยได้ ในกรณีที่ 280 ตัวอักษรนั้นไม่เพียงพอกับสิ่งที่เราอยากจะสื่อสารออกไป
สำหรับคนอื่นๆ ที่อยากจะฟังเสียงของเรา จะมองเห็นเป็นรูปภาพโปรไฟล์ของเราบนไทม์ไลน์ และระบุชัดว่าเป็น Voice เมื่อกดฟัง ระบบจะสร้างหน้าต่าง playback ให้ที่ขอบล่างของหน้าจอ ทำให้เรายังไถไทม์ไลน์ไปด้วยได้ และเสียงนั้นก็ยังเล่นอยู่ (ดูตัวอย่างตามภาพที่สองด้านล่าง)
ทวิตเตอร์ระบุเหตุที่ทดสอบฟีเจอร์นี้ขึ้นมาว่า บางครั้งการโพสต์ 280 ตัวอักษรอาจไม่พอที่จะแสดงความคิดเห็นหรือความเป็นตัวเราออกมา ฟีเจอร์นี้ยังจำกัดเฉพาะกลุ่มผู้ใช้งานบางกลุ่มบนแอป iOS
ที่มา - ทวิตเตอร์ |
Subsets and Splits
No saved queries yet
Save your SQL queries to embed, download, and access them later. Queries will appear here once saved.