txt
stringlengths
202
53.1k
# สรุปรีวิว Google Pixel Buds 2 ปรับปรุงดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังดีไม่สุด แทบลืมไปเลยว่าเคยเปิดตัวกับ Google Pixel Buds (2020) ที่ล่าสุดผ่านมาครึ่งปีหลังเปิดตัว สื่อต่างประเทศเพิ่งเริ่มได้ทดลองใช้และปล่อยรีวิวกันออกมาแล้ว (ขอเรียกสั้น ๆ ว่า Pixel Buds 2) ในภาพรวม Pixel Buds 2 พอจะเทียบชั้นได้กับ AirPods (ที่ไม่โปร) และที่ราคาตัวค่า 179 เหรียญ (AirPods 159 เหรียญ) คุณภาพถือว่าดีและรับได้ในเรตราคานี้ แต่ด้วยความที่ตลาดหูฟังไร้สายมีรุ่นที่เหนือกว่าและแพงกว่า โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพเสียงและฟีเจอร์ Noise Cancelling ก็หนีไม่พ้นที่ Pixel Buds 2 จะถูกนำไปเปรียบเทียบด้วย จุดเด่นอย่างแรกที่ทุกสื่อชมเหมือนกันหมดคือ Fast Pair กับ Pixel และมือถือแอนดรอยด์ 6.0 ขึ้นไปที่ขึ้นไปเทียบชั้นกับการเชื่อมต่อ AirPods กับ iPhone (และยังไม่มีเจ้าไหนทำได้เหมือน) กล่าวคือแค่เปิดฝา ตัวสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ก็จะเด้งโนติขึ้นมาว่าเชื่อมต่อกับหูฟังแล้ว หรือแจ้งให้เชื่อมต่อและสอนวิธีใช้งานเมื่อเชื่อมครั้งแรก โดยถ้าเป็นแอนดรอยด์ยี่ห้ออื่นจะมีแอป Pixel Buds มาให้ ส่วน Pixel ตัวแอปมาฝังมาในระบบ system ส่วน iOS ไม่ต้องสืบว่าไม่มีแอป (หรืออาจต้องรอไปก่อน) ฟีเจอร์รวม ๆ ที่ทำงานร่วมกับตัวแอปคือบอกแบตเตอรี่แยก สั่ง Google Assistant ด้วย Hey, Google เปิดปิด Adaptive Sound ตรวจจับการใส่หูฟัง (ถ้าถอดเพลงหยุด) และระบบติดตามหูฟัง (Find Device) ที่หูฟังจะส่งเสียงออกมาเมื่อเรากดค้นหา พร้อมแสดงผลผ่านแผนที่ให้ด้วยว่าอยู่ที่ไหน ที่ได้รับคำชมอย่างถ้วนหน้าอีกอย่างคือประสิทธิภาพของไมโครโฟนที่ Google บอกว่ามี 2 ตัวคอยจับเสียงพูดโดยเฉพาะพร้อมด้วยตัดเสียงภายนอกไปในตัว โดยมี accelerometer คอยช่วยจับการสั่นสะเทือนของขากรรไกรด้วย เมื่อใช้งานจริงปรากฎว่าเสียงคม ชัดอีกฝั่งก็ได้ยิดเสียงผู้ใช้งาน Pixel Buds 2 ชัดเจน ไม่ว่าจะโทรศัพท์หรือวิดีโอคอล รวมถึงแม้จะออกไปใช้งานข้างนอกที่มีเสียงดังรอบตัว ก็ไม่ได้เข้าไปรบกวนผู้พูดเท่าไหร่นัก ขณะที่ผู้ใช้ได้ยินเสียงอีกฝั่งชัดเจนเช่นกัน ส่วนคุณภาพเสียง จุดที่ด้อยของ Pixel Buds 2 คือย่านเสียงต่ำ (เสียงเบส) ที่ไม่ค่อยชัดและไม่เต็มหูเท่าไหร่ ส่วนย่านเสียงอื่นๆ หรือคุณภาพเสียงโดยรวมถือว่าค่อนข้างดี นอกจากเรื่องเสียงเบส สิ่งที่ถูกติเหมือนกันหมดคือตัวแอป Pixel Buds 2 ไม่มี equalizer มาให้ ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถปรับโทนเสียงได้เอง ส่วนในแง่ความดัง Laptop Mag รู้สึกว่าเบากว่าหูฟังยี่ห้ออื่นในระดับความดังเดียวกัน เรื่องความสะดวกสบายในการใช้งานหรือสวมใส่ค่อนข้างจะแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน บางคนก็บอกใส่นานๆ แล้วเจ็บ บางคนบอกใส่แล้วรู้สึกสบายมาก บางคนบอกรุ่นแรกสบายหูกว่า แต่ที่แน่ ๆ คือ Pixel Buds ค่อนข้างเบา ใส่แล้วติดแน่นกับหู ใส่ออกกำลังกายได้ ไม่หลุด อีกหนึ่งจุดเด่นคือการเรียกใช้งาน Google Assistant แบบ hands-free ที่แค่เรียกด้วย Hey, Google เหมือน Google Home หรือสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ (ถ้าเปิด) ซึ่งประสบการณ์ใช้งาน Google Assistant บนหูฟังดีกว่ารุ่นแรกมาก ๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นที่ตัว Google Assistant เองด้วยที่พัฒนาขึ้นมามากแล้ว ข้อด้อยชัด ๆ อย่างแรกคือการขาด Active Noise Cancelling แม้ Google จะออกแบบหูฟังให้เป็นแบบ in-ear พร้อมจุกยางมาแทน แต่ก็ช่วยได้แค่ระดับหนึ่ง ช่องลม (spatial vent ที่ช่วยให้อากาศไหลเข้าออกหูได้ตามปกติ หูไม่อื้อ) กลายเป็นจุดที่ทำให้เสียงรบกวนภายนอกเข้ามาในหูฟัง ขณะที่ฟีเจอร์ Adaptive Sound ที่จะปรับเพิ่มลดเสียงให้ตามสภาพแวดล้อม (ถ้ารอบตัวเสียงดัง จะปรับเพลงดังขึ้นตาม) เป็นฟีเจอร์ที่ Engadget วิจารณ์ว่าเหมือนทำไม่เสร็จ การเพิ่มหรือลดเสียงแทบจะไม่รู้สึกเลย (subtle) ประมาณว่าระดับเสียงจาก 60 ไป 62 เท่านั้น ขณะที่การตรวจจับเสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อมก็ไม่ได้ตรวจจับได้ทุกสถานการณ์ เช่น เสียงเครื่องซักผ้าหรือเปิดน้ำล้างจาน (เป็นเคสที่ Google ยกมาเองด้วย) ก็ไม่ได้ทำให้หูฟังปรับเพิ่มเสียงให้เอง สุดท้ายเรื่องแบตเตอรี่ แม้จะสามารถใช้งานได้ตามที่ Google เคลมคือ ฟังเพลงต่อเนื่อง 5 ชั่วโมง (พอ ๆ กับ AirPods) แต่หลาย ๆ เจ้าบอกว่าค่อนข้างน้อย โดยมีตัวเปรียบเทียบเป็นรุ่นที่แพงกว่าแต่แบตอึดกว่า ขณะที่การเคสสามารถชาร์จเพิ่มให้ได้อีกราว 3-4 ครั้ง ในภาพรวมคือเพียงพอต่อการใช้งานทั้งวัน สรุป Pixel Buds 2 ถือเป็นการปรับปรุงจากรุ่นแรกค่อนข้างมาก เป็นหูฟังไร้สายแอนดรอยด์ที่ดีและเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ในเรตราคาค่าตัวขนาดนี้ (ถ้าถูกลงมาเท่า AirPods จะดีกว่านี้) ทั้งในแง่คุณภาพเสียงและคุณภาพไมค์ แต่ถ้าหากมองภาพรวมในตลาดโดยไม่เกี่ยงเรตราคา ก็ยังถือว่าตามหลังคู่แข่งอยู่ค่อนข้างเยอะ คะแนนที่สื่อต่าง ๆ ให้ The Verge 7.5 / 10 Engadget 83 / 100 Android Police 7 / 10 Android Central 4.5 / 5 Laptop Mag 4 / 5 CNET 8.5 / 10
# MIUI 12 เริ่มทดสอบเบต้าในจีนแล้ว เน้นความเป็นส่วนตัว ดีไซน์ UI คล้าย iOS เช่นเคย MIUI 12 ระบบปฏิบัติการของ Xiaomi เตรียมเปิดให้ทดสอบเวอร์ชั่นเบต้าในประเทศจีนแล้ว โดยจะมีไอค่อน วอลเปเปอร์และระบบข้อมูลสภาพอากาศแบบไดนามิก (แต่ก็คล้าย iOS เช่นเคย) พร้อมสไตล์การแสดงข้อมูลแบบ “Sensory Visual Design” ที่จะนำค่าต่างๆ ใน Settings เช่นพื้นที่หน่วยความจำ หรือแรมที่เหลือ มาแสดงในรูปแบบกราฟให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น MIUI 12 มาพร้อม Live Wallpaper ในตีมโลกและดาวอังคาร กับ Dark Mode 2.0 ที่จะปรับความสว่างของ UI ต่างๆ ตามกลางวันกลางคืน รวมทั้งปรับคอนทราสต์ และขนาดของฟ้อนต์ตามแสงรอบตัวผู้ใช้ เพื่อให้อ่านตัวหนังสือได้ง่ายขึ้น Xiaomi การันตีความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้มากขึ้น เพิ่มระบบ Permission แบบใหม่ สามารถอนุญาตให้แอปเข้าถึงกล้อง, GPS ไมค์หรืออื่นๆ แบบครั้งเดียวได้ และจะหยุดอนุญาตเมื่อปิดแอป รวมทั้งมีระบบบันทึกการเก็บข้อมูลของแอปต่างๆ และมี notifications แจ้งเตือน เมื่อแอปกำลังเก็บข้อมูลส่วนตัวเช่นที่อยู่ปัจจุบัน มีระบบ AI Calling ผ่าน Xiao AI ที่จะช่วยรับโทรศัพท์ หรือตั้งค่าให้โทรออกตามเวลาที่กำหนดได้ แต่ระบบนี้ยังไม่ยืนยันว่าจะสามารถใช้งานได้ในประเทศอื่น หรือรองรับภาษาอื่นนอกจากภาษาจีนหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีมีฟังก์ชั่นเก็บข้อมูลสุขภาพแบบใหม่ ที่จะตรวจจับกิจกรรมระหว่างวัน เช่นการเดิน ปั่นจักรยาน หรือขึ้นบันได ในระหว่างวันได้ โดยใช้พลังงานแบตเตอรี่แค่ประมาณ 1% เท่านั้น MIUI 12 จะปล่อยเวอร์ชั่น Stable โดยแบ่งรุ่นที่รองรับเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก จะได้รับอัปเดตในเดือนมิถุนายนนี้ ประกอบด้วย Xiaomi Mi 10 Pro, Xiaomi Mi 10, Xiaomi Mi 10 Youth Edition, Xiaomi Mi 9 Pro, Redmi K30 Pro, Redmi K30, Redmi K20 Pro, Redmi K20 กลุ่มที่ 2 (ยังไม่ยืนยันช่วงเวลา) Mi Mix 3, Xiaomi Mi 8 series, Redmi Note 8 Pro,Redmi Note 7, 7 Pro กลุ่มที่ 3 (ยังไม่ยืนยันช่วงเวลา ได้รับอัปเดตหลังกลุ่มที่ 2) Mi Mix 2, Redmi 8, 8A, Redmi 7, 7A, Mi CC9, CC9 Pro, CC9e ที่มา - GizChina, GSMArena, Android Authority
# SCB เปิดบริการโอนเงินข้ามประเทศผ่าน Ripple Blockchain เป็นทางการ ให้โอนฟรีถึงเดือนมิถุนายนนี้ SCB เปิดบริการโอนเงินต่างประเทศผ่านทาง SCB EASY อย่างเป็นทางการหลังจากทดสอบภายใต้ระบบกำกับดูแลแบบ sandbox มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยให้บริการ 12 ประเทศหลัก ได้แก่ สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, สิงคโปร์, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, สเปน, เนเธอร์แลนด์, ไอร์แลนด์, ออสเตรีย, เบลเยียม, และโปรตุเกส ใน 4 สกุลเงิน ได้แก่ ดอลล่าร์สหรัฐฯ, ปอนด์, ยูโร, และดอลล่าร์สิงคโปร์ บริการโอนเงินนี้ต่างจากบริการโอนเงินข้ามประเทศแบบเดิมๆ เพราะหากธนาคารปลายทางรองรับ กระบวนการโอนจะใช้เวลารวมไม่กี่วินาทีเท่านั้น หรือหากไม่รองรับเต็มรูปแบบก็ยังใช้เวลาไม่เกิน 3 วัน โดยเบื้องหลังเป็นการใช้ Ripple Blockchain ในการทำธุรกรรม ตอนนี้ทาง SCB มีโปรโมชั่นโอนฟรีไม่เสียค่าธรรมเนียมถึง 30 มิถุนายนนี้ คาดว่าในปีนี้จะมีรายการโอนเงิน 80,000 รายการ เป็นยอดเงินกว่า 11,000 ล้านบาท ที่มา - จดหมายข่าว SCB
# WhatsApp ทดลองระบบซื้อสินค้าผ่านแอป ที่ร้าน JioMart เฉพาะในอินเดีย JioMart แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเครือ Reliance กลุ่มทุนรายใหญ่ของอินเดีย ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ใหม่คือการสั่งซื้อสินค้าผ่าน WhatsApp ซึ่งเป็นโปรแกรมสนทนาที่คนอินเดียนิยมใช้งาน ฟีเจอร์นี้ออกมา หลังจากที่ Facebook บริษัทแม่ของ WhatsApp ประกาศถือหุ้น 9.99% ใน Jio ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ ซึ่งถือหุ้นใน JioMart นี้ (JioMart เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Jio กับ Reliance Retail) การทำงานก็น่าสนใจ โดยผู้ใช้ส่งข้อความว่า Hi ไปยังหมายเลขที่กำหนด ระบบจะตอบกลับรายการสินค้าให้เลือกซื้อ เมื่อยืนยันคำสั่งซื้อ ก็จะแจ้งให้ไปรับสินค้าที่ร้านค้าใกล้บ้านในลำดับถัดไป ไม่มีกระบวนการจ่ายเงิน ซึ่ง Facebook กำลังยื่นคำขอดำเนินการอยู่ ฟีเจอร์นี้เปิดทดลองใช้ใน 3 เมืองของอินเดียตอนนี้ ได้แก่ นาวีมุมไบ คาลยัน และฐาเณ ที่มา: TechCrunch
# รู้จัก Project Leyden โครงการใหม่ของ Oracle เพื่อแก้ปัญหา Java ทำงานช้า กินแรมมาก Mark Reinhold หัวหน้าฝ่ายสถาปัตยกรรม Java ของ Oracle เสนอไอเดีย Project Leyden ที่ต้องการแก้ปัญหา Java เริ่มทำงานช้า, ต้องรอนานกว่าจะแตะระดับประสิทธิภาพเต็มที่ (time to peak performance) และใช้แรมมาก แนวทางของ Project Leyden คือเสนอแนวคิดการคอมไพล์แอพพลิเคชันเป็น static image หรือ "อิมเมจปิด" ที่ไม่สามารถโหลดคลาสหรือไบต์โค้ดใดๆ เพิ่มได้อีกในตอนรัน เพื่อให้ตอนคอมไพล์สามารถรีดประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ ลดคลาสที่ (รู้ล่วงหน้าว่า) ไม่ต้องใช้งานตอนรัน รวมถึงปรับแต่งประสิทธิภาพแบบ ahead-of-time (AOT) ได้อย่างจริงจัง ผลคือขนาดของอิมเมจเล็กลง ระยะเวลาตอนเรียกโปรแกรมลดลง ระยะเวลาที่รันถึงระดับเต็มประสิทธิภาพสั้นลง Reinhold บอกว่า Project Leyden ได้แรงบันดาลใจมาจากโครงการอื่นๆ เช่น GNU Compiler for Java และ GraalVM โดยสิ่งที่จะทำด้วยคือเพิ่มสเปกของ static image ลงในสเปกของ Java Platform เลย เพื่อให้ GraalVM ปรับมาอิงกับสเปกตัวนี้ด้วย นักพัฒนาจึงเลือกได้ว่าจะใช้ Leyden หรือ GraalVM เพราะเข้ากันได้บนสเปกเดียวกัน ตัวของ Leyden จะไม่นำโค้ดของ GraalVM เข้ามาใช้ตรงๆ แต่จะพัฒนาจากฐานโค้ดของโครงการ JDK ในปัจจุบัน เช่น HotSpot VM, คอมไพเลอร์ jaotc เป็นต้น โครงการจะเริ่มพัฒนาโดยอิงจากฐานโค้ดของ Java 15 รุ่นที่กำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน แล้วแยกสายการพัฒนาออกมาต่างหาก โดยจะทยอยออกฟีเจอร์ทีละส่วนในอนาคต Reinhold ยอมรับว่า Project Leyden ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน เพราะข้อจำกัดเรื่องการเรียกคลาสเพิ่มเติมได้เลยระหว่างรัน ทำให้มันไม่เหมาะกับแอพพลิเคชันบางประเภท แต่เขาก็คิดว่าในงานบางอย่าง เช่น อุปกรณ์ฝังตัวหรือคลาวด์ ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงๆ น่าจะคุ้มกับการทำโครงการ Leyden ที่มา - OpenJDK via InfoWorld
# ซัมซุงยืนยัน จะพอร์ต One UI 2.1 ให้กับ Galaxy S9 และ Note 9 ด้วย เราเห็นข่าว ซัมซุงออกรอม One UI 2.1 ให้กับ Galaxy S10/Note 10 เพื่อนำฟีเจอร์บางอย่างของ Galaxy S20 เช่น Single Take ของแอพกล้อง, Clean View ของแอพ Gallery, Quick Share พอร์ตกลับมาให้เรือธงรุ่นเก่าด้วย ล่าสุดซุมซงเกาหลีใต้ยืนยันแล้วว่า จะพอร์ต One UI 2.1 กลับมาให้ Galaxy S9/Note 9 มือถือเรือธงของปี 2018 ด้วย แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลาที่ชัดเจนว่าเราจะได้เห็นกันเมื่อไร ที่มา - Samsung ภาพตัวอย่าง Single Take ของแอพกล้องบน S10/Note 10
# Spotify ออกเพลย์ลิสต์ Daily Wellness รวมเพลงและพอดคาสต์ผ่อนคลายจิตใจ อัพเดตทุกวัน Spotify ออกเพลย์ลิสต์ใหม่ Daily Wellness รวมเพลงและพอดคาสต์ที่ช่วยให้ผ่อนคลายในเวลาที่ยากลำบาก อัพเดตใหม่ทุกวันทั้งเช้าและกลางคืน โดย Spotify ระบุว่า เพลย์ลิสต์ช่วงเช้าจะให้อารมณ์กระตุ้น ตื่นตัวให้เหมาะสมกับการเริ่มต้นทำกิจกรรมในวันใหม่ เช่นพอดคาสต์ Daily Quote และ Yoga Girl Daily ส่วนเพลย์ลิสต์ช่วงกลางคืนเน้นเพลงผ่อนคลาย รวมถึงพอดคาสต์อ่านกลอน บทกวี เป็นต้น เพื่อให้นอนหลับสบาย เพลย์ลิสต์ใหม่ใช้งานได้แล้วในผู้ใช้ทั้งแบบฟรีและพรีเมี่ยมในสหรัฐฯ, อังกฤษ ที่มา - Spotify
# ถ่ายทำไม่ได้ช่วงปิดเมืองไม่ใช่ปัญหา ช่อง ESPN ใช้ Deepfake ทำโฆษณาขึ้นมาเอง Deepfake อาจกลายเป็นทางออกของวงการโฆษณา เพราะในช่วงปิดเมืองที่ทำให้การถ่ายทำโฆษณาต้องหยุดชะงัก ESPN ช่องทีวีในสหรัฐฯจึงแก้เกมด้วยการร่วมมือกับเอเจนซี่ Optimum Sports and Translation ทำโฆษณาสารคดีของช่องโดยใช้เทคโนโลยี Deepfake ตัวโฆษณามีตัวแสดงคือพิธีกรกีฬาที่มีชื่อเสียงมายาวนานคือ Kenny Mayne เป็นฟุตเทจของเขาบนโต๊ะประกาศข่าวสมัยปี 1988 ที่ยังดูหนุ่ม (ปัจจุบันเขาอายุ 60 ปี) แต่ใช้ DeepFake ขยับปากพิธีกรวัยหนุ่มให้พูดโฆษณาสารคดีไมเคิล จอร์แดน The Last Dance ที่ลงฉายสิบตอนในปี 2020 ตัวสารคดีพูดถึงความสำเร็จของจอร์แดนและทีมชิคาโกบลูส์ รวมฟุตเทจการแข่งขันในยุค 90 มีฉายเป็นรายสัปดาห์ใน Netflix ด้วย ตัวโฆษณามีความชัดเจนว่าเป็น Deepfake ซึ่ง Carrie Brzezinski-Hsu หัวหน้าของ ESPN CreativeWorks บอกว่าตั้งใจจะทำให้มันดูออกชัดเจน เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่ไปหลอกลวงใคร เขายังบอกด้วยว่า Deepfake เป็นอนาคตการทำโฆษณาของ ESPN Deepfake คืออีกทางเลือกในการสร้างคอนเทนต์ที่สนุกสนานให้ความบันเทิง แต่ในอีกด้านมันก็ทำให้คนดูสับสนและเป็นการให้ข้อมูลผิดจากความจริง ซึ่งโซเชียลมีเดียเจ้าใหญ่ก็มีมาตรการพยายามจำกัดเนื้อหา Deepfake บนแพลตฟอร์ม เพราะมันเชื่อมโยงถึงข่าวปลอมด้วย และยังมีกรณีอื้อฉาวในอดีตที่ Deepfake ใช้ตัดต่อใบหน้าดารากับกับตัวแสดงหนังโป๊ ภาพจากวิดีโอโฆษณา ที่มา - New York Times
# iFixit รายงานการแกะ iPhone SE ให้คะแนนซ่อม 6/10 เนื่องจากแพทเทิร์นคล้ายรุ่นเก่า iFixit รายงานการแกะ iPhone SE รุ่นใหม่ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้แบบลงรายละเอียด โดยยืนยันอีกครั้งว่าชิ้นส่วนหลายรายการ มีลักษณะคล้ายกับที่อยู่ใน iPhone 8 อาทิ ส่วนแสดงผล, แบตเตอรี่, กล้อง, Taptic Engine หรือถาดใส่ซิม แต่ไม่สามารถใช้แทนกันได้ทั้งหมด กล้องหลังของ iPhone SE มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เหมือนกับ iPhone 8 แต่เนื่องจากใช้ชิป A13 จึงทำให้การประมวลผลภาพดีขึ้น เช่นเดียวกับเซ็นเซอร์กล้องหน้า ที่สามารถนำชิ้นส่วนจาก iPhone 8 มาใส่แทนได้ iFixit ให้คะแนนการซ่อมง่ายที่ 6/10 เนื่องจากชิ้นส่วนหลักคือส่วนแสดงผล และแบตเตอรี่ สามารถซ่อมเปลี่ยนได้ง่าย ด้วยวิธีการที่เดียวกับ iPhone 8 รวมทั้งหลายอย่างก็สามารถนำชิ้นส่วน iPhone 8 มาใช้ได้ ที่มา: MacRumors
# ไม่ถอย อังกฤษยืนยันสร้างแอป Contact Tracing ของตัวเองไม่ใช้ API ของกูเกิล/แอปเปิล ยืนยันทำงานได้แม้รัน background NHSX หน่วยงานร่วมระหว่างระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (National Health Service - NHS) และกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการสังคม (Department of Health and Social Care) แห่งสหราชอาณาจักรประกาศเตรียมทำแอปพลิเคชั่นติดตามตัวผู้เข้าใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ SARS-CoV-2 ตามแนวทางของตัวเองต่อไปโดยไม่ใช่ API ของกูเกิลและแอปเปิล โฆษก NHSX ระบุว่าทีมวิศวกรต้องก้าวข้ามข้อจำกัดเพื่อให้ได้แอปตามแนวทางของหน่วยงานสาธารณสุข ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้แอปทำงานได้ใน background และไม่กระทบแบตเตอรี่มากเกินไป แต่ก็พบทางที่ทำให้แอปทำงานได้ "ดีพอ" โดยผู้ใช้ไม่ต้องเปิดแอปทิ้งไว้แต่อย่างใด ตอนนี้สหราชอาณาจักรเป็น 1 ใน 2 ชาติหลักในยุโรปร่วมกับฝรั่งเศสที่ยืนยันจะใช้แนวทางการเก็บข้อมูล contact tracing แบบรวมศูนย์ หลังจากเยอรมนีเพิ่งประกาศเปลี่ยนแนวทางหันไปใช้ API ของกูเกิลและแอปเปิลแทน แอป contact tracing ประเภทเดียวกันล้วนไม่สามารถทำงานบน iOS ได้สมบูรณ์หากไม่ได้รัน foreground ทาง NHSX ไม่ได้เปิดเผยว่าใช้เทคนิคใดจึงทำงานได้ ที่มา - BBC ภาพโดย JESHOOTS-com
# กูเกิลสรุปผลการใช้ AI วิเคราะห์เบาหวานขึ้นตาในไทย ต้องคิดถึงสภาพแวดล้อมจริง, รับอินพุตได้เทียบเท่ามนุษย์ ปีที่แล้วกูเกิลประกาศโครงการความร่วมมือระหว่างกูเกิลและโรงพยาบาลราชวิถี ในการใช้ปัญญาประดิษฐ์มาวิเคราะห์ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา (diabetic retinopathy - DR) ล่าสุดกูเกิลก็เผยแพร่รายงานวิจัย การประเมินผลโดยใช้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง (human-centered evaluation) ของการนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการโรงพยาบาลจริงครั้งนี้ รายงานนี้เล่าถึงประสบการณ์ที่ทีมวิจัยได้สังเกตกระบวนการคัดกรอง DR ทั้งก่อนการนำปัญญาประดิษฐ์เข้าไปทดสอบและหลังจากเริ่มนำปัญญาประดิษฐ์ให้ทดสอบ โดยเก็บข้อมูลจากคลีนิก 11 แห่งในปทุมธานีและเชียงใหม่ โดยระบบทุกวันนี้อาศัยพยาบาลเป็นผู้ประเมินเบื้องต้นว่าภาพดวงตาที่ได้มีความผิดปกติหรือไม่ หากดูไม่พบความผิดปกติก็จะรวบรวมเป็นชุดส่งให้จักษุแพทย์ (ophthalmologist) วินิจฉัยเป็นชุดผ่านทางอีเมลโดยต้องรอเวลาหลายสัปดาห์ หรือหากพยาบาลพบความผิดปกติก็จะส่งภาพตรงให้จักษุแพทย์ผ่านแอปแชตซึ่งหลายครั้งแพทย์ก็อ่านผลให้ในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน ระบบปัญญาประดิษฐ์ของกูเกิลน่าจะทำให้กระบวนการอ่านผลภาพกินเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น หลังนำปัญญาประดิษฐ์เข้าไปทดสอบจริง ทีมวิจัยพบความลำบากในการทำวิจัย เช่นพยาบาลต้องอธิบายคนไข้ให้เข้าใจถึงโครงการวิจัยรวมถึงต้องอธิบาย "deep learning" ด้วย นอกจากนี้การเข้าโครงการวิจัยนั้นเมื่อผลจากปัญญาประดิษฐ์ออกมาแล้วบางครั้งคนไข้จะต้องไปตรวจเพิ่มเติมในโรงพยาบาลปทุมธานี ซึ่งคนไข้หลายคนไม่สะดวกเดินทางทำให้หลายคนไม่ยอมเข้าร่วมโครงการเพราะเสียเวลา ปัญหาใหญ่ที่ทีมงานพบ คือ ปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างขึ้นออกแบบให้อ่านผลเฉพาะภาพที่ชัดเจนสมบูรณ์เท่านั้น หากภาพเบลอไปเล็กน้อยหรือมีส่วนมืดไปบ้าง แม้ระบบจะอ่านผลได้ความมั่นใจสูงเพียงใดก็จะคืนค่าว่าไม่อ่านผลทันทีเพื่อความมั่นใจ การเก็บผล 6 เดือนแรก มี 3 คลีนิกรายงานว่าระบบไม่ยอมอ่านผลบ่อยครั้งทีมงานเข้าไปตรวจดูพบว่าเครื่องปฎิเสธไม่อ่านผล 21% (393 ภาพจาก 1838 ภาพ) โดยหลายครั้งปัญหาคุณภาพภาพเกิดจากการถ่ายภาพดวงตาในห้องที่ไม่ได้มืดสนิท แต่เป็นสภาพแวดล้อมปกติที่คลีนิกทำงานอยู่ก่อน เมื่อระบบระบุว่าภาพอ่านผลไม่ได้ ระบบจะแจ้งให้พยาบาลส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลทุกครั้ง บางครั้งพยาบาลถ่ายภาพดวงตาดวงเดียวสองครั้งโดยแต่ละครั้งชัดบางส่วน เพราะสามาราถควบคุมเครื่องให้โฟกัสได้บางส่วนเท่านั้นโดยพยาบาลคาดหวังให้ระบบเข้าใจว่าภาพทั้งสองคือตาดวงเดียวกันแล้วอ่านภาพได้ถูกต้อง ข้อจำกัดในสภาพแวดล้อมทำให้การถ่ายภาพคุณภาพสูงทำได้ยาก เพราะห้องถ่ายภาพดวงตานั้นอยู่ในห้องเดียวกับโต๊ะที่พยาบาลอธิบายผลการถ่ายภาพให้คนไข้อีกคนทำให้ปิดไฟมืดไม่ได้ ทีมวิจัยแนะนำให้ถ่ายภาพดวงตาสองข้างห่างกัน 60 วินาทีเพื่อให้ถ่ายภาพได้ง่ายขึ้นแต่ในสภาพแวดล้อมจริงก็ลำบากเพราะมีคนไข้รอคิวถึง 150 คน รายงานของกูเกิลระบุว่าปัญญาประดิษฐ์ต้องถูกฝึกให้รองรับสภาพแวดล้อมจริงให้ได้ ขณะเดียวกันก็เห็นประโยชน์เพิ่มเติมของระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เพิ่มความมั่นใจให้กับพยาบาลในการส่งคนไข้บางคนไปยังจักษุแพทย์ให้เร็วขึ้น รายงาน A Human-Centered Evaluation of a Deep Learning System Deployed in Clinics for the Detection of Diabetic Retinopathy เผยแพร่ในงานประชุมวิชาการ CHI '20: Proceedings of the 2020 CHI Conference on Human Factors in Computing Systems ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 เมษายนในฮาวาย ที่มา - Google Blog
# Sony ประกาศวันวางจำหน่าย The Last of Us Part II 19 มิ.ย., Ghost of Tsushima 17 ก.ค. นี้ Playstation เปิดเผยวันวางจำหน่ายเกม The Last of Us Part II และ Ghost of Tsushima ใหม่แล้วหลังก่อนหน้านี้ The Last of Us Part II ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จากปัญหา COVID-19 โดย The Last of Us Part II จะวางจำหน่ายจริงในวันที่ 19 มิถุนายนนี้ ขณะที่ Ghost of Tsushima จากกำหนดการเดิม 26 มิถุนายน เลื่อนไปเป็นวันที่ 17 กรกฎาคมนี้ ที่มา - Playstaion Blog
# เพราะโลกนี้ยังมีคนใช้ AWS รองรับ FTP แบบไม่เข้ารหัสอัพโหลดไฟล์ขึ้น S3 AWS เปิดตัวบริการ AWS Transfer for FTP และ FTPS เพิ่มเติมหลังจากเปิดบริการ SFTP ไปเมื่อปี 2018 แม้ว่าโปรโตคอลทั้งสองจะค่อนข้างเก่าแล้ว แต่ซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลและซอฟต์แวร์วิทยาศาสตร์ยังใช้งาน FTP อยู่ ขณะที่ซอฟต์แวร์ด้าน ERP หรือ CRM บางตัวก็ยังรองรับเฉพาะ FTPS เท่านั้น ในบรรดาการเชื่อมต่อทั้ง 3 แบบ FTP อันตรายที่สุดเนื่องจากไม่มีการเข้ารหัสใดๆ ทำให้ AWS ไม่อนุญาตให้เชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต แต่ต้องเชื่อมต่อผ่าน VPC เท่านั้น ส่วน FTPS นั้นยังอนุญาตให้เชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ค่าใช้งานเท่ากับ SFTP ทุกประการ อยู่ที่ 0.30 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง และอัตราการส่งข้อมูลเข้าออก 0.04 ดอลลาร์ต่อกิกะไบต์เท่ากัน ที่มา - AWS Blog
# OpenCL ออกเวอร์ชัน 3.0 ยกเลิกบังคับฟีเจอร์ของ 2.x ถอยกลับไปอิงเวอร์ชัน 1.2 Khronos Group กลุ่มมาตรฐานอุตสาหกรรมด้านกราฟิก (ผู้ออกมาตรฐาน OpenGL และ Vulkan) ประกาศออกมาตรฐาน OpenCL เวอร์ชัน 3.0 ที่มาแบบแปลกๆ คือ "รีเซ็ต" จักรวาล OpenCL ใหม่ ข้ามเวอร์ชัน 2.x ในปัจจุบัน กลับไปยึดแกนของ OpenCL 1.2 ที่เก่ากว่าแทน OpenCL เป็น API กลางสำหรับประมวลผลข้อมูลแบบขนาน ด้วยหน่วยประมวลผลหลายชนิดร่วมกัน (เช่น CPU, GPU, DSP, FPGA) ตัวสเปกเวอร์ชันต้นฉบับ 1.0 พัฒนาโดยแอปเปิลในปี 2008 แล้วยกให้ Khronos ดูแลต่อมาเป็นเวอร์ชัน 1.1 (ปี 2010) และเวอร์ชัน 1.2 (ปี 2011) Khronos ออก OpenCL 2.0 ในปี 2013 โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่มากมาย (ตามด้วย เวอร์ชัน 2.1 ในปี 2015 และ 2.2 ในปี 2017) แต่ OpenCL 2.x กลับไม่ประสบความสำเร็จมากนักด้วยเหตุผลทางการเมือง เพราะ NVIDIA สนใจ CUDA ของตัวเอง, แอปเปิลหนีไปใช้ Metal, AMD ไม่มีทรัพยากรเพียงพอ เหลือผู้สนับสนุนแต่ Intel ที่ก็ไม่มีแรงมากนักในตลาดกราฟิก สัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนคือ OpenCL 2.2 ออกมานาน 3 ปีแล้ว ยังไม่มีผู้ผลิตฮาร์ดแวร์สักรายที่รองรับสเปกเวอร์ชันนี้เลย ทางออกของ Khronos จึงเป็นการรีเซ็ตมาตรฐาน OpenCL ใหม่ โดยเวอร์ชัน 3.0 จะกลับไปใช้แกนของ OpenCL 1.2 ที่ได้รับความนิยมมากกว่า ส่วนฟีเจอร์ต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาในสาย 2.x จะถูกปรับสถานะเป็น optional คือไม่บังคับใช้งาน หากนักพัฒนาโปรแกรม เรียกใช้ OpenCL 1.2 อยู่แล้ว สามารถอัพเกรดเป็น 3.0 โดยไม่ต้องแก้ไขโค้ด แต่ถ้าเรียกใช้ฟีเจอร์ของ OpenCL 2.x ก็จะมีคิวรีของ 3.0 ให้ยังใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้ได้เช่นกัน นอกจากนี้ ภาษา OpenCL C++ ที่ออกมาตอนเวอร์ชัน 2.2 และไม่เข้ากันได้กับภาษา C++ มาตรฐาน ก็ถูกยกเลิก และเปลี่ยนมาเป็น 'C++ for OpenCL' ที่เรียกใช้สเปกของ C++17 และใช้คอมไพเลอร์ยอดนิยม Clang เพื่อความเข้ากันได้ที่กว้างกว่า Khronos ตั้งใจรีเซ็ตจักรวาลของ OpenCL ในเวอร์ชัน 3.0 โดยไม่เพิ่มของใหม่มากนัก แต่เน้นเสรีภาพในการเลือกพัฒนาบางฟีเจอร์ของสาย 2.x เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์กลับคืนมา (บริษัทที่ร่วมแถลงข่าวคือ Imagination, Intel, NVIDIA, Qualcomm) จากนั้นจึงจะพัฒนาสเปกของ OpenCL เวอร์ชันถัดไปในอนาคต ที่มา - Khronos, AnandTech
# เล่นเกมอยู่บ้าน Sega แจกเกม Total War: Shogun 2 ฟรีแบบจำกัดเวลา เกมฟรีมาอีกแล้ว Sega ประกาศแจกเกม Total War: Shogun 2 ให้เล่นกันฟรีๆ อย่างถาวรช่วงหยุดอยู่บ้าน การแจกจะจำกัดเวลาคือ 27 เมษายน ถึง 1 พฤษภาคม (เริ่ม 18:00 น. ตามเวลาสหราชอาณาจักร ก็คือเที่ยงคืนของบ้านเรา) เกมวางแผนการรบซีรีส์ Total War เป็นผลงานของสตูดิโอ Creative Assembly จากอังกฤษ (มีสถานะเป็นบริษัทลูกของ Sega โดยถูกซื้อกิจการเมื่อปี 2005) เกมภาคที่แจกฟรีคือ Total War: Shogun 2 ที่ออกในปี 2011 โดยเป็นภาคต่อของเกมภาคแรกสุดคือ Shogun: Total War ที่ออกในปี 2000 (เกมภาค 2 ที่แจกนี้ยังเป็นภาคที่มีคะแนนรีวิวสูงมาก คะแนนเฉลี่ย 90/100) Creative Assembly ยังนำเกมอื่นๆ ในซีรีส์ Total War มาลดราคาในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน วิธีการกดรับสิทธิและซื้อเกมลดราคาสามารถทำได้ผ่าน Steam เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ที่มา - Total War
# Netflix ยืนยัน มีคอนเทนต์ลงเพิ่มตลอดปี 2020 แน่นอน หลังจาก Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ของปี 2020 ไป ว่ามีสมาชิกเพิ่มถึง 15.77 ล้านคนทั่วโลก แต่งานโปรดักชันส่วนใหญ่ถูกระงับการถ่ายทำ ยกเว้นบางแห่งเช่น เกาหลี และไอซ์แลนด์ ทำให้คนดูและผู้ถือหุ้นอาจเป็นกังวลว่าปีนี้ Netflix จะมีคอนเทนต์พอที่จะปล่อยลงแพลตฟอร์มหรือไม่ Ted Sarandos Chief Content Officer ของ Netflix กล่าวยืนยันในการแถลงรายงานผลประกอบการเดียวกัน ว่าซีรีส์และหนังของ Netflix ของปีนี้ ส่วนใหญ่ถ่ายทำเสร็จหมดแล้ว และกำลังอยู่ในขั้น post-production ในสตูดิโอทั่วโลก เช่นเรื่อง The Crown ซีซั่น 4 Sarandos คิดว่าลิสต์ซีรีส์และหนังของปี 2020 จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แถมยังมีแผนปล่อย Original Content มากกว่าในปี 2019 ดังเดิม แม้จะมีคู่แข่งอีกหลายเจ้าเช่น Disney+ หรือ HBO Max แต่ Steve Nason ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยการตลาดจาก Parks Associates บริษัทวิจัยการตลาดชั้นนำของสหรัฐ ก็ยังยืนยันกับ The Verge ว่า “ไม่มีคู่แข่งเจ้าไหนมีคอนเทนต์ original เตรียมลงจอมากเท่า Netflix แน่นอน” นอกจากนี้ Netflix ยังสามารถเป็นช่องทางที่ค่ายหนังต่างๆ สามารถนำหนังที่ฉายไม่ได้เพราะโรงหนังปิด มาขายให้ Netflix ลงแพลตฟอร์ม ในราคาที่ทำกำไรได้อีกด้วย โดยล่าสุด Netflix ซื้อเรื่อง Lovebirds หนังโรแมนติกคอเมดี้จากค่าย Paramount และ Enola Holmes หนังที่เล่าเกี่ยวกับการสืบคดีของน้องสาวเชอร์ล็อก โฮล์มส์ จาก Legendary Picture มาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แผนการในปี 2021 ของ Netflix ยังไม่แน่นอน เพราะไม่มีใครรู้ว่าเที่ยวบินระหว่างประเทศ การเจรจาจ้างงาน หรือขั้นตอน post-production ต่างๆ จะกลับมาเป็นปกติได้เมื่อไร และปัจจุบัน ลอสแอนเจลิส ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักๆ ของ Netflix ก็ยังอยู่ภายใต้มาตรการกักกันของรัฐ (shelter-in-place) แต่ก็ถือได้ว่าในปีนี้ Netflix ยังมีแต้มต่อเหนือคู่แข่งอยู่พอสมควร ที่มา - The Verge )
# มาตรการจำกัดการส่งต่อข้อความ WhatsApp ช่วยลดการส่งต่อได้ 70% ทั่วโลก หลัง WhatsApp ออกมาตรการจำกัดการส่งต่อข้อความที่ถูกส่งต่อกันมาเยอะๆ ให้ส่งต่อได้แค่คนเดียว โดยจะแท็กข้อความถูกที่ส่งต่อกันมาเยอะ ๆ ครั้งละเกิน 5 คนเป็น "highly forwarded" และจะจำกัดการส่งต่อข้อความนั้นเหลือแค่คนเดียว ล่าสุดผ่านมาราว 3 สัปดาห์ WhatsApp เปิดเผยว่ามาตรการดังกล่าวช่วยลดการส่งต่อข้อความที่ถูกแท็กเป็น highly forwarded ลงได้ถึง 70% ซึ่งน่าจะช่วยลดการส่งต่อข้อมูลผิด ๆ หรือข่าวปลอมเกี่ยวกับ COVID-19 รวมถึงสถานการณ์อื่น ๆ ได้ในอนาคต โดยหนึ่งในเคสหนักที่สุดของการส่งต่อข้อมูลผิด ๆ คือการฆาตกรรมในอินเดีย เพราะผู้คนหลงเชื่อว่าเหยื่อที่ถูกฆาตกรรม เป็นคนลักพาตัวเด็ก ที่มา - TechCrunch ภาพจาก Shutterstock
# TSMC เริ่มกระบวนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต 2 นาโนเมตรแล้ว TSMC ผู้ผลิตชิปสัญชาติไต้หวันเปิดเผยในรายงานงบการเงินให้กับผู้ถือหุ้นว่าเริ่มกระบวนการวิจัยและพัฒนาในกระบวนการผลิตขนาด 2 นาโนเมตรแล้ว รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ในกระบวนการผลิตที่จะเล็กกว่า 2 นาโมเมตรด้วย ปัจจุบัน TSMC อยู่ในช่วงการผลิตที่ขนาด 7 นาโนเมตรและกำลังอยู่ในช่วงขยายกระบวนการผลิตขนาด 5 นาโนเมตรให้มากขึ้น และเริ่มสร้างโรงงานสำหรับกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีขนาด 3 นาโนเมตรไปแล้ว ขณะที่ 7 นาโนเมตรของ Intel ยังต้องรอถึงปี 2021 ที่มา - DIgiTimes via Tom's Hardware ภาพจาก Shutterstock
# iFixit พบ ชิ้นส่วนบางอย่างสามารถสลับใช้ได้ระหว่าง iPhone SE ใหม่ กับ iPhone 8 iFixit เว็บแกะชื่อดัง ได้รายงานข้อมูลเบื้องต้น หลังจากทำการแกะ iPhone SE รุ่นใหม่ ซึ่งแม้ดีไซน์และคุณสมบัติหลายอย่างจะเหมือนกับ iPhone 8 แต่ก็ไม่ได้เหมือนไปเสียทั้งหมด รายงานระบุว่า ชิ้นส่วนบางรายการได้แก่ กล้อง, ถาดซิม, Taptic Engine และส่วนประกอบแสดงผล สามารถนำชิ้นส่วนจาก iPhone 8 มาใส่แทนและใช้งานได้ มีปัญหาเพียงการแสดงสี True Tone ที่ทำงานไม่ได้ตามปกติ นอกจากนี้ iFixit ยังพบว่า ชิ้นส่วนบางอย่างภายนอกอาจดูคล้ายกัน แต่ก็นำมาใส่แทนกันไม่ได้ เช่นปุ่ม Home และแบตเตอรี่ อย่างไรก็ตาม iFixit มองว่าการที่ชิ้นส่วนจาก iPhone รุ่นเก่านำมาใส่แทนได้บ้าง ถือเป็นข้อดีเพราะมีอะไหล่ในท้องตลาดทันทีตั้งแต่เริ่มจำหน่าย iFixit จะรายงานผลการแกะ iPhone SE รุ่นใหม่แบบละเอียดอีกครั้งในภายหลัง ที่มา: iFixit
# ลูกผู้บริหาร Google ชม Zoom ออกกล้องพ่อ ที่กำลังประชุมกับพนักงานบน Google Meet Philipp Schindler ที่เป็น SVP และ CBO (Chief Business Officer) ของ Google กำลังประชุมใน Google Meet เพื่อตอบคำถามพนักงาน Google หลายพันคน จนถึงช่วงหนึ่ง มีพนักงานถามถึง Zoom ที่เพิ่งสร้างได้ไม่นาน มีคนใช้เยอะขึ้นมาก ทั้งที่ Google Meet ก็มีให้ใช้นานแล้ว ในระหว่างที่ Schindler กำลังอธิบายอยู่นั่นเอง ลูกชายเขาก็เดินเข้ามาถามว่าพ่อประชุม Zoom อยู่เหรอ จน Schindler ต้องบอกว่าเขาประชุม Meet อยู่ต่างหาก แต่ลูกชายเขาก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น ยังพูดต่อว่าเขากับเพื่อนชอบ Zoom กันสุดๆ ให้เสียงเข้าไมค์กลางการประชุมของพ่อแบบเต็มๆ แม้จะมีปัญหาความปลอดภัยที่ต้องเร่งแก้ไข แต่ Zoom ก็มีผู้ใช้รายวันทะลุ 300 ล้านคนไปแล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้ ที่มา - 9to5Google
# เยอรมนียอมใช้ Contact Tracing API ของกูเกิล/แอปเปิล หลังแอปเปิลไม่ยอมให้ใช้ BLE ตลอดเวลา รัฐบาลเยอรมนีออกแถลงการณ์เตรียมใช้ Contact Tracing API ของกูเกิลและแอปเปิล โดยทิ้งแนวทางการสร้างโปรโตคอลของตัวเองหลังจากแอปเปิลไม่เปลี่ยนท่าทีที่ไม่อนุญาตให้แอปพลิเคชั่นปล่อยสัญญาณ Bluetooth Low Energy (BLE) ด้วยตัวเองเมื่อทำงานเบื้องหลัง แหล่งข่าวในรัฐบาลเยอรมนีระบุกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่าแอปเปิลปฎิเสธที่จะเปลี่ยนแนวทาง โดยระบุว่าไม่มีแนวทางอื่นนอกจากรัฐบาลจะเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาแอปเท่านั้น Contact Tracing API ของแอปเปิลและกูเกิลเป็นแนวทางแบบไร้ศูนย์กลาง (decentralized) นั่นคือฐานข้อมูลการเข้าใกล้ระหว่างกันจะอยู่ในโทรศัพท์ทั้งหมด เมื่อพบผู้ติดเชื้อและหน่วยงานสาธารณสุขได้รับโทรศัพท์ของผู้ติดเชื้อแล้ว การค้นหาผู้ที่เคยเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อจะต้องอาศัยการส่งข้อมูลแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์ทุกเครื่องเพื่อให้แต่ละเครื่องตรวจสอบตัวเองว่าเคยเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อหรือไม่ จากนั้นแอปของหน่วยงานสาธารณสุขจึงบอกกับผู้ใช้อีกครั้งว่าควรปฎิบัติตนอย่างไรหากเคยเข้าใกล้ แนวทางของรัฐบาลหลายแห่งเป็นแนวทางแบบรวมศูนย์ นั่นคือหน่วยงานสาธารณสุขสามารถค้นหาผู้เคยเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อได้ทันทีที่ได้โทรศัพท์ของผู้ติดเชื้อมา โดยแอปที่ออกมาก่อนหน้านี้ เช่น TraceTogether ของสิงคโปร์ หรือหมอชนะของไทยล้วนใช้แนวทางนี้ อย่างไรก็ดีแอปพลิเคชั่นเหล่านี้ล้วนทำงานได้ไม่สมบูรณ์บน iPhone โดยผู้ใช้ต้องเปิดแอปบนหน้าจอตลอดเวลาจึงทำงานได้ ซึ่งทำให้ประโยชน์ของการทำ contact tracing นั้นจำกัดอย่างยิ่ง ในยุโรปรัฐบาลประเทศต่างๆ ยังคงมีแนวทางต่างกันในการเก็บข้อมูลการเข้าใกล้ระหว่างกันนี้ โดยเยอรมนีเคยต้องการใช้แนวทางรวมศูนย์แต่เพิ่งเปลี่ยนท่าที ทำให้ตอนนี้เหลือสองชาติหลังที่ยังยืนยันใช้แนวทางรวมศูนย์ คือ ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ที่มา - Yahoo! News
# โมดูล is-promise ความยาว 5 บรรทัดอัพเดต ลาก React, Firebase, Angular CLI ทำงานไม่ได้ โมดูล is-promise เป็นโมดูลง่ายๆ บน npm ที่ใช้ตรวจสอบว่าออปเจกต์ใดเป็น Promise บ้าง โดยตัวโมดูลเองมีความยาวเพียง 5 บรรทัดเท่านั้น (โค้ดอยู่ในภาพ) แต่การอัพเดตครั้งล่าสุดในเวอร์ชั่น 2.2.0 กลับทำให้โมดูลจำนวนมากไม่ทำงาน ความผิดพลาดเกิดจากความพยายามซัพพอร์ต ES module แต่คอนฟิกที่ใส่มากลับไม่สมบูรณ์ ทำให้คำสั่งสำคัญๆ เช่น create-react-app หรือ firebase-tools ติดตั้งใหม่ไม่ได้ แพ็กเกจที่ติดตั้งไปก่อนแล้วยังคงทำงานได้ และคำแนะนำแรกๆ หลังมีปัญหานี้คือให้ย้อนกลับไปใช้เวอร์ชั่น 2.1.0 ส่วนตอนนี้ทาง is-promise ออกเวอร์ชั่น 2.2.1 ที่แก้ปัญหาแล้ว วงการจาวาสคริปต์มีการใช้โมดูลขนาดเล็กๆ ไปมาจำนวนมาก ในปี 2016 เคยมีการถอดโมดูล left-pad จนทำให้โครงการสำคัญๆ ทำงานไม่ได้เช่นกัน ที่มา - ZDNet
# [COVID-19] Coursera เปิดคอร์สเรียนฟรี ฝึกอาชีพให้คนตกงาน กว่า 3,800 หลักสูตร โรคระบาด COVID-19 ทำคนตกงานหลักล้าน Coursera จึงเปิดให้องค์กรและคนตกงานเข้ามาสมัครเรียนฟรี เพื่อรีสกิล พัฒนาทักษะเตรียมให้พร้อมกับการหางานในอนาคต ประกอบด้วยหลักสูตรกว่า 3,800 หลักสูตร ใน 400 สาขาวิชาชีพ จากปกติมีค่าเรียนที่ราวปีละ 399 ดอลลาร์ คอร์สที่น่าสนใจมี Cloud Architecture with Google, Cloud Engineering with Google, SAS Programmer คอร์สสอนการเขียนเชิงธุรกิจ มีคอร์สสอนการจัดการสภาพจิตใจในช่วงโรคระบาดด้วย สำหรับองค์กร, หน่วยงานรัฐที่จะพาพนักงานของตัวเองมาเข้าร่วมคอร์สเรียนฟรีต้องลงทะเบียนผ่าน Coursera ลงได้ถึงวันที่ 30 กันยายน และมีเวลาถึง 31 ธันวาคมในการเรียนให้จบหลักสูตร ทาง Coursera ยังบอกด้วยว่า องค์กรไม่แสวงหากำไร และ NGO ถ้าอยากสมัครเข้าร่วมก็ทำได้ จะพิจารณาเป็นกรณีไป ภาพจาก Coursera ที่มา - Gizmodo
# อดีตพนักงาน Huawei ถูกจับเพราะพูดถึงกรณี Huawei ขายของให้อิหร่านใน WeChat หากยังพอจำกันได้ ประเด็นความขัดแย้งระหว่าง Huawei และตะวันตกแรก ๆ คือกรณีที่ Huawei ถูกกล่าวหาว่าละเมิดการ sanction และกฎหมายระหว่างประเทศในการขายของให้อิหร่าน ซึ่งเป็นสาเหตุให้ CFO ลูกสาวของ Ren Zhengfei ผู้ก่อตั้งถูกจับ ประเด็นนี้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งเมื่อ The New York Times รายงานอ้างอิงข้อมูลจาก Li Hongyuan และ Zeng Meng อดีตพนักงาน Huawei 2 คนที่ระบุว่าตัวพวกเขาและเพื่อนรวมกันเป็น 5 คน ถูกตำรวจเสิ่นเจิ้นจับตั้งแต่ธันวาคม 2018 (หลัง CFO Huawei ถูกจับในแคนาดาไม่นาน) โดย Zeng ถูกจับในไทย หลังพวกเขาได้พูดคุยในประเด็น Huawei ขายของให้ อิหร่านผ่านทาง WeChat โดย Li อ้างว่ามีหลักฐานด้วยว่า Huawei ขายให้จริง แม้ในแชทจะไม่ได้มีการโชว์หลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันกัน แต่หลังจากพูดคุยเรื่องนี้ได้ไม่นาน ทั้ง 5 คนก็ถูกตำรวจจับ ซึ่ง 2 คนที่มาให้ข้อมูลก็เล่าด้วยว่าถูกตำรวจสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องอิหร่านที่พูดในแชทด้วย ก่อนที่ Li จะถูกจำคุก 8 เดือนและ Zeng 3 เดือน ขณะที่ Huawei แถลงว่าแจ้งจับกุมพนักงานทั้ง 5 คนนั้นเพราะทำผิดกฎหมาย ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งเรื่องความเห็นต่าง Zeng บอกด้วยว่า Huawei มักสอดส่องพนักงานเป็นประจำ ขณะที่เรื่องทั้งหมดเกิดจากความไม่พอใจของพนักงาน Huawei หลาย ๆ คนในแง่ของผลตอบแทนและแรงงาน จนมารวมตัวกันมากกว่า 60 คนในกรุ๊ป WeChat และเมื่อมีคนหนึ่งยกประเด็นทางการเมืองของ Huawei ขึ้นมา ก็มีอีกคนระบุว่าทำงานในโปรเจ็ค IranCell ตั้งแต่ปี 2012-2014 รวมถึงได้เดินทางไปที่อิหร่านด้วย ขณะที่ Li พิมพ์ต่อว่าตัวเขายืนยันได้ ที่มา - The New York Times
# Microsoft Flight Simulator เวอร์ชันปี 2020 ต้องการพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ 150GB ไมโครซอฟท์เผยสเปกขั้นต่ำของการเล่น เกมจำลองการบิน Microsoft Flight Simulator เวอร์ชันปี 2020 มีประเด็นที่ฮือฮาคือต้องการพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ถึง 150GB เหตุผลก็คงตรงไปตรงมา เพราะ Flight Simulator เวอร์ชันนี้เน้นความสมจริงแบบสุดๆ ทั้งข้อมูลแผนที่จริง สภาพอากาศแบบเรียลไทม์ สเปกขั้นต่ำที่ต้องการคือ ซีพียู Ryzen 3 1200 หรือ Core i5-4460, จีพียู Radeon RX 570 หรือ NVIDIA GTX 770, แรมอย่างน้อย 8GB และ Windows 10 v1909 ขึ้นไป สถิติการใช้พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ของเกมยุคใหม่ๆ คือ Call of Duty: Modern Warfare ต้องการพื้นที่ 175GB, Red Dead Redemption 2 ขอ 150GB ที่มา - Flight Simulator, Gamespot
# OnePlus 5/5T เตรียมได้อัพเกรดเป็น Android 10 รอมรุ่นเบต้ามาแล้ว OnePlus 5 และ OnePlus 5T เป็นมือถือแบรนด์ OnePlus ที่ออกในปี 2017 มาพร้อมกับ Android 7.1 Nougat และได้อัพเดตระบบปฏิบัติการมาเรื่อยๆ จนถึง Android 9 Pie ในช่วงปลายปี 2018 ล่าสุด OnePlus เริ่มปล่อยรอม Oxygen OS 10 ที่เป็น Android 10 ให้กับ OnePlus 5/5T แล้ว (ยังมีสถานะเป็นเบต้า) เท่ากับว่า OnePlus 5/5T สามารถอัพเกรดระบบปฏิบัติการได้ถึง 4 รอบเลยทีเดียว ที่มา - OnePlus, xda
# Netflix กู้เงินเพิ่ม 500 ล้านดอลลาร์ ได้ดอกเบี้ยต่ำเป็นประวัติการณ์ 3.625% Netflix เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินสดอย่างหนักเพื่อลงทุนสร้างคอนเทนต์แล้วค่อยมาตามเก็บค่าสมาชิกภายหลังไปเรื่อยๆ โดยที่ผ่านมาบริษัทกู้เงินไปแล้วนับหมื่นล้านดอลลาร์ แต่การกู้รอบล่าสุด 500 ล้านดอลลาร์ กลับมีความต้องการหุ้นกู้อย่างสูงจนทำให้ดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายเหลือเพียง 3.625% เท่านั้น นับว่าต่ำที่สุดเท่าที่เคยกู้มา หุ้นกู้ของ Netflix เป็นหุ้นกู้มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูง หรือ junk bond ที่โดยปกติแล้วต้องให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง เช่น สมัยเมื่อปี 2015 นั้นหุ้นกู้ Netflix ระยะเวลา 10 ปีให้ผลตอบแทนถึง 5.875% แต่การกู้เงินรอบนี้อายุ 5 ปีเท่านั้น ผลประกอบการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Netflix มียอดหนี้ระยะยาว 14,170 ล้านดอลลาร์ และบริษัทระบุว่ามีแผนจะกู้เพื่อลงทุนต่อไป ที่มา - Netflix, Bloomberg
# VS Code ออกเวอร์ชัน 1.44 เพิ่ม Timeline view เริ่มแสดงประวัติการ commit โค้ด เมื่อต้นเดือนเมษายน ไมโครซอฟท์ได้ออกอัพเดตเวอร์ชัน 1.44 ให้ Visual Studio Code โดยได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุงอื่นๆ อีกหลายอย่าง ฟีเจอร์สำคัญในอัพเดตนี้เป็นการเพิ่ม Timeline view ซึ่งเป็นหน้าที่ใช้สำหรับแสดงประวัติของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับไฟล์ (เช่น ประวัติ Git commit, ประวัติการบันทึกไฟล์, ประวัติการรันเทสต์) หน้า Timeline view จะช่วยติดตามประวัติของไฟล์ที่กำลังเปิดใช้งานใน editor หลักให้โดยอัตโนมัติ แต่หากผู้ใช้ต้องการเลือกไฟล์มาแสดงประวัติด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ ด้วยการคลิกขวาบนไฟล์ที่ต้องจากนั้นเลือก Open Timeline ภาพตัวอย่าง Timeline view ก่อนคลิกแสดงผล (อยู่ที่ด้านล่างสุดของ File Explorer) และนับตั้งแต่เวอร์ชันนี้ ส่วนขยาย Git ที่ฝังมากับ VS Code จะเริ่มรองรับการใช้งานใน Timeline view นักพัฒนาที่ใช้ Git เป็นระบบจัดการซอร์สโค้ดอยู่แล้ว จะสามารถตรวจสอบประวัติการ commit ของไฟล์ที่เปิดใช้งานอยู่ได้ในทันที ไม่เพียงแค่นั้น ผู้ใช้ยังสามารถคลิกที่แต่ละ commit เพื่อสั่งให้ VS Code เปิด diff view เพื่อเปรียบเทียบโค้ดก่อนและหลังเปลี่ยนการแปลงใน commit นั้นได้อีกด้วย ภาพตัวอย่างการเรียกดูประวัติ Git commit บน Timeline view ส่วนการปรับปรุงอื่นๆ ที่ไมโครซอฟท์ยกให้เป็นไฮไลท์ของอัพเดตครั้งนี้มีดังนี้ (หรือเข้าไปชมวิดีโอได้ที่นี่) เพิ่มความสามารถในการกรองผลการค้นหาภายใต้ Quick Open (คีย์ลัด Ctrl+P) ตัวช่วยเปิดไฟล์อย่างรวดเร็ว ทำให้ สามารถพิมพ์ชื่อไฟล์ตามด้วยเครื่องหมาย @ ตามด้วยชื่อ symbol เพื่อกรองผลการค้นหาตาม symbol ที่พบในแต่ละไฟล์ (เช่นกรองตามชื่อฟังก์ชั่น, ชื่อคลาส) สามารถพิมพ์ชื่อไฟล์จากนั้นเว้นวรรคตามด้วยชื่อโฟลเดอร์ เพื่อกรองไฟล์ที่แสดงผลตามโฟลเดอร์ที่ผู้ใช้ระบุ ปรับปรุงการติดตั้งส่วนขยายที่รวมมาเป็นแพ็ค (Extension pack) ให้แสดงรายชื่อของส่วนขยายทั้งหมดที่ถูกรวมเข้ามา ปรับปรุงการเก็บข้อมูลเพื่อ Undo/Redo การเปลี่ยนแปลงภายในไฟล์ ทำให้สามารถย้อนกลับไป Undo/Redo การเปลี่ยนแปลงบนไฟล์ที่ผู้ใช้ได้สั่งปิดไปแล้ว (หากไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไฟล์ระหว่างนั้น) แก้ไขปัญหาที่พบในฟังก์ชั่นช่วยเหลือผู้พิการหลายอย่าง ปรับปรุงส่วนขยาย Remote Development สามารถ check out Pull Request เข้า container โดยตรง รองรับการใช้งาน container บน Kubernetes รองรับการใช้งาน Docker ที่รันผ่าน WSL2 ปรับปรุงฟีเจอร์ซิงก์การตั้งค่า (Setting Sync) ให้สามารถซิงก์ snippets และสถานะ UI ของ VS Code (ยังใช้งานได้เฉพาะ VS Code รุ่น Insider) เพิ่มคู่มือสร้าง Python container, Python machine learning model ด้วย VS Code ที่มา - Visual Studio Code
# AT&T ประกาศเปลี่ยนตัวซีอีโอใหม่เป็น John Stankey Randall Stephenson ซีอีโอของ AT&T โอเปอเรเตอร์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ประกาศลงจากตำแหน่งซีอีโอหลังทำงานในตำแหน่งนี้มานาน 13 ปี และลงในโอกาสที่เขาอายุ 60 ปีพอดี ผู้ที่จะมาเป็นซีอีโอแทนคือ John Stankey ซีโอโอและประธานบริษัท การเปลี่ยนแปลงจะมีผลในวันที่ 1 กรกฎาคม 2020 บอร์ดของ AT&T บอกว่าเริ่มกระบวนการสรรหาซีอีโอคนใหม่มาตั้งแต่ปี 2017 และคัดเลือกทั้งผู้บริหารคนใน-คนนอก สุดท้ายตัดสินใจเลือก John Stankey ที่เป็นพนักงานของ AT&T มาตั้งแต่ปี 1985 ผ่านงานมาหลายตำแหน่ง รวมถึงการเป็นซีอีโอของ WarnerMedia บริษัทลูกของ AT&T ด้วย ตลาดโทรคมนาคมของสหรัฐอเมริกาปี 2020 มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสูงสุดหลายบริษัท เช่น T-Mobile ก็เพิ่งประกาศเปลี่ยนตัวซีอีโอไปเมื่อปลายปี ที่มา - AT&T Randall Stephenson (ซ้าย) และ John Stankey (ขวา)
# อดีตทีมออกแบบ Apple Watch เผยภาพร่างและไอเดีย ฉลองครบรอบ 5 ปี ผลิตภัณฑ์นี้ Imran Chaudhri อดีตผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้งาน (Human Interface) ของแอปเปิล ได้เปิดเผยภาพร่างและไอเดียหลายอย่าง ในการออกแบบ Apple Watch เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 5 ปี ที่ผลิตภัณฑ์นี้เริ่มจำหน่าย ฟีเจอร์ Digital Touch ที่ใช้ส่งรูปวาดหากัน เดิมเรียกชื่อ Electronic Touch และเรียกย่อกันเองว่า E.T. Apple Watch ต้นแบบ สร้างจาก iPod nano 6th Gen ต่อสายนาฬิกาเข้าไป สาธิตคุณสมบัติ Siri กับการเตือนเป็นหลัก สายนาฬิกาแบบลูป ได้ไอเดียจากสาย Velcro ของ Speedmaster ที่นักบินอวกาศโครงการ Apollo ใช้ หน้าปัดลายผีเสื้อ สร้างจากการถ่ายทำด้วยผีเสื้อจริง หน้าปัดแบบสุริยะ (Solar) สร้างมาให้มุสลิมใช้สังเกตตำแหน่งพระอาทิตย์ช่วงเดือนรอมฎอน ที่มา: 9to5Mac
# [ข่าวลือ] Horizon Zero Dawn ภาคสองเริ่มพัฒนาแล้ว โฟกัสที่ PS5 แทน PS4 เว็บไซต์ Video Games Chronicles (VGC) อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดว่า Sony Interactive Entertainment (SIE) อนุมัติแผนพัฒนาเกมภาคต่อของ Horizon Zero Dawn แล้ว Horizon Zero Dawn เป็นเกมที่พัฒนาโดยสตูดิโอ Guerrilla Games บริษัทลูกของ SIE ในเนเธอร์แลนด์ (ผลงานเกมอื่นคือซีรีส์ Killzone) ซึ่ง Guerrilla Games เองก็อยากทำ Horizon เป็นซีรีส์ที่มีหลายภาคมาตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน ตามข่าวลือบอกว่า Horizon 2 เริ่มกระบวนการพัฒนามาตั้งแต่เกมภาคแรกวางขาย ตอนแรกตั้งใจทำลง PS4 แต่ตอนนี้ย้ายมาโฟกัสลง PS5 แทนแล้ว ข้อมูลเท่าที่มีคือเกมภาค 2 จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และอาจมีโหมด co-op ด้วย Horizon Zero Dawn เพิ่งเปิดตัวเวอร์ชันพีซี ที่จะวางขายช่วงกลางปีนี้ นอกจากนี้ยังมีคอมิกบุ๊กที่จะวางขายช่วงไล่เลี่ยกัน ซึ่งน่าจะเป็นการเติมเนื้อเรื่องในช่วงระหว่างภาค 1 กับภาค 2 ด้วย ที่มา - Video Games Chronicles
# OnePlus ปลดพนักงานในยุโรป บางประเทศอาจปลดเยอะถึง 80% Engadget รายงานว่า OnePlus เริ่มปลดพนักงานในยุโรปหลายประเทศ (ที่ระบุชื่อคือ เยอรมนี ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร) บางประเทศลดลงถึง 80% และบางประเทศเหลือพนักงานเพียง 3 คนเท่านั้น โฆษกของ OnePlus ยอมรับว่ามีการปลดพนักงานจริง แต่ก็บอกว่าเป็นการปรับโครงสร้างตามปกติ (normal restructuring) โดยไม่เปิดเผยจำนวนพนักงานที่ปลดออก และยังยืนยันว่ายุโรปยังเป็นภูมิภาคที่สำคัญ ส่วนเหตุผลที่ OnePlus ปลดคนในยุโรป Engadget คาดว่าเป็นเพราะไม่สามารถทำตลาดได้ดีเท่าที่ควร แถม OnePlus มีความสัมพันธ์ที่ไม่แข็งแรงนักกับบรรดาโอเปอเรเตอร์รายต่างๆ ซึ่งเป็นช่องทางการขายมือถือที่สำคัญของยุโรปด้วย ที่มา - Engadget
# Netflix รายงานการใช้ TLS 1.3 ลดเวลารอวิดีโอโหลด, ประหยัดซีพียูคนดู Netflix รายงานถึงการใช้โปรโตคอล TLS 1.3 เวอร์ชั่นล่าสุดของมาตรฐาน TLS โดยทดสอบประสิทธิภาพจริงจากเครื่องผู้ใช้ TLS ปกติมีข้อเสียสำคัญคือการเริ่มการเชื่อมต่อจะช้ากว่าการเชื่อมต่อ TCP เปล่าๆ ที่ไม่เข้ารหัสมาก เนื่องจากต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลกันสองรอบ (2 roundtrips) ทำให้เสียเวลาก่อนเริ่มเชื่อมต่อไปนาน หากผู้ใช้อยู่ในเครือข่ายที่มีระยะเวลาหน่วงสูงก็อาจทำให้ระยะเวลาเริ่มก่อนเชื่อมต่อจริงนานระดับวินาที TLS 1.3 ปรับปรุงข้อเสียนี้ โดยโปรโตคอลสามารถเชื่อมต่อได้ภายในการแลกเปลี่ยนข้อมูลหนึ่งรอบ และยังมีโหมด 0-RTT สำหรับการเปิดการเชื่อมต่อใหม่จากที่เคยเปิดไว้แล้ว ทำให้ไม่ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลก่อนเลย การทดสอบอาศัยบัญชีผู้ใช้ 1 ล้านบัญชี โดยแบ่งครึ่งๆ เป็นชุดควบคุมที่ใช้ TLS 1.2 และชุดทดสอบใช้ TLS 1.3 โดยผู้ใช้กลุ่มนี้ใช้อุปกรณ์ระดับกลาง ซีพียู 4 คอร์ สัญญาณนาฬิกา 1.7GHz ทาง Netflix จับข้อมูลสองกลุ่มนี้โดยสังเกตสองค่า ได้แก่ Play Delay หรือระยะเวลาที่ภาพยนตร์เริ่มเล่น ได้ผลว่าการใช้ TLS 1.3 ทำให้ระยะเวลาดีขึ้น 3.5%-8.2% (ค่ามัธยฐานตามกราฟด้านบน) และ Media Rebuffer ระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องรอการโหลดภาพยนตร์โดยไม่ได้เกิดจากประสิทธิภาพเครือข่าย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าซีพียูโหลดหนัก พบว่า TLS 1.3 ทำให้การ rebuffer ลดลง 7.4% TLS 1.3 ออกมาระยะหนึ่งแล้ว แม้จะปรับปรุงหลายประการแต่หากไม่ได้เป็นเว็บขนาดใหญ่ที่เก็บข้อมูลมากๆ ก็อาจจะไม่เห็นความแตกต่างนัก หลักฐานจาก Netflix เช่นนี้น่าจะทำให้หลายองค์กรตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ที่มา - Netflix Tech Blog
# Western Digital เปิดรายชื่อฮาร์ดดิสก์ที่เป็น SMR ทั้งหมดหลังถูกวิจารณ์ว่าผสมสินค้า หลังจากสัปดาห์นี้มีข่าวว่าฮาร์ดดิสก์หลายรุ่นถูกเปลี่ยนเทคโนโลยีการอ่านเขียนจาก CMR แบบเดิมๆ กลายเป็น SMR ที่ต้นทุนถูกกว่า ล่าสุดทาง Western Digital ก็ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าดิสก์รุ่นใดเป็น SMR บ้าง ตารางรายชื่อรุ่นของ Western Digital แสดงให้เห็นว่าบริษัทใช้ SMR กับฮาร์ดดิสก์ความจุขนาดกลาง โดยในดิสก์ 3.5 นิ้วความจุ 8TB ขึ้นไปนั้นยังคงเป็น CMR ทั้งหมด โดยรายชื่อที่เปิดออกมามีเฉพาะกลุ่มตลาดคอนซูมเมอร์ที่ซื้อปลีก ได้แก่ WD Red, WD Red Pro, WD Blue, WD Black, และ WD Purple ตระกูลที่ไม่มี SMR เลยคือ WD Red Pro และ WD Purple ทาง Western Digital สัญญาว่าจะให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจซื้อที่ครบถ้วน และขอให้ผู้ใช้ที่มีปัญหาประสิทธิภาพดิสก์ติดต่อฝ่ายดูแลลูกค้า ที่มา - Western Digital Blog
# พบบัญชี Nintendo ที่ใช้งานผ่าน NNID 160,000 บัญชี ถูกพยายามเจาะข้อมูล แนะนำเปิด 2-Factor นินเทนโดประกาศว่าได้ปิดการล็อกอินเข้าใช้งาน Nintendo Account ผ่าน Nintendo Network ID (NNID) ซึ่งเป็นระบบเก่า โดยพบบัญชี NNID จำนวน 160,000 บัญชีที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งพบการพยายามเจาะข้อมูลตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ข้อมูลที่ผู้โจมตีเข้าถึงได้แก่ ชื่อเล่น วันเกิด ประเทศ และอีเมล โดยนินเทนโดระบุว่าได้อีเมลแจ้งบัญชีที่ได้รับผลกระทบให้รีเซ็ตรหัสผ่านแล้ว ทั้งยังแนะนำให้ผู้ใช้ Nintendo Account เปิดใช้การล็อกอิน 2 ขั้นตอน ซึ่งนินเทนโดเพิ่งเพิ่มคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อเพิ่มความปลอดภัย NNID เป็นระบบล็อกอินเดิมของนินเทนโด ซึ่งมีใช้งานใน 3DS และ Wii U แต่ปัจจุบันระบบที่ใช้คือ Nintendo Account แต่ผู้ใช้ NNID เดิมนั้น สามารถล็อกอินเข้ามาได้เช่นเดียวกัน ที่มา: Nintendo UK และ The Verge
# Telegram มีผู้ใช้งาน 400 ล้านบัญชีแล้ว กำลังพัฒนา Secure VDO Call แบบกลุ่ม Telegram ประกาศจำนวนผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน (Monthly User) มีจำนวนถึง 400 ล้านบัญชีแล้ว เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 300 ล้านบัญชี โดย Telegram บอกว่าปัจจุบันมีผู้สมัครใช้งานใหม่ เพิ่มขึ้นวันละ 1.5 ล้านบัญชี นอกจากนี้ Telegram ยังพูดถึงฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังพัฒนา คือการใช้งานวิดีโอคอลแบบกลุ่ม ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นจากมาตรการให้คนอยู่บ้าน Telegram บอกว่าวิดีโอคอลในวันนี้ ก็เหมือนการส่งข้อความในปี 2013 ที่กลายเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่ Telegram สนใจ คือการสร้างวิดีโอคอลที่เข้ารหัสในการใช้งาน เหมือนกับบริการส่งข้อความนั่นเอง ที่มา: Telegram
# ไอร์แลนด์เตรียมพิจารณาให้ Facebook, Google แบ่งรายได้ให้สำนักข่าว ตามรอยออสเตรเลีย จากข่าวออสเตรเลียเตรียมวางกฎบังคับให้ Facebook และ Google แบ่งรายได้ให้สำนักข่าวด้วย ล่าสุด นายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ Leo Varadkar ออกมาพูดเองเลยว่า ไอร์แลนด์ควรทำในแนวทางเดียวกันกับออสเตรเลีย เป้าหมายของไอเดียนี้ตามแนวทางออสเตรเลียคือ แพลตฟอร์มขนาดใหญ่อย่าง Google, Facebook ต้องจ่ายเงินให้สำนักข่าวในกรณีที่มีการใช้เนื้อหาข่าวบนแพลตฟอร์ม Varadkar ยังบอกด้วยว่า ทั้งสองแพลตฟอร์มใช้ประโยชน์จากแหล่งผลิตข่าวสารแบบฟรีๆ โดยที่ค่าใช้จ่ายต่างๆ นั้นเกิดขึ้นกับสำนักข่าว ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างพูดคุยกับพรรคฝ่ายค้านในไอร์แลนด์ ที่มา - Reuters
# เอกสารภายในเผย กูเกิลจะตัดงบการตลาดครึ่งหนึ่งตลอดครึ่งปีที่เหลือ CNBC รายงานโดยอ้างอิงเอกสารภายในที่กูเกิลส่งถึงทีมการตลาดว่า กูเกิลเตรียมตัดงบการตลาดออกถึงครึ่งหนึ่งในครึ่งปีหลังนี้ และจะระงับการจ้างงานใหม่ทั้งพนักงานประจำและพาร์ทไทม์ ซึ่งสอดคล้องกับที่ Bloomberg รายงานก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้ ซีอีโอกูเกิล Sundar Pichai เขียนบันทึกถึงพนักงาน อธิบายผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 ต่อธุรกิจของกูเกิล ระบุว่าจะชะลอการจ้างงาน แต่จากเอกสารใหม่นี้ มีเรื่องการตัดงบการตลาดเข้ามาด้วย ก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่ มีการคาดการณ์ว่ากูเกิลจะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการตลาดจากปี 2019 ซึ่งเอกสาร 10-k ระบุว่าค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการขายของกูเกิลในปี 2019 อยู่ที่ 18.46 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภาพจาก @LifeatGoogle ที่มา - CNBC
# Lenovo ประกาศออก ThinkPad Fedora Edition พรีโหลด Fedora มาให้เลย เราเห็นข่าวผู้ผลิตโน้ตบุ๊กบางเจ้าออกเวอร์ชัน Ubuntu พรีโหลดมาให้ด้วย (เช่น Dell XPS คราวนี้เป็นข่าวของฝั่ง Fedora ที่ประกาศความร่วมมือกับ Lenovo ThinkPad บ้าง Lenovo จะออก ThinkPad 3 รุ่นคือ ThinkPad P1 Gen 2, ThinkPad P53, ThinkPad X1 Gen 8 ที่เป็น Fedora Edition ใช้ระบบปฏิบัติการ Fedora 32 Workstations (ที่กำลังจะออกตัวจริงในเร็วๆ นี้) วิธีการสั่งซื้อสามารถเลือก OS ได้จากหน้าเว็บของ Lenovo ตามปกติ รายละเอียดเพิ่มเติมจะประกาศในงาน Red Hat Summit สัปดาห์หน้า ที่มา - Fedora
# Facebook เปิดตัว Messenger Rooms คุยได้พร้อมกัน 50 คน ไม่จำกัดเวลา Facebook บุกเข้ามาสู่วงการวิดีโอคอลล์อย่างเต็มตัว ด้วยการเปิดตัว Messenger Rooms ที่ "จะ" รองรับการประชุมพร้อมกันสูงสุด 50 คนแบบไม่จำกัดเวลา จุดเด่นของ Messenger Rooms คือไม่ต้องติดตั้งแอพอะไรเพิ่มหากมี Messenger อยู่แล้ว แถมยังใส่เอฟเฟคต์สติ๊กเกอร์ระหว่างการประชุมได้ด้วย Messenger Rooms ยังมาพร้อมกับการเชื่อมต่อกับทุกบริการในเครือของ Facebook โดยเราสามารถสร้างห้องประชุมและแชร์ได้บน Facebook News Feed และในอนาคตจะสร้างห้องได้จาก Instagram Direct, WhatsApp และอุปกรณ์ประชุม Portal ด้วย Messenger Rooms เริ่มเปิดให้ผู้ใช้บางประเทศใช้งานแล้ว และจะทยอยเปิดเพิ่มเติมในสัปดาห์ถัดๆ ไป ที่มา - Facebook
# Apple เปิดบัญชีทางการบน TikTok แล้ว แอปเปิลได้เปิดบัญชีทางการบน TikTok แล้ว โดยใช้ชื่อบัญชีว่า @apple เลย ณ ขณะนี้ บัญชี TikTok ของแอปเปิลยังไม่ได้แชร์คลิปวิดีโอใด ๆ ซึ่งก็ต้องมารอดูว่าแอปเปิลจะทำอะไรบนแพลตฟอร์มนี้ ปัจจุบันแอปเปิลมีบัญชีในโซเชียล ทั้งบน Instagram, Twitter ซึ่งมีทั้งบัญชีหลักที่ทวีตเมื่อมีการจัดงานอีเวนต์ และบัญชีสนับสนุนให้ลูกค้าติดต่อ ที่มา: MacRumors
# Skype รองรับการเปลี่ยนภาพพื้นหลังตอนประชุมได้เอง แบบเดียวกับ Zoom แล้ว Skype ออกเวอร์ชันใหม่ 8.59.0.77 สำหรับ Windows, Mac, Linux, Web รองรับการเปลี่ยนภาพพื้นหลังได้เองเหมือนกับ Zoom แล้ว ก่อนหน้านี้ Skype รองรับการเบลอฉากหลังเพียงอย่างเดียว แต่ความนิยมใน Zoom บีบให้ Skype ต้องมีฟีเจอร์แบบเดียวกันตามมา (Skype เพิ่งเพิ่มฟีเจอร์ Meet Now ส่งลิงก์ให้เข้าร่วมประชุมได้โดยไม่ต้องมีบัญชี Skype) ฟีเจอร์เปลี่ยนภาพพื้นหลังยังใช้งานไม่ได้บน Skype for Windows 10 ที่ดาวน์โหลดจาก Microsoft Store ต้องใช้กับเวอร์ชัน for Windows ที่ดาวน์โหลดแบบ .exe เท่านั้น ที่มา - Skype via Slashgear
# dtac ไตรมาส 1/2563 รายได้และกำไรยังเติบโต แม้มีผลกระทบจาก COVID-19 ดีแทครายงานผลประกอบการ ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2563 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2562 เป็น 20,075 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,501 ล้านบาท ไตรมาสนี้ดีแทคระบุว่า ได้ปรับปรุงวิธีการรายงานจำนวนผู้ใช้บริการในระบบรายเดือน รวมทั้งกลุ่มระบบเติมเงินก็ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้จำนวนลูกค้าลดลงทั้งสองระบบรวม 1.0 ล้านเลขหมาย โดยมีจำนวนลูกค้าสุทธิ 19.6 ล้านเลขหมาย และรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (ARPU) อยู่ที่ 258 บาทต่อเลขหมายต่อเดือน ดีแทคระบุผลกระทบจาก COVID-19 ว่ารายได้ลดลงชัดเจนจากกลุ่มนักท่องเที่ยว ผู้ใช้บริการใหม่ และบริการโรมมิ่งต่างประเทศ ขณะที่การที่ลูกค้าต้องอยู่บ้าน ทำให้การใช้ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ที่มา: ดีแทค
# แอปเปิลระบุช่องโหว่ล่าสุดยังไม่มีหลักฐานว่ามีการโจมตี, ตัวช่องโหว่กระทบเฉพาะแอป Mail สัปดาห์นี้บริษัท ZecOps รายงานถึงช่องโหว่ของแอป Mail บน iOS พร้อมกับระบุว่าพบหลักฐานว่ามีการโจมตีเป้าหมายสำคัญแล้วหลายคนเป็นเวลานานแล้ว ล่าสุดแอปเปิลส่งแถลงถึงสื่อหลายสำนัก ระบุว่าช่องโหว่ไม่เพียงพอจะเจาะตัว iOS ได้ และจนตอนนี้ก็ยังไม่พบหลักฐานว่ามีการใช้โจมตีจริง ทาง ZecOps วิเคราะห์ข้อมูลจาก crash log ที่ได้รับมา ทำให้เชื่อว่ามีการโจมตีจริง และรายงานช่องโหว่ของ ZecOps ในส่วนชี้แจงผลกระทบนั้นคาดการณ์ไว้ว่าแฮกเกอร์น่าจะมีช่องโหว่อื่นในมือเพื่อเข้าควบคุมเครื่องเต็มรูปแบบ นักวิจัยหลายคนตั้งคำถามถึงรายงานครั้งนี้ว่าเป็น 0-day หรือช่องโหว่ที่ถูกใช้งานจริงก่อนมีการแก้ไขหรือไม่ เพราะทาง ZecOps ไม่มีตัวอย่างอีเมลที่ใช้โจมตีจริง โดยรายงานของ ZecOps คาดเดาว่าแฮกเกอร์ได้ลบตัวเองออกไประหว่างการแฮก อย่างไรก็ดี ช่องโหว่นี้เป็นช่องโหว่จริงที่แอปเปิลก็ยอมรับ แต่การจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ที่ยังไม่มีการโจมตีแล้วกับช่องโหว่ที่มีการโจมตีแล้วนั้นต่างกันค่อนข้างมาก หากยังไม่มีการโจมตีโดยทั่วไปผู้ผลิตก็มักรอออกแพตช์ตามรอบปกติพร้อมกับช่องโหว่หรือปัญหาอื่นๆ แทนที่จะเร่งออกแพตช์สำหรับช่องโหว่เดียว ที่มา - ZDNet, The Verge
# ปลดอะไร ไม่รู้จัก? NVIDIA เร่งขึ้นเงินเดือนให้พนักงาน สู้ภัย COVID-19 Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA แถลงในจดหมายถึงพนักงานว่าบริษัทจะไม่มีการปลดคนออกแน่นอน ตรงกันข้าม เขาจะเร่งขึ้นเงินเดือนให้แทน เพื่อให้พนักงานและครอบครัวมีเงินพอสู้วิกฤตครั้งนี้ โดยเงินเดือนที่ขึ้นให้รวมกันแล้วจะอยู่ในหลักหลายสิบล้านดอลลาร์ Jensen ยังเน้นย้ำในจดหมายอีกว่างานที่ NVIDIA ทำ ทั้งในด้านกราฟฟิก, วิทยาศาสตร์, AI และเทคโนโลยีหุ่นยนต์นั้น สำคัญต่ออนาคตยิ่งกว่าช่วงเวลาไหนๆ และยังกล่าวว่า NVIDIA มีนโยบายสมทบทุนบริจาคสูงสุดถึง 2,500 เหรียญ ให้กับทุกทีมที่ระดมเงินบริจาคให้กับโรงพยาบาลหรือหน่วยงานการกุศล ตัวเขาเองก็จะสมทบทุนให้อีกเท่าตัว ทำให้หากยอดบริจาคของพนักงาน สูงถึง 2,500 เหรียญ จะได้รับการสมทบจาก NVIDIA อีก 2,500 เหรียญ และ Jensen อีก 5,000 เหรียญรวมเป็น 10,000 เหรียญสหรัฐเลยทีเดียว แม้ NVIDIA จะไม่ได้อยู่ในจุดที่เสี่ยงนัก เนื่องจากยอดขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งเพื่อการเล่นเกม และการทำงานจากบ้าน เพิ่มขึ้นมากในช่วงกักตัว แต่การตัดสินใจของ NVIDIA ก็ยังน่าชื่นชม ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแบบนี้ ที่มา - ExtremeTech
# SpaceX จะเริ่มทดสอบบริการอินเทอร์เน็ต Starlink ในอีกสามเดือน คนทั่วไปสมัครได้ในปีนี้ แต่เฉพาะแถบทางเหนือของโลก Elon Musk ระบุว่าบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink จะเริ่มให้บริการวงปิดภายในอีกสามเดือนข้างหน้า และบริการเป็นการทั่วไปภายในอีกหกเดือน โดยจะเริ่มให้บริการแถบทางเหนือของโลกก่อน (high latitude) SpaceX เพิ่งยิงดาวเทียม Starlink ชุดล่าสุดไปเมื่อคืนวานนี้ ทำให้จำนวนดาวเทียมมีมากถึง 422 ดวง โดยมีดาวเทียมทดสอบ 2 ดวงจะถูกปลดออกเร็วๆ นี้ ทาง Starlink เคยระบุว่าจะเริ่มให้บริการได้บางพื้นที่จะต้องมีดาวเทียมเกิน 400 ดวง ยังไม่มีใครรู้ว่ากลุ่มประเทศชุดแรกที่ Starlink จะเปิดให้บริการมีประเทศอะไรบ้าง แต่ตอนนี้มีข่าวการขออนุญาตให้บริการอินเทอร์เน็ตเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น ที่มา - TechCrunch
# รีวิว Redmi Note 9S หน้าจอ 6.67 นิ้ว 4 กล้อง ฟังก์ชั่นครบ ราคาคุ้ม มือถือเรือธงเริ่มมีราคาแพงขึ้นทุกวัน ขัดกับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ลดลงในช่วงวิกฤตแบบนี้ แต่มือถือราคาถูก คุณภาพดี ดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า วันนี้ผู้เขียนเลยจะมารีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นราคาต่ำหมื่น แต่ให้ฟังก์ชั่นมาครบพอๆ กับรุ่นหมื่นกลาง อย่าง Redmi Note 9S ของ Xiaomi ที่ในราคา 6,499 บาท ได้ชิป Snapdragon 720G หน้าจอ FHD+ กล้องหลัง 4 กล้อง แถมมีจุดเด่นคือแบตเตอรี่ 5,020 mAh ที่อึดสุดๆ แกะกล่อง ในกล่องมีที่ชาร์จแบบชาร์จเร็ว 22.5W แถมมาให้พร้อมสาย แต่ตัวเครื่องรองรับชาร์จเร็ว 18W มาพร้อมเคส TPU พลาสติกใส คู่มือ และใบรับประกัน ไม่มีหูฟังแถมมาด้วย แต่มีรูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ใช้หูฟังที่มีอยู่ได้สบาย ตัวเครื่อง หน้าจอ และพอร์ตเชื่อมต่อ Redmi Note 9S Lite มาพร้อมจอ IPS LCD ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1080x2400 พิกเซล ใต้ Gorilla Glass 5 อัตราส่วนตัวเครื่องต่อหน้าจออยู่ที่ 91% และมีกล้องหน้าความละเอียด 16MP แบบเจาะรูตรงกลาง ที่ Redmi ใช้ชื่อว่า Dot Display ด้านขวามีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่มเปิดปิดที่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังอยู่ ด้านซ้ายมีช่องใส่ซิม ใส่ได้สองซิมกับการ์ด Micro SD พร้อมกัน รองรับความจุมากสุด 512GB ใต้เครื่องมีพอร์ตชาร์จ USB-C ชาร์จเร็ว 18W รูหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และลำโพง รุ่นนี้เป็นลำโพงเดี่ยวแบบ mono เสียงออกเฉพาะด้านล่างเท่านั้น ตามปกติของสมาร์ทโฟนรุ่นกลางลงมา แต่คุณภาพเสียงชัดเจน ไม่อุดอู้ แต่มีสิ่งที่ต้องระวังนิดหน่อย คือด้านหลังของเครื่องถึงจะเป็นกระจก Gorilla Glass 5 ที่ทนรอยขีดข่วนเช่นเดียวกับด้านหน้า แต่ค่อนข้างมันเงา ดึงดูดรอยนิ้วมือมาก แนะนำว่าให้ใส่เคสที่แถมมาในกล่องหรือหาเคสอื่นมาใส่จะดีกว่า ประสิทธิภาพและการใช้งาน Redmi Note 9S ใช้ชิป Snapdragon 720G Octa-Core ความเร็ว 2.3 GHz มีรุ่นแรม 4GB (ที่รีวิว) และรุ่น 6GB ถือว่าให้แรมมาค่อนข้างน้อย อาจจะเป็นจุดนี้ที่เซฟราคาให้ต่ำลง แต่ถือว่าให้ชิปรุ่นใหม่มา เมื่อเทียบกับมือถือราคาใกล้เคียงกันเช่น Vivo S1 Pro หรือ OPPO A9 2020 ที่ใช้ชิป Snapdragon 665 ตัวเครื่องรันบน MIUI 11.0.1 ครอบทับบน Android 10 ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่า MIUI เวอร์ชั่นนี้ ค่อนข้างสะอาดสะอ้าน ไม่มี bloatware มากวนใจ แพคไอค่อนเรียบหรู notifications โฆษณาที่ติดมากับเครื่อง ไม่ค่อยโผล่มากวนใจเท่าไร เป็นมือถือราคาประหยัดที่ไม่รู้สึกขัดหูขัดตาเวลาใช้งานจริง ผลการทดสอบบน Geekbench 5 ชิป Snapdragon 720G ได้คะแนน Single-Core 569 คะแนน และคะแนน Multi-Core 1,745 คะแนน กล้อง Redmi Note 9S มาพร้อมกล้องกล้องหน้าความละเอียด 16MP กล้องหลัง 4 กล้อง มีระบบ AI ช่วยถ่ายภาพ กล้องหลักความละเอียด 48MP กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 8MP กล้องมาโครความละเอียด 5MP และ Depth Sensor ความละเอียด 2MP สามารถถ่ายปกติ หรือเลือกเป็นโหมดความละเอียดสูง 48MP ได้ แต่ถ้าไม่ครอปภาพ หรืออัดขยายเป็นขนาดใหญ่ ก็ไม่เห็นความแตกต่างมากนัก มีโหมดกลางคืนที่พอใช้งานได้มาให้ และถ่ายวิดีโอ 4K 30 FPS ได้อีก ถือว่าความสามารถกล้องมาค่อนข้างหลากหลาย กล้องหลัง 4 กล้อง ความละเอียดสูงสุด 48MP รูปจากโหมด Photo ปกติ รูปจากโหมด Ultra-Wide รูปจากโหมด Photo ปกติ รูปจากโหมด 48MP รูปจากโหมด Macro ถึงจะถ่ายได้หลากหลาย แต่ก็ไม่ได้ทำได้ดีไปซะทุกโหมด รูปที่ถ่ายจากโหมด Photo ธรรมดา และ 48MP คุณภาพปานกลาง แต่ไม่ได้มีอะไรต่างกันมากนัก และมักจะวัดแสงได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (under-exposure) ในหลายๆ กรณี และสีก็ดูหมองกว่าความเป็นจริงเล็กน้อย การถ่ายมาโครอยู่ในระดับใช้งานได้ ส่วนถ่ายรูปตอนกลางคืน ถึงจะเปิด Night Mode ก็ไม่ได้สว่างขึ้นมากนัก และมี noise ค่อนข้างเยอะ ขาดรายละเอียด และพยายามถือนิ่งแค่ไหน ภาพก็ยังเบลออยู่ รูปถ่ายตอนกลางคืนโดยใช้โหมด Photo ปกติ รูปถ่ายตอนกลางคืนที่ใช้ Night Mode กล้องหน้าความละเอียด 16MP แบบเจาะรูตรงกลาง มีข้อดีที่ไม่เกะกะบดบังไอค่อนแสดงสถานะต่างๆ ที่มุมหน้าจอ แต่อาจจะรำคาญหน่อย หากดูวิดีโอ คุณภาพพอใช้งานได้ สีค่อนข้างจืดชืดเล็กน้อย แต่ไม่ได้ใส่ฟังก์ชั่น beauty มาให้จนดูปลอม ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า แบตโคตรอึดระดับ 5,020 mAh พร้อมชาร์จเร็ว สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะให้แบตเตอรี่มาประมาณ 4,xxx mAH ขนาด Xiaomi Mi 10 Pro ที่เป็นรุ่นเรือธง ยังให้แบตเตอรี่มา 4,500 mAh เท่านั้น แต่ Redmi Note 9S ให้มาถึง 5,020 mAh แบบจุกๆ ใช้งานได้ทั้งวันแบบไม่ต้องห่วงชาร์จ และไม่ต้องพกแบตสำรองเลย 75% ใช้ได้อีก 32 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเปิด Battery save ใช้ได้ถึง 50 ชั่วโมงกว่า อึดแบบข้ามวันข้ามคืนจริงๆ แต่ที่แอบแปลกนิดๆ คือให้ที่ชาร์จเผื่อมาถึง 22.5W แต่รองรับชาร์จเร็วแค่ 18W สรุป Redmi Note 9S ไม่ใช่สมาร์ทโฟนที่มีอะไรพิเศษหรือโดดเด่นกว่ารุ่นอื่น แต่ให้ฟังก์ชั่นการใช้งานพื้นฐานมาอย่างครบถ้วนในราคา 6,499 บาท ได้ทั้งหน้าจอ FULL HD+ กล้อง AI 4 กล้องพร้อมโหมดถ่ายรูปเพียบ และชิป Snapdragon 720G กับแรม 4GB ที่อาจจะน้อยไปนิด แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน พร้อมแบตเตอรี่ที่ให้มาถึง 5,020 mAh ใช้งานได้แบบข้ามวันข้ามคืน อาจจะมีแค่ realme 6i ที่ราคากับขนาดแบตเตอรี่ใกล้เคียงกัน แต่ก็จะได้ชิป Helio G80 ที่ประสิทธิภาพด้อยกว่า หรือรุ่นอื่นๆ ที่ราคาใกล้เคียงกัน อย่าง Vivo S1 Pro หรือ OPPO A9 2020 ก็จะได้ชิปแค่ Snapdragon 665 เท่านั้นถือว่า Redmi Note 9S เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกราคาเป็นมิตรของคนทำงาน ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ Redmi Note 9S มีสามสี คือ Glacier White, Aurora Blue (เครื่องรีวิว) และ Interstellar Grey
# กูเกิลระบุ อีเมลมุ่งร้ายและสแปมหันมาใช้ COVID-19 หลอกลวงเหยื่อกันหนัก Mark Risher ผู้อำนวยการฝ่ายความปลอดภัยบัญชีผู้ใช้ของกูเกิล ให้สัมภาษณ์ออนไลน์ถึงกรณี COVID-19 ระบุว่ากูเกิลตรวจพบการโจมตีโดยใช้ข้อความเกี่ยวกับ COVID-19 เป็นตัวล่อมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อความที่เกี่ยวกับ COVID-19 เช่นการหลอกลวงให้เหยื่อดาวน์โหลดมัลแวร์ โดยหลอกว่าเป็นอีเมลจากหน่วยงานทางการอย่างองค์การอนามัยโลก หรืออีเมลจากโรงพยาบาล โดยกูเกิลจับมัลแวร์ในอีเมลได้วันละ 18 ล้านรายการ ขณะที่สแปมที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ COVID-19 สูงถึง 240 ล้านข้อความ เช่น การโฆษณาขายหน้ากากอนามัยปลอม Risher ระบุว่ายอดการโจมตีโดยรวมไม่ได้สูงขึ้นมากนัก และเป็นเรื่องปกติที่สแปมเมอร์หรือแฮกเกอร์ที่ส่งเมลลวงเหล่านี้จะใช้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่เหตุ COVID-19 เป็นเหตุการณ์ระดับโลกทำให้แฮกเกอร์ทั่วโลกต่างหันมาใช้หัวข้อนี้ล่อลวงเหยื่อกันอย่างหนัก จากเดิมที่แต่ละกลุ่มมักใช้ประเด็นท้องถิ่นแยกกันไปตามภูมิภาคที่กำลังโจมตี คำแนะนำเพื่อการรับมือการโจมตีเหล่านี้ เช่น ใช้อีเมลองค์กรเพื่อติดต่องานเสมอ, ติดตั้งอัพเดต โดยเฉพาะบางองค์กรที่ต้องอัพเดตจากเซิร์ฟเวอร์ในองค์กรและอาจไม่ได้รับอัพเดตหากทำงานจากที่บ้าน, ใช้ password manager โดยกูเกิลมีหน้าเว็บเฉพาะกิจเพื่อแจ้งเตือนการหลอกลวงจาก COVID-19 เลยทีเดียว ที่มา - งานแถลงข่าวออนไลน์, Google Blog
# [ลือ] Xiaomi กำลังซุ่มพัฒนาเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบเต็มจอ ทวิตเตอร์ StuffListing บล็อกเกอร์ชาวอินเดียที่ส่งข้อมูลให้กับเว็บไซต์ไอทีทั้ง GSMArena, Android Authority ฯลฯ เปิดเผยรายละเอียดข้อมูลใหม่ว่า Xiaomi กำลังพัฒนาเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบเต็มหน้าจออยู่ โดยผู้ใช้จะสามารถวางนิ้วเพื่อปลดล็อก บนส่วนไหนของหน้าจอก็ได้ และแสดงรูปภาพว่า Xiaomi เริ่มทำเครื่องต้นแบบแล้ว ก่อนหน้านี้ Vivo ได้นำแนวคิดสมาร์ทโฟนที่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบเต็มหน้าจอมาโชว์ไปแล้ว ในรุ่น Apex 2019 ที่เป็นคอนเซ็ปต์โฟน แต่เพราะความซับซ้อนของเทคโนโลยีนี้ ทั้ง Xiaomi และ Vivo อาจต้องใช้เวลาอีกพอสมควร กว่าจะทำสมาร์ทโฟนที่มีฟีเจอร์นี้ออกมาขายได้จริง ที่มา - Twitter @StuffListing via NotebookCheck
# Huawei เปิดตัว Nova 7, 7 SE และ 7 Pro 4 กล้อง แบต 4,000 mAh ทั้งสามรุ่น Huawei เปิดตัวมือถือตระกูล Nova อีก 3 รุ่น คือ Nova 7, Nova 7 SE และ Nova 7 Pro ในประเทศจีน หลังเปิดตัว Nova 7i ในไทยไปเมื่อช่วงกลางเดือน ทั้งสามรุ่นเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางถึงล่าง มี 4 กล้อง แบตเตอรี่ 4,000 mAh รันบน EMUI 10.1 ครอบทับ Android 10 ทุกรุ่น แต่สเปกกล้องและอื่นๆ ต่างกันเล็กน้อย Nova 7 กล้องหลัก 64MP กล้องอัลตร้าไวด์ 8MP เลนส์มาโคร 2MP และเลนส์เทเลโฟโต้ 8MP หน้าจอ OLED 6.53 นิ้ว ความละเอียด FHD+ กล้องหน้า 32MP แบบเจาะรู มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอ ใช้ชิป Kirin 985 แรม 8 GB หน่วยความจำภายใน 128/256 GB แบต 4000 m,AH รองรับชาร์จเร็ว 40W Nova 7 มี 5 สี คือดำ ม่วง เขียว แดง และเงิน ราคารุ่น 8/128GB อยู่ที่ 3,000 หยวน (ประมาณ 13,800 บาท) รุ่น 8/256GB อยู่ที่ 3,400 หยวน (ประมาณ 15,700 บาท) Nova 7 Pro กล้องหลัก 64MP กล้องอัลตร้าไวด์ 8MP เลนส์มาโคร 2MP และเลนส์เทเลโฟโต้แบบ Periscope 8MP ซูมแบบไฮบริดได้สูงสุด 50x หน้าจอเป็นจอ OLED แบบโค้ง 6.57 นิ้ว ความละเอียด FHD+ กล้องหน้าคู่ 32MP และ 8MP แบบเจาะรู มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอ ใช้ชิป Kirin 985 แรม 8 GB หน่วยความจำภายใน 128/256 GB แบต 4000 m,AH รองรับชาร์จเร็ว 40W เช่นกัน Nova 7 Pro มี 5 สีเช่นเดียวกับ Nova 7 ราคารุ่น 8/128GB อยู่ที่ 3,700 หยวน (ประมาณ 17,000 บาท) รุ่น 8/256GB อยู่ที่ 4,200 หยวน (ประมาณ 18,900 บาท) Nova 7 SE กล้องหลัก 64MP กล้องอัลตร้าไวด์ 8MP เลนส์มาโคร 2MP แต่เปลี่ยนเลนส์เทเลเป็นเซ็นเซอร์ depth of field 2MP แทน หน้าจอเป็นแบบ IPS 6.5 นิ้ว กล้องหน้า 16MP แบบเจาะรู สแกนลายนิ้วมือด้านข้าง เปลี่ยนมาใช้ชิป Kirin 820 5G ที่เป็นรุ่นรองลงมา แรม 8 GB หน่วยความจำภายใน 128/256 GB แบต 4000 m,AH รองรับชาร์จเร็ว 40W เหมือนอีกสองรุ่น Nova 7 SE มีเพียง 4 สี คือดำ ม่วง เขียว และเงิน ราคารุ่น 8/128GB อยู่ที่ 2,400 หยวน (ประมาณ 11,200 บาท) รุ่น 8/256GB อยู่ที่ 2,800 หยวน (ประมาณ 12,900 บาท) ทั้งสามรุ่นเปิดให้พรีออเดอร์ในประเทศจีนแล้ว และจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 เมษายนนี้ ส่วนในประเทศไทยไทย ต้องติดตามต่อไป ที่มา - Notebook Check,GSMArena
# FCC รับรองคลื่น Wi-Fi ความถี่ 6GHz กว้าง 1,200MHz เตรียมใช้งานในมาตรฐาน Wi-Fi 6E FCC หรือ กสทช. สหรัฐประกาศรองรับการใช้งาน Wi-Fi ความถี่ 6GHz (5.925–7.125 GHz) สำหรับการใช้งานโดยไม่ต้องขออนุญาต ความกว้างขนาด 1,200MHz เพื่อแก้ปัญหาคลื่น 5GHz ที่เริ่มแน่นหนาตาม 2.4GHz แล้ว แบนด์วิธ 1,200MHz ทาง FCC แบ่งเป็นให้สามารถใช้งานกับอุปกรณ์ที่กินพลังงานต่ำภายในอาคารได้เต็ม 1,200MHz ส่วนการใช้งานอุปกรณ์มาตรฐานทั่วไปใช้ได้แค่ 850MHz Wi-Fi ความถี่ 6GHz จะถูกนำมาใช้งานในมาตรฐาน Wi-Fi 6E ที่มา - FCC via Android Police
# การร่วมมือครั้งสำคัญ สมาร์ททีวีซัมซุงสามารถใช้งาน Apple Music ได้แล้ว ถือเป็นการร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างซัมซุงและแอปเปิล เมื่อสมาร์ททีวีซัมซุงจะสามารถใช้งาน Apple Music ได้ด้วย ซึ่งถ้าไม่นับแพลตฟอร์มทีวี Apple TV แล้ว ซัมซุงถือเป็นทีวีเจ้าแรกที่แอปเปิลนำ Apple Music มาให้ใช้งานด้วย ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการร่วมมือกันนระหว่างสองแบรนด์ใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้ แอปเปิลจับมือซัมซุง ส่ง iTunes/AirPlay ลงสมาร์ททีวีซัมซุง สามารถซื้อหนังจาก iTunes และรองรับ Apple AirPlay 2 ด้วย ที่มา - ซัมซุง
# พนักงาน Amazon ที่ศูนย์สินค้านิวเจอร์ซีย์ติด COVID-19 แล้วกว่า 30 ราย Amazon พยายามยกระดับความปลอดภัยให้พนักงานที่จำเป็นต้องทำงานในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นตรวจวัดอุณหภูมิทุกวัน, เพิ่มอุปกรณ์ป้องกันเชื้อให้พนักงาน แต่สถานการณ์โรคระบาดในสหรัฐฯยังไม่ฟื้นฟูดีเท่าไรนัก เป็นเหตุให้มีรายงานพนักงาน Amazon ติดเชื้ออยู่เนืองๆ ล่าสุด Amazon ยืนยันผ่าน Business Insider แล้วว่ามีพนักงานกว่า 30 คนแล้วมี่ศูนย์สินค้านิวเจอร์ซีย์ ติด COVID-19 Timothy Carter โฆษก Amazon ระบุว่าทางบริษัทได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายการรักษาของแต่ละคน แต่ไม่ได้ระบุจำนวนคนป่วยที่แน่ชัดว่ามากกว่า 30 รายขนาดไหน พนักงานรายหนึ่งที่ศูนย์สินค้านิวเจอร์ซีย์ ซึ่งอยู่ห่างจากนิวยอร์กไม่มาก บอกว่า แต่ละวันจะได้รับข้อความจากบริษัท ยืนยันว่ามีพนักงานติดเชื้อเพิ่มเติม อาคารที่ทำงานตอนนี้ก็มีผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ราว 500 คน มาตรการ social distancing จึงเป็นเรื่องทำได้ยาก และยังมีมาตรการจ้างคนมาช่วยงานเพิ่มในช่วงนี้อีกด้วย เรื่องที่น่ากังวลอีกอย่างคือ มาตรการจ่ายเงินพนักงานเต็มจำนวนแม้ต้องกักตัวอยู่บ้านตามมาตรการล็อกดาวน์ จะมีอายุสิ้นสุดถึงแต่ 30 เมษายนนี้เท่านั้น รวมถึงค่าจ้างรายชั่วโมงเพิ่มขึ้น 2 เหรียญก็จะจบลงในวันเดียวกันด้วย ภาพจาก Amazon ที่มา - Business Insider
# Intel ไตรมาส 1/2020 เติบโตสูงทั้งจากลูกค้า Cloud และลูกค้า PC เพื่อใช้ทำงานที่บ้าน อินเทลรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ปี 2020 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 19,828 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 5,661 ล้านดอลลาร์ Bob Swan ซีอีโออินเทล กล่าวว่าโฟกัสสำคัญของอินเทลในไตรมาสที่ผ่านมา คือการดูแลพนักงานให้ปลอดภัย สนับสนุนซัพพลายเชน พาร์ทเนอร์ และยังส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้เป็นปกติ ท่ามกลางช่วงเวลาที่ท้าทายมากนี้ เขายังเสริมว่าเทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งที่จำเป็น และมีบทบาทในโลกตอนนี้มากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังระบุว่าอินเทลสามารถส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าได้ตามกำหนดเวลามากกว่า 90% กลุ่มสินค้าที่เกี่ยวกับข้อมูล (Data-centric) รายได้เพิ่มถึง 34% เฉพาะกลุ่มสินค้าศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้น 43% อินเทลยังเพิ่มเติมว่าถ้าดูเฉพาะลูกค้าผู้ให้บริการคลาวด์ รายได้ส่วนนี้โตถึง 53% ขณะที่กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับพีซี (PC-centric) รายได้เพิ่มขึ้น 14% จากความต้องการพีซีที่มากขึ้นเพื่อใช้ทำงานที่บ้าน ที่มา: อินเทล
# Instacart เปิดสมัครคนส่งของสดอีก 250,000 ตำแหน่ง ตั้งเป้าจะส่งของได้ภายในวันเดียว วงการส่งของสดเดือดมากในช่วงนี้ เพราะมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้เหลือช่องทางการซื้อของสดทางเดียวคือออนไลน์ เมื่อมีความต้องการสินค้าสูง ผู้ให้บริการส่งของสด Instacart จึงประกาศรับคนส่งเพิ่มอีก 250,000 คน จากเดิมที่ประกาศรับเพิ่มไปแล้ว 300,000 คนเมื่อเดือนมีนาคม โดยทางบริษัทตั้งเป้าว่า การมีคนมาเพิ่มจะช่วยให้บริษัทสามารถส่งของถึงลูกค้าได้ภายในวันเดียว แม้จะเป็นช่วงโรคระบาดก็ตาม Instacart ยังเพิ่มมาตรการความปลอดภัยและการคุ้มครองคนทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็น ยืดระยะเวลาจ่ายเงินเมื่อพนักงานต้องกักตัวดูอาการไปถึงเดือน พ.ค., ให้โบนัสเพิ่มทั้งพนักงานประจำและพาร์ทไทม์, ระบบเช็กอินผ่านแอปสำหรับคนทำงานเพื่อขอรับชุดป้องกันหรือ safety kits, การจ่ายเงินแบบ contactless หลีกเลี่ยงการสัมผัส เป็นต้น ก่อนที่ Instacart จะออกมาตรการความปลอดภัยก็โดนกลุ่มคนทำงานจ่อประท้วงหยุดงานไปก่อนหน้านี้ เพื่อเรียกร้องมาตรการความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ ภาพจาก Instacart ที่มา - TechCrunch
# เปิดตัว Amazon AppFlow บริการเชื่อมข้อมูล SaaS ค่ายอื่นกับ AWS แบบไม่ต้องเขียนโค้ด AWS ออกบริการตัวใหม่ชื่อ Amazon AppFlow มันเป็นการเชื่อมข้อมูลจากบริการ SaaS ยอดนิยมในท้องตลาด (เช่น Salesforce, ServiceNow, Slack, Zendesk, Google Analytics) กับบริการเก็บข้อมูลของ AWS เอง (ตอนนี้ยังรองรับเฉพาะ S3 กับ Redshift) โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเอง จุดเด่นของ Amazon AppFlow คือส่งข้อมูลระหว่าง SaaS กับ AWS ได้ทั้งส่งไปและส่งกลับ ต่างจากบริการพวก automation หลายๆ ตัวในท้องตลาดที่รองรับการดึงออกจาก SaaS เพียงอย่างเดียว AppFlow เข้ามาช่วยจัดการเรื่องการ map ข้อมูล การฟิลเตอร์ข้อมูล และรองรับการโอนถ่ายข้อมูลขนาดใหญ่ สูงสุด 100GB ส่วนวิธีคิดเงินแยกเป็นตามจำนวน flow (0.001 ดอลลาร์ต่อ flow) และค่าประมวลผลข้อมูลอีก 0.02 ดอลลาร์ต่อ GB ตัวอย่างการใช้งาน ดึงข้อมูลจาก Slack มายัง S3 โดย map field ด้วย คู่แข่งอย่าง Microsoft มีบริการคล้ายๆ กันมาก่อนแล้วคือ Power Automate ที่มา - AWS Blog
# Android 11 ออกรุ่นทดสอบ Developer Preview 3 รองรับ ADB ผ่าน Wi-Fi แล้ว Android 11 ออกรุ่นทดสอบสำหรับนักพัฒนา Developer Preview 3 (DP3) ตามแผนการออกรุ่นทดสอบใหม่ทุกเดือน ของใหม่ในรุ่นนี้มีแต่ของสำหรับนักพัฒนา ได้แก่ App Exit Reasons API นักพัฒนาสามารถเรียกดูข้อมูลว่าทำไมแอพของตัวเองถึงปิดตัวลง เพื่อให้ดีบั๊กแอพได้ง่ายขึ้น GWP-ASan เครื่องมือตัวใหม่ใช้ช่วยตรวจสอบปัญหาหน่วยความจำ heap memory error ADB Incremental แก้ปัญหาการติดตั้งไฟล์ APK ขนาดใหญ่ (2GB+) ผ่าน ADB ใช้เวลานาน ด้วยการติดตั้งเฉพาะส่วนที่จำเป็นให้แอพรันได้ก่อน แล้วค่อยโหลดข้อมูลที่เหลืออยู่เบื้องหลัง Wireless Debugging เครื่องมือตัวใหม่ที่รอกันมานานคือ ADB ผ่าน Wi-Fi สะดวกไม่ต้องเสียบสาย กูเกิลจะออก Android 11 Beta 1 สำหรับผู้ใช้ทั่วไปในเดือนพฤษภาคม และจะออกรุ่น Beta อีก 2 ตัวในระยะถัดไป ก่อนออก Android 11 ตัวจริงในไตรมาส 3 ตอนนี้ Android 11 DP3 เปิดให้ทดสอบแล้วกับมือถือตระกูล Pixel (Pixel 2 ขึ้นไป) และผ่าน Android Emulator ที่มา - Android Developers
# Gravitech เปิดตัวบอร์ด Cucumber R/RS ใช้ชิป ESP32-S2 รองรับแพลตฟอร์ม ESP Rainmaker Gravitech ผู้ผลิตบอร์ดพัฒนาไทย เปิดตัวบอร์ด Cucumber R/RS บอร์ดพัฒนา IoT ชิป ESP32-S2 โดยรุ่น R คือบอร์ดพัฒนาเปล่าๆ และรุ่น RS มาพร้อมเซ็นเซอร์ครบชุด ทั้ง อุณหภูมิ, ความชื้น, accelerometer 3 แกน, gyroscope, และความดันอากาศ ตัวบอร์ดฟีเจอร์คล้ายกับ ESP32-S2-Saola-1 ของ Espressif เอง แต่มีพอร์ต USB OTG เพิ่มมาให้ด้วยสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่ออุปกรณ์ USB สั่งจองล่วงหน้าได้แล้วบนเว็บ Gravitech เริ่มส่งสินค้าวันจันทร์ที่ 27 เมษายนนี้ Cucumber R ราคา 285 บาท แล Cucumber RS ราคา 405 บาท ที่มา - Gravitech
# Ubuntu 20.04 LTS ออกแล้ว: เน้น Snap มากกว่า apt, ถอด Python 2, รองรับ WireGuard Ubuntu 20.04 LTS Focal Fossa เปิดให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ นับเป็นเวอร์ชั่นซัพพอร์ตระยะยาวตัวที่ 8 นับจาก Ubuntu 6.06 เป็นต้นมา เวอร์ชั่นนี้ปรับซอฟต์แวร์ต้นน้ำ เช่น GNOME 3.36, เคอร์เนล Linux 5.4 LTS พร้อมพอร์ต WireGuard ใส่มาให้ รองรับซีพียูรุ่นใหม่ๆ หลายรุ่น รวมถึง RISC-V 64 บิต, สำหรับผู้ดูแลระบบ OpenSSH ปรับเป็นเวอร์ชั่น 8.2 ซึ่งรองรับกุญแจ U2F Python จะถูกปรับเป็น Python 3 ทั้งหมด และตัว Python 2.7 จะต้องติดตั้งผ่าน Universe เท่านั้น ภาษาโปรแกรมมิ่งอื่นอัพเดตเวอร์ชั่น เช่น PHP 7.4, Ruby 2.7 สำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์ เวอร์ชั่นนี้เมื่อพิมพ์คำสั่งที่ไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมไว้ จะได้รับคำแนะนำให้ติดตั้งผ่าน snap เป็นคำสั่งแรก และ apt เป็นทางเลือกรอง ผู้ที่ติดตั้งเวอร์ชั่น 32 บิตมาก่อนหน้านี้ จะไม่สามารถอัพเกรดได้อีกแล้ว ใช้ได้เพียง Ubuntu 18.04 เท่านั้น ที่มา - Ubuntu, It's FOSS, Phoronix
# เผยโลโก้ Xbox Series X จากเอกสารจดเครื่องหมายการค้าของไมโครซอฟท์ มีคนตาดีไปค้นเจอว่า ไมโครซอฟท์ไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า Series X แบบเงียบๆ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2020 ที่ผ่านมา โดยชนิดของสินค้าครอบคลุมวิดีโอเกม รวมถึงเสื้อผ้า แก้วน้ำ ของที่ระลึกต่างๆ ด้วย สถานะของเครื่องหมายการค้ายังเพิ่งเข้ามาในระบบ ยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ แต่ก็เผยให้เห็นโลโก้ของ Xbox Series X ที่เขียนคำว่า Series ในแนวตั้ง และตัวอักษร X มีช่องว่างตรงกลางด้วย ที่มา - USPTO, Reddit, Windows Central
# Bloomberg ยืนยันอีกราย Apple จะออก Mac รุ่นที่ใช้ซีพียู ARM ในปีหน้า สำนักข่าว Bloomberg ออกรายงานระบุว่า แอปเปิลมีแผนจะเปิดตัว Mac ที่ใช้ซีพียู ARM ที่ออกแบบและผลิตเอง ในปี 2021 หรือปีหน้า รายงานนี้สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ของนักวิเคราะห์ขาประจำ Ming-Chi Kuo ซึ่งต่อมาเขาระบุว่าหากแอปเปิลเลือกไปทิศทางนี้ จะลดต้นทุนซีพียูได้มากถึง 60% ข้อมูลระบุว่าซีพียูนี้จะนำมาใช้กับ Mac ทั้งหมด 3 รุ่น บนพื้นฐานเดียวกับซีพียู A14 ที่จะใช้ใน iPhone ของปีนี้ (iPhone 12?) มี 12 คอร์ คาดว่าจะให้ TSMC เป็นผู้ผลิต ทั้งนี้ Bloomberg ไม่ได้บอกว่าเราจะเห็นซีพียูที่แอปเปิลออกแบบเองนี้กับ Mac รุ่นใดก่อน แต่คาดว่าน่าจะเป็น MacBook ที่มา: Bloomberg ผ่าน MacRumors
# ช่องโหว่ใหม่ใน OpenSSL ถูกพบโดยตัววิเคราะห์โค้ดใน GCC 10 OpenSSL ออกแพตช์ความปลอดภัยเวอร์ชั่น 1.1.1g แก้ช่องโหว่ที่คนร้ายสามารถแครชเซิร์ฟเวอร์ได้จากระยะไกล โดยความพิเศษของการออกแพตช์ครั้งนี้คือ Bernd Edlinger ผู้รายงานช่องโหว่พบช่องโหว่จากระบบวิเคราะห์โค้ดของ GCC 10 GCC 10 เป็นเวอร์ชั่นต่อไปของ GCC ที่เพิ่งหยุดพัฒนาฟีเจอร์ใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยเวอร์ชั่นเสถียรตัวแรก น่าจะเป็น 10.1 ที่น่าจะออกภายในเดือนเมษายนนี้ หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือ -fanalyzer ที่วิเคราะห์โค้ดหาช่องโหว่ความปลอดภัยไปด้วยระหว่างคอมไพล์ ฟีเจอร์นี้ทำให้ GCC แจ้งเตือนได้ว่ามีการใช้หน่วยความจำที่คืนไปแล้ว หรือโค้ดทำหน่วยความจำรั่วไหล โดยผู้พัฒนาฟีเจอร์นี้คือ David Malcolm จาก Red Hat ที่ระบุว่าการมีระบบวิเคราะห์ความปลอดภัยโค้ดอยู่ในคอมไพล์เลอร์โดยตรงนั้นจะเพิ่มความสะดวกในการหาช่องโหว่แทนที่จะต้องหาซอฟต์แวร์วิเคราะห์โค้ดแยก ช่องโหว่มีความร้ายแรงระดับสูงแต่กระทบเฉพาะเวอร์ชั่น 1.1.1d, 1.1.1e, และ 1.1.1f เท่านั้น ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบแพ็กเกจและอัพเดตเมื่อลินุกซ์ดิสโทรที่ใช้ปล่อยแพ็กเกจออกมา ที่มา - The Register ตัวอย่างโค้ดที่ GCC 10 จะแจ้งเตือนว่าโค้ดผิดพลาดได้
# สารพัดปัญหาก็บ่ยั่น Zoom มีผู้ใช้รายวันทะลุ 300 ล้านแล้วแม้มีปัญหาความปลอดภัย แม้ Zoom จะถูกรุมเร้าด้วยสารพัดปัญหาด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว จนบริษัทใหญ่สารพัดสั่งแบนการใช้งาน แต่ก็ไม่ได้กระทบผู้ใช้งาน Zoom แถมกลับเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพื่อต้นเดือนที่ผ่านมา Zoom ออกมาบอกว่ามีจำนวนคนใช้รายวันที่ 200 ล้านคน ก่อนที่ล่าสุด Zoom จะอัพเดตในบล็อกรายงานความคืบหน้าด้านความปลอดภัย ระบุว่ามีผู้ใช้งานรายวันทะลุ 300 ล้านคนแล้ว แม้มีปัญหาสารพัดแต่จำนวนผู้ใช้งานยังเพิ่มขนาดนี้ หลังจากนี้ที่การแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยของ Zoom มีความคืบหน้า ขึ้นเรื่อย ๆ ก็คาดว่าจำนวนผู้ใช้ไม่น่าจะลดลงไปกว่านี้จนกว่าจะจบวิกฤตนี้ ที่มา - Zoom Blog
# Magic Leap ประกาศปลดคนทุกระดับจากพิษ COVID-19 แม้เราอาจจะยังไม่ได้เห็นบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 จนถึงขนาดปลดคนมากนัก แต่ไม่ใช่กับ Magic Leap ผู้ผลิตแว่นตา Mixed Reality ที่ทุลักทุเลกว่าจะออกรุ่นแรกได้ ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก และล่าสุดก็ประกาศปลดพนักงานแล้วจากพิษ COVID-19 Rony Abovitz ซีอีโอของ Magic Leap โพสต์ประกาศปลดคนออกในทุกระดับ ตั้งแต่พนักงานที่ขึ้นตรงกับตัวเองไปจนถึงพนักงานโรงงาน โดยไม่ได้ระบุจำนวนและให้เหตุผลเอาไว้ว่า เพื่อให้บริษัทอยู่รอดในระยะยาว จากปัญหาทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ทำให้บริษัทหาเงินสดเข้ามายากขึ้น (ทั้งจากการขายของและการดึงดูดนักลงทุน) Abovitz บอกด้วยว่าบอร์ดและนักลงทุนของ Magic Leap ยังคงเชื่อมั่นศักยภาพของสิทธิบัตรที่บริษัทมีในระยะยาว แต่ปัจจุบัน Magic Leap หารายได้จากการขายผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้ฝั่งองค์กรเป็นหลัก ที่มา - Magic Leap via GameIndustry.biz
# Facebook จะเริ่มแสดงประเทศที่ตั้งของเพจ Facebook และ Instagram ในทุกโพสต์ ปัญหาเรื่องการใช้ช่องทางโซเชียลปล่อยข่าวปลอมเพื่อหวังผลทางการเมือง ทำให้บริการโซเชียลตื่นตัวเรื่องนี้มากขึ้น ก่อนหน้านี้ Facebook มีมาตรการหลายอย่าง เช่น ให้แอดมินเพจต้องยืนยันตัวตนว่าอยู่ประเทศไหน ล่าสุด Facebook ขยับไปอีกขั้น โดยจะแสดงประเทศที่ตั้งของเพจในทุกโพสต์ด้วย เพื่อเพิ่มความโปร่งใสให้กับผู้ที่เห็นโพสต์ ว่าแอดมินเพจมาจากประเทศอะไรบ้าง การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลกับเพจ Facebook และบัญชี Instagram ที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก โดยจะเริ่มแสดงให้ผู้ใช้ Facebook/Instagram ในสหรัฐอเมริกาเห็นก่อน จากนั้นจะค่อยๆ ขยายผลไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป จากภาพตัวอย่าง เป็นโพสต์ที่ระบุว่าแอดมินเพจอยู่ในประเทศบราซิล ที่มา - Facebook
# ASUS เปิดตัว TUF Gaming A15 โน้ตบุ๊กเกมมิ่ง Ryzen 7 4800H ราคา 32,990 บาท Asus เปิดตัว TUF Gaming A15 (FA506IU-HN174T) โน้ตบุ๊กเกมมิ่งตัวแรกในไทยที่ใช้ซีพียู Ryzen 7 4800H 8 คอร์ 16 เธรด สถาปัตยกรรม 7 นาโนเมตร มาพร้อมคีย์บอร์ด RGB backlight การ์ดจอ GTX 1660Ti 6GB GDDR6 หน้าจอ 144Hz และเทคโนโลยี Adaptive Sync มีสเปกแบบละเอียดดังนี้ ซีพียู Ryzen 7 4800H 2.9GHz บูสต์ได้ถึง 4.2GHz แรม 8GB DDR4 3200MHz ใส่เพิ่มได้ถึง 32GB ฮาร์ดดิสก์ SSD แบบ M.2 NVMe PCIe ขนาด 512GB ใส่เพิ่มได้ถึง 1TB Wi-Fi 5, Bluetooth 5.0 พอร์ตเชื่อมต่อ Audio Jack Combo (หูฟัง+ไมค์ในตัว) x1, HDMI 2.0b x1, USB 3.2 Gen 1 x2, USB 3.2 Gen 2 Type C (รองรับ Displayport 1.4 ในตัว) x1, RJ45 (LAN) x1, USB 2.0 x1, Kensington Lock x1 แบตเตอรี่ 48Wh + ที่ชาร์จ 180W ASUS TUF Gaming A15 (FA506IU-HN174T) วางจำหน่ายในวันที่ 23 เมษายน ในราคา 32,990 บาท ที่มา - จดหมายประชาสัมพันธ์
# ผู้บริหาร AMD เผยจะไม่ได้เห็น Ryzen 4000 คู่ RTX 2070 / 2080 บนแล็บท็อปเกมมิ่ง AMD เปิดตัวซีพียูตระกูล Ryzen 4000 ที่ใช้แกน Zen 2 สำหรับโน้ตบุ๊กเกมมิ่งออกมาเพื่อท้าชน Intel โดยเฉพาะหลังจากที่ฝั่งเดสก์ท็อปแซงหน้าไปแล้ว ถึงแม้คะแนนรีวิวของซีพียู Ryzen 4000 ดังกล่าวจะออกมาค่อนข้างดีโดยเฉพาะการทำมัลติเธรด ทว่า Frank Azor หัวหน้าฝ่ายสถาปนิกโซลูชันเกมมิ่งของ AMD ก็ออกมาดับฝันแฟน ๆ Ryzen ว่าคงไม่ให้เห็น Ryzen 4000 คู่กับการ์ดจอตัวท็อปของ NVIDIA อย่าง RTX 2070 Max-Q และ RTX 2080 Max-Q แน่นอนอย่างน้อยก็ในอีกซักระยะหนึ่ง (สูงสุดตอนนี้คือ RTX 2060 Max-Q อย่างบน Zephyrus G14) และเมื่อถูกถามว่าทำไม Azor ก็บอกว่าให้ไปถาม OEMs เอาเอง (เพื่อสื่อว่าเป็นการตัดสินใจของ OEMs ไม่เกี่ยวกับ AMD) นอกจากนี้ Azor ยังบอกด้วยว่าตัว Ryzen 4000 เองก็ถูกฝั่ง OEMs วางตัวเอาไว้ใช้งานกับแล็บท็อปเกมมิ่งระดับกลางเท่านั้น เท่ากับว่าแล็บท็อปเกมมิ่งระดับท็อปจะมีเฉพาะชิปเซ็ต Intel เท่านั้น (อาจเป็นเพราะฝั่ง Intel ที่ดีลเอาไว้กับ OEMs ด้วย) ที่มา - @AzorFrank (1, 2) via NotebookCheck
# Google Shopping เตรียมเปิดให้ร้านนำสินค้ามาแสดงในแท็บฟรี ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา Google ประกาศการเปลี่ยนแปลงสำคัญใน Google Shopping จากเดิมที่ร้านค้าและแบรนด์ ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้ Google เพื่อให้สินค้าแสดงผลในแท็บ Google Shopping และบริการค้นหาอื่นๆ ของ Google ล่าสุด Google ประกาศให้ร้านค้านำสินค้ามาลงได้ฟรี เริ่มต้นที่สหรัฐฯก่อนขยายไปยังทั่วโลกภายในปีนี้ เท่ากับว่าผู้ใช้งานที่เข้ามาค้นหาสินค้าในแท็บ Google Shopping จะได้เห็นสินค้าหลากหลายแบรนด์มากขึ้นกว่าเดิม และผู้ขายก็มีโอกาสนำสินค้าของตัวเองมาให้คนเห็นมากขึ้นโดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา Bill Ready ผู้ดูแลฝ่ายอีคอมเมิร์ซของ Google ระบุว่าจริงๆ ตั้งใจจะพัฒนาฟีเจอร์นี้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่พอมีโรคระบาด สถานการณ์บังคับให้ทุกคนต้องซื้อของออนไลน์ ทำให้ฟีเจอร์นี้ออกมาเร็วขึ้น โดยมีผลตั้งแต่ 27 เมษายนเป็นต้นไป เริ่มที่สหรัฐฯ และจะมีผลในแท็บ Google Shopping ทั่วโลกใน 2-3 เดือนข้างหน้า ส่วนแบรนด์ที่ใช้งานโฆษณา Google Shopping อยู่แล้ว ก็สามารถเพิ่มสินค้าได้ฟรีเลย ส่วนผู้ใช้รายใหม่ของ Merchant Center ทาง Google ระบุว่าจะปรับปรุงประสบการณ์การสมัครใช้งานให้ได้ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้ ที่มา - Google Blog, The Verge
# พบช่องโหว่แอป Mail บน iOS เปิดทางแฮกเกอร์อ่านเมลในเครื่อง, คาดใช้โจมตีบุคคลสำคัญแล้วหลายครั้ง บริษัทความปลอดภัยอุปกรณ์เคลื่อนที่ ZecOps รายงานถึงช่องโหว่ของแอป Mail บน iOS เปิดทางให้แฮกเกอร์ส่งเมลที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อไปรันโค้ดโจมตีบนอุปกรณ์ โดยช่องโหว่นี้ทำให้แฮกเกอร์สามารถอ่านเมลในเครื่อง ตลอดจนแก้ไขหรือสั่งลบอีเมลได้ ตัวช่องโหว่เองจำกัดการโจมตีเฉพาะแอป Mail แต่ทาง ZecOps คาดว่าตอนคนร้ายโจมตีจริง น่าจะใช้ช่องโหว่เคอร์เนลร่วมด้วย เพื่อรันโค้ดในระดับลึกกว่านี้ โดยทาง ZecOps พบว่ามีบุคคลสำคัญถูกโจมตีแล้วหลายคน เช่น ผู้บริหารเครือข่ายโทรศัพท์ในญี่ปุ่น, บุคคลสำคัญในเยอรมัน, หรือนักข่าวในยุโรป บน iOS 13 โค้ดโจมตีทำงานทันทีเมื่อเมลไปถึงเครื่องของเหยื่อ แต่บน iOS 12 เหยื่อจะต้องคลิกอ่านอีเมลเสียก่อน หรือหากแฮกเกอร์ควบคุมอีเมลเซิร์ฟเวอร์ได้ก็ไม่ต้องคลิกเช่นกัน โดยช่องโหว่กระทบ iOS 6 ขึ้นไป แอปเปิลกำลังทดสอบแพตช์ iOS 13.4.5 ซึ่งแก้ช่องโหว่นี้แล้ว ที่มา - ZecOps, BleepingComputer
# [วิเคราะห์] 2020 สมาร์ทโฟนรุ่นกลางผงาด หรือจะถึงยุคปิดตลาดสมาร์ทโฟนเรือธง? สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของโลกตั้งแต่ปีที่แล้ว จนถึงวิกฤต COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกกำลังดิ่งจนไม่รู้จะดีขึ้นเมื่อไร พาให้และยอดขายสมาร์ทโฟนราคาแพงๆ ลดตามไปด้วย แต่สมาร์ทโฟน “เรือธง” ก็ยังมีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนกระแสเศรษฐกิจอยู่ จนน่าสงสัยว่าจะแพงขึ้นไปถึงไหน Samsung Galaxy S20 Ultra เริ่มต้นที่ราคา 31,900 บาท, Huawei P40 Pro เริ่มต้นที่ 31,900 บาท OnePlus 8 Pro ที่เปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ และยังไม่มีราคาในไทย เริ่มต้นที่ 899 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 29,300 บาท (ราคาไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 31,900 บาท) และ OPPO Find X2 Pro 5G ก็ราคาพุ่งแรงไปถึงหลักสี่หมื่น ที่ 40,990 บาทแล้ว เรือธงแพงชิป สาเหตุหนึ่งที่สมาร์ทโฟนเรือธงฝั่งแอนดรอยด์มีราคาสูงขึ้นอีกในปีนี้ อาจจะมาจากนโยบายผลักดันเทคโนโลยี 5G ของ Qualcomm ที่บังคับให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ต้องการใช้ชิป Snapdragon 865 ต้องพ่วงชิปโมเด็ม X55 ไปในมือถือด้วย ทำให้ดีไซน์ของเมนบอร์ดซับซ้อนขึ้น ตัวเครื่องมีน้ำหนักมากขึ้นแล้ว และมีต้นทุนสูง นอกจากนี้ยังมีข่าวลือที่ว่า Google และ LG อาจตัดสินใจไม่ใช้ชิป Snapdragon 865 แต่หันมาใช้ชิปตัวรองลงมาอย่าง Snapdragon 765G แทน เพื่อลดทั้งความซับซ้อนในการผลิต และคุมราคาไม่ให้แพงเกินไป ซึ่งอาจเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่าเพราะทั้ง Pixel 4a ของ Google และ Velvet สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ LG ก็ถูกคาดการณ์ว่าจะเปิดตัวในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งดูทีท่าแล้ว วิกฤต COVID-19 อาจจะยังไม่คลี่คลายดีนัก ขาลงของเรือธง ขาขึ้นของรุ่นกลาง เรือธงยุคปัจจุบันถือว่าพัฒนาจนมาเกือบสุดทางแล้ว ดีไซน์และฟังก์ชั่นของสมาร์ทโฟนเรือธงปีนี้ ไม่มีอะไรออกมาให้ว้าวเท่าไร กล้องหน้าแบบซ่อนใต้หน้าจอก็ยังพัฒนาไม่สำเร็จ สแกนลายนิ้วมือใต้จอส่วนใหญ่ก็ยังเป็นแบบ Optical ความแตกต่างของเรือธงปีนี้กับปีที่แล้ว จึงมีเพียงชิปใหม่ รองรับ 5G ใช้หน้าจอรีเฟรชเรตสูงขึ้น หรือไปแข่งกันเพิ่มจำนวนกล้อง เพิ่มขนาดเซ็นเซอร์ หรือ Optical Zoom ให้ซูมได้ไกลขึ้น ที่ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ได้สนใจขนาดนั้น และไม่ดึงดูดใจให้คนต้องซื้อมือถือใหม่สักเท่าไร เมื่อบวกกับวิกฤต COVID-19 และปัญหาเศรษฐกิจ ยอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลก ก็ลดลงไปถึง 38% จากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว และมีแนวโน้มจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคต้องคิดหนักกันมากขึ้นในการซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นแพงๆ สักเครื่อง กลับกันในปีที่แล้วแบรนด์ Realme ที่เน้นขายสมาร์ทโฟนรุ่นกลางถึงล่างก็เติบโตถึง 263% และกลายเป็นแบรนด์มือถืออันดับ 7 ของโลก ทำยอดขายในมาเลเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้มากกว่า 865% เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว และบริษัทวิจัยตลาด IDC ก็เผยข้อมูลว่า Realme กลายเป็นแบรนด์มือถือที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 4 ในอินเดีย ในช่วงไตรมาสที่สามของปีที่แล้วอีกด้วย ภาพจาก IDC ไปทางไหนต่อดี? หลายๆ บริษัทเริ่มเห็นขาลงของสมาร์ทโฟนราคาแพงมาสักพักแล้ว แม้แต่ Apple ที่หลังจาก iPhone XS ที่เปิดตัวในราคา 999 เหรียญสหรัฐ (ราคาวางจำหน่ายในไทย 39,900 บาท) ทำยอดขายได้ไม่ถึงเป้าหมาย ปีที่แล้ว Apple เลยเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ iPhone 11 ให้มีรุ่นเล็ก ราคาเริ่มต้นที่ 699 เหรียญสหรัฐ (ราคาวางจำหน่ายในไทย 24,900 บาท) และเพิ่มคำว่า Pro ไว้ในรุ่นที่สูงขึ้นไป ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ล่าสุด Apple เพิ่งเปิดตัว iPhone SE รุ่นเล็กสุดที่ราคา 399 เหรียญสหรัฐ (14,900 บาท) กลายเป็นว่าปีนี้ แอปเปิลมี iPhone รุ่นใหม่ที่ราคาถูกกว่าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์หลายๆ รุ่นไปแล้ว (ถูกกว่า Xiaomi Mi 10 ราคา 18,900 บาทซะอีก!) ฝั่งของซัมซุงก็ใช้ยุทธศาสตร์คล้ายๆ กันคือ หันมาออกมือถือเรือธงรุ่น Lite อย่าง S10 Lite หรือ Note 10 Lite รวมถึงหันมาเน้นมือถือรุ่นระดับกลาง เช่น Galaxy A71 ราคา 13,990 บาท ที่ผู้เขียนเพิ่งรีวิวไป หรือ A51 ที่ราคา 10,490 นอกจากนี้เรายังเห็นซัมซุงเริ่มอัดโปรโมชั่นเรือธงอย่าง Galaxy S20 มากขึ้น เช่น Galaxy S20 พ่วงกับไมโครเวฟ หรือการออกแคมเปญ Buy & Try ซื้อมือถือรุ่นเรือธงไปใช้ 7 วัน หากไม่พอใจยินดีรับซื้อคืนในราคาเต็ม มือถือเรือธงในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 อย่าง Galaxy Note 20, Huawei Mate 40, iPhone 12, Pixel 5 อาจต้องลุ้นให้วิกฤตไวรัสครั้งนี้ผ่านไปเร็วๆ และเอาใจช่วยให้เศรษฐกิจโลกกลับมาสู่สภาวะปกติ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตามกำลังซื้อโดยรวมที่ลดลง อาจทำให้คนหันไปซื้อสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ราคาเป็นมิตรแต่ฟังก์ชั่นครบถ้วนพอใช้ แทนสมาร์ทโฟนเรือธงที่มีราคาแพงจนเกินไป
# HBO Max สตรีมมิ่งใหม่จาก WarnerMedia ได้วันเปิดตัวแล้วเป็น 27 พ.ค. HBO Max สตรีมมิ่งรายใหม่จากค่ายใหญ่ WarnerMedia ที่จะเปิดมาท้าชนในสงครามสตรีมมิ่งได้วันเปิดตัวที่แน่นอนแล้ว เป็นวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ ด้วยราคา 14.99 เหรียญ หรือราว 485 บาท HBO Max ในวันแรกที่เปิดตัวจะมีคอนเทนต์ออริจินัลหรือ Max Originals เช่น Love Life ซีรีส์คอเมดี้, สารคดี On the Record ที่ได้ฉายในงานซันแดนซ์, Legendary; Craftopia เกี่ยวกับการแข่งเต้น, การ์ตูน Looney Tunes Cartoons, รายการวาไรตี้ Not Too Late Show with Elmo เป็นต้น คอนเทนต์เรือธงของ HBO Max ยังมีซีรีส์ที่ได้ลิขสิทธิ์มาอย่าง Friends, The Big Bang Theory, South Park, หนังทุกเรื่องจาก Studio Ghibli, หนังจาก Warner Bros., New Line และ DC รวมถึงเนื้อหาจากบริษัทแม่ WarnerMedia ไม่ว่าจะเป็นช่อง CNN, TNT, TBS, truTV, Turner Classic Movies, Cartoon Network, Cartoon Swim, Adult Crunchyroll, Rooster Teeth และ Looney Tunes ยังไม่นับรวมซีรีส์ออริจินัลจาก HBO อย่าง Westworld, Big Little Lies, Game of Thrones, Sex and the City, Veep, The Wire, Curb Your Enthusiasm, Insecure, Succession, Watchmen, Barry, Euphoria, The Jinx, The Sopranos ผู้ที่ใช้งาน HBO Now อยู่แล้วจะได้ใช้งาน HBO Max โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม (ราคารายเดือน HBO Now อยู่ที่ 14.99 เหรียญ) ส่วนผู้ใช้งาน HBO ที่สมัครผ่าน AT&T ก็จะได้รับการอัพเกรดเป็น HBO Max ด้วยเช่นกัน อ่านบทความย้อนหลังความแตกต่างระหว่าง HBO GO, HBO Now และ HBO Max ได้ ที่นี่ ที่มา - Variety, HBO
# Messenger Kids แอปแชทสำหรับเด็กเปิดให้ดาวน์โหลดอีก 75 ประเทศ มีไทยด้วย Messenger Kids แอปแชทสำหรับเด็ก เหมาะกับเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ที่สร้างโดย Facebook เปิดให้ดาวน์โหลดเพิ่มในอีก 75 ประเทศ รวมไทยด้วย ฟีเจอร์เด่นของ Messenger Kids ให้ผู้ปกครองควบคุมเวลาการใช้งานแชท, คอยคุ้มกันลูกๆ ให้ไม่คุยกับคนแปลกหน้าไม่น่าไว้ใจ นอกจากนี้ยังมีทางเลือก opt-in ใหม่ 3 ทางสำหรับผู้ใช้งาน ดังนี้ Supervised Friending ให้อิสระแก่เด็กๆ ในการเลือกรับ หรือลบเพื่อนมากขึ้น จากเดิมที่เป็นอำนาจของผู้ปกครองเท่านั้นที่ทำได้ อย่างไรก็ตาม กิจกรรมการเพิ่มเพื่อน ลบเพื่อนก็จะยังอยู่ในความควบคุมของผู้ปกครองผ่านแดชบอร์ด Parent Dashboard Connecting Kids Through Groups ผู้ปกครองสามารถดึงบัญชีใช้งานของลูกเข้ากลุ่มแชทที่มีคุณครูอยู่ด้วยได้ เป็นประโยชน์ในการเรียนการสอน ฟีเจอร์นี้ยังใช้งานได้เฉพาะในสหรัฐฯ ก่อน ให้ชื่อและรูปโปรไฟล์ของเด็กๆ มองเห็นได้สำหรับเพื่อนที่อยู่ในรายชื่อติดต่อของลูกๆ รวมถึงลูกๆ ของเพื่อนผู้ใช้งานรายอื่นที่พ่อแม่รู้จัก ฟีเจอร์นี้เริ่มใช้งานได้ใน สหรัฐ, แคนาดาและละตินอเมริกา ที่มา - Engadget, Facebook
# Google Cloud รองรับ Anthos บน AWS เต็มรูปแบบ, เพิ่มฟีเจอร์จัดการ VM Google Cloud ประกาศอัพเดตฟีเจอร์ที่ Anthos รองรับ โดยฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ AWS ที่เข้าสู่สถานะ GA มีการซัพพอร์ตเต็มรูปแบบแล้ว ส่วน Azure นั้นยังอยู่ในสถานะพรีวิว Anthos เป็นชุดบริการหลายส่วน แต่ส่วนสำคัญสองส่วน คือ Athos GKE on-prem สำหรับการติดตั้ง Kubernetes ในองค์กรเอง และ Multi-cluster management ระบบจัดการคลัสเตอร์ทั้งภายในและภายนอก Google Cloud ฟีเจอร์อีกส่วนที่ขยายขึ้นมาคือการจัดการคอนฟิกที่รองรับ virtual machine บน Google Cloud เพื่อลดการคอนฟิกด้วยมือ ขณะที่ Anthos Service Mesh ก็เตรียมจะซัพพอร์ตแอปพลิเคชั่นบน virtual machine ด้วยเช่นกัน ฟีเจอร์สุดท้ายที่กูเกิลประกาศมาพร้อมกัน คือ Athos จะรันบนเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ต้องมีระบบ hypervisor ใดๆ ทำให้องค์กรสามารถติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ปลายทางโดยได้ประสิทธิภาพเครื่องเต็ม ไม่ต้องเสีย overhead อีก ฟีเจอร์นี้จะปล่อยให้ใช้งานภายในปีนี้ ที่มา - Google Cloud Blog
# Spotify เพิ่มปุ่มให้แฟนๆ สมทบทุนสนับสนุนศิลปินในช่วงโรคระบาดได้ ธุรกิจดนตรีคือหนึ่งในอุตสาหกรรมที่รับแรงกระแทกหนักมากจากวิกฤต COVID-19 การจัดคอนเสิร์ตคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ล่าสุด Spotify เพิ่มช่องทางให้แฟนๆ สามารถสนับสนุนศิลปินเป็นเงินได้ โดยกดปุ่ม Fundraising Picks ที่อยู่ใต้รูปโปรไฟล์ศิลปินเพื่อบริจาค เบื้องต้นยังมีศิลปินไม่กี่รายที่ได้ปุ่มนี้ เช่น Tyrese Pope, Boy Scouts, Benjamin Ingrosso และ Marshmello นอกจากนี้ยังเปิดใช้งานบนมือถือเท่านั้น ไม่รวมแอปพลิเคชั่นบนเดสก์ทอป และเว็บไซต์ เมื่อกดปุ่ม Fundraising Picks ระบบจะพาไปยังหน้าเว็บองค์กรไม่แสวงหากำไร และเลือกจำนวนเงินที่จะบริจาคได้ รองรับ GoFundMe และ PayPal.me โดยเงินไม่ได้เข้ากระเป๋าศิลปินคนใดคนหนึ่ง แต่เข้าองค์กรที่ทำงานเพื่อดนตรีโดยตรงเพื่อผ่อนคลายความทุกข์ยากของนักดนตรีโดยรวม เลือกได้ว่าจะบริจาคครั้งเดียว หรือบริจาคเป็นรายเดือนไปเรื่อยๆ ที่มา - Engadget
# โมโตโรลาเปิดตัวเรือธง Motorola Edge+ และ Motorola Edge ดีไซน์ไร้ขอบตามยุคสมัย ห่างหายไปจากสารบนสมาร์ทโฟนเรือธงอยู่หลายปี ในที่สุดโมโตโรลาก็กลับมาแล้วกับ Motorola Edge Plus และ Motorola Edge ในดีไซน์จอโค้งไร้ขอบตามสมัยนิยม คล้ายกับดีไซน์ของ Oppo/Vivo รุ่น Motorola Edge Plus ตัวท็อปหน้าจอ 6.7 นิ้ว OLED ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 90Hz ชิปเซ็ต Snapdragon 865 แรม 12GB ความจุ 256GB รองรับ 5G คลื่น mmWave และ sub-6GHz แบตเตอรี่ให้มา 5,000mAh พร้อมรองรับชาร์จไร้สาย กล้องหลัง 3 ตัว กล้องหลัง 108 ล้านพิกเซล (ถ่ายมาเป็น quad pixel ที่ขนาด 27 ล้านพิกเซล) ถ่ายวิดีโอได้ 6K กล้องเทเล 8 ล้านพิกเซล ซูมออพติคับได้ 3x และอัลตร้าไวด์ 16 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมโหมดมาโครในตัว และเซ็นเซอร์ ToF ส่วนกล้องหน้า 25 ล้านพิกเซล ราคา 999 เหรียญ เริ่มวางจำหน่ายเดือนหน้าในสหรัฐ, ยุโรป, UAE, ซาอุดิอาระเบีย, อินเดียและละตินอเมริกา ส่วน Motorola Edge ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 765 แรม 4GB ความจุ 128GB กล้องหลัง 3 ตัว กล้องหลัง 64 ล้านพิกเซล เลนส์เทเล 8 ล้านพิกเซล ออพติคัลซูม 2x ไม่มี OIS และเลนส์อัลตร้าไวด์ 16 ล้านพิกเซล (ไม่บอกความละเอียดกล้องหน้าซะงั้น) แบตเตอรี่ 4,500mAh ไม่มีชาร์จไร้สาย รองรับ 5G เฉพาะคลื่น sub-6GHz ราคา 699 ยูโร ขายเดือนหน้าในอิตาลีและยูโรปก่อนขยายไปละตินอเมริกาและเอเชียแปซิฟิกต่อไป ที่มา - Motorola Blog
# กูเกิลอัพเดต YouTube ให้แบ่งเป็นสองจอรองรับพอดีกับ Galaxy Z Flip กูเกิลอัพเดต YouTube ให้แบ่งเป็นสองจอรองรับพอดีกับ Galaxy Z Flip เมื่อพับมือถือให้เป็นทรงตลับแป้ง ตัว YouTube จะแบ่งเป็นสองส่วน ด้านบนเป็นจอคลิปวิดีโอ รองรับวิดีโอได้ทุกสัดส่วนทั้ง 16:9, 1:1 และวิดีโอแบบแนวตั้งหรือ vertical ส่วนจอด้านล่างเป็นคำอธิบายใต้คลิป และคอมเม้นท์ ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้งานดูคลิปได้ไม่ติดขัด ไม่ถูกรบกวนจากการพับมือถือ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประสบการณ์ดูคลิปบน Galaxy Z Flip ในโหมดตลับแป้งยังมีขนาดจอที่เล็ก ไม่จุใจเท่าที่ควร ที่มา - Engadget, Samsung
# COVID-19 ช่วยดัน K PLUS ไตรมาส 1/2563 จำนวนธุรกรรมโต 8%, ผู้ใช้เพิ่มวันละหมื่นราย ธนาคารกสิกรไทย เผยสถิติผู้ใช้งานแอพ K PLUS ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 จำนวนธุรกรรม 700 ล้านรายการ เติบโตขึ้น 8% จากไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 จากปัจจัย COVID-19 โครงการ "เราไม่ทิ้งกัน" ทำให้คนสมัครใช้ K PLUS เพิ่มขึ้นวันละเกือบ 10,000 ราย, 80% เป็นการเปิดบัญชีออนไลน์ครั้งแรกผ่าน K PLUS ฟีเจอร์ที่มีปริมาณการใช้งานสูงขึ้น ได้แก่ โอนเงิน, ซื้อประกัน, เติมเงิน e-wallet, K+ Market เป้าหมายของธนาคารกสิกรไทยในปี 2563 คือเพิ่มผู้ใช้งาน K PLUS เป็น 15 ล้านราย (เติบโต 24% จากปี 2562) และมียอดทำธุรกรรมทุกประเภท 11,600 ล้านรายการ (เติบโต 37%) นอกจากนี้ ธนาคารยังจะขยาย KBank Service ผ่านตัวแทนธนาคาร (banking agents) ให้ครบ 100,000 จุดทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2563 ด้วย โดยตอนนี้มีตัวแทนแล้ว 19 ราย เช่น 7-Eleven, Big C, Kerry Express, Amazon, Jiffy, ไปรษณีย์ไทย เป็นต้น ที่มา - ธนาคารกสิกรไทย
# AWS เปิดศูนย์ข้อมูลใน Cape Town ประเทศแอฟริกาใต้ให้ใช้งานแล้ว เป็น Region แรกในแอฟริกา AWS เคยประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2018 ว่าจะเปิดศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ในแอฟริกา และวันนี้ทาง AWS ก็ได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูลแห่งนี้อย่างเป็นทางการแล้ว โดยใช้ชื่อ AWS Region ว่า Africa (Cape Town) และใช้ชื่อ API ว่า af-south-1 สำหรับศูนย์ข้อมูล AWS Region Africa (Cape Town) แห่งนี้ถือเป็นศูนย์ข้อมูลแห่งที่ 23 ของ AWS และเป็นศูนย์ข้อมูลแห่งแรกในแอฟริกา โดยมี Availability Zone ทั้งหมด 3 แห่ง ซึ่งบริการหลัก ๆ ของ AWS ใน Africa (Cape Town) พร้อมใช้งานแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลูกค้า AWS สามารถเลือกดีพลอยโดยใช้ AWS Region แห่งใหม่นี้ได้ทันที ที่มา - AWS Blogs ภาพจาก Pixabay
# Zoom ออกเวอร์ชัน 5.0 ปรับปรุงความปลอดภัยครั้งใหญ่ เข้ารหัสแบบ AES 256-bit GCM Zoom ประกาศออกอัพเดตไคลเอนต์เวอร์ชัน 5.0 เน้นยกเครื่องระบบความปลอดภัย ตามนโยบายที่ประกาศไว้ว่า 90 วันจะไม่ทำอย่างอื่นเลย Zoom 5.0 ยังเป็นก้าวแรกของการปรับปรุงระบบความปลอดภัยตามแผน ของใหม่ที่เพิ่มเข้ามาได้แก่ รองรับการเข้ารหัสแบบ AES 256-bit GCM ที่แข็งแรงขึ้น โดยทั้งระบบจะเปลี่ยนมาใช้ GCM ในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ เลือกศูนย์ข้อมูลที่ให้วิดีโอวิ่งผ่านได้ (data routing control) จัดเมนู Security ใหม่ให้มารวมอยู่ในปุ่ม Security (รูปโล่) ระหว่างการประชุม เพื่อให้โฮสต์สามารถล็อคห้องประชุม ควบคุมการแชร์หน้าจอ เตะคนออกจากห้องประชุมได้สะดวก โฮสต์สามารถ report ผู้เข้าร่วมประชุมได้ และบังคับห้ามเปลี่ยนชื่อตัวเองระหว่างการประชุมได้ เปิดใช้ฟีเจอร์ Waiting Room และ Meeting Password เป็นดีฟอลต์ เพิ่มความซับซ้อนของรหัสผ่าน ที่มา - Zoom Blog
# Google Meet แสดงหน้าเพื่อนร่วมประชุมเป็น 16 คนพร้อมกัน, เพิ่มระบบตัดเสียงรบกวน Google Meet ทยอยอัพเดตฟีเจอร์ใหม่ต่อเนื่อง ล่าสุดเพิ่มหน้าจอพูดคุยตอนประชุม (tiled layout) เป็น 4x4 หรือ 16 คน ตามที่สัญญาไว้ ฟีเจอร์แสดงผู้ร่วมประชุมออนไลน์จำนวนมากๆ เป็นฟีเจอร์ของ Zoom ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง (Zoom ทำได้ 7x7 หรือ 49 คน) ทำให้ซอฟต์แวร์วิดีโอคอลล์ตัวอื่นๆ ต้องหันมาทำตาม เช่น Microsoft Teams ที่แสดงหน้าจอ 3x3 หรือ 9 คน หรือ Google Meet ในข่าวนี้ โดยกูเกิลบอกว่าจะขยายจำนวนเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต อัพเดตใหม่อื่นๆ ของ Google Meet รอบนี้คือ นำเสนอหน้าจอจากแท็บอื่นของ Chrome (เพิ่มจากเดิมที่โชว์ทั้งเดสก์ท็อป หรือ เฉพาะบางหน้าต่าง) ช่วยให้การโชว์วิดีโอผ่าน Meet มีคุณภาพสูงขึ้นสำหรับฝั่งปลายทาง Low-light mode ใช้ AI ช่วยปรับภาพในสภาพแสงน้อยให้ดูดีขึ้น Noise cancellation ช่วยตัดเสียงรบกวนจากภายนอก ฟีเจอร์เหล่านี้ทยอยเปิดให้ผู้ใช้ G Suite ทั่วโลกใช้งานเป็นกลุ่มๆ แล้ว ที่มา - Google
# Game Bar บน Windows 10 เพิ่มระบบสโตร์, เปิดทางให้ใช้ widget จากบริษัทอื่น เมื่อต้นเดือนเมษายน ไมโครซอฟท์ได้ประกาศทดสอบอัพเดตใหม่บน Xbox Game Bar แอพที่ช่วยให้เกมเมอร์เข้าถึงฟังก์ชั่นเสริมที่ Windows 10 มีให้ใช้งานขณะกำลังเล่นเกมผ่านการกดคีย์ลัด Windows + G ในปัจจุบันฟังก์ชั่นต่างๆ ภายใน Xbox Game Bar ถูกแบ่งออกเป็นหน้าต่างย่อยที่เรียกว่า widget ให้ผู้ใช้เลือกเปิด/ปิดได้ตามต้องการ ซึ่งแต่ก่อนไมโครซอฟท์จะเพิ่ม widget ใหม่ผ่านการอัพเดตตัวแอพ Xbox Game Bar โดยตรง (ตัวอย่างเช่น Performance widget, Achievement widget, Spotify widget) แต่ด้วยอัพเดตล่าสุดซึ่งได้เพิ่ม Widget Store เข้ามา จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกดาวน์โหลด widget ใหม่ๆ เพิ่มเติมจาก widget พื้นฐานของ Xbox Game Bar ได้ด้วยตัวเอง และยังเป็นการเปิดทางให้บริษัทอื่น (third-party) ที่เดิมเคยพัฒนาแอพสำหรับการเล่นเกมแยกต่างหาก (ทำให้ผู้ใช้ต้องคอยกด Alt + Tab เพื่อสลับไปยังแอพซึ่งอาจเสียจังหวะการเล่นเกม) สามารถพัฒนา widget เพื่อนำไปใช้งานร่วมกับ Xbox Game Bar ได้อีกด้วย ภาพตัวอย่าง Widget Store บน Xbox Game Bar สำหรับ widget ชุดแรกที่เปิดให้ทดสอบมีดังนี้ XSplit Game Bar HUD widget สำหรับใช้ควบคุมแอพแคสต์เกมในชื่อเดียวกัน Razer Cortex widget สำหรับใช้ควบคุมแอพเพิ่มประสิทธิภาพเกมบนพีซียี่ห้อ Razer ไม่เพียงแค่นั้นไมโครซอฟท์ยังได้ประกาศความร่วมมือกับอินเทลในการพัฒนา widget เพื่อดึงความสามารถของแอพ Intel Graphics Command Center มาใช้งานบน Xbox Game Bar อีกด้วย ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด widget ข้างต้น ได้แล้วในตอนนี้ผ่าน Widget Store บน Xbox Game Bar หรือผ่าน Microsoft Store หากเป็นสมาชิก Windows Insider Program หรือเข้าร่วมการทดสอบ Game Bar บน Xbox Insider Hub หรือรอให้ไมโครซอฟท์เปิดดาวน์โหลดโดยทั่วไปในอนาคตครับ ที่มา - Xbox Wire, Windows Central
# Twitter ทดสอบแสดงจำนวน Quoted Retweet ให้ดูได้แล้วบน iOS และ Android เดิมการกดที่เลข Retweet ในแต่ละทวีตจะดูได้แค่ว่าใครเป็นคนกด Retweet บ้าง โดยไม่ได้แยกว่าใครแสดงความคิดเห็นแบบ Quoted หรือไม่ ล่าสุด Twitter เริ่มทดสอบการแสดงผลใหม่ทั้งบน iOS และ Android ที่จะแสดงผลแล้วว่าใคร Quoted Retweet บ้างแล้วแสดงความคิดเห็นว่าอะไร อย่างไรก็ตามหน้าตา UI บน 2 แพลตฟอร์มจะต่างกันเล็กน้อย บน iOS เมื่อกดที่ตัวเลข Retweet จะแสดงผลแยกเป็น 2 แท็บคือ With comments และ Without comments พร้อมจำนวนในแต่ละประเภท แต่หากเป็นบน Android จะมีแท็บแยกออกที่ด้านล่างของแถบแสดงจำนวน Retweets และ Likes โดยระบุเป็นจำนวน Retweets with comments แทน เมื่อกดที่ With comments (หรือ Retweets with comments บน Android) ก็จะแสดงหน้า Quoted Tweet ทั้งหมดให้ดู ที่มา - @mehedith via XDA
# พบผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์เริ่มใช้ดิสก์แบบ SMR แม้จะเป็นดิสก์ขนาดเล็ก ทำให้ประสิทธิภาพลดลง, Seagate ยืนยันตระกูล IronWolf ไม่มีแน่นอน ผู้ใช้ฮาร์ดดิสก์เริ่มรายงานถึงดิสก์ล็อตใหม่ๆ เช่น WD RED, Seagate Barracuda, หรือ Toshiba ที่รหัสใหม่ๆ กลับเป็นดิสก์ที่ใช้เทคโนโลยี SMR (shingled magnetic recording) ที่ประสิทธิภาพต่ำกว่าดิสก์แบบเดิมๆ มาก ทำให้ประสิทธิภาพรวมต่ำลง จนบางคนพบว่าระบบ storage array ตัดดิสก์ออกจากระบบ SMR เป็นเทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลลงบนจานแม่เหล็กที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลได้มาก โดยอาศัยการเขียนข้อมูล "เหลื่อม" ระหว่างแทร็ค ทำให้กระบวนการเขียนข้อมูลซ้ำนั้นต้องเขียนวนทีละหลายๆ แทร็คใหม่ นอกจากนี้ในดิสก์จริงจะมีบางส่วนที่เขียนข้อมูลด้วยเทคนิคปกติ และบางส่วนเขียนด้วย SMR เพื่อให้ประสิทธิภาพในการเขียนข้อมูลใกล้เคียงดิสก์แบบดั้งเดิม แต่เทคนิคนี้ทำให้ดิสก์ต้องดึงข้อมูลไปเขียนแบบ SMR ใหม่เป็นระยะ บางครั้งกระบวนการนี้ทำให้ดิสก์ตอบสนองช้าลงจน storage array เข้าใจว่าดิสก์เสียหาย แล้วตัดออกจาก array ไปเลย ดิสก์ที่ถูกรายงานเป็นตระกูล WD RED รหัส WFAX โดยก่อนหน้านี้ผู้ผลิตประกาศผลิตดิสก์แบบ SMR กันอยู่เนืองๆ แต่มักเป็นดิสก์ขนาดใหญ่ เช่น WD เองเคยเปิดตัวดิสก์แบบ SMR ขนาด 18TB และ 20TB แต่ WD RED ที่พบว่าเป็น SMR รอบนี้มีขนาดเพียง 2TB แสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตอาจจะกำลังลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยี SMR แม้แต่ในดิสก์ขนาดเล็ก หลังจากมีข่าวนี้ออกมา ทาง Seagate ติดต่อ ArsTechnica ระบุว่าดิสก์ตระกูล IronWolf และ IronWolf Pro นั้นไม่มีดิสก์แบบ SMR แน่นอน แต่ก็ยืนยันว่าดิสก์รุ่นเดสก์ทอปที่เป็น SMR นั้นยังมีประสิทธิภาพที่ดีเหมาะสมกับการใช้งาน ที่มา - ArsTechnica 1, 2 ภาพโดย 422737
# DxOMark ปล่อยคะแนน Galaxy S20 Ultra ได้ 122 คะแนน น้อยกว่า Mate 30 Pro 5G DxOMark ให้คะแนนกล้อง Samsung Galaxy S20 Utra 122 คะแนน อยู่ในอันดับ 6 เท่ากับ Honor V30 Pro แต่ต่ำกว่า Huawei Mate 30 Pro 5G มือถือตระกูล Mate ปีที่แล้ว ที่อยู่ในอันดับ 5 และได้คะแนนไป 123 คะแนน ส่วนอันดับหนึ่งก็ยังเป็น Huawei P40 Pro ที่ได้ไป 128 คะแนน DxOMark ให้รายละเอียดว่ากล้องของ S20 Ultra มีคุณภาพของระดับแสง สี และเก็บรายละเอียดโดยรวมของภาพได้ดี เป็นกล้องสมาร์ทโฟนที่มีคุณสมบัติรอบด้าน เอฟเฟกต์โบเก้ในโหมด Portrait ทำได้ดีมาก รวมถึงโหมดถ่ายวิดีโอแบบ 4K 60 FPS หรือความละเอียดอื่นและโหมด slow-motion ก็ทำให้สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้อย่างหลากหลาย ปัญหาของกล้องจะอยู่ที่การซูมระยะใกล้ ระบบออโต้โฟกัสที่ทำงานช้าเมื่อถ่ายในที่ที่มีแสงน้อย และภาพถ่ายกลางคืนใน Night mode ก็ยังทำได้ไม่ดีนัก และถึงแม้ S20 Ultra จะสามารถถ่ายภาพได้ดีในสภาพแสงหลายรูปแบบ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเด่นกว่าสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นอื่นๆ แฟน Samsung อาจผิดหวังในคุณภาพเมื่อเทียบกับราคา ที่มา - DxOMark
# ผลสำรวจโปรแกรมเมอร์ Go นิยมใช้ VS Code มากที่สุด แต่ GoLand กำลังมาแรง ชุมชนโปรแกรมเมอร์ภาษา Go เผยผลสำรวจข้อมูลของนักพัฒนาสาย Go ประจำปี 2019 ซึ่งมีผู้ตอบมา 10,975 คน ทำให้เราเห็นทิศทางของ Go ว่าใครใช้ทำอะไรกันบ้าง ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ใช้ Go ในที่ทำงาน และเขียนภาษาอื่นด้วย ได้แก่ Python, JavaScipt, C, Java เป็นต้น แพลตฟอร์มยอดนิยมคือ ลินุกซ์ (66%) ตามด้วย macOS (53%) และวินโดวส์ (20%) เครื่องมือที่ใช้เขียน Go อันดับหนึ่งยังเป็น VS Code (41%) แต่ที่มาแรงมากคืออันดับสอง GoLand ของ JetBrains (พัฒนาบนแพลตฟอร์ม IntelliJ IDEA) ที่ความนิยมเพิ่มเป็น 34% ในปีล่าสุด ส่วนอันดับสาม Vim ความนิยมลดลงไปเรื่อยๆ เหลือเพียง 14% งานที่ใช้ Go คืองานที่ต้องเรียก API/RPC (71%), งานคอมมานด์ไลน์ (62%), ไลบรารีหรือเฟรมเวิร์ค (48%), เว็บเซอร์วิส (47%), สคริปต์ (42%) งานที่ใช้ Go รันอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรเองมากที่สุด (44%) แต่สัดส่วนก็ลดลงเรื่อยๆ ทุกที ในขณะที่การรันบนคลาวด์ก็เพิ่มขึ้น คลาวด์ยอดนิยมคือ AWS (42%) ตามด้วย Google Cloud (24%), DigitalOcean (8%), Azure (7%) ฟีเจอร์ที่ชาว Go อยากได้มากที่สุดคือ Generics ที่มีคนเรียกร้องมากถึง 79% ของผู้ตอบคำถามข้อนี้ ที่มา - Go
# Google Duo เพิ่มฟีเจอร์ถ่ายรูปคู่ 2 ฝั่งระหว่างวิดีโอคอลล์ ได้รูปขนาดเท่ากัน Google Duo แอพวิดีโอคอลล์ของกูเกิล เผยสถิติว่ามีผู้ใช้งานส่ง video message เพิ่มขึ้น 180% (บางภูมิภาคโตถึง 800%) และมีผู้ใช้ใหม่สัปดาห์ละ 10 ล้านคน Duo ยังประกาศเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ 2 อย่างที่สำคัญคือ รองรับ codec แบบ AV1 ที่บีบอัดข้อมูลได้ดีขึ้นมาก แม้ใช้การเชื่อมต่อแบนด์วิดท์ต่ำๆ (เช่น 30 kbps) เพิ่มฟีเจอร์ "ถ่ายรูปสองฝั่ง" ระหว่างวิดีโอคอลล์ ได้ภาพคู่ขนาดเท่ากัน แทนการแคปเจอร์หน้าจอ ที่ภาพของคนนึงเล็ก-คนนึงใหญ่ ที่มา - Google
# Dalgona Coffee มียอดค้นหาบน Google พุ่งกว่า 1000% ในรอบ 30 วันที่ผ่านมา Dalgona Coffee หรือ กาแฟทัลโกนา กาแฟสุดฮิตแบบใหม่จากเกาหลีที่ทำจากการตีผงกาแฟสำเร็จรูปเข้ากับน้ำร้อนและน้ำตาลจนขึ้นฟู แล้วตักราดลงบนนมสดเย็นๆ ที่เริ่มเป็นกระแสหลังช่อง Youtube ของ KBS Entertain อัพโหลดวิดีโอจุงอิลวูทานกาแฟชนิดนี้ ในรายการทีวีที่ถ่ายทำในมาเก๊าและพูดว่ารสชาติหวานหอมเหมือนขนม “Dalgona” ของเกาหลี เกิดเป็นกระแส “Dalgona Challenge” มีผู้คนพยายามทำตามไปทั่วโลก ยอดค้นหาคำว่า “Dalgona” เพิ่มขึ้นถึง 1,800% ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม และหลังจากนั้นก็มียอดค้นหาต่อสัปดาห์เป็นกว่า 3,000 เท่าเมื่อเทียบกับยอดค้นหาคำนี้ในช่วงก่อนหน้า กลายเป็นชนิดของกาแฟที่มียอดค้นหามากที่สุดในช่วง 30 วันที่ผ่านมา เอาชนะ “Latte”, “Cappuchino” และแชมป์เก่าอย่าง “Espresso” ไปได้ ซึ่ง 4 ใน 5 ประเทศที่มีการค้นหาคำนี้มากที่สุด อยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยฟิลิปปินส์นำมาเป็นอันดับหนึ่ง นอกจากนี้ ยอดวิวของวิดีโอที่มีคำว่า “Dalgona” บน Youtube ในช่วงวันที่ 15 มีนาคม จนถึง 6 เมษายนก็เพิ่มขึ้นถึง 5,000% และเริ่มมีเวอร์ชั่นที่ใช้ผงชาเขียวมัทฉะหรือผงไมโลแทนกาแฟ มาเอาใจผู้ที่ไม่นิยมเสพย์คาเฟอีนแล้ว กระแสครั้งนี้น่าจะเป็นการมาบรรจบกันของหลายๆ ปัจจัย ทั้งวัตถุดิบในการทำที่หาได้ง่าย (ผงกาแฟ, น้ำตาล, น้ำร้อน, นม) ผู้คนมีเวลาว่างมากขึ้นจากการถูกกักตัวอยู่บ้านและความเบื่อหน่ายที่ต้องชงแต่กาแฟแบบเดิมๆ ทำให้กาแฟชนิดนี้บูมขึ้นมา แถมหน้าตาของกาแฟชนิดนี้ยังสวยงาม เหมาะกับการถ่ายรูปหรือวิดีโอลงโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดการแชร์ต่อจนเป็นกระแสได้ในที่สุด ที่มา - Google Blog
# Nintendo Switch ทำยอดขายเดือนมีนาคมได้ 2 เท่าของปีที่แล้ว เหตุจาก Animal Crossing ช่วงกักตัวอยู่บ้าน ทำให้ตลาดเกมในสหรัฐเติบโตกว่าปีที่แล้วมาก โดย NPD Group บริษัทวิจัยทางด้านการตลาดและเก็บข้อมูลสถิติเกี่ยวกับยอดขายสินค้าแห่งสหรัฐอเมริกา เปิดเผยยอดขายเครื่องเกมในเดือนมีนาคม ว่าเพิ่มขึ้นถึง 63% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันและ Nintendo Switch ก็ทำยอดขายได้มากกว่าสองเท่าของเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ทำลายสถิติยอดขายเดิมที่เคยทำไว้เมื่อเดือนมีนาคมปี 2017 หรือเดือนที่เครื่องเปิดตัว ในขณะที่ PS4 และ Xbox One มียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 25% สาเหตุหลักมาจากยอดขายเกม Animal Crossing: New Horizon เกมสร้างชุมชนบนเกาะกับเหล่าสัตว์น่ารักๆ ที่เล่นสามารถออนไลน์กับเพื่อนได้ ซึ่งตอบโจทย์คนที่ติดอยู่บ้านและอยากเข้าสังคมได้เป็นอย่างดี โดยกลายเป็นเกมที่ขายดีที่สุดในเดือนมีนาคมปีนี้ ขายดีที่สุดในเดือนเปิดตัวเป็นอันดับสามของ Nintendo และเป็นภาคที่ขายดีที่สุดของซีรีส์ Animal Crossing หลังเปิดตัวเพียงเดือนเดียวเท่านั้น แม้ในเดือนมีนาคม จะมีเกมอย่าง Doom: Eternal กับ Resident Evil 3: Remake เปิดตัวเช่นเดียวกัน แต่กลุ่มเป้าหมายของสองเกมนี้เป็นฮาร์ดคอร์เกมเมอร์ที่มีเครื่องเกมอยู่แล้ว แต่ Animal Crossing: Horizon ที่มีความน่ารักและดูเป็นมิตรต่อทุกเพศทุกวัย สามารถดึงดูดผู้เล่นที่ไม่ใช่ฮาร์ดคอร์เกมเมอร์ให้หันมาซื้อเครื่อง เครื่อง Switch ได้เป็นจำนวนมาก ส่วนสภาวะเครื่อง Switch ขาดตลาดและราคาดีดพุ่งสูง Nintendo ก็กำลังเร่งแก้ไขและได้สั่งเพิ่มการผลิตในปีนี้เป็น 22 ล้านเครื่อง เพื่อให้ทันกับอุปสงค์ที่มากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังติดปัญหาเรื่องซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนอยู่และคาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในเดือนมิถุนายน ที่มา - VentureBeat, NPD
# แอป K PLUS ล่ม เว็บ K-Cyber ยังใช้งานได้ ตั้งแต่ช่วงบ่ายโมงครึ่งที่ผ่านมาแอป K PLUS ล่มไปอีกครั้ง หลังจากเมื่อวานนี้ก็ล่มไปเป็นช่วงๆ สองรอบ ผู้ใช้บางส่วนไม่สามารถล็อกอินแอปได้เลย หรือผมเองทดสอบบางครั้งก็เข้าดูยอดเงินได้ แต่ไม่สามารถโอนออกได้ แต่ก็การโอนเข้ายังทำงานและแจ้งเตือนปกติ ทางธนาคารแจ้งว่ามีผู้ทำธุรกรรมมาก และแนะนำให้เว้นช่วงก่อนทำรายการใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ดีเว็บ K-Cyber ยังใช้งานได้อยู่ ที่มา - @KBank_Live
# Porsche เผยกำลังพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า Taycan รุ่นราคาถูก หลัง Porsche เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วน Taycan Turbo, Turbo S และ Taycan 4S ที่ราคาค่าค่อนข้างสูง (รุ่นเริ่มต้นอย่าง Taycan 4S ปาเข้าไปแล้วที่ 103,800 ดอลลาร์) ล่าสุด Michael Steiner หัวหน้าฝ่าย R&D ของ Porsche ให้สัมภาษณ์ว่า Porsche กำลังพัฒนาและจะเปิดตัว Taycan ที่มีราคาถูกลง โดยลดขนาดแบตเตอรี่และปรับเอาระบบขับเคลื่อน 4 ล้อออก น่าจะนำไปจำหน่ายในประเทศอย่างจีน Porsche ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Taycan รุ่นใหม่นี้ นอกจากยืนยันว่ารถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองจะไม่หยุดอยู่แค่ 3 รุ่นย่อยแน่นอน ที่มา - CarMagazine via TechCrunch
# Zoom เตรียมให้โฮสต์รีพอร์ทผู้เข้าร่วมประชุม แก้ปัญหา Zoombomber อีกหนึ่งทางแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยของ Zoom โดยเฉพาะจากกรณี Zoombombing เมื่อ Zoom เตรียมเปิดฟีเจอร์ให้โฮสต์สามารถรีพอร์ทผู้เข้าร่วมประชุมไปยังทีม Trust and Safety ของ Zoom ฟีเจอร์จะปล่อยออกมาในวันที่ 26 เมษายนนี้ โดยเจ้าของแอคเคาท์หรือแอดมินแอคเคาท์องค์กรสามารถเปิดตัวเลือกนี้ได้ใน setting โดยก่อนหน้านี้ Zoom ได้นำ Meeting IDs ออกจาก URL ไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดประเด็นการแชร์สกรีนช็อตของการประชุมได้เปิดเผย Meeting IDs ออกไป ที่มา - The Verge
# กูเกิลเปิดบริการ BeyondCorp Remote Access ควบคุมการเข้าถึงแอปภายในได้ละเอียดกว่า VPN กูเกิลเคยเปิดเผยแนวทางการควบคุมการเข้าถึงบริการภายในสำหรับพนักงานว่าไม่ได้ใช้ VPN แต่ใช้ระบบควบคุมที่ถือว่าทุกคนในบริษัทเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ตเข้ามาทำงาน โดยเรียกโครงการว่า BeyondCorp และตอนนี้โครงการนี้ก็เปิดตัวออกมาเป็นบริการบน Google Cloud Platform ในชื่อ BeyondCorp Remote Access กูเกิลระบุว่า BeyondCorp Remote Access จะง่ายกว่า VPN ขณะที่ควบคุมได้ละเอียดกว่า แทนที่ผู้ใช้จะยืนยันตัวตนกับเซิร์ฟเวอร์ VPN เพื่อเข้าถึงบริการภายใน BeyondCorp จะกำหนดนโยบายได้อย่างละเอียด เช่น "พนักงานชั่วคราวสามารถเข้าถึงระบบ HR ได้ แต่ต้องอัพเดตแพตช์วินโดวส์ล่าสุด และล็อกอินโดยใช้กุญแจล็อกอิน" หรือ "พนักงานรายชั่วโมงเข้าระบบลงเวลาทำงานจากที่ใดก็ได้ ไม่จำกัดอุปกรณ์" แม้จะเปิดตัวเป็นบริการบน Google Cloud แต่ก็ยังไม่มีเอกสารวิธีการใช้งาน หรือเปิดเผยราคาออกมาแต่อย่างใด ที่มา - Google Cloud Blog
# เฟซบุ๊กยอมรับคำขอรัฐบาลเวียดนาม บล็อกเนื้อหาต่อต้านรัฐบาล เฟซบุ๊กยืนยันกับ Reuters ว่ายอมปฏิบัติตามคำขอ (กึ่งบังคับ) ของรัฐบาลเวียดนามอย่างไม่ค่อยเต็มใจ (reluctantly) ที่ให้บล็อกคอนเทนท์ผิดกฎหมายหรือต่อต้านรัฐบาลบนแพลตฟอร์ม ก่อนหน้านี้ 7 สัปดาห์ที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงราวกลางเดือนกุมภาพันธ์ โอเปอเรเตอร์รายใหญ่ที่มีรัฐบาลเวียดนามเป็นเจ้าของสั่งบล็อกการเข้าถึงเฟซบุ๊ก เพื่อบีบให้ผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียปฏิบัติตามคำขอของรัฐบาล โดยหลังจากที่ผูัใช้งานในเวียดนามเริ่มรู้สึกว่าสามารถเข้าถึงบริการของเฟซบุ๊กได้ช้าลงหรือเข้าไม่ได้เลย สื่อของรัฐอ้างว่าเกิดจากการซ่อมแซมเคเบิลใต้น้ำ ก่อนที่โอเปอเรเตอร์ของรัฐออกมาขอโทษว่าการซ่อมเคเบิลทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเฟซบุ๊กได้ ที่มา - Reuters
# Google Nest เตรียมให้ผู้ใช้ปรับความไวในการตรวจจับคีย์เวิร์ด "Hey Google" หลายคนน่าจะมีปัญหากับ Google Assistant บน Google Nest (Google Home) ที่บางตัวก็ตรวจจับคีย์เวิร์ด "Hey Google" ไวมาก บางตัวเช่นในห้องนั่งเล่นที่เสียงดังอาจตรวจจับคีย์เวิร์ดยาก ล่าสุด Google เตรียมให้ผู้ใช้ปรับความไว (sensitivity) ในการตรวจจับคีย์เวิร์ดนี้แล้ว Mishaal Rahman บก. ของเว็บไซต์ XDA Developers โพสต์ทวิตเตอร์ค้นพบตัวเลือกในการตั้งค่าอุปกรณ์ Google Nest ว่าสามารถเลือกปรับ sensitivity ของอุปกรณ์แต่ละตัวได้ ตั้งแต่น้อยที่สุด (least sensitivity) ค่าดีฟอลต์และมากที่สุด (most sensitivity) ซึ่ง Google ได้ยืนยันว่าเริ่มค่อย ๆ ปล่อยฟีเจอร์นี้แล้ว (roll out gradually) ที่มา - The Verge, @MishaalRahman
# Office 365 เปลี่ยนชื่อเป็น Microsoft 365 เรียบร้อยแล้ว อย่างอื่นเหมือนเดิม Office 365 เปลี่ยนชื่อเป็น Microsoft 365 เรียบร้อยแล้วตามที่ประกาศไว้ โดยมีผลกับผู้ใช้คอนซูเมอร์ และธุรกิจขนาดเล็ก (SMB) ภาพรวมไม่มีอะไรเปลี่ยนนอกจากชื่อ เพราะยังคงแพ็กเกจราคาเท่าเดิม (สำหรับผู้ใช้ทั่วไปคือ Personal ปีละ 2,099 บาท และ Family ปีละ 2,899 บาท) แอพกลุ่ม Office ทั้งหมดยังใช้ได้เหมือนเดิม ส่วนแอพ Family Safety และ Microsoft Teams สำหรับคอนซูเมอร์ ที่ประกาศไว้ว่าจะเพิ่มเข้ามาใน Microsoft 365 เวอร์ชันคอนซูเมอร์ ยังต้องรออีกสักระยะหนึ่ง แบรนด์ Office 365 ยังคงเหลืออยู่ในลูกค้ากลุ่ม Enterprise ที่ยังแยกเป็น Office 365 (มีเฉพาะ Office) และ Microsoft 365 (Office + Windows) เหมือนเดิม ในขณะที่ Microsoft 365 เวอร์ชันอื่นๆ มีเฉพาะ Office ไม่รวม Windows
# Python ออกเวอร์ชัน 2.7.18 ตัวสุดท้ายของสาย 2.x โครงการ Python ออกเวอร์ชัน 2.7.18 ซึ่งเป็นเวอร์ชันสุดท้ายของ Python 2.x ตามที่เคยประกาศไว้ ทีมงาน Python ระบุว่า Python 3 พัฒนามานานเกินสิบปีแล้ว (ออกเวอร์ชัน 3.0 ในปี 2008) และมีเวลาให้ย้ายโค้ดจาก Python 2 กันมานานพอสมควร ตอนนี้ถึงเวลาที่ Python 2 จะต้องจากไป เพื่อให้ชุมชน Python หันไปโฟกัสกับ Python 3 อย่างเต็มที่ โครงการโอเพนซอร์สสำคัญๆ หลายตัวก็เข้าร่วมสนับสนุน Python 3 เพียงอย่างเดียวในเวอร์ชันใหม่ๆ ของตัวเอง เช่น Apache Spark, Numpy, CherryPy เป็นต้น Benjamin Peterson ผู้ดูแลการออกรุ่นของ Python 2.7 ยังระบุในประกาศออกรุ่นสุดท้ายว่า เลขเวอร์ชัน 2.7.18 ถือเป็นเลขพิเศษ เพราะมีค่าที่ใกล้เคียงกับ e มากที่สุดด้วย ที่มา - Python Insider
# Facebook ประกาศลงทุน 5,700 ล้านดอลลาร์ ใน Jio ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์รายใหญ่ของอินเดีย Facebook ประกาศลงทุนใน Jio Platforms ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของอินเดีย เป็นเงินลงทุน 5,700 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสกุลเงินอินเดีย 4.3 แสนล้านรูปี ตามที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ โดย Facebook จะถือหุ้น 9.99% ใน Jio ทำให้เป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ใหญ่ที่สุด (Jio เป็นธุรกิจในเครือ Reliance Industries กลุ่มทุนใหญ่ของอินเดีย) Jio เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายที่ก่อตั้งมาไม่ถึง 4 ปี ในอินเดีย แต่ตอนนี้มีผู้ใช้งานแล้วมากกว่า 388 ล้านคน Facebook กล่าวว่าอินเดียเป็นตลาดที่มีการเติบโตและมีโอกาสใหม่สูง การร่วมมือกับ Jio จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลในอินเดียได้ โดยยกตัวอย่างบริการ JioMart ที่สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย ก็ใช้ WhatsApp ในการเชื่อมต่อธุรกิจกับลูกค้าผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ที่มา: TechCrunch และ Facebook
# WHO ถูกโจมตีทางไซเบอร์บ่อยขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยเป้าหมายคือเจ้าหน้าที่คนสำคัญในองค์กร WHO ถือเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในช่วงวิกฤต COVID-19 ซึ่งการเป็นองค์กรสำคัญภายใต้วิกฤตนี้ทำให้มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีทางไซเบอร์ตามมาพร้อม ๆ กัน Bernado Mariano ซีไอโอของ WHO ระบุว่า ทางทีมงานความปลอดภัยของ WHO พบเห็นจำนวนความพยายามในการโจมตีทางไซเบอร์ต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ WHO จำนวนมากมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม และการโจมตีก็มีข้อสงสัยได้ว่าบางส่วนมาจากการกระทำของแฮกเกอร์ที่มีภาครัฐหนุนหลังด้วย ซึ่งเป้าหมายของแฮกเกอร์คือกลุ่มคนระดับสูงที่เป็นกุญแจสำคัญในการจัดการวิกฤต COVID-19 โดยทีมความปลอดภัยของ WHO ไม่เคยพบงานหนักระดับนี้มาก่อน ผู้นำของ WHO ที่เป็นที่หมายปองในครั้งนี้มีหลายคน โดยคนที่เด่น ๆ ก็มี Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการใหญ่ หรือ Bruce Aylward นักการฑูตอาวุโสของ WHO ที่เป็นผู้นำทีมจัดการ COVID-19 ในจีน Mariano ระบุว่า ก่อนหน้านี้ทาง WHO ได้รับคำเตือนที่มีข้อมูลจากข่าวกรองเรื่องภัยไซเบอร์จากอิสราเอล, สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึง Interpol และ Microsoft มาแล้ว โดยจากเดิมที่ WHO ได้รับคำเตือนภัยไซเบอร์ราวเดือนละครั้ง แต่ในเดือนเมษายนนี้ WHO ได้รับคำเตือนมาแล้วกว่า 8 ครั้ง ที่มา - Bloomberg ภาพจาก U.S. Mission Photo by Eric Bridiers / Flickr
# AMD เปิดตัว Ryzen 3 ซีรีส์ 3000 ยุคแกน Zen 2 ราคาเริ่มต้น 99 ดอลลาร์ AMD เปิดตัวซีพียู Ryzen ซีรีส์ 3000 ที่ใช้แกน Zen 2 มาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2019 โดยเริ่มจากซีพียูระดับบน Ryzen 9, Ryzen 7 และซีพียูระดับกลาง Ryzen 5 เวลาผ่านมาเกือบปี ตอนนี้จึงได้เวลาของซีพียูราคาถูก Ryzen 3 ซีรีส์ 3000 ที่ใช้แกน Zen 2 (ก่อนหน้านี้มี Ryzen 3 ซีรีส์ 3000 แต่ APU ที่ใช้เป็นแกน Zen+) Ryzen 3 แกน Zen 2 มีด้วยกัน 2 ตัวคือ Ryzen 3 3300X 4 คอร์ 8 เธร็ด คล็อค 4.3/3.8GHz ราคา 120 ดอลลาร์ Ryzen 3 3100 4 คอร์ 8 เธร็ด คล็อค 3.9/3.6GHz ราคา 99 ดอลลาร์ ซีพียูทั้งสองตัวมีค่า TDP 65 วัตต์, แคชรวม 18MB และใช้ซ็อคเก็ตแบบ AM4 เหมือนกัน เริ่มวางขาย 21 พฤษภาคม 2020 ที่มา - AMD
# Epic Games ยอมนำ Fortnite มาลง Google Play Store แล้ว Epic Games ยอมนำเกมฮิตแห่งยุค Fortnite มาเปิดให้ดาวน์โหลดผ่าน Google Play Store แล้ว หลังเปิดตัวเวอร์ชัน Android ในปี 2018 และยืนยันไม่ลง Play Store เพราะไม่ต้องการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กูเกิล การกลับลำของ Epic Games ครั้งนี้ต้องเรียกว่ายอม "กัดฟัน" ทำ เพราะมาพร้อมกับเสียงวิจารณ์กูเกิลว่า ตั้งใจบีบให้ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งแบบ sideload มีข้อจำกัดมากมาย เช่น แสดงป๊อปอัพเตือนว่าซอฟต์แวร์เหล่านี้ไม่ปลอดภัย, บล็อคการติดตั้งผ่าน Google Play Protect รวมถึงบีบผ่านทางสัญญากับผู้ผลิตมือถือหรือโอเปอเรเตอร์ด้วย Epic ยังคงโมเดลการติดตั้ง Fortnite นอก Play Store ต่อไปเช่นเดิม และเรียกร้องให้กูเกิลปรับเปลี่ยนนโยบายเรื่องการติดตั้งแอพบน Android ให้เปิดกว้างมากขึ้น เมื่อต้นปีนี้ Tim Sweeney ซีอีโอของ Epic ขึ้นพูดที่งาน The Game Awards ก็กล่าวโจมตีกูเกิลในลักษณะเดียวกัน เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Epic ต้องยอมกูเกิลในช่วงนี้ น่าจะมาจากโครงการ Advanced Protection ของ Android ที่ห้ามลงแอพแบบ sideload อย่างสมบูรณ์ และบังคับเปิด Google Play Protect ให้สแกนเครื่อง ทำให้การติดตั้ง Fortnite นอกสโตร์ไม่สามารถทำได้เลย ที่มา - Ars Technica