txt
stringlengths
202
53.1k
# เปิดตัว Mortal Kombat: Onslaught เกมภาคแยก เป็นเกม RPG บนมือถือ เปิดให้เล่นปี 2023 Warner Bros. Games เปิดตัวเกมใหม่ในจักรวาล Mortal Kombat รอบนี้ไม่ได้เป็นเกมไฟติ้ง แต่เป็นเกม RPG บนมือถือชื่อ Mortal Kombat: Onslaught Mortal Kombat: Onslaught เป็นการนำตัวละครจากซีรีส์ Mortal Kombat มารวมทีมกัน ตอนนี้มีแค่ภาพโปรโมทเกมภาพเดียว และยังไม่โชว์ภาพของเกมเพลย์ ข้อมูลจาก Warner Bros. Games บอกแค่ว่าเป็นแนว massive real-time group battles และพัฒนาโดยสตูดิโอ NetherRealm ผู้พัฒนาเกมภาคหลัก เกมจะเปิดให้เล่นในปี 2023 แต่ยังไม่ระบุกรอบเวลาชัดเจน ก่อนหน้านี้ Mortal Kombat เคยออกเกมมือถือมาแล้วในชื่อ Mortal Kombat Mobile ที่เป็นเกมต่อสู้ผสมกับการ์ดเกม เปิดให้เล่นตั้งแต่ปี 2015 ที่มา - Warner Bros. Games via Gamespot
# Logitech ขาย Crayon รุ่นอัพเกรด ใช้พอร์ต USB-C รองรับ iPad รุ่นใหม่ ๆ Logitech ประกาศขาย Crayon รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ขีดเขียนทางเลือกสำหรับ iPad นอกเหนือจาก Apple Pencil ของแอปเปิลเอง โดย Crayon รุ่นนี้ใช้พอร์ต USB-C ในการชาร์จ ทำให้รองรับการทำงานร่วมกับ iPad รุ่นใหม่ ๆ รวมทั้ง iPad 10th Gen ที่เพิ่งเปิดตัว Crayon รุ่นใหม่นี้ รองรับการทำงานร่วมกับ iPad ทุกรุ่นที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป ได้แก่ iPad Pro 12.9 นิ้ว (3rd Gen เป็นต้นไป), iPad Pro 11 นิ้ว (2nd Gen เป็นต้นไป), iPad (6th Gen เป็นต้นไป), iPad Air (3rd Gen เป็นต้นไป) และ iPad Mini (5th Gen) ราคาขายในอเมริกาอยู่ที่ 69.99 ดอลลาร์ ที่มา: Logitech ผ่าน MacRumors
# The Sims 4 เปิดให้เล่นฟรีแล้ววันนี้ เตรียมออกอัพเดตเพิ่มเด็กทารกในเกม เกม The Sims 4 ภาคหลัก (base game) เปิดให้เล่นฟรีแล้ววันนี้ มีผลบนทุกแพลตฟอร์ม ทั้งพีซี แมค และคอนโซล PS4, PS5, Xbox One, Xbox Series X|S ตามที่ EA เคยประกาศไว้ก่อนหน้า EA สัญญาว่าจะออกอัพเดตเนื้อหาให้ The Sims 4 ไปอีกนาน (foreseeable future) พร้อมโชว์ว่าจะออกอัพเดต "เด็กทารก" (infant) ให้เล่นกันช่วงต้นปี 2023 แนวทางใหม่ของ The Sims 4 คือเปิดให้เล่นเกมภาคหลักฟรีเพื่อขยายฐานผู้เล่นหน้าใหม่ๆ ส่วนเนื้อหาเสริมและ DLC ทั้งหลายยังขายเหมือนเดิม EA ยังประกาศความร่วมมือกับบริษัท Overwolf ผู้สร้างระบบจัดการม็อด CurseForge ให้รองรับ The Sims 4 อย่างเป็นทางการด้วย โดยผู้เล่นสามารถเลือกได้เช่นเดิมว่าจะใช้ CurseForge หรือเครื่องมือจัดการม็อดตัวอื่นๆ ที่มา - EA, EA
# Netflix ไตรมาส 3/2022: จำนวนสมาชิกเพิ่ม 2.4 ล้านราย - เตรียมปิดการหารบัญชีต้นปีหน้า Netflix รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2022 รายได้รวม 7,926 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,398 ล้านดอลลาร์ จำนวนสมาชิกในไตรมาสนี้กลับมาเพิ่มขึ้นอีก 2.41 ล้านราย จากก่อนหน้านี้จำนวนลดลงติดต่อกันสองไตรมาส รวมมีจำนวนสมาชิก 223.09 ล้านราย ทั้งนี้สมาชิกที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (1.43 ล้านราย) Netflix มองแนวโน้มไตรมาสปัจจุบัน จะมีสมาชิกเพิ่มอีกราว 4.5 ล้านราย แต่ในแง่รายได้อาจไม่เติบโตมาก สาเหตุหลักจากผลกระทบค่าเงิน นอกจากนี้ผู้บริหาร Netflix ยังบอกว่า จากนี้ตัวเลขที่ Netflix จะให้ความสำคัญคือการเติบโตของรายได้ และความสามารถในการทำกำไร โดยลดความสำคัญเรื่องจำนวนสมาชิก เนื่องจากโครงสร้างค่าสมาชิกที่มีหลายรูปแบบมากขึ้น รวมทั้งรูปแบบที่เสริมรายได้จากโฆษณา ตัวเลขจำนวนสมาชิกจึงสะท้อนเพียงมุมมองหนึ่งเท่านั้น คอนเทนต์เด่นในไตรมาสที่ผ่านมา Stranger Things ซีซั่น 4 มีจำนวนการชมมากกว่า 1.35 พันล้านชั่วโมง, The Sandman (351 ล้านชั่วโมง), Extraordinary Attorney Woo (402 ล้านชั่วโมง), The Gray Man (254 ล้านชั่วโมง) สุดท้าย Netflix พูดถึงแผนการแก้ปัญหาที่ผู้ใช้งานหารบัญชีแต่ไม่อยู่บ้านเดียวกัน โดยจะเริ่มมีผลกับผู้ใช้วงกว้างขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2023 เป็นต้นไป ที่มา: Netflix (pdf) และ CNBC
# Magic Keyboard Folio รุ่นใหม่สำหรับ iPad 10th Gen มีแถวปุ่มฟังก์ชั่น เพิ่มแทร็คแพด นอกจากเปิดตัว iPad 10th Gen แล้ว แอปเปิลยังเปิดตัวอุปกรณ์เสริม Magic Keyboard Folio ที่ออกแบบใหม่ เพิ่มปุ่มและคุณสมบัติต่าง ๆ เข้ามาจากรุ่นก่อนหน้า โดย Magic Keyboard Folio เป็นคีย์บอร์ดสำหรับ iPad รุ่นทั่วไปตัวแรก ที่มีแทร็คแพด สำหรับรองรับการคลิกและคำสั่งนิ้วมัลติทัช และยังเป็นคีย์บอร์ดเสริม iPad รุ่นแรกที่ใส่แถวปุ่มฟังก์ชั่น 14 ปุ่ม สำหรับเรียกคำสั่งลัดต่าง ๆ Magic Keyboard Folio เป็นดีไซน์แบบแยกสองชิ้นส่วน คือคีย์บอร์ดและแผงป้องกันด้านหลัง ยึดติดกับ iPad ด้วยแม่เหล็ก Smart Connector จึงสามารถปรับเก็บสำหรับแต่ละรูปแบบการใช้งานได้ ราคาขายของ Magic Keyboard Folio อยู่ที่ 9,990 บาท ตอนนี้รองรับการใช้งานร่วมกับ iPad 10th Gen รุ่นเดียวเท่านั้น มีตัวเลือกเฉพาะสีขาว ที่มา: 9to5Mac
# Chrome บน Android Tablet อัพเดตรองรับจอใหญ่ จัดการแท็บดีขึ้น เพิ่ม Tab Grid, Tab Groups กูเกิลประกาศอัพเดต Chrome บน Android Tablet ให้ใช้งานหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นได้เต็มความสามารถ ของใหม่มีดังนี้ รองรับท่า swipe 2 นิ้วบนแถบเครื่องมือ เพื่อสลับแท็บไปมา โดยไม่ต้องจิ้มไปยังแท็บที่ต้องการ หากเราเปิดแท็บเยอะจนแท็บมีขนาดเล็กเกินไป ซ่อนปุ่ม x สำหรับปิดแท็บเพื่อไม่ให้กดพลาด ปุ่ม x จะถูกแสดงเฉพาะบนแท็บที่ใช้งานเท่านั้น visual tab grid แสดงตารางแท็บที่เปิดอยู่ทั้งหมดให้เห็นชัดๆ สลับแท็บได้ง่ายขึ้น ด้วยท่าปัดขึ้นจากขอบจอด้านล่าง รองรับการลากรูปภาพ ข้อความ ลิงก์ จากหน้าต่าง Chrome ไปยังแอพตัวอื่น เช่น Gmail, Photos, Keep ตั้งค่าให้ Chrome บนแท็บเล็ตเปิดเว็บในโหมดเดสก์ท็อป เพื่อให้เห็นหน้าตาเว็บแบบเดียวกับบนคอมพิวเตอร์ รองรับ tab groups จัดกลุ่มแท็บแบบเดียวกับ Chrome บนคอมพิวเตอร์ ที่มา - Google
# EA เริ่มพัฒนาเกม The Sims ภาคใหม่ โค้ดเนม Project Rene ยังไม่บอกว่าเป็น The Sims 5 EA เปิดตัวโปรเจคต์พัฒนาเกมภาคใหม่ ยังไม่ยืนยันว่านี่คือ The Sims 5 แต่ใช้โค้ดเนมว่า Project Rene คำว่า Project Rene มาจากคำว่า Renaissance แปลว่าเป็นยุคสมัยใหม่ของ The Sims สถานะของโครงการตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากๆ (very early) ยังอยู่ในช่วงการทดลองคอนเซปต์บางอย่างของเกม และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าเราจะได้เห็นเกมจริงๆ (ระหว่างนี้ก็เล่น The Sims 4 กันไปก่อน) ในคลิปเดโมของ Project Rene โชว์การปรับแต่งเฟอร์นิเจอร์ในบ้านได้อย่างละเอียดมาก ตั้งแต่รูปทรงของโซฟา จำนวนของหมอน ลายผ้า เมื่อสร้างวัตถุเสร็จแล้วก็สามารถนำไปแชร์ให้คนอื่นในชุมชน The Sims ต่อได้ คลิปของ Project Rene เริ่มต้นที่นาที 26:48 ที่มา - The Sims
# iPadOS 16 และ macOS Ventura จะปล่อยอัพเดตทั่วไป จันทร์ที่ 24 ตุลาคมนี้ แอปเปิลประกาศว่า ระบบปฏิบัติการ iPadOS 16 สำหรับอุปกรณ์ iPad และ macOS Ventura สำหรับ Mac จะปล่อยอัพเดตสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ในคืนวันที่ 24 ตุลาคมนี้ หลังจากเปิดตัวไปเมื่อกลางปี ฟีเจอร์เด่นที่มีทั้งใน iPadOS 16 และ macOS Ventura ก็คือระบบมัลติทาสก์แบบใหม่ Stage Manager ที่สามารถจัดกลุ่มการทำงานของแอป ทั้งนี้ macOS Ventura เปิดให้อัพเดตช่วงตุลาคม ถือเป็นระยะเวลาตามปกติ แต่สำหรับ iPadOS 16 ซึ่งปกติจะออกอัพเดตพร้อมกับ iOS แต่ปีนี้แอปเปิลเลื่อนออกมาจากกรอบเวลาเดิม เนื่องจากต้องการแก้ปัญหาบั๊กใน Stage Manager ที่นักพัฒนาแจ้งเข้ามามากในช่วงเบต้า ที่มา: Ars Technica
# เผื่อใครตกใจราคา - Apple ยังขาย iPad 9th Gen ต่อ แต่ไม่ได้ลดราคาลง หลังจากแอปเปิลเปิดตัว iPad 10th Gen ซึ่งเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C ตัดปุ่ม Home ทำให้มีหน้าจอเต็มพื้นที่ แต่ราคาก็ปรับเพิ่มมาสูงมากเช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกับ iPad 9th Gen โดยเพิ่มมาราว 5-6 พันบาท (ราคาในหน่วยดอลลาร์สหรัฐก็เพิ่มขึ้น) แอปเปิลเลยให้ทางเลือก โดยแอปเปิลยังคงมีขาย iPad 9th Gen ต่อไปคู่กับรุ่นใหม่ล่าสุด แต่ไม่ได้ลดราคาลง ทั้งนี้ราคาขายในไทยล่าสุดมีการปรับขึ้นเล็กน้อยจากราคาเมื่อตอนเปิดตัว ตามอัตราแลกเปลี่ยน โดยรุ่น Wi-Fi เริ่มต้นที่ 12,900 บาท และ Wi-Fi + Cellular เริ่มต้นที่ 18,400 บาท ที่มา: MacRumors
# Apple TV 4K รุ่นใหม่ ชิป A15 Bionic รองรับ HDR10+ นอกจาก iPad แล้ว แอปเปิลยังเปิดตัว Apple TV 4K รุ่นใหม่ รุ่นอัพเกรดสเป็กเพิ่มขึ้น ชิป A15 Bionic และรองรับ HDR10+ ร่วมกับ Dolby Vision ความจุใน Apple TV 4K รุ่นใหม่ยังเพิ่มขึ้น แต่มาพร้อมข้อจำกัด โดยรุ่นเล็ก 64GB รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi เท่านั้น ส่วนรุ่นใหญ่ 128GB รองรับทั้ง Wi-Fi และ Ethernet นอกจากนี้ยังรองรับ Thread เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมในบ้านได้ด้วย Apple TV 4K รุ่น 64GB ราคาขายอยู่ที่ 5,290 บาท และรุ่น 128GB ราคา 5,990 บาท โดยเริ่มขายตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ในการอัพเกรดรอบนี้ แอปเปิลได้เลิกขาย Apple TV HD ซึ่งเป็น Apple TV รุ่นเก่าที่ขายมาตั้งแต่ปี 2015 ด้วย ที่มา: แอปเปิล
# iPad Pro ชิป M2 มาแล้ว - รองรับ Wi-Fi 6E - Apple Pencil ทำงานได้ละเอียดมากขึ้น แอปเปิลเปิดตัว iPad Pro รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมชิป M2 ตามข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้ ดีไซน์เหมือนกับรุ่นปี 2021 แต่เป็นการอัพเกรดสเป็กภายในหลายอย่าง ชิป M2 ที่อัพเกรดมา มีซีพียู 8 คอร์ แอปเปิลบอกว่าเร็วกว่า M1 15% ส่วนจีพียู 10 คอร์ ประมวลผลกราฟิกเร็วขึ้น 35% และ Neural Engine 16 คอร์ ดีกว่า M1 ถึง 40% iPad Pro รุ่น M2 ยังรองรับ Apple Pencil 2 โดยสามารถตรวจจับการยกปลาย Pencil เหนือจอภาพ ได้ถึง 12 มิลลิเมตร ทำให้งานที่ต้องอาศัยความละเอียด จะลงตำแหน่งได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ส่วนการเชื่อมต่อเปลี่ยนมาใช้ Wi-Fi 6E รองรับดาวน์โหลดได้สูงสุดถึง 2.4Gbps iPad Pro รุ่น M2 มีสองขนาดหน้าจอเหมือนเดิม คือ 11 นิ้ว จอ Liquid Retina ราคาเริ่มต้นที่ 32,900 บาท และจอ 12.9 นิ้ว จอ Liquid Retina XDR ราคาเริ่มต้นที่ 44,900 บาท ตัวเลือก 2 สี เทาสเปซเกรย์ และเงิน ความจุมีตั้งแต่ 128GB, 256GB, 512GB, 1TB และ 2TB ในอเมริกาเริ่มจองได้ตั้งแต่วันนี้ สินค้าส่งมอบ 26 ตุลาคม เป็นต้นไป ส่วนในไทยวางขายเร็ว ๆ นี้ ที่มา: แอปเปิล
# Apple เปิดตัว iPad 10th Gen: พอร์ต USB-C, มี 4 สี, ใช้ Apple Pencil 1 แอปเปิลเปิดตัว iPad รุ่นที่ 10 ที่เป็นรุ่น entry level มาพร้อมดีไซน์ใหม่ แบบเต็มหน้าจอ ขนาด 10.9 นิ้ว ใช้ชิป A14 Bionic กล้องหน้าและหลังความละเอียด 12MP รวมทั้งเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C แล้ว รายละเอียดสเป็กอื่นเพิ่มเติม จอภาพ Liquid Retina ความละเอียด 2360x1640 พิกเซล ความสว่าง 500 นิต กล้องหน้าย้ายตำแหน่ง รองรับการใช้งานแนวนอน ทำงานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 1 รองรับ Wi-Fi 6, 5G ใช้ Touch ID ปลดล็อก ที่ปุ่มด้านบนเครื่อง ตัวเลือก 4 สี ได้แก่ สีฟ้า สีชมพู สีเหลือง และสีเงิน 2 ความจุ 64GB และ 256GB iPad 10th Gen ราคาเริ่มต้น 17,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 23,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular ในอเมริกาเริ่มสั่งจองได้วันนี้ สินค้าส่งมอบ 26 ตุลาคม เป็นต้นไป ส่วนในไทยวางขายเร็ว ๆ นี้ เนื่องจาก iPad นี้ เปลี่ยนมาใช้ USB-C แอปเปิลจึงมีอะแดปเตอร์ (อีกแล้ว) ไว้ให้คนที่มี Apple Pencil 1 รุ่นเก่าอยู่แล้ว สำหรับใช้จับคู่และชาร์จ ทำให้ใช้งานร่วมกับ iPad 10th Gen นี้ได้ ราคาขายอยู่ที่ 390 บาท ส่วนลูกค้าที่ซื้อ Apple Pencil 1 ใหม่จากนี้ แอปเปิลจะให้อะแดปเตอร์ USB-C มาในกล่องด้วย ที่มา: แอปเปิล อะแดปเตอร์ USB-C สำหรับใช้งาน Apple Pencil คู่กับ iPad 10th Gen โดยฝั่ง USB-C ต้องเชื่อมต่อสายกับ iPad อีกทีด้วย ไม่ใช่การเสียบพอร์ตตรง ๆ แบบ iPad รุ่นก่อน
# Sony เปิดราคาจอยรุ่นโปร DualSense Edge ที่ 199.99 ดอลลาร์ เริ่มขาย 26 ม.ค. 2023 Sony Interactive Entertainment ประกาศราคาและวันวางขายของจอยรุ่นโปร DualSense Edge ที่เปิดตัวมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม โดยตั้งราคาขายที่ 199.99 ดอลลาร์ เริ่มขาย 26 มกราคม 2023 ในชุดของจอย DualSense Pro ประกอบด้วยตัวจอย, เคสใส่อุปกรณ์, สาย USB และปุ่มสำรองเอาไว้ใช้เปลี่ยนได้อีก 2 ชุด ฟีเจอร์ของจอย DualSense Edge ก็เหมือนกับจอยรุ่นโปรยี่ห้ออื่นๆ คือความสามารถในการปรับแต่งที่เพิ่มขึ้น เปลี่ยนปุ่ม ก้านโยกได้ ปรับความสูงได้, ปรับระดับความแข็งของปุ่ม trigger ได้, รองรับ multi-profile เป็นต้น การเปิดตัว DualSense Pro ของ PS5 เทียบได้กับจอย Xbox Elite ของฝั่งไมโครซอฟท์ ที่แบบเซ็ตใหญ่พร้อมเคสขายที่ 179.99 ดอลลาร์ และเพิ่งออกเวอร์ชัน Core ไม่แถมอุปกรณ์เสริม ราคาลดเหลือ 129.99 ดอลลาร์ ที่มา - PlayStation Blog
# Firefox 106: เรียกโหมด Private ได้เร็วขึ้น, รองรับการแก้ไข PDF และอื่น ๆ Firefox ออกอัพเดตเวอร์ชัน 106 มีของใหม่เพิ่มมาหลายรายการดังนี้ แก้ไขกรอกข้อมูลในฟอร์ม PDF ได้ รวมทั้งตั้ง Firefox เป็นแอปเปิดไฟล์ PDF พื้นฐานบน Windows ได้ รองรับ Text Recognition ในรูปภาพ สำหรับ macOS 10.15 หรือรุ่นใหม่กว่า พิน Firefox โหมด Private สำหรับเรียกทันที ใน Windows 10 และ Windows 11 โหมด Private ใช้ธีม Dark เป็นค่าเริ่มต้น เพื่อให้ผู้ใช้งานสังเกตได้ชัดเจนขึ้น Firefox View หน้าแรกเมื่อเปิดเบราว์เซอร์ แสดงรายการแท็บที่เคยปิดไป รวมทั้งแท็บที่เปิดบนอุปกรณ์อื่นและซิงก์มา ที่มา: Mozilla
# Apple นำแอป VK กลับคืน App Store แล้ว แอปเปิลนำแอปโซเชียล VKontakte และแอปเมล Mail.ru ของรัสเซียกลับเข้า App Store แล้ว หลังก่อนหน้านี้แอปเหล่านี้ รวมทั้งแอปในเครือ VK ถูกถอดออกจาก Store ก่อนหน้านี้แอปเปิลให้เหตุผลที่ถอดแอปดังกล่าว ว่าเป็นไปตามมาตรการคว่ำบาตรของรัฐบาลอังกฤษ อย่างไรก็ตามในการนำแอปกลับมาที่ App Store แอปเปิลไม่ได้ชี้แจงสาเหตุ ฝั่งผู้พัฒนาเองก็ระบุว่าไม่ได้มีการแก้ไขแอปใด ๆ ซึ่งมีการติดต่อสอบถามแอปเปิลไปแล้วแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ที่มา: MacRumors
# CMA ของอังกฤษสั่ง Meta ขาย Giphy เพราะผูกขาดตลาดโฆษณา, Meta ยอมปฏิบัติตาม เมื่อเดือนพฤศจิกายน หน่วยงานด้านการแข่งขันและตลาดของอังกฤษ (Competition and Markets Authotiry หรือ CMA) ออกคำสั่งให้ Meta ต้องขายกิจการ Giphy แพลตฟอร์มแชร์ภาพ GIF ด้วยข้อหาว่าเป็นการผูกขาดการแข่งขัน Meta ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลการแข่งขัน (Competition Appeal Tribunal หรือ CAT) ผลคือในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา CAT ตัดสินยืนตามแนวทางของ CMA จำนวน 5 ประเด็นจากทั้งหมด 6 ประเด็น โดยประเด็นที่เห็นว่า CAT ไม่มีน้ำหนักมากพอคือการแชร์ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลที่สาม (the sharing of third-party confidential information) หลังจากนั้น CMA ให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกมาตรวจสอบคำตัดสินอีกครั้ง และพบว่าการซื้อกิจการ Giphy มีผลต่อการแข่งขันในธุรกิจโซเชียลมีเดียของสหราชอาณาจักรจริง เพราะ Giphy มีธุรกิจโฆษณาออนไลน์ที่ทับซ้อนกับ Meta และ Meta ก็หยุดบริการโฆษณานี้หลังจากซื้อกิจการ ทำให้การแข่งขันในตลาดโฆษณาออนไลน์ลดลง CMA จึงออกคำสั่งให้ Meta ต้องขายธุรกิจ Giphy ออกไป (อีกครั้ง) ฝั่งของ Meta แถลงว่าไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของ CMA แต่ก็ยอมรับว่าคำตัดสินเป็นที่สิ้นสุดแล้ว และเตรียมจะขาย Giphy ออกไปตามคำสั่ง ที่มา - CMA, TechCrunch
# ต้นทุนพี่แพง บริษัท Nothing ปรับขึ้นราคาหูฟัง Ear (1) จาก 99 ดอลลาร์เป็น 149 ดอลลาร์ Carl Pei ซีอีโอของบริษัท Nothing ประกาศขึ้นราคาหูฟังไร้สาย Ear (1) จากเดิม 99 ดอลลาร์ เป็น 149 ดอลลาร์ ด้วยเหตุผลว่าต้นทุนแพงขึ้น (an increase in costs) Pei โพสต์ชี้แจงในทวิตเตอร์ว่า ตอนนี้บริษัทมีวิศวกร 185 คนแล้ว ตัวหูฟังเองได้อัพเดตเฟิร์มแวร์ไปแล้ว 15 ครั้ง ในแง่คุณภาพและการใช้งานดีขึ้นจากตอนที่วางขายใหม่ๆ มาก Pei ยังบอกว่าขายหูฟัง Ear (1) ไปได้แล้วเกือบ 600,000 ชุด และเชิญชวนให้คนเข้าไปซื้อกันก่อนที่จะปรับขึ้นราคา Ear (1) ตั้งราคาขายในไทย 3,490 บาท แต่ยังไม่แน่ชัดว่าราคาไทยจะเป็นเท่าไรหลังปรับขึ้นไปแล้ว
# ถึงคิวไมโครซอฟท์ปลดพนักงานตามสภาพเศรษฐกิจ จำนวนต่ำกว่า 1,000 คน ไมโครซอฟท์เป็นบริษัทไอทียักษ์ใหญ่รายล่าสุด ที่ต้องปลดพนักงานออกนั้นต่ำกว่า 1,000 คน (ตัวเลขยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ) โดยเว็บไซต์ Axios รายงานว่าตำแหน่งที่ปลดออกมีหลากหลาย โฆษกของไมโครซอฟท์แถลงว่า เป็นการปรับจำนวนพนักงานให้เหมาะสมตามปกติ และมีแผนจะจ้างพนักงานเพิ่มในสายงานที่มีการเติบโตสูงในปีหน้า ที่มา - Axios, Fortune
# กูเกิลเปิดตัว KataOS ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับอุปกรณ์ฝังตัว เน้นความปลอดภัย เขียนด้วย Rust นอกเหนือจาก Android, ChromeOS, Fuchsia ล่าสุดกูเกิลเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ (อีกแล้ว) ชื่อ KataOS สำหรับอุปกรณ์ฝังตัวที่เน้นความปลอดภัยสูง (กูเกิลใช้คำเรียกว่า secure operating system) เพื่อใช้งานประมวลผล machine learning ที่ปลายทาง (ambient ML หรือ AmbiML) โครงการนี้เป็นผลงานวิจัยของ Google Research เลือกใช้เคอร์เนล seL4 ที่มีอยู่ก่อนแล้ว เป็นโครงการ microkernel แบบยูนิกซ์ที่เน้นความปลอดภัยสูง (อ่านบทความ Wikipedia ประกอบ) จากนั้นกูเกิลเขียนส่วนที่เหลือเกือบทั้งหมดด้วยภาษา Rust ที่อุดช่องโหว่เรื่องความปลอดภัยของหน่วยความจำ แนวคิดของ KataOS คือการยืนยันได้ (verifiably) ว่าชิ้นส่วนต่างๆ ของ OS ปลอดภัยจริง (ด้วยอัลกอริทึมทางคณิตศาสตร์) KataOS ถือเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของ Project Sparrow โครงการใหญ่ที่ต้องการสร้างต้นแบบฮาร์ดแวร์ที่รัน KataOS โดยใช้ชิป root-of-trust จากโครงการ OpenTitan ที่เป็นสถาปัตยกรรม RISC-V อีกทีหนึ่ง แต่ก็บอกว่าจะรองรับสถาปัตยกรรมที่เป็น ARM64 ด้วยในอนาคต โดยเป้าหมายสุดท้ายคือต้องการโอเพนซอร์สทุกอย่าง ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ออกสู่สาธาณะ ที่มา - Google Open Source
# AWS เปิด Region ใหม่ในกรุงเทพ มี 3 Availabiltiy Zone AWS ประกาศเปิด Region ใหม่ในกรุงเทพ ใช้ชื่อว่า AWS Asia Pacific (Bangkok) และจะประกอบไปด้วย 3 Availability Zone โดยยังไม่ได้ระบุวันเริ่มให้บริการ นอกจาก AWS ตอนนี้ก็มี Google Cloud ที่เปิด Region ในไทย AWS ประกาศด้วยว่าจะลงทุนในไทยเป็นเม็ดเงินจำนวน 1.9 แสนล้านบาท เป็นะระยะเวลา 15 ปี
# VESA เปิดตัว DisplayPort 2.1 ทำงานร่วมกับ USB4 ดีขึ้น, ลือ Radeon 7000 จะรองรับแล้ว Video Electronics Standards Association (VESA) ออกสเปกของ DisplayPort เวอร์ชัน 2.1 ที่เป็นการอัพเกรดจาก DisplayPort 2.0 ที่ออกในปี 2019 แต่ผ่านมา 3 ปีแล้วยังแทบไม่มีผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายใดนำไปใช้งาน DisplayPort 2.1 มีอัตราการส่งข้อมูลเท่ากับเวอร์ชัน 2.0 (สูงสุดทำได้ที่ 80 Gbps) แต่ปรับปรุงเรื่องการเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟซของพอร์ต USB4 ที่เริ่มทำมาใน DisplayPort Alt Mode 2.0 ในปี 2020 ให้ดีขึ้น (สาย USB Type-C ที่เป็น USB4 จะสามารถส่งข้อมูลได้ทั้ง USB4 และ DisplayPort), รองรับการทำ bandwidth management ผ่าน USB4 VESA ยังระบุว่ากำลังทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ฮาร์ดแวร์ (ไม่ระบุชื่อว่ามีใครบ้าง) เพื่อให้สินค้าที่เตรียมจะรองรับ DisplayPort 2.0 ผ่านมาตรฐานของ DisplayPort 2.1 ไปด้วยเลย ไม่ต้องแยกเวอร์ชันกัน ในประเด็นเรื่องอุปกรณ์ที่รองรับ Kyle Bennett นักข่าวสายฮาร์ดแวร์ ให้ข้อมูลว่า AMD Radeon RX 7000 ที่จะเปิดตัว 3 พฤศจิกายน จะเป็นจีพียูตัวแรกที่รองรับ DisplayPort 2.0/2.1 ในขณะที่คู่แข่ง GeForce RTX 40 ที่เพิ่งเปิดตัว ยังรองรับเฉพาะ DisplayPort 1.4a ที่เก่ามากแล้วเท่านั้น ที่มา - VESA, Neowin
# Netflix เพิ่มฟีเจอร์ ย้ายประวัติการดูไปบัญชีใหม่ง่ายขึ้น - ก้าวแรกก่อนเตรียมปิดการหารบัญชี? Netflix ประกาศเพิ่มคุณสมบัติใหม่ในการใช้งาน Profile Transfer โดยสามารถย้ายข้อมูลของโปรไฟล์การรับชมที่อยู่ในบัญชี Netflix ออกไปยังบัญชี Netflix อีกอันที่สร้างใหม่ได้ ซึ่งข้อมูลประวัติการชมและคอนเทนต์แนะนำก็จะตามไปด้วย ซึ่ง Netflix บอกเพียงฟีเจอร์นี้ ผู้ใช้งานเรียกร้องเข้ามามาก โดยมีผลกับผู้ใช้งานทั่วโลกตั้งแต่วันนี้ ผู้ใช้งานจะได้รับอีเมลแจ้งเตือนถึงฟีเจอร์นี้ โดยสามารถใช้งานที่เมนูของโปรไฟล์ แล้วเลือก Transfer Profile จากนั้นจะไปที่หน้าสร้างบัญชี Netflix ใหม่สำหรับการย้ายข้อมูล ทั้งนี้ในหน้าบัญชีหลักสามารถกำหนดปิดการทำงานของฟีเจอร์ได้ ถึงแม้ Netflix จะอธิบายว่าฟีเจอร์นี้ ทำมาเพราะแต่ละคนอาจมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในชีวิต เช่น ย้ายบ้าน ออกไปมีครอบครัว หรือความสัมพันธ์เดิมสิ้นสุดลง แต่ Variety ก็มองว่าฟีเจอร์นี้เป็นเครื่องมือสำคัญเช่นกัน ที่ Netflix จะใช้ในการผลักดัน เพื่อปิดการแชร์รหัสผ่านบัญชีสำหรับผู้ใช้งานที่ไม่อยู่บ้านเดียวกัน ทำให้ขั้นตอนการแยกบัญชีออกไปทำได้ครบถ้วนมากขึ้น สายหารก็ต้องรอดูกันต่อไป ที่มา: Variety และ Netflix
# Mark Zuckerberg บอกจุดเด่น WhatsApp "เป็นส่วนตัวและปลอดภัย" มากกว่า iMessage Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta โพสต์ภาพใน Instagram ชูคุณสมบัติเด่นของ WhatsApp โดยเปรียบเทียบกับบริการส่งข้อความ iMessage ของแอปเปิล ในโพสต์ เป็นภาพบิลบอร์ดโฆษณา WhatsApp ที่ชูเรื่องความเป็นส่วนตัว ซึ่ง Mark เขียนคำอธิบายว่า WhatsApp มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยกว่า iMessage อยู่มาก ทั้งการเข้ารหัส end-to-end ที่ทำงานได้ทั้งบน iPhone และ Android รวมถึงห้องคุยแบบกลุ่ม ผู้ใช้งานยังกำหนดให้ข้อความหายไปได้ในปุ่มเดียว ปีที่แล้วเรายังเพิ่มการแบ็กอัพแบบ end-to-end อีกด้วย ที่ว่ามาทั้งหมดนั้น iMessage ยังไม่มี ที่มา: MacRumors
# Discord เพิ่มแผนใช้งาน Nitro Basic ราคา 2.99 ดอลลาร์ต่อเดือน, รองรับการชม YouTube ร่วมกัน Discord ประกาศเพิ่มแผนสมัครใช้งาน Nitro แบบใหม่เรียกว่า Nitro Basic ราคาอยู่ที่ 2.99 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งมาแทนที่ Nitro Classic ราคา 4.99 ดอลลาร์ โดยสามารถใช้งานอิโมจิปรับแต่งข้ามเซิร์ฟเวอร์ได้, อัปโหลดไฟล์ใหญ่สุด 50MB, ปรับแต่งโปรไฟล์ แต่ไม่ได้ Server Boost ผู้สมัครใช้ Nitro Classic อยู่แล้ว จะยังใช้งานแผนเดิมได้ต่อไปจนกว่าจะครบกำหนด นอกจากนี้ Discord ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เรียกรวมว่า Activities โดยในห้อง Voice จะเพิ่มไอคอนรูปจรวดสำหรับใช้งาน ซึ่งมีกิจกรรมให้ทำร่วมกันเช่น มินิเกมต่าง ๆ, รองรับการเชื่อมต่อเพื่อชม YouTube ด้วยกัน ที่มา: The Verge
# TikTok ปรับปรุงฟีเจอร์ Live - ต้องอายุอย่างน้อย 18 ปี ถึงสามารถไลฟ์ได้ TikTok อัพเดตฟีเจอร์สำหรับการไลฟ์หลายอย่าง มีรายละเอียดดังนี้ Multi-Guest สามารถเรียกเพื่อนมาร่วมในไลฟ์ได้สูงสุด 5 คน (รวมเป็น 6) และยังเลือกปรับรูปแบบหน้าจอย่อยได้ด้วย จำกัดอายุ ขยับอายุขั้นต่ำที่ผู้ใช้งานสามารถไลฟ์ได้ จาก 16 ปี เป็น 18 ปี มีผลตั้งแต่ 23 พฤศจิกายน เป็นต้นไป รวมทั้งจำกัดให้ผู้ใช้งาน 16 ปีขึ้นไป เข้าถึง DM ได้ และต้อง 18 ปีขึ้นไป จึงสามารถส่งของขวัญได้ กำหนดผู้ชม เจ้าของไลฟ์ สามารถเลือกกำหนดได้ หากต้องการให้ผู้ชมไลฟ์ต้องมีอายุอย่างน้อย 18 ปี ฟิลเตอร์คอมเมนต์ เจ้าของไลฟ์ สามารถตั้งการกรองคำที่ไม่ต้องการในคอมเมนต์ได้ ที่มา: TikTok
# Kanye West ซื้อกิจการโซเชียลมีเดีย Parler Parler ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นประเด็นมาระยะหนึ่ง ประกาศบรรลุข้อตกลง เพื่อขายกิจการให้กับศิลปิน Ye หรือชื่อเดิม Kanye West ซึ่ง Parler บอกว่า Ye เป็นบุคคลที่เหมาะสมในการซื้อกิจการ เนื่องจากที่ผ่านมา เขาต่อสู้กับการถูกเซ็นเซอร์เนื้อหาจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่มาตลอด แพลตฟอร์ม Parler ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว หลังถูกรายงานว่าเป็นแอปยอดนิยมของฝ่ายขวาในการพูดคุยกัน จนแอปถูกถอดออกจาก Store และเพิ่งเริ่มกลับมาใน Google Play เมื่อเดือนที่แล้ว Kanye West เองก็เพิ่งถูกโซเชียลรายใหญ่ทั้ง Instagram และ Twitter ล็อกบัญชีของเขาจากเนื้อหาที๋โพสต์ ซึ่งผลจากดีลนี้ทำให้ George Farmer ซีอีโอของ Parler บอกว่า Kanye West จึงไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะถูกโซเชียลมีเดียไหนแบนอีก เนื่องจากเขาเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มที่ให้ฟรีสปีชเองแล้ว ที่มา: Parler
# Nintendo อัพเดตเงื่อนไขการให้บริการซ่อมเกมเก่า หวังแก้ปัญหาลูกค้าคุกคามพนักงาน ฝ่ายบริการลูกค้าของ Nintendo ออกประกาศปรับปรุงเงื่อนไขการให้บริการซ่อมบำรุงและการรับประกันสินค้าใหม่ โดยหนึ่งในจุดที่น่าสนใจคือการเพิ่มเนื้อหาข้อกำหนดว่าด้วยเรื่อง "การคุกคามจากลูกค้า" (customer harassment) โดยในหน้าเว็บไซต์ของ Nintendo ในส่วนนโยบายการให้บริการซ่อมเกมและการรับประกันงานนั้น ได้มีการเพิ่มเนื้อหาข้อกำหนดหมวดนี้ ซึ่งมีใจความแปลได้ว่า ข้อความข้างต้นนี้ส่วนใหญ่แล้วอิงตามเนื้อหาคู่มือที่ออกโดยกระทรวงสาธารณสุข, แรงงานและสวัสดิการสังคมของญี่ปุ่น ซึ่งมีการจัดทำขึ้นเพื่อให้คำแนะนำแก่ภาคเอกชนในการบริหารจัดการงานเพื่อรับมือกับปัญหาการโดนคุกคามและล่วงละเมิดโดยลูกค้าขององค์กร ซึ่งทางกระทรวงได้ออกแบบสำรวจเพื่อเก็บข้อมูลจากบริษัทต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2020 เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งนี้จากการเก็บข้อมูลผ่านแบบสำรวจพบว่ามีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการคุกคามและการล่วงละเมิดในองค์กรการทำงานต่างๆ ทั้งการคุกคามทางเพศ (sexual harasssment) และการข่มเหงรังแกในที่ทำงาน (power harassment) โดย 2 อย่างนี้ยังคงมีอยู่ในสถานที่ทำงานหลายแห่งแต่มีแนวโน้มลดน้อยลง อย่างไรก็ตามปัญหาการคุกคามจากลูกค้ากลับเป็นปัญหาเดียวที่ยิ่งเพิ่มความรุนแรงหนักขึ้นในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โดยรายงานผลการสำรวจพบว่ามีบริษัทหลายแห่งเผชิญปัญหาการโดนคุกคามจากลูกค้า ทั้งการข่มขู่, การโพสต์ประจาน, การก่อกวนการทำงาน มีองค์กรบางแห่งเจอการบุกรุกเข้าสำนักงานส่วนบุคคล พนักงานบางคนถูกสะกดรอยตาม และมีการเรียกร้องให้คุกเข่าก้มขอขมา เป็นต้น การที่ Nintendo แสดงจุดยืนที่จะต่อต้านพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้เพื่อปกป้องพนักงานของตนเองจึงเป็นท่าทีที่น่าสนใจ เนื้อความเงื่อนไขการให้บริการเกี่ยวกับเรื่องการล่วงละเมิดโดยลูกค้า ที่มา - SoraNews24
# แบงก์ชาติชี้แจงการยืนยันตัวตนก่อนฝากเงิน ระบุจะเร่งให้ธนาคารรองรับบัตรประชาชนหรือฝากเงินไม่ใช้บัตรต่อไป ธนาคารแห่งประเทศไทยชี้แจงถึงกรณีที่ปปง. มีคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ต้องยืนยันตัวตนผู้ฝากเงิน ทำให้การใช้ตู้ฝากเงินอัตโนมัติ (CDM) ต้องใช้งานโดยมีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเสียก่อน โดยระบุว่ากระบวนการนี้เป็นการทำตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งทางปปง. ก็มีข้อชี้แจงออกมาวันนี้ สำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางนี้ ทางธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่ายังสามารถฝากเงินที่สาขา, ร้านสะดวกซื้อ, ไปรษณีย์, หรือช่องทางตัวแทนรับฝากเงินอื่นๆ และจากนี้จะเร่งให้ธนาคารรองรับกระบวนการยืนยันตัวตนรูปแบบอื่นๆ ทั้งบัตรประชาชน และการยืนยันตัวตนแบบไม่ใช้บัตร (cardless) โดยเร็วต่อไป ที่มา - จดหมายข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย
# ผู้ใช้ iPhone 14 บางส่วนพบปัญหา SIM Not Supported จนเครื่องค้าง MacRumors ระบุว่าเห็นบันทึกภายในของ Apple ระบุว่า iPhone 14 ทุกรุ่นมีบั๊ก โดยผู้ใช้บางส่วนอาจได้รับการแจ้งเตือนว่า “SIM Not Supported” และหลังจากนั้น iPhone ก็อาจจะค้างไปเลย Apple กำลังตรวจสอบบั๊กดังกล่าวแต่ก็ยืนยันว่าไม่ใช่ปัญหาด้านฮาร์ดแวร์อย่างแน่นอน โดยบันทึกแนะนำให้ผู้ใช้อัปเดต iOS ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ ทั้งนี้ หากมีการแจ้งเตือนว่า “SIM Not Supported” ให้รอดูว่าข้อความหายไปหรือไม่ หากข้อความไม่หายไป Apple ย้ำว่าผู้ใช้ไม่ควรพยายามแก้ไขด้วยตนเองแต่ควรนำเครื่องไปที่ Apple Store หรือผู้ให้บริการรายอื่น ๆ เพื่อตรวจเช็ค ก่อนหน้านี้ iPhone 14 ก็พบบั๊กเรื่องการต่อ Wi-Fi เมื่อเปิดใช้งานเครื่องครั้งแรกและปัญหากล้องสั่นด้วย ที่มา: MacRumors
# ไลนัสเซ็งเครื่องแฮงค์เพราะแรมพัง ล่าสุดสั่ง ECC มาเปลี่ยนแล้ว ไลนัสแจ้งนักพัฒนาเคอร์เนลว่าช่วงนี้เขาจะทำงานช้ากว่าปกติเพราะคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปของเขาแรมเสียจนทำให้เครื่องแครชระหว่างคอมไพล์เคอร์เนลอยู่เรื่อยๆ ประเด็นการใช้แรม ECC นี้ไลนัสเคยพูดถึงตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยชื่นชม AMD ว่าใส่ความสามารถรองรับแรม ECC ใน Ryzen 5000 แม้ว่าเขาจะใช้ Threadripper เพื่อการคอมไพล์เคอร์เนลที่รวดเร็ว และเขาบ่นตั้งแต่ตอนซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ว่าไม่สามารถหาแรม ECC ที่ราคาสมเหตุสมผลได้ ขณะที่เขาสั่งแรม ECC มาเปลี่ยนนี้ก็ยังบ่นอุตสาหกรรมโดยรวมว่าชอบทำให้แรม ECC กลายเป็นของพิเศษ ที่มา - Linux Kernel
# Google Fiber เตรียมเพิ่มแพคเกจอินเทอร์เน็ต 5Gbps และ 8Gbps ต้นปี 2023 Google Fiber ซึ่งให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในสหรัฐอเมริกา เตรียมเพิ่มแพคเกจอินเทอร์เน็ตอีก 2 รายการ ด้วยความเร็ว 5Gbps และ 8Gbps โดยคิดค่าบริการเดือนละ 125 ดอลลาร์ และ 150 ดอลลาร์ตามลำดับ เริ่มให้บริการต้นปีหน้า ผู้ใช้บริการทั้ง 2 แพคเกจจะได้ความเร็วในการดาวน์โหลดและอัพโหลดเท่ากัน โดย Google จะให้เราท์เตอร์ WiFi 6 กับตัวเพิ่มสัญญาณอีก 2 ตัวแก่ลูกค้าพร้อมบริการติดตั้งอุปกรณ์ Google Fiber เริ่มให้บริการอินเทอร์เน็ตครั้งแรกในปี 2010 ด้วยความเร็ว 1Gbps ซึ่งก็เร็วมากแล้วในยุคนั้น ก่อนที่จะเริ่มขยับความเร็วอินเทอร์เน็ตมาที่ 2Gbps ในปี 2020 การเพิ่มแพคเกจใหม่ที่มีความเร็วอินเทอร์เน็ตสูงสุดมากกว่าเดิม 2 เท่าในต้นปีหน้าจึงถือเป็นการอัพเกรดแบบก้าวกระโดดให้กับลูกค้า ทั้งนี้ในปัจจุบัน Google Fiber มีแพคเกจอินเทอร์เน็ต 1Gbps และ 2Gbps โดยคิดค่าบริการเดือนละ 70 ดอลลาร์ และ 100 ดอลลาร์ตามลำดับ Google เปิดให้ลูกค้าปัจจุบัน Google Fiber ในพื้นที่ Utah, Kansas City และ West Des Moines ที่สนใจอินเทอร์เน็ต 5Gbps และ 8gbps ลงทะเบียนขอทดลงใช้งานได้ทางเว็บไซต์ รายละเอียดแพคเกจอินเทอร์เน็ตพร้อมค่าบริการรายเดือนในปัจจุบันของ Google Fiber สำหรับในประเทศไทยนั้นจากการสืบค้นพบว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตตามบ้านแทบทุกรายต่างก็มีแพคเกจอินเทอร์เน็ตความเร็วดาวน์โหลด 1Gbps กันหมด โดยมีบางรายที่มีแพคเกจความเร็วดาวน์โหลด 2Gbps ให้เลือกสมัครใช้บริการด้วย ส่วนความเร็วอัพโหลดนั้นผู้ให้บริการความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 1Gbps ที่มา - Google Fiber ผ่าน Engadget
# พบ Google Pixel 7 ปิดไม่ให้ติดตั้งแอพ Android แบบ 32 บิตแล้ว ได้เฉพาะ 64 บิตอย่างเดียว Mishaal Rahman นักคุ้ยข้อมูลสาย Android จากบริษัท Esper ที่เชี่ยวชาญเรื่องการวิเคราะห์ซอฟต์แวร์ Android พบว่ามือถือ Pixel 7 รุ่นใหม่ล่าสุดของกูเกิล ไม่รองรับการติดตั้งแอพที่เป็น 32 บิตแล้ว รับแต่ 64 บิตเท่านั้น การเปลี่ยนผ่านจาก 32 บิตเป็น 64 บิตของ Android ยังดำเนินไปอย่างช้าๆ โดยกรณีของ Pixel 7 นั้น ตัวชิป Tensor G2 ยังรองรับการรันแอพ 32 บิตอยู่ แต่กูเกิลใช้วิธีตั้งค่า flag เพื่อปิดการติดตั้งแอพ 32 บิต คาดว่าเหตุผลเป็นเพราะกูเกิลต้องการทดสอบว่าถ้าใช้ปิด flag แบบนี้จะส่งผลกระทบต่อแอพเก่าๆ สักแค่ไหน หากเจอปัญหาเยอะก็ยังสามารถกลับมาเปิด flag คืนให้ได้ แอพที่ได้รับผลกระทบคือแอพเก่าๆ ก่อนปี 2019 ที่กูเกิลบังคับว่าต้องเป็น 64 บิต แอพเหล่านี้อาจยังคอมไพล์เป็น 32 บิตและไม่ถูกอัพเดตอีกแล้ว (เช่น เกมนกกระโดด Flappy Bird) หากติดตั้งแอพเหล่านี้จะขึ้นข้อความว่า app isn't compatible with your phone ซึ่งผู้ใช้ไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก หากไม่ได้ใช้งานแอพที่เก่ามากจริงๆ แล้ว ตัวอย่างหน้าจอส่งแอพ 32 บิตขึ้น Play Store หลังปี 2019 จะได้รับคำเตือนตามภาพ ที่มา - Ars Technica
# Meta จับมือสโมสร Liverpool เพิ่มชุดแข่งหงส์แดงให้ตัวอวตาร Meta เปิดตัว Avatar Store ร้านขายเสื้อผ้าสำหรับตัวอวตารเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้ใช้ Meta สามารถเลือกเครื่องแต่งกายจากแบรนด์ต่างๆ ให้กับอวตารของตัวเองได้ และล่าสุด Meta ได้เพิ่มชุดแข่งสโมสร Liverpool เข้าใน Avatar Store แล้วเป็นที่เรียบร้อย ชุดแข่งของ Liverpool ที่ปรากฎในร้านของ Meta นั้นจะมีชุดเหย้าสีแดงและชุดเยือนสีขาว (ไม่มี third kit) และเป็นที่น่าสนใจว่าภาพที่ปรากฏนั้นไม่มีมีเครื่องหมายการค้าของ Nike ผู้ผลิตชุดแข่งให้กับสโมสร จึงเป็นที่สันนิษฐานว่างานนี้เป็นข้อตกลงร่วมมือกัน 2 ฝ่ายระหว่าง Meta และสโมสรเท่านั้นโดยไม่มี Nike เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย (แต่โลโก้ผู้สนับสนุนหลักบนอกเสื้อแข่งยังมีในรูป) นอกจากนี้ยังมีชุดลำลองอีก 2 ชุดที่ตีแบรนด์ Liverpool ที่ Meta ใส่เข้ามาใน Avatar Store ด้วย โดยผู้ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เม็กซิโก, สปน, อิตาลี, สหราชอาณาจักร และไทย เป็นกลุ่ม 7 ประเทศแรกที่สามารถซื้อชุดแข่ง Liverpool ให้ตัวอวตารได้เลยทันที ตัวอวตารที่ถูกสร้างขึ้นและจับแต่งตัวนี้สามารถใช้งานได้ทั้งบน Facebook, Messenger และ Instagram โดย Meta ระบุภายในปีนี้จะสามารถใช้งานในระบบ VR ได้ด้วย ที่มา - Meta
# Apple Music จับมือ Mercedes-Benz นำฟีเจอร์ Spatial Audio มาใช้ในรถยนต์เป็นครั้งแรก Apple Music ร่วมมือกับ Mercedes-Benz เพื่อนำฟีเจอร์ระบบเสียงรอบทิศทาง Spatial Audio พร้อมกับ Dolby Atmos มาใช้ในรถยนต์เป็นครั้งแรก แต่จะใช้ได้เฉพาะรถยนต์ Mercedes Benz บางรุ่น และต้องเพิ่มเงินเพื่อติดตั้งชุดเครื่องเสียงเพิ่มเติม รถที่รองรับ ได้แก่ Mercedes-Maybach S-Class, EQS, EQS SUV, EQE, EQE SUV และ S-Class ซึ่งเป็นรุ่นที่รองรับการติดตั้งระบบเสียง Burmester 3D และ 4D ที่มีลำโพง 31 ตัว ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเป็นเงิน $4,550 (ราว 173,500 บาท) และ $6,730 (ราว 256,700 บาท) สำหรับระบบ 3D และ 4D ตามลำดับ สำหรับเพลงทาง Mercedes-Benz ได้ร่วมมือกับ Universal Music Group (UMG) วางแนวทางการมิกซ์เพลงเพื่อให้ฟังในรถ Mercedes-Benz ที่รองรับ Dolby Atmos ได้สมบูรณ์ พร้อมกับส่งรถที่ติดตั้งระบบเสียง Burmester ให้ทีมงานมิกซ์เพลงไปลองฟังว่าผู้ฟังจะได้ยินอย่างไร เพลงที่ผ่านกระบวนการนี้จะมีป้าย “Approved in a Mercedes-Benz” กำกับ Apple ได้ปล่อยฟีเจอร์ Spatial Audio ที่รองรับ Dolby Atmos มาเมื่อปีที่แล้ว ที่มา: Mercedes-Benz via 9to5Mac
# Sony ประเทศไทย เปิดจอง PS5 รอบใหม่ 18 ตุลาคม เวลา 11:00น. โซนี่ประเทศไทย ประกาศเปิดจอง PlayStation 5 รอบใหม่ ในวันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2565 เริ่มเวลา 11:00น. เป็นต้นไป ครั้งนี้มีให้เลือกซื้อ 2 แบบ ซึ่งมีบันเดิลทั้งคู่ ได้แก่ รุ่นมีช่องอ่านแผ่น Horizon Forbidden West Bundle ราคา 20,390 บาท รุ่นมีช่องอ่านแผ่น Horizon Forbidden West Bundle บวก คอนโทรลเลอร์ไร้สาย DualSense และ TV 55X90K ราคา 51,990 บาท ที่มา: Sony Store Thailand
# ธนาคารเตรียมบังคับยืนยันตัวตนด้วยบัตรเครดิตและเดบิตก่อนใช้ตู้ฝากเงินสด ธนาคารกรุงไทยเผยแพร่เอกสาร ระบุว่าต้องเปลี่ยนแนวทางการให้บริการตู้ฝากเงินสด (CDM) โดยมีการยืนยันตัวตนก่อนฝากเงิน ตามกฎเกณฑ์ของ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใต้โครงการ CDM AMLO ผู้ฝากเงินสามารถใช้บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตเพื่อยืนยันตัวตนของธนาคารใดก็ได้ 11 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย (ยกเว้นบัตร KTC ตามข้อมูลปัจจุบัน) ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารยูโอบี ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยผู้ฝากจะไม่เสียค่าบริการยืนยันตัวตน ส่วนค่าธรรมเนียมในการฝากเงินไปยังบัญชีปลายทางต่างธนาคารขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละธนาคาร ที่ผ่านมาเมื่อผู้ฝากเงินผ่านตู้ฝากเงินอัตโนมัติไม่ต้องยืนยันตัวตนทำให้เกิดกรณีการฟอกเงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายอย่างการค้ายาเสพติดหรือการพนัน หากผู้ใช้ไม่ยืนยันตัวตนด้วยบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต จะต้องทำธุรกรรมผ่านสาขาของแต่ละธนาคารหรือผ่าน banking agent เช่นร้านสะดวกซื้อซึ่งจะมีการยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน ที่ผ่านมาปปง. เคยออกรายงานวิเคราะห์ภัยคุกคามด้านการฟอกเงินผ่านธุรกิจธนาคาร โดยช่องทางบริการที่เกี่ยวข้องมักเป็นช่องทางอิเล็กทรอนิกส์, ตู้ ATM, และตู้ CDM เช่น การค้ายาเสพติดที่คนร้ายฝากเงินผ่านบัญชีของผู้อื่น ที่มา: ธนาคารกรุงไทย
# BioNTech เดินหน้าทดลองวัคซีน mRNA รักษามะเร็ง อาจใช้ได้ภายในปี 2030 ศาสตราจารย์ Ugur Sahin และ Ozlem Tureci ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท BioNTech ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิดให้กับ Pfizer เผยว่า ขณะนี้กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่นำ mRNA มาใช้เพื่อรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งอาจจะรักษามะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ใหญ่ และเนื้องอกชนิดอื่น ๆ ได้ และน่าจะนำมาใช้กับผู้ป่วยได้ก่อนปี 2030 บริษัท BioNTech ได้เริ่มทดลองวัคซีน mRNA เพื่อรักษามะเร็งมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เพราะเกิดไวรัสโควิด-19 จึงต้องหันไปผลิตวัคซีน mRNA เพื่อให้ป้องกันไวรัสโควิด-19 ก่อน วัคซีนรักษามะเร็งที่กำลังทดลองอยู่จะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อให้โจมตีเซลล์มะเร็งเหมือนอย่างที่ใช้กับโควิด-19 ขณะที่คู่แข่งอย่าง Moderna นั้นก็มีโครงการพัฒนาวัคซีนสำหรับรักษามะเร็งที่อยู่ในขั้นตอนการวางแผนทดลองเฟส 2 แล้ว การทำงานของวัคซีนรักษามะเร็งนั้นทำงานคล้ายกับวัคซีนป้องกันไวรัส COVID-19 โดย mRNA จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตโปรตีนที่ฝึกระบบภูมิคุ้นกันให้จับเซลล์มะเร็งแทนที่จะเป็นการจับไวรัส แต่ในกรณีของมะเร็งนั้นจะซับซ้อนกว่ามาก เพราะเซลล์มะเร็งมีรูปแบบโปรตีนที่หลากหลาย และต้องระวังว่าจะไม่สร้างวัคซีนที่ทำลายเซลล์ปกติ ก่อนหน้านี้ BioNTech และ Pfizer ได้ถูก Moderna ฟ้องร้องเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรในการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่มา: BBC และ The Guardian
# Apple Card เพิ่มบริการใหม่ นำ Cash Back ฝากเข้าบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงอัตโนมัติ ข่าวนี้อาจจะไกลตัวจากผู้ใช้งานในไทยหน่อย แต่น่าสนใจในการขยับของแอปเปิล โดยบริการบัตรเครดิต Apple Card ที่มีจุดเด่นคือการได้เครดิตเงินคืนจากการใช้งาน (cash back) ประกาศโครงการใหม่เป็นบัญชีออมทรัพย์ผูกกับบัตรเครดิต โดยแอปเปิลบอกว่าทุกการใช้จ่ายจะได้รับเครดิตเงินคืน (แอปเปิลเรียกว่า Daily Cash) ผู้ใช้งานสามารถเลือกนำเครดิตนี้ ฝากเข้าบัญชีออมทรัพย์ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงอัตโนมัติ ซึ่งเป็นความร่วมมือกับธนาคาร Goldman Sachs และสามารถเปิดบัญชีธนาคารนี้ได้เลยผ่านแอป Wallet ไม่มีค่าธรรมเนียม ไม่มียอดฝากขั้นต่ำ ผู้ใช้งานยังสามารถผูกบัญชีเงินฝากนี้ ร่วมกับบัญชีเงินฝากธนาคารอื่นที่ใช้งานประจำ หรือเลือกถอนกลับเข้าบัตรเครดิต Apple Card ได้ตลอดเวลาโดยไม่มีค่าธรรมเนียม Apple Card ปัจจุบันยังให้บริการเฉพาะในอเมริกาเท่านั้น ที่มา: แอปเปิล
# ผลสำรวจพบ หุ่นยนต์ภาคอุตสาหกรรม มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนตัว ในปี 2021 องค์กร International Federation of Robotics หรือ IFR รายงานภาพรวมของการใช้หุ่นยนต์ภาคอุตสาหกรรม พบว่าในปี 2021 มีหุ่นยนต์ที่ติดตั้งใช้งานเพิ่มขึ้น 517,385 ตัว ในโรงงานทั่วโลก เพิ่มขึ้น 31% เทียบกับตัวเลขในปี 2020 และกลับมาเป็นตัวเลขที่สูงกว่าปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดโควิด 19 IFR ประเมินว่าจำนวนหุ่นยนต์อุตสาหกรรมตอนนี้มีใช้งานราว 3.5 ล้านตัว ภูมิภาคเอเชียมีการติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมมากที่สุด คิดเป็น 74% ของหุ่นยนต์ใหม่ทั้งหมด โดยมีจีนเป็นประเทศที่มีการใช้งานมากที่สุด ตามด้วยญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการใช้หุ่นยนต์สูงอยู่ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์โรคระบาดแล้ว ส่วนอเมริกาอยู่ในอันดับที่ 3 และเกาหลีใต้ อันดับที่ 4 หมวดธุรกิจที่มีการใช้งานหุ่นยนต์อุตสาหกรรมสูงตอนนี้เป็นกลุ่มอาหาร ตามด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ที่มา: IFR ผ่าน The Wall Street Journal
# 3M เปิดตัวแอป Post-it สำหรับ Microsoft Teams ทุกวันนี้กระดาษโน้ตหลากสีที่มาพร้อมกาวด้านหลังสำหรับแปะโต๊ะทำงานหรือกระดานไวท์บอร์ดกลายเป็นหนึ่งในเครื่องเขียนที่หลายสำนักงานต้องมีติดไว้ใช้งานเสมอ โดยต้นตำรับกระดาษจดบันทึกแบบนี้ก็คือเจ้าของชื่อยี่ห้อ "Post-It" อย่าง 3M ซึ่งตอนนี้ไม่เพียงแต่จะผลิตกระดาษจดบันทึกไว้ใช้บนโต๊ะทำงานเท่านั้น แต่ 3M ได้พัฒนาแอป Post-It เวอร์ชั่นสำหรับ Microsoft Teams ให้ใช้สำหรับการประชุมและทำงานแบบออนไลน์กันด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ 3M พัฒนาซอฟต์แวร์ในชื่อ Post-It ก่อนหน้านี้พวกเขาได้พัฒนาแอปสำหรับสมาร์ทโฟนออกมาก่อนแล้วในปี 2014 ซึ่งตัวแอปมีฟังก์ชั่นหลักคือการถ่ายรูปกระดาษ Post-It ที่เป็นแผ่นแล้วใช้ระบบประมวลภาพดึงเอาข้อความบนกระดาษมาแสดงเป็นกล่องข้อความหลากสีในสมาร์ทโฟนและสามารถส่งข้อมูลไปใช้งานบนแพลตฟอร์มเพื่อการทำงานอื่นได้ สำหรับแอปเวอร์ชั่นสำหรับ Microsoft Teams นี้ก็มีความคล้ายคลึงกัน มันรองรับการถ่ายภาพกระดาษ Post-It ด้วยเว็บแคมที่ใช้สำหรับการประชุม หรือจะดึงข้อมูลมาจากภาพที่ถ่ายด้วยแอป Post-It เวอร์ชั่นสมาร์ทโฟนอีกทางหนึ่งก็ได้ ในแอปสำหรับ Microsoft Teams ผู้ใช้สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับกล่องข้อความหลากสีในแอปคล้ายกับการคุยงานโดยใช้กระดาษ Post-It จริงๆ บนโต๊ะทำงานหรือกระดานไวท์บอร์ด โดยมีฟังก์ชั่นการใช้งานดังนี้ ถ่ายภาพกระดาษ Post-It เพื่อดึงข้อความลายมือบนกระดาษมาแสดงบนแอป Zen Mode สำหรับการเพิ่มสมาธิในการทำงานโดยหยุดแสดงผลการแก้ไขกล่องข้อความของผู้ใช้ Microsoft Teams คนอื่นๆ ในขณะนั้น ค้นหาคำสำคัญและจัดกลุ่มกล่องข้อความที่เนื้อหาซ้ำกัน เชื่อมโยงระบบค้นหาข้อมูลกับ Bing, Wikipedia และผูกเนื้อหากับไฟล์งานอื่นๆ ใน Microsoft Teams ระบบโหวตลงคะแนนในระหว่างคุยงานกันผ่านแอป Post-It การติดแท็กสมาชิกในทีมเพื่อมอบหมายงาน แอป Post-It เวอร์ชั่นสำหรับ Microoft Teams นี้จะเปิดให้ทดลองใช้งานฟรี 30 วัน หลังจากนั้นจะคิดค่าใช้งาน 2.99 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือหากเหมารายปีจะมีค่าใช้งานปีละ 31.25 ดอลลาร์ ใครที่สนใจอยากทดลองใช้งานแอปก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่นี่ ที่มา - Tech Xplore, 3M News Center
# นักวิจัยถอดกระบวนการแปลงเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ระดับโปรตีนสำเร็จ ทีมวิจัยจาก Oregon Health & Science University (OHSU) รายงานความสำเร็จในการศึกษากระบวนการแปลงเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้าในหูชั้นใน โดยอาศัยการศึกษาจากหนอนตัวกลม Caenorhabditis elegans ที่มีโครงสร้างการแปลงแรงกระทำเป็นสัญญาณ (mechanosensory) คล้ายมนุษย์ ทำให้คาดได้ว่าโครงสร้างระดับโปรตีนในหูมนุษย์ก็จะมีรูปแบบคล้ายกัน การศึกษาอาศัยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนศึกษาโครงสร้างของโปรตีน transmembrane channel-like protein 1 (TMC-1) ที่ประกบคู่กันสองชุด และโปรตีนอื่นๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นเซ็นเซอร์สามารถควบคุมการไหลของไอออนตามเสียงได้ ทีมวิจัยพยายามแยกโปรตีนเหล่านี้ออกมาศึกษากระบวนการทำงานทำให้ต้องใช้หนอนไปกว่า 60 ล้านตัวใช้เวลา 5 ปี โดยต้องพัฒนาตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงหนอนจำนวนมากๆ และการแยกโปรตีนที่ต้องการออกมาศึกษา Eric Gouaux หนึ่งในทีมวิจัยระบุว่าความเข้าใจในโครงสร้างระดับโปรตีน จะเปิดโอกาสให้เราสามารถพัฒนาโมเลกุลมาทดแทนหากในกรณีผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการได้ยิน ทั้งจากสาเหตุทางพันธุกรรม หรือกรณีหูเกิดความเสียหายจากการฟังเสียงดังมากๆ ต่อเนื่อง งานวิจัย Structures of the TMC-1 complex illuminate mechanosensory transduction ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ที่มา - OHSU
# [ลือ] Spotify เตรียมปล่อยแพคเกจ Platinum ให้ฟังเพลงด้วยคุณภาพ HiFi หลังประกาศข่าวตั้งแต่ปีก่อนจนบางคนอาจจะรอจนลืมไปแล้วเกี่ยวกับการให้ฟังเพลงด้วยคุณภาพเสียงระดับ HiFi ของ Spotify หนนี้ข่าวคราวเรื่องนี้กลับมาอีกครั้งโดยอาจจะมาในฐานะฟีเจอร์พิเศษของแพคเกจแบบ Platinum ที่ Spotify เตรียมจะให้บริการพร้อมฟีเจอร์อื่นๆ ในราคาเดือนละ 19.99 ดอลลาร์ ข่าวนี้มาจากผู้อ่านของเว็บ 9to5Mac รายหนึ่งซึ่งอ้างว่าได้ยกเลิกการใช้งาน Spotify แบบเสียเงินหลังจากที่ใช้บริการมาร่วม 10 ปี เพื่อจะย้ายไปใช้งาน Apple Music เป็นหลัก โดยเจ้าตัวบอกว่าได้อีเมลแบบสำรวจจาก Spotify มาสอบถามเกี่ยวกับการยกเลิกบริการ (ซึ่งอันที่จริงเป้าหมายหลักอาจเป็นการง้อให้กลับไปใช้บริการอีกครั้ง) โดยในอีเมลนี้มีการบอกข่าวเรื่องแพคเกจ Platinum ที่จะเปิดตัวในอนาคตด้วย รายละเอียดในอีเมลดังกล่าวได้ระบุราคาของแพคเกจ Platinum พร้อมด้วยฟีเจอร์ทั้งหมดดังนี้ HiFi Studio Sound Headphone Tuner Audio Insights Library Pro Playlist Pro Limited-ad Spotify podcasts หากข้อมูลทั้งหมดเป็นความจริงก็น่าสนใจว่าด้วยราคา 19.99 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งเท่ากับเป็น 2 เท่าของราคาแพคเกจแบบเสียเงินในปัจจุบันนั้นจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกสนใจแพคเกจ Platinum มากน้อยแค่ไหน ที่มา - 9to5Mac
# Mesh avatar: ฟีเจอร์ประชุมด้วยอวตารใน Microsoft Teams เริ่มปล่อยให้ทดลองใช้แล้ว จากงาน Ignite 2021 ที่ Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ Mesh avatar สำหรับ Microsoft Teams ซึ่งเดิมที Microsoft วางแผนจะปล่อยให้ใช้งานตั้งแต่ต้นปี 2022 แต่ก็เลื่อนยาวมาตลอด แต่ล่าสุดฟีเจอร์นี้ถูกปล่อยให้ผู้ใช้บางส่วนทดลองใช้งานแล้ว Mesh avatar คือระบบการสร้างภาพอวตารแทนตัวผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้งาน Microsoft Teams สามารถเลือกแสดงอวตารนี้แทนการเปิดกล้องถ่ายหน้าตัวเองในระหว่างการประชุมได้ ผู้ใช้สามารถเลือกเปิดใช้ Mesh avatar ได้จากหน้า Home ของ Microsoft Teams หรือจากหน้าจอในระหว่างการประชุมก็ได้ ทั้งนี้จากภาพด้านล่าง จะสังเกตบริเวณมุมขวาล่างของหน้าจอว่าตัวอวตารสามารถแสดงท่าทางตามที่ผู้ใช้กดรีแอคชั่นในตอนประชุมได้ด้วย เช่น ท่ากด Like, หัวเราะ, หรือส่งหัวใจ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภาพ Mesh avtar ได้ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมรวมทั้งเครื่องประดับ เรียกว่าเหมือนการสร้างตัวละครในเกมก็คงไม่ผิดนัก โดย Microsoft บอกว่าทีมงานจริงจังกับระบบปรับแต่งนี้มากเพื่อสะท้อนการเคารพความหลากหลายของผู้คนในองค์กร อย่างไรก็ตามตอนนี้อวตารของ Microsoft ยังไม่มีขา (แต่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่หากมองว่าตอนประชุมก็มองเห็นกันแค่เฉพาะส่วนบนของร่างกายอยู่แล้ว) และจากภาพตอนหนึ่งในคลิปวิดีโอตัวอย่างที่ Microsoft โพสต์ในบล็อก ก็จะเห็นว่าการใช้งาน Mesh avatar นั้นไม่จำเป็นต้องเปิดกล้องเว็บแคม โดยผู้ใช้สามารถบันทึกอวตารของตัวเองไว้หลายแบบและเปิดใช้งานคู่กับภาพพื้นหลังต่างๆ ได้ตามความต้องการ ตอนนี้ Microsoft เปิดฟีเจอร์ Mesh avatar นี้ให้ผู้ใช้ที่สมัครเข้าร่วมโปรแกรม TAP (Technology Adoption Program) ได้ลองใช้ก่อนเป็นกลุ่มแรก โดยสามารถลงทะเบียนร่วมทดลองใช้งานได้ที่นี่ ที่มา - Microsoft Teams Blog
# SCB Easy ปล่อยอัพเดตป้องกันการบันทึกหน้าจอระหว่างทำธุรกรรม ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศอัพเดตแอป SCB Easy เวอร์ชั่นใหม่ห้ามไม่ให้บันทึกหน้าจอระหว่างการทำธุรกรรม โดยจะเริ่มปล่อยอัพเดตตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมนี้ ก่อนหน้านี้มีเหตุลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ถูกโอนเงินออกจากบัญชีรวม 1.4 ล้านบาท โดยทางธนาคารชี้แจงว่าเหตุเกิดจากลูกค้าถูกหลอกให้ติดตั้งโปรแกรม แม้จะไม่มีรายละเอียดว่าเป็นโปรแกรมอะไร แต่ทางธนาคารก็ระบุว่าคนร้ายอาจจะอาศัยการหลอกให้เหยื่อติดตั้งโปรแกรม remote desktop หรืออาจจะวิดีโอคอลแล้วหลอกให้เหยื่อแชร์หน้าจอ การป้องกันการบันทึกหน้าจอเช่นนี้จึงเป็นการลดความเสี่ยงกรณีเหล่านี้ลง แอนดรอยด์นั้นมี FLAG_SECURE สำหรับการระบุว่าหน้าจอใดเป็นหน้าจอความเสี่ยงสูง ห้ามบันทึกหน้าจออยู่แล้วตั้งแต่ API Level 1 ที่ผ่านมาแอปความเสี่ยงสูงก็มักตั้งค่าเอาไว้ ทำให้แอป remote desktop เช่น Team Viewer เวอร์ชั่นแอนดรอยด์มองหน้าจอเห็นเป็นหน้าจอดำเท่านั้น ที่มา - @scb_thailand
# JetBrains เปิดให้ดาวน์โหลด Fleet IDE ตัวใหม่ เน้นความเบา, UI เรียบง่าย, เอนจินเดียวกับ IntelliJ หลังเปิดตัวแอพ Fleet ที่เป็น IDE ขนาดเบามาแข่งกับ VS Code ผ่านมาเกือบ 1 ปีเต็ม JetBrains ก็เพิ่งเปิดให้คนทั่วไปดาวน์โหลด Fleet แบบ Public Preview มาทดลองใช้งานกัน (หน้าดาวน์โหลด) Fleet เป็นการนำเอนจินเบื้องหลังของ IntelliJ Platform มาใส่ UI ใหม่ และปรับสถาปัตยกรรมของแอพมาเป็นแบบ distributed ให้สามารถรัน Fleet แบบรีโมทได้ง่าย JetBrains อธิบายว่า Fleet ไม่ได้ออกแบบมาใช้แทน IDE ตัวอื่นๆ ของค่าย แต่เป็นการสร้าง UX ใหม่ๆ ให้นักพัฒนาใช้งาน และยืนยันว่า Fleet จะไม่มีฟีเจอร์ใหญ่ๆ ครบถ้วนเหมือนกับ IDE ตัวอื่นๆ โดยฟีเจอร์ที่จะพัฒนาเพิ่มเติมในระยะถัดจากนี้คือ เพิ่มสถาปัตยกรรมรองรับปลั๊กอิน, ธีม, keymaps ปุ่ม และปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้น นอกจากนี้ Fleet ยังใช้ไลเซนส์แบบเดียวกับ IDE ของ JetBrains คือเปิดให้ใช้ฟรีสำหรับภาคการศึกษาและใช้เป็นงานอดิเรก แต่ถ้าใช้ในเชิงพาณิชย์ต้องจ่ายเงิน ซึ่งยังไม่ประกาศราคา ที่มา - JetBrains
# เยอะไป นับไม่ไหว กูเกิลแครชทุกครั้งที่ถามจำนวนอีโมจิบน iOS ผู้ใช้ wfme บนเว็บไซต์ Hacker News รายงานว่ากูเกิลจะแครชทุกครั้งที่พิมพ์ถามว่า “how many emojis on iOS” โดยเว็บไซต์แสดงข้อความผิดพลาด คาดว่าสาเหตุเกิดจากคอนเทนต์ในเว็บไซต์ emojipedia.com มีข้อความบางอย่างที่ทำให้เอนจินของกูเกิลแครชไปได้ โดยหาค้นหาผลลัพธ์โดยให้ข้ามเว็บ emojipedia.com (ใส่ -inurl:emojipedia.com ในคำค้น) ไปก็จะทำงานได้ตามปกติ ข้อความค้นหาคล้ายๆ กันจำนวนมาก เช่น การค้นหาจำนวนอีโมจิบนลินุกซ์ หรือระบบอื่นๆ ก็แสดงข้อความผิดพลาดหรือไม่ก็ทำงานช้ามากๆ เช่นกัน ที่มา - Hacker News
# [ลือ] Apple อาจเปิดตัว iPad Pro รุ่นอัพเกรดในสัปดาห์หน้า ดีไซน์เดิม ได้ชิป M2 Mark Gurman แห่ง Bloomberg ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าใหม่แอปเปิล ผ่านจดหมายข่าว Power On ตอนล่าสุด เริ่มด้วย iPad Pro รุ่นใหม่ ทั้งหน้าจอ 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว ว่าจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ โดย Gurman ใช้คำว่าในอีกไม่กี่วัน ทั้งนี้ตามข้อมูลที่เขามี iPad Pro ตัวใหม่ จะใช้โค้ดเนม J617 และ J620 มีดีไซน์ภายนอกเหมือนรุ่นก่อน สิ่งที่เปลี่ยนคือชิป M2 ซึ่งทำงานเร็วขึ้น 20% ส่วน iPad อีกรุ่นที่อาจเปิดตัวพร้อมกันคือ iPad รุ่นปกติ entry level ซึ่งมีดีไซน์ใหม่แบบ iPad Pro, ใช้ชิป A14 Bionic และมีการเปลี่ยนสำคัญคือใช้พอร์ต USB-C แล้ว Gurman คาดว่าแอปเปิลจะไม่มีการจัดงานเปิดตัวสินค้า สำหรับ iPad รุ่นใหม่ชุดนี้ แต่ออกเป็นจดหมายข่าวให้กับสื่อแทน ส่วนสินค้าตระกูล Mac นั้น เขาบอกว่าแอปเปิลก็เตรียมเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ แต่ไม่มาพร้อมกับ iPad โดยคาดมีทั้ง MacBook Pro ใหม่ หน้าจอ 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว ที่มา: Bloomberg
# Binance ตั้งกองทุน 500 ล้านดอลลาร์ ช่วยเหลือผู้ประกอบการเหมืองคริปโต กู้เสริมสภาพคล่อง Binance ประกาศตั้งกองทุนขนาด 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการขุดเหมืองคริปโต ที่กำลังประสบปัญหาในช่วงนี้เพราะราคาเหรียญ Bitcoin ตกลง, Ethereum เปลี่ยนอัลกอริทึมเป็น Proof of Stake ที่ไม่ต้องขุดเหมืองอีกต่อไป และปัญหาค่าไฟแพงขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก กองทุนของ Binance จะให้ผู้ประกอบการเหมืองเหล่านี้กู้เงินไปเสริมสภาพคล่อง เป็นการปล่อยกู้นาน 18-24 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ย 5-10% โดยผู้ประกอบการเหมืองต้องมีการค้ำประกันให้กับ Binance ด้วย ไม่ว่าจะค้ำด้วยเหรียญ หรือค้ำด้วยสินทรัพย์ทางกายภาพอย่างอื่น เว็บไซต์ Coindesk รายงานว่ามีผู้ประกอบการคริปโตรายใหญ่ๆ อีกหลายรายออกโครงการปล่อยกู้ช่วยเหลือเหมืองรายย่อยลักษณะเดียวกัน เช่น Jihan Wu ผู้ก่อตั้ง Bitmain เหมืองรายใหญ่ของโลกออกโครงการปล่อยกู้ 250 ล้านดอลลาร์ ที่มา - Binance, Coindesk
# เปิดตัวเครื่องเกมพกพา Razer Edge จอ 144Hz, Snapdragon 3Gx, คอนโทรลเลอร์ Kishi, ราคา 400 ดอลลาร์ Razer เปิดตัวเครื่องเล่นเกมพกพา Razer Edge อย่างเป็นทางการ หลังจากโชว์ภาพและสเปกบางส่วนมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว Razer Edge เป็นเครื่องเล่นเกมพกพาแบบเดียวกับ Nintendo Switch คือถอดตัวคอนโทรลเลอร์เข้า-ออกได้ โดย Razer ใช้คอนโทรลเลอร์ Razer Kishi V2 Pro ที่ขายเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับมือถือ Android อยู่แล้ว มีฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์อย่างปุ่ม microswitch, ก้านแอนะล็อก, มาโครปุ่มเขียนโปรแกรมเองได้, haptic feedback แพลตฟอร์มเกมที่รองรับมีทั้ง Android ผ่าน Google Play, สตรีมเกมแบบ local จากพีซีหรือ Xbox, เล่นเกมผ่านคลาวด์ ที่โชว์โลโก้มีทั้ง Xbox Cloud Gaming (xCloud) และ NVIDIA GeForce Now สเปกของ Razer Edge มีดังนี้ หน้าจอสัมผัสขนาด 6.8" AMOLED ความละเอียด FHD+ อัตรารีเฟรช 144Hz หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon G3x Gen 1 ที่ออกแบบมาสำหรับเล่นเกม ใช้ซีพียู Kryo สัญญาณนาฬิกา 3GHz แรม 8GB LPDDR5, สตอเรจ 128GB (UFS 3.1) รองรับ microSD สูงสุด 2TB แบตเตอรี่ 5,000mAh กล้องหน้า 5MP รองรับการถ่ายวิดีโอ 1080p @60fps ลำโพงและไมโครโฟน 2 ตัว รองรับระบบเสียง THX Spatial Audio Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.2, USB Type C, ช่องเสียบหูฟัง 3.5mm น้ำหนัก 264 g กรัม (เฉพาะแท็บเล็ต) หรือ 401 g (รวมคอนโทรลเลอร์) Razer Edge ยังขายเฉพาะในสหรัฐประเทศเดียวเท่านั้น มีแยกเป็นรุ่นมาตรฐาน Wi-Fi ราคา 399.99 ดอลลาร์ เริ่มขายเดือนมกราคม 2023 จากนั้นจะออกรุ่นที่รองรับ 5G โดยใช้กับเครือข่าย Verizon ตามมาในภายหลัง ตลาดเครื่องเกมพกพาหลัง Android กำลังเริ่มบูม ก่อนหน้านี้ไม่นาน Logitech เพิ่งเปิดตัวเครื่องเกม G Cloud ในราคา 349.99 ดอลลาร์ ที่มา - Razer
# Elon Musk: เรายังคงแบกค่าใช้จ่าย Starlink ให้ยูเครนต่อไป Elon Musk ทวีตข้อความล่าสุดในประเด็นการให้บริการอินเทอร์เน็ต Starlink ในยูเครน สำหรับงานการปฏิบัติการทางทหาร บอกว่า ถึงแม้ Starlink จะต้องเสียเงินไปมาก แต่เราก็จะให้บริการรัฐบาลยูเครนฟรีต่อไป ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า SpaceX ได้ทำหนังสือถึง Pentagon เพื่อให้ช่วยรับภาระค่าใช้จ่ายบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมในยูเครน ซึ่ง Elon Musk ก็ทวีตเสริมด้วยว่า Starlink น่าจะใช้เงินไปถึง 100 ล้านดอลลาร์ ภายในสิ้นปี และบริษัทไม่สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ได้ตลอดไป Starlink ให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ยูเครนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งในเวลานั้นปัญหาระบบอินเทอร์เน็ตที่ถูกทำลายไปในหลายพื้นที่ ทำให้ท่าทีนี้ได้รับการชื่นชมจากรัฐบาลยูเครนมาก ที่มา: CNBC
# เอกสารภายใน Meta เผย ผู้ใช้งาน Horizon Worlds มีราว 2 แสนคน/เดือน จากเป้าหมายสิ้นปีที่ 5 แสน The Wall Street Journal อ้างเอกสายภายในของ Meta เกี่ยวกับตัวเลขผลการดำเนินงานของ Horizon Worlds แพลตฟอร์มเมตาเวิร์สของ Meta พบว่ายังมีจำนวนผู้ใช้งานน้อยกว่าเป้าหมายที่บริษัทต้องการอยู่มาก โดยในเอกสารระบุว่า Meta วางแผนมีผู้ใช้งาน Horizon Worlds แบบเป็นประจำทุกเดือน (MAUs - Monthly Active Users) ที่ 500,000 คน ภายในสิ้นปีนี้ แต่ตัวเลขล่าสุดน้อยกว่า 200,000 คน แต่หากวัดเฉพาะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 280,000 คน ยังมีตัวเลขอื่นที่น่าสนใจ Worlds ที่ครีเอเตอร์สร้างขึ้นมา มีเพียง 9% ที่มีคนเข้าไปดูมากกว่า 50 คน และส่วนใหญ่ไม่มีคนเข้าไปดูเลย นอกจากนี้พบว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ไม่กลับมาอีกเลยหลังลองเล่นได้ 1 เดือน ตัวแทนของ Meta ชี้แจงต่อข้อมูลในเอกสารนี้ว่า บริษัทยังคงลงทุนและพัฒนาโครงการเมตาเวิร์สต่อเนื่อง ซึ่งโครงการนี้เป็นแผนงานระยะยาว ที่มา: The Wall Street Journal
# รวมรีวิว Pixel 7 ออกมาดี พัฒนาขึ้นจาก Pixel 6 แม้ไม่เปลี่ยนมาก ท้าทายเรือธงแอปเปิล-ซัมซุง สัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศหลายแห่งออกรีวิว Google Pixel 7 และ Pixel 7 Pro (ที่กลับมาทวงตำแหน่งกล้องหลังอันดับ 1 ของ DXOMARK ได้อีกครั้ง) ภาพรวมคือเปลี่ยนจาก Pixel 6 ไม่มาก (บางสื่อบอกว่ามันคือ Pixel 6S) แต่ก็ปรับปรุงขึ้นในหลายด้าน ทำให้มันเป็นมือถือที่ดีขึ้นกว่า Pixel 6 ในแง่สเปก ขนาด และราคาของ Pixel 7/7 Pro แทบไม่ต่างจาก Pixel 6/6 Pro เลย เพราะแยกเป็นรุ่นจอเล็ก 6.3" 90Hz กล้องหลัง 2 ตัวไม่มีเลนส์ซูม ราคา 599 ดอลลาร์ และจอใหญ่ 6.7" 120Hz มีกล้องเลนส์ซูม ราคา 899 ดอลลาร์เหมือนกับตอน Pixel 6 เป๊ะๆ สิ่งที่ปรับเปลี่ยนคือดีไซน์ของ Pixel 7 ดูเรียบหรูมากขึ้นจาก Pixel 6 ที่เน้นสีสันสดใส ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมรีไซเคิลที่ดูแวววาวขึ้น ส่วนตัวชิปประมวลผล Tensor G2 นั้น ใช้ซีพียูสเปกเดิมเหมือน Tensor รุ่นแรกเลย แต่ปรับปรุงจีพียู, DSP, โมเด็ม และ TPU เพิ่มเติม กล้อง กล้องของ Pixel 7 Pro ได้รับคำชมเรื่องอัลกอริทึม Super Res Zoom ที่ใช้พลังซูมได้เทียบเท่าเลนส์ซูม 30x (เลนส์จริงซูมได้ 5x) แต่ถ้าเอาภาพคุณภาพที่เหมาะสมตามที่กูเกิลคุยไว้คือ 10x ตรงนี้เว็บไซต์ Wired บอกว่าอาจยังสู้การซูม 10x ของ Galaxy S22 Ultra ไม่ได้ แต่ก็ใกล้เคียงกันมากแล้ว การถ่ายภาพนิ่งของ Pixel 7 Pro ทำได้ดีในภาพรวม จุดเด่นคือการถ่ายสีผิวของบุคคล (Real Tone) ออกมาสวยจริง และอัลกอริทึมช่วยให้ถ่ายมาโครได้ดี ชิป Tensor G2 ช่วยให้การประมวลผลภาพ Night Sight ตอนกลางคืนเร็วขึ้นจาก Pixel 6 มาก ส่วนข้อติคือการวิดีโอยังเป็นรอง iPhone 14 และกล้องหน้ายังไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนกล้องของ Pixel 7 แม้ขาดจุดเด่นเรื่องระยะซูมของรุ่น Pro แต่ภาพรวมก็ทำได้ดีกว่ากล้อง iPhone 14 รุ่นธรรมดา ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ The Verge บอกว่า Pixel 7 แสดงให้เห็นว่าวิสัยทัศน์ 'intelligence and helpful' ของกูเกิลที่เริ่มมาตั้งแต่ Pixel 6 ใกล้ความจริงมากขึ้น ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์หลายอย่างทำได้ดีมาก ฟีเจอร์อัดเสียงของแอพ Recorder แล้วถอดเสียงเป็นข้อความด้วยพลังชิป Tensor G2 ถือเป็นสิ่งที่หลายสำนักชื่นชม, Direct My Call ที่แปลงเสียงอัตโนมัติของคอลล์เซ็นเตอร์เป็นเมนูให้กดบนหน้าจอ สามารถใช้ได้กับเบอร์ของหน่วยงานหลายแห่ง, ตอนนี้มีฟีเจอร์ปลดล็อคเครื่องด้วยใบหน้าได้แล้ว (ข่าวร้ายคือกูเกิลไม่กลับไปอัพเดตให้ Pixel 6 Pro แล้ว) Forbes บอกว่า Pixel 7 ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการผสานพลังฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกัน ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของการใช้ชิป Tensor G2 ร่วมกับซอฟต์แวร์ของกูเกิล จุดที่ยังโดนติอยู่คือ Photo Unblur ฟีเจอร์ที่ช่วยแก้เบลอรูปภาพเก่าๆ ผ่านแอพ Google Photos อาจทำงานได้ดีแค่บางรูป บางสถานการณ์เท่านั้น รีวิวส่วนใหญ่พูดตรงกันว่า ถ้าใช้ Pixel 6 อยู่แล้วก็ไม่ต้องอัพเกรด แต่ถ้าไม่ได้เปลี่ยนมือถือมานานแล้ว Pixel 7 กลายเป็นตัวเลือกขั้วที่สามนอกเหนือจากมือถือของ Apple/Samsung ได้อย่างเต็มภาคภูมิ และ Pixel 7 รุ่นธรรมดาราคา 599 ดอลลาร์ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากเมื่อเทียบกับเรือธงของคู่แข่งที่แพงกว่ามาก ที่มา CNET ให้คะแนนรุ่น Pro ที่ 9/10 Wired ให้คะแนน 8/10 ทั้งรุ่นธรรมดาและรุ่น Pro The Verge ให้คะแนน 7/10 ทั้งรุ่นธรรมดาและรุ่น Pro Android Central รุ่น Pro 4.5/5 คะแนน, รุ่นธรรมดา 4/5 คะแนน Engadget ไม่มีคะแนน Forbes ไม่มีคะแนน Bloomberg ไม่มีคะแนน
# ซัมซุงโชว์ฟีเจอร์ Bixby Text Call ถอดเสียงโทรศัพท์เป็นข้อความ พิมพ์ตอบแล้วอ่านกลับเป็นเสียง ซัมซุงโชว์ฟีเจอร์ใหม่ของรอม One UI 5.0 ที่จะออกตัวจริงในเร็วๆ นี้ ฟีเจอร์ที่ว่าคือ Bixby Text Call เป็นการใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby (ที่หลายคนลืมชื่อนี้ไปแล้ว) ช่วยคุยโทรศัพท์แทนเรา หากมีคนโทรมา แล้วเราไม่สะดวกรับสาย เราสามารถกดเลือก Text Call แล้ว Bixby จะถอดเสียงพูดของคู่สายมาเป็นข้อความ ให้เราพิมพ์ตอบเป็นข้อความได้ จากนั้น Bixby จะอ่านออกเสียงให้คู่สนทนาฟังเอง ซัมซุงบอกว่าฟีเจอร์นี้เหมาะกับสถานการณ์ที่ส่งเสียงได้ยาก เช่น ในรถบัสหรือรถไฟที่มีคนมากๆ หรือในงานคอนเสิร์ตที่เสียงดังมาก ตอนนี้ฟีเจอร์นี้ใช้งานได้แล้วในภาษาเกาหลี ส่วนภาษาอังกฤษจะตามมาในช่วงต้นปี 2023 ที่มา - Samsung
# Sony เปิดตัวเครื่องช่วยฟัง ตั้งราคาเริ่มต้นคู่ละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ Sony เปิดตัวเครื่องช่วยฟังแบบ OTC สำหรับผู้มีปัญหาการได้ยินเสียง โดยมีด้วยกัน 2 รุ่น CRE-C10 และ CRE-E10 ราคาคู่ละ 1,000 และ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ เครื่องช่วยฟังแบบ OTC (over-the-counter) จัดเป็นอุปกรณ์ช่วยฟังสำหรับผู้มีปัญหาการได้ยินเล็กน้อยถึงปานกลาง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ FDA เพิ่งอนุมัติให้ผู้ผลิตอุปกรณ์สามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้เป็นการทั่วไป แตกต่างจากเครื่องช่วยฟังแบบอื่นที่คนจะซื้อได้หลังจากผ่านการตรวจวินิจฉัยโดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เท่านั้น สำหรับเครื่องช่วยฟังทั้ง 2 รุ่นของ Sony นั้นได้รับความร่วมมือจาก WS Audiology ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องช่วยฟังจากเดนมาร์กในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตัวอุปกรณ์จะทำงานควบคู่กับแอปของ Sony ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการทำงานของเครื่องช่วยฟังได้ว่าต้องการปรับความดังของเสียงอย่างไร หรือจะเพิ่ม-ลดการขยายเสียงในแต่ละย่านความถี่เสียงแบบไหนให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ตัวเครื่องรุ่น CRE-E10 ถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายหูฟังไร้สาย ใช้แบตเตอรี่แบบสามารถชาร์จได้ โดยการชาร์จแต่ละครั้งสามารถใช้งานได้นานต่อเนื่อง 26 ชั่วโมง รองรับการเชื่อมต่อผ่านบลูทูธเพื่อเล่นเพลงจากอุปกรณ์ iOS ได้ เครื่องช่วยฟังรุ่น CRE-E10 ราคาคู่ละ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนเครื่องช่วยฟังรุ่น CRE-C10 ซึ่งมีราคาถูกกว่านั้น ออกแบบมาโดยตัดฟีเจอร์เชื่อมต่ออุปกรณ์ iOS เพื่อการฟังเพลงออก และใช้แบตเตอรี่สำหรับเครื่องช่วยฟังเบอร์ 10 (ไม่สามารถชาร์จได้) โดยสามารถใช้งานได้นานต่อเนื่อง 70 ชั่วโมง เครื่องช่วยฟังรุ่น CRE-C10 ราคาคู่ละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้หลังจากที่ FDA อนุมัติให้ประชาชนสามารถซื้อเครื่องช่วยฟังแบบ OTC ได้โดยไม่ต้องใช้ใบรับรองการตรวจวินิจฉัยจากเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ก็มีผู้ผลิตเครื่องเสียงหลายรายหันมาพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ออกจำหน่าย โดยก่อนหน้า Sony ก็มีทั้ง Bose, Jabra ที่เริ่มลุยตลาดนี้กันแล้ว ที่มา - Engadget
# เร็วไปไม่ชอบ? Valve อัพเดต Steam Deck ให้โชว์แอนิเมชั่นตอนบูทเครื่องได้นานขึ้น Valve ปล่อยตัวอัพเดต Steam Deck เวอร์ชั่นเบต้าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยนอกเหนือจากการปรับแต่งและแก้ไขบั๊กแล้ว หนึ่งในสิ่งที่มาพร้อมการอัพเดตใหม่นี้คือฟีเจอร์ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งแอนิเมชั่นที่จะเล่นตอนบูทเครื่องก่อนเข้าเกมได้ยาวสุด 30 วินาที จากที่เดิมทีสามารถเล่นได้แค่ 10 วินาทีเท่านั้น มีผู้ใช้ Steam Deck หลายรายที่รู้สึกสนุกกับการได้ปรับแต่งเครื่องของตนเองโดยการเปลี่ยนวิดีโอแอนิเมชั่นที่ปรากฏบนหน้าจอตอนบูทเครื่องเสียใหม่ ความนิยมเริ่มมีมากจนถึงขนาดมีคนทำเว็บไซต์รวบรวมวิดีโอแอนิเมชั่นให้ผู้ใช้ Steam Deck เข้าไปเลือกดาวน์โหลดไว้ใช้งานกันได้ฟรี ดูเหมือนว่าความนิยมเกี่ยวกับการปรับแต่งวิดีโอแอนิเมชั่นนี้จะสูงมากจนถึงขนาดมีข่าวลือว่า Valve กำลังพิจารณาอาจขายวิดีโอแบบต่างๆ ผ่านทาง Steam เองอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในอนาคต ที่มา - The Verge ตัวอย่างแอนิเมชั่นบูทเครื่อง Steam Deck แบบปรับแต่งเอง
# SpaceX ทำหนังสือถึง Pentagon ขอเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ในยูเครน SpaceX ทำหนังสือถึง Pentagon ขอให้ช่วยสนับสนุนเงินทุน หลังบริษัทใกล้จะแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการให้บริการอินเทอร์เน็ต Starlink ในประเทศยูเครนไม่ไหว จนถึงตอนนี้ SpaceX ได้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมแก่ผู้ใช้ในยูเครนราว 20,000 จุด โดย Elon Musk ระบุในทวีตส่วนตัวว่าปฏิบัติการนี้ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายต่อ SpaceX แล้ว 80 ล้านเหรียญ และตัวเลขดังกล่าวจะพุ่งเกิน 100 ล้านเหรียญก่อนสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ SpaceX ได้ทำหนังสือขอสนับสนุนเงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเงินหลายสิบล้านเหรียญต่อเดือน มิฉะนั้นอาจจะต้องหยุดให้บริการอินเทอร์เน็ต Starlink ในยูเครน เนื้อความในหนังสือซึ่งเขียนโดยผู้อำนวยการของ SpaceX ฝ่ายงานขายแก่หน่วยงานรัฐที่ส่งถึง Pentagon ระบุว่า SpaceX ประเมินค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้เป็นเงิน 120 ล้านเหรียญ และจะมีค่าใช้จ่ายอีก 400 ล้านเหรียญในการให้บริการต่อไปอีก 12 เดือนถัดไป พร้อมระบุว่าบริษัทไม่สามารถบริจาคจุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในยูเครนเพิ่มเติมไปมากกว่านี้ได้ หรือจะให้สนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่ผู้ใช้งานในปัจจุบันไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีที่สิ้นสุดก็ไม่ได้เช่นกัน ในหนังสือที่ถูกส่งถึง Pentagon ยังมีเอกสารแนบซึ่งเป็นจดหมายที่นายพล Valerii Zaluzhniy ผู้บัญชาการทหารบกของยูเครนส่งถึง Musk โดยตรงเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อขอจุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต Starlink เพิ่มอีกเกือบ 8,000 จุด อินเทอร์เน็ต Starlink มีบทบาทสำคัญอย่างมากในปฏิบัติการทางทหารของยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย เจ้าหน้าที่ทหารอาศัยการเชื่อมต่อผ่าน Starlink ในการติดต่อสื่อสารทั้งการโทรและรับ-ส่งข้อมูลต่างๆ รวมทั้งมีส่วนสำคัญต่อการใช้โดรนถ่ายวิดีโอเพื่อระบุเป้าหมายการโจมตีของปืนใหญ่ โดยปัญหาการขัดข้องของระบบเมื่อช่วงวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมาส่งผลต่อปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในแนวหน้าของยูเครนที่พยายามเข้ายึดพื้นที่คืนจากรัสเซียในดินแดนทางตอนใต้และตะวันออกของยูเครน ที่มาภาพ: @dim0kq ที่มา - CNN
# Trevor Milton ผู้ก่อตั้ง Nikola โดนตัดสินความผิด 3 กระทง ฐานฉ้อโกงนักลงทุน Trevor Milton ผู้ก่อตั้งและอดีตประธานบริหารของ Nikola Motor สตาร์ทอัพพัฒนารถบรรทุกพลังงานสะอาด ถูกตัดสินว่ามีความผิดข้อหาฉ้อโกงนักลงทุนรวมทั้งสิ้น 3 กระทง หลังจากให้ข้อมูลบิดเบือนทั้งเรื่องสถานะของธุรกิจและเทคโนโลยีต่างๆ ของตัวบริษัท Milton โดนตัดสินว่ากระทำการทุจริตเกี่ยวกับหลักทรัพย์ (securities fraud) 1 กระทง และฉ้อโกงผ่านการสื่อสารอิเล็กทรอนิสก์ (wire fraud) อีก 2 กระทง โดยก่อนหน้านี้เขาได้รับการตัดสินให้พ้นผิดจากข้อหาทุจริตเกี่ยวกับหลักทรัพย์ไป 1 กระทง รวมแล้วเท่ากับว่า Milton โดนตัดสินว่ามีความผิดใน 3 จาก 4 ข้อหาฉ้อโกง โดยการพิจาณาตัดสินโทษของ Milton จะมีขึ้นในวันที่ 27 มกราคมปีหน้า โดยเขาอาจเจอโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี การดำเนินคดี Milton นั้นมุ่งเน้นไปที่การให้ข้อมูลบิดเบือนหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการให้สัมภาษณ์ผ่านพอดแคสต์ต่างๆ การปรากฏตัวบนหน้าสื่อ รวมทั้งข้อความทวีตจำนวนมากที่โกหกเกี่ยวกับสถานะทางธุรกิจของบริษัทรวมทั้งความคืบหน้าของเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ของ Nikola โดยทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อจูงใจนักลงทุนให้ซื้อหุ้นบริษัท โดย SEC ได้เริ่มสืบสวนเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้หลังจากที่ Hindenburg Research บริษัทวิจัยและตรวจสอบการเงินได้เผยแพร่รายงานและหลักฐานแฉความไม่ชอบมาพากลของ Nikola เมื่อปี 2020 ที่มาภาพ: Miljøstiftelsen ZERO, License CC-BY 2.0) ที่มา - Engadget
# รายงานการทดสอบเผยทหารสหรัฐฯ ไม่ปลื้ม HoloLens เท่าไหร่ ใส่แล้วเวียนหัว หลังจากที่ Microsoft ทยอยส่งมอบแว่น HoloLens รุ่นสำหรับการทหารให้ทางกองทัพสหรัฐฯ ตอนนี้มีรายงานผลการทดสอบภาคสนามออกมาว่าในการใช้งานจริงนั้นไม่เป็นที่ประทับใจของเจ้าหน้าที่ทหารเท่าไหร่นัก สำนักข่าว Bloomberg และ Business Insider อ้างว่าได้เห็นรายงานผลการทดสอบโดยระบุว่าทหารหลายรายรู้สึกไม่สบายในการทดสอบใช้งานแว่นตา AR นี้ และมองว่าอุปกรณ์นี้จะกลายเป็นจุดอ่อนสำหรับการใช้ในระหว่างปฏิบัติภารกิจด้วย Bloomberg อ้างว่าในรายงาน 79 หน้า มีเนื้อหาซึ่งระบุว่าเจ้าหน้าที่ทหาร 80% ที่ร่วมทดสอบใช้งานแว่นรู้สึกไม่สบายภายในช่วงเวลา 3 ชั่วโมงที่เริ่มใช้แว่น HoloLens โดยบางส่วนมีอาการคลื่นไส้, ปวดหัว และตาล้า ซึ่งส่งผลต่อสมรรถภาพในการปฏิบัติภารกิจของทหารโดยตรง นอกเหนือจากปัญหาเกี่ยวกับอาการเมาภาพแล้ว ข้อกังวลอีกอย่างคือเรื่องที่อุปกรณ์อาจกลายเป็นจุดอ่อนสำหรับเจ้าหน้าที่ทหาร ข้อความตอนหนึ่งอ้างถึงความเห็นเกี่ยวกับการทดสอบ HoloLens ว่า "เครื่องนี่จะพาพวกเราไปตาย" เนื่องจากอุปกรณ์ใช้วิธีการแสดงผลด้วยการฉายภาพให้ปรากฏบนส่วนกระจกของแว่นทำให้แสงสว่างจากการฉายภาพกลายเป็นจุดสังเกตที่เห็นได้ชัดในที่มืดจากระยะหลายร้อยเมตร ซึ่งจะทำให้ผู้สวมใส่ตกเป็นเป้าการโจมตีในสนามรบได้ง่าย ทางด้าน Businees Insider อ้างคำพูดของพนักงาน Microsoft ที่ไม่เปิดเผยชื่อรายหนึ่ง ระบุว่าผลการทดสอบแว่น HoloLens รุ่นสำหรับการทหารนี้ สอบตก 4 จาก 6 เรื่องที่ประเมินผลจากการใช้งานแว่นใน "ภารกิจจำลอง" Bloomberg ระบุว่า Nickolas Guertin ผู้อำนวยการปฏิบัติการทดสอบและประเมินผลของกองทัพสหรัฐฯ สรุปในรายงานว่าตัวแว่นจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงเรื่องมุมมองของผู้ใช้งาน, เซ็นเซอร์รับภาพในพื้นที่แสงน้อย, ความคมชัดในการแสดงผล และความเสถียรของระบบการทำงานหลักของตัวแว่น อย่างไรก็ตามในรายงานฉบับเดียวกันก็ได้สรุปข้อดีที่ได้จากการทดสอบ HoloLens ว่าสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบนำทางและการระบุพิกัดตำแหน่งในการเคลื่อนที่ของหน่วยปฏิบัติการได้ดี และตัวแว่นมีปัญหาขัดข้องน้อยลง ที่มา - Ars Technica
# ที่นี่บราซิล! Apple โดนปรับอีกรอบ 700 กว่าล้าน ฐานขาย iPhone ไม่แถมที่ชาร์จ เมื่อต้นเดือนที่แล้วนี้เองกระทรวงยุติธรรมของบราซิลมีคำสั่งให้ Apple หยุดขาย iPhone ทุกรุ่นที่ไม่แถมอุปกรณ์ชาร์จไฟมาให้ ล่าสุดสัปดาห์นี้ศาลประจำรัฐ Sao Paulo ของบราซิลมีคำสั่งปรับ Apple เป็นจำนวนเงิน 100 ล้านรีลจากประเด็นนี้อีกครั้ง หรือคิดเป็นเงินไทยเท่ากับเงินประมาณ 718 ล้านบาท การสั่งปรับเงินในครั้งนี้มาจากการร้องเรียนโดยหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค Brazilian association of borrowers, consumers, and taxpayers (AMBCC) ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ศาลบราซิลสั่งปรับเงิน Apple ย้อนไปเมื่อเดือนมีนาคมปี 2021 ก็เคยมีการปรับเงินไปแล้วรอบหนึ่งเป็นเงิน 10.5 ล้านรีล (ประมาณ 60 ล้านบาท) ทางด้าน Apple ยืนยันว่าจะเดินหน้าอุทธรณ์คำสั่งนี้ ที่มา - MacRumors, Reuters
# ไมโครซอฟท์โชว์ DirectStorage 1.1 มี GPU Decompression คลายบีบอัดไฟล์เกมเร็วขึ้น 3 เท่า ไมโครซอฟท์ประกาศแผนการออก DirectStorage 1.1 ที่มีฟีเจอร์ใหม่ GPU Decompression ให้นักพัฒนาเริ่มใช้งานในช่วงปลายปี 2022 ไมโครซอฟท์เปิดตัว DirectStorage 1.0 มาตั้งแต่กลางปี 2021 (อัพเดตให้ผู้ใช้จริงๆ ในเดือนมีนาคม 2022) ช่วยให้ดึงไฟล์ assets ของเกมจากสตอเรจแบบ SSD NVMe ได้ประหยัดพลังซีพียูมากขึ้น โหลดไฟล์เร็วขึ้นสูงสุด 40% (ตัวอย่างเกมที่นำไปใช้งานคือ Forspoken ของ Square Enix) ส่วน DirectStorage 1.1 เป็นพัฒนาการต่อจากเวอร์ชัน 1.0 โดยย้ายงานคลายบีบอัด (decompression) ไฟล์ assets จากเดิมที่เป็นงานของซีพียู ไปอยู่ที่จีพียูแทน ซึ่งธรรมชาติของจีพียูเหมาะกับงานที่ทำซ้ำๆ แต่ประมวลผลขนานกันได้แบบนี้มากกว่า ขอเป็นแค่จีพียูรุ่นใหม่หน่อยที่รองรับ DirectX 12 และ Shader Model 6.0 ก็ใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ รองรับทั้ง Windows 10 และ 11 ไมโครซอฟท์ร่วมมือกับ NVIDIA ออกฟอร์แมตบีบอัดข้อมูลใหม่ชื่อ GDeflate มาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ และบอกว่ากำลังร่วมมือกับผู้ผลิตจีพียูค่ายอื่นทั้ง AMD/Intel ให้รองรับฟอร์แมตแบบใหม่ด้วยเช่นกัน ตัวซอร์สโค้ดของ compressors/decompressors จะมีสัญญาอนุญาตแบบ Apache 2.0 นำไปใช้งานต่อกันได้อย่างเสรี สถิติที่ไมโครซอฟท์นำมาโชว์คือ GPU decompression ให้ประสิทธิภาพดีกว่า CPU decompression ถึงเกือบ 3 เท่า และช่วยให้ซีพียูว่างงานไปประมวลผลอย่างอื่นของเกมแทน ที่มา - Microsoft
# Modern Warfare II จะมีระบบต้านโกงตั้งแต่วันแรก, แบนคนโกงไปแล้ว 80,000 บัญชี ระบบต้านโกง (Anti-Cheat) กลายเป็นมาตรฐานของเกมยิงออนไลน์ยุคปัจจุบัน โดยเกมดังๆ อย่าง Valorant, PUBG, Apex Legends, Call of Duty ต่างมีระบบป้องกันการโกงของผู้เล่นกันหมดแล้ว ล่าสุด Activision ประกาศนโยบายของเกม Call of Duty ภาคใหม่ Modern Warfare II (28 ตุลาคม) และ Warzone 2.0 (16 พฤศจิกายน) ว่าจะรันโปรแกรมป้องกันโกง Ricochet มาตั้งแต่วันแรกที่เปิดบริการ และบังคับใช้กับผู้เล่นทุกคน ถือเป็นเกม Call of Duty ภาคแรกที่มีระบบนี้ในตัว (Ricochet เพิ่มเข้ามาครั้งแรกใน Warzone 1.0 ระหว่างทาง) Activision ยังให้ข้อมูลว่าในระหว่างการทดสอบ Open Beta แบนบัญชีผู้เล่นโกงไปแล้ว 60,000 คนจากประวัติพฤติกรรมโกงเก่าก่อน และอีก 20,000 คนจากพฤติกรรมโกงช่วงเล่นทดสอบ จากสถิติพบว่าระบบสามารถแบนผู้เล่นที่มีพฤติกรรมโกงได้ 72% ก่อนเริ่มเล่นเกมแมตช์แรก ส่วนผู้เล่นที่หลุดรอดเข้าเกมไปได้ จะถูกตรวจจับเจอภายใน 5 แมตช์แรก ระบบต้านโกงของ Call of Duty มีกลไกหลายอย่างช่วยลงโทษผู้เล่นโกง เช่น Damage Shield ถ้าจับได้ว่ามีคนโกง กระสุนของคนโกงจะยิงคนอื่นไม่ค่อยเข้า แต่ผู้เล่นคนอื่นๆ จะรู้ตัวว่าพลังชีวิตลดลงอย่างช้าๆ ทำให้รู้ตัวว่ามีคนโกงอยู่แถวๆ นั้น และหันไปช่วยกันรุมคนโกงให้ตายแทน (ตายแบบเจ็บปวดแถมเสียหน้า แทนการโดนแบนออกจากเกมทันที) หรืออีกท่าคือ Cloaking คนโกงจะไม่เห็นผู้เล่นคนอื่นๆ ในเกม และสับสน วิ่งวนไปวนมา กลายเป็นเป้าให้ผู้เล่นคนอื่นโจมตี นอกจากนี้ Modern Warfare II และ Warzone 2.0 ยังจะบังคับยืนยันตัวตนด้วย SMS ก่อน รวมถึงขยายไปยังบัญชีใหม่ของ Warzone 1.0 ที่สมัครในช่วงนี้ด้วย เป้าหมายคือลดบัญชีผู้เล่นที่ตรวจสอบได้ยาก และมีพฤติกรรมการโกงเกมสูงนั่นเอง ที่มา - Call of Duty
# รีวิว PineNote Developer Edition เครื่องอ่านอีบุ๊คจอ e-ink ที่โฆษณาว่าลงลินุกซ์ได้ หลังจากที่ PINE64 ได้เปิดตัว PineNote เครื่องอ่านอีบุ๊คจอ e-ink ที่โฆษณาว่าลงลินุกซ์ได้ไปเมื่อปีก่อน มาวันนี้ ผมได้สั่งซื้อ PineNote มาเพื่อลองใช้งานกับพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ เลยถือโอกาสหยิบมารีวิวกันครับ บทความนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนใด ๆ จาก PINE64 สำหรับ PineNote ที่ผมได้มารีวิว คือ PineNote Developer Edition ถือเป็นรุ่นสำหรับนักพัฒนาเท่านั้น ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ยังไม่สมบูรณ์อีกมาก และยังไม่เหมาะกับการใช้งานจริงบนลินุกซ์ สเปคของ PineNote ชิป RK3566 quad-core A55 SoC LPDDR4 RAM 4 GB หน่วยความจำ eMMC ขนาด 128 GB พอร์ต USB-Type C 5Ghz AC WiFi ขนาดหน้าจอ 10.3 นิ้ว, Grayscale 16 e-paper display, DPI: 227 น้ำหนัก 438 กรัม (เบากว่า iPad รุ่นที่ 9 นิดหน่อย) มีลำโพงและไมโครโฟน ความละเอียดหน้าจอ 1404×1872 พิกเซล มาพร้อมกับปากกา EMR pen และ Protective cover หลังจากที่ผมได้กล่องมาแล้ว แกะกล่องจะเจออุปกรณ์สายชาร์จ, ปากกา, PineNote และ Protective cover ตัวเครื่อง ตัวเครื่องเป็นพลาสติกทั้งเครื่อง มีแค่พอร์ต USB-C ใต้เครื่อง ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 และใส่ microsd ไม่ได้ ทำให้เพิ่มเนื้อที่ไม่ได้ แต่ PineNote มาพร้อมกับ eMMC ขนาด 128 GB ถือว่าเพียงพอมากพอสมควร สำหรับเก็บอีบุ๊ค รวมถึงลงระบบปฏิบัติการลินุกซ์ ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านหลังจะเป็นรอยมันได้ค่อนข้างง่าย พร้อมลำโพงสองข้างอยู่ด้านหลัง ซอฟต์แวร์ PineNote Developer Edition ล็อตใหม่ ๆ จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 11 ทาง PINE64 ระบุว่าเป็น “Tech Demo” เท่านั้น (ที่ใช้งานจริงได้) โดยจะไม่มีการอัปเดตใด ๆ เพิ่มเติม เพราะจุดมุ่งเน้นของ PineNote คือ ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ ทั้ง Debain, Arch Linux และอื่น ๆ แต่เนื่องจากระบบปฏิบัติการลินุกซ์สำหรับ PineNote ตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์อยู่มาก เพราะยังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา ดังนั้นผมจึงขอรีวิวด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 11 มาพร้อมกับเครื่องสำหรับบทความนี้ หลังจากเปิดเครื่องมา จะพบกับหน้าจอที่ (เหมือน) ถูกปรับแต่งมาให้สำหรับเครื่องอ่านอีบุ๊คจอ e-ink ที่สามารถทำงานฟังก์ชันพื้นฐานของเครื่องอ่านอีบุ๊คจอ e-ink ทั่วไปได้ ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมกับเครื่อง มีโปรแกรมอ่านไฟล์อีบุ๊ค พร้อมสามารถจดโน้ตได้, โปรแกรม WPS Office Lite สามารถจัดการเอกสาร และ XPhoto (อันอื่นไม่นับเพราะเป็นแอปที่ผมติดตั้งเสริมเข้ามาภายหลัง) สำหรับการใช้งานฟังก์ชันพื้นฐานของเครื่องอ่านอีบุ๊คจอ e-ink ทั่วไปได้ ผมได้ทดสอบดังนี้ ทั้งการอ่านอีบุ๊คไฟล์ PDF อ่านอีบุ๊คไฟล์ EPUB การจดโน้ตด้วยปากกา EMR pen เปิดเว็บ ทั้งหมดนี้ถือว่าทำงานได้ค่อนข้างโอเค ค่อนข้างไว แถมอ่านภาษาไทยได้ในตัวแบบไม่ต้องตั้งค่าอะไร ยกเว้นตรงอ่านอีบุ๊ค โปรแกรมไม่สามารถทำ highlight ข้อความในไฟล์อีบุ๊คได้ การสลับหน้าค่อนข้างโอเค (อย่าลืมรีเพจหน้าจอ เพื่อล้างหน้าจอเดิมทิ้ง) สำหรับโหลดแอปเพิ่มเติม เนื่องจากระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 11 สำหรับ PineNote เป็นแค่ Demo ดังนั้นจึงไม่มี Google Play Store มาให้ แต่สามารถติดตั้งได้เพิ่มเติมจากไฟล์ APK ได้อยู่ดี สำหรับแบตเตอรี่ค่อนข้างโอเค ผมใช้งานตั้งแต่ 14:00 น. จนถึง 1:00 น. จาก 87% เหลือ 68% ทั้งจากการลองต่อไวไฟ ลองเกม และอื่น ๆ สำหรับตัวอย่างการใช้งานเพิ่มเติมสามารถดูได้จากคลิปของทาง PINE64 สำหรับการลงลินุกซ์ เนื่องจากตอนนี้ยังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา ผมจึงตัดสินใจยังไม่เอามารีวิว เนื่องจากต้องคอมไพล์เองที่ใช้เนื้อที่หลายร้อย GB ดังนั้นผมจึงขอทำรายการลินุกซ์ดิสทริบิวชันที่รองรับ PineNote แล้วได้แก่ - postmarketOS ที่ตอนนี้มีหน้าวิกิสอนวิธีลงแล้ว แต่ยังไม่มี image ให้โหลด ต้องคอมไพล์เอง - Manjaro มีวิธีการสอนคอมไพล์เพื่อลง Manjaro ใน PineNote ภาพจาก GitHub - Debian มีหน้าวิกิสอนลงแล้วเช่นกัน แต่ต้องคอมไพล์เอง - Arch Linux รองรับ PineNote แล้วเช่นกัน แต่ยังต้องคอมไพล์เอง ข้อดี จอ e-ink ขนาด 10 นิ้ว ราคา $399 เนื้อที่ค่อนข้างเยอะทั้งแรมและ eMMC สามารถลงระบบปฎิบัติการลินุกซ์ได้ มาพร้อมกับปากกา และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 11 ที่ให้มากับโรงงาน พอใช้งานได้ ข้อเสีย เป็นรุ่น Developer Edition (ชื่อบอกในตัว) ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 11 แบบ Demo ที่แพมาตั้งแต่โรงงาน (เพราะมุ่งลินุกซ์) ไม่กันน้ำ มีแค่พอร์ต USB-C ประกันแค่ 30 วัน ตามมาตรฐาน PINE64 สำหรับส่วนตัวผม PineNote Developer Edition ถือว่าค่อนข้างดีเกินคาด (นึกว่าจะทำอะไรได้ไม่มากเท่าไร เพราะระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 11 เป็น Demo จึงไม่ได้คาดหวังอะไร) แต่ไม่แนะนำให้บุคคลที่ไม่คุ้นชินกับลินุกซ์ซื้อไปใช้งาน เพราะระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์บน PineNote จะไม่ได้รับการดูแลใด ๆ ต่อและเรื่องประกันกับความเพียบพร้อมในการใช้งานที่ขาด Google Play store หากท่านใดมีคำถาม สามารถถามได้ใต้ช่องความคิดเห็นของโพสต์ในเว็บ Blognone นี้ได้เลยครับ
# NVIDIA ยกเลิกการขาย GeForce RTX 4080 รุ่น 12GB บอกเพราะลูกค้าสับสน เมื่อเดือนที่แล้ว NVIDIA เปิดตัวจีพียู GeForce RTX ซีรีส์ 40 โดยมีรุ่นรอง GeForce RTX 4080 ที่ซอยออกเป็นสองรุ่นย่อยคือแรม 16GB และแรม 12GB แต่ดูเหมือนการแบ่งสองรุ่นย่อยนี้จะไม่ดีนัก ล่าสุด NVIDIA แถลงว่าบริษัทตัดสินใจยกเลิกการขาย RTX 4080 12GB ด้วยเหตุผลว่าเป็นการตั้งชื่อที่ไม่ถูกต้อง การขาย 4080 แบบสองโมเดลทำให้ลูกค้าสับสน อย่างไรก็ตาม RTX 4080 16GB จะยังขายต่อไปตามแผน โดยกำหนดขายวันที่ 16 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ราคา 1,199 ดอลลาร์ ที่มา: NVIDIA ผ่าน Engadget
# โมเดลเปิดให้เล่นฟรีประสบความสำเร็จ Overwatch 2 มีผู้เล่น 25 ล้านคนใน 10 วันแรก ถึงแม้ Overwatch 2 ประสบปัญหา มากมาย ในช่วงเริ่มให้บริการ แต่ยุทธศาสตร์ free-to-play ของ Blizzard ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม รายงานยอดผู้เล่น 25 ล้านคนใน 10 วันแรก มากกว่าช่วงพีคของเกม Overwatch 1 ถึงสามเท่า โมเดลทำเงินของ Overwatch 2 เปลี่ยนมาใช้การขาย Battle Pass ตามอย่างเกมยุคใหม่ ก็ต้องรอดูว่าในระยะยาว Blizzard จะสามารถรักษาฐานผู้เล่นไว้ได้นานแค่ไหน ที่มา - PCGamer
# Facebook เตรียมหยุดสนับสนุน Instant Articles เนื่องจากคนใช้งานน้อยลง Facebook เตรียมหยุดสนับสนุน Instant Articles เครื่องมือช่วยแสดงผลเนื้อหาบนแอป Facebook ที่รวดเร็วขึ้น โดยกำหนดช่วงกลางเดือนเมษายน 2023 ซึ่ง Facebook ให้เวลาสื่อผู้เผยแพร่ข่าวประมาณ 6 เดือน สำหรับการปรับยุทธศาสตร์การเผยแพร่เนื้อหาบน Facebook จากผลกระทบนี้ ตัวแทนของ Meta ชี้แจงเหตุผลการตัดสินใจนี้แบบตรงไปตรงมานั่นคือ ไม่ค่อยมีคนใช้ โดยบอกว่าปัจจุบันมีน้อยกว่า 3% ของเนื้อหาที่อยู่บนฟีด Facebook เป็นการโพสต์ลิงก์ไปเนื้อหาเว็บข่าว จึงมองว่าไม่สมเหตุสมผลนัก ที่จะลงทุนพัฒนาดูแลบริการที่คนไม่ค่อยใช้งาน Instant Articles เปิดตัวเมื่อปี 2015 โดยชูจุดเด่นเรื่องอ่านง่าย-โหลดเร็ว หลังการเปลี่ยนแปลงนี้ ลิงก์ข่าวทั้งหมดจะส่งทราฟิกไปยังเว็บต้นทางแทน จากเดิมโหลดผ่าน Facebook ก่อนหน้านี้กูเกิล ซึ่งพัฒนาเครื่องมือแนวเดียวกับอย่าง AMP ก็บอกว่าจะยกเลิกการให้น้ำหนักผลเสิร์ช ในเนื้อหาที่รองรับ AMP ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากหลังแยกโครงการออกไปเป็นอิสระ ที่มา: Axios
# [ไม่ยืนยัน] Nutanix กำลังพิจารณาขายกิจการ หลังได้รับข้อเสนอที่ราคาสูง The Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องระบุว่า Nutanix บริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับองค์กร อาจพิจารณาขายกิจการ หลังได้รับคำขอเสนอซื้อ ซึ่งรายงานบอกว่าให้ราคาที่สูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบันอย่างมีนัยยะสำคัญ ในด้านมูลค่ากิจการ Nutanix พบปัญหาคล้ายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคลาวด์ นั่นคือราคาหุ้นปรับเพิ่มสูงช่วงปี 2021 จากกระแสให้มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ในสถานการณ์โรคระบาด แต่ปัจจุบันราคาหุ้นปรับลดลงมากกว่า 33% ในปีนี้ ผู้ลงทุนรายสำคัญของ Nutanix ได้แก่ กองทุน Bain Capital นอกจากนี้ยังมีเฮดจ์ฟันด์ Legion ซึ่งน่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่เสนอให้ Nutanix ขายกิจการ ที่มา: The Wall Street Journal
# รัฐ California อนุญาตให้รถทุกคันสามารถเลือกใช้ป้ายทะเบียนแบบดิจิทัลได้แล้ว หลังจากผ่านกฎหมายอนุญาตให้รถจำนวนหนึ่งทดสอบการใช้งานป้ายทะเบียนดิจิทัลมาเป็นระยะเวลา 4 ปี ในที่สุดรัฐ California ก็อนุญาตให้รถทุกคันสามารถเลือกใช้ป้ายแบบดิจิทัลได้แล้ว ป้ายทะเบียนรถแบบดิจิทัลก็คือหน้าจอแสดงผลสีขาว-ดำอย่างหนึ่งที่จะแสดงข้อมูลทะเบียนรถและข้อความอื่นๆ ที่ปรับแต่งได้ผ่านทางแอปที่ใช้งานควบคู่กัน โดยตอนนี้ยังมีผู้ผลิตป้ายทะเบียนแบบดิจิทัลที่ได้รับการอนุมัติใช้งานโดยรัฐ California แค่รายเดียวในท้องตลาดที่ นั่นคือ Reviver ในตอนนี้ Reviver มีป้ายทะเบียนให้เลือกใช้งาน 2 แบบ คือ RPlate ซึ่งเป็นป้ายสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล และ RFleet ป้ายทะเบียนสำหรับรถยนต์ใช้งานขององค์กรหรือบริษัทต่างๆ ป้ายทะเบียนของ Reviver มีแผ่นวัสดุใสปิดทับส่วนหน้าจอแสดงผล ซึ่งทางบริษัทระบุว่าแผ่นวัสดุปิดทับนี้มีความแข็งแรงมากกว่ากระจก 6 เท่า จึงทำให้ป้ายมีความทนทานสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องกลัวปัญหาการแตกเสียหายโดยง่ายเหมือนจอแสดงผลทั่วไป ป้ายทะเบียนแบบ RPlate นั้นมีทั้งแบบใช้แบตเตอรี่และเชื่อมต่อกับแอปผ่านทางบลูทูธหรือ LTE และแบบต่อสายใช้ไฟจากระบบไฟฟ้าภายในตัวรถ โดย Reviver จะคิดค่าบริการใช้งานป้ายเดือนละ 19.95 ดอลลาร์ (ต่อเนื่องนาน 48 เดือน) หรือเหมาจ่ายปีละ 215.40 ดอลลาร์ (ใช้งานขั้นต่ำ 4 ปี) ทั้งนี้ Reviver ระบุว่าแบตเตอรี่ของป้าย RPlate รุ่นไร้สายจะรองรับการใช้งานได้นานราว 5 ปี ส่วนรุ่นใช้สายจะมีฟีเจอร์ระบบติดตามตำแหน่งผ่าน GPS และไฟส่องป้ายเพิ่มขึ้นมาเหนือกว่าป้ายแบบไร้สาย ส่วนป้ายแบบ RFleet นั้นจะมีเฉพาะรุ่นแบบใช้สายไฟเชื่อมต่อเท่านั้น โดย Reviver คิดค่าใช้งานป้ายแบบนี้เดือนละ 24.95 ดอลลาร์ (ต่อเนื่องนาน 48 เดือน) หรือเหมาจ่ายปีละ 275.40 ดอลลาร์ (ใช้งานขั้นต่ำ 4 ปี) ทั้งนี้ผู้ที่ใช้งานป้ายแบบ RFleet จะมีได้บริการซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการรถเพิ่มมาด้วย ทั้งนี้รถยนต์ที่ติดป้ายทะเบียนแบบดิจิทัลนี้สามารถวิ่งได้ทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา เพียงแต่การจดทะเบียนใช้ป้ายแบบนี้ยังไม่ได้มีอนุญาตให้รถที่จดทะเบียนในทุกรัฐ โดยนอกเหนือจากรัฐ California แล้วมีอีกเพียง 2 รัฐเท่านั้นที่อนุญาตให้รถที่จดทะเบียนในรัฐดังกล่าวสามารถใช้ป้ายแบบดิจิทัลได้ คือ รัฐ Arizona และ Michigan ที่มา - Gizmodo, Ars Technica
# Microsoft Edge เพิ่มฟีเจอร์ Workspaces แชร์กลุ่มแท็บให้เพื่อนร่วมงานแบบเรียลไทม์ หลายคนอาจเคยเจอสถานการณ์โชว์หรือแก้เอกสารร่วมกันระหว่างคนในทีม พร้อมกับประชุมออนไลน์ไปด้วย วิธีการที่คนส่วนใหญ่ใช้คือส่งลิงก์ของเอกสารที่ต้องการให้เพื่อนร่วมงานดูทางช่องแชท ซึ่งอาจมีปัญหาการส่งผิดลิงก์, เปลี่ยนลิงก์ หรือลืมส่งลิงก์ให้หลังพรีเซนต์เอกสารไปแล้ว ไมโครซอฟท์พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยฟีเจอร์ Microsoft Edge Workspaces แชร์กลุ่มแท็บทั้งกลุ่มให้เพื่อนร่วมงานได้เลย วิธีการใช้งานคือเราเปิดแท็บทั้งหมดที่ต้องการ ตั้งชื่อกลุ่ม (ในภาพตั้งชื่อ Consoto Mark 8) แล้วมีปุ่มกด Share ให้เพื่อนร่วมงานเข้ามาดู ซึ่งเราจะเห็นไอคอนของเพื่อนร่วมงานเป็นรูปวงกลม บอกว่าใครกำลังดูแท็บไหนอยู่บ้าง เมื่อผู้แชร์แท็บเปิดแท็บใหม่ สลับตำแหน่ง หรือปิดแท็บเดิม เพื่อนที่กดเข้ามาดูก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของแท็บในหน้าต่างแบบเรียลไทม์ (แต่จะไม่เห็นรหัสผ่าน และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ของผู้แชร์) ไมโครซอฟท์บอกว่าหลังทดสอบฟีเจอร์นี้แล้ว ผู้ทดสอบบอกว่าช่วยประหยัดเวลาค้นหาแท็บได้มาก เพราะเพื่อนร่วมงานทุกคนในทีมเห็นแท็บชุดเดียวกันหมด แก้ปัญหาเรื่องการเห็นเอกสารคนละเวอร์ชัน หรือมีบางคนพลาดข้อมูลบางอย่างไป ฟีเจอร์นี้จำเป็นต้องใช้กับ Microsoft Edge เวอร์ชัน 106 ขึ้นไป, ทุกคนมีบัญชีที่ล็อกอินผ่าน Azure AD และมีไลเซนส์ OneDrive for Business แบบเสียเงินก่อนด้วย ที่มา - Microsoft
# ซัมซุงเชื่อมระบบสมาร์ทโฮม SmartThings กับ Google Home บริหารอุปกรณ์ข้ามกันได้ ซัมซุง ประกาศเชื่อมระบบสมาร์ทโฮม SmartThings ของตัวเอง เข้ากับระบบ Google Home ของกูเกิล โดยอุปกรณ์สมาร์ทโฮมรุ่นใหม่ที่รองรับโปรโตคอล Matter สามารถเซ็ตอัพกับ SmartThings แล้วนำไปใช้กับฝั่ง Google Home ได้ทันทีโดยไม่ต้องเซ็ตอัพใหม่ (หรือจะกลับทิศกันคือเริ่มจาก Google Home ก่อนแล้วไปใช้กับ SmartThings ได้เช่นกัน) ฟีเจอร์นี้อยู่ในสเปกเรื่อง multi-admin ของโปรโตคอล Matter ที่จัดการอุปกรณ์ได้จากหลายทาง ฟีเจอร์นี้จะอัพเดตให้ในแอพฝั่งซัมซุงและกูเกิลภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ที่มา - Samsung ภาพจาก Samsung
# Signal ประกาศหยุดรองรับการแชทผ่าน SMS บอกว่าหมดยุคแล้ว, ไม่เข้ารหัส ไม่ปลอดภัย แนวทางของแอพแชทหลายตัว พยายามผนวกการสื่อสาร SMS/MMS เข้ามาในแอพตัวเดียวกัน เพื่อให้ใช้ตัวเดียวครบทุกอย่าง แต่ล่าสุด Signal กลับทิศทาง ประกาศแผนการหยุดรองรับ SMS/MMS แล้ว (มีเฉพาะบนเวอร์ชัน Android เท่านั้น) Signal ให้เหตุผลว่าการรับส่งข้อความผ่าน SMS/MMS นั้นไม่ได้เข้ารหัสข้อความ จึงไม่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวตามมาตรฐานโปรโตคอล Signal แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาต้องรองรับเพราะอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ ตอนนี้สภาพตลาดเปลี่ยนไปจากเดิมมาก จึงถึงเวลาที่ตัด SMS/MMS ออก เพื่อให้แอพเรียบง่ายขึ้น ไม่สับสนว่าส่งข้อความแบบไหน Signal บอกว่าจะยังมีเวลาเปลี่ยนผ่านให้ผู้ใช้อีกนาน จะมีการแจ้งเตือนเป็นระยะ และสามารถ export ข้อความ SMS ไปใช้กับแอพ SMS ตัวอื่นได้ถ้าต้องการ ที่มา - Signal
# Tether ประกาศขายหุ้นกู้เอกชนที่เป็นทุนสำรองออกไปหมดแล้ว แทนที่ด้วยตั๋วเงินคลังสหรัฐ Tether เหรียญ stablecoin รายใหญ่ที่สุดในตลาดคริปโต ประกาศว่าเงินทุนสำรองของเหรียญตอนนี้ ไม่มีการถือสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นกู้เอกชน (commercial paper) แล้ว โดยสินทรัพย์กลุ่มนี้ถูกแทนที่ด้วยตั๋วเงินคลังสหรัฐ (Treasury Bill) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และมีความเสี่ยงน้อยกว่า ที่ผ่านมามีข่าวลือว่า Tether ถือครองหุ้นกู้เอกชนเป็นสินทรัพย์อยู่มาก และขาดทุนจากราคาหน้าตั๋ว ทำให้มีความเสี่ยงจากสภาพคล่องหากมีผู้ไถ่ถอนเหรียญพร้อมกันเป็นจำนวนมาก คล้ายกับกรณี UST อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์นั้นทำให้ Tether รายงานข้อมูลเปิดเผยการถือครองสินทรัพย์เป็นรายไตรมาส ซึ่งปริมาณหุ้นกู้เอกชนก็ลดลงมาตลอด จาก 3,500 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 2 มาเป็นต่ำกว่า 50 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 และเหลือศูนย์ ในวันที่ 12 ตุลาคม 2022 โดยตอนนี้ Tether มีสินทรัพย์สำรองเป็น ตั๋วเงินคลังราว 40,000 ล้านดอลลาร์ และเป็นประเภทสินทรัพย์ที่ถือครองมากที่สุด โดยไม่ได้ลงรายละเอียดสินทรัพย์ประเภทอื่น ปัจจุบัน Tether มีเหรียญที่ออกมาแล้วราว 68.4 พันล้านเหรียญ และมีมูลค่ากิจการตามราคาเหรียญเท่ากันที่ 68.4 พันล้านดอลลาร์ ที่มา: Tether ผ่าน CoinDesk
# Volkswagen ตั้งบริษัทร่วมทุนกับ Horizon Robotics เพื่อพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ สำหรับตลาดจีน Volkswagen ประกาศลงทุนในธุรกิจพัฒนายานยนต์ไร้คนขับที่ประเทศจีน โดยให้บริษัทซอฟต์แวร์ CARIAD ที่ถือหุ้นอยู่ทั้งหมด ตั้งบริษัทร่วมทุนกับ Horizon Robotics บริษัทพัฒนาชิปสำหรับยานยนต์ในจีน ในบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้นระหว่างสองบริษัทนี้ CARIAD ของ Volkswagen จะลงทุน 2,400 ล้านยูโร คิดเป็นหุ้น 60% ส่วนที่เหลือเป็นของ Horizon Robotics Ralf Brandstätter หนึ่งในกรรมการบอร์ดบริหารของ Volkswagen ที่จีน บอกว่าการลงทุนในบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะพื้นที่ มีความสำคัญมากต่อการขยายบริการยานยนต์ไร้คนขับออกไปทั่วโลก การร่วมทุนกับ Horizon Robotics จะช่วยให้บริษัทมีเทคโนโลยีที่เฉพาะสำหรับลูกค้าในจีนได้ดีขึ้น ที่มา: Volkswagen
# Netflix เปิดตัวแพ็คเกจใหม่ ราคาถูกลงแต่มีโฆษณา เริ่มต้นใน 12 ประเทศ ยังไม่มีไทย Netflix ประกาศรายละเอียดแพ็คเกจแบบใหม่ ที่ราคาถูกลงแต่มีโฆษณาแล้ว หลังจากบริษัทพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นปี โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป มีผลใน 12 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลี เม็กซิโก สเปน อังกฤษ และอเมริกา การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่มีผลใด ๆ กับแพ็คเกจเดิมที่สมาชิกสมัครใช้อยู่ แต่จะเพิ่มแพ็คเกจมีโฆษณาเข้ามาเป็นตัวเลือก โดยในอเมริการาคาอยู่ที่ 6.99 ดอลลาร์ เทียบกับแพ็คเกจปัจจุบันไม่มีโฆษณาราคาถูกสุดอยู่ที่ 9.99 ดอลลาร์ แพ็คเกจใหม่มีโฆษณานี้ สมาชิกสามารถชมคอนเทนต์ได้ทุกประเภทไม่มีข้อจำกัด ได้ความละเอียดภาพสูงสุด 720p และไม่สามารถดาวน์โหลดเพื่อดูออฟไลน์ได้ ส่วนรูปแบบโฆษณานั้น จะมีความยาวที่ 15-30 วินาที ต่อโฆษณา การแสดงผลโฆษณาจะอยู่ที่ 4-5 นาที ต่อชั่วโมง เฉพาะในอเมริกา ราคาค่าสมาชิกแบบมีโฆษณานี้ ออกมาถูกกว่าคู่แข่งหลายราย โดย HBO Max แบบมีโฆษณาอยู่ที่ 9.99 ดอลลาร์, Disney+ แบบมีโฆษณาอยู่ที่ 7.99 ดอลลาร์, Hulu มีโฆษณา 7.99 ดอลลาร์ ส่วน Paramount+ และ Peacock แบบมีโฆษณาอยู่ที่ 4.99 ดอลลาร์ ราคาแพ็คเกจแบบมีโฆษณาของแต่ละประเทศ เปรียบเทียบคุณสมบัติแต่ละแพ็คเกจ ของอเมริกา ตัวอย่างการแสดงโฆษณา ที่มา: Netflix และ CNBC
# งานวิจัยสก็อตแลนด์แฮครหัสผ่านโดยดูรอยความร้อนจากนิ้วมือที่หลงเหลือบนแป้นพิมพ์ นักวิจัยจาก University of Glasgow ทำการทดลองแฮครหัสผ่านโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์ภาพถ่ายความร้อนที่ที่ถ่ายคราบความร้อนที่หลงเหลือบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถเดาได้ว่าผู้ใช้กดรหัสผ่านอะไรบนแป้นพิมพ์ พวกเขาพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อการวิเคราะห์หารหัสผ่านจากภาพถ่ายความร้อนนี้โดยตั้งชื่อว่า ThermoSecure และเรียกการแฮครหัสผ่านด้วยวิธีการนี้ว่า "thermal attack" การทดลองนี้ใช้กล้องถ่ายภาพความร้อนมาถ่ายภาพแป้นพิมพ์หลังเพิ่งผ่านการใช้งานใหม่ๆ ภาพถ่ายความร้อนที่ได้จะแสดงร่องรอยความร้อนที่ถูกถ่ายเทจากนิ้วมือของผู้ใช้ลงสู่พื้นผิวของแป้นพิมพ์ของมัน โดยบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงในภาพนั้นบ่งบอกถึงว่าปุ่มดังกล่าวบนแป้นพิมพ์ถูกนิ้วมือของผู้ใช้สัมผัสบ่อยครั้ง ด็อกเตอร์ Mohamed Khamis ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยนี้เคยทำการวิจัยทดลองการเดารหัสผ่านด้วยการดูภาพถ่ายความร้อนที่แป้นพิมพ์หลังการใช้งาน 30-60 วินาที ซึ่งพบว่าแม้ผู้ที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษด้านการวิเคราะห์ภาพถ่ายก็มีโอกาสเดารหัสผ่านได้ถูกต้อง และเมื่องานวิจัยล่าสุดนี้มีการพัฒนา ThermoSecure มาช่วยในการวิเคราะห์ภาพก็ยิ่งทำให้ความแม่นยำในการเดารหัสผ่านสูงขึ้นมาก ด็อกเตอร์ Mohamed Khamis หัวหน้าทีมวิจัยผู้พัฒนาระบบ ThermoSecure ทีมวิจัยทำการเทรนระบบ ThermoSecure ด้วยภาพถ่ายความร้อนที่ได้จากการถ่ายภาพแป้นพิมพ์แบบ QWERTY หลังการใช้งานใหม่ๆ จำนวน 1,500 ภาพ ซึ่งมีการถ่ายภาพในมุมองศาต่างกันออกไปคละเคล้ากัน จากนั้นป้อนข้อมูลที่ได้จากการใช้โมเดลทางสถิติที่สร้างขึ้นไปเทรน ThermoSecure ว่าภาพที่มันมองเห็นนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะมาจากการกดรหัสผ่านอะไรบ้าง หลังการเทรนปัญญาประดิษฐ์ทีมวิจัยก็ได้ทำการทดสอบระบบ ThermoSecure ว่ามีความสามารถในการวิเคราะห์ภาพถ่ายความร้อนเพื่อเดารหัสผ่านได้แม่นยำเพียงใดโดยใช้มันเดารหัสผ่านจากภาพถ่ายความร้อนที่ถ่ายหลังการใช้งานแป้นพิมพ์ในช่วงระยะเวลาต่างๆ ได้ผลการทดสอบดังนี้ การเดารหัสผ่านจากภาพถ่ายความร้อนที่ถูกถ่ายหลังการใช้งาน 20 วินาที มีความถูกต้อง 86% การเดารหัสผ่านจากภาพถ่ายความร้อนที่ถูกถ่ายหลังการใช้งาน 30 วินาที มีความถูกต้อง 76% การเดารหัสผ่านจากภาพถ่ายความร้อนที่ถูกถ่ายหลังการใช้งาน 60 วินาที มีความถูกต้อง 62% และหากเจาะลึกลงไปอีก ผลการทดสอบวิเคราะห์ภาพถ่ายความร้อนที่ถูกถ่ายภายใน 20 วินาทีหลังการใช้งานแป้นพิมพ์พบว่า ThermoSecure สามารถเดารหัสผ่านที่มีความยาวแตกต่างกันด้วยระดับความแม่นยำดังนี้ รหัสผ่านยาว 16 ตัวอักษร เดาได้ถูกต้อง 67% รหัสผ่านยาว 12 ตัวอักษร เดาได้ถูกต้อง 82% รหัสผ่านยาว 8 ตัวอักษร เดาได้ถูกต้อง 93% รหัสผ่านยาว 6 ตัวอักษร เดาได้ถูกต้อง 100% หรือกล่าวโดยสรุปคือเทคนิคการโจมตีแบบ thermal attack นี้ยิ่งใช้ภาพถ่ายที่มีความสดใหม่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้น และยิ่งหากบุคคลเป้าหมายใช้รหัสผ่านสั้นๆ ก็ยิ่งมีโอกาสเดารหัสผ่านได้สำเร็จสูงขึ้นไปอีก ทีมวิจัยเชื่อว่าด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในตอนนี้ บวกกับราคาของกล้องถ่ายภาพความร้อนที่ลดลงจนกลายเป็นอุปกรณ์ที่หาซื้อได้ไม่ยาก ทำให้ความเสี่ยงที่จะมีการแฮคข้อมูลแบบ thermal attack เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น การโจมตีวิธีนี้ไม่ได้จำกัดเป้าหมายว่าจะต้องเป็นแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์เท่านั้น อุปกรณ์อื่นอย่างเช่นหน้าจอสมาร์ทโฟน หรือยิ่งไปกว่านั้นคืออุปกรณ์ที่มีการใช้งานร่วมกันในพื้นที่สาธารณะซึ่งถูกบุคคลอื่นเข้าถึงได้ง่าย เช่น แป้นกดเลขที่ตู้ ATM หรือแป้นกดรหัสผ่านสำหรับระบบล็อกประตูแบบดิจิทัล ก็ล้วนแล้วมีโอกาสถูกโจมตีด้วยวิธีนี้ได้ทั้งสิ้น งานวิจัยนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อพิสูจน์หลักการโจมตีที่ว่าโดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการคิดค้นแนวทางการป้องกัน ผู้ที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดงานวิจัยการพัฒนาระบบ ThermoSecure และการโจมตีแบบ thermal attack เพิ่มเติมได้จากที่นี่ ที่มา - University of Glasgow ผ่าน Tech Xplore
# PostgreSQL 15 มาแล้ว รองรับการบีบอัดข้อมูล, เพิ่มฟังก์ชั่น Regular Expression และคำสั่ง MERGE PostgreSQL ออกเวอร์ชั่น 15 หนึ่งปีหลังจาก PostgreSQL 14 โดยรอบนี้ไม่มีการปรับปรุง syntax การเขียนคิวรีใหญ่ๆ แต่เป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพ และการทำงานเบื้องหลังมากกว่า ในแง่ประสิทธิภาพ การปรับปรุงอัลกอรึทึมการเรียงข้อมูลทำให้การคิวรีในกลุ่ม ORDER BY ทั้งหลายเร็วขึ้น 25%-400% ขณะที่การคิวรีแบบ SELECT DISTICT ก็ประมวลผลขนานกันทำให้เร็วขึ้นเช่นกัน อีกส่วนหนึ่งคือประสิทธิภาพเร็วขึ้นจากการรองรับการบีบอัดข้อมูลแบบ LZ4 และ zstd ในตัว ทำให้ประหยัดทั้งพื้นที่ดิสก์ในการเขียน write-ahead log (WAL) และเพิ่มประสิทธิภาพในบางกรณีที่ความเร็วตันที่ IOPS รวมถึงการสั่งคำสั่งสำรองข้อมูล pg_basebackup ก็รองรับการบีบอัดจากเซิร์ฟเวอร์โดยตรง ในแง่การคิวรี คำสั่งใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ MERGE สำหรับการสั่ง INSERT, UPDATE, และ DELETE ในคำสั่งเดียวตามเงื่อนไข และยังเพิ่มฟังก์ชั่นการประมวลข้อมูลด้วย regular expression อีกหลายตัว ทำให้ค้นหาสตริงได้ซับซ้อนขึ้น ที่มา - PostgreSQL
# Pixel 7 Pro ทวงบัลลังก์กล้องอันดับ 1 ของ DXOMARK ส่วน Pixel 7 จอดีกว่า iPhone 14 ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์หลังกูเกิลเปิดตัว Pixel 7 และ Pixel 7 Pro สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุด ขณะนี้รีวิวจากสำนักต่างๆ ก็ปล่อยออกมากันเกือบหมดแล้ว ด้าน DXOMARK ที่เน้นรีวิวและจัดอันดับกล้องก็ปล่อยรีวิวออกมาแล้วเช่นกัน โดย Pixel 7 Pro กลับมาครองอันดับ 1 ถือเป็นกล้องมือถือที่ดีที่สุดของเว็บนี้ ครั้งสุดท้ายที่มือถือ Pixel ครองอันดับ 1 คือเมื่อ 5 ปีก่อน ตั้งแต่สมัย Pixel 2 นู่นเลย โดย DXOMARK ระบุว่า Pixel 7 Pro คือมือถือที่ทำคะแนนได้สูงในทุกประเภทการทดสอบ ทำให้มันเป็นมือถือที่ดีที่สุดทั้งการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ โดยเฉพาะการถ่ายภาพครอบครัวและเพื่อนฝูง เพราะให้โทนสีผิวได้ตรง (จากฟีเจอร์ Real Tone) รวมถึงถ่ายภาพที่มีการเคลื่อนไหวได้ดี ไม่เบลอ ทั้งนี้ Pixel 7 Pro ไม่ใช่มือถือที่ได้อันดับ 1 เพียงรายเดียว แต่เป็นการครองอันดับร่วมกับ Honor Magic4 Ultimate แต่รุ่นนี้วางขายเฉพาะในจีนเท่านั้น และราคาเริ่มต้นสูงถึง 7,999 หยวน (ราว 42,500 บาท) ในขณะที่ Pixel 7 Pro เริ่มต้นที่ 899 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34,400 บาท) ภาพโดยกูเกิล หากเทียบกับ Pixel 6 Pro จะพบว่ามีการปรับปรุงหลายจุด ทั้งการซูมและการถ่ายวิดีโอ โดยซอฟท์แวร์กับฮาร์ดแวร์กล้องถูกปรับจูนมาใหม่ มี fusion algorithm ที่มีคู่แข่งบางรายทำมาก่อน คือการนำภาพจากเลนส์หลักกับเลนส์เทเลมารวมกัน ช่วยให้ภาพพื้นผิวสวยขึ้นเวลาซูม (มันคือฟีเจอร์ Super Res Zoom ที่ปรับปรุงใหม่) ภาพโดย DXOMARK จุดเด่นอื่นๆ คือภาพที่ได้จาก Pixel 7 Pro มีความสว่างที่พอดีและ dynamic range ที่กว้างทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ รวมถึงโฟกัสได้เร็วและแม่นยำ, ให้คอนทราสต์ที่ดีเกือบตลอด แม้จะเป็นการถ่ายภาพคนที่มีแสงส่องจากด้านหลัง, เก็บรายละเอียดได้ดีโดยเฉพาะตอนมีแสงมาก, ระบบกันสั่นทำงานได้ดี ส่วนข้อเสียคือมี noise ในเงาในสถานการณ์ที่คอนทราสต์จัดๆ และแสงน้อยทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ, มีแสงขาวโพลน (highlight clipping) บางครั้งเวลาถ่ายในอาคาร, มีอาการ color cast (สีภาพเพี้ยน) ในวิดีโอที่ถ่ายในอาคาร, มี flare นิดหน่อย และการเสียรายละเอียดในภาพที่ถ่ายซูมใกล้ๆ กับแบบเล็กน้อย ด้านการถ่ายวิดีโอ Pixel 7 Pro ทำคะแนนได้ 143 ในขณะที่ iPhone 14 Pro ทำได้ 149 คะแนน แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดีมาก คุมความสว่างได้ดี, dynamic range กว้าง เก็บแสงจ้าและเงาได้ครบ สีสวย แต่อาจมีอาการสีเพี้ยนบ้างในสถานการณ์ที่ยากๆ ส่วน Pixel 7 ไม่ได้ทดสอบกล้อง แต่ถูกรีวิวหน้าจอ ครองอันดับ 5 ของมือถือทั้งหมด ได้ 140 คะแนน แซง iPhone 14 ที่ได้ 139 คะแนนไปฉิวเฉียด โดย DXOMARK ระบุว่าหน้าจอแสดงผล HDR10 ได้ดี แสดงผลสีได้เที่ยงตรงในเกือบทุกสภาพแวดล้อม รวมถึงคุมความสว่างได้ดีในที่มืดและภายในอาคาร ข้อเสียของหน้าจอคือยังสู้แสงนอกอาคารได้ไม่ดีในบางครั้ง, มีอาการหน่วงเวลาเล่นเกมบางครั้ง, สีเพี้ยนจากชมพูเป็นฟ้าในบางมุม ภาพโดย DXOMARK ด้าน Pixel 7 Pro ได้คะแนนหน้าจอเป็นอันดับ 2 ที่ 146 คะแนน ตามหลัง iPhone 14 Pro Max ที่ครองอันดับ 1 (149 คะแนน) สุดท้ายการทดสอบกล้องเซลฟี่ Pixel 7 Pro อยู่อันดับ 3 ตามหลัง iPhone 14 Pro และ Huawei P50 Pro ที่ครองอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ ที่มา - DXOMARK - Pixel 7 Pro, DXOMARK - Pixel 7 การจัดอันดับกล้องมือถือ 10 อันดับแรก | ภาพโดย DXOMARK
# ไมโครซอฟท์จะเลิกใช้ชื่อ Office เปลี่ยนเป็น Microsoft 365 พร้อมไอคอนใหม่สีม่วง เราเห็นไมโครซอฟท์รีแบรนด์ Office 365 มาเป้น Microsoft 365 ตั้งแต่ปี 2020 แต่ล่าสุดไมโครซอฟท์กำลังไปไกลกว่านั้น ถึงขั้นจะเลิกใช้แบรนด์ "Office" ไปเลย และเปลี่ยนมาเป็น Microsoft 365 แทน การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลเฉพาะตัวแบรนด์คำว่า Office เท่านั้น ไม่มีผลต่อแอพในชุดอย่าง Word, Excel, PowerPoint ที่ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง สิ่งที่จับต้องได้ที่สุดคือแอพ Office ทั้งบนมือถือ, บนวินโดวส์ และเว็บแอพ Office.com จะถูกรีแบรนด์ใหม่เป็นแอพชื่อ Microsoft 365 แทน พร้อมโลโก้ใหม่เป็นวงหกเหลี่ยมสีม่วง แทนตัว O สีส้มแดงที่เราคุ้นเคยกันมานาน เว็บแอพ Office.com จะเปลี่ยนเป็นลำดับแรกในเดือนพฤศจิกายน 2022 ส่วนแอพ Office บนมือถือและบนวินโดวส์จะเปลี่ยนชื่อตามในเดือนมกราคม 2023 ที่มา - Microsoft via The Verge
# John Carmack สับเละอดีตนายจ้าง ไม่เห็นด้วยกับแนวทาง VR หลายอย่างของบริษัท Meta John Carmack ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CTO ของ Oculus (ลาออกในปี 2019 ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น "CTO ที่ปรึกษา") ได้รับเชิญไปพูดที่งาน Meta Connect 2022 แต่ปรากฏว่าเขา "สับเละ" ต่อแนวทางการพัฒนาโลก VR ของบริษัท Meta อดีตนายจ้างของตัวเอง Carmack ปรากฏตัวในรูปแบบอวตารการ์ตูน (ไม่มีขา) ให้ผู้ชมทางบ้านดูจากคลิปวิดีโอ เขาบอกว่าการปรากฏตัวแบบนี้เป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง เพราะสิ่งที่เขาอยากทำจริงๆ คือใส่แว่นเข้าไปในโลกเสมือน แล้วเดินพูดและทักทายผู้ชมคนอื่นๆ ในโลกเสมือน ราวกับไปขึ้นเวทีพูดในงานสัมมนาจริงๆ แต่เมื่อบริษัท Meta ยังไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมาผ่านวิดีโอ เขาบอกว่าอวตารในวิดีโอ ก็ไม่ต่างอะไรจากการบันทึกวิดีโอธรรมดาๆ (Me being an avatar on-screen on a video for you is basically the same thing as [just] being on a video.) เขาบอกว่ามีหลายสิ่งที่เขาไม่พอใจ (there's a bunch that I'm grumpy about) ไล่ตั้งแต่โลกเสมือน Horizon Worlds ที่ยังไม่สามารถทำได้ตามวิสัยทัศน์ของเขา ที่อยากเห็นการชุมนุมของคนจำนวนมากๆ ระดับหลายร้อยหรือเป็นพันคน ในร่างอวตารบนพื้นที่เดียวกัน (a completely uniformly shared world) ซึ่งมีความท้าทายในทางเทคนิค เขายังพูดถึงประเด็นคุณภาพของอวตารที่มีคนวิจารณ์กันมาก (หมายถึงอวตารของ Mark Zuckerberg ที่คุณภาพต่ำ) แต่ก็แสดงความเห็นว่า อวตารไม่จำเป็นต้องมีความละเอียดสูงเกินไป เพราะพลังประมวลผลของแว่น VR มีจำกัด และการเรนเดอร์ผ่านคลาวด์ก็ไม่ได้ช่วยได้ในทุกกรณี ดังนั้นควรเก็บพลังประมวลผลไว้ใช้อย่างอื่นที่คุ้มค่าดีกว่า ส่วนความเห็นต่อแว่น Quest Pro ราคา 1,499 ดอลลาร์ เขาก็บอกว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางแว่นราคาแพง เพราะเขาผลักดันแนวทางการสร้างแว่นราคาถูก เพื่อขยายฐานผู้ใช้ VR ให้กว้างที่สุดมากกว่า เป้าหมายที่เขาอยากให้เป็นคือแว่นราคา 250 ดอลลาร์ น้ำหนัก 250 กรัม เบาจนใส่ได้สะดวก แม้ต้องตัดฟีเจอร์อื่นออกไปบ้าง (Quest Pro ราคา 1,499 ดอลลาร์ หนัก 722 กรัม) เขายังเตือนว่าการแยกแว่น Quest Pro ราคาแพง และ Quest 2 ราคาถูก จะทำให้ผู้สร้างเนื้อหาเผลอไปสนใจ Quest Pro เกินไป แต่ผู้ใช้จริงๆ จะอยู่บน Quest 2 ต่างหาก ซึ่งนักพัฒนาต้องไม่ลืมทดสอบแอพ-เกมของตัวเองกับ Quest 2 ให้ทำงานได้ดีด้วย อย่างไรก็ตาม เขาชม Quest Pro เรื่องคุณภาพของการแสดงผล, แรมที่เพิ่มขึ้น, การระบายความร้อนที่ดีขึ้น Carmack ยังพูดถึงประสบการณ์ใช้งานแว่น Quest 2 ที่ต้องรออัพเดตซอฟต์แวร์แทบทุกครั้งที่หยิบมาใช้, ระยะเวลาการโหลดแอพที่ช้าเกินไป, การเชิญเพื่อนเข้าห้อง Horizon ที่ใช้เวลาเป็นนาที ว่าทั้งหมดเป็นประสบการณ์ใช้งานที่แย่ และพลอยทำให้คนไม่อยากใช้ VR กันในระยะยาว ที่มา - Ars Technica
# Microsoft Presenter+ รีโมทควบคุมสไลด์-พอยเตอร์ชี้ตำแหน่งผ่าน Microsoft Teams สินค้าอีกตัวที่น่าสนใจของไมโครซอฟท์ ที่เปิดตัวมาคู่กับ Microsoft Audio Dock คือ Presenter+ รีโมทสำหรับควบคุมเลื่อนหน้าสไลด์ พร้อมพอยเตอร์ชี้ตำแหน่งบนสไลด์ PowerPoint สิ่งที่มันต่างจากรีโมท-พอยเตอร์ธรรมดาทั่วไปคือ รองรับ Microsoft Teams เต็มรูปแบบ การกดเลื่อนสไลด์-ชี้ตำแหน่งบนหน้าจอ ไม่ได้มีผลเฉพาะบนเครื่องของเราเองเท่านั้น ผู้ชมการพรีเซนต์ผ่าน Microsoft Teams จะเห็นการชี้ตำแหน่งสไลด์ของเราด้วยเช่นกัน บนรีโมทยังมีปุ่มเอาไว้เปิด-ปิดไมโครโฟน พร้อมไฟบอกสถานะว่า mute อยู่ และปุ่ม Teams สำหรับกดยกมือในห้องประชุมได้ด้วย ราคาขายตัวละ 79.99 ดอลลาร์ ที่มา - Microsoft, Microsoft
# NASA แถลงผลโครงการ DART ภาพถ่ายยืนยันดาวเคราะห์น้อยเปลี่ยนแนวโคจรหลังการชน เกี่ยวกับโครงการ DART หลังตัวยานพุ่งชนดาวเคราะห์น้อย Dimorphos เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา และมีการเก็บข้อมูลด้วยกล้องโทรทรรศน์อวกาศและยานอื่นๆ ตอนนี้ NASA ได้ยืนยันแล้วว่าการโคจรของดาวเคราะห์น้อย Dimorphos มีการเปลี่ยนแปลงหลังการชน ถือได้ว่าการทดสอบนี้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของมัน NASA ได้วิเคราะห์ภาพถ่ายหลายภาพเพื่อตรวจการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์น้อยหลังการชนและได้เผยแพร่บทความอธิบายการสรุปผลวิเคราะห์ภาพเหล่านั้น โดยดาวเคราะห์ Dimorphos มีคาบการโคจรเร็วขึ้น 32 นาที ดาวเคราะห์น้อย Dimorphos ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 160 เมตร นั้นโคจรรอบดาวเคราะห์น้อยอีกดวงที่มีขนาดใหญ่กว่าที่มีชื่อว่า Didymos โดยก่อนหน้านี้คาบการโคจรของมันใช้เวลา 11 ชั่วโมง 55 นาที แต่หลังการชนของยาน DART ทำให้ Dimorphos ใช้เวลาการโคจรลดลงเหลือ 11 ชั่วโมง 23 นาที (NASA ระบุว่าตัวเลขคาบการโคจรใหม่นี้อาจมีความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 2 นาทีต่อรอบ) วิธีที่ NASA ใช้ในการตรวจสอบคาบการโคจรของดาวเคราะห์น้อยนั้นคือใช้วิธีตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของความสว่างที่สังเกตได้ กล้องโทรทรรศน์อวกาศจะมองเห็นความสว่างที่เกิดจากแสงอาทิตย์ตกกระทบพื้นผิวดาวเคราะห์น้อย Didymos และ Dimorphos และสะท้อนกลับมายังกล้อง ในช่วงที่ดาวเคราะห์น้อยทั้ง 2 ดวงสะท้อนแสงอาทิตย์กลับมาทั้งคู่ก็จะวัดค่าความสว่างได้ค่าหนึ่ง แต่ในช่วงจังหวะที่ดาวเคราะห์น้อย Dimorphos (อันเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงเล็กซึ่งเป็นเป้าการชนของยาน DART) โคจรอ้อมด้านหลัง Didymos ช่วงจังหวะนั้นจะมีแค่ดาวเคราะห์น้อยดวงใหญ่เท่านั้นที่สะท้อนแสงกลับมายังกล้อง ทำให้ค่าความสว่างรวมที่กล้องโทรทรรศน์ตรวจจับได้มีค่าลดน้อยลง ภาพแสดงให้เห็นว่าในช่วงที่ดาวเคราะห์น้อย Dimorphos (ดวงเล็กที่โคจรไปรอบๆ ) เคลื่อนที่อ้อมผ่านด้านหลังของดาวเคราะห์น้อย Didymos (ดวงใหญ่ที่อยู่ศูนย์กลางของภาพ) จะทำให้ค่าความสว่างที่เกิดจากการสะท้อนแสงอาทิตย์มายังกล้องลดน้อยลง NASA เก็บข้อมูลค่าความสว่างที่วัดได้จากการส่องดาวเคราะห์น้อยทั้งคู่ และวัดระยะเวลาระหว่างจังหวะที่ค่าความสว่างรวมลดน้อยลงแต่ละครั้ง ซึ่งค่าเวลานี้เองคือคาบการโคจรของ Dimorphos โดยใช้วิธีนี้ในการหาคาบการโคจรทั้งในช่วงก่อนการชนของยาน DART และหลังการชน ลูกศรสีเทาชี้จังหวะเวลาที่ค่าความสว่างควรจะลดลงหากคาบการโคจรของ Dimorphos ยังเป็น 11 ชั่วโมง 55 นาที, ลูกศรสีเหลืงชี้จังหวะเวลาที่ค่าความสว่างของดาวเคราะห์น้อยลดลงจริงซึ่งให้ผลการคำนวณคาบการโคจร 11 ชั่วโมง 23 นาที, บน: การเก็บข้อมูลค่าความสว่างของดาวเคราะห์น้อยทั้งคู่ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน ถึงวันที่ 6 ตุลาคม, ล่างซ้าย: ข้อมูลของวันที่ 29 กันยายน, ล่างขวา: ข้อมูลของวันที่ 4 ตุลาคม เดิมที NASA ตั้งเป้าว่าภารกิจ DART ควรทำให้คาบการโคจรของ Dimophos มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างน้อย 73 วินาที ดังนั้นการทำให้คาบการโคจรลดลงได้ถึง 32 นาทีจึงเรียกว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก หลังจากนี้นักวิทยาศาสตร์จะยังคงเก็บข้อมูลต่อไปโดยศึกษาเรื่อง Ejecta เพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติของดาวเคราะห์น้อยให้มากขึ้น ที่มา - NASA
# Mark Zuckerberg: แว่น Quest Pro ราคาขาย 1,500 ดอลลาร์ เป็นราคาที่เท่าทุน Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta ให้สัมภาษณ์ล่าสุดในรายการพอดคาสต์ของ Ben Thompson โดยพูดถึงกลยุทธ์บริษัทในตลาด VR ซึ่งเขายังคงเทียบบริษัทกับแอปเปิลอีกครั้ง โดย Zuckerberg บอกว่า ทั่วไปแล้วคนจะทำฮาร์ดแวร์ขาย แล้วพยายามตั้งราคาให้ได้กำไรจากตรงนั้นให้มากที่สุด แบบที่แอปเปิลทำอยู่ แต่สำหรับเขาไม่มองแบบนั้น เขาต้องการสร้างฮาร์ดแวร์ที่ดีที่สุด เพื่อให้คนเข้ามาอยู่ในระบบนิเวศก่อน ราคาขายก็ทำแค่เท่าทุน หรือบางทีก็ขายขาดทุนด้วยซ้ำ เขาย้ำว่าด้วยคุณสมบัติแล้ว แว่นตา VR Quest Pro ราคา 1,500 ดอลลาร์ นั้นไม่สูงเลย ในแผนถัดไปเขาเตรียมออก Quest 3 ที่ราคาราว 300-500 ดอลลาร์ สุดท้ายเขาบอกว่าในทางกลยุทธ์ หากเราต้องการเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกัน เราก็ต้องทำให้คนมาอยู่ในนั้นก่อน แล้วการทำกำไรจึงค่อยเริ่มจากซอฟต์แวร์และบริการต่าง ๆ หลังจากนั้น ที่มา: Business Insider
# Steam ยกเครื่องแอปมือถือใหม่ ใช้วิธีล็อกอินด้วยการสแกน QR Valve อัพเดตแอป Steam สำหรับอุปกรณ์พกพาใหม่ทั้งระบบ Android และ iOS โดยไม่เพียงยกเครื่องปรับเปลี่ยนหน้าตาแอปครั้งใหญ่เท่านั้น อีกสิ่งที่สำคัญคือระบบล็อกอินที่ง่ายขึ้นด้วยการใช้วิธีสแกน QR ผู้ใช้สามารถสั่งซื้อเกม, เช็คเกมในคลังของตนเอง, สั่งควบคุมการดาวน์โหลดหรืออัพเดตเกมได้, แชทกับเพื่อน และรับการแจ้งเตือนต่างๆ ได้เหมือนกับการใช้ Steam บนคอมพิวเตอร์ สำหรับการล็อกอินเข้าตัวแอปนั้น จากเดิมต้องกรอกชื่อบัญชีพร้อมรหัสผ่าน และยืนยันด้วยรหัสตัวเลขที่ได้รับจาก Steam Guard อีกทีหนึ่ง ก็มีการปรับเปลี่ยนลดขั้นตอนให้ง่ายขึ้น ผู้ใช้สามารถล็อกอินเข้าสู่แอป Steam ได้โดยการสแกนรหัส QR ที่ปรากฎบนหน้าจอ Steam เวอร์ชั่นคอมพิวเตอร์ (คล้ายการล็อกอิน LINE บนเครื่องคอมพิวเตอร์) ทั้งนี้ Valve จะอัพเดต Steam Deck ให้สามารถล็อกอินด้วยการสแกน QR ได้เช่นกันเร็วๆ นี้ ที่มา - The Verge
# Azure เพิ่มบริการช่วยย้ายฐานข้อมูลจาก Oracle ไปยัง PostgreSQL ไมโครซอฟท์เปิดบริการ Database Migration Assessment for Oracle เครื่องมีเสริมในบริการ Azure Data Studio ที่ช่วยประเมินว่าฐานข้อมูลในองค์กรสามารถย้ายมาใช้งานบน PostgreSQL ได้ยากง่ายเพียงใด PostgreSQL พัฒนาโดยมีแนวทางพยายามทำให้รัน SQL จากฐานข้อมูล Oracle ได้ตั้งแต่แรก ทำให้การรองรับโค้ด SQL ข้ามกันได้ค่อนข้างมาก เครื่องมือนี้ไม่ได้ช่วยแปลงฐานข้อมูลให้ แต่จะเข้าไปวิเคราะห์ว่ามีส่วนที่ย้ายได้ง่ายจุดใดบ้าง และมีจุดที่ย้ายได้ยาก หรือต้องเปลี่ยนสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ไปเลยตรงไหนบ้าง ไมโครซอฟท์ใช้โครงการโอเพนซอร์ส ora2pg มาสร้างบริการนี้ แนวทางการแย่งชิงลูกค้าที่ใช้ระบบฐานข้อมูลระดับองค์กรราคาแพงให้มาใช้บริการคลาวด์เป็นกระแสที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง ขณะที่ไมโครซอฟท์พยายามดึงลูกค้าจาก Oracle มาใช้ PostgreSQL ก่อนหน้านี้ AWS ก็พยายามดึงลูกค้าที่ใช้ SQL Server ของไมโครซอฟท์ให้ไปใช้งาน PostgreSQL เหมือนกัน หรือ Alibaba Cloud ก็มีบริการ PolarDB เวอร์ชั่นเข้ากันได้กับฐานข้อมูล Oracle เหมือนกัน ที่มา - Microsoft
# Microsoft เปิดตัว Microsoft Audio Dock ลำโพงสำหรับประชุม ต่อจอนอกได้ 2 จอ Microsoft เปิดตัวฮาร์ดแวร์เสริมสำหรับการประชุมชุดใหม่ อันที่น่าสนใจคือ Microsoft Audio Dock เป็นลำโพงสำหรับใช้ในการประชุมออนไลน์ แต่จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครคือสามารถทำตัวเป็น docking station ต่อจอนอกได้ถึง 2 จอ Microsoft Audio Dock มีรูปทรงเป็นกล่องสี่เหลี่ยมทรงสูงคล้ายกล่องข้าวกลางวันจับตั้ง เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ด้วยสาย USB-C รองรับ Power Delivery ที่กำลังไฟ 60 วัตต์ (อาจจะน้อยไปนิดสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปสเปกสูงๆ สมัยนี้) และต่อจอนอกได้ 2 จอผ่านพอร์ต HDMI และ USB-C อีกทั้งยังรองรับ MST แปลว่าต่อจอที่สองด้วยพอร์ต DisplayPort out จากจอแรกได้เลย รวมถึงรองรับการแสดงผลภาพสูงสุดที่ 4K 60Hz หากคอมพิวเตอร์รองรับ Display Stream Compression (DSC) นอกจากนี้ยังมีพอร์ต USB-C สำหรับใช้งานทั่วไปอีก 1 พอร์ต (จ่ายไฟเพียง 7.5 วัตต์) และมี USB-A อีก 1 พอร์ต โดยพอร์ตทั้งหมดเป็น USB 3.1 Gen2 บนตัวลำโพงมีปุ่ม Microsoft Teams, ปิดไมค์, ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และปุ่ม play/pause สำหรับการฟังเพลง มีไมโครโฟน 2 ตัว และมีลำโพง 2 ตัวสำหรับเสียงแหลมและเสียงกลาง น้ำหนักรวม 650 กรัม Microsoft Audio Dock รองรับทั้ง Windows และ macOS รวมถึงใช้กับซอฟท์แวร์ประชุมได้ทั้ง Zoom และ Google Meet ด้วย ตั้งราคาที่ 249.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9,500 บาท) วางขายวันที่ 25 ตุลาคมนี้ในบางประเทศ ที่มา - Microsoft ภาพทั้งหมดโดย Microsoft
# เผยเจ้าของแอป TikTok เตรียมเปิดให้บริการแอปสตรีมเพลงในหลายประเทศ ต่อยอดธุรกิจ The Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง เผยว่า ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok เริ่มหารือกับค่ายเพลงรายใหญ่ เพื่อเตรียมเปิดให้บริการสตรีมมิ่งเพลงแบบเดียวกับ Spotify โดยขยายไปยังผู้ใช้งานทั่วโลก ซึ่งบริการนี้มีข้อแตกต่างคือเชื่อมต่อเพลงเข้ากับแพลตฟอร์ม TikTok ด้วย ทำให้ผู้ใช้งานสามารถค้นพบเพลงเริ่มต้นได้จากคลิปวิดีโอสั้นนั่นเอง ปัจจุบัน ByteDance มีแอปสตรีมเพลงอยู่แล้วชื่อ Resso แต่เปิดให้บริการเฉพาะบางประเทศเท่านั้นเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และบราซิล โดยมีแผนงานนี้จะขยายประเทศที่ให้บริการ Resso เพิ่มเติม แต่ยังไม่มีอเมริการวมอยู่ด้วย แนวทางขยายสู่ธุรกิจสตรีมมิ่งของ ByteDance นั้นสมเหตุสมผลทางธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบัน TikTok ถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลต่อความนิยมเพลงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผลประโยชน์ของการฟังเพลงนั้นต่อ ยังอยู่ที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลงรายอื่น ถ้าหาก ByteDance ทำแพลตฟอร์มขึ้นเองก็น่าจะรวบรายได้ไว้กับตนนั่นเอง โมเดลรายได้ของ Resso คล้ายกับ Spotify คือเป็นฟรีเมียม ใช้งานได้ฟรีแบบมีโฆษณา หรือจ่ายเงินรายเดือนเพื่อเข้าถึงบริการที่มากกว่า แต่ปัจจุบัน Resso มีผู้ใช้งานที่เสียเงินเป็นอัตราส่วนที่น้อยมาก (Spotify อยู่ที่ 45%) จึงถือเป็นความท้าทายหนึ่ง ที่มา: The Wall Street Journal
# Truth Social แอปโซเชียลของ Donald Trump ผ่านการอนุมัติลง Play Store แล้ว กูเกิลอนุมัติให้ Truth Social แอปโซเชียลเน็ตเวิร์คของอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ขึ้น Play Store แล้ว หลังจากแอปเปิลอนุมัติขึ้น App Store ไปตั้งแต่เมื่อต้นปี ก่อนหน้านี้กูเกิลปฏิเสธให้ Truth Social ขึ้น Play Store โดยให้เหตุผลเรื่องแอปละเมิดข้อกำหนดมาตรฐานหลายอย่าง โดยเฉพาะประเด็นการควบคุมดูแลเนื้อหาที่รุนแรง หรืออาจผิดกฎหมาย เช่น ต้องมีระบบรายงานหากพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น อย่างไรก็ตามช่วงที่ผ่านมา Truth Social ก็มีวิธีการลงแอปบน Android โดยใช้ apk หรือเผยแพร่ผ่าน Store อื่นที่อนุญาต ที่มา: Axios
# Lufthansa ชี้แจง ผู้โดยสารใช้ AirTag กับกระเป๋าเดินทางได้ หลังหารือกับหน่วยงานความปลอดภัยแล้ว สายการบิน Lufthansa ชี้แจงแล้ว ว่าผู้โดยสารสามารถใช้งาน AirTag อุปกรณ์ติดตามสิ่งของของแอปเปิล ได้ทั้งกับกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง (Carry-on) และกระเป๋าที่โหลดกับใต้เครื่อง หลังจากสายการบินได้ข้อมูลจากหน่วยงานกำกับการบินของเยอรมนี ยืนยันว่า AirTag ใช้พลังงานต่ำ จึงมีความเสี่ยงน้อย ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า Lufthansa สั่งห้ามใช้ AirTag กับกระเป๋าเดินทาง หรือหากต้องโหลดจริง จะต้องปิดการทำงาน AirTag ก่อน ซึ่งวิธีปิดทำได้เพียงถอดแบตเตอรี่ออกมาเท่านั้น หลังมีรายงานข่าวนี้ แอปเปิลก็ชี้แจงกับ The New York Times ยืนยันว่า AirTag ผ่านเงื่อนไขความปลอดภัย สำหรับใช้งานร่วมการการบินระหว่างประเทศ ทั้งกระเป๋าถือขึ้นเครื่องและโหลดใต้เครื่อง ซึ่งรวมถึงแทร็กเกอร์บลูทูธรายอื่นด้วย ที่มา: MacRumors
# Microsoft Teams Premium บริการเสริม เพิ่มระบบบันทึกการประชุมด้วย AI, ระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น ไมโครซอฟท์เปิดตัว Microsoft Teams Premium ซึ่งเพิ่มเครื่องมือต่าง ๆ ให้กับการใช้งาน Microsoft Teams เดิม ทั้งระบบจัดการความปลอดภัย, AI เสริมประสิทธิภาพใช้งาน ตลอดจนระบบบันทึกเนื้อหาย้อนหลัง ตัวอย่างเครื่องมือที่เพิ่มมาเช่น Intelligent Recap ใช้ AI ตัดสรุปเนื้อหาการประชุมที่สำคัญ เช่น ส่วนที่เราถูกพูดถึง, เนื้อหาแชร์บนหน้าจอที่สำคัญ เพื่อให้การดูย้อนหลังไม่ต้องใช้เวลาเท่ากับความยาวการประชุม เหมือนมีคนช่วยจัดบันทึกการประชุมให้อีกที นอกจากนี้มี Live translation for captions แสดงข้อความขณะสนทนาพร้อมแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน ช่วยลดกำแพงภาษาในการประชุมได้ ส่วนด้านความปลอดภัย สามารถกำหนดแทรกลายน้ำในเอกสารทุกหน้าที่นำเสนอระหว่างการประชุม ไปจนถึงตั้งค่าได้ว่าใครสามารถบันทึกการประชุมนี้ได้ คุณสมบัติอื่น เช่น สามารถกำหนดการเลือกห้องประชุมที่เหมาะสมได้ (ห้องใหญ่ไม่ควรใช้งาน 2 คน), ตั้งค่าฉากหลัง-ห้องรับรอง ที่เพิ่มแบรนด์ดิ้ง โดยเฉพาะกับงานที่ติดต่อลูกค้าภายนอก ฯลฯ Teams Premium ยังไม่ประกาศราคาที่ลูกค้าต้องจ่ายเพิ่ม แต่จะเริ่มเปิดให้ทดสอบใช้งานปลายปี และให้บริการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2023 ที่มา: ไมโครซอฟท์
# Microsoft Places บริการเสริมตัวใหม่ของ Microsoft 365 ช่วยจัดการ Hybrid Work ไมโครซอฟท์เปิดตัวแอป Places ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft 365 ซึ่งอธิบายว่าเพื่อรองรับการทำงานยุคใหม่แบบไฮบริด ที่มีทั้งคนทำงานออนไลน์ และคนที่ทำงานในสำนักงาน Microsoft Places ให้ทีมงานอัพเดตข้อมูลแต่ละคน ว่าวางแผนทำงานจากที่บ้าน ในที่ทำงาน หรือสถานที่อื่นในวัน-เวลาใดบ้าง เพื่อให้พนักงานแต่ละคนสามารถบริหารจัดการเวลาที่เหมาะสม เช่น เวลานี้ควรเดินทางไปพบทีมงานที่ใด หรือควรออกจากบ้านเวลาใดเพื่อเลี่ยงการจราจร เป็นต้น บริการนี้ยังสามารถรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น โต๊ะทำงานที่ว่าง ห้องประชุมที่ว่าง ห้องประชุมที่ใกล้ที่สุดสำหรับการนัดหมาย ในภาพรวมองค์กรยังสามารถบริหารจัดการการใช้พื้นที่ได้ดีขึ้นอีกด้วย Microsoft Places จะเปิดให้ใช้งานสำหรับลูกค้า Microsoft 365 ธุรกิจในปี 2023 ที่มา: ไมโครซอฟท์
# ไมโครซอฟท์ออก Surface Studio 2+ อัพเกรดสเปกเป็น Core 11th Gen ใช้บอดี้เดิมปี 2018 นอกจาก Surface Pro 9 และ Surface Laptop 5 ไมโครซอฟท์ยังมีฮาร์ดแวร์ใหม่อีกตัวคือ Surface Studio 2+ ซึ่งเป็นการอัพเกรดสเปกของ Surface Studio 2 ที่ออกขายเมื่อปี 2018 พีซีแบบออลอินวันที่พับจอลงมาได้ Surface Studio 2+ ยังใช้ดีไซน์ภายนอกเหมือนเดิม อัพเกรดแค่สเปก (ที่ไม่ได้อัพเกรดมา 4 ปี) และพอร์ตเชื่อมต่อ ซีพียูเปลี่ยนมาใช้ Core i7-11370H (ของเดิม 7th Gen), จีพียูเป็น GeForce RTX 3060, แรม 32GB, สตอเรจ 1TB, เพิ่มพอร์ต USB-C with Thunderbolt 4, รองรับ Wi-Fi 6E และ Bluetooth 5.1 ราคาเริ่มต้นที่ 4,300 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.63 แสนบาท) ที่มา - Microsoft
# Photos ของ Windows 11 ซิงก์ภาพ iCloud ได้แล้ว, Apple TV และ Apple Music จะออกเวอร์ชันวินโดวส์ ไมโครซอฟท์ประกาศความร่วมมือกับแอปเปิลหลายอย่าง โดยแอพ Photos ของ Windows 11 จะรองรับการซิงก์รูปกับบัญชี iCloud Photos (นอกเหนือจากการซิงก์ OneDrive ที่มีอยู่ก่อนแล้ว) ตอนนี้เริ่มใช้ได้แล้วสำหรับ Windows Insiders Dev Channel นอกจากนี้ แอปเปิลยังออกแอพ Apple Music เวอร์ชัน Xbox และประกาศว่าจะออกแอพ Apple TV กับ Apple Music เวอร์ชันวินโดวส์ให้ด้วยในปีหน้า 2023 ที่มา - Microsoft, 9to5Mac, Microsoft
# Surface Laptop 5 มาแล้ว สองขนาดหน้าจอเหมือนเดิม และมีเฉพาะซีพียู Intel Evo ไมโครซอฟท์เปิดตัว Surface Laptop 5 โน้ตบุ๊กรุ่นอัพเดตจากปีก่อน ที่ยังคงแนวทางเป็นโน้ตบุ๊กรองรับการใช้งานแบบดั้งเดิม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี Surface Laptop 5 มีสองขนาดหน้าจอให้เลือกคือ 13.5 นิ้ว และ 15 นิ้ว เหมือนรุ่นก่อนหน้า จอภาพแสดงผล PixelSense ฟอร์แมต 3:2 รองรับ Dolby Vision IQ, ลำโพงรองรับ Dolby Atmos 3D สามารถให้เสียงแบบ spatial ตามตำแหน่งได้ สเปกฮาร์ดแวร์เป็นซีพียู Intel Evo Gen 12th, แรมเริ่มต้น 8GB เพิ่มได้สูงสุด 32GB, หน่วยความจำเริ่มต้น 256GB สูงสุด 1TB รองรับ Thunderbolt 4 และ Wi-Fi 6 มีตัวเลือก 4 สี เฉพาะสี Platinum เลือกได้ว่าวัสดุตรงคีย์บอร์ดจะเป็นโลหะหรือผ้า Alcantara สำหรับจอ 13.5 นิ้ว ราคาขายเริ่มต้น 999.99 ดอลลาร์ ที่มา: ไมโครซอฟท์
# ไมโครซอฟท์เปิดบริการ Designer เว็บออกแบบกราฟิกสร้างภาพตามสั่งด้วย DALL∙E 2 พร้อมรวม Clipchamp เข้า Microsoft 365 ไมโครซอฟท์เปิดบริการเว็บแอปใหม่ในชื่อ Designer เป็นบริการสร้างภาพกราฟิกสำหรับโพสโซเชียลหรือใช้ในสไลด์นำเสนอ โดยเบื้องหลังใช้ปัญญาประดิษฐ์สร้างภาพ DALL∙E 2 ของ OpenAI ตอนนี้ Designer ยังเป็นบริการระดับพรีวิว ต้องลงทะเบียนแสดงความสนใจรอคิวเข้าใช้งาน แต่ไมโครซอฟท์ก็ระบุว่าในอนาคตมันจะเป็นบริการฟรี พร้อมกับฟีเจอร์พรีเมี่ยมจะกันให้กับผู้สมัคร Microsoft 365 และยังมีแผนจะรวมบริการนี้ไว้ใน Edge สำหรับบริการอีกตัวอีกแอปตัดต่อวิดีโอ Clipchamp ที่เป็นบริการแบบเว็บแอปที่ไมโครซอฟท์ซื้อกิจการมาเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ไมโครซอฟท์จะเอามารวมไว้ใน Microsoft 365 ที่มา - Microsoft 365 Blog
# ไมโครซอฟท์เปิดตัว Surface Pro 9 มีให้เลือกทั้ง Arm และ x86 ตามข่าวลือ ไมโครซอฟท์เปิดตัว Surface Pro 9 โดยมีให้เลือกทั้งรุ่น Intel Core รุ่นที่ 12 และซีพียู Microsoft SQ 3 สำหรับรุ่น 5G ตรงตามข่าวลือก่อนหน้านี้ รุ่น x86 ซีพียูมีให้เลือกทั้ง Core i5-1235U และ Core i7-1255U เลือกแรม LPDDR5 ได้สูงสุด 32GB ส่วนรุ่น Arm ใส่แรม LPDDR4X ได้สูงสุด 16GB ทั้งสองรุ่นใช้จอ PixelSense 13 นิ้ว ความถี่ 120Hz กระจก Gorilla Glass 5 เปิดพรีออเดอร์แล้ววันนี้ ราคาเริ่มต้น 999.99 ดอลลาร์สำหรับรุ่น x86 และ 1,299.99 ดอลลาร์สำหรับรุ่น 5G ที่มา - Microsoft
# กูเกิลเปิดบริการ Passkey บนแอนดรอยด์และ Chrome ล็อกอินไม่ต้องใช้รหัสผ่านอีกต่อไป กูเกิลประกาศรองรับการล็อกอินแบบ Passkey บนโทรศัพท์แอนดรอยด์และเบราว์เซอร์โครม หลังจากก่อนหน้านี้แอปเปิลรองรับไปก่อนแล้ว ทำให้สามารถใช้โทรศัพท์ล็อกอินบริการต่างๆ ได้โดยไม่ต้องตั้งรหัสผ่านอีกต่อไป Passkey เป็นมาตรฐานบน WebAuthn อีกทีหนึ่ง เปิดทางให้บริการต่างๆ สามารถยืนยันตัวตนผู้ใช้ด้วยกุญแจเข้ารหัสที่เก็บอยู่ในอุปกรณ์ของผู้ใช้ ทั้งโทรศัพท์มือถือและเบราว์เซอร์ โดยกุญแจนี้สามารถซิงก์ข้ามเครื่องไปมาได้ ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการล็อกอินบนอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ Passkey แต่สร้างบัญชีไว้โดยไม่ได้ตั้งรหัสผ่าน ก็สามารถใช้งานตั้งล็อกอินผ่าน QR ได้ คล้ายกับการล็อกอิน LINE บนเดสก์ทอปทุกวันนี้ กุญแจยืนยันตัวตนที่ใช้กับ Passkey หากสร้างบนบริการของกูเกิลจะซิงก์ข้ามเครื่องผ่านบริการ Google Password Manager ขณะที่ของแอปเปิลจะซิงก์ผ่าน iCloud แนวทางการใช้ Passkey ประกาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่าน โดยสามบริษัทใหญ่ได้แก่ แอปเปิล, กูเกิล, และไมโครซอฟท์ ประกาศว่าจะรองรับฟีเจอร์นี้ภายในปีนี้ หรืออย่างช้าปี 2023 ตอนนี้เหลือไมโครซอฟท์ที่ยังไม่ได้รองรับฟีเจอร์นี้ใน Edge และ Windows ที่มา - Android Developer Blog
# กลุ่มอมรินทร์ เข้าซื้อหุ้น 51% ของ Dek-D คิดเป็นมูลค่าดีล 204 ล้านบาท บริษัท อมรินทร์บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง ประกาศเข้าลงทุนในบริษัท เด็กดี อินเตอร์แอคทีฟ จำกัด คิดเป็น 51% ของหุ้นทั้งหมด โดยจะลงทุนเป็นมูลค่ารวมไม่เกิน 204 ล้านบาท เด็กดี อินเตอร์แอคทีฟ เป็นเจ้าของเว็บไซต์ Dek-D.com ที่ดำเนินการมาแล้วกว่า 23 ปี และยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา และธุรกิจคอนเทนต์ สื่อโฆษณา กลุ่มอมรินทร์มองว่าการลงทุนนี้ จะสามารถนำมาต่อยอดกับธุรกิจของกลุ่มบริษัทได้เป็นอย่างดี คาดว่าดีลทั้งหมดจะเสร็จสิ้นในเดือนมิถุนายน 2567 ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
# Google Cloud เซ็นสัญญา Coinbase เตรียมรองรับการจ่ายค่าคลาวด์ด้วยคริปโต Google Cloud ประกาศความร่วมมือกับบริษัทคริปโตชื่อดัง Coinbase ในหลายด้าน โดย Google Cloud จะใช้งานบริการของ Coinbase หลายตัวดังนี้ Google Cloud จะรับชำระเงินจากลูกค้าบางราย (ที่เป็นบริษัทแนว Web3) เป็นเงินคริปโต ผ่านระบบ Coinbase Commerce ที่ให้บริการจ่ายเงินเป็นคริปโตสำหรับธุรกรมต่างๆ Google BigQuery เพิ่มชุดข้อมูลคริปโตจากบล็อกเชนชื่อดัง ผ่านบริการ Coinbase Cloud Nodes กูเกิลจะใช้บริการ Coinbase Prime ให้กับลูกค้าสถาบันการเงิน หลังประกาศข่าวความร่วมมือกับกูเกิล หุ้นของ Coinbase ขึ้นทันที 8.4% หลายคนอาจสงสัยว่า กูเกิลได้อะไรจากข้อตกลงนี้ คำตอบคือ Coinbase จะย้ายระบบของตัวเองจาก AWS มาอยู่บน Google Cloud นั่นเอง (น่าจะเป็นดีลที่ฝั่งกูเกิลคุ้มค่า) หน้าตาของ Coinbase Commerce ที่มา - Google, CNBC
# Twitter ทบทวนบทลงโทษละเมิดนโยบาย อาจยกเลิกการระงับบัญชีถาวร แหล่งข่าวของ Financial Times เผยว่า Twitter กำลังตรวจสอบว่ามีวิธีหรือเครื่องมือควบคุมดูแลเนื้อหาบนแพลตฟอร์มวิธีอื่นที่จะนำมาใช้แทนการระงับบัญชีถาวรเมื่อผู้ใช้ละเมิดนโยบายของ Twitter หรือไม่ การใช้วิธีอื่นในการควบคุมเนื้อหาน่าจะนำมาใช้กับกรณีที่ไม่ได้ละเมิดนโยบายในเรื่องร้ายแรงเท่านั้น เช่น การเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ส่วนการกระทำร้ายแรงน่าจะยังคงใช้การแบนถาวรดังเดิม เช่น Twitter คงจะไม่ให้ Donald Trump อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้งหลังจากปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงจนบัญชีโดนระงับถาวร การทบทวนนโยบายนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงหลายเดือนที่แล้วตั้งแต่บัญชีของนักร้อง Kanye West ถูกระงับชั่วคราวหลังจากที่โพสต์ข้อความต่อต้านชาวยิว ส่วน Elon Musk ที่ล่าสุดได้ตกลงซื้อ Twitter ก็เคยกล่าวว่าหากดีลสำเร็จ จะเปลี่ยนบทลงโทษละเมิดนโยบายเป็นการระงับบัญชีชั่วคราวแทน ปัจจุบัน Twitter จะแบนบัญชีถาวรต่อเมื่อมีการละเมิดนโยบายอย่างร้ายแรงหรือเมื่อผู้ใช้ยังคงละเมิดนโยบายซ้ำแม้จะได้รับการแจ้งเตือนจาก Twitter แล้ว โดยเรื่องที่จัดว่าร้ายแรง เช่น ความรุนแรง การก่อการร้าย หรือการล่วงละเมิดในแง่ต่าง ๆ ขณะที่แพลตฟอร์มมักถูกโจมตีว่าพยายามจำกัดการแสดงความเห็นของฝ่ายขวา ขณะนี้ Twitter ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือไม่ อย่างไร ที่มา: Financial Times
# กลุ่มบริษัทผลิตชิปในเอเชียหุ้นตก หลังสหรัฐฯ ออกกฎห้ามส่งเทคโนโลยีขั้นสูงให้จีน กลุ่มบริษัทผู้ผลิตชิปเอเชียหุ้นตก หลังรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศข้อบังคับใหม่ว่าจะแบนบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ พร้อมทั้งบริษัทของประเทศอื่นที่ใช้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ หากส่งออกเทคโนโลยีสำคัญในการผลิตชิปขั้นสูงบางอย่างที่ใช้สำหรับซุปเปอร์คอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ไปยังจีน บริษัทเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติไต้หวัน TSMC หุ้นร่วงลง 8% ส่วน Samsung Electronics ของเกาหลีและบริษัทญี่ปุ่น Tokyo Electron หุ้นตกลง 1.4% และ 5.5% ตามลำดับ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Intel, Nvidia, Qualcomm และ AMD ก็ตกลงเช่นเดียวกัน นอกจากนี้หุ้นของบริษัทผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนอย่าง SMIC ก็ร่วงลงด้วย 4% ข้อบังคับใหม่ของสหรัฐฯ กำหนดว่า หากบริษัทผู้ผลิตชิปต้องการส่งออกเทคโนโลยีที่สามารถผลิตชิปขั้นสูงไปยังบริษัทชิปของจีน จะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อน ซึ่งสหรัฐฯ อ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้จีนใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการทหาร ทั้งนี้ การที่ราคาหุ้นตกต่ำลงส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวด้วย ก่อนหน้านี้ Samsung ก็ได้รายงานว่ามีกำไรลดลงเกือบ 32% ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความต้องการซื้อสินค้าจากหน่วยชิปความจำลดลง ที่มา: CNN
# เข้าใจการยกระดับธุรกิจด้วยแพลตฟอร์ม Intel vPro พร้อมตัวอย่างจริงจาก CTC บริษัท SI ชั้นนำ Intel vPro คือแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้การดำเนินธุรกิจได้จริงจาก Intel ผ่านจุดเด่นเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน ความปลอดภัย และการเชื่อมต่อที่เหมาะกับยุค Work from Anywhere ดังนั้นลองมาทำความรู้จักแพลตฟอร์ม Intel vPro ให้มากขึ้นว่ามีแบบใด เหมาะกับธุรกิจใดบ้าง พร้อมตัวอย่างการประยุกต์ใช้จาก CTC หรือ บริษัท ซีทีซี โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในธุรกิจ SI ชั้นนำของไทย Intel vPro เพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจ การใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ ในระดับองค์กร คงมองแค่เรื่องประสิทธิภาพการใช้งานไม่ได้ เพราะเรื่องความปลอดภัยก็สำคัญไม่แพ้กัน ทำให้ Intel พัฒนาแพลตฟอร์ม Intel vPro เพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรโดยเฉพาะ ผ่านการผสานระหว่างประสิทธิภาพ และความปลอดภัยไว้ด้วยกัน ในมุมความปลอดภัยแพลตฟอร์ม Intel vPro จะมีการฝังระบบความปลอดภัยมาในระดับ Silicon และ Intel vPro เป็นแพลตฟอร์มธุรกิจหนึ่งเดียวที่มาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ช่วยตรวจสอบ Ransomware และการโจมตีซอฟต์แวร์แบบต่าง ๆ ได้ ส่วนเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานแพลตฟอร์ม Intel vPro ถูกออกแบบให้ทำงานบน 12thGen intel® core™ processors รองรับการทำงานแบบ Work from Anywhere ผ่านการรองรับการเปิดใช้งานเครื่องตลอดเวลา และการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi 6E โดย Intel vPro มีให้เลือก 4 รุ่นย่อยดังนี้ Intel vPro Essentials ที่มีโซลูชันเหมาะกับกลุ่ม SMB Intel vPro Essentials for Chrome ที่เหมาะกับองค์กรที่ใช้ Chrome OS Intel vPro Enterprise ที่มีโซลูชันเหมะกับกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ Intel vPro-An Intel Evo Design ที่เหมาะกับผู้บริหาร หรือผู้ที่ต้องการการใช้งานระดับสูง เหมาะกับธุรกิจทุกระดับ รับกระแสทำงานยุคใหม่ วิรัตน์ ราชคม Technical Services Manager – System Team ของ CTC เสริมว่า การลงทุนด้าน IT กลายเป็นเรื่องสำคัญในทุกธุรกิจ ถ้าองค์กรไหนไม่จริงจังย่อมแข่งขันได้ลำบาก แต่ถ้าเน้นเรื่องประสิทธิภาพ และความปลอดภัยก็ไม่พอ ต้องรองรับกระแสการทำงานยุคใหม่ เช่น Work from Anywhere ด้วย “Intel vPro ค่อนข้างเหมาะกับทุกธุรกิจ โดยเฉพาะกับ FSI หรือ ​​Financial Services Industry ที่ดูแลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เพราะต้องมีการควบคุมเรื่องความปลอดภัยสูง ยิ่งตัวคอมพิวเตอร์มีการติดตั้งหลายระบบ การดูแลความปลอดภัยก็ยิ่งยาก แต่ไม่ใช่กับ Intel vPro ที่สามารถควบคุมตัวเครื่องได้ในระดับฮาร์ดแวร์” ภาพรวมการลงทุนระบบไอทีขององค์กรต่าง ๆ ในปัจจุบันจะเน้นที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือกลุ่ม End Point เป็นหลักเพื่อรองรับการทำงานแบบ Work from Anywhere จากเดิมที่จะเน้นลงทุนระบบ หรือ Back End เพื่อเน้นการทำงานที่สำนักงาน CTC กับการติดตั้ง Intel vPro เพื่อธุรกิจ ทั้งนี้ CTC มีการเข้าไปติดตั้งแพลตฟอร์ม Intel vPro ให้กับหลากหลายองค์กร ซึ่งผลลัพธ์ออกมาคือ แพลตฟอร์มนี้ยกระดับธุรกิจได้จริง โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของกลุ่ม End Point และองค์กรต่าง ๆ ยังสามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน หรือ OPEX ที่ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่า “จากเดิมการลงทุนด้านไอทีเกือบทั้งหมดจะเป็น CAPEX หรือค่าใช้จ่ายที่มีความผูกพันธ์ระยะยาว ซึ่งบริษัทไม่สามารถควบคุมได้ ลงทุนแล้วถ้าไม่ใช้ก็จะเสียไปเลย ซึ่ง Intel vPro ที่ฝ่ายไอทีของบริษัทสามารถควบคุมตัวเครื่องจากระยะไกลแม้จะปิดเครื่อง ช่วยให้บริษัทไม่ต้องลงทุนระบบความปลอดภัยอื่น ๆ มาช่วยเพิ่ม” ขณะเดียวกัน CTC มีการช่วยเหลือลูกค้าที่ใช้งานแพลตฟอร์ม Intel vPro ทุกวันตลอด 24 ชม. เพื่อให้การทำงานทำได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้การซัพพอร์ตยังทำได้ผ่านระยะไกล ลดระยะเวลาการเข้าไปให้บริการ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเช่นกัน รู้จัก CTC บริษัท SI ระดับสากลจากญี่ปุ่น สำหรับ CTC ปัจจุบันเป็นบริษัท SI ระดับอาเซียน มีแหล่งทุนหลักจากประเทศญี่ปุ่น ให้บริการกับลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรม มีจุดเด่นเรื่องการซัพพอร์ตลูกค้าทุกวันตลอด 24 ชม. และมีทีมงานที่พร้อมแก้ปัญหาในทุกระดับ หรือตั้งแต่การแก้ไขเบื้องต้น จนไปถึงปัญหาที่แก้ไขได้ยาก “เรามีจุดเด่นที่ตอบโจทย์บริษัทข้ามชาติที่ทำตลาดทั่วอาเซียนได้ เพราะ CTC สามารถติดตั้งระบบต่าง ๆ พร้อมดูแลระบบเหล่านั้นผ่านทีมงานในประเทศต่าง ๆ ของภูมิภาคนี้ ยิ่งทางทีมผู้บริหารค่อนข้างให้ความสำคัญกับการซัพพอร์ตลูกค้า ทำให้ CTC มีความน่าเชื่อถือในการให้บริการกับลูกค้า” ทั้งนี้องค์กรของ CTC สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มตามงานบริการคือ ทีมผู้พัฒนา หรือ Developer ที่ทำงานออกแบบระบบต่าง ๆ ให้กับลูกค้า ทีมดูและระบบโทรคมนาคม ที่ทำงานกับลูกค้าบริษัทโทรคมนาคม 3 รายหลักของประเทศไทย ทีมซิสเต็มส์ ที่ประกอบด้วยดาต้าเซ็นเตอร์, เซิร์ฟเวอร์ รวมถึงระบบเน็ตเวิร์คไคลเอนท์ ที่สามารถออกแบบบริการให้ตอบโจทย์การลงทุนของลูกค้าที่จะทำแบบ OPEX หรือ CAPEX ได้ สำหรับผู้ที่สนใจ หรือองค์กรใดที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ CTC หรือ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทางอีเมล [email protected]