txt
stringlengths
202
53.1k
# Google เตรียมสั่งผลิตสมาร์ทโฟน Pixel 7 ถึง 8 ล้านเครื่อง มากสุดเท่าที่เคยสั่งช่วงเปิดตัว แหล่งข่าวของ Nikkei Asia เปิดเผยว่า Google สั่งซัพพลายเออร์ผลิตสมาร์ทโฟนตระกูล Pixel 7 กว่า 8 ล้านเครื่องซึ่งนับว่าเป็นจำนวนการผลิตช่วงการเปิดตัวที่มากที่สุดของ Google รวมทั้งแจ้งซัพพลายเออร์ว่าจะเพิ่มยอดขายสมาร์ทโฟนในปีหน้าให้ได้เป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับยอดขายปีนี้ นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังระบุว่า Google วางแผนผลิตสมาร์ทโฟน Pixel รุ่นราคาประหยัดที่จะเปิดตัวในต้นปีหน้าราว 4 ล้านเครื่อง เท่ากับว่า Google เป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่มีแผนเพิ่มยอดการผลิตสมาร์ทโฟนในช่วงที่ตลาดสมาร์ทโฟนกำลังซบเซา Google หันมาให้ความสำคัญกับฝั่งฮาร์ดแวร์มากขึ้น หลังจากที่ได้เปิดตัวชิป Tensor มาพร้อมกับสมาร์ทโฟน Pixel 6 ที่ทำยอดขายได้อย่างรวดเร็ว และหลังจาก Google เปิดตัว Pixel 6 ยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนของก็เพิ่มขึ้นเกือบ 130% ในช่วงครึ่งปีหลังของปีที่แล้วและช่วงครึ่งแรกของปีนี้ตามข้อมูลจากบริษัทวิจัย Canalys Google กำลังจะเปิดตัวสมาร์ทโฟน Pixel 7 และ Pixel 7 Pro ที่จะใช้ชิป Tensor G2 ที่อัปเกรดจากรุ่นแรก รวมทั้ง Google Pixel Watch ที่เป็นสมาร์ทวอร์ชรุ่นแรกในคืนนี้ ที่มา: Nikkei Asia
# รายงานเผย Facebook และ Instagram เก็บข้อมูลผู้ใช้มากที่สุดในบรรดาแอปโซเชียล Tech Shielder เว็บที่เก็บข้อมูลและวิจัยด้านความปลอดภัย เปิดเผยรายงาน Hack Hotspots ที่รายงานการเก็บข้อมูลของแอป โซเชียลและบันเทิง ที่ได้รับความนิยม รวมถึงแนวโน้มของปริมาณความสนใจในการแฮกแอปเหล่านี้ รายงานเผยว่าแอปในกลุ่ม Meta ล้วนมีการเก็บชุดข้อมูลของผู้ใช้ในสัดส่วนที่สูงที่สุด โดย Facebook และ Messenger เก็บชุดข้อมูลถึง 70% ของจำนวนชุดข้อมูลที่สามารถเก็บได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล รองลงมาเป็น Instagram ที่ 67%, Snapchat 59%, WhatsApp และ Twitter เท่ากันที่ 53% ขณะที่ในแง่แนวโน้มความสนใจในการแฮกแอปเหล่านี้ Tech Shielder สำรวจง่ายๆ จากปริมาณการเสิร์ชบน Google ด้วยคำเช่นว่า 'Facebook Hacked' และพบว่า Facebook มีการค้นหามากที่สุดที่เฉลี่ย 500,000 ครั้งต่อเดือน ตามมาห่างๆ ด้วย Instagram 246,000 ครั้ง ที่มา - Tech Shielder
# Google เตรียมจ่าย 85 ล้านเหรียญเพื่อยุติคดี หลังรัฐแอริโซนาฟ้อง แอบเก็บข้อมูลผู้ใช้ Google เตรียมจ่ายเงิน 85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อยุติคดีที่ถูกอัยการสูงสุดรัฐแอริโซนาฟ้องเหตุแอบเก็บข้อมูลประวัติสถานที่ของผู้ใช้เพื่อการโฆษณา อัยการรัฐแอริโซนายื่นฟ้อง Google ในช่วงต้นปี 2020 กล่าวหาว่า Google ละเมิดกฎหมาย Consumer Fraud Act โดยเก็บข้อมูลโลเคชันของผู้ใช้แม้แต่หลังจากที่ผู้ใช้ตั้งค่าปิดฟีเจอร์ติดตามประวัติสถานที่ไปแล้วก็ตาม ทางฝั่ง Google โต้กลับว่ากฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคห้ามไม่ให้เก็บข้อมูลเพื่อการเพิ่มยอดขายหรือการโฆษณา แต่นโยบายการโฆษณาที่อัยการของรัฐอ้างถึงเป็นนโยบายเก่าที่ Google เปลี่ยนแปลงมาหลายปีแล้ว และยืนยันว่าปัจจุบันบริษัทได้ควบคุมและลบประวัติสถานที่ของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ รวมทั้งจะเก็บข้อมูลผู้ใช้ให้น้อยที่สุด Google ถูกฟ้องในเรื่องการละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้ในรัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐ เช่น เท็กซัส อินเดียน่า และวอชิงตัน ดีซี ที่มา: Bloomberg
# สหราชอาณาจักรตั้งเป้าเริ่มเดินโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟิวชั่นให้ได้ภายในปี 2040 รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ประกาศข่าวโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบฟิวชั่น ตั้งเป้าเริ่มเดินระบบให้ได้ภายในปี 2040 โดยหากสำเร็จตามแผนโครงการนี้จะเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบฟิวชั่นเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลก ในปัจจุบันนี้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ผลิตไฟจ่ายเข้าสู่ระบบในหลายประเทศทั่วโลกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นระบบนิวเคลียร์แบบฟิชชั่น ซึ่งได้พลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่มีกระบวนการแตกตัวของนิวเคลียสของอะตอมของธาตุที่ทำปฏิกิริยา ส่วนปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิวชั่นซึ่งได้พลังงานจากการหลอมรวมของนิวเคลียสในอะตอมของธาตุนั้นยังไม่เคยมีการนำมาใช้งานเพื่อการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ยังคงมีแต่การสร้างระบบเพื่อใช้ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น สำหรับโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟัวชั่นแห่งใหม่นี้มีชื่อว่า ‘STEP’ (Spherical Tokamak for Energy Production) ซึ่งคำว่า "Tokamak" ที่ปรากฎในชื่อนั้นหมายถึงอุปกรณ์เก็บกักพลาสมาด้วยสนามแม่เหล็กซึ่งได้รับความนิยมใช้เพื่อการวิจัยผลิตพลังงานนิวเคลียร์แบบฟิวชั่นที่ควบคุมได้ โดยทำเลที่ตั้งของมันที่รัฐบาลเลือกไว้คือสถานีไฟฟ้า West Burton ในเขต Nottinghamshire ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวนั้นแต่เดิมเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กำลังจะหยุดใช้งาน โรงไฟฟ้า STEP ซึ่งจะมีเครื่อง Tokamak ทรงกลมอยู่ข้างใน โครงการสร้างโรงไฟฟ้า STEP นี้มีแผนงานระยะแรกที่จะพัฒนางานออกแบบในเชิงหลักการให้แล้วเสร็จภายในปี 2024 จากนั้นจึงจะมีการลงรายละเอียดงานด้านวิศวกรรมควบคู่ไปกับการสำรวจความเห็นและการขอใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และตั้งเป้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้พร้อมเปิดทำการภายในปี 2040 โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรอนุมัติงบประมาณลงทุน 220 ล้านปอนด์สำหรับขั้นตอนการออกแบบเชิงหลักการแล้ว และคาดว่าเงินลงทุนที่จะต้องใช้ทั้งหมดจนโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์จะมากถึง 10 พันล้านปอนด์ ภาพภายนอกของงานออกแบบโรงไฟฟ้า STEP ในทางทฤษฎีแล้วโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟิวชั่นสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าการใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน, น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติเป็น 4,000,000 เท่า โดยไม่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างการใช้งาน ด้วยปฏิกิริยาแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ต่างๆ จะทำให้ได้ความร้อนมหาศาลจากปฏิกิริยาอันจะถูกนำไปให้ความร้อนแก่ก๊าซไฮโดรเจนจนอุณหภูมิสูงถึงระดับ 100 ล้านองศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิที่สูงระดับนี้ย่อมไม่มีวัสดุชนิดใดที่จะทนความร้อนจากการสัมผัสก๊าซโดยตรงได้ การจะควบคุมพื้นที่การเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟัวชั่นจึงไม่อาจใช้วิธีการสร้างภาชนะบรรจุธาตุที่ทำปฏิกิริยาไว้ภายใน หากแต่จำเป็นต้องใช้แรงแม่เหล็กไฟฟ้าเข้ามาช่วย และนั่นเองคือหน้าที่ของเครื่อง Tokamak ที่จะใช้แรงแม่เหล็กไฟฟ้ามากักเก็บพลาสมาให้เสถียรเป็นการควบคุมปฏิกิริยาให้เกิดเฉพาะในบริเวณที่กำหนด ข้อมูลที่พึงตระหนักอีกอย่างของปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นนี้ก็คือ แม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์เช่นเดียวกับแบบฟิชชั่น แต่ในการใช้งานระบบฟิวชั่นนี้จะไม่มีการก่อให้เกิดกากกัมมันตรังสี ซึ่งนั่นหมายความว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบฟิวชั่นไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดหายนะภัยพิบัติเฉกเช่นที่เคยเกิดกับโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลในปี 1986 หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติโรงไฟฟ้าฟุกุชิม่าในปี 2011 ในอดีตสหราชอาณาจักรก็เป็นประเทศแรกที่มีการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบฟิชชั่นขึ้นเพื่อผลิตไฟใช้งานเป็นครั้งแรกของโลกในปี 1950 จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ครั้งนี้จะมีความมุ่งมั่นและกล้าจะริเริ่มโครงการใหม่กับนิวเคลียร์ฟิวชั่น ที่มา - GOV.UK ผ่าน Interesting Engineering
# Tesla เลิกติดตั้งเซ็นเซอร์อัลตร้าโซนิกในรถผลิตใหม่ เปลี่ยนมาใช้กล้องอย่างเดียว Tesla ออกประกาศว่าจะเลิกติดตั้งเซ็นเซอร์คลื่นอัลตร้าโซนิก (ultrasonic sensors หรือ USS) ในรถยนต์ของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนผ่านมาสู่การใช้กล้องทั้งหมด (Tesla Vision) ตามแนวทางที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ เดิมที ระบบ Autopilot/Full Self-Driving (FSD) ของ Tesla ใช้เซ็นเซอร์หลายอย่างร่วมกันวัดระยะห่างกับวัตถุรอบตัวรถ แต่หลังจากซอฟต์แวร์ FSD v9 เป็นต้นมา Tesla บอกว่าตัดสินใจใช้กล้องอย่างเดียว เพราะมั่นใจว่าให้ประสิทธิภาพในการตรวจจับดีกว่าเซ็นเซอร์ประเภทอื่น (ทั้งเรดาร์และอัลตร้าโซนิก) การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มจากรถยนต์รุ่น Model 3 และ Model Y ที่ผลิตใหม่ในเดือนตุลาคม 2022 จะตัดเซ็นเซอร์ USS ออกไป ส่วน Model S และ Model X จะเปลี่ยนตามในปี 2023 รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ไม่มีเซ็นเซอร์ USS จะยังใช้ซอฟต์แวร์เดิมในช่วงแรก ทำให้ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Park Assist, Autopark, Summon ใช้งานไม่ได้ แต่ Tesla จะอัพเดตเอนจินหลังบ้านเป็น vision-based occupancy network อิงตามภาพจากกล้องแทนเซ็นเซอร์ ให้กลับมาใช้งานได้ (มีเวลาเปลี่ยนผ่านสักระยะหนึ่งแต่ไม่บอกว่านานแค่ไหน บอกแค่ว่า short period of time) ส่วนฟีเจอร์ชูโรงอย่าง Autopilot และ FSD จะใช้งานได้ตั้งแต่แรก ส่วนรถรุ่นเก่าที่ขายไปแล้ว มีเซ็นเซอร์ USS อยู่แล้ว จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เพราะยังใช้ซอฟต์แวร์ตัวเดิมที่ออกแบบมาเพื่อ USS อยู่แล้ว และยังไม่มีแผนจะถอดซอฟต์แวร์ออก ที่มา - Tesla, ภาพจาก Tesla
# ผู้ใช้โวย Apple Watch Series 7 เครื่องร้อนก่อนจะระเบิดจนต้องเข้าห้องฉุกเฉิน ผู้ใช้ Apple Watch Series 7 รายหนึ่งเปิดเผยกับ 9to5Mac ว่า Apple Watch ที่สวมใส่อยู่เริ่มร้อนกว่าปกติก่อนที่ด้านหลังเครื่องจะมีรอยแตกและ Apple Watch แจ้งเตือนให้ปิดเครื่องเพราะอุณหภูมิสูงขึ้นทั้ง ๆ ที่เขาอยู่ในห้องอุณหภูมิราว 21 องศาเซลเซียส ผู้ใช้ได้ติดต่อไปยังศูนย์ Apple และได้รับเพียงคำแนะนำไม่ให้สัมผัสอุปกรณ์จนกว่าบริษัทจะติดต่อกลับไป แต่วันถัดมากลับพบว่า Apple Watch เครื่องร้อนขึ้นอีกและความร้อนเริ่มทำให้หน้าจอของอุปกรณ์เสียหาย ก่อนที่ Apple Watch จะมีเสียงแตกและระเบิดออกขณะที่เขาหยิบขึ้นมาถ่ายรูปเพื่ออัปเดตให้กับทาง Apple ผู้ใช้รายนี้ได้เข้ารักษาในห้องฉุกเฉินและเมื่อติดต่อบริษัทกลับไป Apple กล่าวว่าจะดำเนินเรื่องอย่างเร่งด่วนและจะติดต่อกลับ จนในขณะนี้ Apple ยังไม่มีการติดต่อกลับมานอกจากการมารับ Apple Watch เพื่อนำกลับไปตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมให้เขาเซ็นเอกสารว่าจะไม่เผยแพร่เรื่องนี้ซึ่งเขาปฏิเสธที่จะเซ็น ที่มา: 9to5Mac
# A-Z Center ศูนย์พัฒนานวัตกรรม 5G แห่งแรกของไทยกับเป้าหมายยกระดับโครงสร้างพื้นฐานไทยของ AIS และ ZTE ที่ผ่านมาเราเห็น AIS เอาจริงเอาจังค่อนข้างมากในแง่การพัฒนาโครงข่ายและระบบของ 5G ในไทย เพื่อผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการนำโครงข่าย 5G ไปสู่การใช้งานในรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะภาครัฐ ภาคเอกชนหรือแม้แต่ภาคการศึกษา แต่การผลักดันโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นระดับประเทศแบบนี้อาจจะง่ายกว่าถ้ามีพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญร่วมกันทำ AIS เลยไปจับมือกับ ZTE ผู้พัฒนาอุปกรณ์โครงข่ายโทรคมนาคมของจีน ในการสร้างศูนย์นวัตกรรม 5G A-Z Center เพื่อเป็นศูนย์วิจัย ค้นคว้า (R&D) และบ่มเพาะธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโครงข่าย 5G สำหรับใช้งานในไทย AIS และ ZTE ได้ร่วมมือกันเป็นพาร์ทเนอร์ในเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 5G วางเป้าส่งเสริมการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของดิจิทัลเทคโนโลยีให้มีความแข็งแกร่ง สร้างสรรค์โซลูชันที่จะสนับสนุนการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมี 3 เป้าหมายย่อยได้แก่ ยกระดับโครงข่าย 5G ของไทยให้ก้าวสู่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมาตรฐานระดับโลก เป็นมากยิ่งกว่าโครงข่ายที่เร็วที่สุด พร้อมก้าวสู่โครงข่ายอัจฉริยะที่ควบคุมสั่งการได้ด้วยตัวเองแบบ real time (5G Smart Autonomous Network) ร่วมกันพัฒนาโซลูชันเพื่อภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคประชาชน เสริมขีดความสามารถทางการแข่งขันตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ส่งต่อบริการจาก 5G หลากหลายรูปแบบที่เป็นประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนไปยังคนไทย ดังนั้นศูนย์นวัตกรรม 5G A-Z Center จึงถูกตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานตามเป้าหมายข้างต้น โดย A-Z Center จะเป็นศูนย์กลางพัฒนาและนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันที่ครบถ้วนที่สุด ทั้งการติดตั้งสถานีฐานทุกย่านความถี่เพื่อการทดลองทดสอบ พร้อมเทคโนโลยีเครือข่ายต้นแบบที่จะพลิกโฉมการพัฒนาเครือข่าย 5G ในประเทศไทย, โซลูชันต้นแบบเพื่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆ (5G vertical industry applications), อุปกรณ์สื่อสารปลายทาง (Smart Terminal) นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “เพราะ 5G คือ เทคโนโลยีที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศ ดังนั้นในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายที่มีคลื่นความถี่ครอบคลุมการใช้งานมากที่สุดในไทย เราจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับประเทศอย่างยั่งยืน จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับ ZTE ในระดับยุทธศาสตร์ ตัวอย่างเทคโนโลยีและโซลูชันที่ AIS และ ZTE นำมาจัดแสดงในวันเปิดตัวคือ เสาสัญญาณใหม่ (Next Generation Products for 5G Capability Growth) ที่เป็นการออกแบบเสาสัญญาณที่สามารถใช้คลื่น AIS ได้เต็มประสิทธิภาพ ให้บริการได้เต็มที่แม้พื้นที่มีสัญญาณรบกวน เช่น mmWave AAU ที่รองรับแบนด์วิธ 1.2GHz เพิ่ม throughput 50%และ AAU 5G 2.6GHz ที่ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง 25% นอกจากนี้ยังโชว์ 5G Use cases สำหรับภาคอุตสาหกรรม อาทิ 5G Natural Navigation AGV หรือรถขนถ่ายสินค้าอัตโนมัติที่ embedded 5G module สามารถใส่ซิมการ์ด 5G ได้เลย ง่ายต่อการใช้งานโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ เพราะไม่ต้องติดตั้ง Wifi 5G Machine Vision ระบบที่ใช้สำหรับงานตรวจสอบทางกายภาพของผลิตภัณฑ์ผ่าน 5G โดยมีระบบการประมวลผลที่ใกล้เคียงกับการทำงานของมนุษย์ สามารถตัดสินใจได้และส่งผลลัพธ์ที่ต้องการได้ตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ 5G XR Explorer ระบบที่นำ XR เข้ามาใช้งานผ่าน 5G, XR หรือ Extended Reality เป็นเทคโนโลยีเสมือนจริงที่ผสมผสานหลากหลายมิติเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมในโลกจริง สภาพแวดล้อมดิจิทัล รวมถึงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีสวมใส่ นำไปใช้ในการ Training หรือ Guidance ได้ 5G Holographic หรือเทคนิคการสร้างภาพสามมิติ ที่ถูกนำมาปรับใช้อย่างแพร่หลาย อาทิ การประชุมทางไกล การศึกษาและงานอีเวนท์ขนาดใหญ่ หรือเมตาเวิร์ส เหมาะกับการใช้แบนด์วิธขนาดใหญ่ เช่น AR หรือ VR ถือเป็นการทลายขีดจำกัดระหว่างโลกเสมือนและโลกแห่งความจริงให้สามารถเชื่อมต่อได้อย่างไร้รอยต่อด้วย 5G นายสวี จือหยาง ซีอีโอ ZTE Corporation กล่าวว่า “ความร่วมมือในฐานะพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลสู่การจัดตั้ง A-Z Center ครั้งนี้ จะสามารถนำเสนอนวัตกรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะยิ่งการนำเอาโครงข่าย 5G มาวางรากฐานด้านการวิจัยและพัฒนาจะทำให้เกิด Use Case ใหม่ๆ ในอนาคตที่พร้อมรองรับทั้งความต้องการของลูกค้าและการเพิ่มโอกาสให้กับภาคธุรกิจ” สุดท้ายมีการโชว์อุปกรณ์สำหรับคอนซูมเมอร์ เช่น สมาร์ทโฟน 5G ของ ZTE รุ่นใหม่ ที่จะทำตลาดในไทยเร็วๆ นี้ราวเดือนตุลาคม รวมไปถึง Smart Terminal อื่นๆ เช่น 5G CPE และ 5G Router ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำภาพของ ZTE ในฐานะผู้ให้บริการ End-to-End เพียงรายเดียวที่ทำงานร่วมกับ AIS ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายที่จะทำให้เกิดประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภค ความร่วมมือในครั้งนี้ระหว่าง AIS กับ ZTE เป็นก้าวที่สำคัญที่แสดงออกถึงความพร้อมในการต่อยอดเป้าหมาย Cognitive Tech-Co ด้วยการพัฒนาโครงข่าย 5G สู่การเป็น 5G Smart Autonomous Network ทั้งในแง่ของการส่งมอบประสบการณ์ที่ดี การสร้างโอกาสให้กับภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมและโซลูชันมิติใหม่ๆ ที่จะเข้ามาขานรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับไวของบริบททางสังคม ตลอดจนการสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับไทยในอนาคต
# Canonical ให้ใช้บริการอัพเดตความปลอดภัย Ubuntu Pro ฟรี หากใช้ส่วนตัวไม่เกิน 5 เครื่อง Ubuntu Pro เป็นบริการ subscription ของบริษัท Canonical ที่ขยายเวลาดูแลแพตช์ความปลอดภัยให้แพ็กเกจซอฟต์แวร์ต่างๆ ของระบบนานเป็น 10 ปี เทียบกับดิสโทร LTS เวอร์ชันฟรีที่ซัพพอร์ตนาน 5 ปี (รูปแบบคล้ายกับ RHEL subscription ของฝั่ง Red Hat) โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 225 ดอลลาร์ต่อเซิร์ฟเวอร์ต่อปี ล่าสุด Canonical ประกาศแจกฟรี Ubuntu Pro สำหรับผู้ใช้งานส่วนตัว (personal license) จำนวนไม่เกิน 5 เครื่อง เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มาลองใช้งานกันมากขึ้น จุดเด่นของ Ubuntu Pro คือครอบคลุมเวอร์ชันของ Ubuntu LTS ทุกรุ่นย้อนหลังไปถึง 14.04 LTS ทำให้คนที่รันระบบปฏิบัติการ LTS เหล่านี้อยู่ ไม่ต้องการอัพเกรดหรือมีข้อจำกัดในการอัพเกรด ก็สามารถซื้อแพ็กเกจอัพเดตความปลอดภัย เพื่อการันตีว่าระบบยังปลอดภัยอยู่ได้ในระยะยาว แพ็กเกจ Ubuntu Pro ยังแยกเป็นเฉพาะส่วนของระบบปฏิบัติการหลัก (Ubuntu main repo) และแพ็กเกจซอฟต์แวร์อื่นๆ (Ubuntu universe) ที่ต้องจ่ายเพิ่ม และยังไม่รวมบริการซัพพอร์ตที่ซื้อเพิ่มแยกได้ด้วย ที่มา - Canonical via Phoronix
# Twitter เปิดให้ผู้ใช้งานทุกคน ใส่รูปภาพ-วิดีโอ-GIF ผสมรวมกันได้ในทวีตเดียวแล้ว หลังจากทดสอบกับผู้ใช้งานจำนวนหนึ่ง Twitter ประกาศว่าผู้ใช้งานทุกคน สามารถใส่วิดีโอ, ภาพนิ่ง และ GIF ทั้งหมดรวมกันได้ในทวีตเดียวแล้ว จากก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำได้ วิธีการใส่ภาพสื่อแบบผสม ไม่มีขั้นตอนเพิ่มเติม ผู้ใช้งานสามารถเลือกแทรกประเภทของคอนเทนต์แบบต่าง ๆ ที่ต้องการได้เลย ซึ่ง Twitter ก็แนะนำว่าอย่าลืมใส่คำบรรยายภาพ-วิดีโอไว้ด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสถูกค้นหา จำนวนไฟล์ที่ใส่ได้ยังคงจำกัดที่ 4 ไฟล์ต่อหนึ่งทวีต ตอนนี้รองรับเฉพาะการทวีตผ่านแอปบน iOS และ Android เท่านั้น แต่ทวีตที่มีสื่อผสมสามารถดูได้ผ่านทุกช่องทาง ที่มา: Twitter
# Facebook เพิ่มตัวเลือก Show More, Show Less เพื่อปรับแต่ง Feed ให้ตรงความต้องการขึ้น Facebook ประกาศปรับปรุงระบบฟีดแสดงผลในหน้าแรกอีกครั้ง โดยคราวนี้บอกว่ามีเป้าหมายให้เนื้อหาที่ถูกคัดเลือกมาแสดง มีการปรับแต่งสำหรับความต้องการจริง ๆ ของผู้ใช้งานแต่ละคนมากขึ้น เครื่องมือใหม่ที่ Facebook เพิ่มมาคือตัวเลือกให้คะแนน Show More กับ Show Less โดยจากการแสดงคำถามให้ตอบแล้ว ผู้ใช้งานยังสามารถกดปุ่ม 3 จุด มุมบนขวาแต่ละโพสต์เพื่อตอบว่า Show More หรือ Show Less ได้ด้วย Facebook บอกว่าเมื่อผู้ใช้งานเลือก Show More ระบบจะเพิ่มคะแนนโพสต์นี้และโพสต์ประเภทนี้ชั่วคราว ส่วน Show Less จะทำในทางตรงกันข้าม นอกจากนี้ Facebook จะเพิ่มการตั้งค่า Feed Preferences ซึ่งสามารถกำหนดได้ว่าเราต้องการเห็นโพสต์จากเพื่อน, Groups หรือเพจต่าง ๆ ในปริมาณมาก-น้อยแค่ไหน การเปลี่ยนแปลงนี้จะทยอยอัพเดตให้กับผู้ใช้งานทุกคน ที่มา: Facebook ตัวอย่าง Show More กับ Show Less
# ซีอีโอ Epic Games ติง App Store ขึ้นราคาแอปในยุโรปแบบบังคับ ไม่เปิดทางเลือกให้นักพัฒนา Tim Sweeney ซีอีโอ Epic Games ออกมาให้ความเห็น หลังจากแอปเปิลประกาศปรับขึ้นราคาแอปและบริการในแอป มีผลกับประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร และอีกหลายประเทศ ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากอัตราแลกเปลี่ยน โดย Sweeney บอกว่า ลองนึกถึงแลนด์ลอร์ดบอกกับร้านค้ารายย่อยที่เช่าที่ดินอยู่ ว่าเขาต้องขึ้นราคาค่าเช่าแบบไม่มีทางเลือกอื่นให้ด้วย นี่คือสิ่งที่แอปเปิลกำลังทำกับนักพัฒนา ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อรักษาระดับกำไรของแอปเปิลเอง นักพัฒนาไม่มีทางเลือกอื่น เพราะการเข้าถึงผู้ใช้งาน App Store ระดับพันล้านคน ก็คือต้องยอมขึ้นราคาตามที่แอปเปิลกำหนด ในรายละเอียดการขึ้นราคาบน App Store นั้น ตัวอย่างเช่น แอปเปิลกำหนดให้เทียร์ราคาต่ำที่สุดในแอปที่ตั้งราคาได้คือ 0.99 ยูโร ก็ปรับมาเป็น 1.19 ยูโร เป็นต้น Epic Games เป็นบริษัทที่มีคดีฟ้องร้องกับแอปเปิล โดยบอกว่าแอปเปิลผูกขาด App Store และเรียกร้องให้แอปเปิลเพิ่มช่องทางสำหรับการจ่ายเงินที่มากขึ้น ซึ่งคดียังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา ที่มา: MacRumors
# Google เปิดตัว Imagen Video โครงการพัฒนา AI สร้างคลิปวิดีโอจากคำบรรยายตัวหนังสือ กูเกิลเปิดตัวโครงการ Imagen Video ระบบ AI สำหรับสร้างคลิปวิดีโอตามคำบรรยาย Text แนวเดียวกับ Make-A-Video ของ Meta ที่เปิดตัวเมื่อสัปดาห์ก่อน Imagen Video พัฒนาต่อยอดจากโครงการ Imagen ที่เป็น AI สร้างรูปภาพตามคำบรรยายของกูเกิลเอง ขั้นตอนการทำงานคือถอดข้อความออกมา และสร้างวิดีโอร่างแรกขึ้นจากภาพจำนวน 16 เฟรม, 3 เฟรมต่อวินาที ความละเอียดต่ำ จากนั้นเริ่มอัพสเกลและปรับแต่งภาพให้ละเอียดขึ้น ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นวิดีโอ 128 เฟรมที่ 24 เฟรมต่อวินาที ความละเอียด 720p ชุดข้อมูลที่ใช้เทรนมาจาก วิดีโอที่จับคู่คำอธิบาย 14 ล้านคลิป, รูปภาพที่จับคู่คำอธิบาย 60 ล้านรูป และชุดข้อมูลสาธารณะ LAION-400M กูเกิลบอกว่าโครงการนี้เป็นการนำเสนอความคืบหน้าเท่านั้น ยังไม่มีแผนเปิดให้คนทั่วไปใช้งาน รวมถึงยังไม่เปิดเผยซอร์สโค้ด จนกว่าจะตรวจสอบข้อกังวลในประเด็นต่าง ๆ ให้ครบทุกด้าน สามารถดูตัวอย่างวิดีโอได้จากที่มา ที่มา: Google Research ผ่าน TechCrunch
# Spotify ซื้อกิจการ Kinzen ผู้พัฒนาเครื่องมือตรวจสอบดูแลคอนเทนต์ประเภทเสียง Spotify ประกาศซื้อกิจการ Kinzen บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีด้านการควบคุมเนื้อหาออนไลน์จากไอร์แลนด์ โดยดีลดังกล่าวไม่ได้เปิดเผยมูลค่า ปัจจุบัน Spotify เป็นพาร์ตเนอร์กับ Kinzen อยู่แล้ว โดยใช้เครื่องมือของบริษัทที่เชี่ยวชาญการดูแลตรวจสอบเนื้อหาประเภทเสียงและพอดคาสต์ จึงเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริการของ Spotify นั่นเอง Dustee Jenkins หัวหน้าฝ่ายกิจกรรมสาธารณะของ Spotify บอกว่าส่วนสำคัญนอกจากตรวจสอบเนื้อหาที่มีความรุนแรงบนแพลตฟอร์ม การตรวจสอบและทำความเข้าใจเนื้อหาในภาษาต่าง ๆ ก็คือสิ่งที่ท้าทายเช่นกัน ที่มา: Spotify
# จีนเตรียมเปิดใช้ระบบเก็บพลังงานแบบอากาศอัดที่ใหญ่ที่สุดในโลกขนาด 400 MWh ทางการจีนเตรียมเปิดใช้งานระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าแบบอากาศอัดที่มีขนาดใหญ๋ที่สุดในโลกด้วยความจุพลังงาน 400 MWh มีกำลังการจ่ายไฟ 100 Mw ระบบกักเก็บพลังงานแบบอากาศอัดเรียกกันโดยย่อว่า CAES (ย่อมาจาก Compressed-Air Energy Storage) หมายถึงระบบที่นำเอาพลังงานไฟฟ้าส่วนเกินของระบบ มาเดินเครื่องอัดอากาศเพื่อสูบอากาศลงไปกักเก็บในโพรงใต้ดินที่มีลักษณะทึบสามารถกักเก็บอากาศไว้ได้ (ส่วนใหญ่นิยมใช้โพรงเก่าจากการทำเหมืองเกลือ) จนภายในโพรงดังกล่าวเต็มไปด้วยอากาศที่มีแรงดันสูง โดยในระหว่างการอัดอากาศเพื่อเพิ่มความดันนั้นจะมีการปลดปล่อยความร้อนออกมาทำให้ในท้ายสุดแล้วอากาศที่ถูกอัดเก็บไว้จะมีอุณหภูมิต่ำลง กระบวนการนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการทำงานใน "โหมดอัดอากาศ" และเมื่อต้องการดึงเอาพลังงานไฟฟ้าจากระบบนี้มาใช้หรือเรียกว่าเข้าสู่ "โหมดปั่นไฟ" ก็จะมีการปล่อยอากาศที่อยู่โพรงใต้ดินที่เก็บไว้ก่อนหน้ากลับขึ้นมาเหนือดินและมีการให้ความร้อนแก่อากาศที่ถูกปล่อยมานี้เพื่อให้มันขยายตัวและเกิดแรงไปขับใบพัดเครื่องปั่นไฟ ทั้งนี้โดยมากแล้วจะมีการใช้ระบบเผาไหม้ด้วยเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเพื่อให้ความร้อนแก่อากาศที่ถูกปล่อยมาจากโพรง (ดูคลิปอธิบายหลักการทำงานของระบบ CAES ได้ด้านล่าง) ระบบ CAES นี้เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่นิยมในใช้การจัดเก็บพลังงานส่วนเกินจากฟาร์มผลิตไฟฟ้าพลังงานลม ซึ่งลมอาจพัดมาปั่นไฟตลอดเวลาทั้งวันแม้ในยามกลางคืนที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยจนทำให้มีพลังงานส่วนเกินในระบบจ่ายไฟ การนำเอาพลังงานส่วนเกินนี้มาอัดอากาศเอาไว้ก่อนจะปล่อยอากาศออกมาปั่นไฟในช่วงกลางวันที่มีผู้ใช้ไฟเยอะทำให้ระบบจ่ายไฟโดยรวมมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพในการจัดการด้านพลังงานที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม CAES สามารถใช้เพื่อจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าส่วนเกินที่มาจากการผลิตไฟด้วยระบบใดก็ได้ไม่จำกัดเฉพาะไฟฟ้าจากฟาร์มพลังงานลมเท่านั้น อย่างไรก็ตามแม้ระบบ CAES จะมีประโยชน์อย่างมากต่อการออกแบบระบบจัดเก็บพลังงานสำรองในเครือข่ายระบบไฟฟ้า แต่ก็มีข้อจำกัดในการก่อสร้างและใช้งานที่สำคัญ นั่นก็คือทำเลที่ตั้งซึ่งจะต้องหาตำแหน่งที่มีโพรงทึบใต้ดินเหมาะสำหรับใช้เป็นที่กักเก็บอากาศที่ถูกอัดลงไปนั่นเอง อย่างไรก็ตามทาง Institute of Engineering Thermophysics (IET) ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งของวิทยาลัย Chinese Academy of Sciences ได้พยายามทลายข้อจำกัดที่ว่านี้ด้วยการคิดค้นสร้างถังเก็บอากาศขนาดใหญ่ขึ้นมาแทนการใช้โพรงใต้ดิน จนได้มาเป็นโครงการ CAES ที่กำลังจะเปิดใช้งานในเมือง Zhangjiakou โดยระบบ CAES ของ IET นี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยความจุพลังงาน 400 MWh หรือหากนับรอบการใช้งานทั้งปีก็จะสามารถกักเก็บพลังงานได้ 132 GWh เพียงพอต่อการจ่ายไฟให้กับบ้านพักอาศัยของประชาชนราว 40,000-60,000 หลังคาเรือน การเปิดใช้งานระบบนี้ทำให้ลดการเผาถ่านหินของโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ 4,000 ตันต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ปีละ 109,000 ตัน นอกจากนี้ทาง IET ระบุว่าระบบ CAES ของพวกเขามีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงถึง 70.4% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับระบบ CAES ทั่วไปซึ่งมีประสิทธิภาพด้านพลังงานราว 40-52% เท่านั้น และแม้แต่โครงการ CAES ที่ใหญ่กว่าซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาเพื่อเปิดใช้งานในปี 2026 ก็ยังมีค่าประสิทธิภาพเพียงแค่ 60% น้อยกว่าโครงการของ IET หนึ่งในเทคนิคที่ IET ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานของระบบ CAES ของตนเอง คือการนำเอาพลังงานความร้อนที่ถูกปล่อยออกมาในขั้นตอนการทำงานโหมดอัดอากาศ นำกลับมาใช้อุ่นอากาศตอนทำงานในโหมดปั่นไฟแทนการใช้ความร้อนจากระบบเผาไหม้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ทำให้ความร้อนที่ปกติจะสูญเสียไปเปล่ากลับมามีประโยชน์มากขึ้นและทำให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานโดยรวมดีกว่าระบบที่เคยพัฒนามา อีกทั้งหลักการนี้ยังช่วยลดการใช้ก๊าซธรรมชาติลงด้วย ระบบ CAES ที่ใหญ่ที่สุดในโลกของ IET ทางการจีนเล็งที่จะใช้ระบบ CAES มาเป็นหนึ่งในระบบหลักเพื่อการกับเก็บพลังงานไฟฟ้าในระบบ โดยจะทยอยสร้างเพื่อการใช้งานจนมีสัดส่วน 25% ของระบบจัดเก็บพลังงานทั้งหมดภายในปี 2030 ที่มา - Chinese Academy of Sciences ผ่าน New Atlas
# หัวหน้า PlayStation Studios ยืนยันเอง จะเว้นช่วงอย่างน้อย 1 ปี ค่อยนำเกม PS ไปลงพีซี ประเด็นเรื่องการนำเกมเอ็กซ์คลูซีฟของ PlayStation มาลงพีซี เป็นสิ่งที่โซนี่ถูกวิจารณ์อยู่เรื่อยๆ (เกมล่าสุดคือ Sackboy: A Big Adventure) และไม่แน่ชัดว่านโยบายในการเลือกเกมของโซนี่คืออะไร ล่าสุด Hermen Hulst หัวหน้าของ PlayStation Studios ที่คุมสตูดิโอภายในทั้งหมด ไปให้สัมภาษณ์กับยูทูบเบอร์ชาวฝรั่งเศส Julien Chièze และพูดออกมาชัดๆ ว่านโยบายต่อจากนี้ไปของโซนี่คือ จะทิ้งช่วงระยะเวลาห่างกันอย่างน้อย 1 ปี ระหว่างเกม PlayStation กับการออกเกมบนพีซี โดยมีข้อยกเว้นสำหรับเกมพวก live services ที่ต้องออกพร้อมกันบนทุกแพลตฟอร์ม ช่วงหลังโซนี่เริ่มหันมาสนใจตลาดเกมแนว live service มากขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการซื้อ Bungie ผู้พัฒนาเกม Destiny 2 ที่ประสบความสำเร็จในตลาดเกมแนวนี้นั่นเอง ที่มา - Eurogamer
# Elon Musk พูดถึงการสร้างแอป X ที่เป็นเหมือน Super app หลังตกลงซื้อ Twitter หลังจากที่ Elon Musk แจ้งกลต. สหรัฐฯ ยืนยันว่าจะซื้อ Twitter ก็ได้ทวิตว่าการซื้อ Twitter เป็นตัวเร่งให้สร้างแอปพลิเคชันที่ Musk เรียกว่า “X, the everything app” ก่อนหน้านี้ยังเคยพูดว่าจะทำให้ Twitter ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เป็นไปได้ว่าหาก Musk สร้างแอปพลิเคชัน X ขึ้นมาจริง ๆ ก็อาจจะเป็นซุปเปอร์แอปเหมือน WeChat ที่ใช้งานได้ตั้งแต่การเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อการสื่อสารไปจนถึงการเรียกรถ การจองสถานที่ และการชำระเงิน ก่อนหน้านี้ เมื่อ Musk ถูกถามว่าอยากสร้างโซเชียลมีเดียเป็นของตนเองหรือไม่ เขาก็ตอบแค่ว่า X.com ที่มา: Bloomberg
# [ไม่ยืนยัน] Apple สั่งซัพพลายเออร์ ผลิต AirPods และ Beats บางส่วนที่อินเดีย แหล่งข่าวของ Nikkei Asia เผยว่า Apple ให้ซัพพลายเออร์ย้ายการผลิต AirPods และ Beats บางส่วนไปผลิตที่อินเดียเป็นครั้งแรก Apple เริ่มลดการพึ่งพาการผลิตจากจีนหลังเกิดปัญหาซัพพลายเชนจากมาตรการ zero-Covid ที่จีนสั่งปิดทั้งเมืองรวมถึงจากความกดดันจากความขัดแย้งสหรัฐอเมริกา-จีน Foxconn ซัพพลายเออร์รายใหญ่ของ Apple เตรียมตัวที่จะย้ายการผลิต Beats ไปอินเดียและคาดว่าจะผลิต AirPods ด้วยในอนาคต ส่วน Luxshare ที่ผลิต AirPods ในจีนและเวียดนามอยู่แล้ว ก็เตรียมตัวจะเริ่มผลิตในอินเดียแต่อาจจะเริ่มผลิตในอินเดียช้ากว่า Foxconn เพราะกำลังเน้นไปที่การผลิตในเวียดนาม แหล่งข่าวยังระบุว่า Apple วางแผนให้อินเดียเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกสินค้าไปยังยุโรปด้วย ก่อนหน้านี้ Apple ก็เพิ่งจะเริ่มผลิต iPhone 14 ในอินเดียไป อินเดียเริ่มเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตสมาร์ทโฟนและฟีเจอร์โฟนโดยมีส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกเพิ่มเป็น 16% ในปีที่แล้วจากที่มีส่วนแบ่ง 9% ในปี 2016 ขณะที่จีนมีสัดส่วนลดลงจากปี 2016 ที่อยู่ที่ 74% ลดลงมาเหลือ 67% ในปีที่แล้ว ที่มา: Nikkei Asia
# EU เสนอปรับกลยุทธ์ ผลักดันอุตสาหกรรมเกมและ eSports เพิ่มงบสนับสนุนสตูดิโอ คณะกรรมาธิการด้านการศึกษาและวัฒนธรรมของสหภาพยุโรป (CULT) ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้เสนอต่อรัฐสภาสหภาพยุโรปเพื่อพิจารณาออกข้อบังคับเพื่อปรับกลยุทธ์สำหรับอุตสาหกรรมเกมและ eSports Cult เสนอให้เพิ่มเงินอุดหนุนเพื่อสร้างเกมและจัดหาบุคลากรที่มีความสามารถที่ CULT มองว่าสหภาพยุโรปยังขาดแคลน และอาจจะมีการพิจารณาลดหย่อนภาษีให้กับบริษัทผู้ผลิตเกมเพื่อดึงดูดให้มาลงทุนพัฒนาเกมในยุโรป อย่างปีนี้ สหภาพยุโรปมีเงินอุดหนุนอุตสาหกรรมเกมที่ 6 ล้านยูโร ซึ่ง CULT มองว่าไม่พอ มติของ CULT สนับสนุนให้ผลักดันสาหกรรมเกมของยุโรปซึ่งรวมถึงการก่อตั้งศูนย์ European Video Games Observatory เพื่อให้ข้อมูลและคำแนะนำต่อผู้ผลิตและพัฒนาเกม เพื่อเก็บรักษาเกมที่มีความสำคัญ และเพื่อสร้างฉลาก “European Video Game” บ่งบอกให้ผู้บริโภคให้สนับสนุนอุตสาหกรรมเกมของยุโรปมากขึ้น นอกจากนี้ หลังจากมีการถกเถียงกันมาตลอดว่า eSports เป็นกีฬาหรือไม่ CULT จะให้ข้อสรุปว่า eSports ไม่ถือว่าเป็นกีฬาและจะไม่ถูกควบคุมโดย EU เหมือนกับกีฬาประเภทอื่น ๆ ทำให้ผู้พัฒนา eSports มีสิทธิได้รับผลประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาจากการพัฒนาเกม รวมถึงเสนอให้พัฒนากรอบการจัดการที่เกี่ยวข้องกับ eSports ที่รวมถึงการรรับสมัครและการขอวีซ่าสำหรับผู้เล่นมืออาชีพ อุตสาหกรรมวิดีโอเกมเป็นอุตสาหกรรมทางด้านวัฒนธรรมเดียวที่เติบโตขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงทำให้สภาสหภาพยุโรปต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อเพิ่มการจ้างงานและเพิ่ม GDP ของยุโรป ที่มา: VentureBeat
# นินเทนโดเผยภาพโปสเตอร์แรกของภาพยนตร์แอนิเมชัน The Super Mario Bros. Movie นินเทนโดเผยภาพแรกของภาพยนตร์แอนิเมชัน Super Mario ที่ประกาศทำร่วมกับสตูดิโอ Illumination ผู้สร้างแอนิเมชันซีรีส์ Minions ภาพที่เปิดเผยเป็นโปสเตอร์ของภาพยนตร์ ให้เราเห็น Mario หันหลัง ในภาพมีตัวละครเห็ด Toad สีต่างๆ และเมืองด้านหลังที่มีปราสาทอยู่บนยอดเขา เทรลเลอร์แรกจะนำมาโชว์กันในงาน Nintendo Direct วันที่ 6 ตุลาคมนี้ (เวลาตีสามบ้านเราของวันที่ 7 ตุลาคม) ภาพยนตร์ Mario มีกำหนดฉายเดือนเมษายน 2023 ซึ่งเลื่อนมาจากกำหนดเดิมปี 2022
# Overwatch 2 เปิดเซิร์ฟเวอร์วันแรก โดนถล่ม DDoS จนร่วง จากที่ Blizzard ปิดเซิร์ฟเวอร์ Overwatch ไป 1 วันเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุค Overwatch 2 ที่ปรับเป็นเกมฟรีแทน ล่าสุดได้เปิดเซิร์ฟเวอร์ Overwatch 2 แล้วช่วง 2 นาฬิกาวันนี้ (5 ตุลาคม) ตามเวลาประเทศไทย แต่หลังจากเปิดได้ราวชั่วโมงเดียวผู้เล่นก็รายงานว่าเข้าเกมไม่ได้ และต้องรอคิวเข้าเกมหลายหมื่นคิว ด้าน Mike Ybarra ประธาน Blizzard ได้ทวีตว่าระบบของ Blizzard โดนโจมตีอย่างหนักด้วยวิธี DDoS (Distributed Denial-of-Service) ทำให้ระบบล่มและผู้เล่นหลุดออกจากเกมหรือเข้าเกมไม่ได้ อย่างไรก็ดี เมื่อช่วง 11:30 น. ที่ผ่านมา ผู้เล่นเริ่มเข้าเกมได้แล้ว แต่ Aaron Keller ผู้กำกับเกม Overwatch 2 ก็ทวีตว่ากำลังโดนโจมตีระลอกที่สองอยู่ด้วย ที่มา - Kotaku ภาพหน้าจอการรอคิวเข้าเกมเมื่อเวลา 10:40 น. วันนี้
# ClickHouse Inc. เปิดบริการคลาวด์ ใช้โครงสร้างของ AWS, Azure, GCP ClickHouse Inc. บริษัทฐานข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ (online analytical processing - OLAP) ที่แยกออกมาจากบริษัท Yandex ประกาศเปิดบริการ ClickHouse Cloud ให้บริการฐานข้อมูลโดยไม่ต้องจัดการคลัสเตอร์ด้วยตัวเอง บริการ ClickHouse Cloud อาศัยโครงสร้างของคลาวด์รายหลัก ได้แก่ AWS, Azure, และ GCP โดยช่วงแรกจะรองรับเฉพาะ AWS ก่อน จากนั้นจะคิดค่าบริการเป็นรายนาที ตามปริมาณการเก็บข้อมูล, ประมวลผล, อ่าน, และเขียน นอกจากนี้ตัว Cloud Console จะให้บริการเพิ่มเติม ทั้งบริการดึงข้อมูลเข้า (ingestion), การแสดงข้อมูล (visualization), การใช้งานกับโปรแกรมภาษาต่างๆ, และไคลเอนต์ ทาง Yandex เพิ่งแยก ClickHouse Inc. ออกมาเมื่อเดือนกันยายน 2021 ที่ผ่านมาเท่านั้น แต่บริษัทก็สามารถระดมทุนได้แทบจะทันที ที่ผ่านมา ClickHouse ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น Cloudflare หันมาใช้ ClickHouse เก็บข้อมูล log แทน Elasticsearch และยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ไม่ได้มาจาก Yandex โดยตรงให้บริการจัดการคลัสเตอร์ ClickHouse อยู่ก่อนแล้ว เช่น Altinity น่าสนใจว่าการที่ ClickHouse มาให้บริการคลาวด์เช่นนี้จะทำให้ธุรกิจซ้อนทับกับผู้ให้บริการรายอื่นที่อาศัยโครงการโอเพนซอร์สด้วย การทับซ้อน เช่นนี้ทำให้ที่ผ่านมาฐานข้อมูลโอเพนซอร์สหลายรายตัดสินใจเปลี่ยนไลเซนส์เพื่อบีบคู่แข่ง เช่น Elasticsearch หรือ MongoDB ที่มา - ClickHouse
# สตรีมมิงอินโดนีเซีย Vidio ได้รับความนิยมกว่า Netflix, Disney+ ในประเทศตัวเอง แม้ว่า Netflix และ Disney+ จะเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิงภาพยนตร์แบบเสียเงินที่ได้รับความนิยมในเอเชีย แต่ในประเทศอินโดนีเซีย แอปพลิเคชันสัญชาติอินโดนีเซียอย่าง Vidio ยังคงได้รับความนิยมมากกว่า บริษัทวิจัย Media Partners Asia เปิดเผยว่าแอปพลิเคชัน Vidio เป็นแอปสตรีมมิงแบบพรีเมี่ยมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอินโดนีเซียในแง่การชั่วโมงรับชม แม้ว่า Disney+ จะมีจำนวนสมาชิกมากกว่าแต่ส่วนใหญ่มาจากการเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทโทรคมนาคม Vidio ลงทุนสร้างซีรีส์ต้นฉบับถึง 40 เรื่องต่อปีและซื้อลิขสิทธิ์ให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงการแข่งขันกีฬาในสเกลใหญ่อย่าง NBA ส่วนค่าบริการ มีทั้งแบบไม่เสียเงินและแบบเสียเงินที่แบ่งเป็น 3 ระดับให้เลือกขึ้นอยู่กับอุปกรณ์และรายการที่ต้องการรับชม ซึ่งค่าบริการของ Vidio ถูกกว่ารายใหญ่อย่าง Netflix ด้วย นอกจากนี้ สาเหตุยังมาจากที่ Netflix และ Disney+ ยังไม่ได้ลงทุนมากนักในอินโดนีเซียเพราะอุตสาหกรรมความบันเทิงที่ไม่ค่อยเติบโตและรายได้ต่อหัวของประชากรอินโดนีเซียก็อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม Netflix ยังเป็นแพลตฟอร์มที่มีรายได้มากที่สุดทั้งในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในเอเชียยังไม่มีแพลตฟอร์มสตรีมมิงบางเจ้าแบบตะวันตก เช่น Paramount+, HBO Max และ Peacock นอกจากนี้ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Netflix ยังมีรายได้มากกว่า Amazon Prime Video และ Disney+ รวมกัน ทั้งนี้ Prime Video ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่นและอินเดียก็เป็นตลาดใหญ่ของ Disney+ ที่มา: Bloomberg
# Xiaomi เปิดตัวอุปกรณ์ทำความสะอาดอัจฉริยะ Robot Vacuum X10+ และ Trueclean W10 Pro นอกจากสมาร์ทโฟน สมาร์ทวอร์ช และหูฟังไร้สาย Xiaomi ก็ได้เปิดตัว IoT ที่เป็นอุปกรณ์ทำความสะอาดด้วย Xiaomi Robot Vacuum X10+ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและฐานที่ตั้งสำหรับทำความสะอาดหุ่นยนต์ หุ่นยนต์ใช้ระบบ S-Cross AITM รวมทั้งเซนเซอร์ dual-line และกล้อง RGB ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงวัตถุบนพื้นได้อัตโนมัติ ใช้งานกับระบบ Laser Distance Sensor (LDS) เพื่อวางแผนเส้นทางทำความสะอาด นอกจากนี้ ยังใช้ระบบ ultrasonic เพื่อตรวจจับพรมเช็ดเท้าอัตโนมัติ หุ่นยนต์สามารถควบคุมได้ผ่านแอปพลิเคชัน Xiaomi Home ทั้งวางแผนเส้นทางทำความสะอาด แบ่งโซนทำความสะอาด กำหนดพื้นที่ห้ามเข้า และแบ่งเวลาทำความสะอาด หุ่นยนต์ใช้แบตเตอรี่ 5,200mAh ใช้งานได้สูงสุด 2 ชั่วโมง Xiaomi Robot Vacuum X10+ สีขาววางจำหน่ายในไทยแล้วตั้งแต่วันนี้ ในราคา 25,990 บาท อุปกรณ์ทำความสะอาดที่ Xiaomi เปิดตัวพร้อมกัน คือ Xiaomi Trueclean W10 Pro Wet Dry Vacuum เป็นเครื่องดูดฝุ่นสำหรับดูดฝุ่น ถูพื้นและซักล้าง มีระบบตรวจจับสิ่งสกปรกอัตโนมัติและการปรับระดับการทำความสะอาดอัตโนมัติตามปริมาณสิ่งสกรปก Xiaomi Trueclean W10 Pro Wet Dry Vacuum มีหน้าจอ LED ที่ช่วยแสดงสถานะแบตเตอรี่ โหมดการทำความสะอาดที่แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ อุปกรณ์สามารถใช้งานได้ 35 นาทีสำหรับการชาร์จหนึ่งครั้ง Xiaomi Trueclean W10 Pro Wet Dry Vacuum สีขาว วางจำหน่ายในไทยแล้วตั้งแต่วันนี้ในราคา 15,990 บาท ที่มา: Xiaomi
# CD Projekt Red ยืนยันแล้ว กำลังทำเกม Cyberpunk ภาคใหม่, เกม The Witcher อีก 3 เกม CD Projekt Red ประกาศข่าวโครงการเกมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาชุดใหญ่ มีทั้งหมด 5 โครงการ ใช้ชื่อเป็นโค้ดเนมตามชื่อกลุ่มดาวทั้งหมด Orion เกมใหม่ของซีรีส์ Cyberpunk 2077 ที่บอกว่าจะนำพาซีรีส์นี้ไปสู่ the potential of this dark future universe Polaris เกมใหม่ของซีรีส์ The Witcher ภาคหลักที่เคยประกาศไปแล้ว และเกมชุดนี้จะเป็นไตรภาค (a new AAA RPG trilogy) Canis Majoris เกมใหม่ของซีรีส์ The Witcher ที่แยกจาก Polaris และพัฒนาโดยสตูดิโอภายนอก ที่ก่อตั้งโดยอดีตทีมงาน The Witcher Sirius เกมใหม่ของซีรีส์ The Witcher อีกเกม พัฒนาโดย The Molasses Flood สตูดิโออีกแห่งในเครือ CD Projekt โดยจะมีทั้งโหมดเล่นคนเดียว-มัลติเพลเยอร์ Hadar เกมแฟรนไชส์ใหม่ของ CD Projekt Red ที่ไม่ใช่ทั้ง Cyberpunk และ The Witcher ตอนนี้อยู่ระหว่างการทดลองไอเดีย ยังไม่เริ่มพัฒนาเกมจริงๆ
# Wireshark ออกเวอร์ชั่น 4.0 แบ่งหน้าจอซ้ายขวาได้ ยกเครื่องระบบฟิลเตอร์ Wireshark โปรแกรมวิเคราะห์แพ็กเก็ตเน็ตเวิร์ค ออกเวอร์ชั่น 4.0 ปรับปรุงฟีเจอร์สำคัญสองจุดและฟีเจอร์ย่อยๆ อีกจำนวนมาก ส่วนที่ปรับปรุงได้แก่ Display Filter: ระบบกรองแพ็กเก็ตที่แสดงบนหน้าจอ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทำให้สามารถคิวรีซับซ้อนขึ้น เช่น การคิวรีโปรโตคอลเดียวกันซ้อนหลายชั้น เช่น IP-over-IP ทำให้สามารถคิวรีค่าจากทุกชั้น และสามารถคำนวณค่าก่อนการคิวรีได้ เช่น หาพอร์ตที่ลงท้ายด้วย 443 หน้าจอแบ่งซ้ายขวา: หน้าจอเดิมของ Wireshark เป็นการแบ่งส่วนต่างๆ ตามแนวนอนมานาน ซึ่งใช้ได้ดีกับจอภาพแบบเดิมๆ แต่ในยุคนี้จอภาพแบบกว้างได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงปรับปรุงให้สามารถแสดงข้อมูลแบบ hex ไว้ด้านข้างกับการแสดงรายละเอียดแพ็กเก็ต ระบบติดตามการเชื่อมต่อ (conversations): สามารถ export ข้อมูลในการเชื่อมต่อแต่ละชุดออกเป็น JSON ฟิลเตอร์รายการการเชื่อมต่อได้ละเอียดขึ้น ในเวอร์ชั่นนี้บนวินโดวส์จะไม่รองรับระบบ 32 บิตแล้ว น่าเสียดายว่า dark mode และ Arm64 ยังพัฒนาไม่ทัน คาดว่าจะซัพพอร์ตเต็มรูปแบบใน Wireshark 4.2 ที่มา - Wireshark
# Xiaomi เปิดตัวแท็บ Redmi Pad, Smart Band 7 Pro และหูฟังไร้สาย Redmi Buds 4 Pro Xiaomi เปิดตัวแท็บเล็ตรุ่นใหม่ Redmi Pad พร้อมด้วยสมาร์ทแบนด์ Smart Band 7 Pro และหูฟังไร้สาย Redmi Buds 4 Pro ในไทย ตัว Redmi Pad ขนาดหน้าจอ 10.61 นิ้ว มีอัตรา refresh rate 90Hz ใช้ระบบประมวลผล Media Tek Helio G99 พร้อมลำโพง 4 ตัว รองรับ Dolby Atmos ใช้แบตเตอรี่ 8,000 mAh และรองรับระบบชาร์จเร็วที่ 18W Redmi Pad มี 3 สี คือ Graphite Gray, Moonlight Silver และ Mint Green เริ่มวางขายในไทยตั้งแต่วันนี้ ในราคาดังนี้ รุ่นความจุ 4GB+128GB วางขายในราคา 7,499 บาท รุ่นความจุ 6GB+128GB วางขายในราคา 8,499 บาท ส่วน Xiaomi Smart Band 7 Pro ครั้งนี้เปลี่ยนลักษณะหน้าจอเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดหน้าจอ 1.64 นิ้ว จอ AMOLED สมาร์ทวอร์ชรองรับระบบ Amazon Alexa ทำให้สั่งการได้โดยไม่ต้องใช้มือสัมผัส Smart Band 7 Pro มีโหมดออกกำลังกายกว่า 110 โหมดและคอร์สวิ่งกว่า 10 คอร์ส รวมทั้งมีระบบติดตามเส้นทาง GNSS ในตัว สามารถกันน้ำได้ในระดับ 5ATM และแบตเตอรี่ใช้ได้นานสูงสุด 12 วัน ในไทยวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้ มี 2 สี คือ สีดำและสีขาว ในราคา 2,990 บาท นอกจากนี้ Xiaomi ได้เปิดตัว Redmi Buds 4 Pro หูฟังไร้สายที่มีรองรับคุณภาพเสียง Hi-Res Audio Wireless มีระบบ ANC 3 ระดับ คือ Light Mode, Balanced Mode และ Depp Mode พร้อมโหมดปรับระดับ ANC อัตโนมัติ Adaptive Mode รวมทั้งมีลำโพงไดร์ฟเวอร์คู่ LADC Redmi Buds 4 Pro สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้ 2 อุปกรณ์พร้อมกัน ใช้งานได้สูงสุด 9 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และเมื่อรวมกับเคสชาร์จใช้งานได้สูงสุด 36 ชั่วโมง ตัวหูฟังสามารถกันฝุ่นและกันน้ำได้ในระดับ IP54 หูฟังมีให้เลือก 2 สี คือ Moon White และ Midnight Black ขายในไทยแล้วตั้งแต่วันนี้ในราคา 2,290 บาท ที่มา: Xiaomi
# เพราะทุกที่คือโฆษณา Instagram เพิ่มโฆษณาในหน้า Explore และหน้า Profile Feed Instagram ประกาศเพิ่มจุดแสดงโฆษณาใหม่ๆ อีกชุดใหญ่ ดังนี้ หน้า Explore ที่ใช้ค้นหาคอนเทนต์ใหม่ๆ มีโฆษณาแล้ว โดยตัวอย่างที่โชว์จะเป็นกรอบโฆษณาขนาดใหญ่ และข้อความ "sponsored" ตามภาพ หน้า Profile Feed ของผู้ใช้ เวลาไปส่องโพรไฟล์ของชาวบ้านที่เป็น public และมีอายุเกินที่กำหนด (ไม่ใช่วัยรุ่นที่อายุไม่ถึงเกณฑ์) ก็อาจมีโฆษณาได้ โฆษณาที่โพสต์แบบเดิม เพิ่มโฆษณาแบบ multi-advertiser คือหนึ่งโพสต์มีโฆษณาได้หลายอัน เมื่อผู้ใช้กดชมโฆษณาอันแรกแล้ว จะเห็นโฆษณา You might like ที่เราอาจสนใจเพิ่มเข้ามา โฆษณาแบบ AR ตอนนี้ก็เริ่มมาให้ชมกันแล้ว ที่มา - Instagram
# แอพ Google Home ยกเครื่องใหม่ เพิ่มการจัดหมวดอุปกรณ์สมาร์ทโฮม, จะออกเวอร์ชันเว็บ กูเกิลประกาศยกเครื่องแอพ Google Home บนสมาร์ทโฟนใหม่ รับกับโปรโตคอล Matter ที่ออกเวอร์ชัน 1.0 ที่ทำให้สมาร์ทโฟนสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮม และ IoT อื่นๆ ได้ง่ายขึ้น (Fast Pair for Matter) หน้าตาของแอพ Google Home โฉมใหม่จะปรับตัวให้พร้อมรับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่เยอะขึ้น มีแท็บ Favorites เข้ามาเพื่อแสดงข้อมูลของอุปกรณ์ที่ต้องการใช้บ่อยๆ ซึ่งผู้ใช้แต่ละคนมีแนวทางแตกต่างกันไป, มีฟีเจอร์ Spaces เอาไว้จัดหมวดอุปกรณ์กลุ่มเดียวกันเป็นชุด (เช่น Cameras, Lighting, Wifi, Pets, Kids) แอพ Google Home ยังดึงเอาฟีเจอร์ของแอพ Nest บนมือถือเข้ามาด้วย เมื่อใช้คู่กับอุปกรณ์กล้องตระกูล Nest เราสามารถดูคลิปย้อนหลังจากแอพ Google Home ได้โดยตรง สุดท้ายคือฟีเจอร์กลุ่ม Automation ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ระดับสูงควบคุมอุปกรณ์ในบ้านได้ดีขึ้น โดยจะเพิ่มฟีเจอร์ Household Routines ให้รองรับอุปกรณ์มากขึ้น และจะมี script editor ตัวใหม่มาให้ใช้กันในช่วงต้นปี 2023 กูเกิลยังประกาศออกแอพ Google Home บนนาฬิกาที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Wear OS 3 ขึ้นไป และจะออกเวอร์ชันเว็บ home.google.com ให้สามารถดูข้อมูลต่างๆ ของบ้านได้จากเบราว์เซอร์ด้วย ที่มา - Google
# ในที่สุดมาตรฐานการเชื่อมต่ออุปกรณ์สมาร์ทโฮม Matter 1.0 ก็คลอดออกมาแล้ว หลังจากประกาศข่าวการพัฒนาและเลื่อนกำหนดเปิดตัวมาหลายครั้ง ในที่สุด Matter มาตรฐานกลางสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์สมาร์ทโฮมก็คลอดเวอร์ชั่น 1.0 ออกมาแล้ว Matter เป็นมาตรฐานที่สร้างโดย CSA (Connectivity Standards Alliance) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดจากบริษัทมากกว่า 550 บริษัทในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฮมมาร่วมมือกันพัฒนามาตรฐานกลาง เพื่อให้อุปกรณ์และระบบที่พัฒนาจากผู้ผลิตแต่ละรายสามารถทำงานเชื่อมต่อและสื่อสารกันได้โดยเน้นการเชื่อมต่อบนมาตรฐานเครือข่ายแบบ IP-based ที่มีอยู่แล้วคือ Ethernet (802.3), Wi-Fi (802.11), Thread (802.15.4) และ Bluetooth LE Matter 1.0 เป็นมาตรฐานฉบับแรกที่ CSA ปล่อยออกมา โดยกำหนดซอฟต์แวร์เพื่อการทดสอบอุปกรณ์และชุดข้อมูลที่จะใช้สำหรับการทดสอบอุปกรณ์ นอกจากนี้ทาง CSA ได้เตรียมชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นโอเพนซอร์สไว้ให้บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์สามารถนำไปใช้อ้างอิงเพื่อการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้รองรับมาตรฐาน Matter 1.0 ด้วย พร้อมกันนี้ทาง CSA ได้เปิดโปรแกรมรับการทดสอบอุปกรณ์จากผู้ผลิตแต่ละราย ทั้งนี้การทดสอบอุปกรณ์นั้นจะทำโดยห้องปฏิบัติการที่ผ่านการตรวจสอบและอนุญาตโดย CSA ให้เป็นผู้ดำเนินการทดสอบ และออกใบรับรองผลให้กับอุปกรณ์ที่ผ่านมาตรฐานการทำงานของ Matter CSA ระบุว่ามาตรฐาน Matter นี้ไม่เพียงมีจุดประสงค์เพื่อให้อุปกรณ์จากผู้ผลิตหลากหลายรายสามารถทำงานเชื่อมต่อกันได้อันจะสร้างความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการติดตั้งใช้งานระบบสมาร์ทโฮมเท่านั้น แต่มาตรฐานยังถูกออกแบบมาโดยคำนึงเรื่องการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน และการรักษาความปลอดภัยของระบบและทรัพย์สินควบคู่กันไปด้วย คาดว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเริ่มเห็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน Matter ออกสู่ท้องตลาด โดยในขณะนี้มีบริษัทใหญ่ๆ หลายรายได้ทยอยดำเนินการเพื่อรองรับมาตรฐานอุตสาหกรรมสมาร์ทโฮมตัวใหม่นี้ไว้แล้ว อาทิ ระบบปฏิบัติการ iOS 16.1 (beta) ของ Apple ก็รองรับการระบบ Matter นี้แล้ว ในขณะที่ Google ได้ประกาศข่าวว่าระบบ Android และผลิตภัณฑ์ Nest จะรองรับมาตรฐาน Matter นี้เช่นกัน ที่มา - CSA ผ่าน BGR
# Amazon เลิกขาย Glow อุปกรณ์ VDO Call เรียนออนไลน์ สำหรับเด็ก Amazon ได้หยุดการขาย Amazon Glow อุปกรณ์สำหรับวิดีโอคอลล์ สำหรับให้คนในครอบครัวติดต่อกับเด็ก โดยมีฟังก์ชันรองรับการเรียนการสอน ซึ่งสินค้าถูกถอดออกจากเว็บของ Amazon แล้ว ตัวแทนของ Amazon บอกว่าจะชี้แจงการเปลี่ยนแปลงนี้กับลูกค้าที่ซื้อ Glow ไปเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม Amazon ยังคงไม่หยุดพัฒนาและทดลองไอเดียใหม่ ๆ ที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง Amazon Glow เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าจอแนวตั้งสำหรับให้เด็กวิดีโอคอลล์ แล้วแสดงเนื้อหาโดยฉายโปรเจกเตอร์ลงบนพื้นโต๊ะ ทำให้สามารถโต้ตอบแสดงผลได้ สินค้ามีจำนวนรีวิวใน Amazon ประมาณ 500 รีวิว ซึ่งไม่สูงสำหรับสินค้าแบรนด์ Amazon เอง จึงอาจบอกได้ว่าขายไม่ดีมากนัก ที่มา: The Verge
# กูเกิลเปิดตัวเราเตอร์ Nest Wifi Pro รองรับ Wi-Fi 6E, กริ่งประตู Nest Doorbell รุ่นที่สอง กูเกิลเปิดตัวฮาร์ดแวร์ตระกูล Nest ใหม่ 2 อย่าง ได้แก่ Nest Wifi Pro เราเตอร์ Wi-Fi รุ่นใหม่ที่รองรับมาตรฐาน Wi-Fi 6E สำหรับทำ mesh Wi-Fi ได้ดีขึ้น ใช้คลื่นย่าน 6GHz ที่ยังไม่คับคั่งเท่ากับย่าน 5GHz และรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่ออุปกรณ์สมาร์ทโฮม Matter Nest Wifi Pro มาพร้อมดีไซน์ใหม่หน้าตาเหมือนกระปุกเซรามิก ไร้เสาและไฟสัญญาณ ใช้สีแบบเอิร์ธโทน ให้ดูเหมือนเป็นของตกแต่งบ้านมากกว่าสินค้าไอที ตัวเครื่องใช้วัสดุรีไซเคิล 60% วัดจากน้ำหนักเครื่อง ราคาขายตัวละ 199.99 ดอลลาร์, ชุดสองตัว 299.99 ดอลลาร์, ชุดสามตัว 399.99 ดอลลาร์ เริ่มขาย 27 ตุลาคม - Nest สินค้าอีกตัวที่อาจไม่ได้ใช้ในไทยกันเท่าไรนักคือ Nest Doorbell กริ่งประตูอัจฉริยะติดกล้อง ที่ออกรุ่นมีสายเป็น 2nd gen ขายตัวละ 179.99 ดอลลาร์ สิ่งที่ปรับปรุงเพิ่มเติมคือกล้องที่ให้คุณภาพดีขึ้นมาก ถึงขั้นกูเกิลส่งไปทดสอบกับ DXOMark ว่าให้คุณภาพของภาพดีที่สุดในบรรดากริ่งอัจฉริยะ 8 รุ่นที่นำมาทดสอบ (ที Pixel ไม่เห็นทุ่มทุนสร้างอะไรแบบนี้เลย) Nest Doorbell รุ่นนี้สามารถบันทึกวิดีโอใน local storage ได้นาน 1 ชั่วโมง และอัพโหลดสำเนาขึ้นคลาวด์ให้ 3 ชั่วโมงโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม (ถ้าอยากได้มากกว่านี้ต้องสมัครแพ็กเกจ Nest Aware Plus เก็บคลิปได้นาน 10 วัน), ขนาดตัวกริ่งเล็กลงจากรุ่นก่อน 30% เอาไว้วางในจุดแคบๆ ข้างประตูได้ง่ายขึ้น - Nest
# Meta เตรียมปิด Bulletin แพลตฟอร์มนักเขียนอิสระแนว Substack ที่เปิดตัวปีที่แล้ว Meta ยืนยันข่าวเตรียมปิดให้บริการ Bulletin แพลตฟอร์มนักเขียนอิสระแนวเดียวกับ Substack ที่สามารถใช้ล็อกอิน Facebook และจ่ายเงินค่าสมาชิกให้กับนักเขียน ซึ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว ตัวแทนของ Meta บอกว่านักเขียนบนแพลตฟอร์ม ยังคงได้ส่วนแบ่งค่าสมาชิกต่อไป จนกว่าบริการจะปิดตัวลงในช่วงต้นปี 2023 การพัฒนา Bulletin ทำให้ Meta ได้ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของครีเอเตอร์ผู้สร้างสรรค์เนื้อหา กับผู้อ่าน และวิธีการสนับสนุน ตลอดจนการจัดการชุมชนผู้อ่าน ซึ่งจะนำเข้ามารวมใน Facebook แอปหลักต่อไป Bulletin เป็นแพลตฟอร์มที่มีนักเขียนชื่อดังหลายคน ที่ Meta ทาบทามมา เช่น Malala Yousafzai เจ้าของรางวัลสาขาสันติภาพ, Malcolm Gladwell และ Tan France ที่มา: Engadget
# เป็นทางการ - Elon Musk แจ้ง SEC จะซื้อ Twitter ที่มูลค่าเดิม 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ไม่ต้องรอกันนาน Elon Musk ยื่นเอกสารต่อ SEC หรือ กลต. สหรัฐ บอกว่าเขาจะเดินหน้าแผนซื้อกิจการ Twitter ตามที่เคยตกลงกันไว้เมื่อเดือนเมษายน ซึ่งจะส่งผลต่อคดีที่ Twitter ฟ้องร้องเขาต่อศาลรัฐเดลาแวร์ต้องหยุดการพิจารณาไต่สวน ด้าน Twitter ชี้แจงว่าบริษัทได้รับจดหมายยืนยันการเดินหน้าดีลนี้จาก Elon Musk แล้ว ในเอกสารระบุว่าการซื้อกิจการจะเป็นไปตามข้อตกลงเดิม นั่นคือที่ราคาหุ้นของ Twitter 54.20 ดอลลาร์ต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าดีลราว 44,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหลังมีข่าวออกมา ราคาหุ้น Twitter ก็ปรับเพิ่มขึ้นไปปิดการซื้อขายที่ 52.00 ดอลลาร์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 22% Eric Talley อาจารย์ด้านกฎหมายจาก Columbia University ให้ความเห็นว่า การที่ Elon Musk จะตกลงขอยุติคดีโดยการเดินหน้าซื้อกิจการต่อ เป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมาย แต่ที่เกินคาดหมายคือราคาเสนอซื้อยังเป็นราคาเดิมตั้งแต่ต้น ไม่มีการต่อรองขอลดราคาลง ส่วนเหตุผลนั้น อาจมาจากประเด็นต่าง ๆ ที่เริ่มเปิดเผยผ่านเอกสารของศาล ที่ไม่เป็นผลดีต่อ Musk เท่าใดนัก ในขั้นตอนถัดไป Elon Musk จะต้องแสดงรายละเอียดทางการเงิน ที่สนับสนุนการซื้อกิจการเพื่อเดินหน้าดีลต่อไป โดยดีลนี้ต้องแล้วเสร็จภายในเมษายน 2023 ที่มา: The Verge
# The Art of Computer Programming ออกเล่ม 4 ส่วนที่ 2 เต็มรูปแบบ หนังสือ The Art of Computer Programming โดย Donald E. Knuth หนึ่งในปรมาจารย์ของวงการวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ออกเล่ม 4 ส่วนที่ 2 เต็มรูปแบบ หลักจากก่อนหน้านี้ค่อยๆ ออกบางบทมาก่อนแล้ว โดยส่วนที่สองนี้หนา 732 หน้า ต่อจากส่วนแรกที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2011 Knuth วางโครงหนังสือ The Art of Computer Programming ไว้ทั้งหมด 7 เล่ม ตอนนี้เฉพาะเล่ม 4 ก็กินเวลานับสิบปี และยังมีการขยายไปยังส่วนที่ 3 เพิ่มเติม ส่วนเล่ม 5 คาดว่าจะเสร็จในปี 2025 และหากเสร็จแล้ว Knuth จะกลับไปอัพเดตเล่ม 1-3 เพิ่มเนื้อหาให้ทันสมัย ก่อนจะออกสรุปเล่ม 1-5 ให้อยู่ในเล่มเดียว แล้วค่อยกลับไปทำเล่ม 6 และ 7 โดย Knuth มองว่าเนื้อหาในเล่ม 1-5 นั้นเป็นแกนต่อการเขียนโปรแกรมมากกว่า ขณะที่เนื้อหาที่วางไว้ในเล่ม 6-7 นั้นเฉพาะทางกว่า เล่มแรกของหนังสือชุดนี้วางตลาดตั้งแต่ปี 1968 จนตอนนี้ก็นานถึง 54 ปีแล้ว ตอนนี้หนังสืออยู่ในโกดังของ Addison-Wesley คาดว่าจะวางจำหน่ายได้จริงเดือนตุลาคมนี้ ที่มา - Knuth: Recent News
# Elon Musk อาจเปลี่ยนใจ ยื่นข้อเสนอขอซื้อกิจการ Twitter อีกครั้ง มีรายงานจาก Bloomberg เกี่ยวกับประเด็นระหว่าง Elon Musk และ Twitter โดยระบุว่า Musk เปลี่ยนใจอีกครั้ง และยื่นข้อเสนอผ่านทนายที่ดูแลคดีฝั่ง Twitter ว่าเขาต้องการซื้อ Twitter ที่ราคาเดิมที่เคยเสนอไว้ 54.20 ดอลลาร์ต่อหุ้น คาดว่าดีลจะประกาศเป็นทางการภายในวันศุกร์นี้ ผลจากรายงานข่าวดังกล่าว ทำให้ราคาหุ้น Twitter ปรับเพิ่มขึ้นทันที 15% และถูกสั่งพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราว ตามกำหนดเดิม ศาลรัฐเดลาแวร์จะเริ่มการไต่สวนคดีที่ Twitter ฟ้อง Elon Musk ที่ขอล้มดีลซื้อกิจการ ในวันที่ 17 ตุลาคม เป็นเวลา 5 วัน โดยหากทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงซื้อขายกันได้ การไต่สวนคดีก็จะถูกยกเลิกไป ก็ต้องติดตามกันว่าจะมีแถลงอย่างเป็นทางการออกมาหรือไม่ ที่มา: CNBC
# นักวิจัย MIT สร้างกล้องถ่ายภาพใต้น้ำที่ส่งข้อมูลได้แบบไร้สายและไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ทีมนักวิจัยจาก MIT พัฒนากล้องถ่ายภาพใต้น้ำเพื่องานสำรวจและเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ โดยมีจุดเด่นตรงที่กล้องสามารถส่งข้อมูลให้ผู้ใช้ได้แบบไร้สายและอาศัยพลังงานไฟฟ้าที่มันสร้างขึ้นเองโดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ในการจ่ายพลังงานให้กับเซ็นเซอร์และชิ้นส่วนกลไกต่างๆ ภาพถ่ายที่ได้จากกล้องเป็นภาพสีขนาด 324*244 พิกเซล ตัวกล้องมีแหล่งกำเนิดแสงในตัวทำให้สามารถใช้งานถ่ายภาพใต้น้ำในจุดที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึงได้ เช่น การถ่ายภาพในแหล่งน้ำที่มีความขุ่นมาก โดยใช้การส่งสัญญาณมายังเครื่องรับด้วยคลื่นเสียง กล้องถ่ายภาพใต้น้ำที่ทีมวิจัย MIT พัฒนาขึ้น องค์ประกอบหลักของกล้องประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์รับภาพ CMOS ซึ่งถ่ายภาพแบบโมโนโครม, แหล่งกำเนิดแสง โดยมีหลอด LED ให้แสงสว่าง 3 สี คือ สีแดง, สีเขียว และสีน้ำเงิน, หน่วยประมวลผลเพื่อเข้ารหัสข้อมูลที่ได้เตรียมสำหรับส่งข้อมูลภาพไปยังเครื่องรับสัญญาณ, และชุดเครื่องรับส่งสัญญาณ piezoelectric ซึ่งไม่เพียงทำหน้าที่เป็นตัวส่งข้อมูลภาพที่ถ่ายได้ไปยังเครื่องรับ แต่ยังช่วยผลิตพลังงานไฟฟ้าเลี้ยงชุดอุปกรณ์ทั้งหมดของกล้องด้วยโดยการเปลี่ยนพลังงานจลน์จากการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงใต้น้ำให้เป็นพลังงานไฟฟ้า โดยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดถูกครอบป้องกันการสัมผัสน้ำด้วยโดมใส ภาพอธิบายส่วนประกอบหลักของกล้องถ่ายภาพใต้น้ำ ซึ่งมีเซ็นเซอร์ถ่ายภาพ CMOS, แหล่งกำเนิดแสง 3 สี, หน่วยประมวลผล และอุปกรณ์ piezoelectric ที่ทำหน้าที่ทั้งสร้างพลังงานไฟฟ้าและทำการส่งข้อมูล เซ็นเซอร์ถ่ายภาพ CMOS นั้นสามารถเก็บภาพแบบโมโนโครมเท่านั้น (กล่าวคือ ถ่ายภาพได้ออกมาเฉดสีเดียว คล้ายภาพถ่ายขาว-ดำ) ดังนั้นทีมวิจัยจึงพลิกแพลงการใช้งาน โดยทำการถ่ายภาพวัตถุต่างๆ 3 แบ่งส่งออกใน 3 ช่องสัญญาณ ในแต่ละช่องสัญญาณจะเป็นข้อมูลภาพถ่ายแยกออกตามไฟ LED แต่ละสี ทำให้ได้ภาพถ่ายโมโนโครมรวมทั้งหมด 3 ภาพ เมื่อนำภาพโมโนโครม 3 สี อันได้แก่ แดง, เขียว และน้ำเงิน มารวมกันจะได้ภาพผลลัพธ์ที่มีเฉดสีตามจริงของวัตถุ a: การถ่ายภาพโมโนโครม 3 ครั้ง โดยใช้แหล่งกำเนิดแสง LED แยกเป็น 3 สี คือ แดง, เขียว และน้ำเงิน, b: ภาพผลลัพธ์ที่ได้จากการรวมภาพโมโนโครม 3 สีเข้าด้วยกัน, c: ภาพด้านข้างแสดงชิ้นส่วนต้นแบบกล้องถ่ายภาพใต้น้ำที่มีโดมใสครอบอุปกรณ์ต่างๆ ไว้, d: ผังวงจรไฟฟ้าของกล้อง, e: กราฟแสดงระดับการใช้พลังงานของกล้องที่จะใช้มากในช่วงการถ่ายภาพแต่กินพลังงานน้อยมากในการส่งข้อมูล a: ภาพถ่ายจริงของกล้องในระหว่างการใช้งาน, b,c: ภาพขวดพลาสติกและปลาดาวที่ถ่ายจากใต้น้ำด้วยกล้องแสดงให้เห็นว่ากล้องสามารถเก็บรายละเอียดและสีของวัตถุจริงได้, d: ภาพถ่ายแบบเก็บข้อมูลซ้ำติดต่อเป็นเวลาหลายวัน กล้องถ่ายภาพใต้น้ำนี้ใช้อุปกรณ์ peizoelectric เปลี่ยนพลังงานจลน์ของแรงสั่นสะเทือนจากคลื่นเสียงน้ำให้เป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อเลี้ยงระบบการทำงานทั้งหมด โดยอุปกรณ์ตัวนี้ยังทำหน้าที่เป็นตัวส่งข้อมูลภาพที่ถ่ายได้ไปยังตัวรับสัญญาณซึ่งอยู่ด้านบนระดับผิวน้ำ คลื่นเสียงที่ถูกใช้เพือเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและใช้เป็นพาหะในการส่งข้อมูลของกล้องนั้นจะถูกส่งมาจากเครื่องกำเนิดเสียงจากผู้ใช้ ซึ่งอุปกรณ์ peizoelectric จะเปลี่ยนแปลงสัญญาณคลื่นเสียงเพื่อสะท้อนไปยังตัวรับสัญญาณเพื่อทำการส่งข้อมูลไปพร้อมกับสร้างไฟฟ้าในเวลาเดียวกัน ด้วยหลักการนี้ที่อาศัยคลื่นเสียงจากแหล่งกำเนิดอื่นโดยที่อุปกรณ์ไม่ต้องสร้างคลื่นเสียงเองสำหรับการส่งข้อมูล ทำให้สามารถลดการใช้พลังงานของกล้องถ่ายภาพใต้น้ำนี้ลงไปได้และไม่ต้องมีแบตเตอรี่ติดกับตัวกล้อง ทีมวิจัยระบุว่ากล้องที่พัฒนาขึ้นใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีกว่ากล้องที่มีการใช้งานคล้ายคลึงกันอยู่ก่อนแล้วประมาณ 100,000 เท่า และสามารถใช้งานเพื่อการถ่ายภาพใต้น้ำได้นานหลายสัปดาห์ โดยระยะถ่ายภาพที่ดีที่สุดในตอนนี้คือประมาณ 3.5 เมตร และสามารถส่งข้อมูลภาพไปยังตัวรับสัญญาณที่อยู่ไกลออกไปได้มากสุดถึง 40 เมตร กล้องถ่ายภาพใต้น้ำนี้ยังเป็นเพียงอุปกรณ์รุ่นต้นแบบเน้นพิสูจน์หลักการทำงาน หากมีการพัฒนาใช้เซ็นเซอร์ที่ดีขึ้นก็จะสามารถถ่ายภาพที่มีความละเอียดและระยะถ่ายภาพไกลขึ้นได้ สิ่งสำคัญของกล้องรุ่นต้นแบบนี้คือการใช้ชิปและเซ็นเซอร์ที่มีอยู่แล้วในท้องตลาดโดยไม่จำเป็นต้องสร้างขึ้นใหม่เองทั้งหมดซึ่งทำให้การประเมินและควบคุมต้นทุนการผลิตง่ายกว่าการพัฒนาชิปหรือเซ็นเซอร์ขึ้นมาเอง สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานพัฒนากล้องใต้น้ำไร้สายของ MIT นี้ได้ที่นี่ ที่มา - Ars Technica, MIT News
# Dead Space Remake เผยตัวอย่างเกมเพลย์ ราคา 1,599 บาทบน PC และ 2,353 บาทบน PS5 หลังประกาศเปิดตัว ไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ล่าสุด Dead Space Remake ก็ปล่อยตัวอย่างเกมเพลย์ออกมาแล้ว โดยเวอร์ชันนี้ถูกพัฒนาโดย Motive Studio และใช้เอนจิน Frostbite ในการพัฒนา นอกจากนี้ยังประกาศราคาวางจำหน่ายแล้ว โดยราคาบน Steam อยู่ที่ 1,599 บาท ส่วนบน PlayStation 5 อยู่ที่ 2,353 บาท (ครับ EA) ที่มา - Dead Space
# ทีมผู้สร้างเกม Disco Elysium ลาออกจากสตูดิโอ ZA/UM คาดมีความขัดแย้งภายในสตูดิโอ เมื่อปี 2019 เกม Disco Elysium จากค่ายเกมอินดี้ ZA/UM สร้างประวัติศาสตร์เป็นเกมอินดี้ที่คว้ารางวัลมากมาย และมีคะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงถึง 91/100 แต่ล่าสุด มีดราม่าเกิดขึ้นในสตูดิโอ ZA/UM ซะแล้ว และทีมงานแกนหลักผู้สร้างเกม Disco Elysium ออกจากบริษัทกันไปหลายคน เรื่องนี้เปิดเผยโดย Martin Luiga สมาชิกรุ่นก่อตั้งคนหนึ่งของ ZA/UM ที่เริ่มจากการเป็นสตูดิโอในเอสโตเนีย และภายหลังตั้งสำนักงานในอังกฤษ เขียนโพสต์ลง Medium เล่าว่าสมาชิกแกนหลัก 3 คน ได้แก่ เกมดีไซเนอร์ Robert Kurvitz, ผู้เขียนบท Helen Hindpere, ผู้กำกับฝ่ายศิลป์ Aleksander Rostov ออกจากบริษัทไปตั้งแต่ปลายปี 2021 กรณีของ Robert Kurvitz ถือเป็นผู้ก่อตั้งสตูดิโอ ZA/UM และเป็นแกนหลักของผู้สร้างเกม Disco Elysium เลยทีเดียว คาดกันว่าเป็นเพราะความขัดแย้งระหว่างทีมผู้ก่อตั้ง และฝ่ายที่ดูแลด้านธุรกิจของบริษัท ที่ระบุชื่อได้แก่ Tõnis Haavel และ Kaur Kender หลังมีข่าวนี้ออกมา ZA/UM ออกแถลงการณ์สั้นๆ ว่าการพัฒนาเกมใหม่ยังดำเนินต่อไป ส่วนผู้กำกับฝ่ายศิลป์ Rostov ก็ยืนยันว่าเขาและเพื่อนอีกสองคนไม่ได้ทำงานที่สตูดิโอแล้วจริงๆ ที่มา - Eurogamer, Kotaku
# เปิดตัว Xiaomi 12T และ 12T Pro รุ่นท็อปขายนอกจีน ใช้เซ็นเซอร์กล้องหลัง 200MP Xiaomi เปิดตัว Xiaomi 12T และ 12T Pro ซึ่งเป็นมือถือรุ่นครึ่งหลังของปีที่วางขายนอกจีน หลังจากเปิดตัว Xiaomi 12S Series รุ่นที่ขายในจีนไปก่อนแล้วหลายเดือน สเปกของ Xiaomi 12T และ 12S ไม่เหมือนกันซะทีเดียว จุดต่างสำคัญคือรุ่น 12T ไม่มีรุ่นย่อย Ultra เหมือนกับ 12S Ultra ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony ขนาด 1 นิ้ว ส่วน 12T Pro ใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HP1 ความละเอียด 200MP อัพเกรดขึ้นจาก 12S Pro ที่ใช้เซ็นเซอร์ 50MP ส่วนรุ่น 12T ตัวธรรมดาใช้เซ็นเซอร์ ISOCELL HM6 ขนาด 108MP ชิปของรุ่น 12T Pro เป็น Snapdragon 8+ Gen1 ส่วนรุ่น 12T ตัวธรรมดาเป็น MediaTek Dimensity 8100-Ultra Xiaomi 12T และ 12T Pro มีสเปกอื่นเหมือนกันดังนี้ หน้าจอ 6.67" AMOLED 120Hz ความละเอียด 1220p เพิ่มจากมาตรฐาน 1080p เล็กน้อย แบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 120W แถมที่ชาร์จ 120W ในกล่อง กล้องหน้า 20MP กล้องหลัง 8MP ultrawide และ 2MP macro Xiaomi 12T Pro มี 3 รุ่นย่อยตามความจุคือ 8GB+128GB, 8GB+256GB, 12GB+256GB ราคาเริ่มต้น 749 ยูโร (ราว 28,000 บาท) รุ่น 12T มี 2 รุ่นย่อย 8GB+128GB, 8GB+256GB ราคาเริ่มต้น 599 ยูโร (ราว 22,500 บาท) เริ่มขาย 13 ตุลาคม 2022 ที่มา - Xiaomi
# เจอกันที่ iPhone 16 รัฐสภาสหภาพยุโรปผ่านกฎหมายบังคับ USB Type-C ในอุปกรณ์เคลื่อนที่ปลายปี 2024 รัฐสภาสหภาพยุโรปผ่านแนวทางกฎหมาย (directive) บังคับใช้ USB Type-C ในอุปกรณ์เคลื่อนที่ขนาดเล็กและขนาดกลาง ต้องมีพอร์ต USB Type-C สำหรับชาร์จไฟ ภายในสิ้นปี 2024 ส่วนอุปกรณ์ขนาดใหญ่เช่นโน้ตบุ๊กจะมีเวลาให้ถึงปี 2026 แนวทางกฎหมายของสหภาพยุโรปนี้ครอบคลุมอุปกรณ์เป็นวงกว้าง เช่น โทรศัพท์, แท็บเล็ต, หูฟัง, เกมคอนโซลเคลื่อนที่, เครื่องอ่านอีบุ๊ก, คีย์บอร์ด, เมาส์, GPS, กล้องถ่ายภาพ ไปจนถึงโน้ตบุ๊ก แต่จะบังคับเฉพาะอุปกรณ์ที่ชาร์จไฟด้วยสายเท่านั้น สำหรับอุปกรณ์ที่ชาร์จไร้สายเท่านั้นยังไม่บังคับในข้อบังคับนี้ แต่การแถลงข่าวครั้งนี้ก็ระบุว่าสหภาพยุโรปควรกำหนดมาตรฐานให้ใช้งานร่วมกันได้ต่อไป แนวทางกฎหมายที่ผ่านครั้งนี้ไม่ใช่กฎหมายโดยตรง แต่ European Council กลุ่มผู้นำชาติสมาชิกต้องให้การรับรองแนวทางนี้และประกาศใช้งานก่อน จากนั้นชาติสมาชิกของสหภาพยุโรปจะมีเวลาอีก 12 เดือนในการประกาศกฎหมายในแต่ละชาติให้เป็นไปตามแนวทางฉบับนี้ ที่มา - European Parliament ภาพโดย tomekwalecki
# สถานะการเป็นแหล่งผลิตสมาร์ทโฟนโลกของจีนสั่นคลอน หลังโควิดและตลาดสมาร์ทโฟนซบเซา อย่างที่ทราบกันว่าจีนเป็นซัพพลายเชนสำหรับผลิตสมาร์ทโฟนใหญ่ของโลก โดยสมาร์ทโฟน 2 ใน 3 ส่วนทั่วโลกผลิตในจีน อย่างไรก็ตาม สถานะการเป็นแหล่งผลิตสมาร์ทโฟนของจีนกำลังสั่นคลอน เนื่องจากนโยบาย Zero Covid ของรัฐบาลและตลาดสมาร์ทโฟนซบเซาลง แหล่งข่าวของ South China Morning Post เผยว่าโรงงานผลิตสมาร์ทโฟนในจีนได้รับคำสั่งซื้อที่ไม่ชัดเจนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดจากบริษัมสมาร์ทโฟนทั้งการลดการสั่งผลิตสมาร์ทโฟนหรือแม้แต่การยกเลิกการผลิต สาเหตุหลักที่ทำให้การเป็นแหล่งผลิตสมาร์ทโฟนของจีนสั่นคลอนมาจากที่ผู้บริโภคชะลอการซื้อสมาร์ทโฟนจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำและเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้บริษัทสมาร์ทโฟนยกเลิกคำสั่งผลิตมายังโรงงานผลิตในจีน สถาบันสารสนเทศและการสื่อสารของจีนเผยว่า การจัดส่งสมาร์ทโฟนภายในจีนลดลง 23% ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้เมื่อเทียบเท่ากับในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว รวมทั้งบริษัทวิจัย Counterpoint Research ก็คาดการณ์ว่ายอดส่งสมาร์ทโฟนจะอยู่ที่ 1.36 ล้านเครื่องในปีนี้ ลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 1.39 ล้านเครื่องเมื่อปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ TSMC ก็ได้เตือนว่าการผลิตสมาร์ทโฟนจะลดลงเนื่องจากมาตรการ Zero-Covid ของนครเซี่ยงไฮ้ที่ทำให้การผลิตสมาร์ทโฟนหรือชิ้นส่วนสมาร์ทโฟนชะงักลง TSMC ยังเตือนว่าบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอาจลดการจัดส่งสมาร์ทโฟนลงถึง 200 ล้านเครื่องในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว มาตรการ Zero-Covid ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นสาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งทำให้บริษัทเทคโนโลยี โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนเริ่มมองหาทางเลือกอื่น นอกจากการให้จีนผูกขาดการผลิตอยู่เจ้าเดียว เพราะการสั่งปิดเมืองทั้งเมืองจากนโยบาย Zero Covid โดยเฉพาะเซี่ยงไฮ้และปริมณฑล ทำให้กระบวนการซัพพลายเชนหลายส่วนต้องหยุดชะงักลงเช่น Apple ที่เริ่มผลิต iPhone 14 ที่อินเดียเร็วขึ้น หรือการผลิต iPad ส่วนหนึ่งในเวียดนาม การผลิตสมาร์ทโฟนลดลงในจีนก็ส่งผลให้ผู้จำหน่ายชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์มือถือประสบปัญหาด้วยเช่นกัน อย่าง Sunny Optical ที่เป็นผู้ผลิตกล้องรายใหญ่ให้กับ Apple และ Xiaomi ก็ทำยอดขายได้ลดลง 9.1% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หรืออย่าง BYD ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนก็มีรายได้จากการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์สมาร์ทโฟนลดลง 4.78% ในช่วงครึ่งปี 2022 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มา: South China Morning Post
# Tim Cook ตั้งคำถาม คนทั่วไปรู้จักและอยากใช้เวลากับ Metaverse ขนาดนั้นไหม? ขณะที่ Mark Zuckerberg ทุ่มเงินลงทุนไปกับ Metaverse หลายพันล้านเหรียญ Tim Cook ซีอีโอของ Apple แสดงความเห็นเรื่อง Metaverse ต่อสำนักข่าว Bright ของเนเธอร์แลนด์ว่า เขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนทั่วไปเข้าใจเรื่อง Metaverse ดีแค่ไหน รวมทั้งไม่แน่ใจว่าผู้คนจะต้องการใช้เวลากับ VR เป็นระยะเวลานานไหม แม้ว่า Apple จะให้ความสนใจในการสร้างฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้องกับ AR และ VR ซึ่ง Tim Cook มองว่า VR เป็นสิ่งที่ดีแต่ไม่ใช่วิธีในการสื่อสารระหว่างกัน รวมถึงเป็นสิ่งที่ควรใช้ในระยะเวลาหนึ่ง ๆ เท่านั้น ผู้คนจึงไม่น่าจะต้องการใช้ VR เป็นระยะเวลานาน ในขณะที่ Meta มองว่า Apple เป็นคู่แข่งที่สำคัญในการพัฒนา Metaverse ก่อนหน้านี้ Evan Spiegel ซีอีโอของ Snap ก็ได้เปิดเผยว่าหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า Metaverse เพราะมีความหมายกำกวมและผู้คนเข้าใจในความหมายที่ต่างกันออกไป ส่วน David Lamb หัวหน้าฝ่ายอุปกรณ์ของ Amazon ก็มองว่าคำว่า Metaverse ไม่มีความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจตรงกัน ทั้งนี้ ทั้ง Apple, Snap และ Amazon ต่างกำลังพัฒนาอุปกรณ์ AR/VR โดย Apple น่าจะเปิดตัวอุปกรณ์เฮดเซ็ต AR/VR เร็วสุดในปีหน้า ขณะที่ Snap ได้ปล่อยแว่น VR เวอร์ชัน Beta ออกมาเมื่อปีที่แล้ว ส่วน Amazon ก็ปล่อยแอปพลิเคชัน AR ออกมาแล้วหลายแอปและกำลังพัฒนาอุปกรณ์ AR ด้วย ส่วน Meta คาดว่าจะเปิดตัวแว่น AR รุ่นแรกออกมาในปี 2024 แต่น่าจะให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้ก่อน ที่มา: The Verge
# AirPods Pro 2 พรีออเดอร์ในไทยได้แล้ว ตอนนี้ส่งมอบปลายเดือนตุลาคม ช่วงเปิดตัว Airpods Pro 2 ทางแอปเปิลยังไม่มีกำหนดวางจำหน่ายในไทย แต่ล่าสุดหน้าเว็บ Apple เปิดให้พรีออเดอร์ AirPods Pro 2 แล้ว โดย ณ ตอนนี้กำหนดส่งมอบคือราววันที่ 20-28 ตุลาคม โดยยังไม่สามารถเข้าไปรับหน้าร้านได้ ที่มา - Apple
# Tesla เผยรายละเอียด Dojo ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ออกแบบเอง ใช้เทรนโมเดลให้ Autopilot Tesla อัพเดตความคืบหน้าของ Dojo ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่บริษัทออกแบบเองเพื่อเทรน AI ที่ใช้ในระบบขับขี่อัตโนมัติ และเปิดตัวต่อสาธารณะครั้งแรกช่วงกลางปี 2021 Tesla บอกว่าเมื่อขนาดของโมเดลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีเครื่องขนาดใหญ่มากพอที่จะรัน ทางออกเดียวคือการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่มากพอขึ้นมาเอง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Dojo ถูกออกแบบมาใหม่ทั้งหมด ภายใต้วิสัยทัศน์ว่าต้องเป็นตัวเร่งการประมวลผล (accelerator) ผืนใหญ่ผืนเดียว (single scalable compute plane) ใช้ชิปออกแบบเองที่เรียกว่า D1 นำมาต่อกับ I/O + Power + Cooling กลายเป็น Training Tile ซึ่งบอกว่ามีพลังเท่ากับจีพียู 6 ชุดเลยทีเดียว เมื่อได้ Training Tile แล้วก็นำมาประกอบกันเป็น System Tray (ถาดวางหน่วยประมวลผลระบบ) ไปเชื่อมกับ Interface Processor สำหรับการเชื่อมต่อพอร์ตภายนอก กลายเป็นหน่วยที่เรียกว่า Host Interface สุดท้ายเมื่อนำมาต่อเป็นตู้ cabinet หลายๆ ตู้จะได้หน่วยประมวลผลที่เรียกว่า ExaPod มีสมรรถนะ 1.1 ExaFLOP การออกแบบ Dojo เน้นการอัดหน่วยประมวลผลที่มีความหนาแน่น (density) สูง จึงต้องคิดเรื่องระบบจ่ายไฟ และระบบระบายความร้อนใหม่ทั้งหมด ระบบจ่ายไฟนั้นใช้ไฟฟ้าถึง 2 เมกะวัตต์ และตอนทดสอบจ่ายไฟครั้งแรกนั้น เทศบาลเมืองถึงกับต้องโทรมาหาเลยทีเดียว Tesla บอกว่าจะเริ่มทดสอบ ExaPod ตัวแรกในไตรมาส 1/2023 และวางแผนจะมีทั้งหมด 7 ExaPod ที่มา - Electrek
# PS5 ถูกเจลเบรคแล้ว แต่ทำได้เฉพาะเวอร์ชัน 4.03 แถมยังเข้าถึงสิทธิบนเครื่องไม่ได้มาก นักพัฒนาสายความปลอดภัยประกาศค้นพบช่องโหว่ใน WebKit ของ PS5 ในเฟิร์แวร์เวอร์ชัน 4.03 จนทำให้สามารถเข้าถึงสิทธิอ่านเขียนและโหมดดีบัคได้ (ช่องโหว่นี้ถูกพบตั้งแต่บน PS4 เมื่อ 2 ปีที่แล้วและอีกครั้งบน PS5 ก่อนถูกรายงานไปยัง Sony ตั้งแต่มกราคม 2022) หลังจากนั้นก็มีคนลองติดตั้งเก็บ P.T. Silent Hill เวอร์ชันเดโมอันโด่งดังที่ถูกนำลงจากสโตร์ แต่ด้วยความที่ตัวเกมติดแบล็คลิสต์ รวมถึงการเจลเบรคทำได้แค่เข้าถึงสิทธิอ่านและเขียน ทำให้ตัวเดโมเกมไม่สามารถรันได้ รวมถึงไม่สามารถรันโค้ดอื่นๆ บนเครื่องได้เช่นกัน ช่องโหว่นี้สามารถใช้ได้เฉพาะเวอร์ชัน 4.03 หรือต่ำกว่านั้น (ต่ำกว่าอาจต้องมีการปรับแต่งการเจาะบ้าง) รวมถึงยังไม่สามารถทำอะไรได้มากหลังเจลเบรค ที่มา - wololo.net, IGN
# Samsung ตั้งเป้าผลิตชิป 1.4 นาโนเมตรภายในปี 2027 หวังแซงคู่แข่งอย่าง TSMC Samsung เผยแผน 5 ปี ตั้งเป้าผลิตทรานซิสเตอร์ขนาด 1.4 นาโนเมตรภายในปี 2027 หวังดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาเพื่อแข่งกับบริษัทเซมิคอนดักเตอร์เจ้าใหญ่อย่าง TSMC Moonsoo Kang รองประธานบริหารของบริษัทเผยว่า บริษัทตั้งเป้าเป็นผู้นำการผลิตชิปให้ได้ โดยตั้งเป้าผลิตชิปขนาด 3 นาโนเมตรรุ่นที่ 2 ให้ได้ภายในปี 2024 หลังจากเป็นเจ้าแรกที่เริ่มผลิตชิป 3 นาโนเมตรไปแล้ว รวมทั้งจะผลิตชิป 2 นาโนเมตรให้ได้ภายในปี 2025 และชิป 1.4 นาโนเมตรภายในปี 2027 Samsung ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงเป็น 3 เท่าภายในปี 2027 และจะเพิ่มรายได้ของธุรกิจรับจ้างผลิตชิปให้ได้ 3 เท่าเมื่อเทียบกับรายได้ของปีที่แล้ว โดยการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปและขยายตลาดในสหรัฐฯ ปัจจุบัน Samsung เป็นบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลกเมื่อคิดจากรายได้ แต่ในแง่ธุรกิจรับจ้างผลิตชิปยังตามหลัง TSMC อยู่ โดยเฉพาะในแง่เทคโนโลยี ก่อนหน้านี้ Samsung ก็ได้แพ้ให้กับ TSMC ในการทำสัญญาผลิตจีพียู RTX ซีรีส์ 40 ให้ Nvidia ที่มา: Bloomberg
# Fandom ซื้อกิจการเว็บเกม-หนังชุดใหญ่ GameSpot, Metacritic, GameFAQs, Giant Bomb หลายคนอาจรู้จักเว็บไซต์ Fandom หรือเดิมคือ Wikia เว็บไซต์ที่นำเอนจิน MediaWiki ตัวเดียวกับของ Wikipedia มาให้บริการชุมชนผู้ชื่นชอบภาพยนตร์ ซีรีส์ วิดีโอเกม การ์ตูน นิยาย ฯลฯ โดยใช้โมเดลธุรกิจหารายได้จากโฆษณา Fandom ก่อตั้งเมื่อปี 2004 โดย Jimmy Wales ผู้สร้าง Wikipedia แต่ขายให้กลุ่มทุน TPG Capital ไปเมื่อปี 2018 ล่าสุด Fandom ประกาศซื้อกิจการเว็บไซต์สายเกม-หนัง-ทีวี ชุดใหญ่จากเจ้าของเดิม Red Ventures ได้แก่ GameSpot, Metacritic, TV Guide, GameFAQs, Giant Bomb, Cord Cutters News, Comic Vine เพื่อสร้างเครือข่ายเว็บไซต์ที่มีผู้ชม 300 ล้านคนต่อเดือน มีเนื้อหา 40 ล้าหน้า และมีผู้เขียน Wiki จำนวน 250,000 คน ผงาดขึ้นเป็นแพลตฟอร์มโฆษณาอันดับ 14 ของสหรัฐอเมริกา หลังเปลี่ยนเจ้าของ Fandom ทยอยซื้อกิจการเว็บสายภาพยนต์-เกม มาเสริมทัพหลายแห่ง เช่น ScreenJunkies (2018), Curse Media (2019), Fanatical (2021) ส่วนบริษัท Red Ventures ยังเป็นเจ้าของสื่อออนไลน์ดังๆ หลายแห่ง เช่น CNET, ZDNet, Lonely Planet, The Points Guy เป็นต้น ที่มา - Fandom
# Supabase โอเพนซอร์ส PostgreSQL รันบน WASM เปิดให้เครื่องอื่นต่อเข้ามาได้ด้วย Supabase ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มทดแทน Firebase เปิดโครงการ postgres-wasm พอร์ต PostgreSQL ทั้งก้อนเข้าไปรันในเบราว์เซอร์ด้วย WASM แม้ว่าก่อนหน้านี้ Crunchy Data จะเคยทำโครงการแบบเดียวกันมาก่อนแล้ว แต่ก็ทำไว้ใช้งานสำหรับเว็บสอน SQL ของ Crunchy Data เองเท่านั้น แต่ postgres-wasm นี้เป็นโครงการโอเพนซอร์สที่นำไปใช้งานอย่างอื่นได้ด้วย โครงการนี้ทาง Supabase พัฒนาโครงการร่วมกับ Snaplet โครงการแปลงข้อมูลในฐานข้อมูลเพื่อให้นักพัฒนานำข้อมูลจากโปรดักชั่นไปใช้งานได้ ตัวโครงการ postgres-wasm จึงมี repository สองที่จากทั้ง Supabase และ Snaplet ความพิเศษของ postgres-wasm จาก Supabase คือมันมี proxy เพื่อเปิดให้เชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ตเข้าไปยัง postgres ในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ได้ด้วย ทำให้เราสามารถสร้างฐานข้อมูลแล้วทดสอบกับแอปพลิเคชั่นจริงได้ ที่มา - Supabase
# Blizzard ปิดเซิร์ฟเวอร์ Overwatch 1 แล้ว เตรียมเข้าสู่ยุค Overwatch 2 เมื่อคืนนี้ Blizzard ปิดเซิร์ฟเวอร์ Overwatch 1 เรียบร้อยแล้ว เพื่อเตรียมอัพเกรดระบบเป็น Overwatch 2 ที่มาแทน Overwatch 1 เลย เกม Overwatch 2 จะเปิดให้เล่นตามเวลาประเทศไทย คืนนี้ 2.00 น. ของวันที่ 5 ตุลาคม 2022 และสามารถดาวน์โหลดไฟล์เตรียมรอเล่นได้ตั้งแต่เวลา 23.00 น. Overwatch 2 มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายอย่าง เช่น เปลี่ยนระบบการเล่นเป็นทีม 5v5 แทน 6v6 เดิม และเปลี่ยนโมเดลธุรกิจมาเป็น free-to-play ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อเกมแล้ว ที่มา - @PlayOverwatch
# ShopBack รับเงินเพิ่มทุนซีรี่ส์ F ส่วนขยายอีก 80 ล้านดอลลาร์ ShopBack แพลตฟอร์มช้อปปิ้งแบบได้ผลตอบแทนเงินคืน ประกาศบรรลุข้อตกลงเพิ่มทุนส่วนขยายสำหรับซีรี่ส์ F เป็นเงิน 80 ล้านดอลลาร์ จาก 65 Equity Partners ทำให้เงินทุนซีรี่ส์ F รวมเป็น 160 ล้านดอลลาร์ ShopBack บอกว่าจะใช้เงินทุนก้อนใหม่นี้ มาสนับสนุนการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อขยายไปทั่วตลาดเอเชียแปซิฟิก, ออกผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับการช้อปปิ้ง และสร้างแพลตฟอร์มการจ่ายเงิน แพลตฟอร์มของ ShopBack ทำตลาดใน 10 ประเทศ มีผู้ใช้งาน 35 ล้านคน มีร้านค้าในเครือข่ายมากกว่า 1 หมื่นราย ยอดขายบนแพลตฟอร์มปีที่ผ่านมา 3,500 ล้านดอลลาร์ และเพิ่งเริ่มขยายสู่ระบบจ่ายเงิน ShopBack Pay และ PayLater ที่มา: ShopBack
# Naver ซื้อกิจการ Poshmark อีคอมเมิร์ซขายเสื้อผ้ามือสองของอเมริกา Naver บริษัทอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ของเกาหลีใต้ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ LINE ประกาศซื้อกิจการ Poshmark แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของอเมริกา โดยจะซื้อหุ้นของบริษัททั้งหมดคิดเป็นมูลค่ารวมราว 1,200 ล้านดอลลาร์ จ่ายเป็นเงินสดทั้งหมด Choi Soo-Yeon ซีอีโอ Naver และ Manish Chandra ซีอีโอ Poshmark มองว่าดีลนี้จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการสร้างรายได้และบริหารต้นทุนให้กับ Poshmark เช่น การปรับปรุงระบบโฆษณา, การขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ ตลอดจนระบบไลฟ์ขายสินค้า Poshmark เป็นแพลตฟอร์มเน้นสินค้ามือสองประเภทเครื่องแต่งกาย ซึ่งเป็นที่สนใจของบริษัทรายใหญ่มากขึ้น ก่อนหน้านี้ Etsy ก็ซื้อกิจการ Depop ที่มา: CNBC และ Business Wire
# Twitter เปิดให้แก้ไขทวีตได้แล้ว เฉพาะลูกค้า Twitter Blue เริ่มต้นบางประเทศ ยังไม่มีไทย Twitter ประกาศว่าฟีเจอร์ที่ผู้ใช้เรียกร้องมานานคือการแก้ไขทวีตข้อความ ซึ่งประกาศก่อนหน้านี้ เริ่มเปิดให้ใช้งานแล้ว โดยต้องเป็นลูกค้าบริการสมาชิกรายเดือน Twitter Blue และมีผลกับผู้ใช้งานเฉพาะแคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ก่อน Twitter บอกเพียงว่าผู้ใช้งานในอเมริกา จะได้ใช้งานเร็ว ๆ นี้ และไม่ได้พูดถึงประเทศไทย (รวมทั้งอีกหลายประเทศ) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Twitter โชว์ตัวอย่างว่าทวีตที่ถูกแก้ไขจะแสดงผลอย่างไร ซึ่งจะแสดงประวัติการแก้ไข โดยผู้ใช้งานสามารถแก้ไขข้อความได้ 5 ครั้ง ภายใน 30 นาที ที่มา: Twitter Blue
# ไมโครซอฟท์รายงานกลุ่มแฮกเกอร์เกาหลีเหนือ ใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สโจมตีเหยื่อ ไมโครซอฟท์รายงานถึงกลุ่มแฮกเกอร์ ZINC ที่มีฐานอยู่ในเกาหลีเหนือพยายามโจมตีองค์กรจำนวนมาก ทั้งในสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, อินเดีย, และรัสเซีย โดยอาศัยการหลอกเหยื่อประกอบกับการแปลงโปรแกรมโอเพนซอร์สที่ใช้งานได้จริง แต่มีฟีเจอร์มุ่งร้ายฝังอยู่ภายใน ช่วงเริ่มต้นกลุ่ม ZINC จะแสดงตัวเป็นฝ่ายบุคคลที่ตามหาผู้สมัครให้กับบริษัทใหญ่ๆ แล้วติดต่อเหยื่อผ่านทาง LinkedIn จากนั้นจะพยายามหลอกล่อให้เหยื่อไปคุยกันผ่านทาง WhatsApp และส่งโปรแกรมให้เหยื่อ โดยโปรแกรมทำงานได้ตามปกติแต่แอบติดต่อเซิร์ฟเวอร์ของคนร้ายเพื่อขโมยข้อมูล โปรแกรมหนึ่งที่คนร้ายใช้คือ KiTTY ที่ใช้สำหรับติดต่อเซิร์ฟเวอร์ด้วยโปรโตคอล Secure Shell ตัวโปรแกรมที่คนร้ายดัดแปลงยังคงใช้งานได้ แต่จะเก็บข้อมูลชื่อเครื่อง, ชื่อผู้ใช้, และรหัสผ่าน ส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของคนร้าย หรือโปรแกรม TightVNC ที่ถูกดัดแปลงให้ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์เช่นกัน ไมโครซอฟท์เปิดเผยรายชื่อไอพีเซิร์ฟเวอร์ของคนร้าย, รายการค่าแฮชของโปรแกรมที่คนร้ายดัดแปลงแล้ว, และโดเมนต่างๆ ที่คนร้ายแฮก พร้อมกับแนะนำให้บล็อคอินเทอร์เน็ตไม่ให้เชื่อมต่อไปยังเครื่องในรายกร และแนะนำให้เปิดใช้การล็อกอินสองขั้นตอนเพื่อป้องกันการโจมตีในกรณีเช่นนี้ที่คนร้ายขโมยรหัสผ่านออกไปได้ ที่มา - Microsoft
# [ลือ] เจ้าแห่งการรีเมค Sony จะรีเมค Horizon Zero Dawn ภาคแรกลง PS5 เว็บเกมหลายแห่ง เช่น MP1ST, VGC, Gematsu รายงานข่าวยังไม่ยืนยันว่าสตูดิโอ Guerrilla กำลังรีเมค/รีมาสเตอร์เกม Horizon Zero Dawn ภาคแรกที่ออกบน PS4 มาเป็นเวอร์ชัน PS5 ให้มีคุณภาพทัดเทียมกับภาคสอง Forbidden West ตอนนี้ยังไม่ยืนยันแน่ชัดว่าเป็นการรีเมคเกมขึ้นมาใหม่ หรือเป็นแค่การรีมาสเตอร์กราฟิกให้ความละเอียดคมชัดขึ้น นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Guerrilla กำลังทำเกม Horizon ที่เป็นมัลติเพลเยอร์อีกเกม ลง PS5 และพีซีด้วย ก่อนหน้านี้ Sony เพิ่งเปิดตัว The Last of Us Part I เวอร์ชันรีเมค PS5 ทำให้บริษัทโดนวิจารณ์ไม่น้อยว่าเอาแต่หากินกับเกมรีเมค ถ้าข่าวของเกม Horizon Zero Dawn เป็นจริง (เกมยังมีอายุประมาณ 5 ปี ออกเมื่อปี 2017) ที่มา - MP1ST, VGC, Gematsu
# ก.ล.ต. สหรัฐ สั่งปรับ Kim Kardashian โพสต์โฆษณาคริปโต โดยไม่บอกว่ารับเงินมา SEC หรือ ก.ล.ต. สหรัฐ สั่งปรับดาราสาวชื่อดัง Kim Kardashian ในข้อหาทำผิดกฎหมายการลงทุน โพสต์เชิญชวนให้ซื้อเหรียญ EthereumMax (EMAX) ผ่านช่องทางโซเชียลของเธอที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก โดยไม่เปิดเผยว่าเธอได้รับเงินจาก EthereumMax มาเชียร์เหรียญ Kim Kardashian ตกลงยอมความกับ SEC จ่ายค่าปรับรวม 1.26 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดีกับ SEC และสัญญาไม่โปรโมทคริปโตนาน 3 ปี โดย Gary Gensler ประธาน SEC ให้สัมภาษณ์ว่าถือเป็นกรณีตัวอย่างที่คนดัง อินฟลูเอนเซอร์ ควรประกาศข้อมูลให้ครบถ้วนเวลาโพสต์เชิญชวนคนมาลงทุน กรณีนี้ Kim Kardashian, Floyd Mayweather Jr. นักมวยชื่อดัง และ Paul Pierce อดีตนักบาส NBA ถูกผู้บริโภครวมกลุ่มฟ้องเอาผิดมาตั้งแต่ต้นปี แต่คดีของ SEC ถือเป็นคนละคดีกัน และยังไม่มีข้อมูลว่า SEC เอาผิดบุคคลอื่นๆ ด้วยหรือไม่ ที่มา - SEC, ภาพจาก Twitter @KimKardashin
# Tim Cook เสนอว่าสหรัฐควรสอนวิชาเขียนโปรแกรมตั้งแต่ระดับประถม Tim Cook ซีอีโอของ Apple ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวสัญชาติดัตช์ Bright ว่าสหรัฐอเมริกาควรมีวิชาการเขียนโปรแกรมตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มองว่าการเขียนโค้ดเป็นภาษาสากลที่สำคัญมากสำหรับวงการเทคโนโลยีและเป็นภาษาที่ทุกคนควรเรียนรู้ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา Tim Cook มองว่าการเขียนโค้ดเป็นภาษาที่สำคัญที่สุดที่ควรได้เรียนนอกเหนือไปจากภาษาแม่ที่ใช้ในการสื่อสาร เพราะการเขียนโปรแกรมเป็นประโยชน์ในการถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ Tim Cook ได้สนับสนุนการเพิ่มวิชาการเขียนโปรแกรมลงในหลักสูตรปฐมวัยมาตั้งแต่ปี 2019 และก่อนหน้านี้ ก็ได้เป็นหนึ่งในคณะผู้บริหารธุรกิจกว่า 500 รายที่เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา K-12 Curriculum ที่ใช้กับการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงเกรด 12 (มัธยมศึกษาปีที่ 6) ในแต่ละรัฐเพื่อให้ครอบคลุมการสอนวิชาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐฯ ประมาณการณ์ว่าสหรัฐจะขาดแคลนแรงงานวิศวกรซฟต์แวร์ถึง 1.2 ล้านคนภายในปี 2026 อย่างไรก็ตามผู้ที่สมัครงานด้านการเขียนโปรแกรมที่มีประวัติการศึกษานอกระบบ (untraditional education) ก็ยังคงประสบปัญหาในการหางาน ที่มา: Business Insider
# [ลือ] Apple กำลังทดสอบฝัง Touch ID ใต้หน้าจอแต่ยังไม่น่าจะนำกลับมาใช้กับ iPhone เร็ว ๆ นี้ Mark Gurman จากสำนักข่าว Bloomberg รายงานข้อมูลเรื่อง Touch ID ผ่านจดหมายข่าวประจำสัปดาห์ Power On โดยเปิดเผยว่า Apple กำลังทดสอบฝัง Touch ID ไว้ใต้หน้าจอ iPhone แต่ยังไม่น่าจะนำมาใช้ในเร็ว ๆ นี้ Gurman เปิดเผยว่า Apple ได้ทดลองนำ Touch ID กลับมาใช้ใน iPhone ทั้งวิธีการฝังไว้ใต้หน้าจอและวิธีการใส่ไว้บนปุ่มล็อกหน้าจออย่างที่มีใน iPad Air หรือ iPad mini อย่างไรก็ตาม Gurman บอกว่า Apple ยังไม่น่าจะนำ Touch ID มาใช้ในเร็ว ๆ นี้ (at least anytime in the foreseeable future) และจะยังใช้ Face ID ต่อไป หรือถ้าหากนำกลับมาก็คงใส่ Touch ID บนปุ่มล็อกหน้าจอสำหรับ iPhone รุ่นราคาประหยัดอย่าง iPhone SE ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่ดี ก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวลือว่า Apple กำลังพยายามทำให้ iPhone รองรับการใช้งานทั้ง Touch ID และ Face ID ที่มา - 9to5Mac
# ชาวอเมริกันมั่นใจในการลงทุนในคริปโตน้อยลง โดยเฉพาะในกลุ่ม Millennials ลดลง 20% เว็บไซต์ Bankrate รายงานผลสำรวจการลงทุนในเหรียญคริปโตของชาวอเมริกันในเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่ามีผู้มั่นใจ (feel comfortable) ที่จะลงทุนกับเหรียญคริปโตคิดเป็น 21% ลดลงจากเมื่อปีที่แล้วที่มี 35% กลุ่มที่มั่นใจในการซื้อขายคริปโตลดลงมากที่สุด คือ กลุ่ม Millenials (อายุ 26-41 ปี) โดยผู้ที่ยังคงมั่นใจที่จะลงทุนในคริปโตคิดเป็นเกือบ 30% ในขณะที่เมื่อปีที่แล้วคิดเป็นเกือบ 50% ส่วนในกลุ่มอื่น ๆ ผลสำรวจเป็นดังนี้ กลุ่ม Baby boomers มั่นใจที่จะลงทุนในคริปโตราว 11% ในปีนี้ จากเมื่อปีที่แล้วคิดเป็นกว่า 21% กลุ่ม Generation X มั่นใจที่จะลงทุนในคริปโตราว 21% ในปีนี้ จากเมื่อปีที่แล้วคิดเป็นเกือบ 37% กลุ่ม Generation Z มั่นใจที่จะลงทุนในคริปโตเกือบ 34% ในปีนี้ ส่วนเมื่อปีที่แล้ว Bankrate ไม่ได้สำรวจความเชื่อมั่นของกลุ่มนี้ สาเหตุที่ผู้ที่มั่นใจในการลงทุนในเหรียญคริปโตมีน้อยลงส่วนหนึ่งก็มาจากการที่มูลค่าตลาดรวมของคริปโตลดลงเกือบ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐนับแต่เดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว เหรียญ Bitcoin และ Ethereum ซึ่งเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมสูง ก็มีมูลค่าลดลง 72% และ 73% ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก็ไม่แนะนำให้ลงทุนกับคริปโตเพิ่มเนื่องจากมีความผันผวนของตลาดสูง ที่มา: Bankrate via CNBC
# Apple ยื่นจดสิทธิบัตร Reverse Charging ใช้ iPhone ชาร์จอุปกรณ์อื่นได้ สำนักสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกาได้รับรองสิทธิบัตร Apple ที่ทำให้อุปกรณ์บางอย่างที่รองรับการชาร์จไร้สายมีความสามารถทั้งการส่งและรับสัญญาไร้สาย ทำให้อุปกรณ์หนึ่งสามารถทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ชาร์จไร้สายที่ส่งพลังงานไปยังอุปกรณ์อื่นได้ หมายความว่า iPhone เครื่องหนึ่งจะสามารถชาร์จ iPhone เครื่องอื่น ๆ ได้โดยการหันด้านหลังเครื่องชนกัน หรือแม้แต่ใช้ iPhone ชาร์จ Apple Watch หรือ AirPods ได้ นอกจากนี้ จะสามารถใช้ MacBook และ iPad ชาร์จ iPhone และ Apple Watch ได้แบบเดียวกับที่ Android บางรุ่นทำได้ ก่อนหน้านี้ ได้มีข่าวลือมาว่า Apple จะเพิ่ม Reverse Charging มาตั้งแต่ iPhone 11 แต่ปัจจุบัน iPhone 14 ก็ยังไม่รองรับการชาร์จด้วยวิธีนี้ ที่มา: Patently Apple และ 9to5Mac
# ผู้ใช้บางคนพบว่าแอพ YouTube จำกัดความละเอียด 4K อยากดูต้องจ่าย Premium มีผู้ใช้บางราย แจ้งว่าการชมวิดีโอบน YouTube หากต้องการเลือกความละเอียดเป็น 2160p (4K) จะเจอข้อความว่า "Premium" บังคับให้จ่ายเงินเป็น YouTube Premium ก่อนถึงดูคลิปที่ความละเอียดสูงได้ ผู้ใช้รายนี้ระบุว่าเจอกับแอพ YouTube บน iPhone แต่ผู้ใช้รายอื่นๆ ในกระทู้ Reddit ลองทดสอบกับคลิปเดียวกันก็ไม่เจอเงื่อนไขดังกล่าว จึงเป็นไปได้ว่าเป็นการทดสอบสไตล์กูเกิล ที่ทำแบบจำกัดวงกับผู้ใช้บางรายเท่านั้น ที่มา - Reddit via Neowin
# Google Translate หยุดให้บริการแล้วในจีน เหตุการใช้งานน้อย Google Translate ทั้งในรูปแบบแอปพลิเคชันและเว็บแอปไม่สามารถใช้งานได้แล้วในจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อกดเข้าแอปพลิเคชัน ผู้ใช้จะถูกนำไปยังแถบค้นหาทั่วไปและได้รับการแจ้งเตือนให้บุ๊กมาร์กหน้าเว็บ Google Translate ของฮ่องกงไว้ ซึ่งไม่สามารถเข้าใช้งานได้เช่นเดียวกันบนจีนแผ่นดินใหญ่ Google Translate เป็นบริการแปลภาษาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในจีน แต่ Google เปิดเผยกับ TechCrunch ว่า เหตุผลที่หยุดให้บริการในจีนเพราะมีการใช้น้อย ซึ่งสะท้อนความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา Google เคยประกาศหยุดให้บริการในจีนแผ่นดินใหญ่ไปแล้วเมื่อปี 2010 และถูกรัฐบาลจีนแบนแต่ Google Translate ก็กลับมาให้บริการอีกครั้งในปี 2017 ที่มา: South China Morning Post
# Ubisoft เปิดตัวเกมใหม่ Project U เกมยิงแบบ Co-Op สู้กับศัตรูจำนวนมาก Ubisoft เปิดตัวเกมใหม่อีกเกมมาแบบเงียบๆ โดยใช้ชื่อโค้ดเนมว่า Project U บอกแค่ว่าเป็นเกมยิง co-op shooter ที่ผู้เล่นต้องสู้กับศัตรูจำนวนมาก ตอนนี้ยังมีภาพคอนเซปต์ของเกมออกมาภาพเดียว โดย Ubisoft กำลังเปิดรับสมัครผู้เล่นทดสอบ closed test ในยุโรปตะวันตกบางประเทศก่อน เมื่อเดือนเมษายน Ubisoft เพิ่งเปิดตัว Project Q เกมแนว team battle arena ที่ยังเป็นชื่อโค้ดเนมเหมือนกัน แสดงให้เห็นถึงทิศทางใหม่ของบริษัทที่เริ่มทดสอบคอนเซปต์เกมใหม่ๆ กับผู้เล่นจริงตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ที่มา - Ubisoft via IGN
# Chrome ยืดเวลาหยุดซัพพอร์ตส่วนขยาย Manifest V2 เป็นมิถุนายน 2023 กูเกิลประกาศปรับแผนการเลิกใช้ API ส่วนขยายแบบเก่า Manifest V2 โดยยืดเวลาจากที่เคยประกาศไว้เล็กน้อย มกราคม 2023 Chrome 112 Canary, Dev, Beta หยุดการรองรับ Manifest V2 มิถุนายน 2023 Chrome 115 Stable หยุดการรองรับ Manifest V2 มกราคม 2024 ปิดการรองรับ Manifest V2 ใน enterprise policy สำหรับลูกค้าองค์กร, ถอดส่วนขยาย V2 ออกจาก Chrome Web Store การเปลี่ยนจาก Manifest V2 มาเป็น V3 ส่งผลกระทบต่อวิธีทำงานของส่วนขยายบล็อคโฆษณา ซึ่งตอนนี้ส่วนขยายหลายๆ ตัวก็เริ่มปรับตัวมาสู่ API V3 กันบ้างแล้ว เช่น AdBlock Plus, uBlock Origin, AdGuard เป็นต้น ที่มา - Chrome Developer
# Facebook เปิดตัว Webview ใหม่บนแอนดรอยด์ใช้ Chromium จากเดิมที่ใช้ System Webview Facebook ประกาศตัว Webview สำหรับแอปบนแอนดรอยด์ตัวใหม่ที่พัฒนาขึ้นจาก Chromium แตกต่างจากเวอร์ชันปัจจุบันที่ใช้งานอยู่ที่รันบน Android System Webview สำหรับการเปิดหน้าเว็บบนแอป Facebook บอกว่าการเปลี่ยนแบบนี้จะช่วยเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น เพราะ Facebook จะสามารถอัพเดต Webview ที่มีช่องโหว่ได้โดยตรงผ่านตัวแอป (ที่อัพเดตตาม Chromium) ขณะที่แบบเดิมต้องรอการอัพเดตตัว System Webview ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า คนอัพเดต Facebook มากกว่าอัพเดตตัว Chrome และ System Webview นอกจากนี้ยังมีเรื่องความเสถียร ที่ไม่ต้องไปดึงไลบรารี System Webview มาใช้ เวลาตัว System Webview อัพเดตแล้วแอปจะไม่แครช รวมถึงการเรนเดอร์เว็บที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะใช้ GPU ส่วนของ Facebook เอง ตอนนี้ Facebook กำลังทดสอบในวงจำกัด และจะทยอยปล่อยอัพเดตต่อไป ที่มา - Facebook
# ไลนัสเตือน อย่างมงายใน Rust ไม่มีอะไรปลอดภัยสมบูรณ์, การทำงานของเคอร์เนลต่างจากโปรแกรมทั่วไป เคอร์เนลลินุกซ์กำลังเริ่มรองรับภาษา Rust สัปดาห์ที่ผ่านมาไลนัสก็ออกมาตอบ Wedson Almeida Filho ถึงการใช้ Rust ในเคอร์เนลว่าการที่ Rust รับประกันความปลอดภัยในการใช้หน่วยความจำ ไม่ได้แปลว่ามันจะทำให้โค้ดปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ และนักพัฒนาที่ยังเชื่อว่าการใช้ Rust จะทำให้โค้ดปลอดภัยก็ควรกลับไปเรียนอนุบาลแล้วหัดเลิกเชื่อเรื่องกระต่ายอีสเตอร์หรือซานตาคลอสก่อน แม้โค้ด Rust จะรับประกันการใช้งานหน่วยความจำให้มีความปลอดภัยในกรณีทั่วๆ ไป แต่ก็มีบางกรณีที่โค้ดล้มเหลวเรื่อยๆ เช่น overflow หรือไม่สามารถจองหน่วยความจำเพิ่มได้ จุดสำคัญของความแตกต่างในเคอร์เนลคือเมื่อเกิดความล้มเหลวขึ้น โค้ดไม่สามารถหยุดทำงานไปเฉยๆ ได้ หลายครั้งโค้ดก็ทำงานไปทั้งที่ข้อมูลผิด ที่มา - LKML
# เคอร์เนล 6.0 ออกแล้ว Linus บอกขึ้นเลขหลักใหม่ เพราะนิ้วมือ-นิ้วเท้าไม่พอนับรุ่นย่อย Linus Torvalds ออกเคอร์เนลลินุกซ์เวอร์ชัน 6.0 ตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าขี้เกียจนับเลขรุ่นย่อยแล้ว ขึ้นหลักใหม่ดีกว่า เขายังประกาศว่าจะเริ่มรับแพตช์ของเคอร์เนล 6.1 แล้ว ซึ่งมีของใหม่ที่สำคัญคือการรองรับภาษา Rust ในขั้นแรกด้วย ที่มา - LKML via The Register
# Tesla รายงานตัวเลขการผลิตไตรมาส 2/2022 ผลิตรถได้ 365,923 คัน Tesla รายงานตัวเลขการผลิตของไตรมาสที่ 3 ปี 2022 ผลิตรถยนต์ได้ 365,923 คัน แบ่งเป็น Model S/X 19,935 คัน และ Model 3/Y 345,988 คัน จำนวนรถยนต์ที่ส่งมอบให้ลูกค้าได้มี 343,830 คัน โดยแบ่งเป็น Model S/X 18,672 คัน และ Model 3/Y 325,158 คัน ซึ่ง Tesla อธิบายเหตุผลที่จำนวนส่งมอบน้อยกว่าจำนวนผลิต เนื่องจากกระบวนการผลิตที่เป็นแบตช์ และยังมีปัญหาการขนส่งรถยนต์ให้ได้ต้นทุนที่เหมาะสม ในช่วงที่ความต้องการรถขนส่งมีสูงกว่าปกติ ซึ่งไตรมาสปัจจุบันจะเห็นตัวเลขผลิตและส่งมอบที่ต่างกันมากขึ้นกว่านี้ Tesla จะรายงานตัวเลขการเงินและผลประกอบการช่วงปลายเดือนตุลาคม ที่มา: Tesla
# DJI เปิดอาคารสำหนักงานใหญ่แห่งใหม่ DJI Sky City ออกแบบโดย Foster + Partners DJI เปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ชื่อ DJI Sky City ใน Shenzhen เป็นตึกคู่พร้อมทางเดินลอยฟ้าเชื่อมระหว่างอาคาร ผลงานการออกแบบโดย Foster + Partners DJI Sky City ประกอบไปด้วยตึกสูง 212 เมตร และอีกตึกสูง 194 ตั้งอยู่คู่กัน โดยมีทางเดินสะพานแขวนลอยฟ้ายาว 90 เมตรสูงจากพื้นดิน 105 เมตร เชื่อมระหว่าง 2 อาคารตรงชั้นที่ 24 รูปลักษณ์ของอาคารมีลักษณะคล้ายเสาโครงสร้างเหล็กที่มีกล่องกระจกหลายกล่องยึดติดเอาไว้โดยรอบ มีการเล่นระดับของโครงสร้างอาคารและพื้นที่ดาดฟ้าต่างๆ ให้ความรู้สึกสมกับชื่ออาคารที่แปลว่า "เมืองลอยฟ้า" อาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ DJI สะพานแขวนลอยฟ้าทำหน้าที่เป็นทางเดินเชื่อมระหว่างอาคาร อีกหนึ่งจุดเด่นของ DJI Sky City DJI Sky City มีพื้นที่สำหรับห้องปฏิบัติการเพื่อทีมวิจัยและทดสอบโดรนของ DJI ด้วย โดยมีการออกแบบห้องเพดานสูงและลดจำนวนเสาในห้องเพื่อให้ได้พื้นที่เหมาะต่อการบินโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถสังเกตเห็นห้องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนจากภายนอกอาคารตรงตำแหน่งที่มีโครงสร้างรูปตัว V ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ห้องเพดานสูงที่ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อใช้สำหรับงานวิจัยและทดสอบโดรน Foster + Partners ออกแบบ DJI Sky City โดยพยายามเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการออกแบบสวนบนดาดฟ้าอาคาร ควบคู่ไปกับการออกแบบพื้นที่ด้านล่างรอบอาคารที่มีการจัดสวนและปลูกต้นไม้จำนวนมาก ดาดฟ้าด้านบนอาคารมีการตกแต่งทำเป็นสวนลอยฟ้าเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว พื้นที่ใช้สอยภายในอาคาร 242,000 ตารางเมตร นอกเหนือจากการใช้เป็นสำนักงานและห้องปฏิบัติการเพื่องานวิจัยและทดสอบโดรนแล้ว ยังมีโรงภาพยนตร์, โรงยิม, ทั้งสนามประลองหุ่นยนต์ รองรับการใช้งานของพนักงาน DJI กว่า 8,000 ชีวิต และยังมีพื้นที่สาธารณะประโยชน์ ตัวอาคารมีการนำเอาเทคโนโนโลยีประหยัดพลังงานมาใช้งาน อาทิ การออกแบบอาคารที่เน้นการใช้กระจกเพื่อรับแสงอาทิตย์ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าสำหรับระบบแสงสว่าง, ระบบควบคุมอาคารที่จะลดการใช้งานในช่วง off-peak (หมายถึงช่วงเวลาที่ผู้ใช้ไฟฟ้าโดยภาพรวมมีการใช้ไฟน้อย), ระบบลิฟต์โดยสารแบบ TWIN Elevator ของบริษัท TKE ที่มีการติดตั้งลิฟต์โดยสาร 2 ตัวให้เคลื่อนที่ขึ้นลงในปล่องลิฟต์เดียวกัน ช่วยให้ใช้งานโครงสร้างลิฟต์ของอาคารได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้น (ซึ่งผู้พัฒนาระบุว่าลิฟต์แบบนี้รองรับการโดยสารได้มากกว่าแบบทั่วไป 40% และมีระบบผลิตไฟหมุนเวียนกลับทำให้ลดการใช้พลังงานได้ด้วย) นอกจากนี้ Foster + Partners ยังออกแบบอาคารให้มีการรองรับและกักเก็บน้ำฝนเพื่อมาใช้ประโยชน์ รวมทั้งระบบหมุนเวียนน้ำทิ้งเพื่อนำกลับมาใช้สำหรับดูแลต้นไม้ในสวนบนอาคารด้วย ภาพมุมกว้างของอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ DJI หลังการก่อสร้างที่กินระยะเวลา 6 ปี ในตอนนี้เรียกได้ว่าอาคาร DJI Sky City ได้กลายมาเป็นแลนด์มาร์คใหม่อีกหนึ่งแห่งของ Shenzhen ก็คงไม่ผิด ที่มา - Archdaily, New Atlas - 1, 2
# Tencent ปรับยุทธศาสตร์ซื้อกิจการเกม ต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เน้นบริษัทในยุโรป สำนักข่าว Reuters อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง เผยว่า Tencent ได้ปรับกลยุทธ์ในการซื้อกิจการ โดยจะเน้นการซื้อบริษัทเกม ต้องเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด และเน้นบริษัทในภูมิภาคยุโรป จากที่ผ่านมาบริษัทมักเข้าไปถือหุ้นส่วนน้อย และเน้นบริษัทในจีน Tencent ปัจจุบันเป็นบริษัทเกมอันดับ 1 ของโลก วัดตามรายได้ มองแนวโน้มว่าบริษัทต้องเติบโตจากตลาดนอกประเทศจีนมากขึ้น และเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง จึงต้องการเกมระดับแนวหน้ามาอยู่ในพอร์ตโฟลิโอบริษัทมากขึ้นนั่นเอง รายงานบอกว่า Tencent ไม่ได้สนใจแค่บริษัทเกมเท่านั้น แต่อาจรวมถึงบริษัทที่มีเทคโนโลยีน่าสนใจ ตลอดจนบริษัทที่ทำด้าน Metaverse ด้วย ดีลใหญ่ในการซื้อหุ้นบริษัทเกมช่วงที่ผ่านมาของ Tencent ได้แก่ Ubisoft, Sybo Games ผู้สร้าง Subway Surfer และ FromSoftware ผู้สร้าง Elden Ring ที่มา: Reuters
# SoftBank ขายหุ้นทั้งหมดที่ลงทุนใน Sinch บริษัทแพลตฟอร์มส่ง SMS จากสวีเดน Sinch บริษัทจากสวีเดน ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มบนคลาวด์ สำหรับส่ง SMS, อีเมล และสื่อรูปแบบอื่น ประเภทเดียวกับ Twilio เป็นบริษัทล่าสุดที่ SoftBank ตัดสินใจขายหุ้นออกทั้งหมด โดย Sinch ระบุว่า SoftBank ได้ตกลงจะขายหุ้นทั้งหมดที่เหลืออยู่ 5.01% ให้กับ Johan Hedberg ซีอีโอชั่วคราวและเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Sinch และบริษัทลงทุน Neqst D2 ของ Erik Froberg ประธานบอร์ดบริษัท SoftBank ซื้อหุ้น Sinch 10% เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2020 ซึ่งเวลานั้นบริษัทมีการเติบโตสูง อันเป็นผลจากโควิด 19 ทำให้ความต้องการใช้งานแพลตฟอร์มส่งข้อความเพิ่มสูงขึ้น ราคาหุ้นเองก็ปรับเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา ไม่เป็นไปตามที่นักลงทุนคาดหวัง ราคาหุ้นปรับลดลงถึง 93% จากราคาสูงสุดเมื่อเดือนกันยายน 2021 ที่มา: Japan Times และ Sinch
# ตัวแทน Bruce Willis ปฏิเสธข่าวการขายตัวตนดิจิทัล - Deepcake ยืนยันว่าต้องคุยกันเป็น Project ตัวแทนของ Bruce Willis นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดัง ออกมาปฏิเสธข่าวที่ระบุว่า เขาได้ตัดสินใจขายสิทธิตัวตนดิจิทัลให้กับบริษัทผู้พัฒนา Deepfake สำหรับใช้ในงานวิดีโอต่าง ๆ ในอนาคต โดยบอกว่าบริษัทไม่มีการทำข้อตกลงหรือเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัท Deepcake แต่อย่างใด ด้านตัวแทนของ Deepcake ออกมาให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะตัวตนเสมือนในรูปแบบดิจิทัลของ Bruce Willis นั้นทำการซื้อขายไม่ได้อยู่แล้ว ที่ผ่านมาบริษัทเคยสร้างตัวตนดิจิทัลของเขาเพื่อใช้กับงานโฆษณา และหากจะมีโครงการใหม่อีกในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับ Willis เอง ทั้งนี้จากข่าวการขายสิทธิตัวตนดิจิทัลของ Bruce Willis ทำให้มองว่าเป็นโอกาสที่นักแสดงสามารถสร้างรายได้ผ่านช่องทางใหม่ ๆ โดยตัวตนจริง ๆ อาจไม่สามารถทำงานแสดงนั้นได้แล้ว ที่มา: The Hollywood Reporter
# Tokyo Metro ติดป้ายบอกคนที่ชานชาลาให้รู้ว่ารถไฟที่กำลังจะมาตู้โดยสารไหนมีคนเยอะ นอกเหนือจากป้ายโฆษณาสารพัดสารพันที่ผู้โดยสารจะมองเห็นตามสถานีรถไฟแล้ว ตอนนี้ Tokyo Metro ผู้ให้บริการเดินรถไฟโดยสารใน Tokyo ได้เพิ่มป้ายแสดงภาพแบบใหม่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้โดยสารที่มารอขึ้นรถไฟแต่ละสถานี ป้ายดังกล่าวจะแสดงภาพและข้อความบอกให้คนที่ยืนรอรถไฟอยู่ตรงชานชาลารู้ได้ว่าในตู้โดยสารแต่ละตู้ของรถไฟที่กำลังจะมาถึงนั้นตู้ไหนมีผู้โดยสารมากหรือน้อย เพื่อให้ผู้ใช้บริการตัดสินใจเลือกรอขึ้นรถไฟได้เหมาะสมตรงความต้องการของตนเอง กราฟิกแสดงความหนาแน่นของผู้โดยสารในแต่ละตู้โดยสาร แบ่งออกเป็น 4 ระดับ แยกเป็นสีให้สังเกตได้ง่าย ระบบนี้อาศัยการติดตั้งกล้อง depth camera ที่ชานชาลาสถานีรถไฟเพื่อบันทึกภาพวิดีโอของผู้โดยสารที่อยู่ในขบวนรถ การใช้กล้องแบบ depth camera ซึ่งมีการแสดงข้อมูลระยะความลึกของวัตถุในภาพ (ว่าง่ายๆ คือเป็นเทคโนโลยีการบันทึกภาพแบบเดียวกับกล้อง Kinect ของ Microsoft) ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถประเมินความหนาแน่นของวัตถุในภาพที่บันทึกได้ (ซึ่งในที่นี้หมายถึงผู้คนในตู้โดยสารของรถไฟ) ชัดเจนแม่นยำขึ้น ยกตัวอย่างเพื่อการทำความเข้าใจแบบง่ายๆ เป็นต้นว่า หากเราเห็นคนในภาพวิดีโอ 10 คน ยืนเรียงกันแทบจะเป็นหน้ากระดานอยู่หน้ากล้อง นั่นอาจหมายความว่าในพื้นที่ดังกล่าวยังมีคนอีกมากยืนเบียดเสียดกันอยู่ด้านหลัง (แต่ถูกบังไว้ทำให้กล้องมองไม่เห็น) ทำให้คนจำนวน 10 คนที่กล้องมองเห็นนี้ต้องมายืนออเรียงกันอยู่หน้ากล้อง แต่หากภาพที่เห็นคนจำนวน 10 คนนั้น มีจำนวนคนราวครึ่งหนึ่งยืนอยู่ในระยะที่ไกลจากกล้องออกไปมาก ก็ย่อมทำให้เข้าใจได้ว่าพื้นที่ในบริเวณที่กล้องจับภาพอยู่มีผู้คนหนาแน่นน้อยกว่ากรณีแรก Tokyo Metro ใช้ซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์มาช่วยประมวลผลภาพที่กล้องบันทึกไว้ได้ เพื่อตีความเป็นระดับความหนาแน่นของผู้โดยสารในขบวนรถไฟ จากนั้นผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำไปแสดงผลบนป้ายที่ถูกติดตั้งอยู่ที่สถานีถัดๆ ไปของรถไฟขบวนดังกล่าว ภาพอธิบายหลักการทำงานโดยรวมของระบบแสดงความหนาแน่นของผู้โดยสารบนรถไฟผ่านป้ายบริเวณชานชาลา นอกเหนือจากระบบการทำงานเพื่อแสดงภาพและข้อความบนป้ายบริเวณชานชาลาของสถานีรถไฟแล้ว Tokyo Metro มีแผนที่จะพัฒนาระบบนี้ให้ส่งต่อข้อมูลไปแสดงผลในแอปสมาร์ทโฟน ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนที่ต้องการเดินทางด้วยรถไฟสามารถรับรู้ข้อมูลเพื่อวางแผนการเดินทางได้ง่ายยิ่งขึ้น ภาพอธิบายหลักการทำงานโดยรวมของระบบแสดงความหนาแน่นของผู้โดยสารบนรถไฟผ่านแอปสมาร์ทโฟน ในตอนนี้ระบบแสดงความหนาแน่นของผู้โดยสารในรถไฟเพิ่งเริ่มเปิดทดสอบใช้งานที่สถานี Waseda ของรถไฟสาย Tozai เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยโปรแกรมทดสอบนี้จะเก็บข้อมูลการใช้งานและข้อมูลจากแบบสำรวจความพึงพอใจของประชาชนผู้ใช้บริการไปจนถึงเดือนมีนาคมปีหน้า หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดีก็จะมีการขยายขอบเขตการใช้งานระบบนี้ออกไปยังสถานีอื่นและรถไฟสายอื่นๆ เป้าหมายของระบบเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทั้งฝั่งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการรถไฟโดยสาร เมื่อผู้คนที่มารถขึ้นรถไฟรู้ได้ว่าตู้โดยสารตู้ไหนมีคนน้อย ก็ย่อมตัดสินใจเลือกขึ้นรถไฟได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ฝั่งของ Tokyo Metro เองก็พึงคาดหวังว่าการที่ผู้โดยสารสามารถใช้บริการโดยกระจายความหนาแน่นไปแต่ละตู้ในขบวนรถได้ดีขึ้น ย่อมทำให้การเดินรถมีประสิทธิภาพสามารถขนส่งผู้คนโดยเฉลี่ยต่อเที่ยวได้มากขึ้นด้วย ที่มา - PR Times ผ่าน SoraNews24
# Tesla เปิดตัว Optimus ต้นแบบหุ่นยนต์มนุษย์ ใช้ซอฟต์แวร์เดียวกับ Autopilot ในรถยนต์ Elon Musk โชว์หุ่นยนต์หน้าตาแบบมนุษย์ (humanoid robot) ตัวแรกของบริษัท Tesla ในชื่อว่า Optimus จุดเด่นของ Optimus คือใช้ซอฟต์แวร์ประมวลผลตัวเดียวกับ Autopilot ที่ใช้ในรถยนต์ของ Tesla ทำให้มันสามารถแยกแยะวัตถุต่างๆ ในระดับเดียวกัน ในตัวอย่างที่โชว์บนเวที หุ่นยนต์ตัวนี้ "มอง" เห็นบัวรดน้ำ และแยกแยะได้ว่าต้องจับหูเพื่อเดินไปรดใส่ต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ส่วนหน่วยประมวลผลของหุ่นยนต์เป็น Tesla SoC แบบเดียวกับที่ใช้ในรถยนต์เช่นกัน Elon บอกว่าเดโมของ Optimus ครั้งนี้เป็นการทำงานอัตโนมัติทั้งหมด ไม่ต้องใช้ตัวช่วยควบคุมจากภายนอกเลย เขาบอกว่ามีแผนจะผลิตหุ่นยนต์ลักษณะนี้ขายเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาไม่น่าจะเกินตัวละ 20,000 ดอลลาร์ (ราว 7.5 แสนบาท) เมื่อวางขายจริง ที่มา - The Verge
# ภาษา TypeScript มีอายุครบ 10 ปีแล้ว ช่วงแรกโดนวิจารณ์หนัก แต่สุดท้ายพิสูจน์ตัวเองสำเร็จ ภาษา TypeScript เปิดตัวต่อโลกครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2012 มาถึงวันนี้มีอายุครบ 10 ปีพอดี ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา TypeScript เติบโตขึ้นมาก จนมีความนิยมแซงหน้า JavaScript แล้วจากสถิติของบางสำนัก Daniel Rosenwasser หัวหน้าโครงการ TypeScript ของไมโครซอฟท์ เขียนบล็อกเล่าความหลังว่าในช่วงแรกๆ คนไม่เข้าใจว่าไมโครซอฟท์กำลังทำอะไร และมองว่าการกำหนดชนิดตัวแปร (type) ให้ JavaScript เป็นเรื่องเลวร้ายด้วยซ้ำ แต่สุดท้าย TypeScript ก็พิสูจน์ตัวเองว่ามีข้อดีจริงๆ และกลายเป็นภาษายอดนิยมในทุกวันนี้ Rosenwasser ยังเล่าเบื้องหลังการออกแบบ TypeScript ว่าตั้งใจให้ทำงานร่วมกับ JavaScript ได้ดีมาตั้งแต่แรก ใครสนใจอ่านประวัติการสร้าง TypeScript ตามไปอ่านกันได้จากที่มา ภาษา TypeScript เริ่มพัฒนาโดยทีมของ Anders Hejlsberg โปรแกรมเมอร์ชาวเดนมาร์ก ที่เป็นคนสร้างทั้ง Delphi และ C# ด้วย บทความเก่าที่เกี่ยวข้อง: ทีมพัฒนา TypeScript ของไมโครซอฟท์ บอกภาษาฮิตเพราะกูเกิลเลือกใช้กับ Angular ที่มา - Microsoft
# บริษัทสหรัฐฯ Saildrone ปล่อยเรือสำรวจไร้คนขับล่าพายุเฮอริเคนกลางมหาสมุทร ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศในอาเซียนเราเจอกับพายุโนรู ในขณะเดียวกันแถบอเมริกาเหนือก็มีพายุเฮอริเคน Fiona เมื่อสัปดาห์ก่อนและเจอพายุ Ian อยู่ในตอนนี้ ด้วยความที่วาตภัยเองก็ถือเป็นภัยพิบัติร้ายแรงสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกาจึงทำให้มีความพยายามศึกษาเกี่ยวกับพายุที่เกิดขึ้น หนทางหนึ่งในการศึกษาเรื่องนี้คือการ "ล่าพายุ" ซึ่งหมายถึงการนำเอาเครื่องมือวัดทางวิทยาศาสตร์ไปเก็บค่าต่างๆ จากบริเวณที่พายุพัดผ่านและนำข้อมูลที่ได้มาศึกษาสร้างความเข้าใจเพื่อให้สามารถวางแผนรับมือกับพายุที่เกิดขึ้น โดยหนึ่งในเครื่องมือล่าพายุที่ได้รับการพัฒนาล่าสุดคือเรือไร้คนขับของบริษัท Saildrone ซึ่งเมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมาสามารถเก็บข้อมูลจากตำแหน่งใกล้ตาพายุ Fiona ได้จากกลางมหาสมุทร ทำให้ได้เห็นภาพวิดีโอที่แสดงถึงความรุนแรงของพายุเฮอริเคนลูกนี้ พายุ Fiona ได้เคลื่อนตัวผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกและเจอเข้ากับเรือสำรวจของ Saildrone ด้วยกัน 4 ลำ โดยลำแรกซึ่งอยู่ที่ตำแหน่ง 700 กิโลเมตรทางทิศตะวันออกของ Montserrat เจอพายุในขณะที่ยังเป็นแค่พายุโซนร้อน ก่อนที่มันจะเพิ่มกำลังจนเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 และเคลื่อนมาเจอเรือสำรวจลำที่ 2 ในบริเวณใกล้เปอโตริโก ด้วยความเร็วลมมากกว่า 112 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมันได้สร้างคลื่นสูง 14 เมตร หลังจากนั้นพายุได้เปลี่ยนทิศทางเคลื่อนขึ้นทางทิศเหนือมาเจอเรือของ Saildrone ลำที่ 3 แต่คลิปวิดีโอที่แสดงความรุนแรงระดับสูงสุดของพายุ Fiona มาจากเรือ SD 1078 ของ Saildrone ที่อยู่บริเวณถัดจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าไปทางทิศใต้เล็กน้อย ซึ่งนับเป็นเรือสำรวจล่าพายุลำที่ 4 ของ Saildrone ที่เจอเข้ากับพายุลูกนี้ โดยเรือสามารถเก็บข้อมูลพายุในตอนที่มันกลายเป็นเฮอริเคนระดับ 4 มีการวัดความเร็วลมสูงสุดได้มากกว่า 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความรุนแรงของพายุได้ก่อให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ความสูง 15 เมตร สำหรับ Saildrone นั้นเป็นบริษัทที่สร้าง USV (unmanned surface vehicle) ซึ่งเป็นเรือไร้คนขับที่อาศัยแรงลม (แบบเดียวกับเรือใบหรือวินด์เซิร์ฟ) หรือเครื่องยนต์ดีเซลในการเคลื่อนที่ และใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาเลี้ยงระบบเซ็นเซอร์ต่างๆ สำหรับเรือที่เจอพายุ Fiona นี้เป็นเรือรุ่น Explorer ที่ถูกออกแบบมาใช้สำหรับเก็บข้อมูลจากพื้นที่โดยรอบ เพื่อการศึกษาและงานวิจัยทั้งในด้านสมุทรศาสตร์และด้านภูมิอากาศ เรือ SD 1058 หนึ่งในเรือ Explorer ของ Saildrone ในปีที่ผ่านมามีเรือของ Explorer ของ Saildrone รวมทั้งหมด 7 ลำถูกปล่อยออกไปปฏิบัติภารกิจเก็บข้อมูลในมหาสมุทรแอตแลนติกและบริเวณอ่าวเม็กซิโก โดยได้รับการสนับสนุนจาก NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) อันเป็นหน่วยงานรัฐภายใต้กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา เรือของ Saildrone สามารถปฏิบัติภารกิจกลางทะเลได้ต่อเนื่องนานสูงสุด 12 เดือน สามารถแล่นด้วยแรงลมทำความเร็วได้ 2-6 น็อต (3.7-11.11 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) โดยมีเรือ 3 รุ่นสำหรับใช้งานแตกต่างกัน อันได้แก่ Explorer เรือขนาด 7 เมตร เน้นสำหรับงานสำรวจและเก็บข้อมูล ซึ่งเรือที่เจอพายุก็เป็นเรือ Explorer นี้เอง Voyager เรือขนาด 10 เมตร มีเรดาร์และกว้านสำหรับงานเก็บกู้ อาศัยเครื่องยนต์ดีเซลในการขับเคลื่อนเรือ Surveyor เรือขนาด 20 เมตร พร้อมเรดาร์และกว้านสำหรับงานเก็บกู้ อาศัยเครื่องยนต์ดีเซลในการขับเคลื่อนเรือเช่นเดียวกับรุ่น Voyager ทั้งนี้พายุ Fiona ไม่ใช่พายุลูกแรกที่เรือของ Saildrone เคยบันทึกวิดีโอเอาไว้ได้ เมื่อปีที่แล้วก็มีเรือที่สามารถบันทึกวิดีโอในพื้นที่กลางพายุ Sam ได้เช่นกัน ซึ่งข้อมูลที่ได้จากเรือนี้ได้ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถประเมินความแรงของพายุได้แม่นยำยิ่งขึ้น ที่มา - New Atlas
# Sony ส่งเกม Sackboy: A Big Adventure ลงพีซี มาสค็อต PlayStation ที่ไปอยู่ที่อื่น PlayStation ยังเดินหน้าเอาใจแฟนๆ พีซีต่อเนื่อง เปิดตัวเกมล่าสุดบนพีซีคือ Sackboy: A Big Adventure เกมแนวแพลตฟอร์ม 3 มิติสไตล์การ์ตูนน่ารัก ผลงานของสตูดิโอนอกเครือ Sumo Digital แต่จัดจำหน่ายโดย Sony Interactive Entertainment และออกเวอร์ชัน PS4/PS5 เมื่อปลายปี 2020 Sackboy นับเป็นเกมภาคที่สี่ของซีรีส์ LittleBigPlanet ที่ลง PlayStation มาตั้งแต่ปี 2008 โดยแนวทางของเกม ซีรีส์นี้คือออกแบบตัวละครโดยใช้ลายผ้าแบบต่างๆ และโชว์กราฟิกให้เห็นพื้นผิวของวัสดุหลายประเภท (โลกในเกมเรียกว่า Craftworld) ตัวละคร Sackboy ถือเป็นมาสค็อตสำคัญของแพลตฟอร์ม PlayStation หลังจากหมดยุคของ Crash Bandicoot ที่ขายให้ Activision ไปนานแล้ว เกม Sackboy: A Big Adventure ปรับปรุงให้รองรับฟีเจอร์เฉพาะของฝั่งพีซีหลายอย่าง เช่น 4K@120fps, Ultrawidescreen 21:9, NVIDIA DLSS และ Variable Refresh Rate (VRR) เกมจะวางขาย 27 ตุลาคม 2022 ทั้งบน Steam และ Epic Games Store ที่มา - PlayStation Blog
# Amazon Workspaces เพิ่มเดสก์ท็อปเสมือนที่รัน Ubuntu นอกเหนือจาก Windows AWS มีบริการเช่าเดสก์ท็อปเสมือน (VDI) บนคลาวด์ Amazon Workspaces มานานตั้งแต่ปี 2013 (ตอนนั้นเป็น Windows 7) ที่ผ่านมา บริการ Amazon Workspaces ขยับขยายมาเป็น Windows 10 และ Amazon Linux 2 ของ AWS เอง ที่ราคาถูกกว่าแต่อาจไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายนัก ล่าสุด AWS ประกาศเพิ่ม Ubuntu Desktop 22.04 LTS ที่อยู่ตรงกลาง นั่นคือแพงกว่า Amazon Linux 2 แต่ถูกกว่า Windows เข้ามาเป็นอีกตัวเลือก การใช้ Ubuntu ที่นิยมกว่าในสายงานวิศวกรรม-วิทยาศาสตร์ มีซอฟต์แวร์สายนี้ซัพพอร์ตเยอะกว่า ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้ และต้องการเดสก์ท็อปแบบ VDI ที่จัดการง่ายกว่า ที่มา - AWS Blog
# NASA ปล่อยภาพจากกล้อง James Webb และ Hubble ที่บันทึกภาพการชนของยาน DART หลังจากที่ไม่กี่วันก่อน NASA แถลงข่าวความสำเร็จของโครงการ DART ยืนยันการพุ่งชนดาวเคราะห์น้อยเป้าหมาย ซึ่งตามที่แจ้งไว้ก่อนหน้านี้ว่านอกเหนือจากข้อมูลภาพที่ได้จากกล้อง DRACO บนยาน DART เองแล้ว ได้มีการใช้กล้อง James Webb และกล้อง Hubble ร่วมบันทึกข้อมูลด้วยนั้น ล่าสุด NASA ได้ปล่อยภาพที่ได้จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศทั้ง 2 ตัวออกมาแล้ว ภาพที่ได้จากกล้อง James Webb นั้นเป็นภาพถ่ายแบบโดยใช้ NIRCam อันเป็นหนึ่งใน 4 เครื่องมือบันทึกภาพของกล้อง James Webb โดย NIRCam นี้เป็นการถ่ายภาพบันทึกคลื่นในช่วงใกล้ความถี่คลื่นอินฟราเรด ภาพที่บันทึกไว้นั้นแสดงให้เห็นถึง Ejecta ซึ่งหมายถึงเศษฝุ่นที่เกิดขึ้นจากการชนและพุ่งกระจายออกรอบตำแหน่งการชน (สามารถดูภาพ timelapse ได้จากเว็บไซต์ของ NASA) โดยกล้อง James Webb ได้ทำการบันทึกภาพการชนนี้รวม 10 ครั้งในระยะเวลา 5 ชั่วโมงคาบเกี่ยวก่อนและหลังการชนของยาน DART ส่วนกล้อง Hubble นั้นก็สามารถบันทึกภาพ Ejecta ได้เช่นกัน โดยเห็นรูปร่างของ Ejecta แตกต่างจากที่กล้อง James Webb บันทึกไว้ได้เล็กน้อย โดยกล้อง Hubble บันทึกภาพด้วยคลื่นแสงที่มองเห็นได้ ซึ่งแสงจากการชนยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้กระทั่งในช่วงเวลา 8 ชั่วโมงหลังการชน โดยหลังจากนี้กล้อง Hubble จะยังคงเก็บข้อมูลต่อเนื่องไปอีก 3 สัปดาห์ ซ้าย: ภาพจากกล้อง Hubble, ขวา: ภาพจากกล้อง James Webb พร้อมเส้นแสดงทิศทางการชนของยาน DART ภาพที่บันทึกได้จากกล้อง Hubble เปรียบเทียบกันใน 3 ช่วงเวลาที่บันทึกภาพ นอกจากภาพที่บันทึกไว้ได้โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb และ Hubble แล้ว ยังมีภาพถ่ายจากดาวเทียม LICIACube ของ ASI (องค์การอวกาศของอิตาลี) ซึ่งถูกส่งไปพร้อมกับยาน DART ก่อนที่ดาวเทียมจะแยกตัวออกจากยาน DART ในช่วงก่อนการชนไม่นาน โดยภาพดังกล่าวถูกบันทึกไว้ในช่วงไม่กี่นาทีหลังยาน DART พุ่งเข้าชนดาวเคราะห์น้อย Dimorphos ภาพที่บันทึกได้โดยดาวเทียม LICIACube ในช่วงไม่กี่นาทีหลังการชน ภาพถ่ายเหล่านี้จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้การติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้ไปจะช่วยให้ทราบว่าวงโคจรของดาวเคราะห์น้อยมีการเปลี่ยนแปลงไปตามที่ได้คำนวณวางแผนไว้หรือไม่ ที่มา - NASA - 1, 2
# บริษัทคริปโตเริ่มเจอปัญหา เป็นสปอนเซอร์รถแข่ง F1 แต่แสดงโลโก้ในสิงคโปร์ไม่ได้ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เราเห็นบริษัทคริปโตจำนวนมากแห่กันไปเป็นสปอนเซอร์การแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ (ข่าวเก่า) ถ้านับเฉพาะวงการรถแข่ง F1 ก็มีทีมแข่งรถหลายทีมที่มีสปอนเซอร์เป็นบริษัทคริปโต เช่น McLaren มี OKX, Mercedes มี FTX, Redbull มี Vela หรือถ้าใหญ่หน่อยคือ Crypto.com ถึงขั้นเป็นสปอนเซอร์งานแข่ง Miami Grand Prix ทั้งงานเลย แต่เมื่อการแข่ง F1 หมุนเวียนสนามแข่งไปหลายประเทศที่มีกฎระเบียบต่างกัน และสัปดาห์นี้ F1 มีแข่งที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งธนาคารกลาง Monetary Authority of Singapore (MAS) มีกฎหมายด้านการโฆษณาคริปโตที่เข้มงวด ทำให้ทีมแข่งรถเหล่านี้ต้องปรับตัวตาม เงื่อนไขของ MAS คือทีมแข่งรถแต่ละทีมสามารถโชว์โลโก้สปอนเซอร์สายคริปโต ได้เฉพาะบนตัวรถและเสื้อของนักขับเท่านั้น ไม่สามารถแสดงโลโก้บนป้ายโฆษณาตามพื้นที่อื่นๆ ในสนามได้ทั้งหมด ประเด็นเรื่องการแสดงโฆษณาสปอนเซอร์บางหมวด ไม่ใช่เรื่องใหม่ของวงการ F1 เพราะในอดีตก็มีข้อจำกัดเรื่องการห้ามโฆษณาเหล้าหรือบุหรี่ในหลายประเทศ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่บริษัทคริปโตเริ่มเจอข้อห้ามและกฎระเบียบแบบเดียวกัน ที่มา - Bloomberg
# Cloudflare เปิดสถิติโดเมนเนมยอดนิยมของโลก 1 ล้านอันดับ ใช้แทน Alexa.com ที่ปิดไป Cloudflare เปิดตัว Radar Domain Rankings บริการให้คะแนนความนิยมของโดเมนเนม ออกมาใช้แทน Alexa.com ที่โดน Amazon ปิดไปเมื่อเดือนพฤษภาคมนี้ Cloudflare มีบริการ Radar เอาไว้ดูสถิติด้านต่างๆ ของอินเทอร์เน็ต เช่น ปริมาณทราฟฟิก, สัดส่วนการใช้ IPv6, การโจมตี DDoS ฯลฯ อยู่ก่อนแล้ว ข้อมูลตัวหนึ่งของ Radar คือโดเมนเนมยอดนิยม ที่พอใช้อ้างอิงได้ว่าเว็บไซต์แต่ละแห่งได้รับความนิยมแค่ไหน ล่าสุด Cloudflare ขยายบริการตัวนี้เพิ่มเติมเป็น Radar Domain Rankings โดยนำข้อมูลจากบริการ DNS 1.1.1.1 ของตัวเอง มารวมเป็นสถิติโดเมนยอดนิยม 1 ล้านอันดับแรก (ถ้าแยกเป็นรายประเทศมีให้ 100 อันดับแรก ตัวอย่างอันดับของไทย) เอาไว้ใช้อ้างอิงได้กว้างขวางมากขึ้น Cloudflare บอกว่านำข้อมูลการใช้งานจริงของผู้ใช้จาก 1.1.1.1 ในแง่ความแม่นยำของสถิติคงไม่มีปัญหา ความยากอยู่ที่การนำข้อมูลมาแยกแยะ คัดกรองทราฟฟิกบ็อตออกไป สุดท้ายต้องแยกทำ 2 โมเดลคือ Top 100 และ Top 1M เพราะรูปแบบการใช้งานแตกต่างกัน ระหว่างโดเมนที่คนเข้าเยอะมากๆ กับโดเมนทั่วไป ตอนนี้โดเมนกลุ่ม Top 100 เรียงอันดับทั้งหมด แยกตามประเทศ และอัพเดตใหม่ทุกวัน ส่วนอันดับที่ 101 เป็นต้นไป แยกเป็นถังตามช่วง ไม่เรียงลำดับในถัง และอัพเดตให้ทุกสัปดาห์ 10 อันดับโดเมนยอดนิยมของโลก ที่มา - Cloudflare
# สหรัฐฯ เริ่มโครงการวิจัยปัญญาประดิษฐ์หาคนเขียนบทความจากรูปแบบการเขียน Intelligence Advanced Research Projects Activity (IARPA) หน่วยงานให้ทุนวิจัยด้านข่าวกรองของสหรัฐฯ ประกาศเริ่มโครงการวิจัย Human Interpretable Attribution of Text Using Underlying Structure (HIATUS) สำหรับการตรวจหาผู้เขียนจากรูปแบบข้อความอย่างเดียว ทำให้รู้ได้ว่าใครเป็นคนเขียนบทความแม้จะไม่มีข้อมูลอื่นนอกจากเนื้อหาก็ตาม ตัวปัญญาประดิษฐ์จะอ่านข้อความและพยายามจับลักษณ์ต่างๆ เช่น การเลือกใช้คำ, รูปแบบประโยค เพื่อหาใครเป็นคนเขียนบทความนั้นๆ ขณะที่อีกด้านหนึ่งปัญญาประดิษฐ์นี้ก็อาจใช้นำไปปกปิดตัวตนของผู้เขียนด้วย เพราะมันสามารถตรวจพบรูปแบบที่เฉพาะตัวของบทความ นอกจากตัวฟีเจอร์หลักปัญญาประดิษฐ์จะบอกได้ว่าข้อความหนึ่งๆ เขียนโดยใคร โครงการ HIATUS ยังมีเป้าที่จะสร้างปัญญาประดิษฐ์ที่อธิบายได้ มันจะแสดงคำอธิบายว่าเห็นอะไรในข้อความแต่ละส่วนจึงมองว่าผู้เขียนเป็นใคร หรือให้คำแนะนำได้ว่าทำไมการเขียนบางรูปแบบจึงปกปิดตัวตนผู้เขียนได้ดีกว่า ที่มา - DNI.gov ภาพโดย stevepb
# Lenovo เปิดตัว ThinkPad X1 รุ่นครบรอบ 30 ปี โลโก้ดั้งเดิม ราคาเริ่มต้นเกินแสน Lenovo เปิดตัวโน้ตบุ๊ก ThinkPad X1 Carbon ฉลองครบรอบ 30 ปี ThinkPad แม้ว่าก่อนหน้านี้ Lenovo จะเคยทำตลาดกับแฟนคลับ ThinkPad มาแล้วตั้งแต่ปี 2017 แต่รอบนี้ตัวเครื่องไม่ได้ย้อนยุคแบบเดิม โดยตัวถังและคีย์บอร์ดยังเป็น ThinkPad X1 Carbon คล้ายปกติ ความต่างหลักๆ คือสีโลโก้ แพ็กเกจ และหมายเลขประจำเครื่อง ตอนนี้เว็บ Lenovo เปิดขาย ThinkPad X1 รุ่นครบรอบ 30 ปี ด้วยสเปค Core i7-1270P แรม 32GB สตอเรจ 1TB หน้าจอสัมผัส 14 นิ้วความละเอียด 4k ที่สเปคนี้หากเทียบกับ ThinkPad X1 Gen 10 รุ่นปกติเกือบเท่าตัว โดยรุ่นปกติราคาขายประมาณ 2,300 ดอลลาร์ ขณะที่รุ่นครบรอบ 30 ปีราคาสูงถึง 4,169 ดอลลาร์ ที่มา - Lenovo, Liliputing
# Ubisoft ใจดี เตรียมให้ย้ายเกมที่ซื้อบน Stadia ไปเล่นต่อบนพีซีได้ Ubisoft ยืนยันกับเว็บไซต์ The Verge ว่าลูกค้าที่ซื้อเกมของ Ubisoft บน Stadia ที่จะปิดตัวในเดือนมกราคม 2023 จะสามารถย้ายสิทธิในตัวเกมไปเล่นบนพีซี ผ่าน Ubisoft Connect ได้ด้วย โดยจะประกาศรายละเอียดเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ นโยบายของกูเกิลคือคืนเงินให้ผู้เล่นทั้งหมด ดังนั้นผู้เล่นที่ซื้อเกมของ Ubisoft ผ่านระบบของกูเกิล ก็ "น่าจะ" ได้เกมฟรีไปเลย คือกูเกิลจ่ายค่าเกมคืนให้ และ Ubisoft ให้เล่นเกมต่อบนพีซี แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าเซฟและสถานะของเกมจะตามไปด้วยหรือไม่ Ubisoft ถือเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมเปิดตัว Stadia และบริการเกมเหมาจ่าย Ubisoft+ ก็สามารถใช้กับ Stadia ได้ด้วย ที่มา - The Verge
# Overwatch 2 ต้องผูกเบอร์โทรศัพท์ก่อนเล่น ยืนยันตัวตนผ่าน SMS แก้ปัญหาพฤติกรรมผู้เล่น Blizzard ประกาศรายละเอียดของเกม Overwatch และการแข่งขัน Overwatch League ที่เพิ่มมาตรการควบคุมพฤติกรรมแย่ๆ ในเกมออนไลน์ ที่ระบาดไปทุกหย่อมหญ้า โครงการของ Blizzard เรียกว่า Defense Matrix (ตั้งตามชื่อท่าของตัวละคร D.VA) ประกอบด้วยมาตรการหลายอย่าง ที่สำคัญคือ SMS Protect ผู้เล่นต้องยืนยันตัวตนด้วย SMS ทางเบอร์โทรศัพท์ก่อนถึงจะเล่นเกม Overwatch 2 ได้ มาตรการนี้มีผลบนทุกแพลตฟอร์ม และมีผลต่อผู้เล่นทุกคน แม้เคยเล่น Overwatch 1 มาก่อนก็ตาม Blizzard บอกว่าเบอร์โทรศัพท์ 1 เบอร์สามารถผูกกับบัญชี Battle.net ได้บัญชีเดียวเท่านั้น และไม่อนุญาตให้ใช้เบอร์บางประเภท (เช่น เบอร์ VoIP หรือเบอร์พรีเพดบางอย่าง) เป้าหมายคือป้องกันบัญชีสแปม มาตรการอื่นของ Defense Matrix นอกจากการยืนยันตัวตนด้วย SMS คือ audio transcription ถอดเสียงพูดในเกมมาเป็นข้อความ เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของผู้เล่นที่ถูกรายงาน และไฟล์ข้อความถอดเสียงจะถูกลบใน 30 วัน (Riot Games ก็มีมาตรการแบบเดียวกัน ที่บันทึกเสียงพูดในเกมไว้ตรวจสอบ), เพิ่ม Ping System คำสั่งพื้นฐานในการสื่อสารกับคนในทีม เพื่อลดความจำเป็นของการใช้เสียงพูดลง, First Time User Experience (FTUE) จำกัดสิทธิการเล่นของผู้ใช้ใหม่ในช่วงแรก ต้องสะสมปริมาณการเล่นเพื่อปลดล็อคตัวละครทั้งหมด นอกจากนี้ Blizzard ยังจัดการแข่งขัน Challengers Cup และกิจกรรม Caster Camp แยกพิเศษสำหรับกลุ่มผู้เล่น LGBT ด้วย ที่มา - Overwatch, Overwatch, Kotaku
# Mobileye บริษัทรถยนต์ไร้คนขับของ Intel ยื่นไฟลิ่งเตรียม IPO เข้าตลาดหุ้น Nasdaq Mobileye บริษัทพัฒนารถยนต์ไร้คนขับของอินเทล ยื่นเอกสารไฟลิ่ง S-1 ต่อ SEC หรือ กลต. สหรัฐ เพื่อเตรียมไอพีโอบริษัทเข้าตลาดหุ้น Nasdaq แล้ว หลังยื่นเอกสารเบื้องต้นก่อนหน้านี้ ตัวเลขการเงินของ Mobileye เติบโตสูงต่อเนื่องทุกปี โดยมีรายได้ปี 2019 879 ล้านดอลลาร์, 2020 ที่ 967 ล้านดอลลาร์ และ 2021 ที่ 1,390 ล้านดอลลาร์ บริษัทก็ขาดทุนน้อยลงจาก 328 ล้านดอลลาร์ในปี 2019 มาเหลือขาดทุน 75 ล้านดอลลาร์ เมื่อปีที่แล้ว อินเทลซื้อกิจการ Mobileye ในปี 2017 ที่มูลค่าราว 15,300 ล้านดอลลาร์ บริษัทก่อตั้งเมื่อปี 1999 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและความปลอดภัยในการขับรถยนต์ มีพาร์ตเนอร์เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Audi, BMW, Volkswagen, GM และ Ford ส่วนรายละเอียดไอพีโอครั้งนี้ยังไม่ได้ระบุจำนวนหุ้น เงินเพิ่มทุน และมูลค่ากิจการที่อินเทลเตรียมเสนอขาย ที่มา: CNBC
# Bruce Willis ประกาศขายสิทธิตัวตนดิจิทัล ให้บริษัทที่เชี่ยวชาญการสร้าง Deepfake Bruce Willis นักแสดงชื่อดัง ประกาศขายสิทธิ Digital Twin หรือฝาแฝดดิจิทัล สำหรับใช้ในงานวิดีโอภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ ให้กับบริษัท Deepcake บริษัทที่เชี่ยวชาญเทคนิคพิเศษในการทำ Deepfake ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำใบหน้า Bruce Willis ให้กับหนังโฆษณาในรัสเซีย เมื่อต้นปี Bruce Willis ออกมาแถลงยุติอาชีพนักแสดง เนื่องจากได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรค Aphasia หรือภาวะเสียการสื่อความ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานในฐานะนักแสดง โดยเขาพูดถึงการขายสิทธิดิจิทัลนี้ว่า เป็นโอกาสให้เขาได้กลับมาโลดแล่นด้วยคาแรกเตอร์ที่มี แม้ตัวจะอยู่อีกที่หนึ่ง คาแรกเตอร์ของ Bruce Willis ที่ Deepcake จะใช้เรียนรู้และประมวลผลสร้าง Deepfake เป็นข้อมูลจากภาพยนตร์ Die Hard และ Fifth Element ซึ่งเป็นที่จดจำของคนดู และมีช่วงอายุที่ต่างกันพอสมควร ทั้งนี้แม้มีการขายสิทธิดิจิทัลแล้ว แต่กระบวนการผลิตเนื้อหาต่าง ๆ ยังต้องได้รับการยินยอมจาก Bruce Willis หรือตัวแทนด้วย ที่ผ่านมา Deepfake ในงานเชิงพาณิชย์ของนักแสดงที่มีชื่อเสียง มักใช้กับนักแสดงที่เสียชีวิตไปแล้ว เช่น การปรากฏของ Carrie Fisher และ Peter Cushing ใน Star Wars: Rogue One ที่มา: Engadget และ Deepcake ภาพ Wikimedia ตัวอย่างโฆษณาที่ Bruce Willis เคยแสดงผ่าน DeepFake
# Microsoft ยืนยันช่องโหว่ Zero-day ของ Exchange Server ให้แนวทางแก้ไขเบื้องต้นแล้ว ไมโครซอฟท์ออกมายืนยันช่องโหว่ Zero-day 2 รายการ มีผลกระทบกับ Microsoft Exchange Server 2013, Exchange Server 2016 และ Exchange Server 2019 ซึ่งมีรายงานการถูกโจมตีด้วยช่องโหว่นี้แล้วในวงจำกัด สองช่องโหว่คือ CVE-2022-41040 ที่เป็นช่องโหว่ใน Server-Side Request Forgery หรือ SSRF และ CVE-2022-41082 ที่โจมตีผ่าน Remote Code Execution หรือ RCE หากผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ PowerShell ได้ โดยในการโจมตีนั้นต้องเข้าถึงผ่าน CVE-2022-41040 ก่อน แล้วจึงส่งคำสั่งผ่าน CVE-2022-41082 ในตอนนี้ยังไม่มีแพตช์ออกมา ไมโครซอฟท์บอกว่ากำลังเร่งแก้ไขอยู่ แต่ได้ให้ขั้นตอนเพื่อลดโอกาสเกิดปัญหา (Mitigation) ลูกค้า Exchange Online ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ส่วนลูกค้าแบบออนพรีมิสให้สร้างสคริปต์รันตามที่ไมโครซอฟท์ หรือทำตามขั้นตอนที่อธิบายไว้ในที่มา ที่มา: ไมโครซอฟท์
# Twitter โพสต์ข้อความทวีตที่แก้ไขได้ (Edited Tweet) ให้ดูเป็นข้อความแรก Twitter โพสต์ข้อความทวีตที่แก้ไขได้ (edited tweet) ออกมาเป็นข้อความแรก ให้ผู้ใช้ดูเป็นตัวอย่างว่ามันทำงานอย่างไร ข้อความนี้มาจากบัญชี @TwitterBlue ซึ่งเป็นบริการพรีเมียมแบบจ่ายเงินเพื่อแลกกับฟีเจอร์พิเศษ โดยผู้ที่เป็นสมาชิก Twitter Blue เท่านั้นถึงมีสิทธิได้ฟีเจอร์แก้ไขข้อความทวีต ตัวอย่างข้อความ edited tweet มีป้ายกำกับ last edited อยู่ใต้ข้อความเพื่อบอกว่าแก้ไขครั้งสุดท้ายเมื่อใด และเมื่อกดที่ลิงก์ก็จะเห็นประวัติการแก้ไขทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้น (เงื่อนไขของ Twitter คือแก้ได้ 5 ครั้ง ภายใน 30 นาทีหลังทวีต แต่อาจปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต)
# Intel เปิดตัวชิป​ FPGA Agilex และ Stratix รุ่นใหม่ พร้อมวงจรประมวลสัญญาณวิทยุในตัว เน้นลูกค้าทหาร อินเทลเปิดตัวชิป FPGA ในตระกูล Intel Agilex และ Intel Stratix โดยปรับปรุงทั้งกระบวนการผลิต, วงจรภายใน, และซีพียูภายในตัว FPGA แต่จุดเปลี่ยนใหญ่คือในตระกูลใหม่นี้ อินเทลจะมีรุ่น Direct RF ที่มีหน่วยประมวลผลสัญญาณวิทยุในตัว วงจร Direct RF มีความสามารถในการจับสัญญาณได้ถึงระดับ 64 gigasamples/second ทำให้ใช้แบนวิดท์วิทยุไปได้ถึง 32GHz การใช้งานหลักคือวงการทหาร เช่น การประมวลผลสัญญาณจากเรดาร์ ลูกค้ากลุ่มแรกที่อินเทลยกมา เช่น Lockheed Martin หรือ BAE Systems นอกจากการเพิ่มวงจรวิทยุในตัวแล้ว Intel Agilex ยังใส่วงจรเฉพาะทางเพิ่มเติมอีกหลายตัว เช่น ตัวซีพียูเป็น Cortex-A76 2 คอร์ และ Cortex-A55 อีก 2 คอร์, เพิ่มวงจรประมวลสัญญาณพร้อมกับความสามารถในการประมวลผลงานปัญญาประดิษฐ์แบบ INT8, วงจรควบคุมสัญญาณเน็ตเวิร์ค, วงจรรับสัญญาณจากกล้องและการแสดงออกจอภาพ ที่มา - Intel
# ผู้เล่น Stadia เรียกร้องให้กูเกิลปลดล็อคจอยเกมให้ใช้อย่างอื่นได้ ไม่งั้นกลายเป็นขยะ จากประเด็นกูเกิลประกาศปิดบริการ Stadia ในเดือนมกราคม 2023 แม้ว่ากูเกิลจะคืนเงินค่าฮาร์ดแวร์และค่าเกมให้ทั้งหมด แต่ลูกค้าที่ซื้อ Stadia Controller ไปแล้วก็มีประเด็นว่า มันจะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพราะใช้ได้แค่กับบริการ Stadia เพียงอย่างเดียว Stadia Controller เป็นจอยเกมไร้สายที่มี Wi-Fi และ Bluetooth ในตัว แต่มันถูกล็อคให้สื่อสารตรงไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Stadia เท่านั้น เมื่อเซิร์ฟเวอร์ปิดไป มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรเลย ผู้เล่นที่ซื้อจอย Stadia ไปแล้วจึงเรียกร้องให้กูเกิลอัพเดตเฟิร์มแวร์ทิ้งทวนให้ เพื่อใช้เป็นจอยเกมไร้สายธรรมดาๆ กับเกมอื่นๆ ได้ หรือไม่ก็เปิดซอร์สเฟิร์มแวร์ เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาสามารถนำไปดัดแปลงกันเองได้ ที่มา - Eurogamer
# ประเมินมูลค่าตลาด NFT เดือนกันยายน 2022 ลดลง 97% จากจุดพีคเดือนมกราคม 2022 บริษัทวิจัยคริปโต Dune Analytics ออกรายงานมูลค่าการซื้อขาย NFT ในปี 2021 และ 2022 แยกเป็นรายเดือน โดยใช้สถิติจากเว็บไซต์สาย NFT หลายแห่งมารวมกัน จุดพีคของวงการ NFT อยู่ที่เดือนมกราคม 2022 มูลค่าการซื้อขาย 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา ส่วนมูลค่าของเดือนกันยายน 2022 อยู่ที่ 466 ล้านดอลลาร์เท่านั้น มูลค่าหายไปถึง 97% เลยทีเดียว ตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เพราะก่อนหน้านี้มีสถิติจากอีกบริษัทคือ DappRadar ที่วิเคราะห์มูลค่าตลาดของ OpenSea ก็ให้ตัวเลขใกล้เคียงกันว่าลดลงถึง 99% Dune Analytics วิเคราะห์ว่าขาลงของตลาด NFT มีผลจากภาวะตลาดคริปโตขาลงที่เป็นเทรนด์ใหญ่กว่าด้วย ที่มา - Bloomberg
# ไมโครซอฟท์เริ่มให้บริการระบบจัดการไฮบริดคลาวด์ Azure Arc ในไทย ผ่าน AIS Cloud X ไมโครซอฟท์เริ่มให้บริการ Azure Arc บริการจัดการคลาวด์แบบไฮบริด ให้กับลูกค้าในประเทศไทย ผ่านพาร์ทเนอร์ในไทยคือ AIS Cloud X Azure Arc เปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 นิยามตัวเองว่าเป็นระบบจัดการ Azure ที่อยู่ในเครื่องต่างถิ่นฐานกัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบนคลาวด์ไมโครซอฟท์ หรือเครื่อง on-premise ในองค์กร (ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ของ Azure เช่น Azure Stack) โดยบริหารงานจากที่เดียว ข้อดีจากการมีระบบจัดการกลางคือเรื่องความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ และการจัดการทั้งเซิร์ฟเวอร์-คอนเทนเนอร์ไปพร้อมๆ กัน ที่มา - อีเมลประชาสัมพันธ์ Microsoft Thailand
# แสนนึงมีทอน ซัมซุงวางขายจอโค้งเกมมิ่ง Samsung Odyssey Ark ในไทย 99,000 บาท ซัมซุงประเทศไทย ประกาศวางขายจอมอนิเตอร์โค้ง Odyssey Ark ขนาด 55 นิ้ว ที่เปิดตัวครั้งแรกในงาน CES 2022 ต้นปีนี้ ในราคา 99,000 บาท พร้อมประกัน 3 ปีซ่อมฟรีถึงบ้าน Odyssey Ark เป็นจอมอนิเตอร์เกมมิ่งแบบความโค้งรัศมี 1000R ที่สามารถหมุนเป็นแนวตั้งได้ สเปกอย่างอื่นคือความละเอียด 4K, อัตรารีเฟรช 165Hz, อัตราตอบสนอง 1ms รองรับ AMD FreeSync Premium Pro, ระบบสี 14-bit, แสดงเฉดสีดำได้มากถึง 16,384 ระดับ Odyssey Ark ยังมาพร้อมกับคอนโทรลเลอร์แยกอีกชิ้นที่เรียกว่า Ark Dial เป็นแป้นแบบหมุนเพื่อตั้งค่าต่างๆ ของหน้าจอได้สะดวกขึ้น ตัวคอนโทรลเลอร์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หรือจะชาร์จผ่าน USB-C ก็ได้เช่นกัน ที่มา - Samsung Thailand
# ผลัดกันล่มทุกสิ้นเดือน แอปธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ มีปัญหาใช้งานไม่ได้ เรียกว่ามีให้เห็นแทบทุกครั้งที่วันสิ้นเดือนเวียนมาถึงกับปัญหาแอปธนาคารใช้การไม่ได้ โดยวันนี้มีผู้คนโพสต์ระบายเรื่องประสบปัญหาใน Twitter เรื่องการใช้งานแอป SCB Easy และ Bualuang mBanking และติด hashtag #scbล่ม, #กรุงเทพล่ม กันเป็นจำนวนมาก ในตอนนี้ทาง SCB แจ้งว่าได้รับทราบปัญหาแล้วและอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหา โดยขอให้ผู้ใช้เว้นระยะเวลาใช้งานแอปสักพัก แล้วทดลองเปิดแอปใช้งานอีกครั้ง ส่วนทางด้านธนาคารกรุงเทพยังไม่ได้ตอบเกี่ยวกับประเด็นปัญหาการใช้งานแอปในขณะนี้ ที่มา - #scbล่ม, #กรุงเทพล่ม
# ไมโครซอฟท์เปิดทางให้องค์กรไทยใช้บริการ Database as a Service บนคลาวด์ในประเทศด้วย Azure Arc บริการคลาวด์กลายเป็นส่วนประกอบมาตรฐานของโครงสร้างระบบไอทีระดับองคค์กรในปัจจุบัน จากความสะดวกในการเพิ่มหรือลดขนาดโครงสร้างตามการใช้งานจริง หรือการปลดภาระการดูแลโครงสร้างให้ปลอดภัยทำให้องค์กรสามารถทุ่มเทไปกับการปรับปรุงธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่ แต่องค์กรจำนวนมากอาจจะมีเงื่อนไขที่ไม่ต้องการนำระบบสำคัญๆ ไปวางนอกองค์กรตัวเอง โดยอาจจะมีเงื่อนไขทางเทคนิค เช่นข้อจำกัดเรื่อง latency ที่บางแอปพลิเคชั่นต้องการ latency ที่ต่ำมากๆ จึงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หรือมีเงื่อนไขต้องการเก็บข้อมูลไว้ในประเทศเท่านั้น ไมโครซอฟท์ที่ทำงานกับองค์กรทั่วโลกมาเป็นเวลานานเข้าใจถึงความจำเป็นเหล่านี้เป็นอย่างดี จึงได้ออกบริการ Azure Arc มาตั้งแต่ปี 2019 เปิดทางให้องค์กรสามารถนำบริการของ Azure ใช้งานในที่ต่างๆ ตามที่องค์กรต้องการ เช่น การติดตั้งภายในองค์กรในกรณีที่ต้องการดูแลโครงสร้างด้วยตัวเองทั้งหมดแต่ต้องการบริการระดับแพลตฟอร์มจากไมโครซอฟท์ แต่ในความเป็นจริงองค์กรส่วนใหญ่ยังคงต้องการปลดภาระการดูแลระบบไปทั้งหมด เช่นเดียวกับการใช้งานบริการ Azure ไมโครซอฟท์จึงร่วมกับผู้ให้บริการชั้นนำในประเทศไทย เช่น AIS พัฒนาบริการ Azure Arc ในประเทศ ทำให้องค์กรต่างๆ สามารถใช้งานได้โดยไม่มีภาระการดูแล Infrastructure แต่ยังระบบต่างๆ อยู่ในประเทศเพื่อตอบโจทย์เรื่องของ latency บริการสำคัญที่องค์กรจะใช้งานบน Azure Arc ได้แก่ - Database-as-a-Service (DBaaS) ฐานข้อมูลเป็นหัวใจหลักขององค์กรจำนวนมาก การใช้งานผ่านคลาวด์ทำให้ฐานข้อมูลได้รับการอัพเกรดทั้งฟีเจอร์และความปลอดภัยในเวลาอันเหมาะสม ไม่ต้องกังวลว่าระบบฐานข้อมูลที่ใช้งานอยู่จะหมดอายุซัพพอร์ต รวมถึงการปรับทรัพยากรที่ฐานข้อมูลใช้ตามกรใช้งานจริง - Application as a Service และ Serverless บริการจัดการคอนเทนเนอร์ ที่เปิดทางให้นักพัฒนาสามารถใช้เวลากับการพัฒนาแอปพลิเคชั่นได้เต็มที่ - Virtual Macine เปิดเครื่องเซิร์ฟเวอร์แบบเดิมๆ โดยสามารถยกแอปพลิเคชั่นออกจากองค์กรได้ทันที (lift and shift) โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงแอปพลิเคชั่นให้เสียเวลานาน แต่สามารถใช้ประโยชน์จากคลาวด์ได้ทันที การใช้งานคลาวด์ผ่าน Azure Arc ทำให้องค์กรสามารถจัดการแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่อยู่ในประเทศได้ด้วยเครื่องมือชุดเดียวกับที่ใช้งานบน Azure ทั้หน้าจอพอร์ทัลของ Azure เองโดยตรง, Azure Data Studio, และคำสั่ง Azure CLI ทำให้องค์กรสามารถตรวจสอบการทำงานของระบบผ่านหน้าจอเดียวทั้งระบบที่อยู่บนคลาวด์ Azure และคลาวด์ในประเทศ ตลอดจนสามารถควบคุมนโยบายความปลอดภัยและนโยบายการสำรองข้อมูลได้อย่างครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลขององค์กรจะปลอดภัยเท่าๆ กันไม่ว่าฐานข้อมูลจะอยู่ที่ใดก็ตาม เตรียมพร้อมองค์กรสำหรับการย้ายโครงสร้างองค์กรไปยังคลาวด์เต็มรูปแบบแม้จะเป็นแอปพลิเคชั่นที่ต้องการให้อยู่ในประเทศได้แล้ววันนี้ด้วย Azure Arc สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการเตรียมพร้อมเพื่อการใช้งาน ติดต่อ https://aka.ms/AZTHContact
# Tony Blevins รองประธานฝ่ายจัดซื้อของ Apple ถูกไล่ออก หลังแสดงความเห็นลดทอนคุณค่าผู้หญิง Tony Blevins รองประธานฝ่ายจัดซื้อของ Apple ถูกไล่ออก หลังเจ้าตัวแสดงคอมเมนท์เชิงลดทอนคุณค่าของผู้หญิงบน TikTok (หน้าที่ของ Blevins หลักๆ คือการการจัดหาและกดราคากับซัพพลายเออร์เพื่อลดต้นทุนของ Apple) เรื่องนี้เกิดขึ้นจากช่องของ Daniel Mac ที่จะชอบเดินเข้าไปหาเจ้าของรถหรูๆ แล้วถามว่าทำอาชีพอะไร (Joe Biden ก็เคยโดนถ่าย) ซึง Blevins ก็ถูกถามแล้วเจ้าตัวก็บอกว่า "ผมมีรถหรู เล่นกอล์ฟ และลูบไล้ผู้หญิงหน้าอกใหญ่ แต่ผมมีหยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนะ อ้อ มีประกันทำฟันที่เอาเรื่องด้วย" แม้ Blevins จะไม่ได้เปิดเผยตัวตนหรือพูดถึงเกี่ยวกับ Apple แต่หลังจากคลิปนั้นกลายเป็นไวรัล Apple ก็มีการสอบสวนภายใน รวมถึงสร้างความไม่พอใจให้กับพนักงานของ Apple เนื่องจากคำตอบดังกล่าวสวนทางกับนโยบายของบริษัทที่พยายามส่งเสริมความหลากหลายและสนับสนุนผู้หญิง และคนที่ตัดสินใจให้ Blevins ออกคือ Jeff Williams ซีโอโอของ Apple ที่มา - Bloomberg
# อินเทลเปิดราคา Arc A750 รุ่นรองท็อป 289 ดอลลาร์ บอกเล่นเกมใหม่ๆ ดีกว่า RTX 3060 อินเทลประกาศราคาของจีพียู Intel Arc รุ่นรองท็อป A750 ที่ 289 ดอลลาร์ วางขาย 12 ตุลาคม วันเดียวรุ่นท็อป A770 ที่ราคา 329 ดอลลาร์ (แล้วทำไมพี่ไม่ประกาศพร้อมกัน!) สเปกของทั้งสองรุ่นต่างกันดังนี้ Arc 7 A770 คอร์ Xe หลัก 32 คอร์, คอร์ Raytracing 32 คอร์, คอร์ XMX 512 คอร์ รุ่นแรม 8GB ราคา 329 ดอลลาร์ รุ่นแรม 16GB Limited Edition ราคา 349 ดอลลาร์ Arc 7 A750 คอร์ Xe หลัก 28 คอร์, คอร์ Raytracing 28 คอร์, คอร์ XMX 448 คอร์ แรม 8GB ราคา 289 ดอลลาร์ อินเทลวางตัว Arc A770 และ A750 ว่าประสิทธิภาพเล่นเกมใหม่ๆ ที่เป็น DirectX 12 สูงกว่า GeForce RTX 3060 ในราคาที่ถูกกว่า (ปัจจุบัน 3060 ขายอยู่ที่ราว 418 ดอลลาร์) แถมยังมีฟีเจอร์ของจีพียูรุ่นใหม่เทียบเท่ากัน เช่น Ray Tracing และ XeSS (เทียบได้กับ DLSS ของ NVIDIA) ในช่วงเปิดตัว อินเทลยังจะแถมเกม Call of Duty: Modern Warfare II ให้กับผู้ซื้อจีพียูทั้งสองรุ่น รวมถึงสิทธิกดรับเกมฟรีอื่นๆ ที่แจกเป็นระยะบน Intel Gaming Access ด้วย ในช่วงเดียวกัน อินเทลยังออกจีพียูรุ่นต่ำสุด Arc A310 ออกมาแบบเงียบๆ มีเฉพาะประกาศบนหน้าสเปกสินค้าของอินเทลเท่านั้น การ์ดตัวนี้จะต่ำกว่า Arc A380 ที่ออกขายอยู่ก่อนแล้ว โดยเน้นจับตลาดลูกค้าที่ใช้คู่กับซีพียูที่ไม่มี iGPU ออนบอร์ดมาด้วย เกรดเดียวกับ Radeon RX 6400 แต่เหนือกว่าตรงที่รองรับ AV1 encode/decode ในตัว รวมถึง DisplayPort 2.0 ด้วย (น่าจะเป็นการ์ด AV1 ที่ถูกที่สุดในตอนนี้แล้ว แต่ยังไม่บอกราคา) ที่มา - Intel, PCGamer
# Apple เดิมอาจตั้งชื่อ iPhone 14 Plus ว่า iPhone 14 Max แต่เปลี่ยนใจก่อนงานเปิดตัว ข่าวลือการตั้งชื่อรุ่นของ iPhone 14 นั้นมีออกมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งบอกว่ารุ่นทั่วไปจะเรียก iPhone 14 สำหรับจอ 6.1 นิ้ว และ iPhone 14 Max สำหรับจอใหญ่ 6.7 นิ้ว แต่สุดท้ายแอปเปิลก็ประกาศชื่อว่า iPhone 14 Plus แทน อย่างไรก็ตามมีข้อมูลที่สนับสนุนว่า เดิมแอปเปิลจะใช้ชื่อ iPhone 14 Max จริง ๆ โดยมีผู้พบว่าในหน้า Support ที่แนะนำวิธีการระบุรุ่น iPhone เนื้อหาส่วน iPhone 14 Plus รูปประกอบชื่อใช้ตั้งชื่อไฟล์มีคำว่า iphone-14-max และยังไม่ได้แก้ไข ขณะที่รูปประกอบของรุ่นอื่นตั้งชื่อตรง Apple Insider คาดว่าการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อนี้ เกิดขึ้นช่วงท้ายก่อนงานเปิดตัว ทำให้ข้อมูลประกอบรวมทั้งเนื้อหาในเว็บ Support อาจตามเก็บแก้ไขไม่ครบนั่นเอง ที่มา: Apple Insider
# Meta สั่งหยุดรับพนักงานใหม่ และตัดค่าใช้จ่ายทุกทีมลง มีรายงานจาก Bloomberg ว่า Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta ได้ให้ข้อมูลระหว่างช่วง Q&A ประจำสัปดาห์กับพนักงาน โดยบอกว่าบริษัทจะหยุดการรับพนักงานใหม่ รวมทั้งไม่ให้รับพนักงานแทนคนที่ลาออก และสั่งลดค่าใช้จ่ายของทุกทีม ไม่เว้นทีมที่เป็นกลุ่มเติบโต นอกจากนี้ยังส่งสัญญาณว่าอาจปรับโครงสร้างองค์กรและปลดพนักงานด้วย เขาบอกว่าสาเหตุหลักคือภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ดีอย่างที่คาดหวังไว้ ฉะนั้นการดำเนินงานจากนี้ ต้องควบคุมค่าใช้จ่ายให้มากขึ้น รายงานบอกว่าเขายังส่งสัญญาณเรื่องการปลดพนักงานว่า ตลอด 18 ปีของบริษัท เราเติบโตสูงกันเป็นปกติทุกปี แต่ในช่วงปีที่ผ่านมารายได้บริษัทเริ่มคงที่หรืออาจลดลง เขาจึงมองว่าบริษัทควรจะมีขนาดเล็กลงกว่าปัจจุบันภายในสิ้นปี 2023 ตัวแทนของ Meta ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อรายงานนี้ของ Bloomberg ที่มา: Bloomberg
# Adobe ออกอัพเดต Photoshop Elements 2023 และ Premiere Elements 2023 Adobe ประกาศออกเวอร์ชันอัพเดต Photoshop Elements 2023 และ Premiere Elements 2023 ซอฟต์แวร์แบบขายขาด ที่จับกลุ่มผู้ใช้งานมือใหม่ หรือต้องการเครื่องมือแต่งภาพและวิดีโอที่ไม่ซับซ้อน ในอัพเดตของ Elements 2023 ได้เพิ่มเครื่องแต่งรูปและวิดีโอด้วย AI ที่ใช้งานง่าย เช่น Moving Elements สามารถใส่การเคลื่อนไหวให้กับภาพนิ่ง เพื่อทำเป็น MP4 หรือ GIF สำหรับแชร์ลงโซเชียล, Artistic Effects ใส่เอฟเฟกต์สไตล์งานศิลปะ, เครื่องมือเพิ่มความลึกของภาพอัตโนมัติ โปรแกรมยังปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน เปิดเร็วขึ้น 50% จากเวอร์ชันก่อน ขนาดไฟล์เล็กลง 48% และรองรับซีพียู M1 ให้ทำงานเร็วขึ้นถึง 70% รวมทั้งเพิ่มการทำงานร่วมกับแอปในมือถือและผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ราคาขาย Photoshop Elements 2023 และ Premiere Elements 2023 อยู่ที่ซอฟต์แวร์ละ 99.99 ดอลลาร์ ในอเมริกา หรือซื้อคู่กันในราคา 149.99 ดอลลาร์ ที่มา: Adobe