txt
stringlengths
202
53.1k
# [ลือ] Netflix จะไม่แสดงโฆษณาในรายการสำหรับเด็ก และหนังใหม่ที่เพิ่งเริ่มฉาย Netflix ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับพาร์ทเนอร์ในวงการภาพยนตร์ (แต่หลุดออกมายังสื่อ) ว่าแพ็กเกจการรับชมสตรีมมิ่งแบบมีโฆษณา ที่จะเริ่มให้บริการช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า จะไม่มีโฆษณาในรายการสำหรับเด็ก และภาพยนตร์ใหม่ที่เพิ่งออกฉายในช่วงนั้น ทุกวันนี้ Netflix ยังต้องซื้อไลเซนส์ภาพยนตร์หรือรายการทีวีจากบริษัทภาพยนตร์อื่นๆ ซึ่งอาจไม่ยินยอมให้ Netflix หารายได้จากโฆษณาตามสัญญาเดิม ทำให้ Netflix ต้องกลับไปเจรจาส่วนแบ่งรายได้กันใหม่ แต่ในกรณีรายการสำหรับเด็กที่เจ้าของไลเซนส์ไม่ยินยอมจริงๆ แม้มีรายได้เพิ่มขึ้นก็ตาม Netflix ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า Netflix จะไม่แสดงโฆษณาในเนื้อหาแบบออริจินัลของตัวเอง อย่างน้อยก็ในช่วงแรกที่เริ่มฉายด้วย อย่างไรก็ตาม Netflix ยังไม่ประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ และแผนอาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต คู่แข่งของ Netflix หลายรายก็ประกาศออกแพ็กเกจแบบมีโฆษณา เพื่อขยายฐานผู้ใช้และเพิ่มช่องทางทำเงิน เช่น Disney+ เพิ่งประกาศราคาแพ็กเกจแบบมีโฆษณาที่ 7.99 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือ HBO Max ก็มีแพ็กเกจแบบมีโฆษณามาตั้งแต่กลางปี 2021 ที่มา - Bloomberg
# ซัมซุงออกอัพเดตให้มือถือรุ่นเก่า Galaxy S7, S8, Note 8 ที่หมดซัพพอร์ตแล้ว แก้ปัญหา GPS ซัมซุงออกอัพเดตเฟิร์มแวร์ให้มือถือรุ่นเก่าที่หมดระยะซัพพอร์ตไปแล้วคือ Galaxy S7, S8, Note 8 โดยเป็นอัพเดตแก้ปัญหา GPS เพียงอย่างเดียว และไม่มีการอัพเดตแพตช์ความปลอดภัยแต่อย่างใด ตอนนี้ซัมซุงยังออกอัพเดตให้มือถือเพียง 3 รุ่น แต่ข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ของซัมซุงก็ระบุว่าอาจจะมีอัพเดตให้ S9, S6, Galaxy J7 รุ่นปี 2015 ด้วย ที่มา - SamMobile (S7/S8), SamMobile (Note 8), Android Police
# SoftBank ขายหุ้น Alibaba ออกมาบางส่วน คาดได้เงินราว 22,000 ล้านดอลลาร์ มีรายงานหลังจาก SoftBank รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ซึ่งขาดทุนเป็นสถิติสูงสุดของบริษัท ว่าบริษัทได้ขายหุ้น Alibaba ออกมาส่วนหนึ่ง เพื่อให้มีเงินสดเข้ามาชดเชยส่วนที่ขาดทุนไป โดยคาดว่าจะได้เงินราว 22,000 ล้านดอลลาร์ การขายหุ้น Alibaba ของ SoftBank นั้น ใช้วิธีการทำสัญญา Forward ที่คู่สัญญาต้องจ่ายเงินล่วงหน้าก่อน ทำให้ SoftBank ได้รับเงินทันที โดยยังไม่ต้องส่งมอบหุ้นที่ตกลงกัน จนกว่าจะครบกำหนดสัญญา และ SoftBank มีสิทธิจ่ายเงินเพื่อซื้อหุ้นเหล่านั้นคืนก่อนหมดสัญญาได้ด้วย ซึ่งคู่สัญญาคือสถาบันการเงินหลายแห่ง เช่น Goldman Sachs, Mizuho และ UBS ทั้งนี้ SoftBank จะมีหุ้น Alibaba ลดลงจาก 23.7% เป็น 14.6% หากดีลนี้เสร็จสิ้น SoftBank เริ่มลงทุนใน Alibaba ตั้งแต่ปี 1999 ซึ่งผู้อ่านที่ติดตามเรื่องราวของ SoftBank และซีอีโอ Masayoshi Son ย่อมทราบว่าดีลนี้เป็นหนึ่งในดีลระดับตำนาน และทำให้ SoftBank มีเครดิตสูงในกองทุน Vision Funds ที่ไปลงทุนในสตาร์ทอัพต่าง ๆ FT ได้สัมภาษณ์ Yoshimitsu Goto ซีเอฟโอ SoftBank ถึงการขายหุ้น Alibaba ว่าเพื่อเป็นการส่งสัญญาณกับนักลงทุน ว่าบริษัทยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ที่มา: Tech In Asia และ FT
# เผย Amazon เข้าร่วมประมูลซื้อกิจการบริษัทสุขภาพ Signify Health WSJ รายงานว่า Amazon เป็นหนึ่งในบริษัทที่เข้าร่วมประมูลเพื่อเสนอซื้อกิจการ Signify Health ผู้ให้บริการระบบรักษาพยาบาลที่บ้าน ซึ่งมีลูกค้าทั้งบริษัทต่าง ๆ หน่วยงานวางแผนสุขภาพ และเครือข่ายแพทย์ โดยคาดว่าหากดีลมีข้อสรุป จะประกาศได้ช่วงต้นเดือนกันยายน นอกจาก Amazon แล้ว ยังมีบริษัทด้านสุขภาพรายใหญ่ที่เข้าร่วมประมูล เช่น CVS Health และ UnitedHealth Group ทั้งนี้ดีลดังกล่าวอาจเป็นไปได้ทั้งการขายกิจการ หรือ Signify อาจเลือกทำความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แทน ข่าวนี้ทำให้เห็นว่า Amazon มีความสนใจรุกเข้าในธุรกิจด้านสุขภาพมากขึ้น เมื่อเดือนที่แล้ว Amazon เพิ่งประกาศซื้อกิจการ One Medial ไปที่มูลค่าดีล 3,900 ล้านดอลลาร์ ที่มา: The Wall Street Journal ภาพ Signify Health
# เดือนหน้าของขึ้นราคา Tesla ขึ้นราคา Full Self-Driving อีกรอบเป็น 15,000 ดอลลาร์ Elon Musk โพสต์ข้อความว่าจะขึ้นราคาแพ็กเกจช่วยขับขี่ Full Self-Driving (FSD) ของรถยนต์ Tesla แบบซื้อขาดทีเดียว เป็น 15,000 ดอลลาร์ (ราว 540,000 บาท) ถือเป็นการขึ้นราคาครั้งที่สองในปีนี้ หลังขึ้นมาแล้วรอบแรกในเดือนมกราคม จาก 10,000 ดอลลาร์เป็น 12,000 ดอลลาร์ การเปลี่ยนแปลงจะมีผลเฉพาะในภูมิภาคอเมริกาเหนือ มีผลวันที่ 5 กันยายนเป็นต้นไป หลังการออกเวอร์ชัน FSD Beta 10.69.2 หากซื้อก่อนก็จะยังได้ราคาเดิม 12,000 ดอลลาร์ เว็บไซต์ TechCrunch รายงานว่ามีรถยนต์ที่ซื้อแพ็กเกจ Full Self-Driving อยู่ประมาณ 100,000 คัน ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เมื่อต้นเดือนนี้ หน่วยงานด้านรถยนต์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย (Department of Motor Vehicles) เพิ่งฟ้องว่า Tesla ใช้คำโฆษณาเกินจริง คือคำว่า Autopilot และ Full Self-Driving ที่มา - TechCrunch, ภาพจาก Tesla
# วิศวกร Microsoft เผยความลับของ "Rhythm Nation" เพลงทรงพลังที่พังคอมพิวเตอร์ได้ Janet Jackson เป็นศิลปินหญิงชาวอเมริกันที่มีผลงานเพลงมากมาย แต่ล่าสุดเพลง "Rhythm Nation" จากอัลบั้มที่ 4 ของเธอซึ่งปล่อยออกมาเมื่อปี 1989 ถูกหยิบยกมาพูดถึงในฐานะเพลงที่มีอานุภาพทำให้คอมพิวเตอร์บางเครื่องพังได้ Raymond Chen วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Microsoft แชร์เรื่องราวที่เพื่อนร่วมงานจากฝ่ายสนับสนุนผลิตภัณฑ์ Windows XP เล่าให้ฟังว่า บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่รายหนึ่งค้นพบว่ามีเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กบางรุ่นของตนเองพังเสียหายเมื่อเปิดคลิปมิวสิควิดีโอเพลง "Rhythm Nation" และนั่นทำให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ดำเนินการทดสอบเพื่อสืบสวนหาสาเหตุ ภาพจากมิวสิควิดีโอเพลง "Rhythm Nation" ในระหว่างการทดสอบพวกเขาพบว่าเครื่องโน้ตบุ๊กบางรุ่นจากผู้ผลิตรายอื่นก็มีปัญหาแบบเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กบางเครื่องที่ไม่ได้เปิดเพลง "Rhythm Nation" เองโดยตรงก็มีสิทธิ์พังเสียหายได้เหมือนกัน หากมันถูกวางไว้บริเวณใกล้กับเครื่องที่เปิดมิวสิควิดีโอเพลงดังกล่าว จนท้ายที่สุดปริศนาก็ไขกระจ่างเมื่อทีมวิเคราะห์ปัญหาพบว่าเพลง "Rhythm Nation" มีคลื่นเสียงที่มีความถี่สั่นพ้องกับความถี่ธรรมชาติของฮาร์ดดิสก์จานหมุนที่กำลังทำงานในเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ผลก็คือเมื่อเปิดเพลงดังกล่าวฮาร์ดดิสก์จะเกิดการสั่นพ้องจนแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงก่อให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ ซึ่งปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกยี่ห้อที่ใช้ฮาร์ดดิสก์รุ่นเดียวกัน หลังการค้นพบต้นตอของปัญหาทีมวิศวกรจึงใส่ฟิลเตอร์ในระบบเสียงของเครื่องโน้ตบุ๊กเพื่อกรองเอาสัญญาณคลื่นเสียงความถี่อันตรายออกไปเพื่อให้การเล่นเพลงดังกล่าวปราศจากคลื่นความถี่เจ้าปัญหา ทว่าหากเพลงดังกล่าวถูกเล่นจากระบบเล่นไฟล์เสียงอื่นที่ไม่มีฟิลเตอร์นี้ คลื่นความถี่สั่นพ้องก็อาจยังคงสามารถสร้างปัญหาให้กับฮาร์ดดิสก์ในเครื่องโน้ตบุ๊กเฉพาะรุ่นเหล่านั้นได้อยู่ดีหากมันได้รับแรงสั่นสะเทือนจากการเล่นเพลงนั้น อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้ฮาร์ดดิสก์จานหมุนกันแล้ว นั่นทำให้ความเสี่ยงที่จะเจอปัญหาจากความถี่สั่นพ้องอันเกิดจากไฟล์เสียงที่เปิดบนเครื่องคอมพิวเตอร์ลดน้อยลงไปมาก ที่มา - Microsoft DevBlogs ผ่าน The Next Web
# นักวิทยาศาสตร์เปลี่ยนเหมืองเก่าใต้ดินเป็นห้องปฏิบัติการศึกษาสสารมืด องค์การวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของออสเตรเลีย Australia's Nuclear Science and Technology Organization หรือที่เรียกโดยย่อว่า ANSTO ได้เปิดทำการห้องปฏิบัติการใหม่เพื่อใช้ศึกษาเรื่องสสารมืด โดยสร้างขึ้นในพื้นที่ของเหมืองทองคำลึกลงไปใต้ดิน 1 กิโลเมตร ห้องปฏิบัติการนี้มีชื่อว่า SUPL (Stawell Underground Physics Laboratory) ภายในมีเครื่องตรวจจับสสารมืด SABRE ซึ่งจะใช้สำหรับตรวจจับสัญญาณเพื่อยืนยันถึงการมีอยู่ของสสารมืดในเอกภพ โดยห้องปฏิบัติการนี้ถือเป็นแห่งแรกของซีกโลกใต้ สสารมืดคือ สสารอย่างหนึ่งในเอกภพที่ไม่เคยมีใครพบเห็นแต่เป็นที่รู้กันถึงการมีอยู่ของมัน ว่ากันว่าสสารมืดเป็นสสารส่วนใหญ่ของเอกภพคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 85% การศึกษาเรื่องสสารมืดในระยะเริ่มแรกนั้นมาจากการพยายามหาคำอธิบายปรากฏการณ์แรงโน้มถ่วง ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วปรากฏการณ์แรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นในเอกภพนั้นไม่สามารถอธิบายได้อย่างสมบูรณ์หากในเอกภพไม่มีสสารมากกว่าที่มีการตรวจพบรับรู้กันในตอนนั้น จึงเป็นที่มาของการเรียกสสารลึกลับที่ไม่อาจมองเห็นได้ และไม่อาจตรวจพบได้โดยอุปกรณ์หรือระบบตรวจจับสัญญาณคลื่นแม่เหล็กใดๆ ว่า "สสารมืด" ต่อมาจึงมีการศึกษาเกี่ยวกับสสารมืดเพิ่มเติม และหนึ่งในนั้นคือการตรวจจับสิ่งบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของสสารมืด ซึ่งห้องปฏิบัติการ SULP เองก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อการนั้น การก่อสร้างดัดแปลงพื้นที่เหมืองทองคำเป็นห้องปฏิบัติการ SUPL หัวใจสำคัญในห้องปฏิบัติการ SUPL ก็คือเครื่องตรวจจับสสารมืด SABRE ซึ่งย่อมาจาก Sodium iodide with Active Background Rejection ตัวเครื่องมีลักษณะเป็นภาชนะขนาด 2.6*3.1 เมตร สร้างจากโลหะที่ไม่ปลดปล่อยรังสีใดๆ ภายในบรรจุของเหลวซึ่งเป็นสาร scintillator ซึ่งหมายถึงสสารอันมีคุณสมบัติพิเศษที่จะเรืองแสงเมื่อมันโดนอนุภาคพุ่งชน (แต่อนุภาคสสารมืดไม่ทำให้มันเรืองแสง) และภายในสาร scintillator คือผลึก sodium iodide ที่มีความบริสุทธิ์สูงใช้เพื่อการตรวจจับอนุภาคที่เป็นสสารมืดโดยเฉพาะ รอบๆ ตำแหน่งของผลึกและสาร scintillator คืออุปกรณ์ตรวจจับอนุภาคแสงที่เรียกว่า PMTs (photomultiplier tubes) ภาพแสดงโครงสร้างและชิ้นส่วนองค์ประกอบต่างๆ ภายในเครื่องตรวจจับสสารมืด SABRE หลักการทำงานของระบบตรวจจับสสารมืดใน SABRE นี้ อธิบายโดยง่ายคือเมื่ออนุภาคสสารมืดเคลื่อนที่ผ่านเครื่อง อนุภาคดังกล่าวจะไปทำให้ผลึก sodium iodide เกิดการส่องสว่างขึ้น ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นอุปกรณ์ตรวจจับอนุภาคแสง PMTs ก็จะรับรู้ได้ถึงการเกิดขึ้นของปฏิกิริยาจากสสารมืด อย่างไรก็ตามตัวผลึก sodium iodide นั้นมีความไวมาก มันอาจเกิดการส่องสว่างเนื่องจากการตรวจจับอนุภาคชนิดอื่นที่ไม่ใช่สสารมืดได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องมีการใช้ของเหลว scintillator เข้ามาช่วยคัดกรองผลการตรวจจับสิ่งที่ไม่ใช่สสารมืดออก หากเกิดเหตุการณ์ที่มีอนุภาคอื่นใดมากระตุ้นให้สาร scintillator เรืองแสงจนอุปกรณ์ตรวจจับแสง PMTs ที่อยู่ในส่วนบรรจุสาร scintillator ทำงานด้วย ระบบของ SABRE ก็จะรับรู้ว่านั่นไม่ใช่อนุภาคสสารมืด เครื่องตรวจจับสสารมืด SABRE ในช่วงก่อนถูกนำไปติดตั้งในห้องปฏิบัติการ SUPL และเนื่องจากความไวของระบบตรวจจับอนุภาคใดๆ ของเครื่อง SABRE นี่เอง จึงเป็นที่มาของการเลือกใช้พื้นที่เหมืองทองคำลึกลงไปใต้ดิน 1 กิโลเมตรเป็นพื้นที่ตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อลดการรบกวนโดยรังสีคอสมิกซึ่งส่วนใหญ่มาจากแหล่งกำเนิดนอกระบบสุริยะ เหมืองทองคำนี้ตั้งอยู่ในเมือง Stawell อยู่ห่างจาก Melbourne ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 240 กิโลเมตร โดยเมือง Stawell นั้นเกิดขึ้นจากการค้นพบทองคำและมีการเริ่มทำเหมืองในปี 1858 ก่อนที่กิจการเหมืองหลายแห่งจะค่อยๆ ซบเซาลงไปในเวลาต่อมา จนกระทั่งปี 2014 จึงเริ่มมีการเสนอแผนสร้างห้องปฏิบัติการ SUPL โดยขอใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของเหมืองทองคำจุดที่หยุดการขุดแร่แล้วของบริษัทเหมือง Stawell Gold Mine มาปรับเปลี่ยนเป็นห้องปฏิบัติการยาว 33 เมตร, กว้าง 10 เมตร และสูง 12.3 เมตร แบบจำลอง 3 มิติของห้องปฏิบัติการ SUPL นอกเหนือจากสภาพของชั้นหินและดินที่ห่อหุ้มห้องปฏิบัติการจะช่วยป้องกันอนุภาคไม่พึงประสงค์ไปรบกวนการทำงานของเครื่องตรวจจับสสารมืด SABRE โดยธรรมชาติแล้ว ตัวเครื่องเองยังถูกหุ้มด้วยโลหะและพอลิเมอร์น้ำหนักรวม 110 ตันเพื่อเสริมการป้องกันให้แน่นหนาขึ้นอีก การติดตั้งเครื่องตรวจจับสสารมืด SABRE นี้เป็นการสร้างศูนย์ตรวจจับสสารมืดแห่งที่ 2 ต่อจากเครื่องตรวจจับ DAMA/Libra ซึ่งถูกติดตั้งอยู่ที่ห้องปฏิบัติการ Laboratori Nazionali del Gran Sasso อันเป็นห้องปฏิบัติการที่ถูกสร้างขึ้นใต้ดินในประเทศอิตาลี และจากนี้ไปห้องปฏิบัติการคู่แฝดคนละฟากโลกนี้จะร่วมกันศึกษาเรื่องสสารมืดต่อไป ที่มา - Interesting Engineering, New Atlas, ABC
# กูเกิลแบนบัญชีพ่อถ่ายรูปอวัยวะเพศลูกส่งหมอพร้อมแจ้งความ ไม่ยอมเปิดบัญชีคืนแม้ตำรวจปิดคดี หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงานถึงพ่อคนหนึ่งใช้ชื่อ Mark ถูกกูเกิลแบนบัญชีทั้งหมดหลังเขาถ่ายรูปอวัยวะเพศลูกชายของเขาเพื่อส่งให้แพทย์ตรวจโรค และระบบอุทธรณ์ของกูเกิลไม่ยอมเปิดบัญชีคืนให้แม้เขาจะส่งหลักฐานว่าการถ่ายภาพของเขาไม่ใช่การกระทำความผิดละเมิดทางเพศเด็กก็ตาม Mark พบว่าอวัยวะเพศของลูกชายของเขามีอาการบวม จึงถ่ายรูปเอาไว้เพื่อดูว่าเป็นปัญหาจริงหรือไม่ จากนั้นภรรยาของ Mark ติดต่อหมอแล้วแชร์ภาพที่ Mark ถ่ายเอาไว้ไปยัง iPhone ของเธอเพื่อส่งต่อให้แพทย์อีกที หลังจากนั้นแพทย์จ่ายยาปฏิชีวนะและอาการของโรคก็ดีขึ้น แต่ระบบของกูเกิลตรวจว่า Mark อัพโหลดภาพทางเพศของเด็กจึงแบนบัญชีพร้อมกับแจ้งความ Mark ใช้บริการทั้งอีเมล และหมายเลขโทรศัพท์ของ Google Fi หลังจากกูเกิลเริ่มแบนบัญชีก็ทำให้เขาเข้าใช้อีเมลไม่ได้ และไม่สามารถใช้หมายเลขโทรศัพท์เดิมได้พร้อมๆ กัน บัญชีต่างๆ ที่ผูกไว้กับอีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์จึงใช้ไม่ได้ไปทั้งหมด ตำรวจซานฟรานซิสโกติดต่อ Mark ภายหลังระบุว่าได้รับข้อมูลบัญชีเขาทั้งหมดจากกูเกิล และพบว่าไม่มีอาชญากรรมอะไรจึงปิดคดีไป แต่ตำรวจระบุว่าไม่สามารถสั่งให้กูเกิลเปิดบัญชีกลับมาให้ได้ Mark พยายามอุทธรณ์อีกรอบด้วยเอกสารจากตำรวจแต่ก็ไม่เป็นผล รายงานของ The New York Times ยังพบกรณีคล้ายๆ กันในเท็กซัส พ่อคนหนึ่งชื่อ Cassio ถ่ายภาพลูกส่งให้ภรรยาเพื่อส่งต่อให้แพทย์ แต่แบนบัญชีและถูกเรียกไปให้ปากคำกับตำรวจ แม้ตำรวจจะปิดคดีทิ้งแต่ก็ไม่สามารถกู้บัญชีกลับมาได้ นักข่าวของ The New York Times ตรวจสอบภาพที่เป็นประเด็นและระบุว่าเข้าใจได้ว่าทำไมระบบปัญญาประดิษฐ์ของกูเกิลจึงมองว่าเป็นภาพละเมิดเด็ก แต่เรื่องราวแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าระบบไม่ได้มองข้อมูลแวดล้อมอย่างเพียงพอ Claire Lilley หัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยเด็กระบุว่าบัญชีของ Mark มีภาพที่ไม่ได้แสดงอาการป่วยด้วย และยังมีวิดีโอเด็กนอนกับหญิงไม่ใส่เสื้อ แต่เนื่องจาก Mark เองเข้าถึงภาพเหล่านั้นไม่ได้แล้วเขาระบุว่าจำไม่ได้ว่าเป็นภาพใด ที่มา - The New York Times ภาพโดย PhotoMIX-Company
# PostgREST ฐานข้อมูลแบบ REST API ออกเวอร์ชั่น 10 รองรับคำสั่ง EXPLAIN, คืนค่าเป็น XML PostgREST โครงการสำหรับใช้งาน PostgreSQL แบบ REST API ออกเวอร์ชั่น 10.0.0 เพิ่มฟีเจอร์ทำให้สามารถใช้งานฐานข้อมูลผ่านเว็บได้ใกล้เคียงกับการรัน psql มากยิ่งขึ้น ฟีเจอร์สำคัญๆ ได้แก่ เพิ่ม URL สำหรับ healthcheck เป็น /live และ /ready ที่มักใช้งานกันในแพลตฟอร์มคอนเทนเนอร์ รองรับการรันโดยไม่ต้องคอนฟิกใดๆ โดยใช้ค่าคอนฟิกเริ่มต้นเหมือนกับ psql คืนค่าเป็น XML ได้นอกเหนือจาก JSON คืนค่าเป็น GeoJSON เมื่อใช้งานกับ postgis สามารถสั่ง EXPLAIN เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพการคิวรีได้ในตัว รองรับความสัมพันธ์แบบ one-to-one ดึงข้อมูลจากตารางที่อ้างอิงข้อมูลถึงกันออกมาได้เลย ตัวโครงการ PostgREST เป็นโครงการโอเพนซอร์สอิสระ แต่บริษัทที่ใช้งานหนักๆ ก็คือ Supabase ที่นำไปให้บริการคลาวด์ หรือ ReTool แพลตฟอร์ม low-code ที่มา - GitHub: PostgREST/postgrest, Supabase
# อดีตผู้บริหารไมโครซอฟท์ เผยแพร่เสียงประกอบตอนบูท Windows 8 ที่ไม่ถูกนำมาใช้งาน Jensen Harris อดีตผู้บริหารฝ่ายวินโดวส์ของไมโครซอฟท์ ที่ปัจจุบันลาออกมาเปิดบริษัทเอง โพสต์คลิปเล่าถึงกระบวนการพัฒนา Windows 8 ซึ่งเขาเป็นคนตัดสินใจยกเลิกให้หน้าจอบูทวินโดวส์ต้องมีเสียงประกอบ (ส่งผลให้ Windows 7 เป็นรุ่นสุดท้ายที่มีเสียงตอนบูท) เหตุผลเป็นเพราะพีซีเปลี่ยนจากเดสก์ท็อปมาสู่โน้ตบุ๊ก มีการใช้งานในสถานที่ต่างๆ หลากหลายขึ้น ซึ่งอาจไม่เหมาะกับการใช้เสียง ตัวเขาเองมีประสบการณ์เปิดเครื่อง MacBook Pro ตอนที่ลูกกำลังหลับ และไม่มั่นใจว่าปิดเสียงไว้หรือไม่ สุดท้ายก็เปิดเครื่องแล้วมีเสียงทำให้ลูกตื่น (แอปเปิลเอาออกในปี 2016) นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องช่วงนั้นไมโครซอฟท์กำลังพัฒนา Surface ที่ต้องการบูทเครื่องเร็วมากๆ ทีมอื่นภายในบริษัทจึงตัดโค้ดที่ไม่จำเป็นตอนบูตออก ซึ่งโค้ดที่เกี่ยวกับเสียงก็เป็นสิ่งที่ถูกตัดออก (โดยที่ Harris ไม่ทราบ) ด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ทีมออกแบบเสียงของไมโครซอฟท์เตรียมทำไฟล์เสียงตอนบูทไว้อยู่แล้ว ซึ่ง Harris นำไฟล์เสียงอันนี้มาเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้ฟังกันเป็นครั้งแรก อยู่ในคลิปที่สองช่วงวินาที 02:28 (นอกจากนี้ยังมีไฟล์เสียงของ Surface ตอนบูทที่ไม่ถูกใช้งานเช่นกัน) ทั้งสองไฟล์สามารถดาวน์โหลดได้จาก เว็บไซต์ของ Jensen Harris ที่มา - Windows Central
# Supabase เปิดส่วนขยาย PostgreSQL: Vault สำหรับเก็บรหัสผ่าน, pg_jsonschema ตรวจสอบรูปแบบเอกสาร JSON Supabase ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มพัฒนาแอปแบบ PaaS ประกาศโครงการส่วนขยายสำหรับ PostgreSQL เพื่อขยายความสามารถของฐานข้อมูลอีกสองโครงการ คือ Supabase Vault และ pg_jsonschema Supabase Vault เป็นส่วนขยายที่พัฒนาต่อมาจาก pgsodium ตัวโค้ดของโครงการตรงๆ ไม่ยาวนัก แต่ต้องการแก้ปัญหาในกรณีที่ต้องการเก็บข้อมูลความเสี่ยงสูง เช่น กุญแจ API หรือรหัสผ่าน ผู้ใช้มักต้องการเข้ารหัสฟิลด์นั้นๆ เป็นการเฉพาะเพื่อลดความเสี่ยงข้อมูลรั่วไหล แต่หากใช้ส่วนขยายอย่าง pgcrypto ก็ต้องส่งกุญแจเข้ารหัสไปในการส่งคำสั่งคิวรีตรงๆ ทำให้มีความเสี่ยงที่กุญแจเข้ารหัสนี้จะรั่วไฟล Vault ใช้หมายเลขประจำกุญแจเข้ารหัส (key ID) ตัวกุญแจหลักสำหรับเข้ารหัส หรือ root key เก็บอยู่ในหน่วยความจำไม่สามารถเข้าถึงได้จาก SQL pg_jsonschema เป็นโครงการสำหรับตรวจสอบรูปแบบเอกสาร (schema) ของฟิลด์ที่เป็น JSON หรือ JSONB ก่อนหน้านี้มีโครงการอื่นๆ ที่ตรวจสอบรูปแบบเอกสาร JSON ใน PostgreSQL มาก่อนแล้วหลายโครงการ แต่ pg_jsonschema ใช้ไลบรารี jsonschema ที่ประสิทธิภาพค่อนข้างดี การใช้งานสามารถกำหนด schema ตั้งแต่ตอนสร้างตารางและให้ตรวจสอบทุกครั้ง ประสิทธิ์ภาพที่ทาง Supabase แสดงระบุว่า pg_jsonschema เร็วกว่า postgres-json-schema อยู่ 2.5 เท่าตัว
# Keen Technologies บริษัทใหม่ John Carmack ที่ทำ AGI ระดมทุนก้อนแรก 20 ล้านดอลลาร์ John Carmack ผู้ร่วมก่อตั้ง id Software ย้ายไปทำงานกับ Oculus ในฐานะซีทีโอ และลาออกในปี 2019 เพื่อไปทำงานด้านปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้งานได้ทั่วไป Artificial General Intelligence (AGI) ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากกว่าปัญญาประดิษฐ์เฉพาะด้านแบบในปัจจุบัน หลังจากเงียบหายไปพักใหญ่ๆ Carmack ออกมาประกาศว่า Keen Technologies บริษัทใหม่ของเขาที่ทำเรื่อง AGI เพิ่งรับเงินทุน 20 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนหลายราย เช่น Nat Friedman ผู้ก่อตั้ง Xamarin, Patrick Collison ซีอีโอ Stripe, Tobi Lutke ซีอีโอ Shopify, บริษัทลงทุนชื่อดัง Sequoia Capital เป็นต้น Carmack บอกว่าเขาเองมีเงิน 20 ล้านดอลลาร์เป็นทุนให้บริษัทตัวเองได้อยู่แล้ว แต่การรับเงินจากคนอื่นก็ถือเป็นแรงกดดันให้ต้องพยายามมากขึ้นไปอีก เขายังเล่าด้วยว่ายังรับเป็นที่ปรึกษาด้าน VR ให้บริษัท Meta เจ้านายเก่า โดยแบ่งเวลาทำงานให้ 20% ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดว่าบริษัท Keen Technologies ทำงานด้าน AGI อย่างไรกันแน่ แต่ชื่อบริษัทน่าจะมาจากเกม Commander Keen เกมยุคแรกเริ่มของ id Software ที่ออกในปี 1990 ก่อนที่บริษัทจะโด่งดังกับเกม Doom ในระยะถัดมา ที่มา - TechCrunch
# โซนี่ประกาศทำ Days Gone เป็นภาพยนตร์ เว็บข่าวบันเทิง Deadline รายงานข่าวว่าเกมล่าสุดของโซนี่ที่จะถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์คือ Days Gone เกมแนวเอาตัวรอดจากซอมบี้ในโลกหายนะยุคอนาคตที่พัฒนาโดย Bend Studio บริษัทลูกในเครือ PlayStation Studios ตามข่าวบอกว่านักแสดง Sam Heughan จะมารับบทตัวเอก Deacon St. John และได้ Sheldon Turner ซึ่งเคยร่วมเขียนบท X-Men: First Class เป็นผู้เขียนบท Days Gone เป็นเรื่องของตัวเอก Deacon ที่เดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ในแผ่นดินอเมริกาที่รกร้าง เพื่อตามหาภรรยาที่หายไป เกมวางขายในปี 2019 และมียอดขายมากถึง 8 ล้านชุด ภายหลังออกเวอร์ชันพีซีตามมาในปี 2021 ช่วยขยายฐานผู้เล่นให้กว้างมากขึ้น โซนี่ตั้งบริษัทลูก PlayStation Productions ขึ้นมาเพื่อผลิตภาพยนตร์และซีรีส์จากเกมของตัวเอง ผลงานที่ฉายไปแล้วคือภาพยนตร์ Uncharted และยีงมีภาพยนตร์ Gran Turismo, ซีรีส์ God of War, Horizon, ซีรีส์ The Last of Us ที่อยู่ระหว่างการถ่ายทำด้วย ที่มา - Deadline
# NASA ประกาศตัวเลือก 13 จุดจอดยาน Artemis III ที่จะส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์อีกครั้ง NASA ประกาศรายชื่อ 13 ตำแหน่ง ที่มีโอกาสเป็นจุดจอดยาน Artemis III ซึ่งเป็นโครงการที่จะส่งนักบินอวกาศกลับไปสำรวจดวงจันทร์อีกครั้ง โดยครั้งนี้ประกาศว่าจะมีนักบินอวกาศหญิงและนักบินอวกาศผิวสีไปเหยียบดวงจันทร์ด้วย ทั้ง 13 ตำแหน่ง อยู่บริเวณขั้วดวงจันทร์ใต้ (South Pole) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มนุษย์ไม่เคยไปสำรวจมาก่อน และคาดว่าจะใช้ศึกษาโอกาสในการตั้งสถานีระยะยาว (ดูรายละเอียดทั้ง 13 ตำแหน่งท้ายข่าว) โครงการ Artemis III กำหนดส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ในปี 2025 จะใช้เวลาสำรวจบนจันทร์ 6.5 วัน ส่วน Artemis I ซึ่งเป็นจรวดลำแรกในโครงการ Artemis ที่จะไปดวงจันทร์ มีกำหนดยิงจรวดวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ตามด้วย Artemis II ที่นำมนุษย์ไปโคจรรอบดวงจันทร์ ที่มา: NASA รายชื่อจุดจอดที่เป็นตัวเลือก 13 จุด Faustini Rim A Peak Near Shackleton Connecting Ridge Connecting Ridge Extension de Gerlache Rim 1 de Gerlache Rim 2 de Gerlache-Kocher Massif Haworth Malapert Massif Leibnitz Beta Plateau Nobile Rim 1 Nobile Rim 2 Amundsen Rim
# นักวิจัยเริ่มทดลองใช้หนังหมูมาทำกระจกตาเทียมปลูกถ่ายให้คนกลับมามองเห็นได้ นักวิจัยสร้างกระจกตาเทียมด้วยคอลลาเจนจากหนังหมู นำมาทดลองปลูกถ่ายให้อาสาสมัคร 20 ราย ทำให้ผู้รับการปลูกถ่ายได้การมองเห็นกลับคืนมา งานวิจัยนี้ประกอบไปด้วยสมาชิกทีมวิจัยจากหลายสถาบันใน 3 ประเทศ อันได้แก่สวีเดน, อิหร่าน และอินเดีย โดยมีการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาเทียมแล้วเฝ้าติดตามผลหลังการผ่าตัดนาน 2 ปี ก่อนมีการสรุปผลวิจัย ที่มาของงานวิจัยนี้มาจากสาเหตุที่ว่าผู้ป่วยซึ่งต้องการรับการปลูกถ่ายกระจกตานั้นมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านคนทั่วโลก แต่กระจกตาที่จะนำมาปลูกถ่ายให้ได้นั้นมีจำนวนจำกัดเพราะต้องรอให้มีผู้บริจาคเท่านั้น โดยที่ผ่านมามีผู้สูญเสียการมองเห็นจากปัญหากระจกตาแค่ราว 1 ใน 70 คนเท่านั้นที่ได้รับโอกาสปลูกถ่ายกระจกตาใหม่ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงได้พยายามคิดหาทางสร้างกระจกตาเทียมจากเนื้อเยื่อชนิดอื่นทดแทนการใช้กระจกตาจากร่างกายมนุษย์ ก่อนหน้านี้เมื่อ 10 กว่าปีก่อนมีงานวิจัยพัฒนาการสร้างกระจกตาเทียมจากคอลลาเจนมาก่อนแล้ว ทว่างานวิจัยดังกล่าวยังต้องอาศัยคอลลาเจนที่ได้จากร่างกายมนุษย์มาหลอมให้เป็นทรงกระจกตาและจะต้องทำในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ซึ่งกระบวนการดังกล่าวยังทำให้การผลิตกระจกตาเทียมทำได้ในปริมาณที่จำกัด แต่งานวิจัยใหม่นี้ใช้คอลลาเจนเกรดเพื่อการแพทย์ซึ่งได้มาจากหนังหมู นำมาทำขึ้นรูปเป็นกระจกตาเทียม ซึ่งไม่เพียงจะมีต้นทุนการผลิตที่ถูกและยังสามารถผลิตเป็นจำนวนมากได้ง่ายเนื่องจากหาวัตถุดิบได้ไม่ยากแล้ว กระจกตาเทียมที่ทำขึ้นมานี้ยังสามารถเก็บไว้ระหว่างรอการนำไปปลูกถ่ายได้นานถึง 2 ปี แตกต่างจากการปลูกถ่ายกระจกตาที่รับบริจาคจากร่างกายคนในปัจจุบันที่เมื่อได้กระจกตามาแล้วจะต้องปลูกถ่ายให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์เท่านั้น กระจกตาเทียมที่สร้างจากคอลลาเจนที่ได้จากหนังหมู นอกจากนี้จากที่แต่เดิมการปลูกถ่ายกระจกตาใหม่นั้นจะต้องทำการผ่าตัดนำเอากระจกตาเดิมที่เสียหายของผู้รับการปลูกถ่ายออกเสียก่อนจึงจะทำการปลูกถ่ายของใหม่ให้ได้ แต่เทคนิคการผ่าตัดใส่กระตาเทียมของทีมวิจัยนี้สามารถปลูกถ่ายสอดเข้าไปในกระจกตาเดิมของผู้รับการปลูกถ่ายได้เลย ซึ่งกล่าวได้ว่าการผ่าตัดมีความยุ่งยากน้อยลง น่าจะทำให้การปลูกถ่ายกระจกตาเทียมสามารถทำได้แพร่หลายมากขึ้น ทีมวิจัยได้ทดลองนำร่องปลูกถ่ายกระจกตาเทียมที่สร้างจากคอลลาเจนของหมูนี้ให้กับอาสาสมัคร 20 ราย โดย 14 รายในกลุ่มดังกล่าวสูญเสียการมองเห็นทั้งหมดไปก่อนเข้าร่วมการทดลอง ผลปรากฎว่าทั้ง 20 คนได้รับการมองเห็นกลับคืนมาหลังได้กระจกตาเทียมโดยไม่มีผลข้างเคียงอาการแทรกซ้อนใดๆ หลังการผ่าตัดปลูกถ่าย ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาเทียมแบบใหม่ของทีมวิจัยนี้ไม่จำเป็นต้องเอาเนื้อเยื่อกระจกตาเดิมของผู้รับการปลูกถ่ายออกไปทั้งหมด ทำให้แผลหลังการผ่าตัดนั้นหายเร็วขึ้น โดยทั่วไปแล้วผู้รับการปลูกถ่ายกระจกตาที่ได้รับบริจาคมาจากคนอื่นนั้นจะต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันหยอดตานานหลายปีเพื่อป้องกันการต่อต้านเนื้อเยื่อกระจกตาที่ถูกปลูกถ่ายลงไปใหม่ แต่ผู้ร่วมงานวิจัยนี้ใช้ยากดภูมิคุ้มกันแค่ 8 สัปดาห์ก็เพียงพอแล้ว ภาพถ่ายจาก 2 ใน 20 อาสาสมัครที่ร้บการปลูกถ่ายกระจกตาเทียม 4 เดือนหลังการผ่าตัด ขั้นตอนต่อไปคือการยกระดับการทดลองวิจัยทั้งในแง่จำนวนผู้เข้าร่วมการทดลองและการตรวจสอบเชิงลึกที่เข้มข้นยิ่งขึ้นให้แน่ใจว่ากระจกตาเทียมนี้สามารถใช้งานได้จริงอย่างปลอดภัยกับร่างกายคน จึงจะสามารถต่อยอดนำไปปรับใช้จริงในวงกว้างในท้ายที่สุด ผู้ที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของงานวิจัยการปลูกถ่ายกระจกตาเทียมที่สร้างจากหนังหมูได้ที่นี่ ที่มา - New Atlas - 1, 2
# เศรษฐกิจทำพิษ! Twitter ส่งอีเมลแจ้งพนักงานบอกว่าปีนี้โบนัสอาจเหลือครึ่งเดียว Twitter ส่งอีเมลแจ้งพนักงานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อแจ้งข่าวว่าโบนัสประจำปีนี้อาจเหลือแค่ครึ่งเดียวจากที่ควรจะได้ เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดีส่งผลกระทบทำให้ผลประกอบการของบริษัทถดถอย ทั้งนี้จากการประกาศผลประกอบการไตรมาสของ Twitter เมื่อเดือนก่อนเผยให้เห็นตัวเลขรายได้ที่ลดลง และทำให้บริษัทขาดทุนสุทธิ 270 ล้านดอลลาร์ พนักงาน 2 คนของ Twitter ผู้ไม่เปิดเผยชื่อได้ให้ข้อมูลแก่ The New York Times ว่าอีเมลฉบับดังกล่าวถูกส่งมาจาก Ned Segal ซีเอฟโอของ Twitter โดยตรง เนื้อหาในอีเมลอธิบายว่าตอนนี้เงินส่วนที่เตรียมไว้สำหรับจ่ายเป็นโบนัสประจำปีให้แก่พนักงานมีอยู่เพียงประมาณครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับยอดเงินที่ควรจะเป็นในกรณีที่ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปตามเป้า ทั้งนี้โฆษกของ Twitter ได้ยืนยันกับ The New York Times ว่ามีการส่งอีเมลแจ้งข่าวดังกล่าวให้แก่พนักงานจริง อย่างไรก็ตามตัวเลขโบนัสดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ ซึ่งตอนนี้ Twitter ได้พยายามลดค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งชะลอการจ้างงานใหม่เช่นเดียวกับบริษัทเทคอื่นๆ อีกหลายราย ที่มา - The New York Times
# Kensho เครื่องปรับอากาศไม่ง้อไฟ สร้างไอเย็นจากไนโตรเจนเหลว Green Kinoko บริษัทชื่อญี่ปุ่นจากอิสราเอล เปิดตัว Kensho เครื่องปรับอากาศที่ไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า แต่อาศัยความเย็นจากไนโตรเจนเหลว Kensho เป็นเครื่องปรับอากาศแบบเคลื่อนย้ายได้ ถูกออกแบบมาเน้นสำหรับการใช้งานนอกอาคารเป็นหลัก ภายในใส่ถังบรรจุไนโตรเจนเหลวอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส โดย Green Kinoko ผู้พัฒนาบอกว่าไนโตรเจนเหลว 1 ถังจะใช้งานได้นานประมาณ 7-10 วัน ขึ้นอยู่กับว่าเปิดเครื่องใช้งานแรงแค่ไหน และอุณภูมิอากาศของพื้นที่ใช้งานว่าร้อนมากน้อยเพียงใด Kensho เครื่องปรับอากาศไม่ใช้ไฟฟ้า อาศัยความเย็นจากไนโตรเจนเหลว หลักการทำงานของ Kensho นั้นก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เมื่อเปิดเครื่องให้ทำงาน ไนโตรเจนเหลวในตัวถังบรรจุจะถูกปล่อยออกมา เมื่อไนโตรเจนในสถานะของเหลวดึงเอาพลังงานความร้อนจากสิ่งแวดล้อมภายนอกจนมีอุณภูมิสูงขึ้นและเปลี่ยนสถานะเป็นไอก็จะขยายตัวเพิ่มปริมาตรถึง 700 เท่า การขยายตัวนี้ดันให้ก๊าซไนโตรเจนอุณหภูมิประมาณ -10 องศาเซลเซียส ให้ไหลออกมาทางช่องปล่อยลมเย็นของเครื่อง ภาพจำลองการใช้งาน Kensho สำหรับทำความเย็นให้พื้นที่นอกอาคาร Green Kinoko บอกว่า Kensho นั้นมีข้อดีที่เหนือกว่าเครื่องปรับอากาศทั่วไปในเรื่องการใช้งานที่เงียบกว่า ไม่ต้องเสียบปลั๊ก ทำให้เคลื่อนย้ายได้สะดวก อีกทั้งยังไม่ปล่อยลมร้อนในระหว่างการใช้งานเหมือนเครื่องปรับอากาศทั่วไป ส่วนเรื่องต้นทุนการใช้งานนั้น Green Kinoko บอกว่าราคาไนโตรเจนเหลวอยู่ที่ประมาณ 50-60 ยูโรต่อถัง โดยไนโตรเจนเหลวที่จะนำมาใช้นี้ส่วนใหญ่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการเตรียมออกซิเจนบริสุทธิ์ของอุตสาหกรรมการแพทย์ ทั้งนี้ Green Kinoko ใช้เวลาในการพัฒนา Kensho มานานร่วม 2 ปีครึ่ง โดยตอนนี้พวกเขาได้สร้างเครื่องต้นแบบเตรียมเอาไว้สำหรับการทดสอบใช้งานจริงกับคาเฟ่กลางแจ้งใน Tel Aviv เพื่อประเมินประสิทธิภาพของเครื่องและเก็บข้อมูลเพื่อประเมินต้นทุนในการใช้งาน โดยตอนนี้พวกเขาอ้างว่ามีผู้สนใจสอบถามราคาเครื่อง Kensho มามากมายกว่า 40 ประเทศ ที่มา - New Atlas
# Blizzard ยืนยัน Diablo IV ไม่มี Pay-to-Win, ไม่มี Loot Box สุ่มขายของ Blizzard ออกมาอัพเดตรายละเอียดของเกม Diablo IV มีประเด็นสำคัญเรื่องโมเดลการทำเงินของเกม ซึ่ง Blizzard ยืนยันว่า Diablo IV เป็นเกมแบบเสียเงินปกติ (a full-price game) เพิ่มด้วยการขายไอเทมตกแต่งที่ไม่มีผลกับเกมเพลย์ (cosmetic) และโมเดลการขาย Season Pass ตามแนวทางเกมสมัยใหม่ ไม่มีการขายไอเทมแบบ pay-to-win และการขายไอเทมสุ่มแบบ loot box ประกาศของ Blizzard ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เพราะโมเดลธุรกิจของ Overwatch 2 เพิ่งเปลี่ยนจาก loot box มาเป็นการขาย pass เช่นกัน แม้ว่าเกม Diablo Immortal ที่เป็นเกมมือถือเล่นฟรีจะยังใช้แนวทางการขายไอเทมแบบสุ่ม จนโดนวิจารณ์อย่างหนักก็ตาม Blizzard ยังให้ข้อมูลว่าหลัง Diablo IV วางขายแล้ว ยังมีแผนออกเนื้อหาอัพเดตที่เรียกว่า Seasons ตามมาอีกมาก ระบบไอเทมในเกมแยกเป็น Free-Tier ที่สามารถปลดล็อคได้จากการเล่นตามปกติ และ Premium Tiers ที่ไม่มีผลต่อการเล่นเหนือผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ไม่ได้จ่ายเงิน ตัวอย่างหน้าจอ Shop ขายชุดตกแต่ง (cosmetic) ในเกม ที่มา - Blizzard
# Shazam มีอายุครบ 20 ปี แล้ว แอปเปิลประกาศว่าบริการค้นหาเพลงด้วยเสียง Shazam มีอายุครบ 20 ปีแล้ว โดยเพื่อร่วมฉลองในโอกาสนี้ แอปเปิลจึงเผยแพร่เพลย์ลิสต์ รวมเพลงยอดนิยมที่ถูกค้นหาใน Shazam แต่ละปีตลอดช่วง 20 ปี เพลงในเพลย์ลิสต์มีทั้งเพลงอย่าง "Hey, Soul Sister" ของ Train และ "Cheap Thrills" ของ Sia Shazam เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2002 เริ่มด้วยบริการทางโทรศัพท์ในอังกฤษ โดยโทรไปยังหมายเลขที่กำหนดแล้วถือสายขณะเพลงกำลังเล่น โดยจะได้รับชื่อเพลงและศิลปินทาง SMS พัฒนาต่อมาเป็นแอปใน App Store ในปี 2008 และถูกซื้อกิจการโดยแอปเปิลในปี 2018 ซึ่งบริการของ Shazam ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งใน Control Center ของ iOS สำหรับค้นหาเพลง ที่มา: แอปเปิล
# Apple ขยายระยะเวลาซ่อมฟรี iPhone 12, 12 Pro ที่มีปัญหาเสียงไม่ออก เมื่อปีที่แล้ว แอปเปิลประกาศโปรแกรมซ่อม iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ที่มีปัญหาไม่มีเสียงออกมาให้ฟรี ซึ่งแม้ตอนนั้นแอปเปิลบอกว่ามีเครื่องที่เสียด้วยอาการนี้เป็นจำนวนน้อย อย่างไรก็ตามแอปเปิลก็ประกาศขยายเวลาออกไป โดยในหน้าเว็บไซต์ของโปรแกรมดังกล่าว แอปเปิลระบุว่าขยายความคุ้มครอง iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ที่ได้รับผลกระทบ เป็นเวลา 3 ปี นับจากการขายปลีกครั้งแรก แอปเปิลบอกว่า iPhone รุ่นที่พบปัญหาเป็นกลุ่มที่ผลิตในช่วง ตุลาคม 2020 ถึงเมษายน 2021 สามารถขอรับการซ่อมได้ที่ศูนย์บริการ AASP หรือที่ Apple Store ที่มา: MacRumors
# Xiaomi ไตรมาส 2/2022 รายได้รวมลดลง 20% ผลกระทบจากโควิด 19 ในจีน Xiaomi รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ปี 2022 รายได้รวม 70,170.9 ล้านหยวน ลดลง 20.1% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 2,081.3 ล้านหยวน Wang Xiang ประธาน Xiaomi กล่าวในช่วงแถลงผลประกอบการ ว่ารายได้ที่ลดลงมากมาจากตลาดจีน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการกลับมาระบาดอีกครั้งของโควิด จนกระทบต่อความต้องการสินค้า ซึ่งกระทบกับสมาร์ทโฟนทุกค่ายในจีน รวมถึงปัญหาค่าขนส่ง และเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ที่ทำให้กระทบต่อกำไร รายได้แยกตามกลุ่มธุรกิจ สมาร์ทโฟนลดลงเป็น 42,268.1 ล้านหยวน ส่งมอบสมาร์ทโฟน 39.1 ล้านเครื่อง กลุ่ม AIoT รายได้ 19,811.6 ล้านหยวน มีสินค้าเด่นคือ Xiaomi Pad 5 และเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง แอร์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และธุรกิจ Internet Services รายได้ 6,971.1 ล้านหยวน ลดลงจากธุรกิจ FinTech เป็นหลัก ที่มา: Xiaomi และ Reuters
# Ethereum ประกาศวันอัพเกรดบล็อกเชนใหญ่ The Merge เปลี่ยนเป็น Proof of Stake 15 กันยายน ทีมพัฒนาหลัก Ethereum ประกาศแผนการอัพเกรดระบบบล็อกเชนครั้งใหญ่ที่รอกันมานาน ("The Merge") ตั้งเป้าเป็นวันที่ 15 กันยายน 2022 (หากไม่เลื่อนอีก) Ethereum มีแผนเปลี่ยนระบบการยืนยันธุรกรรมจาก Proof of Work (PoW) ที่กินพลังงานสูงจากการแข่งขันคำนวณ มาเป็น Proof of Stake (PoS) ที่ใช้เหรียญไปค้ำประกันแทน ช่วยให้การทำธุรกรรมเร็วขึ้น ลดการใช้พลังงานลง (ชื่ออย่างเป็นทางการคือ consensus layer หรือบ้างก็เรียก Ethereum 2.0) แต่การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ต้องใช้เวลายาวนานหลายปี เพราะต้องทดสอบความเข้ากันได้กับข้อมูลและแอพบนเชนเดิมด้วย แนวทางของ Ethereum Foundation คือสร้างบล็อกเชนทดสอบ (Beacon Chain) ขึ้นมาอีกสาย เมื่อทดสอบจนมั่นใจแล้วจะ "รวม" (merge) เข้ากับบล็อกเชนสายหลัก (Mainnet) และมีกำหนดการรวมวันที่ 15 กันยายนนี้ ที่มา - Bloomberg
# FTX ถูกหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐส่งหนังสือเตือน โฆษณาผลิตภัณฑ์คริปโตเกินจริง Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) หน่วยงานค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลสหรัฐ (เทียบเท่ากับสถาบันคุ้มครองเงินฝากของบ้านเรา) ออกจดหมายเตือนให้บริษัทด้านคริปโต 5 ราย หยุดโฆษณาว่าผลิตภัณ์คริปโตของตัวเองได้รับการค้ำประกันจาก FDIC ซึ่งหนึ่งในนั้นมีบริษัทคริปโตชื่อดังอย่าง FTX ด้วย ตามกฎหมาย Federal Deposit Insurance Act ของ FDIC ระบุว่าห้ามบุคคลใดๆ โฆษณาหลอกลวงหรือทำให้เข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้รับการค้ำประกัน (ว่าเงินจะปลอดภัย) โดย FDIC แต่พฤติกรรมของบริษัททั้ง 5 รายกลับชวนให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด โดยมีรายหนึ่งถึงขั้นจดโดเมนที่มีคำว่า FDIC ด้วย บริษัททั้ง 5 รายได้แก่ Cryptonews.com, Cryptosec.info, SmartAsset.com, FTX US, FDICCrypto.com การส่งหนังสือเตือนของ FDIC ถือเป็นส่วนหนึ่งของการกำกับดูแลจากหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐที่เริ่มเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง FTX ถือเป็นตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตรายใหญ่ และมีข่าวค่อนข้างถี่ในช่วงหลัง เช่น การเข้าไปช่วยเหลือ BlockFi ที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง และตัวซีอีโอ Sam Bankman-Fried หรือ SBF (บุคคลในภาพ) ก็ถือเป็นคนดังในโลกคริปโตด้วย ที่มา - FDIC
# เขินเลย Mark Zuckerberg ยอมรับกราฟิกอวตารหน้าตาห่วย บอกกำลังอัพเกรด เมื่อหลายวันก่อน Mark Zuckerberg ประกาศขยายบริการโลกเสมือน Horizon Worlds ให้กับผู้ใช้ในสเปนและฝรั่งเศส โดยเขาโพสต์ภาพอวตารของตัวเองถ่ายภาพกับโมเดลหอไอเฟล และโบสถ์ในสเปน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า "เรามาแล้ว" อย่างไรก็ตาม คุณภาพของอวตาร Mark Zuckerberg ที่ปรากฏนั้นได้รับเสียงวิจารณ์อย่างมากว่าไม่สวยงาม ดูโบราณ และนัยน์ตาของ Zuckerberg ดูน่ากลัว ล่าสุด Zuckerberg ออกมายอมรับแล้วว่าภาพที่เขาโพสต์ก่อนหน้านั้น "ดูธรรมดาเกินไป" (pretty basic) และโชว์ภาพอวตารและกราฟิกภายในโลกเสมือน Horizon Worlds เวอร์ชันอัพเกรดว่ากำลังทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ที่มา - Mark Zuckerberg (1), Mark Zuckerberg (2)
# RS Component เลิกผลิต Raspberry Pi หลังอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เริ่มโครงการ RS Component ผู้ผลิตหลักตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของโครงการ Raspberry Pi เลิกผลิต Raspberry Pi มาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาเนื่องจากสิ้นสุดสัญญา พร้อมกับเลิกขายสินค้า Raspberry Pi ทั้งหมดบนหน้าเว็บ โครงการ Raspberry Pi จำกัดผู้ผลิตอยู่ไม่กี่เจ้า ช่วงแรกคือ RS Component และ element14 และยังมีโรงงานของโซนี่ในสหราชอาณาจักรที่ผลิตบอร์ด Raspberry Pi เป็นหลัก Eben Upton ผู้ก่อตั้ง Raspberry Pi Foundation ระบุว่ายังทำงานกับผู้ผลิตรายอื่นๆ และน่าจะไม่มีผลต่อการจัดจำหน่ายบอร์ด ที่มา - Tom's Hardware บอร์ด Raspberry Pi รุ่นครบรอบ 1 ปีโดย RS Component
# พบ TikTok ก็ฝังสคริปต์ในเบราว์เซอร์ภายในแอป แถมไม่มีออปชั่นให้ใช้เบราว์เซอร์ภายนอก หลังจาก Felix Krause รายงานว่าเบราว์เซอร์ภายในแอปของ Meta ฝังสคริปต์ติดตามผู้ใช้ เขาก็รายงานเพิ่มเติมว่าเบราว์เซอร์ใน TikTok ก็ฝังสคริปต์แบบเดียวกัน แถมยังไม่มีตัวเลือกให้ใช้งานเบราว์เซอร์ปกติของระบบปฎิบัติการ สคริปต์ที่ TikTok ฝังยังดักอีเวนต์ในเบราว์เซอร์อย่างหนัก อีเวนต์ที่สำคัญๆ เช่น keydown ดักการพิมพ์ทุกตัวอักษร และ click ที่ดักการคลิกทุกจุด อย่างไรก็ดี Krause ระบุว่าไม่มีหนักฐานชัดเจนว่า TikTok ฝังสคริปต์เพื่อมุ่งร้ายอะไร รวมถึงสคริปต์เก็บข้อมูลอย่างไร และส่งข้อมูลอะไรกลับเซิร์ฟเวอร์บ้าง Krause อาศัยการตรวจสอบจากการสร้างเว็บ InAppBrowser.com มาตรวจการแทรกสคริปต์จากตัวเบราว์เซอร์เอง แต่ในความเป็นจริงแล้วนักพัฒนาอาจจะแทรกโค้ดหรืออ่านข้อมูลจากตัวเบราว์เซอร์โดยไม่ต้องฝังสคริปต์เลยก็ได้ ที่มา - krausefx
# [ลือ] Qualcomm สนใจกลับมาทำชิป Arm สำหรับเซิร์ฟเวอร์ด้วยทีม Nuvia Bloomberg รายงานข่าวลือว่าเจ้าพ่อชิปมือถืออย่าง Qualcomm กำลังสนใจกลับมาทำชิปฝั่งเซิร์ฟเวอร์อีกรอบ โดยจะใช้ Nuvia บริษัทที่ซื้อมาในปี 2021 เป็นแกนกลาง Nuvia เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดยอดีตทีมออกแบบชิปตระกูล Ax ของแอปเปิล ที่หันมาเปิดบริษัทเองและต้องการทำชิป Arm สำหรับเซิร์ฟเวอร์ แต่มาโดน Qualcomm ซื้อก่อน และตอนนี้ถูกใช้ทำชิปสำหรับมือถือที่จะออกสู่ตลาดในปี 2023 Qualcomm เคยพยายามทำชิปเซิร์ฟเวอร์มารอบหนึ่งแล้วราวปี 2014 โดยใช้ชื่อชิปว่า Centriq แต่สุดท้ายล้มเหลว และเลิกทำไปในช่วงที่บริษัทเจอ Broadcom พยายามเทคโอเวอร์ในปี 2018 แต่การกลับมารอบนี้มี Nuvia ที่ตั้งใจทำชิปเซิร์ฟเวอร์มาตั้งแต่แรก ก็อาจทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้น Bloomberg บอกว่าตอนนี้ AWS สนใจชิปเซิร์ฟเวอร์ของ Qualcomm แล้วหนึ่งราย แม้มีชิป Graviton ที่ออกแบบเองอยู่แล้วก็ตาม ในตลาดนี้ยังมีผู้เล่นอีกรายที่น่าสนใจคือ Ampere Computing ของอดีตผู้บริหารอินเทล ที่ Microsoft Azure และ Google Cloud นำไปใช้งาน ที่มา - Bloomberg
# Google Docs เพิ่มฟีเจอร์ To-Do แจกงานให้เพื่อนร่วมงานแก้เอกสาร ซิงก์กับ Google Tasks Google Docs เพิ่มฟีเจอร์เล็กๆ ที่น่าสนใจคือการสร้างรายการ To-Do ลงในเอกสารได้เลย แท็กรายชื่อเพื่อนร่วมงานได้ และรายการจะไปโผล่ใน Google Tasks ของเพื่อนร่วมงานให้อัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้เหมาะกับการเขียนเอกสารร่วมกันในทีม สามารถแจกงานให้คนอื่นๆ ช่วยแก้เอกสารได้ และติดตามสถานะของงานได้จากตัวเอกสารโดยตรง ไม่ต้องพึ่งพาแอพจำพวก task/issue manager ภายนอก ฟีเจอร์นี้จะใช้งานได้เฉพาะบน Google Workspace แบบบัญชีธุรกิจ แต่ไม่รวมถึงบัญชีแบบส่วนตัว ที่มา - Google Workspace
# แอปเปิลปล่อยแพตช์ iOS/iPadOS/macOS แก้ช่องโหว่ร้ายแรงระดับยึดเครื่องได้สมบูรณ์ พบมีการโจมตีแล้ว แอปเปิลปล่อยแพตช์ iOS/iPadOS 15.6.1 และ macOS 12.5.1 เป็นช่องโหว่คู่กันระหว่าง WebKit และเคอร์เนลของระบบปฎิบัติการ โดยช่องโหว่ทั้งหมดระบุว่าพบการโจมตีแล้ว ช่องโหว่ของ WebKit จะเปิดทางให้คนร้ายสร้างเว็บล่อให้เหยื่อเปิด แล้วเจาะทะลุเบราว์เซอร์ออกมารันโค้ดได้ ขณะที่ช่องโหว่เคอร์เนลจะทำให้โค้ดที่รันอยู่ที่สิทธิ์ของผู้ใช้ปกติ เจาะเข้าไปรันในสิทธิ์ของเคอร์เนล สองช่องโหว้นี้หากใช้คู่กันก็จะทำให้คนร้ายรันโค้ดในระดับลึกที่สุดโดยเหยื่อเพียงแค่เปิดเว็บเท่านั้น แอปเปิลไม่บอกข้อมูลว่าพบการโจมตีจากที่ใด แต่บอกเพียงว่าช่องโหว่ทั้งหมดได้รับรายงานจากนักวิจัยนิรนาม ที่มา - Apple macOS, Apple iOS
# Musk ถูกตั้งคำถามเรื่องการนับบัญชีบ็อต Twitter จากเจ้าของเครื่องมือที่ Musk ใช้ หลังจากที่ Twitter ระบุในเอกสารที่ยื่นต่อฟ้องศาลจากการที่ Elon Musk ล้มดีลซื้อ Twitter ว่า Musk ใช้เครื่องมือ Botometer วิเคราะห์บัญชีบ็อตใน Twitter ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่แม่นยำ Kaicheng Yang ผู้สร้างและดูแล Botometer ได้กล่าวว่า Botometer ใช้ตัวบ่งชี้หลายอย่างในการตรวจสอบว่าเป็นบ็อตหรือไม่ ซึ่งรวมถึงสถานที่ขณะที่ผู้ใช้โพสต์ลงใน Twitter และความบ่อยในการโพสต์ โดย Botometer จะแสดงผลเป็นคะแนน 0-5 โดยยิ่งมีคะแนนสูงยิ่งเป็นไปได้ว่าจะเป็นบ็อต (0 = คน / 5 = บ็อต) อย่างไรก็ตาม Yang กล่าวว่าคะแนนดังกล่าวเป็นเพียงคะแนนความเป็นไปได้เท่านั้น ไม่สามารถชี้ชัดได้แน่นอนว่าเป็นบ็อตหรือไม่ Yang ตั้งคำถามกับวิธีการของ Musk ว่าตัดเกณฑ์คะแนนที่ได้จาก Botometer เท่าใดจึงจะถือว่าเป็นบัญชีบ็อต (ได้คะแนน 3 หรือ 4 นับเป็นคนหรือบ็อต?) ถึงระบุว่า 33% ของ บัญชีที่มองเห็นได้ เป็นบัญชีบ็อต ซึ่งทำให้ Elon ต้องการล้มดีลซื้อกิจการโดยอ้างว่า Twitter เปิดเผยจำนวนบัญชีบ็อตน้อยกว่าความเป็นจริง (Twitter กล่าวว่ามีเพียง 5% ที่เป็นบ็อต) มีเพียง Twitter เท่านั้นที่มีข้อมูลจำนวนบัญชีบ็อตที่แท้จริง Twitter กล่าวว่าบริษัทใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น IP Address เบอร์โทรศัพท์ และพิกัดที่อยู่ผู้ใช้ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นบ็อตหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ทีมวิจัยของ Botometer ก็พยายามคำนวณว่า Twitter มีบัญชีบ็อตเท่าไรแต่ก็ไม่สามารถคำนวณตัวเลขที่แท้จริงได้ ทั้งนี้ ทีมกฎหมายของ Musk กล่าวในการยื่นฟ้องกลับ Twitter ว่า Twitter ควรใช้เทคโนโลยีที่สูงกว่านี้ในการคำนวณกิจกรรมการใช้บัญชีต่าง ๆ ที่ใช้ในการบ่งชี้ว่าเป็นบ็อตในขณะที่ Yang กลับเห็นด้วยกับวิธีที่ Twitter ใช้ ที่มา: BBC News
# แอปแต่งรูป Pixelmator เปลี่ยนเป็นแอปเสียเงินรายเดือนแล้ว แอปพลิเคชันแต่งรูป Pixelmator Photo เปลี่ยนจากแอปจ่ายเงินครั้งเดียวไปเป็นแบบรายเดือนแล้ว โดยผู้ใช้ใหม่ที่ต้องการดาวน์โหลดแอปจะต้องเสียค่าบริการรายเดือน $4.99 ต่อเดือน (ประมาณ 178 บาท) หรือราคาโปร $23.99 ต่อปี (ประมาณ 857 บาท) ส่วนผู้ใช้เก่าสามารถใช้แอปได้อย่างไม่จำกัดโดยไม่เสียเงิน นอกจากนี้ บริษัทเปิดเผยว่ากำลังจะเปิดให้ดาวน์โหลด Pixelmator สำหรับ MacOS ในปีนี้หรือต้นปีหน้า Pixelmator เผยว่าการเปลี่ยนเป็นการจ่ายเงินรายเดือนมีสาเหตุหลักมาจากการที่เป็นบริษัทพัฒนาแอปอิสระที่ไม่มีผู้ร่วมลงทุนจึงได้รับเงินจากผู้ใช้ใหม่ที่ซื้อแอปเพียงอย่างเดียวซึ่งไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการพัฒนาแอป และยังมีปัญหาการพัฒนาแอปได้ช้าลงและการปล่อยเวอร์ชันอัปเดททำให้ผู้ใช้เก่าต้องจ่ายเงินเพื่อใช้เครื่องมือบางอย่างเพิ่ม รวมทั้ง Apple Store ไม่อนุญาตให้แอปเสียเงินให้ผู้ใช้ทดลองใช้ฟรีหรือลดค่าบริการในการอัปเดทแอปด้วย ที่มา - Pixelmator
# Techsauce ทำโครงการ Accelerator สำหรับบริษัทสตาร์ทอัพมือใหม่ Techsauce บริษัทสื่อธุรกิจและเทคโนโลยีของไทยเตรียมปล่อยโครงการ Accerator เพื่อช่วยเหลือบริษัท สตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งให้สามารถดำเนินธุรกิจไปได้ โดยใช้ชื่อโครงการว่า “Thailand Accelerator” อรนุช เลิศสุวรรณกิจ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Techsauce กล่าวว่า ตามปกติแล้วสตาร์ทอัพใหม่ๆ มักเจออุปสรรคในการระดมทุนรอบ seeding เพราะนักลงทุนมักให้ความสนใจลงทุนในซีรีส์ A ขึ้นไปกับสตาร์ทอัพที่มีการเติบโตแล้ว ซึ่ง Techsauce มองว่าประเทศไทยมีสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพจำนวนมาก Thailand Accelerator จึงอยากเข้ามาช่วยอุดช่องว่างตรงนี้ โครงการยังมีเป้าหมายเพื่อให้ความช่วยเหลือธุรกิจตั้งแต่เพิ่งเริ่มตั้งบริษัทไปจนถึงช่วยกระตุ้นการเติบโตของบริษัทที่เริ่มทำธุรกิจไปแล้วและต้องการเพิ่มรายได้ โดย Techsauce เป็นพาร์ทเนอร์กับแพลตฟอร์มระดมทุนผ่านหุ้นกู้ อย่าง PeerPower นอกจากนี้จะช่วยเรื่องการประชาสัมพันธ์และการทำ marketing ให้กับธุรกิจที่ร่วมโครงการด้วย ที่มา: Techsauce
# Oppo เปิดตัว ColorOS 13 บนฐาน Android 13, เริ่มปล่อยอัพเดตสิงหาคม 2022 Oppo เปิดตัว ColorOS 13 ที่ใช้ฐานจาก Android 13 ตัวจริง เป็นรอมเวอร์ชัน Global สำหรับลูกค้าทั่วโลกที่อยู่นอกประเทศจีน นอกจากฟีเจอร์มาตรฐานของ Android 13 แล้ว Oppo ยังเพิ่มธีมใหม่ Aquamorphic Design, ฟีเจอร์ Dynamic Computing Engine จัดลำดับการประมวลผลเพื่อให้ประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้น, การแสดงข้อมูลบน Always-On Display เพิ่มเติม เป็นต้น สมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่จะได้อัพเกรดเป็น ColorOS 13 คือ Oppo Find X5 และ X5 Pro เริ่มเดือนสิงหาคมนี้ ตามด้วย Find X3 Pro และ Reno 8 Pro 5G ในเดือนกันยายน และรุ่นอื่นจะค่อยๆ ทยอยตามมาจนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ที่มา - Oppo
# โครงการพัฒนาเกมใน Kickstarter ปิดตัว เพราะนำเงินที่ระดมได้ไปลงทุนคริปโตแล้วเจ๊ง Untamed Isles เป็นโครงการระดมทุนบน Kickstarter เพื่อพัฒนาเกม MMORPG แนวจับมอนสเตอร์ ตามสมัยนิยมก็ต้องมีฟีเจอร์ play to earn แปลงมอนสเตอร์เป็นเหรียญ token เอาไว้ซื้อขายกันได้ด้วย โครงการประสบความสำเร็จในการระดมทุนได้ทะลุเป้า ได้เงินไป 8.4 แสนดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ประมาณ 19 ล้านบาท) จากผู้สนับสนุนจำนวน 3,052 ราย เกมมีแผนลงขายบน Steam ภายในสิ้นปี 2022 แต่ล่าสุด ผู้พัฒนาเกมประกาศหยุดการพัฒนาแล้ว โดยให้เหตุผลว่าสภาพเศรษฐกิจเปลี่ยน เงินหมด และไม่สามารถเดินหน้าโครงการต่อได้ ซึ่งฟังดูแล้วอาจเหมือนโครงการอื่นๆ บน Kickstarter ที่ไม่เป็นไปตามแผนการ อย่างไรก็ตาม ผู้พัฒนาก็ยอมรับแต่โดยดีว่า นำเงินที่ระดมทุน crowdfunding ได้สำเร็จไปลงทุนในคริปโต และใช้กำไรที่ได้มาขยายทีมเพิ่มเติ่มได้รวดเร็ว มีพนักงานในโครงการมากกว่า 70 คน แต่เมื่อตลาดคริปโตแตก เงินก้อนนี้ก็สูญสลายไป ดังนั้นทีมงานต้องขอหยุดพัฒนาเกมไปจนกว่าตลาดคริปโตจะกลับมาดี ทีมงานผู้พัฒนายังบอกว่าตอนนี้เงินสดหมดมือแล้ว ไม่สามารถคืนเงินให้ผู้สนับสนุนได้ และขอโทษผู้สนับสนุนมา ณ ที่นี้ด้วย ที่มา - Kotaku
# Google Search ปรับอัลกอริทึมใหม่ เน้นเนื้อหาคุณภาพ เขียนให้คนอ่าน ลดอันดับเว็บดัก SEO Google Search ประกาศปรับอัลกอริทึมใหญ่ โดยเรียกว่า “helpful content update” ธีมหลักคือการกรองเนื้อหาที่ตั้งใจทำ SEO แต่มีคุณภาพต่ำ (เช่น คัดลอกจากที่อื่น, ดักคำสำคัญที่คนค้นหาเยอะๆ) ออกไป เน้นที่เนื้อหาซึ่งเขียนโดยคน และเขียนให้คนอ่าน (written by people, for people) กูเกิลไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากนักว่ามีวิธีแยกแยะเนื้อหา 2 ประเภทออกจากกันอย่างไร แต่ก็แนะนำให้สร้างเนื้อหาแบบ people-first เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน แทนเนื้อหาแบบ search engines first ที่เน้นดักทราฟฟิก ข้อมูลที่กูเกิลเปิดเผยคือเพิ่มสัญญาณ (signal) ชนิดใหม่สำหรับทั้งไซต์ เพื่อบ่งบอกว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพหรือไม่ เพื่อนำมาคำนวณอันดับของเว็บเพจ กูเกิลยังแนะนำว่าการลบเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพออกไป อาจช่วยให้เนื้อหาอื่นของเว็บเดียวกันมีอันดับดีขึ้นได้ด้วย ตอนนี้อัลกอริทึมใหม่เริ่มใช้งานแล้วบางส่วน และต้องรอประมาณ 2 สัปดาห์ถึงจะครบทั้งหมด ที่มา - Google, Google
# [ลือ] Crypto.com ปลดพนักงานเงียบๆ หลายร้อยคน ผู้บริหารเลี่ยงตอบคำถามเรื่องนี้ The Verge รายงานข่าวว่า Crypto.com บริษัทที่ทำตลาดซื้อขายคริปโต เพิ่งประกาศปลดพนักงานออก 260 คน (คิดเป็น 5% ของพนักงานทั้งหมด) เมื่อเดือนมิถุนายน และหลังจากนั้นก็ปลดพนักงานออกเงียบๆ เพิ่มอีก "หลายร้อยคน" (hundreds) โดยไม่ประกาศต่อสาธารณะ The Verge บอกว่า Crypto.com ค่อนข้างปิดข่าวการปลดพนักงานรอบนี้ ทำให้ประเมินได้ยากว่าจำนวนที่แท้จริงมีทั้งหมดเท่าไร แต่พนักงานที่ยังเหลืออยู่ก็พบว่าเพื่อนร่วมงานหลายคนหายหน้าไปจากระบบ Slack ภายในแบบเงียบๆ และผู้บริหารเองก็เลี่ยงไม่ตอบคำถามในงานประชุมภายในว่าปลดออกไปเท่าไร พนักงานบางรายโพสต์ข้อความใน Glassdoor เว็บรีวิวบริษัท อ้างว่าปลดพนักงานไปแล้วมากกว่า 1,000 คน และ Crypto.com ปิดระบบไดเรคทอรีรายชื่อพนักงานเพื่อไม่ให้รู้จำนวนที่แน่ชัด แต่เวลามีประชุมภายใน เขาก็พบว่า 1/3 ในรายชื่อคนเข้าประชุมถูก deactivate บัญชีไปแล้ว Crypto.com เป็นบริษัทสายคริปโตที่ใช้งบการตลาดมหาศาลในช่วงหลัง ทั้งการจ้างดาราดังมาเล่นโฆษณา, การเป็นสปอนเซอร์ฟุตบอลโลก, การซื้อสิทธิชื่อสนามแข่งของทีมบาสเก็ตบอล L.A. Lakers แต่เมื่อต้องเผชิญกับภาวะตลาดคริปโตขาลง ก็ต้องรอดูกันว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบมากแค่ไหน (รวมถึงสัญญาสปอนเซอร์ที่เซ็นไว้แล้วด้วย) ที่มา - The Verge
# โซนี่เปิดหน้าเว็บ PlayStation Games for PC, อาจทำ PC Launcher ของตัวเอง ความพยายามของโซนี่ในการหักหลังสาวก PlayStation หารายได้จากการขายเกมพีซี ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดโซนี่เปิดหน้าเว็บ PlayStation games for PC เพื่อรวบรวมว่าตอนนี้มีเกมใดบ้างแล้วที่เล่นได้บนพีซี เช่น God of War, Marvel's Spider-Man Remastered, Days Gone, Horizon Zero Dawn เป็นต้น แต่เท่านั้นยังไม่พอ มีคนไปค้นพบว่าเกม Marvel's Spider-Man Remastered ที่เพิ่งวางขายเวอร์ชันพีซีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีการอ้างถึงชื่อ PlayStation PC launcher, PSNAccountLinked, PSNLinkingEntitlements ซึ่งตีความได้ว่าแผนของโซนี่คืออยากทำ launcher ของตัวเองบนพีซี และสามารถเชื่อมต่อกับบัญชี PlayStation Network (PSN) จากคอนโซลได้ ที่ผ่านมา โซนี่ขายเกมพีซีผ่าน Steam และ Epic Games แต่ถ้าแผนการทำ launcher มาจริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจนักหากโซนี่จะเปิด PlayStation Store บนพีซีด้วย ที่มา - VentureBeat, VGC
# Apple อัพเดต Safari 15.6.1 ให้ macOS Big Sur และ Catalina แก้ไขช่องโหว่ WebKit แอปเปิลออกอัพเดต Safari เวอร์ชัน 15.6.1 ให้กับผู้ใช้ macOS เวอร์ชันเก่าคือ Big Sur และ Catalina โดยอัพเดตนี้เป็นการแก้ไขช่องโหว่ CVE-2022-32893 ของ WebKit ที่ผู้โจมตีสามารถเข้ามารันคำสั่งได้ แอปเปิลบอกว่าช่องโหว่นี้มีรายงานการถูกโจมตีแล้ว จึงแนะนำให้ผู้ใช้งาน macOS เวอร์ชันดังกล่าวอัพเดตทันที อัพเดต Safari เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้ เป็นช่องโหว่เดียวกับที่แอปเปิลอัพเดตให้กับ iOS 15.6.1 และ macOS Monterey 12.5.1 เมื่อวานนี้ ที่มา: MacRumors
# Google Cloud รายงานการป้องกัน DDoS ครั้งใหญ่ที่สุด 46 ล้านครั้งต่อวินาที กูเกิลมีบริการตัวหนึ่งคือ Cloud Armor สำหรับให้ลูกค้าใช้สำหรับป้องกันการถูกโจมตีแบบ DDoS โดยล่าสุด กูเกิลรายงานการป้องกัน DDoS แบบ Layer 7 ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยรายงาน เหตุการณ์โจมตีเกิดขึ้นในวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยลูกค้ารายหนึ่งถูก DDoS เพิ่มขึ้นจากระดับ 100,000 ครั้งต่อวินาที (request per second - rps) เพิ่มไปสูงสุดที่ 46 ล้านครั้งต่อวินาที ภายในระยะเวลาเพียง 2 นาทีเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุด โดยก่อนหน้านี้ Cloudflare รายงานไว้ที่ 26 ล้านครั้งต่อวินาที ในเดือนมิถุนายน กระบวนการบล็อกทราฟิกซึ่งเป็นไปตามกฎที่ลูกค้าตั้งเอาไว้ ทำให้ DDoS มีจำนวนลดลงและกลับสู่ภาวะปกติในเวลา 69 นาที ทั้งนี้กูเกิลเปรียบเทียบปริมาณการขอข้อมูลระดับ 46 ล้านครั้งต่อวินาที ว่าเท่ากับนำการขอข้อมูลของ Wikipedia 1 วัน มาอัดภายใน 10 วินาที ที่มา: กูเกิล
# Snap เตรียมหยุดพัฒนาโดรนเซลฟี่ Pixy หลังเปิดตัวได้เพียง 4 เดือน ก่อนหน้านี้ Snap เปิดตัว Pixy โดรนพกพาสำหรับถ่ายภาพและวิดีโอ เพื่อให้ได้มุมมองใหม่ ๆ เวลาออกไปข้างนอก และทำงานร่วมกับแอป Snapchat แต่ล่าสุดทิศทางของสินค้าตัวนี้อาจไม่สวยงามแล้ว มีรายงานว่า Evan Spiegel ซีอีโอ Snap ได้แจ้งกับพนักงานว่าบริษัทตัดสินใจหยุดการพัฒนาต่อยอดโดรน Pixy แล้ว โดยให้เหตุผลเพื่อปรับโฟกัสทีมงานมาที่แอปหลัก นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าเขาอาจขายกิจการ Pixy ออกไปให้ผู้สนใจด้วย ส่วนสินค้าที่ขายอยู่แล้ว ก็จะขายต่อไปจนกว่าจะหมดสต็อก Snap เริ่มต้นจากแอปโซเชียล แต่ก็พยายามต่อยอดมาสู่ธุรกิจฮาร์ดแวร์ สินค้าแรกซึ่งเป็นที่พูดถึงมากก็คือแว่นตา Spectacles ที่ทำยอดขายได้น้อยกว่าที่คาด จนบริษัทใช้วิธีตัดสต็อกส่วนเกินออกในที่สุด และล่าสุดก็คือโดรน Pixy นี่เอง ที่มา: CNBC และ The Verge
# [Nielsen] ส่วนแบ่งประเภทคอนเทนต์ที่คนอเมริกาดูทางทีวี สตรีมมิ่งแซงรายการทางเคเบิ้ลทีวีแล้ว Nielsen รายงานตัวเลขการชมเนื้อหาทางทีวีของคนดูในอเมริกา ของเดือนกรกฎาคม 2022 มีประเด็นสำคัญคือหากแยกกลุ่มประเภทที่มาของเนื้อหา การรับชมเนื้อหาจากบริการสตรีมมิ่ง มีส่วนแบ่งรวมสูงกว่ารายการทางเคเบิ้ลทีวีเป็นครั้งแรก โดยเมื่อปีก่อนสตรีมมิ่งก็แซงรายการทางทีวีแบบเดิม (Linear) สตรีมมิ่งมีส่วนแบ่งการรับชม 34.8% ตามด้วยรายการทางเคเบิ้ล 34.4% รายการทีวีออกอากาศแบบเดิม 21.6% และอื่น ๆ (เล่นเกม ดู DVD ฯลฯ) 9.2% ทั้งนี้แนวโน้มส่วนแบ่งของสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้นติดต่อกันมาแล้ว 4 เดือน ซึ่งน่าสนใจว่าทิศทางจากนี้จะเป็นอย่างไร เพราะท่าทีทั้งจาก Netflix และ Disney+ ในไตรมาสที่ผ่านมา สะท้อนว่าลูกค้าสตรีมมิ่งในอเมริกาเริ่มเติบโตน้อยลง ในรายละเอียดของบริการสตรีมมิ่ง Netflix ครองส่วนแบ่งมากที่สุด 8.0% ตามด้วย YouTube 7.3% และ Hulu 3.6% ที่มา: Nielsen ผ่าน NBC News
# Lyft และ Motional เตรียมเปิดให้บริการรถยนต์ไร้คนขับที่ Las Vegas เป็นเมืองแรกในปีหน้า แพลตฟอร์มเรียกรถ Lyft และบริษัทรถยนต์ไร้คนขับ Motional เคยประกาศความร่วมมือเตรียมนำรถยนต์ไร้คนขับออกให้บริการบนถนนสาธารณะในปี 2023 โดยวันนี้ทั้งสองบริษัทแถลงอีกครั้งอย่างเป็นทางการว่าจะเริ่มให้บริการครั้งแรกที่เมือง Las Vegas ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าล้วน Hyundai Ioniq 5 Motional เป็นบริษัทรถยนต์ไร้คนขับที่ร่วมทุนระหว่าง Hyundai ผู้ผลิตรถยนต์จากเกาหลีใต้ และ Aptiv ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากไอร์แลนด์ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเพิ่งเปิดตัว Ioniq 5 Robotaxi รถยนต์ขับอัตโนมัติระดับ 4 วิธีใช้บริการรถยนต์ไร้คนขับ เพียงผู้ใช้บริการเรียกรถผ่านแพลตฟอร์ม Lyft และเมื่อรถมาถึงก็ปลดล็อกประตูด้วยแอป Lyft และในรถจะมีหน้าจอสำหรับผู้โดยสาร และสามารถติดต่อกับ remote agent ได้ตลอดเวลา สำหรับ Las Vegas ทั้งสองบริษัทจะเริ่มขยายขอบเขตการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับให้กว้างในช่วงสิ้นปีนี้ขึ้นเพื่อเก็บฟีดแบคจากผู้ใช้งานจริง และเตรียมเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ได้จริงในปี 2023 และนอกจาก Las Vegas แล้ว Lyft ยังมีแผนจะเปิดให้บริการรถยนต์ไร้คนขับอีกหลายเมืองของสหรัฐฯ ในปี 2023 เป็นต้นไป โดยการให้บริการลักษณะนี้จะต้องได้รับอนุมัติจากหน่วยงานท้องถิ่นก่อน ที่มา - Engadget, Reuters ภาพจาก Lyft
# Winamp จะกลับมาในรูปแบบซุปเปอร์แอป เตรียมเปิดให้ทดสอบโปรโมตและเผยแพร่เพลงเร็ว ๆ นี้ Winamp ประกาศคัมแบคเตรียมออกเวอร์ชันใหม่เร็ว ๆ นี้ แต่การกลับมาของ Winamp ครั้งนี้จะเป็นซุปเปอร์แอปสำหรับเพลง ที่มีบริการครบทั้งฝั่งศิลปินและคนฟัง Winamp เผยโฉม Winamp for Creators เป็นพื้นที่สำหรับศิลปินสำหรับการโปรโมต, เผยแพร่ และทำกำไรจากผลงานเพลงของตนเอง ผู้ทดสอบจะได้เข้าใช้งานเครื่องมือ Creator Pass ฟรีหนึ่งปีรวมถึงสิทธิ์เข้าถึงฟีเจอร์ exclusive อื่น ๆ อย่างเช่น llama ดิจิทัลโทเคนของ Winamp โดยตอนนี้จะทางบริษัทเปิดให้ผู้สนใจลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ Winamp.com จำนวนจำกัดเพียง 25,000 รายเท่านั้น คาดว่าจะเริ่มปลดล็อกฟีเจอร์ต่าง ๆ ในเดือนกันยายนนี้ และจะเริ่มเปิดให้แฟนเพลงสมัครสมาชิกในเดือนพฤศจิกายนนี้ ส่วนฝั่งผู้ใช้งาน Winamp ระบุว่าไม่ได้ละทิ้งการทำซอฟต์แวร์เล่นเพลงแบบที่ทุกคนคิดถึง โดยทางบริษัทระบุว่าจะพัฒนาไปควบคู่กับการปล่อยเซอร์วิสฝั่งศิลปินเพื่อสร้างซุปเปอร์แอปสำหรับเพลงที่ผู้ฟังต้องการ ที่มา - Engadget
# Embracer Group ซื้อบริษัทที่ถือสิทธิ The Lord of the Rings เวอร์ชันหนังและเกม Embracer Group บริษัทเกมจากสวีเดนที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากการซื้อกิจการจำนวนมาก (อ่านข่าวย้อนหลังในแท็กได้) ประกาศข่าวการซื้อกิจการหลายแห่งพร้อมกันในวันนี้ ที่น่าสนใจที่สุดคือ การซื้อ Middle-earth Enterprises บริษัทที่ถือครองสิทธิการดัดแปลงนิยายเรื่อง The Lord of the Rings และ The Hobbit ไปเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วิดีโอเกม บอร์ดเกม สินค้าที่ระลึก สวนสนุก และละครเวที เท่ากับว่าเกมที่เกี่ยวข้องกับ The Lord of the Rings ในอนาคตจะต้องมาขอสิทธิจาก Embracer Group เท่านั้น J. R. R. Tolkien ผู้เขียนนิยายได้ขายสิทธิการดัดแปลงนิยายเป็นภาพยนตร์ในปี 1968 ซึ่งสิทธินี้ตกทอดมาอยู่กับบริษัทชื่อ Tolkien Enterprises และภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Middle-earth Enterprises ในปี 2010 (ตัวบริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวของ Tolkien) โดยภาพยนตร์ฉบับ Peter Jackson และวิดีโอเกมที่เราเคยเห็นๆ กันล้วนแต่ต้องขอสิทธิจาก Middle-earth Enterprises ทั้งสิ้น (สิทธิของนิยายยังเป็นของครอบครัว Tolkien ผ่านองค์กรอีกแห่งคือ Tolkien Estate) การซื้อกิจการครั้งนี้ไม่เปิดเผยมูลค่า ตัว Middle-earth Enterprises จะยังบริหารงานแบบอิสระโดยทีมบริหารเดิม และ Embracer ระบุว่าจะยังดำเนินธุรกิจขายไลเซนส์ให้กับลูกค้ารายอื่นๆ ต่อไปเช่นเดิม ที่มา - Embracer Group
# Samsung ตั้งเป้าหมายส่งมอบสมาร์ทโฟนน้อยลงจากเดิมเพราะปัญหาซัพพลายเชน Samsung ตั้งเป้าส่งมอบสมาร์ทโฟนในปีนี้ ลดลงเป็น 260 ล้านเครื่อง จากเดิมที่ตั้งเป้าเมื่อต้นปีว่าจะผลิต 334 ล้านเครื่องและส่งมอบให้ได้ 300 ล้านเครื่องในปีนี้ ตัวเลข 260 ล้านเครื่อง ถือว่าน้อยกว่าปีที่แล้ว (ทั้งหมดประมาณ 270 ล้านเครื่อง) โดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจอย่างภาวะเงินเฟ้อ ปัญหาด้านซัพพลายเชน และตลาดสมาร์ทโฟนที่หดตัวลง การที่ Samsung ตั้งเป้าจำหน่ายสมาร์ทโฟนน้อยลงทำให้ Apple มีโอกาสที่จะตามทันในแง่ยอดขาย โดยเมื่อปีที่แล้ว Apple ขายสมาร์ทโฟนได้ 235 ล้านเครื่อง ส่วนในไตรมาสแรกของปีนี้ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max เป็นสมาร์ทโฟนที่ขายดีที่สุด (อ้างอิงจาก IDC) และ iPhone 14 ที่จะออกในเดือนกันยายนนี้ก็น่าจะขายดีเช่นกัน ที่มา: TheElec และ PhoneArena
# Tesla อาจรอด คาดยังไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงานในเสฉวนเร็ว ๆ นี้ หลังจากจีนสั่งปิดโรงงานในเสฉวนเกือบทั้งหมดซึ่งรวมถึงโรงงานของบริษัทผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม CATL ที่เป็นซัพพลายเออร์หลักของ Tesla ทำให้เกิดข้อกังวลว่า Tesla จะได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแบตเตอรี่เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม Tesla อาจจะยังไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดในระยะนี้ เพราะแม้ว่า CATL อาจเผชิญปัญหาการขาดแคลนสินค้าแต่ CATL ยังมีโรงงานอีกหลายแห่งทั่วจีนรวมถึงมณฑลใหญ่อย่างกวางโจวและเซินเจิ้น และซัพพลายเออร์แห่งหนึ่งของ Tesla ได้แสดงความเห็นว่า เป็นไปได้มากว่าซัพพลายเออร์จะให้ความสำคัญกับ Tesla เป็นลำดับแรก ๆ เช่นเดียวกับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่อื่น ๆ เพราะเป็นลูกค้ารายใหญ่ อีกเหตุผลหนึ่งคืออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังเป็นภาคส่วนที่จีนให้ความสำคัญเนื่องจากจำเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของจีน ดังนั้น เมื่อทรัพยากรมีจำกัด อุตสาหกรรม EV ก็จะได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือมากกว่า ที่มา: TechCrunch
# กูเกิลตั้งชิงช้า Android 13 ที่หน้าสำนักงานใหญ่ ตามธรรมเนียมของกูเกิลจะตั้งหุ่น Android ตามธีมขนมของรุ่นนั้นๆ ไว้ที่สำนักงานใหญ่ แต่หลังจาก Android 10 เป็นต้นมาที่เลิกใช้โค้ดเนมชื่อขนม ก็ทำให้ความขี้เล่นตรงนี้หายไปพอสมควร กูเกิลยังตั้งหุ่นที่สำนักงานใหญ่ แต่เปลี่ยนมาเป็นตัวเลขรุ่นแทน (หุ่น Android 10) พอมาถึง Android 11 และ 12 ที่ออกในยุค COVID กูเกิลจึงเปลี่ยนมาตั้งหุ่นจำลองในโลก AR แทน (ภาพของ 11, 12) คราวนี้เป็น Android 13 ในโลกยุคหลังโรคระบาด กูเกิลจึงทำทั้งสองแบบเลยคือ มีทั้ง 13 AR และของจริงที่สำนักงานใหญ่ แถมรอบนี้ยังดูขี้เล่นขึ้นอีกหน่อย แทนที่เป็นเลข 13 ธรรมดาๆ ก็เปลี่ยนเป็นชิงช้ารูป 13 วางแนวนอนแทน ที่มา - Android Central
# [ลือ] สมาร์ทโฟน Sony Xperia 1 V อาจใช้เทคโนโลยีกล้องหน้าใหม่ ไม่กินขอบจอ ไม่ต้องอยู่ใต้จอภาพ นักปล่อยข่าวหลุดมือถือชาวจีนโพสต์ใน Weibo บัญชี 猫Nya消散中 ว่าโซนี่กำลังผลิตเซ็นเซอร์กล้องหน้าที่เรียกว่า ultra-micro-hole หรือ micro-matrix multi camera ทำให้กล้องหน้าโทรศัพท์มือถือเหลือเพียงบนรูขนาดเล็กมากเรียงเป็นเส้นตรงบริเวณขอบจอซึ่งทำให้หน้าจอมือถือแทบจะไร้ขอบ และไม่ต้องนำกล้องไปวางใต้จอภาพที่จะทำให้การแสดงผลภาพที่ตำแหน่งกล้องเพี้ยนไป คาดว่าโทรศัพท์รุ่นแรกๆ ที่จะใช้เซ็นเซอร์รุ่นนี้คือ Sony Xperia 1 V และ Google Pixel Fold ข่าวลือเซ็นเซอร์แบบ micro matrix มีมาตั้งแต่ปี 2020 ว่าโซนี่กำลังพัฒนาเซ็นเซอร์รูปแบบนี้ และตอนนั้น 猫Nya消散中 ก็เคสโพสภาพเรนเดอร์ของโทรศัพท์โซนี่ที่ใช้เซ็นเซอร์รูปแบบนี้ แต่ผ่านมาสองปีก็ยังไม่มีโทรศัพท์รุ่นใดใช้เซ็นเซอร์นี้จริง ที่มา: NotebookCheck ภาพจาก 猫Nya消散中 ผ่านทาง Sumahodigest
# Amazon ทดลองฟีเจอร์ใหม่ โชว์รูปและวิดีโอสินค้าเหมือนหน้าฟีด TikTok บริษัท AI สัญชาติอิสราเอล Watchful เปิดเผยต่อสำนักข่าว Wall Street Journal ว่า Amazon กำลังทดลองฟีเจอร์ใหม่ภายในกลุ่มพนักงานไม่กี่คน เป็นฟีเจอร์แสดงรูปและวิดีโอสินค้าที่มีลักษณะเหมือนหน้าฟีดของ TikTok โดยเรียกกันภายในว่า Inspire เป็นไอคอนคล้ายเพชรที่แสดงบนหน้าโฮมของแอปพลิเคชัน ฟีเจอร์นี้ทำให้ผู้ต้องการซื้อสินค้าของ Amazon สามารถเลือกดูสินค้าที่เป็นรูปหรือวิดีโอและผู้ใช้สามารถกดลิ้งก์เพื่อซื้อสินค้าหรือแชร์ให้กับผู้ใช้คนอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ว่า Amazon จะปล่อยฟีเจอร์นี้ให้ผู้ใช้โดยทั่วไปใช้หรือไม่ ปัจจุบันในแอปพลิเคชัน TikTok ก็มีรูปภาพและวิดีโอสินค้าของ Amazon เป็นจำนวนมากที่อินฟลูอินเซอร์เผยแพร่เพื่อโปรโมทสินค้าและรับเงินส่วนแบ่งจากการขายอยู่แล้ว หาก Amazon สร้างบริการวิดีโอสั้นตามข่าวนี้จริงก็นับเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อีกรายที่ต้องตามกระแสวิดีโอสั้นแบบ TikTok อย่างแอปโซเชียลมีเดียอื่น ๆ เช่น Reels ของ Facebook และ Instagram หรือ YouTube Shorts ที่มา: Wall Street Journal และ TechCrunch
# [ลือ] Apple จัดงานเปิดตัว Apple Event 2022 วันที่ 7 กันยายนนี้ แหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตนเปิดเผยต่อ Mark Gurman แห่ง Bloomberg ว่า Apple วางแผนจะจัดงานเปิดตัวสินค้าใหม่ของปี 2022 ขึ้นในวันที่ 7 กันยายนนี้ด้วยการเผยแพร่เทปบันทึกทางออนไลน์ดังเดิม และสินค้าที่เปิดตัวน่าจะวางจำหน่ายในวันที่ 16 กันยายนหลังพนักงานร้านค้าปลีกของ Apple บางแห่งถูกแจ้งให้เตรียมตัวสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่และเป็นปกติที่ Apple จะวางจำหน่ายสินค้าที่เพิ่งเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของเดือนกันยายน คาดการณ์ว่าในงานนี้ Apple จะเปิดตัว iPhone 14 series ซึ่งการเปลี่ยนแปลงหลัก คือ จะยกเลิกรุ่น mini และจะเพิ่ม iPhone 14 Max แทน ส่วน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max จะเปลี่ยนเป็นหน้าจอแบบเจาะรู (Punch-hole) ที่มีเซนเซอร์ Face ID และกล้องหน้า และจะมาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล และเลนส์ Ultra-Wide Angle และ Telephoto และจะใช้ชิปที่เร็วยิ่งขึ้นขณะที่จะใช้ชิป A15 ตัวเดิมที่เคยใช้ใน iPhone13 series ใน iPhone 14 และ iPhone 14 Max นอกจากนี้ คาดว่า Apple จะเปิดตัว Apple Watch Series 8 ที่อาจจะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพสำหรับผู้หญิงและมีเซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิร่างกาย รวมถึง Apple Watch Pro ตัวใหม่ที่เหมาะสำหรับผู้ใช้สายออกกำลังกายมากขึ้น และอาจเปิดตัว Apple Watch SE ใหม่ที่ใช้ชิปเร็วขึ้น ในเดือนกันยายนนี้ Apple จะปล่อย iOS 16 สำหรับ iPhone รุ่นใหม่และ watchOS9 สำหรับ Apple Watch ด้วยหลังจากที่ได้เปิดตัวไปในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่มา: Bloomberg รุ่น iPhone 13 Pro
# อะไรก็แพง Amazon ประกาศขึ้นค่าจัดการสินค้า Fulfillment ช่วงเทศกาลปลายปี 2022 ยุคที่อะไรๆ ก็แพง ล่าสุด Amazon แจ้งเตือนผู้ค้าในแพลตฟอร์มว่าจะคิดค่าบริการจัดการสินค้า Fulfillment by Amazon เพิ่มเติมในช่วงเทศกาลปลายปี ถือเป็นครั้งแรกที่ Amazon ขึ้นราคาบริการในลักษณะนี้ Fulfillment by Amazon หรือ FBA เป็นบริการของ Amazon ที่ผู้ค้าสามารถนำสินค้าไปสต๊อกไว้ในคลังของ Amazon และมอบหมายให้ Amazon จัดการสต๊อก แพ็กของ จัดส่ง และการคืนสินค้า (ถ้าต้องมี) ให้เบ็ดเสร็จ แลกกับการจ่ายค่าธรรมเนียมให้ Amazon บริหารจัดการให้ (จุดเด่นของ FBA ที่เหนือกว่าบริการ fulfillment ทั่วไปคือ สินค้าจะเข้าข่ายส่งด่วนสำหรับสมาชิก Prime ด้วย ช่วยจูงใจให้ลูกค้าซื้อง่ายขึ้น) Amazon ประกาศว่าผู้ค้าในสหรัฐและแคนาดา จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มอีกชิ้นละ 35 เซนต์ ระหว่างช่วงเทศกาลปลายปีที่มีการสั่งซื้อคับคั่งคือ 15 ตุลาคม 2022 ถึง 14 มกราคม 2023 ด้วยเหตุผลว่าต้นทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น การขึ้นราคาของ Amazon ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ เพราะคู่แข่งด้านการส่งสินค้าอย่าง UPS หรือ FedEx ก็มักขึ้นราคาพิเศษในช่วงเทศกาลปลายปีกันอยู่แล้ว ภาพจาก Amazon ที่มา - CNBC
# ทางการ Tokyo เริ่มใช้หุ่นยนต์ลาดตระเวนช่วยงานรักษาความปลอดภัยในอาคาร ทางการโตเกียวได้เริ่มใช้หุ่นยนต์ลาดตระเวนในพื้นที่สำนักงานของศาลาว่าการ Tokyo โดยหุ่นยนต์เหล่านี้จะคอยวิ่งตรวจตราพื้นที่ภายในอาคารและยังเป็นตัวแทนเจ้าหน้าที่ให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ด้วย ก่อนหน้านี้ทางการโตเกียวได้ทดลองใช้งานหุ่นยนต์เพื่อช่วยในการรักษาความปลอดภัยพื้นที่ในอาคารมาตั้งแต่ปี 2018 แต่ครั้งนี้คือการจัดสรรหุ่นยนต์มาใช้งานจริงอย่างเป็นทางการจำนวน 3 ตัว โดยหุ่นเหล่านี้มีชื่อรุ่นว่า SQ-2 ผลิตโดยบริษัท SEQSENSE ผู้ผลิตหุ่นยนต์ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2016 หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย SQ-2 SQ-2 มีขนาดความสูง 1.30 เมตร น้ำหนัก 65 กิโลกรัม ด้านบนของมันติดตั้งเซ็นเซอร์ LIDAR เพื่อใช้สแกนพื้นที่โดยรอบเพื่อสร้างแผนที่ รวมทั้งใช้เพื่อการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ตลอดจนการคำนวณหาตำแหน่งของตนเองเทียบกับข้อมูลแผนที่อาคาร มันสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง 6 ชั่วโมงหลังการชาร์จไฟแต่ละครั้ง โดยเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมดหุ่น SQ-2 จะวิ่งกลับไปสถานีชาร์จไฟได้เอง ตัวหุ่นมีกล้องถ่ายภาพความละเอียดสูงพร้อมระบบส่งข้อมูลแบบไร้สายเพื่อส่งสัญญาณภาพกลับไปให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นั่งประจำการอยู่ในห้องควบคุม นอกจากนี้มันยังมีไมโครโฟนและลำโพงสำหรับให้คนที่อยู่ใกล้เคียงสามารถพูดคุยสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมได้ด้วย เจ้าหน้าที่ของทางการ Tokyo อธิบายถึงสาเหตุหลักของการใช้หุ่นยนต์ทำหน้าที่ลาดตระเวนพื้นที่นี้ว่าเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนคนทำงานด้านการรักษาความปลอดภัย และด้วยปัญหาขาดแคลนคนนี้จึงเป็นไปได้มากว่าเราจะเห็นการใช้งานหุ่นยนต์แบบนี้เพิ่มมากขึ้นอีกหลายที่ในอนาคต ที่มา - SoraNews24
# บริษัทคริปโตลดงบการตลาด เลิกฉายโฆษณาทีวี เลิกจ้างดาราดังมาโฆษณา ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงช่วงต้นปีนี้ เราเห็นข่าวบริษัทสายคริปโตหลายแห่งในต่างประเทศ ทุ่มทุนจ้างดารา-นักกีฬาดังๆ มาเป็นพรีเซนเตอร์โปรโมท และออกโฆษณาทางทีวีในช่วงการแข่ง Super Bowl ซึ่งมีค่าโฆษณาแพงที่สุด ตัวอย่างคือ Crypto.com ใช้ Matt Damon นักแสดงและ LeBron James นักบาสเกตบอลชื่อดัง, FTX ใช้นักแสดง Larry David และ Tom Brady ผู้เล่นอเมริกันฟุตบอล อย่างไรก็ตาม หลังตลาดคริปโตแตกในระยะเวลาถัดมา เราเห็นข่าวบริษัทคริปโตหลายแห่งต้องปลดคน (เช่น Coinbase) และการลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดก็ต้องเกิดขึ้นตามไปด้วย Bloomberg รายงานว่าบริษัทสายคริปโตลดงบโฆษณาทางทีวีลงจากเดิมมาก จากที่เคยพุ่งสูงถึง 85 ล้านดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ (ช่วง Super Bowl) เหลือเพียง 3 ล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน และ 3.6 แสนดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม ตอนนี้แทบไม่เหลือโฆษณาคริปโตฉายทางทีวีในสหรัฐแล้ว โฆษณาของ Crypto.com โฆษณาของ FTX ที่มา - Bloomberg
# OmniVision เปิดตัวเซ็นเซอร์กล้อง 200MP รุ่นที่สอง ลดขนาดพิกเซลเหลือ 0.56 µm เท่าของซัมซุง ไม่ได้มีแต่ซัมซุงที่มีเซ็นเซอร์ภาพ 200MP อยู่บริษัทเดียว เพราะคู่แข่งร่วมวงการคือ OmniVision ที่ทำธุรกิจด้านเซ็นเซอร์ภาพและเซมิคอนดักเตอร์อื่นๆ ก็เปิดตัวเซ็นเซอร์ 200MP มาตั้งแต่ต้นปี 2022 (OVB0B) และผ่านมาเพียงไม่ถึงปีก็เปิดตัวเซ็นเซอร์ 200MP รุ่นที่สองต่อทันที เซ็นเซอร์รุ่นที่สองตั้งชื่อว่า OVB0A มีขนาดพิกเซลเล็กลงเหลือ 0.56 µm (รุ่นแรก 0.61 µm) เท่ากับ ISOCELL HP3 ของซัมซุง ช่วยให้ขนาดเซ็นเซอร์เล็กลงเหลือ 1/1.4 นิ้ว เหมาะกับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน ฟีเจอร์อื่นๆ ได้แก่การทำ cell binning รวมภาพจากพิกเซลใกล้เคียง 16 พิกเซล (4x4) เหลือพิกเซลเดียว (เหลือ 12.5MP) เพื่อให้ถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้ดีขึ้น, รองรับการทำออโต้โฟกัสแบบ quad phase detection (QPD) ได้ 100% เซ็นเซอร์ตัวอย่างจะส่งให้ผู้ผลิต OEM ในไตรมาส 4/2022 และปีหน้าเราคงได้เห็นสมาร์ทโฟนที่ใช้เซ็นเซอร์ตัวนี้ออกวางขายจริง ที่มา - OmniVision via Notebookcheck
# Google ออกโฆษณาใหม่ ให้ คนโด มาริเอะ ชวน Spark Joy ด้วยการซื้อ Google One กูเกิลออกโฆษณาตัวใหม่ เพื่อโปรโมตการสมัครใช้งานเพิ่มพื้นที่ Google One โดยมีนักแสดง Keegan-Michael Key รับบทเป็นผู้ใช้งานที่ประสบปัญหาเนื้อที่ 15GB ที่กูเกิลให้ฟรีไม่พอต่อการใช้งาน โดยแทนที่จะต้องเลือกทิ้งข้อมูลสำคัญ ก็ปรากฏ Kondo Marie ผู้เชี่ยวชาญการจัดบ้านชื่อดัง มาแนะนำสมัครใช้บริการ Google One เพื่อเพิ่มเนื้อที่เก็บข้อมูล รวมทั้งแนะนำวิธีการใช้บริการกูเกิลให้ Spark Joy สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการ เช่น Google Photos สามารถเสิร์ช ชื่อคน สถานที่ กิจกรรม เวลา ที่ต้องการได้ ส่วน Gmail สามารถใช้ label เพื่อจัดระเบียบอีเมลและค้นหาย้อนหลังได้ง่าย บริการ Google One เริ่มต้นที่ 100GB โดยมีค่าบริการที่ 700 บาทต่อปี ที่มา: กูเกิล
# Apple อัพเดต iOS 15.6.1 แก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย - watchOS 8.7.1 แก้ปัญหา Apple Watch รีบูทเอง แอปเปิลออกอัพเดตย่อยให้ระบบปฏิบัติการในเครือ ได้แก่ iOS 15.6.1, iPadOS 15.6.1, macOS Monterey 12.5.1 และ watchOS 8.7.1 โดย iOS 15.6.1, iPadOS 15.6.1 และ macOS Monterey 12.5.1 เป็นการแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยสองรายการ คือช่องโหว่ของเคอร์เนล CVE-2022-32894 ที่ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งที่ระดับเคอร์เนลได้ และอีกช่องโหว่เป็นของ WebKit CVE-2022-32893 เนื่องจากเป็นการแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย จึงแนะนำให้ผู้ใช้งานทุกคนอัพเดต สำหรับ watchOS 8.7.1 แอปเปิลไมได้ระบุว่าเป็นการอัพเดตเรื่องความปลอดภัย แต่เป็นการแก้บั๊กเฉพาะใน Apple Watch Series 3 ที่พบปัญหารีบูทเอง จึงเป็นอัพเดตออกมาเฉพาะ Apple Watch รุ่นดังกล่าวเท่านั้น ที่มา: 9to5Mac [1], [2]
# Cisco รายงานผลประกอบการไตรมาส รายได้รวมใกล้เคียงกับปีก่อน Cisco รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ตามปีการเงินบริษัท 2022 สิ้นสุดวันที่ 30 กรกฎาคม 2022 รายได้ 13,102 ล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน มีกำไรสุทธิตามบัญชี GAAP ที่ 2,815 ล้านดอลลาร์ ธุรกิจหลักของ Cisco ซึ่งเรียกรวมว่ากลุ่ม Secure, Agile Networks มีรายได้ 6,094 ล้านดอลลาร์ ลดลง 1% กลุ่ม Internet for the Future ลดลง 10% เป็น 1,257 ล้านดอลลาร์, กลุ่ม Collaboration เพิ่มขึ้น 2% เป็น 1,164 ล้านดอลลาร์ ส่วนกลุ่ม End-to-End Security เพิ่มขึ้น 20% เป็น 984 ล้านดอลลาร์ Chuck Robbins ซีอีโอ Cisco กล่าวว่าคำสั่งซื้อและแบ็คล็อกตลอดปีที่ผ่านมา ทำสถิติสูงสุด สะท้อนความต้องการสินค้าที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทยังคงพัฒนาและส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า ที่พวกเขายังคงเร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่กระบวนการดิจิทัลต่อเนื่อง ที่มา: Cisco
# Google เปิดตัวโมเดล Machine Learning ให้หุ่นยนต์ทำตามคำสั่งแบบ Natural Language ได้ Google Research และหุ่นยนต์ผู้ช่วย Everyday Robots เปิดตัวโมเดล Machine Learning เพื่อให้หุ่นยนต์เข้าใจคำสั่งแบบ NLP และสามารถปฏิบัติต่อได้อย่างถูกต้อง โดยมีชื่อว่า PaLm-SayCan กูเกิลบอกว่า PaLm-SayCan เป็นการเรียนรู้ชุดภาษาธรรมชาติ และแปลงออกมาเป็นการกระทำสำหรับหุ่นยนต์ ผู้ใช้งานอาจป้อนข้อมูลด้วยการสั่งผ่านเสียงหรือส่งข้อความ โดยมีได้ทั้งงานง่าย ๆ ไปจนถึงงานที่มีความซับซ้อนต้องตีความ ตัวอย่างคำสั่งเช่น "ฉันทำน้ำส้มหก ช่วยจัดการให้หน่อย แล้วทำความสะอาด จากนั้นขอกระป๋องใหม่ด้วย" หุ่นยนต์จะคำนวณความเป็นไปได้ แล้วแปลงออกมาเป็น 3 งาน เริ่มจากเก็บกระป๋องไปทิ้ง ไปหยิบผ้าเช็ด แล้วเอาน้ำส้มกระป๋องใหม่มาให้ เป็นต้น สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ ที่มา: Android Central
# ALKOO แอพนำทางของญี่ปุ่นไอเดียเจ๋ง โชว์เงาอาคารในแผนที่ให้คนเลือกทางเดินหลบร้อน ALKOO แอพนำทางที่พัฒนาโดยบริษัทญี่ปุ่น NAVITIME โชว์ไอเดียน่าสนใจด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ชื่อ "Shade Map" เอาใจผู้ใช้งานที่นิยมการเดินตามท้องถนน ด้วยการแสดงเงาอาคารในแผนที่ภายในแอพแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวางแผนเลือกเส้นทางเพื่อเดินหลบร้อนได้ง่ายขึ้น ข้อมูลแผนที่ใน ALKOO นั้นมีโมเดล 3 มิติของตัวอาคารอยู่แล้ว เมื่อประกอบกับข้อมูลเวลาก็ทำให้ตัวแอพสามารถรู้ตำแหน่งดวงอาทิตย์ในแผนที่ และคำนวณการเกิดเงาของอาคารที่ทอดลงบนพื้นได้ ฟีเจอร์ "Shade Map" ที่ออกแบบมาเพื่อกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการค้นหาเส้นทางเดินหลบแดด ตัวอย่างเปรียบเทียบการแสดงผลเงาอาคารที่แตกต่างกันในช่วงเวลา 10.00 น., 14.00 น. และ 17.00 น. ฟีเจอร์ "Shade Map" นี้เพิ่งถูกใส่มาในแอพเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แม้ว่ามันจะมีแต่การแสดงผลเงาอาคารโดยไม่มีข้อมูลเงาของสิ่งปลูกสร้างอื่น เช่น รางรถไฟลอยฟ้า หรือทางเดินในร่มย่านร้านค้า แต่กระนั้นมันก็ยังถูกใจคนญี่ปุ่นกันมาก เพราะผ่านมาไม่กี่สัปดาห์จำนวนผู้ใช้งานแอพ ALKOO ก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้ก่อนมีฟีเจอร์นี้ จึงน่าจะสรุปได้ว่าเป็นฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้อย่างแท้จริง ที่มา - SoraNews24, NAVITIME
# Colossal บริษัทผู้ตั้งเป้าคืนชีพสัตว์สูญพันธุ์ กับเป้าหมายคืนเสือแทสมาเนียสู่ธรรมชาติ เชื่อว่าเกือบทุกคนรู้จักภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park ภาคแรกกันดี กับเรื่องราวการคืนชีพให้ไดโนเสาร์โดยอาศัยเทคนิคการตัดต่อพันธุกรรมเข้าช่วย ในตอนนั้นแนวคิดนี้ดูล้ำยุคไปมากจนหลายคนคงยากจะจินตนาการว่าจะมีใครพยายามทำสิ่งที่ใกล้เคียงกันให้เกิดขึ้นได้จริง แต่ตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งประกาศตัวด้วยเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่จะคืนชีพให้สิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วยเทคโนโลยีด้านพันธุกรรมศาสตร์คล้ายคลึงกับสิ่งที่เห็นจากภาพยนตร์ พวกเขาคือ Colossal บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพจากสหรัฐอเมริกา และโครงการแรกคือการคืนชีพให้เสือแทสมาเนียที่สูญพันธุ์ไปแล้ว Colossal เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Ben Lamm ซีอีโอซึ่งเคยผ่านงานบริษัทเทคมาแล้วหลายแห่ง และดอกเตอร์ George Church ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์สอนที่ Harvard และ MIT ซึ่งทีมงานของพวกเขายังประกอบไปด้วยนักวิทยาศาสตร์อีกจำนวนมาก Colossal มีเป้าหมายคืนชีพให้สัตว์สูญพันธุ์โดยเป้าหมายใหญ่สุดคือการคืนชีพให้ช้างแมมมอธ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 4,000 ปีที่แล้ว แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นพวกเขาตัดสินใจเริ่มจากการสร้างเสือแทสมาเนียซึ่งเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่สูญพันธุ์ไปเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้วกลับคืนมาก่อน เสือแทสมาเนียในสวนสัตว์ Washington, D.C. สำหรับเสือแทสมาเนียหรือเรียกอีกอย่างว่าหมาป่าแทสมาเนียนั้น มีชื่ออย่างเป็นทางการที่เรียกว่า "ไทลาซีน" เป็นสัตว์กินเนื้อที่เป็นนักล่าสูงสุดในกลุ่มสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง และด้วยความที่รูปร่างของมันคล้ายหมาป่า ทว่าลายที่หลังของมันนั้นเป็นลายแบบเดียวกับเสือจึงทำให้มันถูกเรียกด้วยชื่อที่กล่าวมาข้างต้น เสือแทสมาเนียนั้นเป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้มาตั้งแต่ประมาณ 2 ล้านปีก่อน แต่จนกระทั่งเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว เสือแทสมาเนียก็ลดจำนวนลงและหลงเหลืออยู่เพียงที่เดียวคือบนเกาะแทสมาเนียประเทศออสเตรเลีย ต่อมาจากการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ก็ทำให้เสือแทสมาเนียมีจำนวนลดน้อยลงไปอีกจนหมดไปจากธรรมชาติในช่วงปี 1910-1920 โดยเสือแทสมาเนียที่หลงเหลืออยู่เป็นตัวสุดท้ายนั้นได้รับการดูแลในสวนสัตว์ Hobart บนเกาะแทสมาเนียกระทั่งมันตายลงในปี 1936 หลังจากที่มันได้รับสถานะเป็นสัตว์คุ้มครองไม่นาน แม้หลายปีให้หลังจะมีผู้คนอ้างว่ายังพบเสือแทสมาเนียตามธรรมชาติแต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (International Union for Conservation of Nature) ได้ประกาศสถานะให้มันเป็นสัตว์สูญพันธุ์เมื่อปี 1982 "Benjamin" เสือแทสมาเนียตัวสุดท้ายในสวนสัตว์ Hobart สิ่งที่หลงเหลืออยู่เกี่ยวกับเสือแทสมาเนียคือภาพถ่าย, คลิปวิดีโอ และซากร่างของมัน ซึ่งกระโหลกของมันนี่เองที่จุดประกายให้ Colossal มีความหวังที่จะพาสัตว์สปีชีส์นี้กลับมาสู่โลกใบนี้อีกครั้ง พวกเขาร่วมมือกับทีมวิจัย Thylacine Integrated Genomic Restoration Research Lab (TIGRR) แห่ง University of Melbourne วางแผนที่จะนำเอาดีเอ็นเอของเสือแทสมาเนียที่ได้จากซากกระโหลกมาเป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อการตัดต่อพันธุกรรมสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันให้ได้ออกมาเป็นเสือแทสมาเนียตัวใหม่ แผนการก็คือนำเอาเซลล์ของดันนาร์ต ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อมีกระเป๋าหน้าท้องรูปร่างตัวเล็กใกล้เคียงกับหนูมาทำการตัดต่อพันธุกรรม สาเหตุที่เลือกใช้เซลล์ของดันนาร์ตนั้นก็เป็นเพราะว่าลักษณะดีเอ็นเอของมันมีความใกล้เคียงกับดีเอ็นเอของเสือแทสมาเนียมาก ซึ่งการตัดต่อนี้จะอาศัยข้อมูลดีเอ็นเอของเสือแทสมาเนียที่ได้จากซากกระโหลกมาเป็นตัวอ้างอิง จากนั้นพวกเขาจะนำเอาเซลล์ที่ตัดต่อพันธุกรรมแล้วเสร็จไปใส่ในมดลูกของดันนาร์ต ทั้งนี้ธรรมชาติของสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องเมื่อตอนแรกเกิดนั้นจะมีขนาดเล็กมากไม่ว่าขนาดตัวตอนโตเต็มวัยจะแตกต่างกันเท่าใด (ขนาดตัวแรกเกิดอาจจะเล็กเท่าเมล็ดข้าว) ทำให้พวกเขามั่นใจว่ามดลูกของดันนาร์ตจะสามารถใช้เพื่อการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนเสือแทสมาเนียได้ ตัวดันนาร์ต ขั้นตอนตามแผนหลังจากนั้นก็คือเมื่อตัวอ่อนเสือแทสมาเนียครบกำหนดครรภ์มันก็จะถูกคลอดออกมาแล้วถูกเลี้ยงดูต่อไปในกระเป๋าหน้าท้องของตัวดันนาร์ต ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นกระบวนการปกติของสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องอยู่แล้วที่จะเอาลูกซึ่งเพิ่งเกิดใหม่มาเลี้ยงต่อในกระเป๋าทันทีและเลี้ยงอยู่เช่นนั้นนานต่อไปอีกหลายสัปดาห์ อย่างไรก็ดีเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งเสือแทสมาเนียเกิดใหม่ก็จะมีขนาดตัวใหญ่ขึ้นเกินกว่าจะอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของดันนาร์ตที่ทำหน้าที่แทนแม่แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นทีมวิจัยจะใช้กระเป๋าหน้าท้องเทียมที่สร้างขึ้นมาใช้ในการดูแลลูกเสือแทสมาเนียจนกว่ามันจะถึงวัยที่สามารถออกมาใช้ชีวิตอยู่ภายนอก Colossal วางแผนว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถสร้างช้างแมมมอธด้วยวิธีการคล้ายคลึงกัน โดยอาศัยดีเอ็นเอที่หาได้จากซากของมันแล้วทำการตัดต่อพันธุกรรมช้างเอเชีย และใช้มดลูกของช้างเอเชียเป็นที่เพาะเลี้ยงตัวอ่อนของช้างแมมมอธ อย่างไรก็ตามโครงการคืนชีพช้างแมมมอธนั้นยากกว่าเสือแทสมาเนียมาก เนื่องจากมันสูญพันธุ์ไปก่อนหน้านานมาก การจะหาตัวอย่างดีเอ็นเอที่สมบูรณ์พอสำหรับใช้อ้างอิงในการตัดต่อพันธุกรรมเซลล์จึงยากกว่า อีกทั้งการจัดการกับสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าก็มีโจทย์ที่ต้องจัดการมากกว่าเช่นกัน หุ่นจำลองช้างแมมมอธที่พิพิธภัณฑ์ Royal British Columbia แม้ว่าแนวคิดที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นจะฟังดูมีความเป็นไปได้จริงไม่น้อย แต่นักวิทยาศาสตร์หลายรายก็ยังคงเห็นต่างและไม่คิดว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จได้ตามแผน Tom Gilbert ศาสตราจารย์จากสถาบัน GLOBE ของ University of Copenhagen ผู้ทำการศึกษาเรื่องการคืนชีพหนู Christmas Island ซึ่งเป็นสัตว์สูญพันธุ์อีกชนิดหนึ่งอยู่เช่นกัน ให้ความเห็นว่าการจะถอดรหัสพันธุกรรมจากดีเอ็นเอบนซากกระโหลกของเสือแทสมาเนียนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากข้อมูลที่ได้จะไม่สมบูรณ์และทีมวิจัยก็ไม่อาจคาดเดาเองได้โดยง่ายว่ารหัสพันธุกรรมส่วนที่ขาดหายไปนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งหากรหัสพันธุกรรมไม่มีความสมบูรณ์แล้วย่อมไม่มีทางที่ตัวอ่อนที่ผ่านกระบวนการตัดต่อพันธุกรรมจะรอดชีวิตมาเติบโตเป็นเสือแทสมาเนียได้ ในขณะที่ Jeremy Austin ศาสตราจารย์จาก Australian Centre for Ancient DNA นั้นมองว่าการคืนชีพสัตว์สูญพันธุ์นั้นเป็นเหมือนเทพนิยายแห่งวงการวิทยาศาสตร์ โดยเขากล่าวว่า ตอนนี้เราคงได้แต่รอติดตามข่าวว่าโครงการคืนชีพให้เสือแทสมาเนียนั้นจะประสบความสำเร็จจริงหรือไม่ หากมันเกิดขึ้นจริง วันหนึ่งเราอาจจะมีโอกาสได้เห็นช้างแมมมอธตัวเป็นๆ ด้วยตาของเราเองเช่นกัน ที่มา - Ars Technica, BBC, CNN
# Crunchy Data เปิดบทเรียน SQL บนเบราว์เซอร์ คอมไฟล์ PostgreSQL รันบน WASM Crunchy Data ผู้ให้บริการฐานข้อมูล PostgreSQL บนคลาวด์ เปิดบทเรียน SQL แบบออนไลน์ฟรี ให้ผู้เรียนสามารถฝึกเขียน SQL ได้อย่างอิสระ โดยอาศัยการคอมไพล์ PostgreSQL ทั้งชุดมารันบน WASM ใช้งานได้เหมือนข้อมูลจริง โดยไม่ต้องเปลืองทรัพยากรฝั่งของ Crunchy Data เอง (นอกจากค่าพัฒนาและค่าแบนวิดท์) เนื่องจาก PostgreSQL รันอยู่บนเบราว์เซอร์ปกติโดยไม่มีสตอเรจถาวรใดๆ แม้จะคิวรีและแก้ไขข้อมูลได้อิสระแต่เพียงแค่กดรีเฟรชหน้าเว็บข้อมูลก็จะหายไปทั้งหมด และตอนนี้ไม่สามารถเชื่อมต่อแอปใดๆ เข้ามายังตัวฐานข้อมูลในหน้าเว็บหน้าได้นอกจากหน้าจอเบราว์เซอร์เท่านั้น ตัวโปรแกรมคอนฟิกให้กินแรมไม่เกิน 512MB ไม่น่าใช่เรื่องใหญ่เมื่อเทียบกับปริมาณการกินแรมของเบราว์เซอร์ทุกวันนี้ บทเรียนชุดแรกมี 7 บท ได้แก่ psql พื้นฐาน, การแบ่งข้อมูล (partitioning) ใน PostgreSQL, การวิเคราะห์ประสิทธิภาพฐานข้อมูล, การ join ใน SQL, PostGIS, การทำ indexing, Common Table Expressions และ Windows Expression ขณะที่เขียนข่าวอยู่นี้หน้าเว็บของ Crunchy Data มีปัญหาเข้าไม่ได้อยู่บ้าง ที่มา - Crunchy Data
# ไมโครซอฟท์เปิดตัว Markdown Language Server สำหรับ VS Code เทียบเท่าภาษาโปรแกรม โลกของ Visual Studio Code มี Language Server ใช้รองรับภาษาโปรแกรมต่างๆ ให้ทำงานร่วมกับ IDE ได้ดีขึ้น ซึ่งภายหลัง Language Server Protocol เริ่มได้รับการยอมรับในวงการ มี IDE ตัวอื่นนำไปใช้งานบ้าง เช่น Eclipse Che ปกติเวลาพูดถึง Language Server เรามักนึกถึงภาษาโปรแกรมจริงๆ (รายชื่อภาษาทั้งหมด) แต่ล่าสุดไมโครซอฟท์เปิดตัว Markdown Language Server ที่รองรับภาษาเขียนฟอร์แมตยอดนิยมอย่าง Markdown ที่ทุกวันนี้แพร่หลายขึ้นมาก (Readme.md กลายเป็นมาตรฐานของวงการ) ฟีเจอร์ที่รองรับมีตั้งแต่ completion, folding, smart selection, symbols, document links, find all references เป็นต้น ก่อนหน้านี้ VS Code รองรับ Markdown ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่การสร้าง Markdown Language Server ออกมาช่วยให้กลายเป็นมาตรฐานที่ไปเชื่อมกับ IDE/editor ตัวอื่นได้ด้วย ตัวซอร์สโค้ดอยู่บน GitHub ตอนนี้ Markdown Language Server ถูกใช้งานอยู่แล้วใน VS Code เวอร์ชัน 1.70 ขึ้นไป ที่มา - VS Code
# Tencent รายงานผลประกอบการ รายได้ลดลงเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น Tencent รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ปี 2022 มีรายได้รวม 134,034 ล้านหยวน ลดลง 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน มีกำไรสุทธิ 28,139 ล้านหยวน โดยถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทรายงานตัวเลขรายได้ลดลงจากปีก่อน และเป็นตัวเลขที่ลดลงแบบเทียบไตรมาสติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง ปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อรายได้ของ Tencent คือธุรกิจเกม ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลของจีนเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงไม่อนุมัติใบอนุญาตเกมใหม่ ๆ เป็นเวลาเกือบปี รายได้จากธุรกิจเกมลดลง 1% ทั้งเกมในประเทศและต่างประเทศ ส่วนธุรกิจสื่อโซเชียลรายได้เพิ่มขึ้น 1% จาก WeChat Ma Huateng ซีอีโอ Tencent กล่าวว่า ช่วงไตรมาสสองที่ผ่านมา บริษัทได้ทยอยยุติธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท ควบคุมค่าใช้จ่ายการตลาดมากขึ้น ตลอดจนลดค่าใช้จ่ายหลายอย่าง บริษัทยังเห็นโอกาสในธุรกิจใหม่อีกมากที่จะเติบโตทั้ง FinTech, ธุรกิจลูกค้าองค์กร ไปจนถึงบริการโฆษณาออนไลน์ ที่มา: Tencent และ Reuters
# Mozilla เผยแอปจดรอบเดือนและติดตามการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ไม่ผ่านมาตรฐานความเป็นส่วนตัวของข้อมูล Mozilla ได้ตรวจสอบความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในแอปพลิเคชันบันทึกรอบเดือนและแอปพลิเคชันติดตามการตั้งครรภ์ พบว่าส่วนใหญ่ไม่ผ่านมาตรฐานความเป็นส่วนตัวข้อมูล Mozilla ตรวจสอบรวม 20 แอปและอุปกรณ์สวมใส่ที่สามารถติดตามรอบเดือนและการตั้งครรภ์ได้อีก 5 อุปกรณ์ ผลการสำรวจพบว่ามีเพียงอุปกรณ์สวมใส่ทั้ง 5 ได้แก่ Garmin, Fitbit, Apple Watch, Oura Ring และ Whoop Strap ร่วมกับแอปพลิเคชัน 2 แอปเท่านั้นที่ผ่านมาตรฐานของ Mozilla ได้แก่ Euki และ Natural Cycles และมีเพียงแอปพลิเคชัน Euki เท่านั้นที่ได้สถานะ Best Of (มีความเป็นส่วนตัวสูงที่สุด) ส่วนอีก 18 แอปขึ้นสถานะ Privacy Not Included (ไม่มีความเป็นส่วนตัว) การตรวจสอบพบว่าแอปพลิเคชันส่วนใหญ่ไม่มีการกำหนดนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน รวมถึงไม่ได้ระบุว่าจะส่งข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เพื่อบังคับใช้ตามกฎหมายห้ามทำแท้งหรือไม่ ซึ่งแอปที่ขึ้นสถานะ Privacy Not Included มีแอปแนะนำใน Apple Store อย่าง Clue Period & Cycle Tracker และ Eve รวมอยู่ด้วย ก่อนหน้านี้ก็ได้มีกรณีที่ Meta เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเป็นหลักฐานคดีทำแท้งผิดกฎหมาย ที่มา: Mozilla และ Gizmodo
# Apple เตรียมผลิต Apple Watch และ MacBook ที่เวียดนามเป็นครั้งแรก บุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Apple เปิดเผยกับ Nikkei Asia ว่าซัพพลายเออร์ของ Apple อย่าง Luxshare ของจีนและ Foxconn ของไต้หวันเริ่มทดสอบสายการผลิต Apple Watch และ MacBook ในเวียดนามเป็นครั้งแรก หลังจากเวียดนามเป็นฐานการผลิต iPad และ AirPods นอกจีนมาก่อน นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพูดคุยเรื่องการผลิต HomePod ที่เวียดนามด้วย การที่ Apple จะย้ายการผลิต Apple Watch มายังเวียดนามเป็นผลดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและระบบซัพพลายเชนของเวียดนามเนื่องจากการผลิต Apple Watch มีความซับซ้อนและต้องอาศัยความชำนาญทางเทคโนโลยี ส่วนทางฝั่ง MacBook การย้ายฐานการผลิตค่อนข้างเป็นไปได้ช้าเนื่องจากการผลิตคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปต้องอาศัยซัพพลายเชนขนาดใหญ่รวมถึงการเคลื่อนย้ายหยุดชะงักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การที่ Apple (และบริษัทเทคโนโลยีใหญ่อื่น ๆ เช่น Google, Dell และ Amazon) เริ่มมีฐานการผลิตนอกประเทศจีนเป็นการเพิ่มสมดุลอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ หลังจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนตึงเครียดมากขึ้นตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งทำให้ Apple ผลิต AirPods ที่เวียดนามด้วยก่อนหน้านี้ ที่มา: Nikkei Asia
# มณฑลเสฉวนสั่งปิดโรงงานทั้งหมด หลังเผชิญคลื่นความร้อนรุนแรงสุดในรอบ 60 ปี กระทบบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประกาศฉุกเฉินสั่งปิดโรงงานใน 19 เมือง (จากทั้งหมด 21 เมือง)ในมณฑลเสฉวนเป็นเวลา 6 วันเพื่อป้องกันการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าสำหรับผู้อยู่อาศัยหลังเผชิญคลื่นความร้อนและภัยแล้งในเดือนกรกฎาคมและทวีความรุนแรงสูงสุดในรอบ 60 ปีทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง 40 องศาเซลเซียส คลื่นความร้อนทำให้มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นจากการใช้เครื่องปรับอากาศในสถานที่ทำงานและในครัวเรือน และภัยแล้งยังทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำลดลงนำไปสู่การที่โรงงานไฟฟ้าพลังน้ำผลิตไฟฟ้าได้น้อยลง เนื่องจากมณฑลเสฉวนเป็นแหล่งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และแผงพลังงานแสงอาทิตย์รวมถึงแหล่งเหมืองแร่ลิเธียมและโพลีซิลิคอนซึ่งใช้ในการทำแบตเตอรี่รถยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การสั่งปิดโรงงานจะทำให้เกิดผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งที่มีโรงงานอยู่ในเสฉวนซึ่งรวมถึง Apple, Intel, Foxconn และ Tesla ที่ซื้อแบตเตอรี่รถยนต์จากบริษัท CATL ของจีน และกระทบต่อบริษัทจีนอย่าง Sichuan Haowu Electromechanical ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และ Sichuan Lutianhua ผู้ผลิตปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ รวมทั้งอาจส่งผลให้แร่ทั้งสองชนิดมีราคาสูงขึ้น คลื่นความร้อนยังทำให้เกิดความเสียหายทางการเกษตรทำให้ราคาผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มสูงขึ้นจนนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อด้วย ที่มา: CNN Business
# WhatsApp บน Windows ปรับปรุงใหม่ เป็นแอปเนทีฟ ไม่ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนแล้ว WhatsApp เวอร์ชันบนเดสก์ท็อป Windows ปรับปรุงใหม่ พ้นสถานะเบต้าและเปิดให้ดาวน์โหลดบน Microsoft Store แล้ว ของใหม่คือทาง WhatsApp บอกว่าเป็นแอปแบบเนทีฟ (UWP) ที่ลื่นและเร็วกว่าเดิม (เดิมเป็น Win32) รวมถึงการใช้งานที่ล็อกอินได้โดยตรง จากเดิมที่เป็นเว็บแอปหรือเข้าผ่านเบราว์เซอร์ที่ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน พร้อมอินเทอร์เฟสใหม่ที่คลีนกว่าเดิม ส่วนผู้ใช้งาน MacOS ขณะนี้ยังไม่เปิดให้ใช้แอปพลิเคชันอย่างเป็นทางการแต่สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมเบต้าเพื่อทดลองใช้ได้ (ขณะนี้มีผู้ทดลองใช้เต็มจำนวนแล้ว) ที่มา: WhatsApp via The Verge
# พบมัลแวร์ SOVA บนแอนดรอยด์เพิ่มฟีเจอร์ Ransomware เรียกค่าไถ่เหยื่อ Cleafy ผู้ให้บริการความปลอดภัยรายงานถึงการพัฒนาของมัลแวร์ SOVA ซึ่งเป็นมัลแวร์มุ่งเป้าโจมตีบริการธนาคารบนโทรศัพท์มือถือ (banking trojan) ในเวอร์ชั่นล่าสุดได้เพิ่มฟีเจอร์แรนซัมแวร์ เข้ารหัสไฟล์ในเครื่องของเหยื่อแบบเดียวกับบนพีซีและเซิร์ฟเวอร์ SOVA มุ่งเป้าผู้ใช้ธนาคารโดยเฉพาะ มันสามารถดักข้อมูล cookie ที่ผู้ใช้ล็อกอินบริการต่างๆ, ข้อมูลการล็อกอินสองขั้นตอน รองรับแอปธนาคารและแอปในกลุ่มคริปโตจำนวนมาก หรือแอปขายสินค้าก็รองรับเช่นกัน การที่ SOVA สามารถเข้ารหัสเครื่องของเหยื่อเพื่อเรียกค่าไถ่ นับเป็นฟีเจอร์ที่เจอไม่บ่อยในมัลแวร์บนแอนดรอยด์ แต่ Cleafy ก็ระบุว่าหลังๆ คนใช้งานโทรศัพท์เก็บข้อมูลธุรกิจกันมากขึ้นจึงเป็นโอกาสสำหรับคนร้ายกลุ่มนี้ ที่มา - Cleafy แผนที่ประเทศที่ SOVA โจมตี
# จีพียูรุ่นใหม่อินเทล (12th Gen และ Arc) หยุดรองรับ DirectX 9 แต่ยังเล่นเกมเก่าได้ผ่านอีมูเลเตอร์ อินเทลขึ้นประกาศหน้าเว็บไซต์ว่า จีพียูรุ่นใหม่ๆ ของตัวเอง ได้แก่ จีพียูออนบอร์ดในซีพียู 12th Gen และจีพียูแยกตระกูล Arc จะไม่รองรับ DirectX 9 (D3D9) อีกต่อไป เป็นผลให้ไม่สามารถเล่นเกมเก่าๆ ที่ต้องพึ่งพา DirectX 9 ได้แบบเนทีฟ แต่ยังสามารถเล่นได้ผ่านอีมูเลเตอร์กราฟิก D3D9On12 ของไมโครซอฟท์ ที่ใช้วิธี mapping DirectX 9 บน DirectX 12 และมีอยู่แล้วบน Windows 10 โดยเพิ่งเปิดเป็นโอเพนซอร์สในปี 2021 DirectX 9 ออกในปี 2002 ตอนนี้มีอายุ 20 ปีพอดี การที่จีพียูรุ่นใหม่ๆ จะหยุดรองรับคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก และผู้ใช้ก็ยังสามารถเล่นเกมได้ผ่านอีมูเลเตอร์ของไมโครซอฟท์เอง แต่ข่าวนี้ก็เป็นสัญญาณว่าอายุขัยของ DirectX 9 น่าจะสิ้นสุดในอีกไม่ช้านี้ ที่มา - Intel via Windows Central
# .NET 6 ลง Ubuntu อย่างเป็นทางการ พร้อมคอนเทนเนอร์ขนาดเล็ก ไม่มี root ไมโครซอฟท์ร่วมมือกับ Canonical นำ .NET 6 รวมเข้าไว้ใน Ubuntu 22.04 (Jammy) อย่างเป็นทางการ ทำให้ผู้ใช้ Ubuntu สามารถติดตั้ง .NET 6 ด้วยคำสั่ง sudo apt install dotnet6 ได้เลย ไม่ต้องเพิ่ม repository ใดๆ อีก นอกจากการเพิ่มแพ็กเกจ .NET 6 แล้วทั้งสองบริษัทยังปล่อยอิมเมจคอนเทนเนอร์เวอร์ชั่นเล็กพิเศษ โดยใช้โปรแกรม chisel ของ Canonical สร้างอิมเมจขึ้นมา ทำให้สามารถรัน .NET พร้อมกับลดความเสี่ยงความปลอดภัย เพราะอิมเมจไม่มีไฟล์ที่ไม่จำเป็นเลย รวมถึง shell ต่างๆ และไม่สามารถรันบนสิทธิ์ root ได้ แม้ว่าขนาดอิมเมจจริงๆ จะไม่ได้เล็กกว่าอิมเมจที่ใช้ Alpine แต่ความต่างสำคัญคืออิมเมจของ Ubuntu นั้นใช้ไลบรารีเดียวกับ Ubuntu ตัวเต็มทำให้ความเข้ากันได้ดีกว่าในกรณีที่แอปต้องการใช้ libc ที่มา - Microsoft
# Adidas เปิดตัวหูฟังครอบศีรษะใหม่ ชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ได้ ใช้แสงไฟชาร์จก็ได้ Adidas ร่วมมือกับ Zound Industries บริษัทเครื่องเสียงสัญชาติสวีเดนภายใต้ลิขสิทธิ์ในชื่อ Marshall เปิดตัวหูฟังครอบศีรษะรุ่น RPT-02 SOL ที่มีแผ่นรับแสงอาทิตย์ที่ใช้ในการชาร์จแบตอยู่บริเวณที่ครอบศีรษะโดยใช้เทคโนโลยี Powerfoyle สิทธิบัตรของบริษัท Exeger ความพิเศษ คือ เป็นแผงที่สกรีนลงไปบนพลาสติกได้และสามารถชาร์จได้จากทั้งแสงอาทิตย์และแสงไฟทำให้ชาร์จได้ทุกเวลา นอกจากนี้ ยังมีตัววัดระดับความเข้มแสงที่เหมาะสมสำหรับการชาร์จด้วย หูฟังสามารถใช้งานได้ถึง 80 ชั่วโมงซึ่งมีระยะเวลาเป็น 2 เท่าของรุ่นก่อนอย่าง RPT-01 ที่ใช้ได้ 40 ชั่วโมง หูฟังกันน้ำระดับ IPX4 มีพอร์ต USB-C รวมทั้งผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเพลงหรือปรับระดับความดังได้ที่ตัวหูฟัง ตัวหูฟังทำมาจากพลาสติกรีไซเคิลและไนลอน RPT-02 SOL จะวางจำหน่ายในราคา $229 หรือประมาณ 8,100 บาท และสามารถซื้อทางออนไลน์ได้ในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ ก่อนหน้านี้เทคโนโลยี Powerfolye ได้ถูกนำไปใช้กับหูฟังครอบศีรษะและหูฟังไร้สายของแบรนด์สวีเดน Urbanista มาก่อนแล้วด้วย ที่มา: Engadget
# โปรดิวเซอร์ FF16 ยอมรับ ซีรีส์ Final Fantasy ตอนนี้ต้องดิ้นรนปรับตัว Naoki Yoshida ผู้กำกับของ Final Fantasy XIV และโปรดิวเซอร์ของ Final Fantasy XVI (รู้จักกันในวงการว่า Yoshi-P) ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Inverse ถึงแม้ไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ของ FFXVI แต่พูดถึงภาพรวมของซีรีส์ Final Fantasy ตอนนี้ Yoshida ถูกมองว่าเป็น "ผู้กอบกู้" หลังทำผลงานดีเยี่ยมในการพลิกฟื้น FFXIV ให้กลับมารุ่งเรือง และกลายเป็นเกมทำเงินสูงสุดของบริษัท เขายังได้รับมอบหมายให้มาทำ FFXVI หลังจากเกมภาค XV ทำผลงานได้ไม่ดีนัก และเจอปัญหาระหว่างการพัฒนามากมาย Yoshida ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าซีรีส์ Final Fantasy ตอนนี้ต้องดิ้นรนเพื่อให้ปรับตัวเข้ากับเทรนด์ของวงการเกม (ต้นฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า I believe the series is currently struggling) เขาเล่าว่าตอนนี้ Square Enix ได้รับไอเดียมากมายว่าบริษัทควรพัฒนาซีรีส์ Final Fantasy ไปทางไหน ซึ่งไม่สามารถทำได้หมดด้วยเกมภาคเดียว แนวทางของเขาคือบริษัทต้องทำเกมหลายๆ เกมเพื่อทดลองแนวทางที่แตกต่างกัน และพยายามทำผลงานให้ดีที่สุดในเวลาที่กำหนด เขาบอกว่า Final Fantasy ไม่เคยเป็นผู้ตามเทรนด์ แต่เป็นผู้นำเทรนด์ วิธีคิดของเขาใน FFXIV คือการทดลองสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะวิธีการเล่าเรื่อง (storytelling) โดยยกตัวอย่างตอนที่ FFXIV รีเซ็ตเซิร์ฟเวอร์ในปี 2012 ก่อนเปลี่ยนเป็นเวอร์ชัน A Realm Reborn ก็ใช้วิธีเล่าเรื่องว่าเกิดหายนะขึ้นในเกม ที่มา - Inverse
# RubyGems เริ่มบังคับนักพัฒนาแพ็กเกจ Ruby ยอดนิยม ต้องล็อกอินด้วย MFA ระบบจัดการแพ็กเกจซอฟต์แวร์ยอดนิยมหลายตัว เช่น NPM, PyPI เริ่มบังคับนักพัฒนาเจ้าของแพ็กเกจต้องยืนยันตัวตนแบบ MFA เพื่อป้องกันปัญหา supply chain attack นักพัฒนาโดนแฮ็กบัญชี แล้วถูกฝังมัลแวร์แพร่กระจายในวงกว้าง RubyGems ระบบจัดการแพ็กเกจของภาษา Ruby เป็นรายล่าสุดที่เริ่มบังคับนักพัฒนาล็อกอินด้วย MFA แต่ยังจำกัดเฉพาะแพ็กเกจ (gems) ยอดนิยม 100 อันดับแรกเท่านั้น RubyGems ใช้เกณฑ์ดูจำนวนยอดดาวน์โหลดรวมของแพ็กเกจ หากเกิน 180 ล้านครั้งจะถูกบังคับใช้ MFA และถ้าจำนวนเริ่มเข้าใกล้ลิมิต 165 ล้านครั้งจะได้รับคำเตือนให้เตรียมตัว ทางผู้ดูแลโครงการยังบอกว่ากำลังทำระบบให้รองรับ WebAuthn เพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้คีย์ฮาร์ดแวร์หรือไบโอเมทริกยืนยันตัวตน MFA ได้ด้วย ที่มา - RubyGems via The Register
# [อัพเดต: เจ้าตัวบอกล้อเล่น] Elon Musk ประกาศจะซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อัพเดต: เจ้าตัวแก้ข่าวแล้วว่าแค่ล้อเล่น แต่แมนยูยังเป็นทีมโปรดของเขาตั้งแต่เด็กๆ Elon Musk โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ระบุว่าจะซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของอังกฤษ โดยไม่อธิบายเหตุผลเพิ่มเติม เจ้าของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในปัจจุบันคือ ครอบครัวนักธุรกิจตระกูล Glazer ของสหรัฐ (เป็นเจ้าของสโมสร Tampa Bay Buccaneers ในลีก NFL ด้วย) ที่ซื้อหุ้นเกือบทั้งหมดของสโมสรตั้งแต่ปี 2005
# [ไม่ยืนยัน] Tencent มีแผนขายหุ้นเกือบทั้งหมดของ Meituan ออกมา มีรายงานจาก Reuters อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Tencent มีแผนขายหุ้นส่วนใหญ่ที่ถืออยู่ใน Meituan แอป O2O รายใหญ่ในจีน โดยปัจจุบัน Tencent ถือหุ้นอยู่ 17% คิดเป็นมูลค่าตามราคาตลาดราว 24,000 ล้านดอลลาร์ Tencent เริ่มลงทุนใน Meituan มาตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว โดยตอนนั้นเป็นการลงทุนในบริษัท Dianping ที่ต่อมาได้ควบรวมกิจการกับ Meituan เป็นบริษัท Meituan Dianping และเหลือเรียกสั้น ๆ ว่า Meituan รายงานบอกว่าเหตุผลที่ Tencent ต้องการขายหุ้น เพื่อลดแรงกดดันการผูกขาดทางธุรกิจ จากหน่วยงานกำกับดูแลของทางการจีน ซึ่งช่วงที่ผ่านมาบริษัทประกาศและขายหุ้นบางส่วนของทั้ง JD.com และ Sea ไปแล้ว CNBC ติดต่อไปยัง Tencent แต่บริษัทปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อข่าวดังกล่าว ส่วนแหล่งข่าว CNBC บอกว่า Tencent มีแผนขายหุ้นจริง แต่ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ อัพเดต: Tencent ชี้แจงในช่วงแถลงผลประกอบการไตรมาสต่อประเด็นนี้ โดยบอกว่าข้อมูลดังกล่าวไม่ถูกต้อง (Bloomberg) ที่มา: CNBC
# Sea ไตรมาส 2/2022 รายได้รวมโต 29%, GMV ของ Shopee เพิ่มขึ้น 27% กลุ่ม Sea Limited ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Shopee และ Garena รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2022 มีรายได้รวมทั้งกลุ่มตามบัญชี GAAP 2,942.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 29.0% เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ขาดทุนสุทธิมากขึ้นเป็น 931.2 ล้านดอลลาร์ กลุ่มอีคอมเมิร์ซ (Shopee) รายได้เพิ่มขึ้น 51.4% เป็น 1,755.7 ล้านดอลลาร์ จำนวนคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 2.0 พันล้านคำสั่ง โดยมีมูลค่าการขายสุทธิ (GMV) เพิ่มขึ้น 27.2% เป็น 19.0 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ Sea ระบุว่าการขาดทุนเฉลี่ยต่อคำสั่งซื้อลดลงน้อยลงมาก สำหรับส่วนธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน กลุ่มสื่อบันเทิง (Garena) รายได้ 900.3 ล้านดอลลาร์ ลดลง เช่นเดียวกับจำนวนผู้เล่นรวมลดลงเป็น 619.3 ล้านคน เป็นผู้เล่นที่เสียเงิน 56.1 ล้านคน มี Free Fire เป็นเกมที่ทำเงินสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และลาตินอเมริกา Forrest Li ซีอีโอกลุ่ม Sea กล่าวว่าในสถานการณ์ปัจจุบันที่ภาพใหญ่มีความไม่แน่นอนสูง บริษัทจะให้ความสำคัญกับการควบคุมปัจจัยภายใน เพิ่มความสามารถทำกำไร และบริหารจัดการกระแสเงินสด เพื่อการเติบโตต่อไป ที่มา: Sea (pdf)
# กลุ่มทรูไตรมาส 2/2565 รายได้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทรูมูฟ เอช ผู้ใช้งานเพิ่มเป็น 33.3 ล้านราย กลุ่มทรู รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2565 รายได้รวม 34,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน มี EBITDA หรือกำไรก่อนหักรายการดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา 13,921 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 761 ล้านบาท สาเหตุหลักจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของโครงข่ายที่ลงทุนไปที่เพิ่มขึ้น ผลการดำเนินงานแยกตามกลุ่มธุรกิจของทรู เป็นดังนี้ ทรูมูฟ เอช รายได้จากการบริการเติบโต 1.3% จำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 7.6 แสนราย รวมเป็น 33.3 ล้านราย ทรูออนไลน์ รายได้ใกล้เคียงปีก่อน 7,254 ล้านบาท ผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 9.5 หมื่นราย รวมเป็น 4.8 ล้านราย ทรูวิชั่นส์ รายได้ 2,231 ล้านบาท ฐานลูกค้ารวม 3.3 ล้านราย ทรูไอดี รายได้เพิ่มขึ้น 49% จากปีก่อน มีผู้ใช้งานรายเดือน 32 ล้านราย มีคำสั่งซื้อคอนเทนต์มากกว่า 8.9 แสนครั้ง และลูกค้ากล่องทรูไอดีเพิ่มเป็น 3.3 ล้านกล่อง ที่มา: ทรู (pdf)
# EA จับมือ Marvel ออกไอเทมพิเศษในเกม FIFA 23 โชว์ภาพนักเตะในชุดซูเปอร์ฮีโร่ เนื่องในปีแห่งมหกรรมฟุตบอลโลก EA จึงจัดใหญ่ทิ้งทวนปีสุดท้ายของการได้สิทธิ์ใช้ชื่อ FIFA กับเกมฟุตบอลของตนเอง ด้วยการเพิ่มการ์ดนักฟุตบอลเวอร์ชั่นพิเศษโดยได้ Marvel มาช่วยรังสรรค์ภาพวาดแบบพิเศษเปลี่ยนนักเตะเหล่านี้มาสวมใส่ชุดซูเปอร์ฮีโร่แทนการใส่ภาพถ่ายลงในการ์ดนักเตะตามปกติ FIFA 23 จะคัดนักเตะ 21 คน ที่เคยสร้างผลงานโดดเด่นในมหกรรมฟุตบอลโลกในอดีตมาจัดเป็นนักเตะกลุ่ม FUT Hero โดยนักเตะกลุ่มนี้จะถูกนำมาทำเป็นไอเทมการ์ดนักเตะแบ่งออกเป็น 2 เวอร์ชั่น เวอร์ชั่นพื้นฐาน ภาพการ์ดนักเตะเหล่านี้จะมาในชุดสโมสรพร้อมค่าพลังที่สะท้อนถึงความทรงจำดีๆ ในยุคที่โลดแล่นทำผลงานโดดเด่นให้กับทีมต้นสังกัด โดยไอเทมในเวอร์ชั่นนี้จะมีมาพร้อมกับเกมตั้งแต่วันเปิดตัว 23 กันยายน เวอร์ชั่น FIFA World Cup™ ภาพการ์ดนักเตะเหล่านี้จะมาในชุดซูเปอร์ฮีโร่ที่สร้างสรรค์โดยศิลปินจาก Marvel ค่าพลังของพวกเขาจะสะท้อนถึงนาทีแห่งความทรงจำในมหกรรมฟุตบอลโลกที่พวกเขาเคยฝากผลงานไว้ซึ่งแน่นอนว่าจะสูงกว่าค่าพลังในเวอร์ชั่นพื้นฐาน ทั้งนี้ไอเทมเวอร์ชั่นนี้จะเริ่มปล่อยออกมาวันที่ 11 พฤศจิกายน ก่อนหน้ามหกรรมฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายของจริงจะเริ่มโม่แข้งกัน ในตอนนี้ EA ได้ปล่อยภาพตัวอย่าง FUT Hero เวอร์ชั่น FIFA World Cup™ ของนักเตะ 5 คนมาให้ดูเป็นตัวอย่าง อันได้แก่ Landon Donovan (สหรัฐอเมริกา), Ricardo Carvalho (โปรตุเกส), Claudio Marchisio (อิตาลี), Yaya Touré (โกตดิวัวร์) และ Park Ji-Sung (เกาหลีใต้) ทั้งนี้ EA ระบุว่าผู้ที่สั่งจองเกม FIFA 23 ภายในวันที่ 21 สิงหาคม จะการันตีได้ไอเทม FUT Hero เวอร์ชั่น FIFA World Cup™ โดยอัตโนมัติในวันที่ 11 พฤศจิกายน ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปสั่งจองได้ที่นี่ ที่มา - TechRadar ภาพวาดพิเศษของ Landon Donovan (สหรัฐอเมริกา), Ricardo Carvalho (โปรตุเกส) และ Claudio Marchisio (อิตาลี) ภาพวาดพิเศษของ Yaya Touré (โกตดิวัวร์) และ Park Ji-Sung (เกาหลีใต้)
# Siemens ร่วมมือ MAHLE ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ร่วมพัฒนาระบบชาร์จรถไฟฟ้าแบบไร้สาย Siemens ประกาศข่าวการร่วมมือกับ MAHLE ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รถไฟฟ้าจากเยอรมนี เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบชาร์จไฟแบบไร้สายให้กับรถยนต์ไฟฟ้า สาระสำคัญของความร่วมมือนี้คือการพัฒนามาตรฐานของระบบชาร์จไฟไร้สาย ซึ่งเป้าหมายหลักก็เพื่อปิดช่องว่างระหว่างเทคโนโลยีของฝั่งผู้พัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์และฝั่งผู้พัฒนาระบบพื้นฐานสำหรับการชาร์จไฟ เพื่อให้ระบบชาร์จไฟแบบไร้สายสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามีมาตรฐานเดียวกันและสามารถใช้งานร่วมกันได้ราบรื่นไม่ว่าอุปกรณ์หรือรถยนต์จะมาจากผู้ผลิตรายใด สำหรับ Siemens นั้นเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านระบบไฟฟ้า และในปัจจุบันก็ได้ทำตลาดผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์และบริการสำหรับระบบชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้ชื่อ "eMobility" ครอบคลุมทั้งอุปกรณ์สำหรับการชาร์จไฟทั้งแบบ DC และ AC รวมทั้งซอฟต์แวร์และบริการด้านวิศวกรรม ส่วนทางฝั่ง MAHLE นั้นเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์ระบบชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ในปัจจุบันนี้ MAHLE มีอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบใช้สายวางจำหน่ายในท้องตลาดอยู่แล้วภายใต้ชื่อ "chargeBig" นอกจากนี้ MAHLE ยังเป็นหนึ่งในผู้นำเรื่องระบบชาร์จไฟไร้สายในวงการยานยนต์ของเยอรมนี โดยพวกเขาได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจและสภาพอากาศของเยอรมนี (German Federal Ministry for Economic Affairs and Climate Action) สำหรับ 2 โครงการ โดยโครงการแรกคืองานพัฒนามาตรฐานระบบชาร์จไฟแบบไร้สายในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ส่วนอีกโครงการเป็นการพัฒนามาตรฐานการวัดผลระบบชาร์จไฟแบบไร้สาย การลงนามความร่วมมือระหว่าง 2 บริษัทนี้จะครอบคลุมทั้งด้านการพัฒนาในเชิงเทคนิค รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการทดสอบอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบชาร์จไฟทั้งในฝั่งของชิ้นส่วนในตัวรถยนต์และในฝั่งของสถานีชาร์จไฟ ที่มา - Siemens ผ่าน Interesting Engineering, MAHLE
# ศาลตกลงให้ Apple จ่ายเงินยอมความกับพนักงานที่ฟ้องร้องเรื่องโดนค้นกระเป๋าหลังเลิกงาน ผู้พิพากษาอนุมัติตามคำขอของ Apple ในการยอมจ่ายเงินรวม 30.5 ล้านเหรียญเพื่อให้กลุ่มพนักงานยอมความในคดีที่ฟ้องร้องกันเรื่องการบังคับตรวจค้นกระเป๋าของพนักงานหลังเวลาเลิกงาน คดีนี้เป็นการฟ้องร้องแบบกลุ่มโดยมีพนักงานของ Apple ใน California จำนวน 14,683 คน ยื่นฟ้อง Apple เพื่อเรียกร้องเงินชดเชยค่าล่วงเวลา เนื่องจากระเบียบการปฏิบัติงานของ Apple นั้นกำหนดให้มีการตรวจค้นกระเป๋าของพนักงานก่อนกลับบ้าน ทำให้เหล่าบรรดาพนักงานต้องเสียเวลาเพิ่มเติมอีก 10-15 นาทีหลังเลิกงานทุกวัน ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ 25 กรกฎาคม 2009 จนถึง 10 สิงหาคม 2015 ซึ่งกลุ่มผู้ฟ้องระบุว่าเป็นการปฏิบัติที่ทำให้รู้สึกอับอายอีกทั้งยังเป็นการทำให้เสียเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าล่วงเวลาด้วย ทางฝั่ง Apple นั้นอ้างว่าพนักงานทราบระเบียบข้อนี้ดีอยู่แล้ว โดยการตรวจค้นนั้นเป็นไปเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการลักขโมยทรัพย์สินของบริษัทออกไปจากที่ทำงาน นอกจากนี้ Apple ระบุว่าได้ให้ทางเลือกแก่พนักงานที่จะไม่นำกระเป๋าส่วนตัวมาทำงานก็ได้ หรือหากนำมาแต่ไม่ต้องการให้เสียเวลาก็สามารถทิ้งกระเป๋าไว้ที่บริษัทเพื่อให้มีการตรวจสอบโดยไม่เสียเวลาของตัวพนักงานเอง คดีนี้มีการสู้กันมาหลายชั้นศาล โดยแรกเริ่มศาลชั้นต้นพิจารณาตัดสินให้ Apple เป็นผู้ชนะคดีและไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยใดๆ แต่เมื่ออุทธรณ์เรื่อยมาจนกระทั่งมาถึงชั้นฎีกาก็ได้มีคำตัดสินเมื่อปี 2020 ในประเด็นเรื่องการทำให้เสียเวลาหลังเลิกงาน โดยอ้างอิงกฎหมายรัฐแคลิฟอร์เนียและตัดสินว่าการตรวจค้นกระเป๋าพนักงานนั้นเข้าเกณฑ์การปฏิบัติงานนอกเวลาทำงานและ Apple จะต้องจ่ายค่าทำงานล่วงเวลาให้แก่เหล่าพนักงานที่ต้องเสียเวลารอการตรวจค้นกระเป๋าหลังเลิกงาน โดยข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาตอนหนึ่งระบุว่า หลังมีคำตัดสินออกมา Apple ก็ใช้เวลาในการเจรจาเพื่อไกล่เกลี่ยยอมความกับกลุ่มพนักงานผู้ฟ้องร้อง จนเมื่อเดือนมกราคม 2022 นี้เอง Apple ได้เปิดเว็บไซต์ให้พนักงานทั้งที่ยังปฏิบัติงานอยู่ในปัจจุบันและอดีตพนักงานได้เข้ามาอ่านข้อเสนอตกลงยอมความและเปิดให้ลงชื่อพร้อมแจ้งข้อมูลเพื่อการเคลมเงินชดเชยตามคำตัดสินของศาล จนในที่สุด Apple ก็ได้ข้อมูลมาพิจารณาการจ่ายเงินชดเชยรวม 30.5 ล้านเหรียญ และล่าสุดศาลได้อนุมัติเห็นชอบต่อการจ่ายเงินชดเชยเพื่อยอมความในคดีนี้แล้ว ที่มา - MacRumors - 1, 2, 3
# Google Meet เวอร์ชันเว็บ ย้ายการประมวลผลภาพขึ้นคลาวด์ แยกแยะฉากหลังได้แม่นขึ้น กูเกิลอัพเดตฟีเจอร์ให้ Google Meet เวอร์ชันเว็บ สามารถแยกบุคคลและวัตถุที่ฉากหน้า และฉากหลังได้แม่นยำกว่าเดิม ส่งผลให้การเบลอฉากหลังหรือเปลี่ยนภาพพื้นหลังสวยงามขึ้น (ภาพแอนิเมชันแบบเต็มดูได้จากลิงก์) วิธีการของกูเกิลนั้นง่ายๆ คือย้ายการประมวลผลภาพบางส่วนไปไว้บนคลาวด์แทน ช่วยลดแรงซีพียูของเครื่องลงได้ 30% และคุณภาพของภาพดีขึ้นด้วย ตอนนี้ เอฟเฟคต์ของ Meet ที่ใช้งานระบบแยกแยะภาพแบบใหม่นี้ได้แล้วคือ การเบลอฉากหลัง และการปรับสภาพแสง ส่วนการเปลี่ยนภาพพื้นหลังจะตามมาในอนาคต ที่มา - Google
# Spotify เพิ่มระยะทดลองใช้ Spotify Premium ฟรีให้ผู้ใช้ใหม่เป็น 3 เดือน Spotify เพิ่มระยะเวลาทดลองใช้ Spotify Premium แพ็คเกจ Individual ฟรีให้กับผู้ใช้ใหม่ที่ไม่เคยใช้งาน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (จากเดิม 1 เดือน) ผู้ที่สนใจสามารถรับ Spotify Premium ฟรี ได้ถึง 11 กันยายนนี้ หากครบระยะเวลา 3 เดือน ผู้ใช้จะต้องเสียค่าบริการในราคาปกติหากไม่ยกเลิกบริการ (129 บาทสำหรับแพ็คเกจ Individual ในไทย) นอกจากนี้ Spotify ยังมีโปรจะให้ผู้ที่เคยใช้บริการ Spotify Premium และยกเลิกบริการก่อนวันที่ 15 กรกฎาคมและต้องการกลับมาใช้บริการอีก เสียค่าบริการเพียง $9.99 (ประมาณ 350 บาท) ในระยะเวลา 3 เดือนซึ่งจะตกเพียงเดือนละประมาณ $4 (ประมาณ 141.79 บาท) เท่านั้นจากราคาปกติ $9.99 ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่ามีข้อมูลโปรนี้ในราคาไทย นี่อาจเป็นอีกหนึ่งการตลาดของ Spotify ที่พยายามเพิ่มผู้ใช้เสียเงินแบบ Individual หลังจากจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งจากแคมเปญการตลาด ที่มา: Spotify Newsroom, Spotify TH
# Take-Two เตรียมทำเกม The Lord of the Rings ภาคใหม่ ได้ผู้ร่วมทำหนังไตรภาคมาพัฒนา Private Division ผู้จัดจำหน่ายเกมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Take-Two Interactive ประกาศข่าวความร่วมมือกับ Wētā Workshop เตรียมทำเกม The Lord of the Rings ภาคใหม่ ที่จะเล่าเนื้อเรื่องช่วงเวลาใหม่ในโลก Middle-earth Amie Wolken จาก Wētā Workshop บอกว่าเกมภาคใหม่นี้จะมีเกมเพลย์แตกต่างจากเกม The Lord of the Rings ภาคอื่นๆ ที่แฟนเกมเคยเล่นมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดอื่นใดเกียวกับตัวเกมออกมาในตอนนี้ โดยคาดว่าตัวเกมจะแล้วเสร็จในปี 2024 ถึงแม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับเกมใหม่นี้จะมีน้อยมาก แต่การได้ Wētā Workshop มารับหน้าที่ผลิตเกมก็น่าจะสามารถคาดหวังคุณภาพที่ดีของผลงานได้ เนื่องจากบริษัทนี้ได้รับสิทธิ์จาก Middle-earth Enterprises ในการดัดแปลงและเผยแพร่ผลงานที่อิงจากวรรณกรรมชื่อดังของ J.R.R. Tolkien โดยพวกเขามีส่วนร่วมในการผลิตหนังไตรภาค The Lord of the Rings มาแล้ว รวมทั้งซีรี่ส์ Lord of the Rings: The Rings of Power ที่กำลังจะออกฉายทาง Amazon Prime ในเดือนกันยายนนี้ ทั้งนี้ Wētā Workshop ได้จัดตั้งฝ่ายผลิตเกมขึ้นมาเมื่อปี 2014 ที่มา - Private Division ผ่าน TechRadar
# จีนเปิดตัวรถไฟลอยฟ้า maglev ที่ใช้แม่เหล็กถาวรเป็นครั้งแรกของโลก จีนเริ่มทดสอบเดินรถไฟลอยฟ้าสายใหม่ชื่อ Red Rail ในเมือง Xingguo มณฑล Jiangxi โดยรถไฟลอยฟ้าเส้นนี้มีความพิเศษตรงเทคโนโลยี maglev ที่ใช้แม่เหล็กถาวรแทนแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นครั้งแรกของโลก เทคโนโลยี maglev อาศัยแรงผลักของแม่เหล็กในการยกตัวยานพาหนะให้ลอยสูงจากราง รวมทั้งใช้แรงจากแม่เหล็กนี้สร้างแรงขับให้ตัวรถเคลื่อนที่ไปตามรางด้วย โดยที่ผ่านมาการสร้างรถไฟ maglev จนถึงปัจจุบันล้วนแล้วแต่ใช้แม่เหล็กไฟฟ้าสร้างแรงผลัก โดยจะมีการควบคุมการจ่ายไฟให้กับขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าที่ถูกติดตั้งไว้ตามรางและบนตัวรถ รถไฟลอยฟ้าสาย Red Rail การพัฒนาแม่เหล็กของระบบ maglev ที่ผ่านมานั้น เริ่มจากยุคแรกที่สร้างแรงยกให้ตัวรถด้วยเทคนิค EMS (Electromagnetic Suspension) ซึ่งเป็นการใช้ขดลวดแม่เหล็กที่อาศัยการจ่ายไฟเข้าในขดลวดบนตัวรถให้เกิดอำนาจแม่เหล็กกระทำต่อราง จนต่อมามีการพัฒนาเทคโนโลยี EDS (Electrodynamic Suspension) ซึ่งได้นำเอาแม่เหล็กตัวนำยิ่งยวด (superconducting magnet) มาใช้งาน โดยแม่เหล็กตัวนำยิ่งยวดนี้มีขดลวดที่สร้างจากตัวนำยิ่งยวดที่มีคุณสมบัตินำไฟฟ้าได้ดีและมีความต้านทานไฟฟ้าน้อยมากจนแทบไม่มีเลย ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและมีประสิทธิภาพการสร้างอำนาจแม่เหล็กดียิ่งขึ้น แต่ทั้ง 2 เทคโนโลยีที่กล่าวมาข้างต้นยังคงต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าเป็นหลักมาสร้างสนามแม่เหล็กเพื่อก่อให้เกิดแรงยกและแรงขับให้กับตัวรถ maglev สิ่งที่จีนพยายามเปลี่ยนแปลงทำใหม่ในงานนี้คือการเปลี่ยนมาใช้แม่เหล็กถาวรติดตั้งบนรางแทนการใช้แม่เหล็กไฟฟ้า และในฐานะที่เป็นประเทศผู้มีแหล่งแร่หายาก เช่น neodymium อันเป็นสิ่งจำเป็นต่อการผลิตแม่เหล็กถาวรมากที่สุดในโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่จีนจะไม่ลังเลที่จะทุ่มเทให้กับแนวคิดการใช้แม่เหล็กถาวรนี้ ซึ่งพวกเขาเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า PML (Permanent Magnet Levitation) ข้อดีที่สำคัญของเทคโนโลยี PML ก็คือจะทำให้ต้นทุนด้านพลังงานในการเดินรถลดลง โดย Yang Bin หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญของ Red Rail บอกว่าการใช้แม่เหล็กถาวรช่วยให้ใช้พลังงานในการเดินรถลง 31% เมื่อเทียบกับการใช้แม่เหล็กไฟฟ้า รถไฟสาย Red Rail ขณะวิ่งออกจากสถานีโดยสาร หลังจากผ่านการคิดค้นและพัฒนามานาน 9 ปี ตอนนี้รถไฟลอยฟ้าสาย Red Rail นี้เริ่มทดสอบเดินรถแล้ว ในตอนนี้เส้นทางรถไฟถูกก่อสร้างเป็นโครงสร้างเหล็กรองรับรางวิ่งสูงเหนือพื้น 10 เมตร เส้นทางวิ่งมีความยาวรวม 800 เมตร ตัวรถมี 32 ที่นั่งรองรับผู้โดยสารได้ 88 คน และทำความเร็วได้สูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนี้หากการทดสอบเดินรถไฟลอยฟ้า Red Rail ประสบผลสำเร็จแล้ว จะมีการก่อสร้างรางเพิ่มจนมีความยาวรวม 7.5 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้รถไฟสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เพิ่มขึ้นเป็น 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ทางการจีนยังมีแผนจะพัฒนาโครงการรถไฟ maglev แม่เหล็กถาวรสายอื่นๆ อีกประมาณ 10 โครงการด้วยเงินลงทุนราว 11.43 พันล้านหยวน (ประมาณ 59.58 พันล้านบาท) ที่มา - CCTV+, New Atlas, China Daily
# Amazon CloudFront รองรับ HTTP/3 ในบริการ CDN ของตัวเอง Amazon CloudFront บริการ content delivery network (CDN) ของ AWS ประกาศรองรับโปรโตคอล HTTP/3 ที่เพิ่งได้รับรองเป็นมาตรฐาน RFC เมื่อเดือนมิถุนายน 2022 HTTP/3 หรือที่เคยรู้จักกันในชื่อ QUIC ถูกเสนอโดยกูเกิลมาตั้งแต่ปี 2015 เพื่อเร่งความเร็วการเชื่อมต่อช่วงแรกของ HTTP ในระดับล่าง (TCP+TLS) อ่านคำอธิบายละเอียดในบทความ อธิบาย HTTP/3 แตกต่างจาก HTTP/1, HTTP/2, SPDY, QUIC อย่างไร ที่ผ่านมา เบราว์เซอร์และเว็บเซิร์ฟเวอร์ยอดนิยมต่างรองรับ HTTP/3 กันเยอะแล้ว เว็บไซต์ยอดนิยมบางแห่งอย่าง Facebook ใช้ HTTP/3 เป็นสัดส่วน 75% มาตั้งแต่ปี 2020 และคู่แข่งของ CloudFront อย่าง Cloudflare ก็นำหน้ารองรับ HTTP/3 มาตั้งแต่ปี 2021 ตอนนี้ผู้ใช้ CloudFront จำเป็นต้องเปิดใช้งาน HTTP/3 ด้วยตัวเองในหน้า Settings ตามภาพ ที่มา - AWS Blog
# Tencent ปิดแพลตฟอร์ม NFT ของตัวเอง หลังขายไม่ดีแม้เปิดมาแค่ปีเดียว Tencent เตรียมปิดบริการ Huanhe แพลตฟอร์มขาย NFT หลังจากเปิดบริการเมื่อเดือนสิงหาคม 2021 หรือเพียงปีเดียวเท่านั้น แม้ช่วงแรกๆ จะมีผู้สนใจซื้อ NFT บนแพลตฟอร์มจำนวนมาก แต่สินค้าในชุดหลังๆ ก็ไม่ได้รับความสนใจนัก ตัวแอป Huanhe ยังคงใช้งานได้ และสามารถเข้าไปดาวน์โหลด NFT ที่ซื้อมาแล้ว แต่จะไม่มี NFT ขายเพิ่มเติมอีก โดยก่อนหน้านี้ก็มีผู้ใช้สังเกตว่าไม่มี NFT ขายเพิ่มเติมมาระยะหนึ่งแล้วแต่ทาง Tencent เพิ่งประกาศเป็นทางการวันนี้ NFT ในจีนถูกควบคุมอย่างหนัก โดยแพลตฟอร์มต่างๆ ห้ามใช้ NFT ไปยุ่งเกี่ยวกับเงินคริปโตใดๆ รวมถึงต้องดูแลไม่ให้มีการซื้อขายทำกำไร แม้แพลตฟอร์มจะเปิดให้โอน NFT ให้กับผู้ใช้คนอื่นได้ก็ตาม ที่มา - South China Morning Post
# Samsung คาดมือถือพับจะขายดีต่อเนื่องและกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของสมาร์ทโฟนภายในปี 2025 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Roh Tae-moon ซีอีโอส่วนธุรกิจมือถือของ Samsung กล่าวในงานแถลงข่าวที่นิวยอร์กว่า บริษัทเชื่อว่าโทรศัพท์มือถือพับได้ของ Samsung จะขายได้คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมของบริษัทและจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับสมาร์ทโฟนภายในปี 2025 รวมถึงจะได้รับความนิยมที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมของ Samsung ด้วย ในปัจจุบัน Samsung เป็นผู้นำด้านการขายโทรศัพท์มือถือแบบพับได้ หลังจากเปิดตัว Galaxy Z Fold 3 และ Galaxy Z Flip 3 และขายดีจนติดตลาดโดยมียอดขายรวมกันอยู่ที่ 7.1 ล้านเครื่อง และ Samsung มีส่วนแบ่งตลาดมือถือพับได้ถึง 62% ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ บริษัทวิจัยตลาด Counterpoint ยังคาดการณ์ว่ายอดขายมือถือพับได้ทั่วโลกของ Samsung จะเพิ่มขึ้นถึง 16 ล้านเครื่องในปีนี้และ 26 ล้านเครื่องในปีหน้า นอกจากนี้ Counterpoint คาดการณ์ว่ามือถือพับได้รุ่นใหม่อย่าง Galaxy Z Fold 4 และ Galaxy Z Flip 4 จะมียอดขายรวมกันราว 9 ล้านเครื่องภายในปี 2565 นี้หลังจากวางจำหน่ายในวันที่ 26 สิงหาคมนี้ในบางประเทศ ส่วนในไทยจะวางจำหน่ายวันที่ 2 กันยายนนี้ ที่มา: Counterpoint และ The Korea Herald
# TikTok เพิ่มฟิลเตอร์สร้างรูปภาพอัตโนมัติจากข้อความด้วย AI หลังจากที่ AI สร้างภาพจากข้อความอย่าง Midjourney กำลังเป็นที่นิยม TikTok ก็ขอเกาะกระแสด้วยการเพิ่มฟิลเตอร์สร้างรูปภาพอัตโนมัติด้วยการพิมพ์ข้อความที่ใช้ชื่อว่า “Al greenscreen” เพื่อใช้เป็นพื้นหลังสำหรับวิดีโอเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม รูปภาพที่สร้างด้วยระบบ AI จะไม่ใช่ภาพที่มีความสมจริงแต่เป็นภาพที่ดูเป็นนามธรรมและเห็นเป็นรูปร่างคร่าว ๆ เท่านั้นไม่เหมือนการสร้างภาพด้วย AI อื่นๆ อย่าง DALL-E ของ Open AI หรือ Midjourney แม้เหตุผลที่ฟีเจอร์ AI greenscreen ไม่สามารถสร้างรูปที่สมจริงได้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะการใช้เรื่องเทคโนโลยีขั้นสูง ใช้ทรัพยากรเยอะและราคาแพง แต่ The Verge คาดว่าอาจะเป็นความตั้งใจของ TikTok เพื่อป้องกันการสร้างรูปที่มีเนื้อหาทางเพศและความรุนแรงอย่างสมจริงซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาและความวุ่นวายตามมาเนื่องจาก TikTok มีบัญชีผู้ใช้มากกว่าพันล้านคน ที่มา: The Verge
# สหรัฐแบนการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญในการผลิตชิปเพิ่มอีก หวังสกัดจีน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคงของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้สั่งแบนการส่งออกสินค้า 4 ประเภทที่เกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีและสงคราม สินค้าที่ถูกสั่งแบนได้แก่ ซอฟต์แวร์กลุ่ม ECAD ที่ใช้เทคโนโลยี Gate-AllAround Field-Effect Transistor (GAAFET) ที่ใช้ในการออกแบบชิปขนาด 3 นาโนเมตรหรือต่ำกว่า, เทคโนโลยี Pressure Gain Combustion (PCG) ซึ่งใช้ในยานอวกาศ, และวัสดุตั้งต้นสำหรับผลิต semiconductor แบบ ultra-wide bandgap 2 ชนิด อย่างแกลเลียมออกไซด์หรือเพชร แม้ว่าจะไม่ได้ระบุประเทศเป้าหมายแต่สหรัฐมีปฏิกิริยาชัดเจนว่าต้องการแบนการส่งออกไปยังจีนโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ถูกแบนไม่ได้กระทบกับจีนเท่าใดนักในระยะสั้นเนื่องจากจีนยังไม่สามารถผลิตชิปที่ล้ำหน้าซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ถูกแบน แต่กระบวนการผลิตชิป 3 นาโนเมตรของจีนในอนาคตจะล่าช้าลง ที่มา: BIS via The Register
# ผู้ก่อตั้ง WeWork ตั้งบริษัทใหม่ Flow ด้านอสังหาริมทรัพย์ ยังไม่เปิดตัวก็ยูนิคอร์นแล้ว Adam Neumann ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอ WeWork ที่ลาออกจากบริษัทในปี 2019 และสร้างปัญหาไว้หลายอย่าง หลังจากนั้นเขาหันมาเป็นนักลงทุน และเปิดบริษัทใหม่ชื่อ Flow เป็นสตาร์ตอัพด้านอสังหาริมทรัพย์ เน้นแก้ปัญหาเรื่องบ้าน ที่ซื้อก็แพง เช่าก็ไม่มีความผูกพัน ตอนนี้ Flow ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องโมเดลธุรกิจของ Flow แต่บริษัทรับเงินลงทุนจากนักลงทุนชื่อดัง Andreessen Horowitz (a16z) แล้ว ถึงแม้ไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการออกมา แต่หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงานว่ารับเงิน 350 ล้านดอลลาร์จาก a16z และเป็น "เช็คใบใหญ่ที่สุด" ที่ a16z เคยเซ็นมา ทำให้สถานะของ Flow ตอนนี้ขึ้นเป็นยูนิคอร์น มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์แล้ว แม้ยังไม่เปิดตัว Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้ง a16z โพสต์เหตุผลที่ลงทุนใน Flow ว่า Adam Neumann เป็นผู้ปฏิวัติวงการอสังหาริมทรัพย์หมวดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 คืออาคารสำนักงาน จากผลงานของเขาที่ WeWork ทำให้ทั้งโลกเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องเช่าพื้นที่สำนักงานมาเป็นเช่าพื้นที่ co-working space แทน และตอนนี้ Neumann กำลังมีภารกิจใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมคืออสังหาริมทรัพย์หมวดที่พักอาศัย เว็บไซต์ TechCrunch ชี้ว่าผลงานของ Adam Neumann มองได้หลายมุม การที่ a16z มองในมุมบวกเพราะเข้าไปลงทุนก็คาดเดาได้ แต่ผู้ถือหุ้นของ WeWork คงไม่คิดเช่นนั้น (โดยเฉพาะ SoftBank ที่มีคดีฟ้องร้องกัน) เรื่องของ Neumann ถูกทำเป็นมินิซีรีส์เรื่อง WeCrashed ฉายทาง Apple TV+ เมื่อต้นปีนี้ ภาพ Adam Neumann จาก 16z ที่มา - a16z, TechCrunch
# ปิดเก่ง Google Cloud เตรียมปิดบริการ IoT Core ให้เวลาอีกหนึ่งปี Google Cloud ประกาศปิดบริการ IoT Core ที่ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT เข้ากับบริการคลาวด์ ผ่านทางโปรโตคอล MQTT และ HTTP โดยบริการนี้เปิดให้บริการทั่วไปมาตั้งแต่ปี 2017 จนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 5 ปีเต็ม ทาง Google Cloud ส่งอีเมลแจ้งปิดบริการให้กับลูกค้าที่ใช้งานอยู่ และปรับหน้าเว็บแสดงแบนเนอร์ว่ากำลังปิดบริการ ปัญหาใหญ่ของระบบ IoT เช่นนี้คือพันธมิตรและอุตสาหกรรมมักต้องลงทุนกับการพัฒนาฮาร์ดแวร์เพื่อให้ทำงานร่วมกับบริการคลาวด์ การที่กูเกิลประกาศปิดบริการโดยให้เวลาเพียงปีเดียวเช่นนี้น่าจะสร้างปัญหาต่ออุตสาหกรรมที่ผูกติดกับบริการของกูเกิลไปแล้วค่อนข้างมาก กูเกิลเปิดบริการจำนวนมากและปิดบริการไปเรื่อยๆ เป็นแนวทางที่กูเกิลทำมานาน จนถูกล้อเลียนอยู่ตลอดมา แต่การปิดบริการระดับองค์กรเช่นนี้คงกระทบกับความน่าเชื่อถือของกูเกิลในการทำตลาดระดับองค์กรอีกพอสมควร ที่มา - Google Cloud IoT Core, @singhns
# Signal พบผู้ใช้ได้รับผลกระทบจากการแฮก Twilio 1,900 คน มุ่งเป้าเจาะจง 3 คน Signal แอปแชตเข้ารหัสรายงานถึงผลกระทบจากเหตุแฮก Twilio ที่ Signal ใช้บริการส่ง SMS อยู่ด้วย ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าดูหมายเลขของผู้ใช้ Signal ได้ทั้งหมด 1,900 คน ผลกระทบจากเหตุครั้งนี้ทำให้แฮกเกอร์รู้ว่าหมายเลขใดใช้งาน Signal อยู่บ้าง และแฮกเกอร์อาจจะดักข้อความยืนยันการลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ได้ โดยในจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ 1,900 คนนี้ พบว่าแฮกเกอร์พยายามค้นหาหมายเลขของเหยื่ออย่างเจาะจง 3 ราย และมีเหยื่อรายหนึ่งระบุว่าแฮกเกอร์ลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ ทาง Signal เตือนว่าผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าแอปยังลงทะเบียนอยู่หรือไม่ โดยหากเปิดแอปมาแล้วมีแบนเนอร์เตือนว่าแอปไม่ได้ลงทะเบียนอาจจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการแฮกครั้งนี้ หรืออาจจะหลุดการลงทะเบียนเพราะไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานเฉยๆ แต่เนื่องจาก Signal เป็นแอปแชตแบบเข้ารหัสจากปลายทางถึงปลายทางอยู่แล้ว ดังนั้นแฮกเกอร์จึงไม่สามารถอ่านข้อความแชตใดๆ ได้ และทาง Signal เองก็ไม่ได้เก็บข้อมูลติดต่อไว้บนเซิร์ฟเวอร์ แต่แฮกเกอร์อาจจะใช้หมายเลขโทรศัพท์ของเราแชตกับคนอื่นๆ ได้ ที่มา - Signal
# พบ หัวชาร์จ 5 วัตต์ ตัวเล็กที่สุดของ Apple สินค้าหมดหรือเลิกขายในหลายประเทศ มีรายงานว่า ในเว็บขายสินค้าของแอปเปิล อะแดปเตอร์แปลงไฟ USB ขนาด 5 วัตต์ ได้ขึ้นข้อความสินค้าหมด ซึ่งพบแบบนี้ในเว็บของแอปเปิลหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย ในบางประเทศสินค้าถูกนำออกจากเว็บไปเลย จึงไม่ชัดเจนว่าแอปเปิลจะเลิกขายอะแดปเตอร์ตัวเล็กสุดนี้ต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้สินค้ายังพบว่ามีขายในอเมริกา อังกฤษ และสิงคโปร์ อะแดปเตอร์ USB 5 วัตต์ ใช้สาย USB-A โดยแอปเปิลเริ่มแถมให้มาตั้งแต่ iPhone 3G จนถึง iPhone 11 ส่วน iPhone 11 Pro เป็นครั้งแรกที่ให้ อะแดปเตอร์ 18 วัตต์ USB-C ที่ชาร์จได้เร็วกว่า แต่จากนั้นก็เลิกแถมให้ใน iPhone 12 เป็นต้นมา ตามแนวทางอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยให้มาเฉพาะสาย Lightning to USB-C ซึ่งก็ใช้งานร่วมกับอะแดปเตอร์ 5 วัตต์ นี้ไม่ได้ ที่มา: MacRumors
# Apple แจ้งพนักงาน ให้กลับมาทำงานที่สำนักงาน 3 วันต่อสัปดาห์ เริ่มกันยายนนี้ Bloomberg อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง ระบุว่าแอปเปิลได้แจ้งพนักงานถึงแผนการให้กลับมาทำงานที่สำนักงานอีกครั้ง ให้เข้าสำนักงาน 3 วันต่อสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 กันยายนนี้ แอปเปิลกำหนดว่าพนักงานต้องเข้าทำงานที่สำนักงาน ทุกวันอังคารและพฤหัสบดี ส่วนอีกหนึ่งวันให้แต่ละทีมกำหนดเองว่าจะเป็นวันใด โดยบอกว่ายังคงรูปแบบการทำงานแบบไฮบริด ถึงแม้หลายบริษัทเทคโนโลยีจะปรับรูปแบบการทำงานไปพอสมควรนับตั้่งแต่เกิดการระบาดของโควิด 19 แต่แอปเปิลส่งสัญญาณมาระยะหนึ่งแล้ว ว่าต้องการให้พนักงานทั้งหมดกลับเข้ามาทำงานที่สำนักงาน จนเกิดเหตุการณ์หัวหน้าทีม Machine Learning ประกาศลาออกก่อนหน้านี้ ที่มา: MacRumors
# Snapchat+ มีผู้สมัครใช้งานมากกว่า 1 ล้านคนแล้ว พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ Snapchat ประกาศว่าบริการ subscription Snapchat+ ที่ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ ๆ เป็นพิเศษ ในราคา 3.99 ดอลลาร์ต่อเดือน ตอนนี้มีผู้สมัครใช้งานแล้วมากกว่า 1 ล้านคน โดยบริการเพิ่งเปิดตัวไปไม่ถึง 2 เดือน ปัจจุบัน Snapchat+ ให้บริการในหลายประเทศมากขึ้น โดยยังไม่มีประเทศไทย นอกจากนี้ Snapchat+ ยังประกาศเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ 4 รายการ ได้แก่ Priority Story Replies คอมเมนต์สตอรี่คนดัง จะปรากฎด้านบน ทำให้มีโอกาสถูกตอบกลับมากขึ้น, Post View Emoji เลือกอีโมจิที่แสดง หลังเพื่อนดูสตอรี่เราจบ, เพิ่มฉากหลัง Bitmoji และไอคอนแบบใหม่ ๆ ที่มา: Snapchat
# Walmart ร่วมกับ Paramount+ เพิ่มบริการวิดีโอออนไลน์ให้ลูกค้า Walmart+ ชนกับ Amazon Prime Walmart เครือข่ายร้านค้าปลีกรายใหญ่ในอเมริกา ประกาศร่วมมือกับ Paramount+ บริการสตรีมมิ่งของค่าย Paramount โดยลูกค้าบริการ Walmart+ จะได้สิทธิใช้งาน Paramount+ แพ็คเกจ Essential ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม Walmart+ เป็นบริการเสริมสมาชิก ได้สิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น ส่งสินค้าฟรีไม่จำกัดจำนวนครั้ง ส่วนลดในร้านค้า รูปแบบเดียวกับ Amazon Prime โดยมีค่าบริการปีละ 98 ดอลลาร์ ถูกกว่า Amazon Prime ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ 139 ดอลลาร์ แต่บริการ Amazon Prime ที่ผ่านมามีวิดีโอสตรีมมิ่งรวมอยู่ด้วย Paramount+ เป็นบริการสตรีมมิ่งที่มีผู้ใช้งาน 63.7 ล้านบัญชีทั่วโลก ยังไม่มีในไทย รูปแบบบริการมีสองราคาคือ Essential ชมคอนเทนต์ต่าง ๆ แบบมีโฆษณา และอีกแบบไม่มีโฆษณา และรวมรายการสดประเภทข่าว-กีฬา มีคอนเทนต์ดังเช่น 1883, Star Trek: Strange New Worlds เป็นต้น ประกาศดังกล่าวทำให้เห็นทิศทาง "พ่วง" บริการต่าง ๆ จากผู้ให้บริการเข้าด้วยกันน่าจะเกิดมากขึ้น ที่มา: Walmart
# Azure เปิดพรีวิว Dev Box บริการเช่าเครื่อง VM สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ Microsoft Azure เปิดบริการพรีวิว Dev Box สภาพแวดล้อมสำหรับนักพัฒนาที่รันใน VM บน Azure ที่เปิดตัวในงาน Build 2022 เมื่อเดือนพฤษภาคม Microsoft Dev Box คือการย้ายคอมพิวเตอร์ของนักพัฒนาไปไว้บน VM ในคลาวด์ ด้วยเหตุผลเรื่องประสิทธิภาพที่ดีกว่า และเตรียมสภาพแวดล้อมในการพัฒนา เช่น ไลบรารี เครื่องมือ เวอร์ชันของซอฟต์แวร์ ให้พร้อมใช้งานสำหรับแต่ละโปรเจคต์ ทั้งทีมในโปรเจคต์ใช้ VM เหมือนกันหมด ไมโครซอฟท์มีบริการแนวคิดเดียวกันอีกตัวคือ GitHub Codespaces แต่เน้นสภาพแวดล้อมที่เตรียมมาให้แล้ว (เช่น เครื่องมือพัฒนาต้องเป็น VS Code) ในขณะที่ Dev Box ให้อิสระกับแอดมินองค์กรเลือกเครื่องมือมาลงใน VM ได้เอง และมีฟีเจอร์เชื่อมต่อกับ Azure Active Directory เพื่อให้แอดมินจัดการสิทธิเข้าถึงได้ง่าย Dev Box สามารถเลือกสเปกเครื่องได้ตั้งแต่ 4 vCPU / 16GB ไปจนถึง 32 vCPU / 128GB ช่วงพรีวิวเปิดให้ใช้งานฟรี 15 ชั่วโมงต่อเดือน ที่มา - Microsoft
# Android 13 ตัวจริงมาแล้ว Pixel ได้ก่อน แบรนด์อื่นทยอยตามมาในปีนี้ นับว่าเร็วกว่าที่ผ่านมามากๆ กับการปล่อย Android 13 เวอร์ชันจริง จากปกติที่ Google มักจะปล่อยช่วงราวเดือนตุลาคม โดยตอนนี้ผู้ที่ใช้ Pixel 4 ขึ้นไป สามารถดาวน์โหลดได้แล้ว ส่วนแบรนด์อื่นๆ เช่น Samsung, Asus, Nokia, iQOO, Motorola, OnePlus, Oppo, Realme, Sharp, Sony, Tecno, vivo และ Xiaomi จะมีตามมาภายในปีนี้ ส่วนฟีเจอร์เด่นๆ บน Android 13 ก็มี เลือกภาษาที่แสดงผลได้ในแต่ละแอป ไม่ต้องเป็นภาษาเดียวกับระบบก็ได้ ให้แอปเข้าถึงรูปและวิดีโอเฉพาะบางรูป/คลิปได้แล้ว ไม่ต้องแชร์ทั้งอัลบั้ม (เหมือน iOS) เคลียร์ Clipboard ถ้ามีการก๊อปปี้ข้อมูลส่วนตัวหรือพาสเวิร์ด แอปที่โหลดใหม่ ต้องขอสิทธิ notification จะไม่ได้สิทธิโดยดีฟอลต์แล้ว รองรับ Spatial Audio กับหูฟังที่รองรับ Copy / Paste ระหว่างมือถือและแท็บเล็ต ดูฟีเจอร์ทั้งหมดเต็มๆ ได้ที่นี่ ที่มา - Google
# TerraPower บริษัทพลังงานนิวเคลียร์ที่ก่อตั้งโดยบิลล์ เกตส์ ระดมทุน 750 ล้านดอลลาร์ นำโดยกลุ่ม SK ของเกาหลีใต้ กลุ่ม SK ของเกาหลีใต้ประกาศลงทุนในบริษัท TerraPower ผู้พัฒนาโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กที่ก่อตั้งโดย บิลล์ เกตส์ โดยทาง SK ลงทุนรอบนี้ 250 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับตัวบิลล์ เกตส์ เองและนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ รวมมูลค่าการระดมทุน 750 ล้านดอลลาร์ TerraPower พยายามพัฒนาโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กและติดตั้งเป็นโมดูล (Small Modular Reactors - SMR) ทำให้ต้นทุนการดูแลรักษาต่ำ ใช้ชื่อว่า Natrium เป็นเตาปฎิกรณ์นิวเคลียร์ที่ส่งความร้อนออกมาภายนอกด้วยเกลือเหลว (molten salt) คาดว่าแต่ละชุดจะผลิตไฟฟ้าได้ 345 เมกกะวัตต์ และเร่งได้ถึง 500 เมกกะวัตต์ในช่วงต้องการพลังงานสูง ทาง SK ระบุว่าต้องการมีส่วนร่วมในโครงการ TerraPower ในเกาหลีและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ทาง SK ก็ลงนามบันทึกความเข้าใจในการพัฒนาเตาปฎิกรณ์แบบ SMR กับ TerraPower ไปก่อนแล้ว ที่มา - TerraPower, Korea JoongAng Daily
# Uber จะปิดบริการสะสมคะแนนตุลาคมนี้ เพื่อไปเน้นบริการสมาชิกแบบจ่ายเงิน Uber One Uber เตรียมหยุดให้บริการ Uber Rewards โปรแกรมสะสมคะแนนฟรีสำหรับผู้ใช้แพลตฟอร์ม เพื่อไปเน้นการใช้งานระบบสมาชิก Uber One แทน โดย Uber จะให้ผู้ใช้สะสมคะแนนได้จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ และจะเปิดให้แลกคะแนนได้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคมนี้ Uber Rewards เปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 เป็นโปรแกรมสะสมคะแนนฟรีเมื่อใช้บริการเรียกรถ Uber หรือสั่งอาหารผ่าน Uber Eats โดยคะแนนสะสมใช้แลกส่วนลดบริการบน Uber และมีระดับสมาชิกตามคะแนนสะสม โดยสมาชิกระดับสูงสุดคือ Diamond ที่จะต้องสะสมให้ครบ 7,500 คะแนน จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งซัพพอร์ตแบบพรีเมียม, อัพเกรดการเรียกรถ, ได้คนขับรถที่ดีกว่า และสิทธิ์ในการสั่งอาหาร Uber Eats ฟรี 3 ครั้ง สำหรับผู้ใช้ Uber Rewards เดิมจะไม่มีโปรแกรมใหม่ทดแทน และหากต้องการใช้ส่วนลดจะต้องสมัครสมาชิก Uber One เท่านั้น ซึ่งผู้ใช้ Uber Rewards จะได้รับสิทธิ์สมาชิก Uber One ฟรี 1 เดือน ที่มา - The Verge